อรรถวเิ คราะหช์ ่ือนกั ศกึ ษาสาขาวชิ าภาษาไทยช้ันปท� ่ี 2 และ 3 ปก� ารศกึ ษา 2565 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมูบ่ ้านจอมบงึ นายวัชรพล แซโ่ ค้ว รหัสนักศึกษา 634101005 นางสาวชนากานต์ สร้างการนอก รหัสนกั ศกึ ษา 634101009 นางสาวญาดา เหีย้ มหาญ รหสั นกั ศึกษา 634101011 นางสาวพิยดา โกมาลย์ รหสั นกั ศกึ ษา 634101019 นางสาววมิ ลภา ชารนิ ทร์ รหสั นักศึกษา 634101021 สาขาวชิ าภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมู่บ้านจอมบึง พ.ศ.2566
อรรถวเิ คราะหช์ ่ือนกั ศกึ ษาสาขาวชิ าภาษาไทยช้ันปท� ่ี 2 และ 3 ปก� ารศกึ ษา 2565 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมูบ่ ้านจอมบงึ นายวัชรพล แซโ่ ค้ว รหัสนักศึกษา 634101005 นางสาวชนากานต์ สร้างการนอก รหัสนกั ศกึ ษา 634101009 นางสาวญาดา เหีย้ มหาญ รหสั นกั ศึกษา 634101011 นางสาวพิยดา โกมาลย์ รหสั นกั ศกึ ษา 634101019 นางสาววมิ ลภา ชารนิ ทร์ รหสั นักศึกษา 634101021 สาขาวชิ าภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมู่บ้านจอมบึง พ.ศ.2566
ก ชอื่ เร่อื ง อรรถวเิ คราะหช์ อื่ นกั ศกึ ษาสาขาวชิ าภาษาไทยชน้ั ปท� ่ี 2 และ 3 คณะผวู้ ิจยั ปก� ารศึกษา 2565 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมู่บ้านจอมบงึ สาขาวิชา ป�การศึกษา นายวัชรพล แซ่โค้ว นางสาวชนากานต์ สร้างการนอก นางสาวญาดา เห้ีมหาญ นางสาวพยิ ดา โกมาลย์ นางสาววมิ ลภา ชารนิ ทร์ ภาษาไทย 2565 บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่ออธิบายพัฒนาการการตั้งชื่อของแต่ละบุคคล 2. เพื่อวิเคราะห์แนวคิดองคป์ ระกอบทางความหมายของชื่อนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยช้ันป�ที่ 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 3. เพื่อวิเคราะห์แนวคิดความสัมพันธ์ระหว่าง ภาษากับภาพสะท้อนสังคมวัฒนธรรมไทยจากชื่อนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ที่ 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหม่บู ้านจอมบึง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ที่ 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จำนวน 50 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบบันทึกอรรถวิเคราะห์ชื่อนักศึกษา สาขาวิชาภาษาไทย ซึ่งใช้สถิติการวิเคราะห์ข้อมูลคือ อตั ตราร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า การตั้งชื่อของคนไทย ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดที่มี ความแตกต่างไปตามยุคสมัย ตั้งแต่อดีตจนถึงป�จจุบัน นั้นคือ ในสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา-ธนบุรี จนถึง สมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งจะมีหลักการที่ส่งผลให้มีแนวทางในการตั้งชื่อที่หลากหลาย นำไปสู่การวิเคราะห์ การตัง้ ช่อื ของนกั ศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทยชัน้ ปท� ี่ 2 และ 3 ท่ีสะทอ้ นออกมาในแง่ดี ทำใหส้ ามารถจัดกลุ่ม ทางความหมายได้ 9 กลุ่ม โดยมีอัตราการตั้งชื่อไปในด้านกลุ่มความเชื่อมากที่สุด ถัดมาคือ กลุ่มอำนาจ กลุ่มความรู้สึก กลุ่มสติป�ญญาและกลุ่มเพศ กลุ่มสติป�ญญา กลุ่มความงาม กลุ่มความบริสุทธ์ิ
ง กลุ่มธรรมชาติ และกลุ่มลักษณะทางกายภาพ ตามลำดับ จะเห็นได้ว่าการต้ังชื่อของนักศึกษาสาขาวิชา ภาษาไทยมีอัตราการตั้งชื่อด้านความเชื่อมากที่สุดและมีอิทธิพลต่อคนไทยเป�นอย่างมาก รวมไปถึง ป�จจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการตั้งชื่อซึ่งสะท้อนค่านิยมในสังคมและวัฒนธรรมจากท้องถิ่นต่าง ๆ ในประเทศ ไทยของนักศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย คำสำคญั : อรรถวิเคราะห์ อรรถศาสตร์ ชื่อ สงั คม ค่านิยม ทกั ษาปกรณ์
จ กติ ติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีโดยได้รับความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างดียิ่งจาก ท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปุณย์จรีย์ สรสีสม อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ท่านอาจารย์วรรณนิสา ปานพรม อาจารย์ในสาขาวิชาภาษาไทย ท่านอาจารย์สมภัสสร บัวรอด อาจารย์คณะครุศาสตร์ รวมไปถึงนักศึกษา สาขาวชิ าภาษาไทยช้ันป�ท่ี 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหมูบ่ ้านจอมบึงการทำวิจัยใน คร้ังน้ี ขอขอบพระคุณอาจารย์ และนักศึกษาชั้นป�ที่ 2 และป�ท่ี 3 สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัย ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในการดำเนินงานวิจัยและประสานงานในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย ขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปุณย์จรีย์ สรสีสม รวมไปถึงท่านอาจารย์วรรณนิสา ปานพรม อาจารย์ ในสาขาวิชาภาษาไทย ที่ให้ความอนุเคราะห์หนังสือท่ีเป�นประโยชน์ต่องานวิจัยและท่านอาจารยส์ มภัสสร บัวรอด อาจารย์คณะครศุ าสตร์ ที่ให้ความช่วยเหลือในด้านข้อมูลในงานวิจัย รวมไปถึงนักศึกษาสาขาวิชา ภาษาไทยชั้นป�ที่ 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงที่สนับสนุนการทำวิจัย ในคร้ังน้ี คณะผ้วู ิจยั รู้สกึ ซาบซง้ึ ในความอนเุ คราะหใ์ นการช่วยเหลือจนงานวจิ ยั ครงั้ นที้ ส่ี ำเร็จลุลว่ งไปดว้ ยดี จงึ ขอขอบพระคณุ มา ณ โอกาสนี้ คณะผู้วจิ ยั วนั ที่ 11 มีนาคม 2566
สารบัญ ง บทคดั ย่อ หนา้ กติ ติกรรมประกาศ สารบัญ ก สารบญั ตาราง จ สารบัญแผนภูมิ ง ฉ บทที่ ช บทที่ 1 บทนำ 1 ความเปน� มาและความสำคัญของป�ญหา 3 วัตถุประสงค์ของงานวิจยั 3 ขอบเขตของการวิจยั 3 คำถามการวจิ ัย 3 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 4 กรอบแนวคิดการวจิ ยั 5 ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ บั จากการวิจยั 5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง 6 ความเปน� มาของการต้ังช่ือคนไทย 6 การตงั้ ช่ือตามสภาพของสังคมไทย 6 หลกั การตั้งชอื่ ตามหลักทกั ษาปกรณ์ 7 บรเิ วณความหมาย 15 การจดั กลุ่มทางความหมาย 16 ความสมั พนั ธท์ างความหมาย 17 งานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 17 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวจิ ัย 19 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 20
สารบัญ (ต่อ) จ รปู แบบในการวิจัย หน้า ข้อมูลทใ่ี ช้ในการวจิ ยั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 20 การวิเคราะหข์ อ้ มลู 21 การตรวจสอบข้อมูล 21 การจัดระบบข้อมูล 22 การสร้างแบบแผนของข้อมลู 27 การสร้างข้อสรปุ 27 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์องคป์ ระกอบทางความหมาย 27 การวิเคราะหค์ วามหมายของช่อื นกั ศึกษาช้นั ปท� ่ี 2 และ 3 27 การวเิ คราะห์ตารางแบบบันทึกอรรถวเิ คราะหช์ ่ือนักศกึ ษาชั้นป�ที่ 2 และ 3 29 ความสมั พันธ์ระหวา่ งภาษากับการต้ังชื่อจรงิ 29 ภาพสะท้อนระหวา่ งภาษาและสงั คมวัฒนธรรมไทย 31 บทท่ี 5 สรปุ อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 37 สรปุ ผลการวจิ ยั 37 อภิปรายผลการวจิ ัย 37 ข้อเสนอแนะ 40 บรรณานุกรม 41 ภาคผนวก 41 ประวัตผิ วู้ ิจัย 42 43 52
สารบญั ตาราง ฉ ตารางท่ี หน้า 1. ตารางแสดงหลกั การต้ังช่ือตามวันเกดิ 12 2. ตารางแสดงหลกั การตงั้ ชือ่ ตามวันเกดิ 13 3. แบบบันทึกอรรถวิเคราะหช์ ื่อนกั ศึกษา สาขาวชิ าภาษาไทยช้ันปท� ี่ 2 23 4. แบบบันทึกอรรถวิเคราะหช์ ือ่ นักศึกษา สาขาวิชาภาษาไทยช้ันป�ท่ี 3 25 5. ตารางแสดงความหมายของชือ่ นักศึกษาปท� ่ี 2 29 6. ตารางแสดงความหมายของชอื่ นักศึกษาปท� ี่ 3 30 7. แบบบนั ทึกอรรถวิเคราะหช์ ื่อนกั ศึกษา สาขาวชิ าภาษาไทยชั้นปท� ่ี 2 32 8. แบบบันทกึ อรรถวิเคราะหช์ ือ่ นักศึกษา สาขาวิชาภาษาไทยชั้นปท� ่ี 3 34
สารบญั แผนภมู ิ ช แผนภูมทิ ี่ หน้า 1. ขัน้ ตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 22 2. ขัน้ ตอนการวิเคราะหข์ ้อมูล 28 3. อัตรารอ้ ยละ 36
1 บทท่ี 1 บทนำ ความเปน� มาและความสำคัญของปญ� หา วิยะดา วรธนานันท์ กล่าวว่า ชื่อเป�นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ใช้เรียกแทน คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หรือใช้เรียกอ้างอิงแทนบุคคล เพื่อเป�นการเจาะจงถึงสิ่งนั้นหรือบุคคลนั้นและไม่เกิดความสับสนในการ สื่อสาร ซึ่งชื่อนั้นคือคำนามชนิดหนึ่ง โดยนววรรณ พันธุ์เมธา (2554) อธิบายไว้ว่า คำนาม คือ คำท่ี หมายถงึ สง่ิ ต่าง ๆ ท้งั ทเี่ ป�นรูปธรรมและนามธรรม ซ่งึ ในสว่ นของชือ่ บุคคลน้นั เป�นคำนามชนิดวิสามัญนาม ในประเทศไทยได้มีการตั้งชื่อเรียกมาตั้งแต่ในอดีตและมีพัฒนาการการตั้งชื่อมาจนถึงป�จจุบัน อีกทั้งใน การตั้งชื่อของคนไทยไม่ได้มีเพียงแค่บ่งบอกถึงบุคลิกภาพหรือลักษณะของบุคคลนั้น แต่ยังรวมไปถึง ความหมาย ความเช่อื ความสัมพันธ์กบั ชื่อบคุ คลในครอบครัว วฒั นธรรม และค่านยิ มของสงั คมไทย คนไทยใหค้ วามสำคญั กับการตง้ั ชอ่ื ของบคุ คล ซ่ึงในความหมายของชอ่ื จะเชือ่ มโยงไปถึงความเชื่อ คา่ นยิ ม และความสอดคล้องกับชอื่ บคุ คลในครอบครัว โดยคณะผวู้ ิจัยได้เหน็ ถึงความสำคัญและสนใจท่ีจะ ศึกษาการวิเคราะห์ความหมายชื่อของนักศึกษาชั้นป�ที่ 2 และ 3 สาขาวิชาภาษาไทย เพื่อที่จะได้เห็น องคป์ ระกอบทางความหมายของช่อื บคุ คลวา่ มีความสัมพันธ์กนั อยา่ งไรกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย คณะผู้วิจัยศึกษาค้นคว้างานวิจัยของ วิรัช ศิริวัฒนะนาวิน (2544) ผลการศึกษา พบว่า บุคคลท่ี ตั้งชื่อของทารกนั้นมีหลายบุคคล ไม่ว่าจะเป�น บิดามารดา ครูอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ พระภิกษุ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการตั้งชื่อ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตั้งชื่อของทารก จากบุคคลที่ได้กล่าวมาข้างต้นผู้ที่มีบทบาท ในการตั้งชื่อมากที่สุดก็คือ บิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ หรือบุคลในครอบครัว ในภายหลังนั้นเริ่มมี การเปลี่ยนเเปลงจากที่บุคคลได้มีบทบาทในการตั้งชื่อได้มีการตั้งชื่อโดยศึกษาจากหนังสือตำราต่าง ๆ ที่ ให้คำเเนะนำหรือวิธีการตั้งชื่อของทารก ในส่วนของเงื่อนไขของการตั้งชื่อพบว่า มีหลายเงื่อนไข ไม่ว่าจะ เป�น เพศ หลักโหราศาสตร์ ความหมาย ความไพเราะ ความเเปลกใหม่ ความนิยมชมชอบ ฯลฯ โดยการ ตั้งชื่อของทารกในป�จจุบันนั้น เงื่อนไขที่มีการนิยมคือ ความเเปลกใหม่ เพราะเกิดจากระยะเวลาเเละยุค สมัยเปลี่ยนไปทำให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น จึงนิยมหาชื่อที่มีความเเปลกใหม่ ผลการศึกษาเรื่อง ความสัมพันธ์ของบุคลในครอบครัวเดียวกันพบว่ามีความสัมพันธ์ 4 ประเภท ได้เเก่ 1) ความสัมพันธ์ทาง เสียง 2) ความสัมพันธ์ทางพยางค์ 3) ความสัมพันธ์ทางคำ 4) ความสัมพันธ์ทางความหมาย ในส่วนของ ความสัมพันธ์ทางเสียง คอื เสยี งพยัญชนะตน้ ของพยางคห์ นา้ พยางคห์ ลงั ทุกพยางค์ เเละเสียงสัมผัสสระ ต่อมาความสัมพันธ์ทางพยางค์ คือ ความสัมพันธ์ทางรูปพยางค์หน้าเเละพยางค์หลัง ต่อเนื่องไปถึง
2 ความสัมพันธ์ทางคำเเละความหมาย ซึ่งป�จจุบันมีการเปลี่ยนเเปลงไปคือ บุลคลที่มีอายุน้อยอาจะมี การเปลี่ยนเเปลงที่จะมีการตั้งชื่อที่มีความสัมพันธ์ในครอบครัวมากขึ้น อีกทั้งยังได้ศึกษางานวิจัยเพิ่มเติม ของ มณฑา วิริยางกูร และรศ.ดร.สิริวรรณ นันทจันทูล (2563) ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะการใช้ภาษา ของทมยันตี ในนวนิยายอินทร์ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ มี 3 ลักษณะ คือ 1) กลวิธีทางศัพท์ 2) กลวิธีการขยายความ 3) กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม ในส่วนของกลวิธีทางคัพท์ ได้เเก่ การใช้ชื่อและการเรียกชื่อ การเรียกขาน การอ้างถึงและการใช้คำกริยา กลวิธีการขยายความเเละกลวิธี ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม ได้แก่ การใช้มูลบท การปฏิเสธ การใช้วัจนกรรม การใช้อุปลักษณ์ และการใช้เรื่องเล่า และในส่วนของภาพสะท้อนสังคมปรากฏทั้งสิ้น 3 ด้าน คือ 1) ภาพสะท้อนค่านิยม 2) ภาพสะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับโหราศาสตร์ 3) ภาพสะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ในส่วนของ ภาพสะท้อนค่านิยม เเบ่งออกเป�น 3 ค่านิยม คือ 1) ค่านิยมเร่ืองวัตถุ ได้เเก่วัตถุทแี่ สดงความมั่งค่ัง วัตถุที่ แสดงฐานะทางสังคมและวัตถุสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน 2) ค่านิยมเรื่องความประพฤติ ได้เเก่ ค่านิยม เรื่องความประพฤติอันพึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ 3) ค่านิยมเรื่องบุคคล ได้เเก่ บุคคลที่มีเชื้อสาย กษัตรยิ ์ บคุ คลที่เป�นนักบวช ตอ่ มาในเรือ่ งของภาพสะท้อนความเช่อื เกย่ี วกับโหราศาสตร์ ได้เเก่ ความเชื่อ เกี่ยวกับการทำนายลักษณะบุคคล เเละสุดท้ายภาพสะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ได้เเก่ ภาพสะท้อนเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องวิญญาณความเชื่อเกี่ยวกับโชคลาง ในส่วนของโชคกลางพบ ภาพสะท้อนเกย่ี วกับเร่อื งความฝ�นแลว้ ภาพสะท้อนเก่ยี วกบั ประเพณีไทย และในส่วนของประเพณีไทยพบ ภาพสะท้อนเกี่ยวกับประเพณีการแต่งงานประเพณีที่เกี่ยวข้องกับความตายและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับ การเกิด จากการศึกษาของคณะผู้วิจัยพบว่า หลักการตั้งชื่อของคนไทยนั้นเกิดจากป�จจัยหลายอย่าง การวิเคราะห์เพื่อแยกองค์ประกอบของชื่อ ที่มาของชื่อ ทำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกับค่านิยมของสังคม ความเช่ือในเรือ่ งของความหมายของช่อื ที่มผี ลต่อดวงชะตาของชีวติ ตามหลักโหราศาสตร์ เพศ อีกทั้งยังได้ เห็นการตั้งชื่อที่มีความแปลกใหม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย คณะผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาการ วิเคราะห์องค์ประกอบทางความหมายของชื่อ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดการศึกษาในวิชาภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะงานทางอรรถศาสตร์ซึ่งเป�นการวิเคราะห์คำและความหมายของคำเพื่อให้เข้าใจในวัฒนธรรม สงั คม ค่านยิ ม ของคนไทยท่ีมสี บื ตอ่ กนั มาอยา่ งชา้ นาน
3 วตั ถุประสงค์ของการวิจยั 1. เพอื่ อธบิ ายพฒั นาการการตง้ั ชอื่ ของแต่ละบุคคล 2. เพื่อวิเคราะห์แนวคิดองค์ประกอบทางความหมายของชื่อนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ท่ี 2 และ 3 ป�การศกึ ษา 2565 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั หมู่บา้ นจอมบึง 3. เพื่อวิเคราะห์แนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับภาพสะท้อนสังคมวัฒนธรรมไทยจาก ชื่อนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชน้ั ปท� ่ี 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลยั ราชภัฏหมู่บา้ นจอมบึง ขอบเขตของการวจิ ัย 1. ขอบเขตดา้ นเนือ้ หา เน้อื หาที่ศึกษาในคร้ังนป้ี ระกอบด้วย - หนงั สือชื่องามตามทักษา พร้อมดว้ ยอักษรโรมาที่มาของคำ และความหมาย - ค่านิยมที่ปรากฏในการตั้งชื่อ วิยะดา วรธนานันท์ หัวหน้าฝ่ายบริหารการฝ�กอบรม สำนกั การศกึ ษาตอ่ เน่ือง มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช 2. ขอบเขตดา้ นประชากร ประชากร คือ จำนวน นศ.สาขาภาษาไทย 5 ชั้นป� รุ่น 61-65 ซึ่งผู้วิจัยคัดเลือกแบบเจาะจง เพื่อนำมาเป�นกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ที่ 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลยั ราชภัฏหม่บู ้านจอมบึง จำนวน 50 คน คำถามการวจิ ยั การวเิ คราะห์องค์ประกอบทางความหมายของช่ือนกั ศึกษาเอกภาษาไทย ชน้ั ป�ท่ี 2 และ 3 สามารถสะท้อนความสัมพันธท์ างภาษา สงั คมวัฒนธรรมไทยได้อย่างไร
4 นิยามศพั ท์เฉพาะ ชื่อ หมายถึง คำที่ใช้ตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกแทนตัวนักศึกษาชั้นป�ที่ 2 และ 3 สาขาวิชาภาษาไทย ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหมูบ่ า้ นจอมบึง ความเชอื่ หมายถึง ความคดิ ความศรทั ธา สงิ่ ทีม่ องไม่เหน็ เป�นนามธรรม อาจจะเก่ียวกับส่ิงลี้ลับ ซึ่งมนุษย์ยอมรับและนับถือ อีกทั้งยังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดำรงชีวิตของมนุษย์หรือเป�นแนวทางใน การปฏบิ ตั ิตนของมนษุ ย์ ซึง่ แต่ละบคุ คลมีความเชอ่ื ที่แตกตา่ งกันออกไป ค่านิยม หมายถึง ทัศนคติ มุมมองความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งของแต่ละบุคคล หรือ กลุ่มบุคคล ที่เป�นกระแสนิยมในสังคมช่วงเวลาหนึ่ง เป�นสิ่งที่มีคุณค่าและเป�นการยอมรับด้วยตนเองโดย ไม่มีใครบงั คบั มีหลักการและพฤติกรรมทปี่ ฏิบัติคล้ายกนั ในกลมุ่ สังคมมนษุ ย์ สังคม หมายถึง บุคคลที่อาศัยอยู่รวมกันเป�นกลุ่มต้ังแต่ 2 บุคคลขึ้นไปภายใต้กฎระเบียบทีต่ ั้งขึน้ เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้และไม่เกิดความขัดแย้ง โดยกฎระเบียบนั้นเป�นสิ่งที่ทุกคนยอมรับได้และปฏิบัติตาม ร่วมกนั ในการดำรงชวี ติ วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและปฏิบัติสืบต่อมากันมาเป�นเวลานาน เป�น สงิ่ ทดี่ ีงาม เชน่ ภาษา ศิลปะ อาหาร และการแต่งกาย เป�นต้น ซ่ึงเป�นแบบแผนในการดำรงชวี ติ ภาษา หมายถึง เครื่องมือที่ใช้สื่อสารของมนุษย์ อาจเป�นถ้อยคำหรือลายลักษณ์อักษรเพ่ือ สื่อความหมายของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ภาษาแบ่งออกเป�น 2 ลักษณะ ได้แก่ วัจนภาษา คือ ภาษาพูด ภาษาเขยี น และอวจั นภาษา คอื สญั ลักษณ์ ภาษากาย และอน่ื ๆ ท่ไี มใ่ ชถ่ ้อยคำ อรรถศาสตร์ คือ การศึกษาความหมายของภาษาเพื่อสื่อความหมายออกมา ผ่านขั้นตอน ทางภาษาในระดับคำ ระดับประโยค ระดับข้อความ เพื่อให้ผู้สื่อสารเเละผู้รับสาร สื่อสารเเละตีความของ สารออกมาได้อยา่ งถูกตอ้ ง
5 กรอบแนวคดิ การวจิ ัย แนวคิดและทฤษฎี คณะผู้วจิ ยั นำมาสรา้ งกรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ไดด้ งั น้ี อรรถศาสตร์วเิ คราะหโ์ ครงสร้าง ความหมายของชื่อนกั ศกึ ษา องคป์ ระกอบทางความหมาย สาขาวชิ าภาษาไทยชั้นปท� ี่ 2 และ 3 การจดั กล่มุ ทาง ภาพสะทอ้ นของภาษา ความหมาย และสังคมวฒั นธรรมไทย ตารางวเิ คราะห์ชอื่ นกั ศึกษาสาขาวิชา ภาษาไทยช้นั ป�ท่ี 2 และ 3 วิเคราะห์ สรปุ ผล ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะไดร้ บั จากการวิจยั 1. ทำใหส้ ามารถสะทอ้ นความคดิ ค่านิยม สงั คม วฒั นธรรม การต้ังชือ่ ของแตล่ ะบุคคล 2. ทำให้เห็นพัฒนาการของการตัง้ ชือ่ บุคคล ทม่ี ีมาตงั้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปจ� จุบนั 3. เป�นแนวทางให้ผู้ที่สนใจศึกษาสามารถนำมาต่อยอดองค์ความรู้ของตนเองในเรื่อง องค์ประกอบทางความหมายของช่ือ
6 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้อง งานวิจัยในครั้งนี้ คณะผู้วจิ ัยไดร้ ว่ มกันคน้ คว้าเอกสารและงานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้อง เพ่ือเปน� แนวทาง ในการทำวิจยั ดังนี้ 1. ความเป�นมาของการตงั้ ชื่อคนไทย 2. การตง้ั ชอ่ื ตามสภาพของสังคมไทย 2.1 การตัง้ ชอ่ื ตามความไพเราะและความแปลกใหม่ 2.2 การตัง้ ชอ่ื ตามความสมั พนั ธท์ างครอบครวั 3. หลกั การต้งั ช่อื ตามหลกั ทักษาปกรณ์ 3.1 การตั้งชอื่ ตามวันเกิด 3.2 การต้ังชื่อตามตวั อกั ษร 4. บริเวณความหมาย 5. การจดั กลุ่มทางความหมาย 6. ความสมั พันธ์ทางความหมาย 7. งานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง ความเป�นมาของการต้งั ชอ่ื คนไทย สุภาพรรณ ณ บางช้าง (2529) ได้ศึกษาการตั้งชื่อของคนไทยในสมัยต่าง ๆ ไว้ดังนี้ สมัยสุโขทัย มีความเชื่อสะท้อนแนวคิดของคนไทย ไว้ 2 ประการ ประการแรกคือ แนวคิดที่ แสดงความสัมพันธ์ของครอบครัวโดยตั้งชื่อเป�นการเรียงลำดับของสมาชิกในครอบครัว อีกประการหน่ึง คือ สะท้อนความคิดของความเจริญรุ่งเรืองของสังคม ต่อมาในสมัยอยุธยา-ธนบุรี ความหมายชื่อสะท้อน แนวคิดของคนไทยไว้ 2 ประการ ประการแรกคือ แนวคิดที่แสดงให้เห็นว่าคนไทยใกล้ชิดกับธรรมชาติ จึงใช้ชื่อที่เกี่ยวกับธรรมชาติมาตั้งชื่อให้กับบุตรหลาน อีกประการหนึ่งคือตั้งชื่อที่มีความหมายดีที่เป�น มงคล ในสมัยรัตนโกสินทร์ คือ ยังแสดงแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติ และมีแนวคิดที่สะท้อนความเชื่อ ทางด้านพุทธศาสนา ปรากฏชื่อที่มีความหมายแสดงถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องสมัยสุโขทัย มีตั้งชื่อตาม
7 ความฝ�นของคนในครอบรัว ต่อมาเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป�นระบอบประชาธิปไตยในระยะต้น มี การใช้ภาษาบาลี-สันสกฤต มีการตั้งชื่อที่มีหลายพยางค์มากขึ้น โดยมีการนำคติการตั้งชื่อในคัมภีร์ทักษา ปกรณ์มาใช้ มีการนำชื่อของเทพเจ้ามาตั้งเลียนแบบ ต่อมาในสมัยของจอมพลแปลก (ป.) พิบูลสงคราม เป�นนายกรัฐมนตรี มีการปรับปรุงวัฒนธรรมให้ทัดเที่ยมกับชาติตะวันตก มีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม หลายประการ รวมถึงการตั้งชื่อของคนไทยโดยรัฐประกาศชักชวนให้ตั้งชื่อแบ่งแยกเพศของเจ้าของชื่อ ชื่อผู้ชายจะมีความหมายแสดงถึงอำนาจและความกล้าหาญ ส่วนชื่อของผู้หญิงจะมีความหมายแสดงถึง ความงาม สว่ นภาษาท่ีที่นิยมใชค้ ือ ภาษาบาลี-สนั สกฤต วิรัช ศิริวัฒนะนาวิน (2544) ได้กล่าวไว้ว่า คนไทยมีความผูกพันกับการตั้งชื่อมาอย่างยาวนาน โดยมีความเชื่อทางศาสนาตั้งแต่อดีตถึงป�จจุบันโดยนับถือศาสนาดั่งเดิมได้แก่ศาสนาอำนาจลึกลับที่แฝง อยู่ในธรรมชาติ สมัยก่อนเชอื่ ในเรื่องผีเทวดาสิ่งล่ลี ับว่ามาเป�นตัวเป�นตนได้เพราะ “ผีป�น” เม่ือเชื่อว่าผีป�น คนได้ก็เชื่อว่าผีสามารถทำลายคนได้เช่นกัน ในการตั้งชื่อเด็กทารกมีความเชื่อว่าต้องตั้งชื่อให้น่าเกียด เพราะถ้าชื่อมีความไพเราะผีก็จะนำเด็กไปเล้ยี งเองทำใหเ้ ด็กทารกเสยี ชีวิต จากการศึกษาความเป�นมาของการตั้งชื่อของคนไทย ทำให้เห็นถึงความแตกต่างถึงแนวคิดที่ แสดงความสัมพันธ์ของการตั้งชื่อในแต่ละยุคสมัย ตั้งเเต่อดีตจนถึงป�จจุบัน นั่นคือ ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา-ธนบุรีจนถงึ สมัยรัตนโกสินทร์ ทำใหน้ ำไปสหู่ วั ขอ้ ทจ่ี ะศึกษาไดต้ อ่ ไปน้ี การต้ังชือ่ ตามสภาพของสังคมไทย การตั้งชอ่ื ตามความไพเราะและแปลกใหม่ วิรัช สิริวัฒนะนาวัน (2540) ได้อธิบายไว้ว่า “ความไพเราะ” เป�นธรรมเนียมการตั้งชื่อให้เป�น มงคล คนทช่ี ือ่ เพราะยอ่ มมีเสนห่ ์ เป�นมงคลนามและเป�นวัฒนธรรม ถา้ ชื่อไมเ่ พราะแสดงว่าไม่มีวัฒนธรรม ความไพเราะเป�นเงื่อนไขสำคัญในการตั้งชื่อ มีบิดามารดาจำนวนไม่น้อยขอให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตั้งช่ือ ชว่ ยตง้ั ชือ่ บุตรของตนอย่างไพเราะ เน่ืองจากความไพเราะของชื่อเป�นทรรศนะเชิงอัตวิสัยของแต่ละบุคคล ชื่อที่ไพเราะในความคิดของคนหนึ่งอาจจะไม่ไพเราะตามความเห็นของอีกคนหนึ่งก็ได้ โดยจะใช้เกณฑ์ ทางเสยี งซึ่งเปน� ลักษณะสำคญั ของไทยมาวเิ คราะหค์ วามไพเราะ ได้แก่ 1) เสยี งหนักเบาหรอื ครลุ หุ สรปุ ได้ ว่าชื่อที่ไพเราะมักลงท้ายด้วยเสียงครุ 2) เสียงวรรณยุกต์ สรุปได้ว่าชื่อที่ไพเราะมักจะประกอบด้วย เสียงวรรณยุกต์สามัญร่วมกับเสียงวรรณยุกต์อื่น และ 3) เสียงพยางค์เป�นพยางค์ตาย สรุปได้ว่าชื่อที่ ไพเราะมักประกอบด้วยเสียงพยางค์ตายและลงท้ายด้วยเสียงพยางค์เป�น ดังนั้นชื่อที่ไพเราะมักมี ลักษณะตรงกับเกฑณ์ทั้ง 3 อย่างน้อย 2 เกณฑ์ เช่น ชื่อ “สุวนันท์” มีโครงสร้างทางเสียงครุลหุแบบ ลหุ-ลหุ-ครุ มีโครงสร้างวรรณยุกต์แบบ เอก-ตรี-สามัญ หรือ เอก-สามัญ-สามัญ และมีโครงสร้างทางเสียง
8 พยางค์เป�นพยางค์ตายแบบ พยางค์ตาย-พยางค์ตาย-พยางค์เป�น จึงจัดเป�นชื่อที่ไพเราะ เพราะมีลักษณะ ตรงเกณฑ์พิจารณาความไพเราะทั้ง 3 เกณฑ์ ชื่อ “กุลณัฐ” มีโครงสรา้ งทางเสียงครลุ หุแบบ ครุ-ลหุ-ครุ มี โครงสร้างวรรณยุกต์แบบ สามัญ-สามัญ-ตรี และมีโครงสร้างทางเสียงพยางค์เป�นพยางค์ตายแบบ พยางค์เป�น-พยางค์ตาย-พยางค์ตาย จึงจัดเป�นชื่อที่ไพเราะ เพราะมีลักษณะตรงเกณฑ์พิจารณาความ ไพเราะทั้ง 2 เกณฑ์ คือ เกณฑ์ทางครุลหุและเกณฑ์ทางเสียงวรรณยุกต์ ในส่วนของ “ความแปลกใหม่” เปน� เงอ่ื นไขที่บิดามารดาจำนวนไมน่ ้อยในปจ� จุบันคำนกึ ถึงในการตงั้ ช่อื ใหแ้ ก่บตุ รหลานของตน ซึง่ สะท้อน ให้เห็นว่าคนในสมัยป�จจุบันมีความคิดเอาตนเองเป�นศูนย์กลาง แสดงถึงลักษณะเด่นของผู้เป�นเจ้าของชื่อ ให้เป�นที่รู้จักจำได้กว่าผู้อื่น ความแปลกใหม่เกิดจาการสรรหาชื่อที่มีการสะกดรูปคำและเสียงที่ไม่ซ้ำใคร กรณีที่เกิดจากการสะกดรูปคำ แบ่งได้ 4 ประการ ได้แก่ 1) การใช้พยัญชนะ พยัญชนะที่แปลกตาซึ่งไม่ พบในชื่อของคนทั่วไปจึงเป�นชื่อที่แปลกตามทรรศนะของคนทั่วไปในป�จจุบัน มี 9 ตัว ได้แก่ ฆ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ษ ห ฬ เช่น ฆนรพ ฌรัต นฏา ฐปนัตว์ ฑวิตถ์ ษัษฎิลดา หริชา วราสาฬห์ เป�นต้น 2) การดัดแปลง คำศัพท์ เช่น วินีต์ (วินีต) อภิสมย์ (อภิ+สมย) พีรดนย์ (พีร+ตนย) เป�นต้น 3) การซ้ำรูปพยัญชนะ เพื่อให้ อ่านยาก เช่น รรรรร (รัน-รอน) รรรรรร (ระ-รัน-รอน) กกกร (กก-กอน) เป�นต้น และ 4) การซ้ำคำศัพท์ เช่น พลพล (พะ-ละ-พน) อรอร (ออ-ระ-ออน) เป�นต้น ส่วนกรณีที่เกิดจากเสียง ได้แก่ เสียงที่ไม่คุ้นหู คือ เสียงของคำศัพทท์ ่ีไมเ่ ป�นที่รจู้ ัก เช่น กรี ิน กุลนิ า ขทริ า จีริน ชตู ิ ไรยา เปน� ต้น การตงั้ ชือ่ ตามความสมั พนั ธท์ างครอบครัว ไศลรตั น์ อิสระเสนีย์ (2546) ไดก้ ลา่ วไว้ว่า การวเิ คราะห์ความสัมพันธ์ของความหมายท่ีใช้ในการ ตั้งชื่อจริงของบุคคลในครอบครัว สามารถจัดดกลุม่ ทางความหมายของจริงที่มีความสัมพันธก์ ันได้ 5 กล่มุ โดยใช้เกณฑ์ความหมายของชื่อจริง ชื่อเล่น และนามสกุล ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ความงาม กลุ่มที่ 2 ความเจริญ ความเช่ือ กลุม่ ที่ 3 อำนาจ ชยั ชนะ กล่มุ ที่ 4 อารมณ์ ความรกั กลุม่ ท่ี 5 อ่ืน ๆ ซ่ึงกลุ่มความหมายของชื่อ จริงที่มคี วามสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัวที่มีมากทีส่ ุด คือ ความหมายเกี่ยวกับความงาม รองลงมาด้วย ความเจริญ ความเชื่อ อำนาจ ชัยชนะ และความหมายประเภทอ่ืน ๆ ตามลำดับ จากผลสรปุ การวเิ คราะห์ ความสัมพันธ์ทางความหมายที่ใช้ในการตั้งชื่อจริงของบุคคลในครอบครัวมีความแตกต่างกัน คือ ชื่อของ บุตรกับบุตรมีความสัมพันธ์ทางความหมายมากกว่าชื่อของบิดามารดากับบุตร ส่วนชื่อจริงของบิดากับ บตุ รและมารดากับบตุ รมีความหมายไมแ่ ตกต่างกัน เพราะมคี วามถใี่ กล้เคยี งกัน ดังนน้ั จะเห็นว่าชื่อจริงที่มี ความสัมพันธ์ทางความหมายจะแตกต่างกันทางเพศ โดยที่ชื่อจริงของบิดากับบุตรชายจะมีความสัมพันธ์ มากกว่าบิดากับบุตรบุตรหญิง และชื่อจริงของมารดากับบุตรหญิงมีความสัมพันธ์มากกว่ามารดากับ บุตรชาย ส่วนในเรื่องรูปแบบทางความหมาย จะเห็นได้ว่าชื่อของบิดามารดากับบุตร และบุตรกับบุตรมี
9 รูปแบบความสัมพันธ์ทางความไม่แตกต่างกัน แต่ความสัมพันธ์บิดากับบุตรและมารดากับบุตรมีรูปแบบ ทางความหมายแตกต่าง คือ ชื่อของบิดากับบุตรพบความหมายประเภทอำนาจ ชัยชนะมากที่สุด ส่วน มารดากับบุตรพบความหมายประเภทความงามมากที่สุด ดังนั้นจะเห็นว่าชื่อจริงที่มีรูปแบบทาง ความหมายจะแตกต่างกันไปตามเพศ โดยที่ชื่อของบิดากับบุตรชายจะสัมพันธ์กับความหมายประเภท อำนาจ ชัยชนะมากที่สุด ส่วนชื่อของมารดากับบุตรหญิงจะสัมพันธ์กับความหมายประเภทความงาม มากที่สดุ จากการศึกษาการตั้งชื่อตามสภาพของสังคมไทย ทำให้เห็นถึงแนวคิดหรือค่านิยมของ การตั้งชื่อ ไม่ว่าจะเป�นการตั้งชื่อตามความไพเราะและความแปลกใหม่ และการตั้งชื่อตามความสัมพันธ์ ทางครอบครัว ทำให้นำไปส่หู วั ขอ้ ที่จะศึกษาได้ต่อไปน้ี หลักการต้ังชอ่ื ตามหลักทกั ษาปกรณ์ โกวิท ตั้งตรงจิตร (2552) อธิบายไว้ว่า หลักการตั้งชื่อตามวันเกิดทั้งเจ็ดวัน จะมีการนำ ตัวอักษรไทยมาใช้พิจารณาร่วมกับวันเวลาการเกิด ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลนิยมตั้งชื่อที่เป�นมงคล ตามหลักทักษา โดยคำนึงถึงวันเดือนป� หรือตามเวลาทีเ่ กิดของบคุ คลนั้น ๆ ซึ่งเกจิอาจารย์ชื่อดังส่วนใหญ่ ยึดหลักการตั้งชื่อตามตำราพรหมชาติ แต่กาลเวลาผ่านไปอาจจะไม่ใช้ตามหลักทักษาพิจารณา อาจใช้วัน เวลาที่เกิดเทา่ นน้ั เปน� การพิจารณาในการตั้งช่ือ รุจน์ มัณฑิรา (2543) อธิบายไว้ว่า หลักการตั้งชื่อตามวันเกิดทั้งเจ็ดวันนั้น จะแบ่งเป�นตาม ตัวอักษร สระ หรืออาจจะแบ่งไปตามหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น หมวดมงคล หมวดอัปมงคลหรือเรียกว่าหมวด กาลกิณี ทั้งนี้อาจจะเป�นไปตามอำนาจของคนที่เกิดในแต่ละวัน ซึ่งหลักในการตั้งชื่อนั้น เชื่อว่าชื่อไหนต้ัง แล้วเป�นมงคลก็จะพาชีวิตให้ดีงาม เจริญรุ่งเรือง สมความปรารถนา ประสบผลสำเร็จและความความสุข สบื ไป ส่วนชอื่ หรอื อกั ษร และสระตัวใดทตี่ ง้ั แลว้ ไมถ่ ูกโฉลกกับคนท่ีเกิดทั้งเจ็ดวนั นัน้ ก็ไม่ต้องนำมาต้ังชื่อ เพราะเชื่อว่าอาจจะทำให้ชีวติ ไม่ดี ไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่ว่าจะเป�นด้านการงาน การเรียน หรือแมก้ ระทง้ั พบแต่ความผิดหวังในชีวิตก็ไม่ควรนำมาตั้งเป�นชื่อ โดยตัวอักษรที่ถูกนำไปใช้ในการตั้งชื่อ คือ พยัญชนะต้น และสระในภาษาไทย ซึ่งตัวอักษรไทยทั้งหมดจะไม่ถูกนำมาตั้งในชื่อที่เป�นกาลกิณีแก่คนท่ี เกิดทั้งเจ็ดวันมาตั้งชื่อ เพราะถ้าถูกนำมาตั้งชื่อแล้วจะทำให้ชื่อนั้นเป�น ชื่อที่อัปมงคลของชีวิต โดยรุจน์ มณั ฑริ า ไดอ้ ธบิ ายเก่ียวกบั หลกั กการตัง้ ชอื่ ไว้ ดังนี้
10 ทกั ษา หมายถงึ ดาวพระเคราะห์เฉพาะ 8 ดวงคอื 1. อาทิตย์ (ประจำทศิ อสี าน ใช้เลข 1 แทน) 2. จนั ทร์ (ประจำทิศบูรพา ใชเ้ ลข 2 แทน) 3. อังคาร (ประจำทศิ อาคเนย์ ใช้เลข 3 แทน) 4. พุธ (ประจำทศิ ทกั ษณิ ใช้เลข 4 แทน) 5. เสาร์ (ประจำทิศหรดี ใชเ้ ลข 7 แทน) 6. พฤหัสบดี (ประจำทิศประจมิ ใช้เลข 5 แทน) 7. ราหู (ประจำทศิ พายพั ใชเ้ ลข 8 แทน) 8. ศุกร์ (ประจำทศิ อุด รใช้เลข 6 แทน) ดาวเคราะห์ทัง้ แปดน้ี ประกอบด้วยองค์ประกอบ 8 ประการของทกั ษา คอื 1. บริวาร 2. อายุ 3. เดช 4. ศรี 5. มลู ะ 6. อุตสาหะ 7. มนตรี 8. กาลกณิ ี
11 สําหรับความหมายขององคป์ ระกอบทกั ษาแปดประการ มดี ังต่อไปน้ี บริวาร หมายถึง ทำให้มีบริวารมาก ได้แก่ พรั่งพร้อมไปด้วยบุตรภริยาหรือสามีญาติพี่น้องมิตร เพื่อนฝูงคนสนิทลูกน้องคนงานคนใช้ตลอดจนคนอื่นใดก็ตามที่อยู่ในครอบครัวหรืออยู่ในความอุปการะ ของเรา อายุ หมายถึง ทำให้มีอายุยืนยาวอยู่นานตายช้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความเป�นอยู่สุขสบายสุข กายสุขใจมอี นามยั ดีไมค่ อ่ ยมโี รคภยั ไข้เจบ็ เดช หมายถึง ทำให้ได้อำนาจ มีตำแหน่ง ได้รับแต่งตั้งอยู่ในฐานะที่สูงได้เป�นผู้บังคับบัญชาสั่ง ผ้คู นเป�นคนมีความสามารถอาจหาญมพี ลังในการตอ่ สชู้ ีวติ ศรี หมายถึง ทำให้เป�นคนนา่ รัก มีเสน่ห์ เป�นที่รักของคนทั่วไป ใครเห็นใครรัก ใครเห็นใครชมพา กันนิยมยกย่อง ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ พระช่วยคุ้มให้ได้ดีในชีวิตชีวิตมีความเป�นมงคลมีความสุข ความเจรญิ เรือ่ ยไปทำให้เปน� คนมศี ีลธรรมคณุ ธรรมและทรพั ยส์ ินเงินทอง มูละ หมายถึง ทำให้มีต้นทุนที่ดีในการสร้างฐานะจำต้องมีต้นทุนดีเสียก่อนจึงจะไปรอดต้นทุนท่ี หมายถงึ ไดร้ บั มรดกมีฐานะการเงินดมี ีหนา้ ที่การงานมีคนใหก้ ารสนับสนุนเป�นอย่างดีเมอ่ื คิดจะกระทำการ ใด ๆ ตลอดจนเปน� ผู้มีทนุ ภายในกล่าวคอื มคี ณุ ความดีมคี วามตั้งใจจรงิ เป�นตน้ อุตสาหะ หมายถึง ทำให้มีความขยันหมั่นเพียรเอาจริงเอาจังไม่โละอดทนอดกลั้นต่อสู้กล้าหาญ ไม่เกรงกลัวอุปสรรคไม่หวั่นหวาดขวากหนามเจอป�ญหาไม่ย่นระย่อเจอทุกข์ไม่ท้อใจเผชิญหน้าต่อทุกส่ิง ทุกอยา่ งด้วยหนา้ ท่ีคาบาน มนตรี หมายถึง ทำให้มีสติป�ญญามีความคิดอ่านเฉียบแหลมมีไหวพริบปฏิภาณดีรู้จักเหตุรู้จักผล เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป�นจริงรู้วิธีจัดการบริหาร ปกครองกิจการงานหรือสิ่งทั้งหลายอื่นใดให้สำเร็จลุล่วง ไปด้วยดตี ลอดจนมีทปี่ รึกษามผี คู้ อยใหค้ วามช่วยเหลอื ค้ำจุนหนนุ นำให้สงู ส่งอยตู่ ลอดเวลา กาลกิณี หมายถึงสิ่งที่ไม่ดีไม่ต้องการทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป�นโรคร้ายโชคร้ายศัตรูผู้มุ่งร้าย ความอาภัพอับจนถูกเอารัดเอาเปรียบได้รับทุกข์ด้วยประการใด ๆ ก็ตามอุปสรรคความลำบากลำบน ตลอดจนกเิ ลสในใจตนที่คอยจะบีบคนั้ ให้ไดร้ บั ทกุ ขเวทนาอยู่เนือง ๆ
12 แต่ที่จริงแล้วลำพังเพียงชื่อดีอย่างเดียวคงไม่ทําให้เป�นคนดีขึ้นมา ชื่ออย่างเดียวไม่ทําให้ใคร ร่ำรวยเป�นคนเก่งเป�นคนดีคนเด่นขึ้นมาได้หรอกคนจะเป�นคนเก่งมีความร่ำรวยและเป�นคนดีขึ้นมาได้ก็ ดว้ ยการกระทำคืออยูท่ ี่กรรมของตนนน่ั แหละเป�นสำคญั หลักการตั้งชื่อของวันทั้งเจ็ด เเต่ละวันจะมีอักษรและพยัญชนะ ที่เป�นมงคลและไม่เป�นมงคล อนั ไหนเปน� มงคลก็จะพาชีวติ ใหก้ ้าวหนา้ อันไหนไม่เปน� มงคลกจ็ ะทำใหช้ ีวิตถอยหลงั กไ็ ม่ควรตง้ั ตารางที่ 2.1 ตารางแสดงหลกั การตง้ั ช่ือตามวนั เกดิ หลักการต้งั ช่อื คนเกดิ หลักการตั้งช่ือคนเกิด หลักการต้ังชื่อคนเกดิ หลกั การตั้งช่อื คนเกดิ วนั อาทิตย์ วนั จันทร์ วนั องั คาร วนั พธุ 1. อักษรทใี่ ชต้ ัง้ ชื่อได้ 1. อกั ษรทใี่ ชต้ ัง้ ช่อื ได้ 1. อักษรทีใ่ ชต้ งั้ ชื่อได้ 1. อักษรทใ่ี ชต้ ้งั ชอื่ ได้ อกั ษรวรรค บรวิ าร อกั ษรวรรค บริวาร คือ อกั ษรวรรค บริวาร คือ อกั ษรวรรค บริวาร คอื ได้แก่ สระทัง้ หมด คอื ก ข ค ฆ ง จฉชซฌญ ฎฏฐฑฒณ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ อักษรวรรค อายุ คอื จ อกั ษรวรรค อายุ คอื ฎ อกั ษรวรรค อายุ คอื ด ต ไอ ฉชซฌญ ฏฐฑฒณ ถทธน อักษรวรรค อายุ คือ ก อักษรวรรค เดช คอื ฎ อักษรวรรค เดช คือ ด อักษรวรรค เดช คอื บ ป ขคฆง ฏฐฑฒณ ตถทธน พฟฝภม อกั ษรวรรค เดช คือ จ อกั ษรวรรค ศรี คอื ด อักษรวรรค ศรี คอื บ อกั ษรวรรค ศรี คือ ย ร ฉชซฌญ ตถทธน ปพฟฝภม ลว อักษรวรรค ศรี คือ ฎ อกั ษรวรรค มลู ะ คอื บ อักษรวรรค มลู ะ คอื ย อกั ษรวรรค มลู ะ คอื ศ ฏฐฑฒณ ปพฟฝภม รลว ษสหฬฮ อกั ษรวรรค มลู ะ คอื ด อกั ษรวรรค อตุ สาหะ อักษรวรรค อตุ สาหะ อักษรวรรค มนตรี คอื ก ตถทธน คอื ย ร ล ว คือ ศ ษ ส ห ฬ ฮ ข ค ฆ ง อักษรวรรค อตุ สาหะ อกั ษรวรรค มนตรี คอื อกั ษรวรรค มนตรี คอื 2. อกั ษรทใ่ี ชต้ ้งั ช่ือไม่ได้ คอื บ ป พ ฟ ภ ม ศ ษ ส ห ฬ ฮ สระทัง้ หมด อะ อา อิ อักษรวรรค กาลกิณี คือ อกั ษรวรรค มนตรี คือ อี อุ อู เอ โอ ไอ จฉชซฌญ ยรลว
13 หลักการตงั้ ชอ่ื คนเกิด หลักการตัง้ ช่ือคนเกิด หลกั การตัง้ ชือ่ คนเกดิ หลักการตง้ั ชอื่ คนเกดิ วนั อาทติ ย์ วันจนั ทร์ วนั อังคาร วันพุธ 2. อักษรท่ใี ชต้ ้งั ชื่อ 2. อกั ษรท่ีใชต้ ัง้ ช่อื 2. อกั ษรท่ใี ชต้ ้งั ชื่อ ไม่ได้ ไม่ได้ ไมไ่ ด้ อกั ษรวรรค กาลกิณี อักษรวรรค กาลกิณี อกั ษรวรรค กาลกิณี คอื ศ ษ ส ห ฬ ฮ คอื อะ อา อิ อี อุ อู เอ คอื ก ข ค ฆ ง โอ ไอ ตารางที่ 2.2 ตารางแสดงหลกั การต้งั ชอ่ื ตามวนั เกดิ หลกั การตงั้ ชื่อคนเกดิ หลักการตงั้ ชอ่ื คนเกิด หลักการตงั้ ชอ่ื คนเกิด หลักการตง้ั ชื่อคนเกดิ วนั พุธกลางคนื วนั พฤหสั บดี วันศุกร์ วนั เสาร์ 1. อักษรทใ่ี ชต้ ้ังช่อื ได้ 1. อกั ษรทใี่ ชต้ ง้ั ช่อื ได้ 1. อักษรท่ใี ชต้ ้ังชื่อได้ 1. อกั ษรท่ใี ชต้ ง้ั ช่ือได้ อักษรวรรค บริวาร คือ อักษรวรรค บริวาร คอื อักษรวรรค บรวิ าร คือ อักษรวรรค บริวาร คือ ศษสหฬฮ ดตถทธน อกั ษรวรรค อายุ คือ อกั ษรวรรค อายุ คือ บ ยรลว บปพฟฝภม สระทั้งหมด อะ อา อิ ปพฟฝภม อี อุ อู เอ โอ ไอ อกั ษรวรรค เดช คอื ย อักษรวรรค อายุ คือ ศ อักษรวรรค อายุ คอื ย อักษรวรรค เดช คอื ก รลว ขคฆง อักษรวรรค ศรี คอื ศ ษสหฬฮ รลว อกั ษรวรรค ศรี คือ จ ฉ ษสหฬฮ ชซฌญ อกั ษรวรรค มลู ะ คือ อักษรวรรค เดช คือ อกั ษรวรรค เดช คือ ศ อกั ษรวรรค มลู ะ คอื ฏ สระท้ังหมด อะ อา อิ ฐฑฒณ อี อุ อู เอ โอ ไอ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ษ ส ห ฬ ฮ อักษรวรรค อตุ สาหะ อักษรวรรค มนตรี คือ คอื ด ต ถ ท ธ น จฉชซฌญ ไอ อกั ษรวรรค ศรี คือ อกั ษรวรรค ศรี คือ ก ข สระท้ังหมด อะ อา อิ ค ฆ ง อี อุ อู เอ โอ ไอ อกั ษรวรรค มลู ะ คอื จ อักษรวรรค มลู ะ คอื ก ฉชซฌญ ขคฆง อกั ษรวรรค มนตรี คอื อักษรวรรค อตุ สาหะ ดตถทธน คือ จ ฉ ช ซ ฌ ญ
14 หลักการตัง้ ชือ่ คนเกิด หลกั การตง้ั ชื่อคนเกิด หลักการตง้ั ช่ือคนเกดิ หลกั การต้งั ชื่อคนเกิด วนั พุธกลางคนื วนั พฤหสั บดี วันศกุ ร์ วันเสาร์ 2. อักษรที่ใชต้ ั้งชือ่ อกั ษรวรรค มนตรี คอื อักษรวรรค มนตรี คอื 2. อักษรที่ใชต้ ง้ั ช่ือ ไม่ได้ ไม่ได้ อกั ษรวรรค กาลกณิ ี ฎฏฐฑฒณ บปพฟฝภม อกั ษรวรรค กาลกิณี คอื บ ป พ ฟ ฝ ภ ม 2. อกั ษรทีใ่ ชต้ ัง้ ชือ่ 2. อกั ษรทใี่ ชต้ ั้งชื่อ คอื ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ไม่ได้ ไมไ่ ด้ อักษรวรรค กาลกิณี อักษรวรรค กาลกิณี คอื ด ต ถ ท ธ น คอื ย ร ล ว ตวงธรรม ไญยธรรม (ม.ป.ป.) อธิบายไว้ว่า หลักการต้ังชือ่ จะต้องเลือกภาษาใหถ้ ูกตามหลักภาษา ที่มีทั้งความไพเราะและความหมายเป�นมงคลรวมไปถึงการใช้ภาษาในการเขียนให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป�น เพศชาย หรือ เพศหญิง เกิดวันใดก็ควรมีหลักการตั้งชื่อขึ้นด้วยตัวอักษรที่เป�นมงคลไม่ควรตั้งชื่อขึ้นต้น ตัวอักษรที่เป�นกาลกิณีกับชื่อของตัวเอง ดังนั้นถ้าศึกษาทางหลักภาษาแล้วเราจึงควรศึกษาทาง โหราศาสตรบ์ ้างและการนำหลักการของศาสตรด์ ้านนี้ไปผสมผสานกับหลักทางความหมายที่เป�นชื่อมงคล เพื่อได้รับผลลัพธ์ของชื่อออกมาเป�นชื่อที่มีภาษาที่งดงาม และเป�นสิริมงคลควรค่าแก่ชื่อของผู้ที่ได้รับชื่อ ของตัวเอง การเรยี งลำดับของพยัญชนะ โกวิท ตั้งตรงจิตร (2552) กล่าวไว้ว่า การเรียงลำดับของพยัญชนะ มีการแบ่งออกเป�น 2 แบบ คือ 1. แบ่งตามหมวดหมู่อักษร ก-ฮ และ 2. แบ่งตามเพศ ไม่ว่าจะเป�นเพศชาย หรือหญิงก็จะถูกแบ่งไว้ รวมกบั วันเกดิ ของคนทั้งเจ็ดวัน โดยมีหลกั การแบ่ง ดังนี้ ลำดับแรกจะเป�นหมวดอักษรช่อื ถัดไปจะเป�นคำ อ่านของชื่อ ตามมาด้วยความหมายของชื่อ และเพศต่อเป�นลำดับสุดท้าย ซึ่งเพศนั้นอาจใช้ชื่อร่วมกันได้ ทงั้ เพศชาย และเพศหญิง รุจน์ มัณฑิรา (2543) กล่าวไว้ว่า การเรียงลำดับตามพยัญชนะไทย แบ่งออกเป�นหมวดหมู่ ตัวอักษรมีตั้งแต่ ก-ฮ ตามมาด้วยการเรียงลำดับของสระในภาษาไทย พร้อมทั้งบอกคำอ่านและการแปล ความหมายของชื่อนั้น ๆ ตามหลักทักษาว่าชื่อใดเหมาะสมแก่บุคคลใดตามวันเกิดของตนเอง
15 การเรียงลำดับตามพยัญชนะนั้นสามารถทำให้การค้นหาชื่อเป�นเรื่องที่ง่าย สะดวกและไม่ทำให้เกิดความ สบั สนในการค้นหาชื่อในแตล่ ะบุคคลอกี ดว้ ย จากการศึกษาหลักการตั้งชื่อตามหลักทักษาปกรณ์ ทำให้เห็นทฤษฎีหลักการตั้งชื่อ ดังนี้ 1) การตั้งชื่อตามวันเกิด ที่คำนึงถึงป�จจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป�น หน้าที่การงาน ความเจริญรุ่งเรือง ความเชื่อ ฯลฯ 2) การตั้งชื่อตามตัวอักษร ที่คำนึงถึงความไพเราะ รวมถึงเพศกำเนิด จึงทำให้นำไปสู่ หวั ข้อทฤษฎที จ่ี ะศึกษาตอ่ ไปนี้ บริเวณความหมาย บริเวณความหมาย สุริยา รัตนกุล (2555) อ้างถึงเเนวคิดบริเวณความหมาย (Semantic fields) ว่า เปน� เเนวความคดิ ท่ีถือเป�นเครอื่ งมอื สำคญั ในการศกึ ษาความหมายของนักภาษาศาสตร์ที่เน้นโครงสรา้ ง ซึ่งส่วนมากนักภาษาศาสตร์เป�นชาวเยอรมัน สามารถอ่านรายชื่อได้จากจอร์น ไลออนส์ (John Lyons 1978 : 250) รายชื่อที่สำคัญที่สุดคือ Trier (1934) เเละ Weisgerber (1954) อ้างถึงใน John Lyons, 1978 : 251 ความคิดเรื่องบรเิ วณความหมายนี้ บางคนจะเรยี กทฤษฎีของ ทรเิ อร์ – ไวสเ์ กอรเ์ บอร์ (Trier – Weisgerber theory) ในการศึกษาศึกษาเเนวคิดของ ริเอร์ – ไวส์เกอร์เบอร์ (Trier – Weisgerber theory) มีเเนวคิดการศกึ ษาเรอ่ื งบริเวณความหมายดังนี้ เเนวคิดเรื่องบริเวณความหมายของ ริเอร์ – ไวส์เกอร์เบอร์ (Trier – Weisgerber theory) คือ ความคิดเกี่ยวกับวงคำศัพท์ของบริเวณความหมาย ถ้าคำในภาษามีความหมาย นั่นคือ เราพิจารณาว่า คำศัพท์นั้นอยู่ในบริเวณความหมาย ซึ่งผู้เขียนคิดว่าอาจจะเป�นเร่ืองจริง เพราะการที่เราคิดคำศัพท์ขึ้นมา เราก็ต้องมีบริเวณความหมายของคำศัพท์เหล่านั้นให้อยู่ในหมวดวงคำศัพท์ที่มีความหมายเดียวกัน ส่วน คำศพั ์ท่เี ราคิดขึ้นมา เช่น กระตวบ อาราเเล เเอ๋ง ฯลฯ ซึ่งเปน� คำที่ไม่มคี วามหมายน่นั ก็คอื คำศัพท์เหล่าน้ี ไม่มีบริเวณความหมายที่ใช้ได้นั่นเอง ในเรื่องของทฤษฎีบริเวณความหมายที่ทริเอร์เเสดงนั้น นิยมยกตัวอย่างบริเวณความหมายที่เป�นนามธรรม เช่น บริเวณความหมายเรื่องความฉลาด ความเข้าใจ ความงาม หากผู้สนใจรายละเอียดสามารถศึกษาได้จาก John Lyons : 250 – 261 ซึ่งผู้เขียนจะนำเเนว คิดทฤษฎีไปทดลองใช้ดูบ้าง เเต่ในการทดลองนั้นจะต้องมีความระมัดระวังเพราะเราจะต้องคำนึงถึง กาลเวลาที่จะศึกษา เช่นจะศึกษาในเวลาป�จจุบัน อดีต หรือศึกษาในหลาย ๆ กาลเวลา เเล้วนำมา เปรียบเทียบกัน เพราะเเต่ละสมัยหรือกาลเวลาย่อมมีการเปลี่ยนเเปลง วงคำศัพท์บริเวณความหมายก็
16 ย่อมมีการเปลี่ยนเเปลงไปด้วย เราจึงควรระมัดระวังในการศึกษาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เเน่นอนเด่นชัดเเละ น่าเชื่อถอื เพือ่ นำไปตอ่ ยอดตอ่ ไปในอนาคต จากการศึกษาทฤษฎีแนวคิดของบริเวณความหมาย ทำให้เห็นถึงวงคำศัพท์ ซึ่งจะต้องคำนึงถึง บริเวณความหมายของคำศัพท์เหล่านั้น เพราะหากวงคำศัพท์นั้น ไม่มีกลุ่มบริเวณความหมาย ก็จะไม่ สามารถจัดวงคำศัพท์ให้อยู่ในกลุ่มบริเวณความหมายนั้นได้ และควรคำนึงถึงวิธีการค้นหาข้อมูลที่มี ความระมัดระวัง เพื่อที่จะได้ข้อมูลที่มีความแน่นอนเด่นชัดและน่าเชื่อถือเพื่อนำไปต่อยอดในอนาคต จากทีก่ ล่าวมาข้างต้น ทำใหค้ ณะผู้วิจัย ได้ศึกษาหวั ขอ้ ทฤษฎที ี่เชือ่ โยงนำไปส่หู ัวขอ้ ตอ่ ไปนี้ การจัดกลุ่มทางความหมาย โอฬาร รตั นภักดี และวิมลศริ ิ กลน่ิ บุบผา (2551) ได้อธิบายการจัดกล่มุ ทางความหมายไว้ว่า เป�น การอธิบายความหมายขององค์ประกอบของคำ และคำไม่ได้อยู่อย่างลำพัง หากศึกษาความหมายของคำ จะต้องเข้าใจบริบทของคำนั้นด้วย โดยการที่มองลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้นและนำมาเปรียบเทียบ ยกตัวอย่าง เช่น “นกกระจอกเทศคอยาวเหมือนยีราฟ” ดังนั้นสัตว์สองชนิดนี้จึงจัดได้ว่าอยู่ใน กลุ่มความหมายเดยี วกัน ผู้ช่วยศาสตราจารปุณย์จรีย์ สรสีสม ในเอกสารประกอบการสอนวิชาภาษาศาสตร์สำหรับ ครูภาษาไทย ได้กล่าวไว้ว่า การจัดกลุ่มทางความหมายเป�นการจัดกลุ่มของคำที่มีความหมายเดียวกัน มา ไวใ้ นหมวดเดยี วกัน ยกตัวอยา่ งเช่น สุนขั และแมว โดยคำที่กล่าวมาน้ันหากนำมาเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่า สัตว์ทั้งสองชนิดนี้มีความเหมือนกันคือ ขนาดตัวที่ใกล้เคียงกันและจำนวนขาที่เท่ากัน ดังนั้นคำทั้งสองคำ นีจ้ งึ จดั ได้วา่ อยู่ในกลุ่มทางความหมายเดยี วกัน จากการศึกษาการจัดกลุ่มทางความหมาย พบว่า องค์ประกอบของคำ จะต้องคำนึงถึงบริบทของ คำนั้นด้วย เพื่อที่จะได้จัดความหมายได้ชัดเจน และนอกจากนี้การจัดกลุ่มความหมาย มักจะจัดกลุ่มของ คำที่มีความหมายเดียวกันไว้ในหมวดเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เพื่อให้เห็นถึงภาพรวม และเห็นถึง ความแตกต่างในการจัดกลุ่มทางความหมาย และง่ายต่อการวิเคราะห์ความหมายของคำ จากแนวคิด ทฤษฎที ีส่ รุปมาขา้ งตน้ ทำให้นำไปส่หู ัวขอ้ ท่ีจะศึกษาไดต้ ่อไปนี้
17 ความสมั พันธท์ างความหมาย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปุณย์จรีย์ สรสีสม ในหนังสือเรียนวิชาภาษาศาสตร์สำหรับครูภาษาไทย ได้ อ้างถึงทฤษฎีของนักภาษาศาสตร์ชาวเยอรมัน Trier ว่า คำแต่ละคำในภาษานั้นไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว แต่จะ จับกลุ่มรวมกันกับคำอื่นเพื่อให้เกิดความหมาย นอกจากนั้นกลุ่มทางความหมายแต่ละกลุ่ม ยังสามารถมี ความสัมพันธ์กับกลุ่มอื่น ๆ รวมกันเป�นองค์ประกอบทางความหมาย กล่าวคือ คำเพียงหนึ่งคำอาจไม่ สามารถเข้าใจความหมายได้ แตห่ ากนำคำหลาย ๆ คำมาเปรียบเทยี บกัน กจ็ ะทำให้เข้าใจความหมายของ คำแต่ละคำได้ชดั เจนยิง่ ขน้ึ จากการศึกษาทฤษฎีความสัมพันธ์ทางความหมาย แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคำ ที่มี ความสมั พันธก์ ับความหมาย เพราะคำ ตอ้ งมีการรวมกันกับคำหลาย ๆ คำ เพือ่ ให้เกดิ ความหมาย คำจึงมี ความสำคญั เพราะจะทำให้ความหมายมคี วามสมบรู ณ์ เป�นตน้ งานวจิ ยั ที่เก่ยี วข้อง ไศลรัตน์ อิสระเสนีนีย์ (2546) ได้ศึกษาและวิเคราะห์ลักษณะทางเสียงและความหมายในการ ตั้งชื่อจริงของนักเรียนว่ามีความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวของตนเองมากน้อยเพียงใด มีการเก็บข้อมูล โดยการแจกแบบสอบถามให้กับกลุ่มตัวอย่างที่เป�นนักเรียน และใช้วิธีโทรศัพท์สัมภาษณ์เก็บข้อมูลกับ ผู้ปกครอง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ชื่อจริงของบิดามารดากับบุตร และบุตรกับบุตร แสดงความสัมพันธ์ในเรื่องเสียงมากกว่าความหมาย นอกจากนี้ยังพบว่า ลักษณะภาษาที่ใช้ในการตั้งชื่อ จริงจะแตกต่างกันไปตามเพศ ตั้งตามเพศที่เหมือนกัน มารดาสัมพันธ์กับบุตรหญิง บิดาสัมพันธ์กับ บุตรชาย ในเรื่องรูปแบบทางเสียงพบว่า ชื่อจริงของบิดามารดากับบุตร มีความสัมพันธ์ประเภทเสียงและ พยัญชนะเดียวกัน บุตรกับบุตรมีความสัมพันธ์แบบพยางค์เดียวกัน ในด้านความหมายพบว่า ชื่อจริงของ บิดากับบุตรชายมคี วามหมายวา่ อำนาจ ชยั นะ ชอื่ ของมารดากับบตุ รหญงิ มีความหมายวา่ ความงาม สวพร บุญญผลานันท์, สิริวรรณ นันทจันทูล และสุรสิทธิ์ ไทยรัตน (ม.ป.ป.) อธิบายว่า ชื่อ เป�น สงิ่ ท่ีสำคญั สามารถระบจุ งเจาะชือ่ ในแตล่ ะตวั บุคคลน้นั ๆ รวมไปถงึ สตั ว์ และสรรพส่งิ ตา่ ง ๆ ในโลกต่างมี ชื่อเรียกเฉพาะตัวตนของตนเองทั้งนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการเรียกชื่อ และยังสามารถสะท้อน การแสดงออกให้เห็นถึงตัวตน ลักษณะนิสัย อีกทั้งบุคลิกภายนอกของแต่ละบุคคล สัตว์ และสรรพสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นชื่อจึงเป�นสิ่งที่จำเป�น และสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนไทยในอดีตจนถึงป�จจุบัน ซึ่งหลักการ ตั้งชื่อนั้น มีทั้งหลักทักษาปกรณ์ และหลักความเชื่อ จากกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษามาทั้งหมด พบว่าคนที่เกิด
18 วันอาทิตย์ เพศชายส่วนใหญ่มักใช้ตัวอักษรในช่อง เดช นำหน้า ส่วนเพศหญิงส่วนใหญ่มักใช้ตัวอักษรใน ช่องอุตสาหะนำหน้า แตใ่ นตัวอกั ษรชอ่ งกาลกณิ ี น้นั ไม่ปรากฎในการนำมาตง้ั ช่ือ วริ ชั ศิรวิ ัฒนะนาวิน (2544) ได้สรปุ ไวว้ ่า การวิจยั ในครั้งน้มี ีวตั ถุประสงค์เพอ่ื ศกึ ษาการต้ังชื่อของ คนไทยในแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งผลการวิจัยพบว่าความเป�นมาของการตั้งชื่อของคนไทยสอดคล้องกับค่านิยม และความเชือ่ ของคนไทยมาตลอดทกุ ยคุ สมยั ผตู้ งั้ ชอ่ื อาจได้แก่ บดิ ามารดา พระภกิ ษุ ญาติผู้ใหญ่ ผรู้ ู้ หรอื ผทู้ เี่ ก่ยี วขอ้ งกับการเกดิ ของเดก็ โดยส่วนใหญบ่ ดิ ามารดาจะเปน� ผู้ตัง้ ชื่อให้ ในเรือ่ งความสมั พันธข์ องบคุ คล ในครอบครัวเดียวกันพบว่ามีความสัมพันธ์ประเภทความสัมพันธ์ทางเสียง ความสัมพันธ์ทางพยางค์ ความสัมพันธ์ทางคำ และความสัมพันธ์ทางความหมาย โดยกลุ่มอายุน้อยมีแนวโน้มว่าจะตั้งชื่อบุคคลใน ครอบครวั ใหม้ ีความสัมพันธ์กนั มากข้นึ งานวิจัยในครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้นำแนวคิดเชิงอรรถศาสตร์และนำมาวิเคราะห์ชื่อนักศึกษา สาขาวิชาภาษาไทย เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางความหมายและหาความสัมพันธ์ระหว่างชื่อในแต่ละ บคุ คลว่ามีความเกย่ี วขอ้ งกับวัฒนธรรมสังคมไทยได้อย่างไร
19 บทที่ 3 วิธกี ารดำเนินการวจิ ัย การวิจัย เรื่องอรรถวิเคราะห์ชื่อนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ที่ 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง มีวัตถุประสงค์ เพื่ออธิบายพัฒนาการการตั้งชื่อของแต่ละบุคคล วิเคราะห์แนวคิดองค์ประกอบทางความหมายของชื่อนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ที่ 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง และวิเคราะห์แนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างภาษา กับภาพสะท้อนสังคมวัฒนธรรมไทยจากชื่อนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ที่ 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง การวิจัยในครั้งนี้คณะผู้วิจัยใช้วิธีเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) ใช้เครื่องมือแบบบันทึกอรรถวิเคราะห์ชื่อนักศึกษา สาขาวิชาภาษาไทย เพื่อหาความสัมพันธ์ ทางภาษาและภาพสะท้อนของสังคมไทย โดยมวี ธิ ดี ำเนินการวจิ ยั ดังนี้ 1. ประชากร และกลมุ่ ตัวอยา่ ง 2. รูปแบบในการวิจยั 3. ข้อมูลท่ีใชใ้ นการวิจยั 4. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 3. เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 5. การตรวจสอบข้อมูล 6. การจัดระบบขอ้ มลู 7. การสรา้ งแบบแผนของขอ้ มลู 8. การสรา้ งข้อสรุป
20 ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง ประชากร คือ จำนวนนักศึกษาสาขาภาษาไทย 5 ชั้นป� รุ่น 61-65 ซึ่งผู้วิจัยคัดเลือกแบบเจาะจง เพื่อนำมาเป�นกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ที่ 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมบู่ ้านจอมบงึ จำนวน 50 คน รปู แบบในการวิจยั รูปแบบในการดำเนินการวิจัย เรื่อง “อรรถวิเคราะห์ชื่อนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ท่ี 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง” คณะผู้วิจัยได้ใช้วิธีการเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยไดด้ ำเนินการศกึ ษาขน้ั ตอนการวจิ ยั ดงั น้ี 1.1 กระบวนการวจิ ยั และการทำงาน ประกอบด้วย - วางแผนเลอื กหัวขอ้ งานวจิ ยั - สืบค้นขอ้ มูลและงานวิจัยท่ีเกยี่ วขอ้ ง 1.2 ประชมุ เพื่อเตรียมความพรอ้ มและแลกเปลี่ยนเรียนร้กู ารเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1.3 ประสานกับอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย เพื่อชี้แจงกลุ่มเป้าหมาย แนวทาง วัตถุประสงค์ เครอื่ งมอื ในการเก็บข้อมูล และประโยชนท์ ี่คาดว่าจะไดร้ ับจากการวจิ ัย 1.4 สร้างเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกอรรถวิเคราะห์ชื่อนักศึกษา สาขาวิชา ภาษาไทย 1.5 ดำเนินการจัดเก็บข้อมูล โดยคณะผู้วิจัยได้นำรายชื่อนักศึกษาชั้นป�ที่ 2 และ 3 สาขาวิชา ภาษาไทยมาวิเคราะห์องค์ประกอบทางความหมาย จากนั้นนำผลการรวบรวมข้อมูลมาจัดกลุ่มคำ ทางความหมาย 1.6 ประชุมทีมวิจัยเพื่อติดตามผลการดำเนินงาน เก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล เรียบเรียงและจดั พมิ พเ์ ป�นเอกสารฉบับรา่ ง 1.7 สรุปและรายงานผลการดำเนินการศึกษา โดยคณะผู้วิจัยได้จัดทำสรุปรายงานการรวบรวม และจดั เกบ็ ขอ้ มลู องค์ประกอบทางความหมายประกอบด้วยข้อมูลท่ีเป�นเน้อื หาสาระ การวิเคราะห์รายชื่อ
21 ของนักศึกษาชั้นป�ที่ 2 และ 3 สาขาวิชาภาษาไทย และบันทึกข้อมูลภาพสะท้อนความสัมพันธ์ทางภาษา และสงั คมวฒั นธรรมไทย ขอ้ มูลตารางพรอ้ มคำอธิบาย ขอ้ มูลทใ่ี ช้ในการวิจยั แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยเก็บรวบข้อมูลจากเอกสาร และแบบบันทึกอรรถ วิเคราะหช์ ือ่ นกั ศกึ ษา สาขาวชิ าภาษาไทย ได้แก่ 2.1 เอกสารปฐมภูมิ (Primary Source) คือ รายชื่อนักศึกษาช้ันป�ที่ 2 และ 3 สาขาวิชา ภาษาไทย จากสำนักงานวชิ าการ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏหมู่บา้ นจอมบงึ 2.1 เอกสารทุตยิ ภูมิ (Secondary Source) เป�นเอกสารทีร่ วบรวม สรุป และจดั หมวดหมู่มาจาก หนังสือ ซึ่งมีเนื้อหาวิเคราะห์องค์ประกอบทางความหมาย ได้แก่ ความเป�นมาของการตั้งชื่อคนไทย การ ตั้งชื่อตามสภาพของสังคมไทย หลักการตั้งชื่อตามหลักทักษาปกรณ์ บริเวณความหมาย การจัดกลุ่มทาง ความหมาย ความสัมพันธท์ างความหมาย การเก็บรวบรวมข้อมูล งานวิจัย “อรรถวิเคราะห์ชื่อนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ที่ 2 และ 3 ป�การศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง” คณะผู้วิจัยเลือกใช้วิธีที่เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อให้ได้ ขอ้ มูลรายละเอยี ดทต่ี ้องการ โดยข้ันตอนการเก็บรวบรวมข้อมลู มี ดงั นี้ 3.1 การทบทวนกรอบแนวคิดตั้งต้นในการวิจัย การทบทวนประเด็นเกี่ยวกับการวิเคราะห์ องคป์ ระกอบทางความหมาย และกำหนดเครือขา่ ยประเดน็ ทศ่ี ึกษาตามวตั ถปุ ระสงค์ 3.2 การสรา้ งตารางเกบ็ ขอ้ มลู 3.3 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยใชว้ ิธีการวเิ คราะห์ขอ้ มลู จากลกล่มุ ตัวอยา่ ง
ข้ันตอนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู สรุปเปน� แผนภูมิ ไดด้ ังน้ี 22 วางแผนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู • วิเคราะหป์ �ญหาการวจิ ยั การเร่มิ ตน้ เก็บรวบรวม • จัดทำประเดน็ การเกบ็ ขอ้ มลู • สร้างความเข้าใจแก่นกั วิจัย เริ่มเก็บรวบรวม • รวบรวมข้อมลู รายช่อื • วิเคราะหข์ อ้ มลู • สะทอ้ นความสัมพนั ธ์ภาษา และสังคมวฒั นธรรมไทย สิ้นสดุ การเริม่ เก็บรวบรวม • ขอ้ มลู อิม่ ตวั • ทำผงั ขอ้ มลู แผนภูมิที่ 1 : ขน้ั ตอนการเก็บรวบรวมข้อมลู การวเิ คราะหข์ อ้ มลู คณะผจู้ ดั ทำวิเคราะหข์ ้อมลู โดยพิจารณาจากวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั 3 ข้อ คอื 1. รวบรวมรายชือ่ นกั ศกึ ษาชน้ั ปท� ี่ 2 และ 3 สาขาวิชาภาษาไทย จำนวน 50 คน 2. วิเคราะห์องค์ประกอบทางความหมายจากรายชื่อนักศึกษาชั้นป�ที่ 2 และ 3 สาขาวิชา ภาษาไทย 3. สังเคราะหภ์ าพสะทอ้ นความสมั พันธ์ภาษาและสังคมวัฒนธรรมไทย ขนั้ ตอนการวิเคราะห์ขอ้ มูลกำหนดไว้ดังตอ่ ไปนี้ 1. การตรวจสอบขอ้ มูล 2. การจดั ระบบขอ้ มลู 3. การสร้างข้อสรุป
เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการวิจยั ตารางท่ี 3.3 : แบบบนั ทึกอรรถวเิ คราะหช์
23 ชอื่ นักศกึ ษา สาขาวชิ าภาษาไทยชนั้ ปท� ่ี 2
24
ตารางท่ี 3.4 : แบบบันทกึ อรรถวิเคราะหช์
25 ชอื่ นักศกึ ษา สาขาวชิ าภาษาไทยชนั้ ปท� ่ี 3
26
27 การตรวจสอบขอ้ มลู ในการวิจัยครัง้ น้ี หลังจากได้ศกึ ษาจากเอกสาร (Documentary Research) ซึง่ ไดแ้ นวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงได้สร้างแบบบันทึกซึ่งใช้เป�นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดย นำเสนอแบบบันทกึ ที่สร้างข้ึนให้ผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบ เพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องหลังจากน้ันจึงนำ แบบบันทึกไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษา หลังจากทำการเก็บรวบรวมข้อมูล คณะผู้วิจัยจะทำจดบันทึกและตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและสมบูรณ์โดยใช้วิธีการ ตรวจสอบขอ้ มลู แบบสามเสา้ ดา้ นทฤษฎี การจัดระบบข้อมลู การจดั ระบบข้อมลู ดำเนินการดงั ต่อไปน้ี 1. จำแนกกลุ่มขอ้ มลู เปน� หมวดหมูต่ ามประเด็นทศ่ี กึ ษา โดยแบ่งระบบหมวดหมตู่ ามวัตถปุ ระสงค์ 2. จัดกล่มุ ของข้อมูล (clustering) จากความคล้ายคลงึ กันของขอ้ มูล 3. การจัดประเภทข้อมูล (categorizing) โดยการรวมข้อมูลที่คล้ายคลึงกันเป�นประเภทของ ข้อมูล ตามความสัมพันธ์เกีย่ วขอ้ งกนั ของแต่ละสว่ น การสรา้ งแบบแผนของขอ้ มลู การสรา้ งแบบแผนของขอ้ มลู ดำเนนิ การดังน้ี การสร้างแบบแผนของข้อมูล (patterning) หมายถึง ข้อความที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง ข้อมูลที่จัดประเภท ที่แสดงถึงความเข้าใจมโนคติและการให้ความหมายของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามท่ี ผ้วู จิ ัยสนใจศกึ ษา การสรา้ งข้อสรุป การสร้างข้อสรุป คณะผู้วิจัยจะนำแบบแผนย่อย ๆ ที่ได้สร้างไว้มาเชื่อมโยงกันเพื่อเป�นบทสรุป ตอบป�ญหาการวิจัย ในลักษณะของชุดคำอธิบายที่เข้าใจได้ เพื่อเป�นข้อค้นพบและข้อสรุปตาม วัตถปุ ระสงคแ์ ละคำถามการวิจัย ซ่ึงจะนำไปเขยี นในรายงานการวจิ ัยตอ่ ไป
สรุปขน้ั ตอนการวเิ คราะห์ขอ้ มูลได้ดงั ต่อไปน้ี 28 การตรวจสอบขอ้ มลู • ตรวจสอบทฤษฎี การจัดระบบข้อมลู • จำแนกหมวดหมู่ • จัดกลมุ่ ข้อมลู (coding) การสรา้ งแบบแผนขอ้ มลู • จดั ประเภท (categorizing) การสรา้ งข้อสรปุ แผนภมู ิที่ 2 : ข้นั ตอนการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลท่ีตอบวตั ถปุ ระสงคข์ องการการวิจยั 3 ประการ จะกลา่ วถึงในบทตอ่ ไป
29 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบทางความหมาย จากการรวบรวมข้อมูลของคณะผู้วิจัยในหัวข้อ “อรรถวิเคราะห์ชื่อนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ชั้นปท� ี่ 2 และ 3 ป�การศกึ ษา 2565 มหาวิทยาลยั ราชภัฏหมูบ่ ้านจอมบึง” โดยคณะผู้วิจยั ได้สรา้ งเครือ่ งมอื แบบบันทึกอรรถวิเคราะห์ชื่อนักศึกษา สาขาภาษาไทย ซึ่งประกอบไปด้วยรายชื่อนักศึกษาชั้นป�ที่ 2 และ 3 ขอ้ มลู ท่ีได้จากแบบบันทึกสามารถนำมาวเิ คราะห์ได้ตามหวั ข้อดังต่อไปน้ี คือ การวิเคราะห์ตารางบันทึก ความหมายของชื่อนักศึกษาชั้นป�ที่ 2 และ 3 และการวิเคราะห์ตารางแบบบันทึกอรรถวิเคราะห์ ชื่อนักศึกษา สาขาวิชาภาษาไทยชั้นป�ที่ 2 และ 3 อีกทั้งคณะผู้วิจัยได้ทำการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมา วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาษาที่มีอิทธิพลต่อการตั้งชื่อของคนไทย โดยจะแบ่งเป�นคำไทยแท้ผสม ภาษาบาลี-สันสฤต ภาษาบาลี-สันสฤต และภาษาอาหรับ ซึ่งภาษามคี วามสัมพันธ์กับสังคมวัฒนธรรมไทย ทางคณะผ้วู ิจยั ไดศ้ กึ ษากลมุ่ ตวั อย่างจากรายข่ือนักศกึ ษาชน้ั ป�ท่ี 2 และ 3 ปก� ารศึกษา 2565 มหาวทิ ยาลัย ราชภัฏหมู่บ้านจอมบงึ จำนวน 50 รายช่ือ การวเิ คราะหค์ วามหมายของช่ือนักศกึ ษาช้ันป�ที่ 2 และ 3 จากการค้นคว้าข้อมูลมาเขียนตารางบันทึกความหมายของชื่อนักศึกษาชั้นป�ที่ 2 และ 3 โดยคณะผวู้ ิจัยได้นำเสนอในรปู แบบตาราง เพอ่ื ใหง้ า่ ยตอ่ การวเิ คราะหช์ อ่ื ของแตล่ ะบคุ คล ตารางท่ี 4.5 ตารางแสดงความหมายของชอ่ื นกั ศึกษาชน้ั ป�ท่ี 2 ลำดับ ช่อื -สกลุ ความหมาย 1 นางสาวกานต์ชุดา สว่างชน่ื กานต์ = น่ารัก, ชดุ า = สวา่ งเรอื งรอง 2 นางสาวขวญั ฤทยั ขาวลว้ น ขวญั = สิรมิ งคล, ฤทัย = ดวงใจ 3 นางสาวจารณุ ี ลครศรี จารุณี = ผหู้ ญงิ ท่งี ดงาม 4 นางสาวจีรวรรณ พรมสาร จรี ะ = ความยั่งยืน, วรรณ = ผิวพรรณ 5 นางสาวณฏั ฐธิดา สงิ หค์ ำปอ้ ง ณัฏฐ = ความรู้, ธดิ า = หญิงสาว 6 นางสาวณัฏฐนันท์ จันทรป์ าน ณัฏฐ = ความรู้, นันท์ = ยินดี 7 นางสาวณัฐธิดา มหาทรพั ย์ ณฐั = นักปราชญ,์ ธิดา = หญิงสาว 8 นางสาวฑิตฐติ า ศรีเมอื ง ฑติ ฐติ า = ผมู้ คี วามรอบรู้ 9 นางสาวธัญชนก เซบิ รมั ย์ ธญั = โชคดี, ชนก = ผใู้ หก้ ำเนดิ 10 นางสาวบุษกร ทรพั ยส์ บื บษุ = ดอกไม้, กร = ผสู้ รา้ ง บ่อเกิด 11 นางสาวป�ยบุตรี พรหมมา ปย� = ทรี่ กั , บตุ รี = ลกู ผู้หญงิ
ลำดับ ชื่อ-สกลุ 30 12 นายพัฒนะ บริบรู ณ์ 13 นางสาวภทั รวดี มงุ่ งาม ความหมาย 14 นางสาวมณฑนา รกั ษท์ อง พฒั นะ = ความเจริญ 15 นางสาวรนิ รดา จนั เขียว ภทั ร = เจรญิ รงุ่ เรือง ประเสริฐ งาม, วดี = หญงิ สาว 16 นางสาววิมลนนั ท์ ภาคบงกช มณฑนา = เคร่อื งประดับ 17 นางสาววีร์สดุ า นำพา รินรดา = ผ้ยู ินดี 18 นางสาวศจุ นิ ทรา กัลยาไสย์ วมิ ล = ปราศจากมลทนิ , นันท์ = ยนิ ดี 19 นางสาวสุชาดา เกตุนิล วีร์ = ผกู้ ลา้ นกั รบ, สดุ า = ลกู สาว 20 นางสาวสุดารัตน์ วิชัยวงษ์ ศุจนิ = ความบรสิ ุทธ์ิ, ทรา = แผน่ ดิน 21 นางสาวสธุ นิ ี ซยุ้ วงษา สุชา = ผมู้ ชี าติกำเนิดด,ี ดา = ผู้หญงิ 22 นางสาวสมุ าลี มีทอง สุดา = ลกู สาว, รตั น์ = แก้ว 23 นางสาวสวุ ิมล พูนทรพั ย์ สธุ ินี = นกั ปราชญ์ 24 นางสาวหทยั รัต ตน้ิ ระนอง สุ = ดี, มาลี = ดอกไม้ 25 นายอนวุ ตั ร บุญพรง้ิ สุ = ดี, วมิ ล = ปราศจากมลทิน หทัย = ใจ, รตั = แก้ว อนุ = ภายหลงั , วัตร = ปฏบิ ัติ ตารางที่ 4.6 ตารางแสดงความหมายของช่อื นกั ศกึ ษาชนั้ ป�ที่ 3 ลำดับ ชอื่ -สกลุ ความหมาย 1 นายกิตตพิ งศ์ แซค่ ู กติ ติ = คำล่ำลอื คำสรรเสรญิ , พงศ์ = เช้อื สาย เทอื กเถา เหลา่ กอ 2 นางสาวชนากานต์ สรา้ งการนอก ชนา = ผู้คน, กานต์ = ที่รัก 3 นางสาวญาดา เหย้ี มหาญ ญาดา = ผมู้ ปี ญ� ญา 4 นายธนภทั ร พันเปรม ธน = ทรัพยส์ นิ , ภัทร = เจรญิ รุ่งเรือง ประเสรฐิ ดีงาม 5 นางสาวธนภทั ร ทรงพลนภจร ธน = ทรัพยส์ นิ , ภัทร = เจรญิ รงุ่ เรือง ประเสรฐิ ดีงาม 6 นางสาวธิดารตั น์ ศักดิป์ รีชา ธดิ า = ลกู สาว, รตั น์ = แก้ว 7 นางสาวเบญจพร ฉวศี ักด์ิ เบญจ = หา้ , พร = ประเสรฐิ 8 นางสาวปรญิ ญา จำป�หอม ปริญญา = ความกำหนดรู้, ความหยงั่ รู้ 9 นายนพวินท์ รอดแก้ว ผปู้ ระสบพบเจอแตส่ ่ิงดี ๆ 10 นางสาวนรู สู สาวาณี อะสนั แสงแหง่ ความเสมอภาค
31 ลำดบั ชอื่ -สกุล ความหมาย 11 นายพุทธินนั ท์ ศรีวิชัย พุทธิ = ความฉลาด, นนั ท์ = ยินดี ความสำราญ 12 นางสาวพยิ ดา โกมาลย์ พิย = ผเู้ ปน� ทร่ี ัก, ดา = ผู้หญงิ 13 นางสาวพรชติ า พรมบญุ พร = ประเสรฐิ , ชติ า = ผชู้ นะด้านความดี 14 นางสาวพรทิพย์ สิรพิ ฒั นาสมบตั ิ พร = ประเสรฐิ , ทพิ ย์ = เปน� ของเทวดา 15 นางสาววรินทร เชือกรมั ย์ วรนิ ทร = ผเู้ ปน� ใหญ่ 16 นางสาววมิ ลภา ชารนิ ทร์ วมิ ล = ผบู้ รสิ ทุ ธ์ิสะอาด, ภา = แสงสว่างรัศมีบริสุทธ์ิ 17 นายววิ ัฒน์ เต็มศิริ วิวฒั น์ = วเิ ศษ 18 นายวัชรพล แซโ่ คว้ วชั รพล = ผมู้ กี ำลงั 19 นางสาวสิริยากร วงศพ์ ุฒ สริ ยิ ากร = มงิ่ ขวัญ 20 นางสาวสุทัตตา สเี กตุ สุทัตตา = ประทานมาดีแล้ว เกิดมาดี 21 นางสาวสุพญิ ยา พวงทอง สพุ ญิ ยา = ผู้รใู้ นสิ่งที่ดงี าม 22 นางสาวสภุ าภรณ์ สดุ สังข์ สุ = ดี, ภา = แสงสวา่ งรัศมบี รสิ ทุ ธ์ิ, ภรณ์ = ประเสรฐิ 23 นางสาวอนิ ทริ า หงษ์รุ่งเรืองชยั อนิ ทิรา = พระนางลกั ษมี 24 นางสาวอินทริ า สบื สขุ อินทริ า = พระนางลักษมี 25 นายฮาซนั สะมะแอ ฮาซัน = ความดีงาม จากตารางความหมายของชื่อนักศึกษาชั้นป�ท่ี 2 และ 3 จำนวน 50 รายชื่อมีความแตกต่างกันใน เรือ่ งของภาษาท่ีนำมาตัง้ ช่อื โดยส่วนมากจะเป�นภาษาบาล-ี สันสกฤตจำนวน 47 คน ไดแ้ ก่ ธัญชนก สวุ มิ ล พุทธินันท์ เป�นต้น คำไทยแท้ปนภาษาบาลี-สันสกตจำนวน 1 คน คือ ขวัญฤทัย ซึ่งคำว่า “ขวัญ” นั้นเป�น คำไทยแท้ที่รวมกับคำว่า “ฤทัย” ที่เป�นคำมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต อีกทั้งยังพบชื่อที่มาจากภาษา อาหรับ จำนวน 2 คน ได้แก่ นูรูสสาวาณี และฮาซัน ซึ่งเมื่อหากนำมาทำการแยกความหมายทีละคำ จะ เห็นได้ว่าชื่อแต่ละบุคคลในบางคำมีความหมายที่เหมือนกันและสามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกันได้ จึง เปน� ที่มาในการสรา้ งตารางแยกองคป์ ระกอบทางความหมายดงั หัวข้อต่อไปนี้ การวิเคราะหต์ ารางแบบบนั ทึกอรรถวเิ คราะห์ช่อื นกั ศกึ ษาช้ันป�ท่ี 2 และ 3 จากการวิเคราะห์ขอ้ มูลจากแบบบนั ทึกอรรถวิเคราะห์ชอ่ื นักศกึ ษา สาขาภาษาไทยชั้นปท� ่ี 2 และ 3 ทำให้สามารถแยกองคป์ ระกอบและจัดหมวดหมทู่ างความหมายของชื่อนกั ศึกษาได้ดงั ตารางตอ่ ไปนี้
ตารางที่ 4.7 แบบบันทกึ อรรถวเิ คราะห
32 หช์ อื่ นกั ศึกษา สาขาภาษาไทยชนั้ ป�ท่ี 2
33
ตารางที่ 4.8 แบบบันทกึ อรรถวเิ คราะห
34 หช์ อื่ นกั ศึกษา สาขาภาษาไทยชนั้ ป�ท่ี 3
Search