82 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 ตารางท่ี 3.3 ตารางเปรยี บเทียบระบบสารสนเทศปจั จยั TPS MIS DSS ปจั จัย TPS MIS DSS มโี ครงสร้าง ประเภทของการ ไม่มีโครงสร้าง กึง่ มโี ครงสร้าง ผบู้ ริหารระดับสูง ตัดสนิ ใจ จากภายในและ ผูใ้ ช้ ระดับปฏบิ ัติการ ผู้บรหิ ารระดับกลาง ภายนอก ใช้ model ในการ ฐานขอ้ มูล งานธรุ กรรมหรืองาน ดงึ ข้อมูลจากฐานข้อมลู วิเคราะห์ ประจา รปู แบบยดื หยุ่นตาม การประมวลผล ดาเนินการประมวลผล ดึงขอ้ มลู จากฐานข้อมูลมา ความต้องการ มี ลกั ษณะตอบโต้ได้ เปน็ ระยะๆ เช่น ทกุ วัน ประมวลผลออกเป็น (interactive) นาเสนอ แบบสรปุ มขี อบเขต ทุกเดือน รายงาน กว้าง ลักษณะสารสนเทศ มรี ายละเอียดมาก ความ พิมพ์รายงานตาม ซบั ซอ้ นในการคานวณมี ระยะเวลาที่กาหนด เป็น นอ้ ย มขี อบเขตแคบและ รูปแบบรายงานหรอื ชัดเจน เอกสาร จากตารางท่ี 3.2 กล่าวได้ว่า TPS เป็นข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจน (structured data) นาไปสู่ การตัดสินใจแบบมีโครงสร้างชัดเจน (structured decision) เช่น การไปซ้ือของจะรู้ล่วงหน้าว่าต้องดูที่ ราคา ยีห่ อ้ ประเภท ชนดิ ฯลฯ MIS เป็นขอ้ มลู กึ่งมโี ครงสรา้ ง (semi-structured data) คอื มีการกาหนด รูปแบบรายงานที่ต้องการ มีการกาหนดระยะเวลาว่าเป็นเม่ือใด นาไปสู่การตัดสินใจกึ่งมีโครงสร้าง (semi-structured decision) DSS เป็นข้อมูลท่ีไม่มีโครงสร้างชัดเจน (unstructured data) มาจาก วิจารณญาณกับข้อมลู ทีไ่ ดร้ บั มาประกอบการตดั สนิ ใจแบบไมม่ ีโครงสร้าง (unstructured decision) 4.3.3 ระบบสารสนเทศสาหรับผู้บริหาร จะสนับสนุนการทางานของผู้บริหารระดับสูงในด้าน ทิศทางขององค์การ การเข้าถึงสารสนเทศจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว งานต่อการใช้งาน จะช่วยในการ วางแผนเชิงกลยุทธ์ ควบคุมเชิงกลยุทธ์ การสร้างเครือข่าย ช่วยในการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และช่วยในการจัดการกบั วิกฤต ความสามารถของ EIS ไดแ้ ก่ 1) สามารถเข้าถึง Data Warehouse ซ่ึงเป็นการรวบรวมข้อมูลสาหรับการตัดสินใจซึ่ง ประกอบดว้ ยฐานข้อมลู จากงานในระดับปฏบิ ตั ิการ และฐานขอ้ มลู จากภายนอก 2) การใชค้ วามสามารถในการเจาะข้อมลู คือ ความสามารถในการให้รายละเอยี ดของ ระบบสารสนเทศในองคก์ ร
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 83 สารสนเทศ สามารถทาไดห้ ลายระดบั และผบู้ รหิ ารสามารถทาไดเ้ อง 3) นาเสนอข้อมูลในลักษณะที่มคี วามยืดหยุ่น โดยจะยืดหยนุ่ กวา่ ระบบ MIS มากเนื่องจาก MIS มกี ารกาหนดสารสนเทศไว้ล่วงหน้า แต่ EIS จะเรมิ่ จากส่ิงทไ่ี มไ่ ด้กาหนดไว้ลว่ งหนา้ และมีรูปแบบทผี่ ูบ้ รหิ ารสามารถเลอื กได้อกี 4) การเข้าถงึ สารสนเทศท่ีหลากหลาย คือทั้งภายในและภายนอกองค์การ 5) การใช้โมเดลในการวิเคราะห์แนวโนม้ ในอนาคต 4.4 ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (geographic information system) GIS เป็น DSS อกี ประเภทหนึ่งท่ีออกแบบมาสาหรับสารสนเทศท่เี กี่ยวข้องกับพ้นื ที่ จะเก็บและ จดั การกบั สารสนเทศทเ่ี ปน็ แผนที่ digital โดยระบุถงึ ท่ีต้ังทางภมู ศิ าสตร์ จะช่วยในการตดั สินใจเกีย่ วกบั การกระจายตัวของประชากรหรอื ทรพั ยากรตามลักษณะทางภมู ิศาสตร์ ฐานขอ้ มลู จะเป็นเชงิ กราฟฟคิ แผนท่ี หน่วยงานทใ่ี ช้ เช่น การไฟฟ้า การประปา กรมป่าไม้ เป็นตน้ 4.5 ปญั ญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) คอื การพฒั นาระบบคอมพวิ เตอรใ์ หม้ ีพฤติกรรมเหมือนคน โดยเฉพาะความสามารถใน การเรียนรู้และความสามารถทางประสาทสัมผัส ซึ่งเลียนแบบมาจากการเรียนรู้และการตัดสินใจของ มนุษย์เป้าหมายของ AI คือ พัฒนาคอมพิวเตอร์ให้คิด ให้เห็น ให้ได้ยิน ให้เดิน ให้พูด และให้รู้สึกได้ ประเภทของ AI มดี งั น้ี 1. ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems) เป็นระบบให้คาแนะนาในการจัดการกับปัญหา โดยอาศัยความรู้ของผู้เชี่ยวชาญที่โปรแกรมไว้ เช่น ความชานาญด้านการแพทย์ โดยจะเอาเรื่อง สาธารณสขุ ใส่ไว้ในฐานความรู้ เม่อื ต้องการทราบข้อมูลเร่ืองอะไรก็เพยี งกดปมุ่ ขอ้ มลู ทเ่ี กีย่ วข้องกับเร่ือง น้ันๆ ก็จะปรากฏให้ทราบ หรือกรณีเครื่องทานายดวงที่ให้หยอดเหรียญ ทาตามเงื่อนไข แล้วคาทานาย จะปรากฏให้เหน็ เปน็ ตน้ ปัญหาคอื กระบวนการในการสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ อาจจะซบั ซ้อนเกินไป และ การแกป้ ัญหาจะมีแต่ทไ่ี ดร้ ับการต้งั โปรแกรมไว้ หากมีเง่ือนไขใหมๆ่ จะไมส่ ามารถใช้งานได้ 2. Neural Networks เป็นระบบคอมพวิ เตอรท์ ส่ี ามารถกระทา หรอื จาลองการทางานของ สมองมนุษยไ์ ด้ เชน่ การนามาใชใ้ นการตรวจหาวตั ถรุ ะเบดิ ในกระเปา๋ ผูโ้ ดยสาร 3. Genetic Algorithms จะช่วยสร้างทางเลือกจานวนมากในการแก้ปัญหา รวมท้ัง ทางเลือกท่ีดีท่ีสุดเหมาะในการใช้กับการตัดสินใจซึ่งมีคาตอบได้หลายพันหลายล้านคาตอบ และแต่ละ คาตอบจาเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ตัวอย่างการนามาใช้คือ การวาดรูปผู้ต้องสงสัยจาการ ให้ปากคาของพยาน ท่ีพยานมักจาไม่ได้ชัดเจนในรายละเอียด ระบบนี้จะนาข้อมูลมาแสดงใบหน้าได้ 20 แบบ เพอ่ื ให้พยานดแู ละปรบั แกไ้ ปจนใกลเ้ คียงมากทสี่ ุด ระบบสารสนเทศในองค์กร
84 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 4. การประมวลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) เป็นการประมวลผลท่ี ทาใหค้ อมพวิ เตอร์เขา้ ใจและโต้ตอบกับคาส่งั หรือขอ้ ความทเ่ี ปน็ ภาษาธรรมชาติของมนุษยไ์ ด้ 5. ระบบการเรียนรู้ (Learning Systems) เป็นระบบที่ทาให้คอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้ จากประสบการณ์ โดยสามารถโต้ตอบหรือมปี ฏิกริ ยิ ากับสถานการณ์แวดล้อมได้ 6. ระบบการมองเหน็ (Vision System) เปน็ ระบบคอมพวิ เตอรท์ ส่ี ามารถบันทกึ เก็บรักษา และจดั การกับภาษาที่มองเหน็ หรือรูปภาพได้ นามาใช้ในการวเิ คราะห์รอยนิ้วมือ 7. หุ่นยนต์ (Robots) เป็นการพัฒนาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือเคร่ืองจักรให้ทางานซึ่งมี ลักษณะทตี่ อ้ งการความแมน่ ยาสงู หรือเปน็ งานทีน่ า่ เบอื่ หรือทาใหเ้ กดิ ความเมอ่ื ยลา้ แก่มนษุ ย์ ก็จะนาไป ใหห้ ุ่นยนต์ทางานแทน สรุป ระบบสารสนเทศถกู นามาใช้เป็นเครอ่ื งมือในการดาเนินงานและนาเสนอรายงานทางสารสนเทศ รวมถึงส่ิงท่ีน่าสนใจอื่น ๆ ให้แก่ธุรกิจและองค์กร ปฏิกิริยาระหว่างเทคโนโลยีสารสนเทศและองค์กร มี ความซับซ้อนและมีปัจจัยต่างๆ ท่ีหลากหลายเข้ามาเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย โครงสร้างของตัวองค์กร กระบวนการธุรกิจ การเมอื งภายใน วัฒนธรรม ส่งิ แวดล้อม และการจัดการการตดั สนิ ใจ ระบบสารสนเทศจาแนกตามโครงสร้างองค์การ ต้ังแต่ระดับหน่วยงานย่อยระดับองค์การ ทงั้ หมด และระดบั ระหว่างองคก์ าร การจาแนกตามหน้าที่ขององค์การ เป็นการสนับสนุนการทางานตามหนา้ ท่ีหรอื การทากิจกรรม ต่าง ๆ ขององค์การ โดยท่ัวไปองค์การมักใช้ระบบสารสนเทศในงานท่ีเก่ียวข้องกับหน้าที่ต่าง ๆ ดังน้ี ระบบสารสนเทศด้านบัญชี ระบบสารสนเทศด้านการเงิน ระบบสารสนเทศด้านการผลิตและควบคุม สินคา้ คงคลงั ระบบสารสนเทศด้านการตลาด ระบบสารสนเทศดา้ นทรัพยากรมนษุ ย์ การจาแนกตามลักษณะการดาเนินงาน ถูกนามาใช้งานเพื่อให้สอดคล้องกับส่วนงานในระดับ น้ันๆ เป็นสาคัญ เช่น ระบบประมวลรายการประจาวัน ระบบสารสนเทศเพ่ือสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์และปัญญาประดษิ ฐ์ ระบบสารสนเทศในองค์กร
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 85 แบบฝึกหดั 1. จงอธิบายถึงความสัมพนั ธร์ ะหว่างองคก์ รและระบบสารสนเทศ 2. ระบบสารสนเทศจาแนกตามโครงสร้างองค์การประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง 3. ระบบสารสนเทศทจี่ าแนกตามลกั ษณะการสนบั สนนุ การดาเนนิ งาน ให้อธิบายระบบ สารสนเทศแตล่ ะระบบ 4. ระบบสารสนเทศที่จาแนกตามหนา้ ทขี่ ององค์กร ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง พร้อมท้งั อธบิ าย โดยละเอียด ระบบสารสนเทศในองคก์ ร
86 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 เอกสารอ้างองิ โอภาส เอี่ยมสริ ิวงศ.์ (2554). ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ(Management Information Systems: MIS). กรงุ เทพฯ: ซเี อด็ ยูเคขนั่ . ธีระ กลุ สวัสดิ.์ (2553) เทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ กาบริหาร. กรงุ เทพฯ:หา้ งหุน้ ส่วนจากัด เอม็ .ท.ี เพรส. พลพธู ปียวรรณ และสภุ าพร เชงิ เอย่ี ม. (2552). ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจัดการ. กรุงเทพฯ: วทิ ยพัฒน์. ระบบสารสนเทศในองคก์ ร
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 87 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 4 รายวชิ า การจดั ระบบสารสนเทศทางการศกึ ษาด้วยคอมพวิ เตอร์ หัวข้อเนื้อหา 1. การพัฒนาระบบและการเปลย่ี นแปลงองค์กร 2. การวางแผนระบบสารสนเทศ 3. วงจรการพฒั นาระบบ วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. อธิบายการพฒั นาระบบและการเปล่ียนแปลงองคก์ รได้ 2. อธิบายการวางแผนระบบสารสนเทศได้ 3. อธิบายวงจรการพฒั นาระบบได้ 4. บอกวิธกี ารเลือกฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทเ่ี หมาะสมกบั การพฒั นาระบบได้ วิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. บรรยายเน้อื หาในแตล่ ะหัวข้อ พร้อมยกตัวอยา่ งประกอบ 2. ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน 3. ผสู้ อนสรุปเนอื้ หา และซักถามในชน้ั เรยี น 4. ทาแบบฝึกหดั เพอ่ื ทบทวนบทเรยี น 5. ผูเ้ รยี นถามข้อสงสัย ส่อื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชาการจดั การสารสนเทศทางการศกึ ษาด้วยคอมพิวเตอร์ 2. ภาพเลือ่ น (Slide) 3. ตัวอยา่ งจากหนงั สือวชิ าการจัดการสารสนเทศทางการศึกษาและเวบ็ ไซต์ทเ่ี กีย่ วข้อง 4. เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ การพฒั นาระบบสารสนเทศ
88 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 การวดั ผลและการประเมนิ 1. ประเมนิ จากการซักถามในชัน้ เรยี น 2. ประเมินจากการทาแบบฝึกหดั ท้ายบท 3. ประเมนิ จากความรบั ผดิ ชอบตอ่ การเรยี น การพัฒนาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 89 บทที่ 4 การพฒั นาระบบสารสนเทศ ปกติแล้วการดาเนินงานใดๆ ในภาคธุรกิจมักจะเร่ิมต้นด้วยการวางแผนเสมอ เพราะการ วางแผนถือเป็นส่วนประกอบสาคัญท่ีจะนาพาให้องค์กรไปสู่เป้าหมายด้วยวิธีการอย่างมีแบบแผน มี ทิศทางกระบวนการทางานอย่างมีระบบ การวางแผนองค์กร (Organizational Planning) ซ่ึง ประกอบดว้ ยกระบวนการวางแผนข้นั พ้ืนฐาน ทพ่ี อสรุปได้ดงั นี้ 1. การสร้างทีมงาน ตัวแบบจาลอง และการเห็นพ้องต้องกนั อย่างเปน็ เอกฉันท์ 2. การประเมินผลสาเร็จขององค์กร และการได้มาของทรพั ยากรเหลา่ นนั้ 3. การวิเคราะห์ธรุ กจิ เศรษฐกิจ การเมือง และสภาพแวดล้อมทางสงั คม 4. การคาดการณ์และประเมินผลกระทบจากการพัฒนาในอนาคต 5. การสรา้ งวสิ ัยทัศนร์ ว่ มกนั และตดั สินใจวา่ อะไรคอื เป้าหมายท่พี วกเราต้องทาให้สาเร็จ 6. การตดั สินใจเกย่ี วกับการดาเนินกิจกรรมใด ๆ ที่นาไปสผู่ ลสาเร็จไดต้ ามเปา้ หมาย / (Feedback) รูปที่ 4.1 ส่วนประกอบของกระบวนการวางแผนองคก์ ร ที่มา: โอภาส เอี่ยมสิรวิ งศ์. (2554) ผลลัพธ์ท่ีได้จากกระบวนการวางแผน เรียกว่า แผนการ (Plan) ซ่ึงประกอบด้วยกิจกรรมใน รูปแบบต่าง ๆ ที่มีความชัดเจน ทาให้ทีมงานมีความรู้สึกว่าเป็นสิ่งจาเป็นที่ต้องยึดถือปฏบิ ัติตาม เพื่อให้ การพัฒนาระบบสารสนเทศ
90 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 บรรลุถึงผลสาเร็จตามเป้าหมาย ดังนั้นแผนการจึงถือเป็นแถลงการณ์ แผนการจะนาไปสู่การลงมือ ปฏิบัติ การลงมือปฏิบัติก่อให้เกิดผลลัพธ์ และบางส่วนของการวางแผนก็คือการเรียนรู้จากผลลัพธ์ สาหรับในบริบทดังกล่าว กระบวนการวางแผนจะถูกติดตามจากการใช้งาน ซ่ึงจะถูกตรวจสอบโดย มาตรการการควบคุม เพื่อจัดเตรยี มเป็นผลป้อนกลบั ไปส่กู ารวางแผนเพอื่ ปรบั ปรงุ ใหด้ ยี ิ่งขึ้นต่อไป 1. การพฒั นาระบบและการเปลยี่ นแปลงองค์กร ความจริงแล้วการสรา้ งระบบใหม่ขน้ึ มาเพื่อใช้งานในองค์กร ก็ถือเป็นส่วนหน่ึงของแผนการเพือ่ เปลี่ยนแปลงองค์กรเช่นกัน เน่ืองจากระบบสารสนเทศใหม่ท่ีจะถูกนามาใช้งาน ใช่ว่าจะทาการติดต้ัง อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แล้วถือว่าจบ แต่จะเก่ียวข้องกับเร่ืองราวต่าง ๆ มากมาย เช่น การ เปล่ียนแปลงในด้านทักษะงาน การจัดการ และองค์กร ดังน้ันเมื่อมีการออกแบบระบบสารสนเทศใหม่ น่ันหมายถึงองค์กรกาลังมีการออกแบบหรือเปลี่ยนแปลงองค์กรใหม่อยู่ ซึ่งผู้สร้างระบบจะต้องเข้าใจถึง ผลกระทบท่จี ะเกิดข้นึ โดยเฉพาะกระบวนการธุรกจิ และภาพรวมขององค์กรทั้งหมด เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถช่วยส่งเสริมให้เกิดการเปล่ียนแปลงในองค์กรได้หลายระดับ ด้วยกัน ตัง้ แต่การเปล่ียนแปลงทีละเลก็ นอ้ ย จากนั้นก็ค่อย ๆ เข้มขน้ ขึ้น จนกระท่ังเกิดการเปล่ยี นแปลง อยา่ งมาก ระดับการเปลีย่ นแปลงโครงสร้างองค์กรทัง้ 4 ชนิด ทีเ่ ป็นผลพวงมาจากเทคโนโลยสี ารสนเทศ ทั้งสิ้น อันได้แก่ ระบบงานแบบอัตโนมัติ (Automation) การเปล่ียนแปลงกระบวนการทางาน (Rationalization) การปรบั ร้อื ระบบใหม่ (Reengineering) การปรบั เปลี่ยนกระบวนทศั นส์ ูอ่ งคก์ รที่มี ความเปน็ เลศิ (Paradigm Shifts) ซง่ึ แตล่ ะระดบั ตา่ งกม็ ที ง้ั ผลดแี ละความเสย่ี งทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป รูปแบบทั่วไปขององค์กรท่ีได้รับการเปล่ียนแปลงจากการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ก็คือ ระบบงานอัตโนมัติ ซงึ่ สืบเนือ่ งมาจากการนาไอทีมาประยุกต์ใช้งาน โดยความต้องการในอันดับแรกของ ภาคธุรกิจท่ัวไปท่ีนาไอทีมาใช้กค็ อื การทางานแบบอัตโนมตั ินัน่ เอง เพือ่ ใหพ้ นักงานสามารถใช้ระบบเพื่อ ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เช่น การคานวณค่าแรง การพิมพ์เช็คส่ังจ่ายแบบ อตั โนมัติ และอ่นื ๆ อกี มากมาย การเปลี่ยนแปลงองค์กรในระดับที่ลึกข้ึนไปอีก ท่ีสืบเน่ืองมาจากระบบอัตโนมัติก็คือ การ เปลี่ยนแปลงกระบวนการทางาน นนั่ ก็คือ การปรับปรงุ ขน้ั ตอนมาตรฐานในการปฏบิ ัติงาน ทปี่ ระกอบ ไปด้วยกฎเกณฑ์และวิธีการชัดเจน ท่ีนามาใช้กับการปฏิบัติงานให้มีความกระชับย่ิงขึ้น ตัวอย่างเช่น กระบวนการจัดส่งสินค้าเพื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์ของลูกค้า (Order Fulfillment) จะมีผู้เก่ียวข้อง มากมาย เร่ิมต้นจากแผนกขายได้รับการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้า (ท้ังในและต่างประเทศ) จากน้ันใบสั่ง ซ้ือก็จะถูกส่งผ่านไปยังส่วนงานบัญชี เพ่ือชาระค่าสินค้า และในกรณีท่ีลูกค้าเลือกชาระเงินด้วยบัตร เครดิต ก็จะมีระบบตรวจสอบเพ่ือขออนุมัติวงเงิน ครั้นเมื่อผ่านการอนุมัติจากธนาคาร ส่วนงานผลิตก็ การพฒั นาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 91 จะดาเนินการนาสินค้าจากคลัง เพื่อบรรจุหีบห่อเป็นพัสดุภัณฑ์ จากนั้นใบเสร็จรับเงินพร้อมใบกากับ สินค้าก็จะถูกส่ังพิมพ์โดยแผนกบัญชี เพื่อให้พนักงานส่งของแนบไปพร้อมกับพัสดุภัณฑ์จนกระทั่งส่งถึง มือลูกค้า ท้ังน้ีในระหว่างการนาส่งสินค้า ลูกค้ายังสามารถติดตามพัสดุภัณฑ์ของตนผ่านเว็บไซต์ของ บริษัท เพื่อตรวจสอบว่าขณะนี้ของที่ตนสั่งน้ัน กาลังถูกเคลื่อนย้ายหรือเดินทางมาอยู่ ณ จุดใด ซึ่ง หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางานเหล่านี้ ซอฟต์แวร์ทางเว็บเซอร์วิสและเทคโนโลยีที่ เก่ยี วข้อง กค็ งมิได้ถูกนามาใช้ให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ การเปล่ียนแปลงองค์กรท่ีมีพลังสูงมากกว่าเดิมก็คือ การปรับรื้อระบบใหม่ หรือ การปรับรื้อ กระบวนการธุรกิจใหม่ (Business Process Reengineering : BPR) ซึ่งหมายถึงกระบวนการธุรกิจ เดิมท่ีดาเนินการอยู่น้ัน จะได้รับการวิเคราะห์ การปรับให้ง่ายขึ้น และการออกแบบใหม่ โดยการนา เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ องค์กรสามารถทาการคิดใหม่ และปรับกระบวนการทางธุรกิจให้มีความ กระชับ และรวดเร็วยิ่งข้ึนได้ รวมถึงมีคุณภาพท่ีดีย่ิงข้ึนด้วย การไหลของงาน (Work Flows) จะ ได้รับการปรับรื้อใหม่ทั้งหมดอาจมีการรวบบางขั้นตอนเข้าด้วยกัน ตัดข้ันตอนที่ไม่จาเป็นออกไป รวมถึงการขจัดงานท่ีซ้าซ้อนออกไป และความพยายามปรับกระบวนการทางานท่ียังคงต้องใช้กระดาษ อยู่ ซึ่งหากถูกกาจัดออกไปได้ก็จะเป็นการดี การปรับรื้อระบบใหม่จัดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ต้องใช้ ความทะเยอทะยาน และความพยายามสูงกว่าวิธีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางานมาก เนื่องจาก ต้องการวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ เพื่อนามาใช้จัดองค์ประกอบของกระบวนการต่าง ๆ ให้ดีย่ิงข้ึนกว่าเดิมได้ อย่างไร ตัวอย่างของการปรับร้ือระบบใหม่ ท่ีมักได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางก็คือ บริษัท Ford Motor ที่ได้รับปรับรื้อระบบประมวลผลใบกากับสินค้าแบบไร้กระดาษ (Invoice less Processing) ท่ีช่วยลดอัตรากาลังคนในแผนกบัญชีเจ้าหนี้ได้ถึง 75 % จากพนักงานท้ังหมด 500 คน ในสาขาฝั่ง อเมริกาเหนือ ซ่ึงแต่เดิม เสมียนบัญชีเจ้าหน้ีต้องเสียเวลาไปกับการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้ง ระหว่าง ใบสั่งซื้อ การรับเอกสาร และใบกากับสินค้าแตเ่ มื่อมีการปรบั ร้ือระบบใหม่แลว้ เจ้าหน้าท่ีแผนกจัดซ้ือ เพียงแค่ป้อนใบส่ังซื้อลงไปในฐานข้อมูลออนไลน์ ท่ีสามารถถูกตรวจสอบจากแผนกรับสนิ ค้าเม่ือมีสินค้า ส่งมาถึง หากสินค้าท่ไี ด้รบั ตรงกันกับท่สี ่ังซ้ือ ระบบก็จะสง่ั พิมพ์เช็คสัง่ จ่าย (ชาระหนี้) โดยอตั โนมตั ิเพื่อ สง่ ใหก้ ับผขู้ าย ทาให้ผขู้ ายไมต่ ้องส่งใบกากับสนิ ค้ามาใหอ้ ีก อย่างไรก็ตาม การเปล่ียนแปลงกระบวนการทางานและการปรับรือ้ ระบบใหม่ ยังมีข้อจากัดใน บางส่วนของธุรกิจ ระบบสารสนเทศใหม่สามารถส่งผลกระทบแบบสุด ๆ ในเรื่องของการออกแบบ องค์กรทั่วท้ังระบบ ด้วยการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดและแปลงแนวความคิดและแปลงความเป็น ธรรมชาติของธรุ กิจนั้น ๆ ให้ลุล่วงสาเรจ็ ลงได้ดังตวั อย่างธุรกิจขนสง่ และบรรทุกสินค้าระยะไกล (บริการ ทั้งระดับภูมิภาคและข้ามทวีป) ของบริษัท Schneider National ได้นาระบบสารสนเทศใหม่มา เปล่ียนแปลงแบบจาลองธุรกิจของตน และสร้างธุรกิจใหม่ข้ึนมาเพื่อจัดการงานด้านโลจิสติกส์ให้แก่ บริษัทอื่น ๆ โดยถือเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจแบบถอนรากที่เรยี กว่า การปรับเปล่ียนกระบวน การพัฒนาระบบสารสนเทศ
92 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 ทัศน์สู่องค์กรท่ีมีความเป็นเลิศ (Paradigm Shift) ซึ่งเก่ียวข้องกับการคิดใหม่ในเร่ืองธรรมชาติของ ธุรกิจและธรรมชาติขององค์กร ส่งผลให้ทางบริษัทกลายเป็นผู้นาระดับโลกในการขนส่งและการบริการ ขนสง่ ระยะไกล และด้วยการปรับรื้อระบบใหม่และการเปล่ยี นแปลงกระบวนทัศน์ จัดเปน็ วธิ กี ารเปล่ียนแปลงที่ มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นองค์กรที่ดาเนินการด้วยวิธีน้ี จึงมักล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าเป็นวิธีการ เปลี่ยนแปลงองค์กรที่ต้องใช้เวลายืดเยื้อ และยากต่อการควบคุม แต่ทาไมหลายองค์กรจึงคิดอยาก เปล่ยี นแปลงแบบถอนรากถอนโคน ก็เพราะวา่ ผลตอบแทนที่สงู 2. การวางแผนระบบสารสนเทศ ภายในระยะเวลาไม่ก่ีปีมานี้ อัตราการเจริญเติบโตจากการนาระบบสารสนเทศมาใช้งานตาม องค์กรต่าง ๆ มีจานวนสูงข้ึนมาก ไม่ว่าจะเป็น ระบบ ERP, ระบบจัดการโซ่อุปทาน(SCM) , ระบบ จดั การลกู คา้ สัมพันธ์ (CRM) และรวมถึงระบบอื่น ๆ ทถ่ี ูกนามาใชบ้ ริการตามหนว่ ยธุรกิจต่าง ๆ สาหรับ มุมมองด้านการลงทุนทางทรัพยากรของระบบเหล่าน้ี ทั้งในด้านการเงินและในด้านอ่ืน ๆ เป็นส่ิงท่ี พิสูจน์ได้แล้วว่า มีความเส่ียงสูงสาหรับกรณีท่ีใช้งานกับธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างเช่น บริษัทใหญ่ ๆ จานวนไม่น้อย ได้ลงทุนระบบสารสนเทศอย่างระบบ ERP หลายสิบล้านบาท แต่ก็ประสบผลลม้ เหลว แต่หากระบบถูกนาไปใช้งานแล้วเกิดผลสาเร็จขึ้นมา ระบบใหม่ก็จะได้รับการยอมรับ และสามารถ เปลี่ยนแปลงวิธีการเพ่ือนาไปสู่การดาเนินงานทางธุรกิจ ที่สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการท่ีดี จนได้รับผลกาไรในที่สุด เหตุผลท้ังหลายที่จะสนับสนุนความสาเร็จเหล่านี้ได้ก็คือ การวางแผนระบบ สารสนเทศน้ันเอง ระบบสารสนเทศ สามารถถูกสร้างข้ึนได้หลายวิธีด้วยกัน อย่างเช่น กรณีท่ีองค์กรมีแผนก พัฒนาระบบสารสนเทศ ก็อาจพัฒนาระบบข้ึนมาใชง้ านเอง หรือว่าจ้างบริษัทภายนอกพัฒนาระบบให้ หรือซื้อซอฟต์แวร์สาเร็จรูปมาปรับใช้กับองค์กร ดังน้ันการวางแผนจึงเป็นส่ิงสาคัญต่อการวางแนวกล ยทุ ธ์ทางไอที กับกลยทุ ธ์ขององค์กรทัง้ หมดรวมเขา้ ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม คาวา่ การวางแผนทางไอที (IT Planning) กับคาว่า การวางแผนระบบสารสนเทศ (IS Planning) ในที่นี้ถือว่าคาท้ังสอง สามารถใชท้ ดแทนหรือใช้สลับกนั ไปมาได้ 2.1 ขั้นตอนการวางแผนระบบสารสนเทศ การวางแผนทางด้านไอทีหรือระบบสารสนเทศ ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ๆ อยู่เพียงไม่กี่ ขั้นตอนซ่ึงถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวางแผน เพื่อนาไปสู่ความสาเร็จ อันประกอบด้วย สร้าง พันธกิจระดับองค์กรและพันธกิจทางไอทีขึ้นมา กาหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนต่อการนาไอทีมาใช้กับองค์กร สร้างกลยุทธ์ทางไอทีและยุทธวิธีขึ้นมา การวางแผนการปฏิบัติงานเพ่ือนาไปสู่ความสาเร็จตามพันธกิจ การพฒั นาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 93 และวิสัยทัศน์ การกาหนดงบประมาณเพ่ือม่ันใจได้ว่าสามารถเพ่ือนาไปสู่ความสาเร็จตามพันธกิจและ วสิ ัยทัศนซ์ งึ่ เปน็ ไปดังรปู ที่ 4.2 (Corporate Mission) (IT Mission) (IT Vision) (IT Strategic Plans) (IT Tactical Plans) (Operation Planning) รูปที่ 4.2 ข้ันตอนการวางแผนระบบสารสนเทศ ทีม่ า: โอภาส เอี่ยมสริ ิวงศ์. (2554) อย่างไรกต็ ามเพื่อให้เกดิ ความเข้าใจเกีย่ วกับการวางแผนระบบสารสนเทศได้ดีย่ิงขึ้น ควรเข้าใจ ถึงความหมายพนื้ ฐานของคาเหล่าน้เี สยี กอ่ น พันธกิจ (Mission) หรือภารกิจ เป็นจุดมุ่งหมายพื้นฐานท่ีแสดงถึงเหตุผลว่า ทาไมองค์กรจึง ถอื กาเนดิ มา เป็นหลักการท่ีนามาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการกาหนดเป้าหมาย วตั ถุประสงค์ และกลยุทธ์ และถือเป็นกรอบการทางานของกลยุทธ์ในภาพรวมท้ังหมด เพี่อนาไปสู่กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Function Strategies) ทีม่ ุง่ เนน้ ถงึ บทบาทหน้าทที่ ีจ่ ะตอ้ งทา ภารกิจท่ตี อ้ งทา และไมท่ าไม่ได้ วิสัยทัศน์ (Vision) จะบอกให้รู้ถึงส่ิงท่ีองค์กรอยากจะเป็น หรือต้องการจะเป็นในอนาคต เพื่อให้รู้ทิศทางขององค์กรท่ีจะเดินไปในอนาคต โดยคาประกาศในวิสัยทัศน์ ควรเป็นถ้อยคาท่ีสามารถ ปลกุ เรา้ ใหส้ มาชิกในองค์กร มคี วามมุ่งมน่ั ทจ่ี ะพยายามยกระดับเพ่ือไปสูเ่ ปา้ หมายในอนาคต และจากความหมายของคาท้งั สองขา้ งตน้ จึงทาใหท้ ราบถงึ ความแตกตา่ งได้วา่ พนั ธกิจช่วยตอบ คาถามให้รู้ว่าองค์กรคือใคร (Who we are?) และองค์กรทาอะไร (What we do?) โดยบอกถึงส่ิงท่ี การพฒั นาระบบสารสนเทศ
94 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 องค์กรกาลังทาอยู่ในปัจจุบัน ในขณะท่ีวิสัยทัศน์ จะบอกถึงสิ่งที่องค์กรจะมุ่งไปสู่อนาคต และต่อไปนี้ เป็นตวั อย่างวสิ ยั ทัศน์และพันธกิจของคณะแพทยศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั วิสยั ทัศน์ :คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปน็ โรงเรียนแพทยช์ ้ันนาระดับโลก พันธกิจ : คณะแพทยศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ตอ้ งผลติ บัณฑิตและแพทยเ์ ฉพาะทางที่มี คณุ ภาพ และมเี อกลกั ษณ์ ต้องพฒั นาระบบและกลไกด้านการศึกษา วจิ ัย บรกิ ารวิชาการ และ เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งต่อเนอ่ื ง ใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ล 1. ผลิตแพทย์ แพทยผ์ เู้ ชี่ยวชาญและบัณฑติ วิทยาศาสตร์การแพทย์ ท่ีมีความรคู้ ู่คณุ ธรรม ใฝร่ ู้ และมเี จตคตใิ นการให้บริการทางการแพทย์และสารธารณสุข 2. สร้างงานวจิ ัยและองคค์ วามรู้ทม่ี คี ณุ คา่ เปน็ ที่ยอมรับในระดับนานาชาติ 3. ใหบ้ รกิ ารทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ที่มปี ระสทิ ธิภาพ เสมอภาคและสร้างความพึง พอใจ ใหผ้ รู้ ับบรกิ าร 4. ให้บริการทางวิชาการเพื่อเผยแพรแ่ ละแลกเปลย่ี นความร้ใู นระดับชาติ และนานาชาติ 5. สร้างและพฒั นาเครือข่ายด้านการเรยี นการสอนการวจิ ัย บริการวชิ าการและบริการทาง การแพทย์ในระดบั นานาชาติ 6. ทานบุ ารุงศิลปวัฒนธรรมเพ่ือดารงไวซ้ ่ึงเอกลกั ษณ์และภมู ปิ ัญญาไทย 7. สบื ค้น แสวงหาทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการดาเนินงาน 8. ตรวจสอบและพัฒนาตนเองอยา่ งตอ่ เน่ือง 9. สร้างคุณภาพชีวติ ที่ดีเพ่ือประชาคมในองค์กร จะพบว่าตัวอย่างคาประกาศในวิสัยทัศน์ข้างต้น ได้แสดงถึงความมุ่งม่ันเพื่อยกระดับให้เป็น โรงเรียนแพทย์ชั้นนาในระดับสากล เพ่ือปลุกเร้าให้เหล่าบรรดาสมาชิกมีความมุมานะ และพร้อมที่จะ ยกระดบั ตนเองไปสู่อนาคตให้จงได้ ซงึ่ เป็นลักษณะของวสิ ัยทศั นท์ ี่ดี สว่ นถ้อยแถลงในพนั ธกิจ เมือ่ ใคร ได้อ่านก็ร้วู า่ เป็นองคก์ รใด ทาอะไร และส่งิ ท่ีองคก์ รกาลงั ทาในปัจจบุ ัน พันธกิจจัดเป็นส่วนสาคัญมากต่อการท่ีจะให้องค์กรบรรลุถึงเป้าหมายตามท่ีต้องการ โดยจะ เป็นข้อความท่ีสื่อสารให้รับรู้ว่า เราจะไปสู่เป้าหมายแห่งความสาเร็จได้อย่างไร สาหรับพันธกิจทางไอ ถือเปน็ สว่ นประกอบสาคญั ของพันธกิจในภาพรวมท้ังหมด ซ่งึ จะตอ้ งมีความเขา้ กันได้กับพันธกิจในภาพ ใหญ่ โดยถ้อยแถลงของพันธกิจทางไอที ปกติอาจมีเพียงย่อหน้าเดียวหรือหลายย่อหนา้ ก็ได้ ท่ีอธิบาย ถึงบทบาทของไอทใี นองคก์ ร และบ่อยคร้งั ทเี ดียว ท่ีพนั ธกิจทางไอทแี ละวสิ ัยทศั นไ์ อที ถกู นามารวมกัน การพฒั นาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 95 เป็นถอ้ ยแถลงเดียวกัน โดยผู้จัดการฝา่ ยไอทจี ะนาบางสว่ นของถอ้ ยแถลงในพนั ธกิจหรอื ในเอกสารอน่ื ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง มาร่างเป็นวิสัยทัศน์ลงในกระดาษ ร่างดังกล่าวก็คือ วิสัยทัศน์ไอที (IT Vision) ซ่ึง เปน็ ร่างเกี่ยวกบั รายการท่ีเราอยากได้ ที่แสดงถงึ การรวมตัวกนั ของฮาร์ดแวร์ ซอฟตแ์ วร์ และเครือข่าย อย่างดเี ลิศ (ในอดุ มคต)ิ ในการสนับสนุนเป้าหมายในภาพรวมขององคก์ รได้อย่างลงตัว ตวั อย่างเช่น (1) พนักงานสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลหรือแอปพลิเคชน่ั ทางธรุ กิจขององค์กร เพื่อใช้ทรัพยากรข้อมูลต่าง ๆ ได้จากคอมพิวเตอร์ท่ีต้ังอยู่บนโต๊ะ (2) พีซีคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะมีการเช่ือมต่อเข้ากับเครือข่ายแลน และสามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพ่ือใช้บริการอีเมล อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต และเอ็กซ์ทรา เนต็ ผ่านการเชื่อมต่อด้วยบรอดแบนด์ เนต็ เวิร์ก และ(3) ลกู คา้ สามารถซื้อสินค้าหรือบริการจากบริษัท ผ่านเว็บไซต์ได้ หรืออีกหนึ่งตัวอย่างจาก amazoo.com ก็คือ การนานวัตกรรมทางไอทีมาใช้เพ่ือ บริหารจัดการอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะเทคโนโลยีเว็บและระบบการดาเนินงาน เพ่ือบรรลุตาม วัตถุประสงค์ของลูกค้า (Fulfillment) จัดเป็นทรัพยากรท่ีสาคัญที่สุดต่อความสาเร็จขององค์กร ทั้งนี้ รายการในวิสัยทัศน์ดังกล่าว สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามความต้องการของธุรกิจท่ีมีการ เปล่ียนแปลง รวมถึงการเปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยี ผู้บริหารสารสนเทศระดับสูงหรือ CIO จะเป็นผู้พัฒนาแผนกลยุทธ์สาหรับการใช้ไอทีในองค์กร ข้ึนมาโดยแผนการดังกล่าวจะมุ่งประเด็นถึงการนาเทคโนโลยีอะไรมาให้พนักงาน ลูกค้า และผู้ขาย ปัจจัยการผลิตได้ใช้งาน และจะต้องใช้งานอย่างไร โดยจะต้องเป็นเทคโนโลยีที่รองรับการขยายเพ่ือใช้ งานในอนาคตดว้ ย เนือ่ งจากเทคโนโลยีด้านไอทีรุดหน้าอย่างรวดเรว็ ดงั นัน้ โดยปกตแิ ผนกลยุทธท์ างไอ ทจี งึ มักมกี ารวางแผนเพ่ือเตรยี มความพร้อมสาหรับการใชง้ านไมน่ านเกินกว่า 5 ปี อย่างไรก็ตาม การ ปรับปรุงบริการด้วยการนาไอทีมาใช้ให้บรรลุผลสาเร็จ จะต้องอาศัยความรู้ และความพร้อมใจของ ทีมงานท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลงในครั้งน้ีผู้บริหารต้องใช้ความรู้ความเข้าใจและมีส่วนร่วมเช่นเดียวกับ พนักงานระดับล่าง ซ่ึงเป็นผู้ปฏิบัติงานกับระบบโดยตรง ท้ังนี้บุคคลท่ีเป็น CIO จะเป็นตัวเช่ือม ประสานและส่ือสารระหว่างผู้บริหารระดับสงู (หน่วยธุรกิจ) กับหัวหน้าฝา่ ยไอที (ฝ่ังเทคโนโลยี) ซึ่งเป็น ผู้บริหารระดับกลาง จากนั้นหัวหน้าฝ่ายไอทีก็จะเชื่อมต่อไปยังผู้บริการระบบไอที (IT Vendor) หรือ ทีมงานโปรแกรมเมอร์ เพื่อนาไปสู่การจัดหาระบบสารสนเทศในทส่ี ุด จากรูปที่ 4.2 จะพบว่าเป้าหมายหรือเป้าหมายหรือเป้าประสงค์ท่ีอยู่ใน แผนกลยุทธ์ไอที (IT Strategic Plan) จะเป็นเป้าหมายระยะยาวที่ถูกกาหนดข้ึนตามวิสัยทัศน์ไอทีและกลยุทธ์ ซ่ึงได้นิยาม ถงึ แนวคดิ อนาคตของเทคโนโลยีสารสนเทศอะไรท่ีควรจะทาเพื่อบรรลุผลตามเป้าหมายและวัตถปุ ระสงค์ แผนกลยุทธ์ไอทีจะถูกนามาแตกเป็น แผนยุทธวิธีไอที (IT Tactical Plans) ซ่ึงเป็นแผนระยะส้ันท่ี กาหนดวิธีการให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ไอทีโดยประกอบด้วยวัตถุประสงค์และแนวทางที่จะนาไปสู่ ความสาเร็จ ซึ่งเป็นคาประกาศเกี่ยวกับสิ่งท่ีต้องการจะบรรลุ เป็นคาม่ันสัญญาหรือข้อผูกมัดท่ีต้องทา เพ่ือให้บรรลุผลภายในกรอบเวลาท่ีกาหนด ด้วยการมุ่งเน้นถึงรายละเอียดว่าเราจะเดินไปสู่เป้าหมายท่ี สาเรจ็ ได้อยา่ งไร ปกติวัตถุประสงค์จะประกอบไปด้วยทรัพยากรที่ถูกจัดซื้อมาหรือได้รับการพฒั นาข้ึนมา การพัฒนาระบบสารสนเทศ
96 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 ก็ได้ นอกจากนี้วัตุประสงค์ยังสามารถแตกออกเป็น แผนปฏิบัติการ (Operation Planning) ท่ีมี รายละเอียดความเป็นเฉพาะมากขึ้น ตัวอย่างเช่น โครงการในแต่ละโครงการ ปกติส่วนงานบริหารจะ มอบหมายให้ผู้จดั การโครงการและทีมงานเป็นผู้รับผดิ ชอบ เช่น การจัดซื้อฮารด์ แวร์ ซอฟต์แวร์ และการ บรกิ ารจากผ้ขู ายทีไ่ ดร้ บั การคัดเลือก พร้อมเงินลงทุนที่ได้รอ้ งของงบประมาณไป เมอ่ื ฝา่ ยการเงนิ ไดต้ อบ รับการอนุมัติ บริษัทก็จะนาเงินไปชาระค่าใช้จ่ายดังกล่าวซึ่งอาจชาระเป็นงวดหลายเดือน หรือหลายปี ซ่งึ เปน็ ไปตามโครงการทีร่ ะบุ หากพจิ ารณาดูดี ๆ แล้วจะพบวา่ การวางแผนทางไอทีกม็ ิได้มีความแตกต่างไปจากการวางแผน ท่ัวไปที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาเพื่อให้ได้มาซ่ึงทรัพยากรเลย โดยเร่ิมตน้ จากการตรวจดูวา่ ทรัพยากรท่จี ะ ถูกนามาใช้งานนั้น จะส่งผลเพื่อบรรลุไปสู่เป้าหมายได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปี มาน้ี การเติบโตทางด้านสัดส่วนของเงินกองทุนทางไอทีนั้น ได้ถูกใช้จ่ายไปกับค่าซอฟต์แวร์ ซ่ึงเป็น การซื้อและการดัดแปลงซอฟต์แวร์มากกว่าที่จะเป็นการพัฒนาด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้บริษัท ภายนอกพัฒนาระบบให้ การพฒั นาและการใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศใหม่ ๆ ที่มาจากหลายแหลง่ ทม่ี าด้วยกัน รวมถงึ ผู้ใช้ แหล่งท่ีมาสาหรับระบบใหม่ การแข่งขันชิงชัยทางการตลาดเป็นสภาพแวดล้อมแรงกดดัน (Competitive Environment) ทก่ี อ่ ใหเ้ กิดสมาชิกมากมายขององค์กร ท่ีมใี ช่มีแคเ่ พยี งผูจ้ ดั การอาวุโส เท่าน้ันท่ีจะเป็นผู้สร้างความคิดใหม่ ๆ เพียงผู้เดียว และโดยส่วนใหญ่แล้ว ความคิดหรือไอเดียใหม่ ๆ จะมาจากการวางแผนทางไอที แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายองค์กรด้วยกันได้ใช้วิธีตั้งคณะกรรมการ ข้ึนมา ซ่ึงประกอบไปด้วยผู้ใช้ (Users) ผู้เชี่ยวชาญทางไอที (IT Professionals) ผู้จัดการตามสายงาน ตา่ งๆ (Line Managers) และผจู้ ดั การอาวโุ ส (Senior Management) โดยมคี วามเป็นไปได้ท่สี ูงทีเดยี ว 2.2 การวางแผนเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกนั เป้าหมายหลักและข้อได้เปรียบของการวางแผนประการหน่ึงก็คือ ความเป็นมาตรฐาน เดียวกัน (Standardization) โดยเม่ือผู้บริหารได้ตัดสินใจต่อการนาทรัพยากรทางไอทีมาใช้ตามหน่วย ธุรกิจท้ังหมดอย่างแน่นอนแล้ว (ไม่ได้คานึงถึงเร่ืองหน้าที่หรือทาเลที่ต้ัง) การวางแผนเพ่ือให้มาตรฐาน เดียวกนั ดว้ ยการใชส้ ินค้าทเี่ หมือน ๆ กัน ยอ่ มกอ่ ให้เกิดผลลัพธท์ ี่เป็นประโยชนด์ งั ตอ่ ไปน้ี 2.2.1 ประหยัดต้นทุน เม่ือองค์กรตัดสินใจซ้ือฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ท่ีเหมือน ๆ กัน โดยมีมาตรฐานเดียวกัน (เช่น เลือกใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ของ HP ทั้งหมด หรืออยู่ในตระกูล เดียวกัน) และนามาใช้งานตามหนว่ ยธรุ กจิ ทุกสว่ น ยอ่ มมอี านาจการต่อรองท่สี ูง องคก์ รสามารถต่อรอง ราคาให้ต่าลงได้อีกจากผู้ขาย ซึ่งอาจเป็นการซ้ือคอมพิวเตอร์ในทุกระดับ เช่น เมนเฟรม มิดเรนจ์ และพซี ีคอมพิวเตอร์ รวมถึงซอฟตแ์ วรล์ ิขสทิ ธิ์ ก็เปน็ ไปตามทานองเดยี วกนั การพัฒนาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 97 2.2.2 การฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพ เป็นเร่ืองที่ง่ายต่อการอบรมการใช้งานแก่พนักงาน เนื่องจากความแตกต่างของซอฟต์แวร์ท่ีใช้งานมีน้อย ช่วยลดเวลาการฝึกอบรม ใช้แรงงานในการ ฝึกอบรมไม่มากส่งผลตอ่ การประหยัดต้นทุน 2.2.3 การสนบั สนนุ ทม่ี ีประสทิ ธิภาพ เมื่อคอมพวิ เตอรร์ ุน่ ต่างๆ และโปรแกรมประยุกต์ท่ีใช้ งาน เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ไม่ค่อยมีความแตกต่าง งานสนับสนุนย่อมเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น พีซีคอมพิวเตอร์ท่ีใช้เป็นรุ่นเดียวกัน เหมือน ๆ กัน ย่อมส่งผลให้ทีมงาน สนบั สนุนทางไอที มคี วามรู้ ความเชย่ี วชาญ และมีทักษะในการแก้ไขปัญหาทางฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ค่อนข้างดี รวมถึงการติดต้ังโปรแกรมไดรเวอร์ เพ่ือจัดการกับอุปกรณ์ก็ดาเนินการได้โดยง่าย ซ่ึง สามารถใช้ไดรเวอร์แทนกันได้หากอยูใ่ นเคร่ืองตระกลู เดียวกัน สาหรบั สว่ นการจัดหาบุคลากรเพ่ือทางาน ในหน้าที่ดงั กลา่ วกจ็ ดั หาได้งา่ ยกว่า รวมถงึ การสรา้ งความพึงพอใจแกผ่ ใู้ ชง้ านทมี่ ีต่อส่วนงานสนับสนุน ตัวอย่างท่ีเห็นได้ชัดก็คือ ยักษ์ใหญ่ทางไอทีอย่างบริษัท Hewlett – Packard ท่ีได้พยายาม สร้างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันท้ังหมด โดยบริษัทเป็นผู้นาของโลกในการผลิต เครือ่ งพีซคี อมพิวเตอรเ์ ซริ ์ฟเวอร์ และเครื่องพิมพ์ รวมถงึ เป็นทีป่ รึกษางานบริการในปี ค.ศ.2003 ทาง บริษัทได้จัดทาแผนโปรแกรมระยะเวลา 5 ปี ที่หวังจะตัดลดต้นทุนทางด้านไอทีจาก 3.04 พันล้าน ดอลลาร์ ลงมาเป็น 2.11 พนั ล้านดอลลาร์ ในระหวา่ งการรวบรวมข้อมูลจากศนู ยก์ ลางและการริเริ่มหา ทางออกในด้านอ่ืน ๆ ทางฝ่ายบรหิ ารได้ตดั สนิ ใจลดความแตกต่างในชนิดเซริ ์ฟเวอร์จากจานวน 19,000 ลดลงมาเป็น 10,000 และโปรแกรมประยุกต์จากจานวน 5,000 ลดลงมาเป็น 1,500 เพื่อให้ความ แตกต่างในตัวผลติ ภณั ฑ์ลดลง ดังตัวอย่างเช่น โปรแกรมประยุกต์ที่จัดหามาได้นั้น มีความแตกต่างกัน ถงึ 84 ตวั ทางบริษัทจะวางแผนให้ใช้งานด้วยการลดลงเหลือเพยี ง 5 ตวั เทา่ นนั้ ซ่ึงบรษิ ทั หวงั เพื่อจะ ตดั ลดตน้ ทุนดา้ นการสนบั สนุนโปรแกรมทีต่ ้องเสียไปกว่า 80% ให้เหลือเพยี ง 20% การกาหนดใหโ้ มเดล หรือรุ่นของคอมพิวเตอร์ ให้มีรุ่นท่ีแตกต่างกันน้อยลง รวมถึงโปรแกรมประยุกต์ก็เช่นกัน ส่งผลให้เกดิ ความเป็นมาตรฐานเดยี วกันสูง และชว่ ยลดตน้ ทุนไดใ้ นท่สี ดุ และการดาเนินการดังกล่าวสง่ ผลต่อลูกค้า ท่ีเลือกใช้โซลูชั่นของ HP โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ท่ีจาเป็นต้องใชค้ อมพิวเตอร์และอุปกรณ์จานวน มาก ทาให้องค์กรนั้นสามารถจัดการกับทรัพยากรทางไอทีได้ง่ายขึ้น สะดวกข้ึน และประหยัดต้นทุน ด้านการปฏบิ ัตงิ าน รวมถงึ งานสนบั สนนุ ก็สามารถจดั การไดง้ ่ายขนึ้ เช่นกนั 2.3 จากการวางแผนสู่การพัฒนา ภายหลังจากการวางแผนระบบสารสนเทศใหม่ ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจว่าจะนาไปสู่ การบรรลุผลของระบบได้อย่างไร โดยคาว่าระบบในท่ีนี้หมายถึงซอฟต์แวร์น่ันเอง เช่น ระบบบัญชี ระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ ระบบจัดการโซ่อุปทาน เป็นต้น สาหรับทางเลือกของการได้มาซึ่งระบบ ดงั กลา่ วสามารถมาจากหลายแนวทางดว้ ยกัน เช่น การซ้ือหนว่ ยงานภายในพฒั นาขึ้นเอง และการวา่ จ้าง หน่วยงานภายนอก ขั้นตอนการพัฒนาระบบตามประเพณีนิยมที่ใช้กันมายาวนาน คือ วงจรการพัฒนา ระบบ ที่ประกอบด้วยระยะต่าง ๆ ต้ังแต่การริเริ่มโครงการ จนกระทั่งได้ระบบมาใช้งาน โดยวงจร การพัฒนาระบบสารสนเทศ
98 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 ดงั กล่าว ทาใหเ้ ราทราบถึงกิจกรรมท่ีสาคัญ ๆ ในแต่ละระยะ เพอื่ นามาใชเ้ ปน็ แนวทางการปฏบิ ัติ และ นาไปสู่การดาเนนิ งานตามกิจกรรมเหล่าน้ัน จนกระทง่ั สาเร็จและได้ระบบตามที่ตอ้ งการ 3. วงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle) วงจรการพัฒนาระบบ หรือ SDLC จัดเป็นวิธีการพัฒนาระบบแบบด้ังเดิมท่ีถูกใช้งานมา ยาวนาน แต่ในปัจจุบันก็ยังคงถูกนามาอ้างอิงใช้งาน หรือนามาปรับใช้กับงานพัฒนาระบบเสมอ เน่ืองจากมีกรอบการทางานท่ีมีโครงสร้างชัดเจน เข้าใจง่าย มีการลาดับกิจกรรมท่ีต้องทาก่อนหลังใน แต่ละระยะ เพื่อให้ทีมงานไดเ้ ขา้ ใจถึงกิจกรรมพนื้ ฐาน ขอบเขต และรายละเอยี ดต่าง ๆ ในแต่ละระยะ ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยระยะตา่ ง ๆ ดงั น้ี ระยะท่ี 1 : การวางแผนโครงการ ระยะท่ี 2 : การวิเคราะห์ ระยะที่ 3 : การออกแบบ ระยะท่ี 4 : การนาไปใช้ ระยะท่ี 5 : การบารงุ รกั ษา 3.1 ระยะที่ 1: การวางแผนโครงการ (Project Planning Phase) การวางแผนโครงการ จัดเป็นกระบวนการพ้ืนฐานบนความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ทาไม (Why) ต้องสร้างระบบใหม่ ทีมงานต้องดาเนินการต่อไปอย่างไรเก่ียวกับกระบวนการสร้างระบบใหม่ ข้ันตอนแรกก็คือ ต้องมีจุดกาเนิดของระบบงาน (Project Initiate) โดยจุดกาเนดิ ของระบบงานสามารถ เกิดข้ึนได้จากแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอก ท่ีส่งผลต่อองค์กรต้องนามาพิจารณาปรับปรุง ระบบใหม่ อันประกอบด้วย ผใู้ ชร้ ้องขอให้ปรบั ปรงุ ระบบใหม่ ผบู้ ริหารระดบั สงู ตอ้ งการพัฒนาระบบใหม่ ปญั หาและขอ้ ผิดพลาดของระบบงานปจั จบุ นั แรงกดดันจากภายนอก เช่น เทคโนโลยี และคแู่ ขง่ ขนั นอกจากปจั จัยข้างตนั แลว้ ยงั สามารถใช้แนวคดิ ของคาวา่ PIECES มาประยุกตใ์ ช้ก็ได้ โดย แต่ละตัวอักษรของคาดังกล่าวความหมายวา่ P (Performance): ความตอ้ งการให้มกี ารปรับปรุงดา้ นการปฏิบตั ิงาน I (Information): ความต้องการให้มีการปรบั ปรุงด้านข้อมูลสารสนเทศ E (Economics): ความต้องการให้มกี ารควบคมุ ตน้ ทนุ คา่ ใชจ้ ่าย C (Control): ความต้องการให้มีระบบควบคุม และระบบรักษาความปลอดภยั ท่ดี ี E (Efficiency): ความต้องการเพ่มิ ประสิทธภิ าพในการปฏบิ ตั ิงาน S (Service): ความต้องการให้ปรบั ปรุงงานบริการใหด้ ียง่ิ ขึ้น มีผลทั้งต่อลกู คา้ และ พนักงาน การพฒั นาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 99 คร้ันเม่ือเกิดความต้องการปรับปรุงระบบงานขึ้นมาแล้ว จึงเป็นจุดเร่ิมต้นบทบาทของตัว นักวิเคราะห์ระบบ โดยนักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) เป็นบุคคลท่ีทาหน้าที่ประสานการ ติดต่อกับบคุ คลในระดับต่าง ๆ เพ่ือศึกษาถึงปัญหาและความตอ้ งการขององค์กร ด้วยการนาเทคโนโลยี สารสนเทศเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาทางธุรกิจ นักวิเคราะห์ระบบจะมีความรู้ทางธุรกิจที่ดี มีความ เชี่ยวชาญด้านการวเิ คราะห์และออกแบบระบบงานทางธุรกิจ เพ่ือนาไปสู่การได้มาของระบบที่สามารถ นามาใช้เพอื่ แกป้ ญั หาได้ตรงจุด และตรงตามความตอ้ งการของผู้ใช้ บทสรปุ ของระยะการวางแผนโครงการ ประกอบไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ กาหนด ปญั หาศกึ ษาความเป็นไปไดข้ องโครงการ การบรหิ ารโครงการ เพ่อื ควบคุมกจิ กรรมการพฒั นาระบบให้ ดาเนินไปดว้ ยดี 3.2 ระยะที่ 2: การวิเคราะห์ (Analysis Phase) ระยะการวิเคราะห์จะต้องมีคาตอบเกี่ยวกับคาถามว่าใคร(Who) เป็นผู้ท่ีใช้ระบบ และมี อะไรบ้าง (What) ที่ระบบต้องทา ในระยะน้ี นักวิเคราะห์ระบบจะต้องดาเนินการในขั้นตอนของการ วเิ คราะหร์ ะบบงานปัจจุบนั เพอื่ นามาพฒั นาแนวความคิดสาหรบั ระบบใหม่ วัตถุประสงค์หลักของระยะการวิเคราะห์ก็คือ จะต้องศึกษาและทาความเข้าใจในความ ต้องการต่าง ๆ ท่ีได้รวบรวมมา ดังนั้น การรวมรวบความต้องการ (Requirements Gathering) จึง จัดเป็นงานส่วนพ้ืนฐานของการวิเคราะห์ โดยข้อมูลความต้องการเหล่าน้ี นักวิเคราะห์ระบบจะนามา วเิ คราะห์เพื่อท่ีจะประเมินวา่ ควรมอี ะไรบ้างทร่ี ะบบใหม่ตอ้ งดาเนนิ การ Business Process Requirements Requirements Business Information Gathering and Analysis Specification Business Rules รปู ท่ี 4.3 การรวบรวมขอ้ มลู หรือความต้องการจากแหลง่ ต่าง ๆ เพอ่ื นามาสรปุ เปน็ ข้อกาหนด ทมี่ า: โอภาส เอีย่ มสิริวงศ.์ (2554) นักวิเคราะห์ระบบสามารถรวบรวมความต้องการต่าง ๆ ได้จากการสังเกตการณ์ จากการ ทางานของผู้ใช้ การใช้เทคนิคการสัมภาษณ์ หรือการจัดทาแบบสอบถาม การอ่านเอกสารเกย่ี วกับการ ปฏิบัตงิ านของระบบงานปัจจุบนั ระเบียบกฎเกณฑข์ องบริษัท และการมอบหมายตาแหน่งหนา้ ท่ีความ รับผิดชอบ ซ่ึงในช่วงของการรวบรวมข้อมูลความต้องการ ก็จะได้พบปะกับผู้ใช้ในระดับต่าง ๆ ทาให้ รับรู้ถึงปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่แนะนาโดยผู้ใช้ ดังน้ันการรวบรวมความต้องการ จึง จัดเป็นกจิ กรรมสาคัญเพ่ือค้นหาความจรงิ และต้องทาความเข้าใจซ่งึ กนั และกนั การพัฒนาระบบสารสนเทศ
100 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 หลังจากนาความต้องการต่าง ๆ มาสรุปเป็นข้อกาหนดท่ีชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ นักวิเคราะห์ระบบจะนาข้อกาหนดเหล่าน้ันไปพัฒนาออกมาเป็นความต้องการของระบบใหม่ โดย เทคนิคด้ังเดิมที่นิยมก็คือ การพัฒนาแบบจาลองกระบวนการ ซึ่งเป็นแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างกระบวนการและข้อมูลในระบบ และต่อไปก็ดาเนินการพัฒนาแบบจาลองข้อมูล ข้ึนมาเพ่ือ อธิบายความสมั พันธร์ ะหวา่ งขอ้ มลู ทนี่ ามาใช้สนบั สนุนกระบวนการตา่ ง ๆ บทสรปุ ของระยะการวเิ คราะห์ ประกอบไปด้วยกจิ กรรมต่าง ๆ ดังน้ี 1. วเิ คราะหร์ ะบบงานปัจจุบนั 2. สรา้ งขอ้ กาหนดความต้องการ 3. สรา้ งแบบจาลองกระบวนการ 4. สรา้ งแบบจาลองข้อมลู 3.3 ระยะที่ 3: การออกแบบ (Design Phase) ระยะการออกแบบ จะนาแบบจาลองเชิงตรรกยะท่ีถูกสร้างขึ้นจากระยะการวิเคราะห์ มา สร้างเป็นแบบจาลองเชงิ กายภาพเพื่อนาไปสกู่ ารออกแบบทางออกของระบบได้อย่างไร (How) โดยการ ออกแบบระดับสูงจะประกอบด้วยการพัฒนาโครงสร้างสถาปัตยกรรมสาหรับโปรแกรมซอฟต์แวร์ ฐานข้อมลู ยูสเซอร์อินเตอร์เฟซ และสภาพแวดล้อมการปฏิบัติการ สว่ นการออกแบบระดบั ต่าลงมา ก็จะ ประกอบดว้ ย การพัฒนาอัลการทิ มึ และโครงสร้างข้อมูลที่จาเปน็ ตอ่ การนาไปพัฒนาโปรแกรม อย่างไรกต็ ามกจิ กรรมของระยะการออกแบบท่สี าคัญ คือ การจัดหาระบบ (System Acquisition)ซง่ึ แตล่ ะวธิ ตี า่ งกม็ ขี ้อดแี ละข้อเสยี แตกตา่ งกันไป ดงั รายละเอยี ดต่อไป 3.3.1 การพัฒนาโปรแกรมขึ้นเอง (ln-house/Custom Development) หมายถึง หน่วยงานจะมีการจัดต้ังแผนกพัฒนาระบบสารสนเทศขึ้นมา และใช้บุคลากรขององค์กรเป็นผู้พัฒนา ระบบ โดยแนวทางดังกลา่ วมีข้อดแี ละข้อเสียดงั น้ี ข้อดี 1. โปรแกรมท่ีพัฒนา สามารถตอบสนองความต้องการแก่ผใู้ ช้มากทสี่ ดุ เนื่องจากเจ้าของระบบกบั ทมี พัฒนาเป็นบคุ ลากรภายในองค์กรเดียวกัน โดยไมต่ ้องกังวลกับการปรบั เปลยี่ นโปรแกรมที่ต้องเสยี คา่ ใช้จ่ายเพ่ิมเติม 2. ลดคา่ ใชจ้ ่ายด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เน่ืองจากภายในองคก์ รสามารถจัดหาอุปกรณ์ท่ีจาเป็นต่อการ ใชง้ านเทา่ นั้น 3. เนื่องจากทมี พัฒนาระบบเป็นบคุ คลภายในองคก์ ร จงึ มีความรเู้ กี่ยวกบั วัฒนธรรมองคก์ รเปน็ อยา่ งดีทาใหผ้ ้ใู ช้ระบบกับทมี งานมคี วามคุน้ เคย ไม่ตอ้ งมีสงิ่ กังวลใดๆ การพัฒนาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 101 4. หากระบบเกิดข้อขดั ขอ้ ง ผู้ใช้งานสามารถเรยี กใชบ้ รกิ ารจากทีมงานภายในได้ทนั ที ข้อเสีย 1. หน่วยงานระบบสารสนเทศ ต้องมีความพร้อมทางด้านบุคลากรและเวลา กล่าวคือ อาจ จาเป็นต้องส้ินเปลืองค่าใช้จ่ายท้ังในด้านการสรรหา การฝึกอบรม และเวลาท่ีต้องใช้ไปกับการฝึกฝน เพ่ือใหบ้ คุ ลากรมคี วามรคู้ วามสามารถเพยี งพอ ต่อการรว่ มกนั พัฒนาระบบกบั ทีมงาน 2. เอกสารประกอบโปรแกรม และแผนภาพระบบงานตา่ งๆ อาจไมไ่ ดร้ บั การจดั ทา หรือจัดทาแบบ ไมเ่ ป็นมาตรฐาน 3. ไม่เหมาะกับระบบงานที่มีความซับซ้อนสูง เนื่องจากทีมงานภายในองค์กรมีประสบการณ์และ ความเช่ียวชาญค่อนขา้ จากัด เพราะอาจทาใหร้ ะบบทีพ่ ัฒนานัน้ ไมส่ าเรจ็ ตามทคี่ าดหวัง 3.3.2 การซื้อโปรแกรมสาเร็จรูป (Package Software) เป็นการซื่อโปรแกรมสาเร็จรูป พร้อมใช้งามได้ทันทีจัดเป็นวิธีที่มีความรวดเร็ว ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาขึ้นมามาก การซื่อ โปรแกรมสาเร็จรูปในปัจจุบันมีอยู่ 2 แนวทางหลัก ๆ ด้วยกันคือ (1) โปรแกรมสาเร็จรูปที่เหมาะกับ ธุรกิจขนาดเล็ก ท่ีมีจาหน่ายอยู่ตามร้านค้าไอทีหรือตามเว็บไซต์ท่ัวไป โดยมักเป็นโปรแกรมที่มีรูปแบบ การดาเนินธุรกิจคล้าย ๆ กัน เช่น ระบบบัญชี ระบบซ้ือมาขายไป โดยมีราคาที่ไม่สูงมากนัก ผู้ใช้ สามารถซื้อมาติดต้ังเพื่อใช้งานบนเครื่องได้ด้วยตนเอง (2) โปรแกรมสาเร็จรูปขนาดใหญ่ เช่น ระบบ ERP โปรแกรมเหล่าน้มี ักเป็นโปรแกรมจากต่างประเทศ มรี าคาสงู และหากองคก์ รตดั สินใจซื้อระบบนี้ องค์กรอาจมีการปรับปรุงกระบวนการธุรกิจเพ่ือเดินตามซอฟต์แวร์ท่ีได้รับการออกแบบมา หรือผู้ขาย ระบบ ERP ต้องปรับปรุงโปรแกรมให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ หน่วยงานที่ซื้อโปรแกรมสาเร็จรูปนี้มาใช้ และต้องการซอร์สโค้ดเพื่อนามาปรับปรุงหรือจัดทาโมดูล เพ่ิมเติมด้วยทีมงานภายในองค์กรเอง ก็สามารถกระทาได้ แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพ่ิมโดยแนวทาง ดังกล่าวมีขอ้ ดีและขอ้ เสียดงั น้ี ข้อดี 1. โปรแกรมสาเรจ็ รปู ทซ่ี ้ือมาสามารถนามาใช้งานได้ทนั ที รวดเรว็ (กรณีเป็นระบบขนาดเล็ก) 2. โปรแกรมมีคุณภาพ มีเอกสารประกอบการใช้งาน หรือเอกสารเกย่ี วกบั ระบบครบถ้วนและ เปน็ ไปตามมาตรฐาน 3. หากโปรแกรมมีการปรบั ปรุงเวอร์ชน่ั กส็ ามารถติดต่อกับตัวแทนจาหน่ายเพ่ือทาการปรับปรงุ ได้ โดยไม่เสยี ค่าใช้จ่าย หรืออาจตอ้ งเสียคา่ ใช้จา่ ยเล็กน้อย 4. ไดร้ ับการบริการและคาปรึกษาจากบริษัทตัวแทนจาหน่าย ข้อเสยี 1. ต้องคัดเลือกซื้อโปรแกรมสาเร็จรูปจากบริษัทหรือตัวแทนจาหน่ายท่ีมีความน่าเช่ือถือ และ ควรพิจารณาถึงหน่วยงานอ่ืน ๆ ที่มีการใช้งานโปรแกรมดังกล่าว เพ่ือใช้เป็นข้อมูลประกอบการ การพัฒนาระบบสารสนเทศ
102 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 ตัดสินใจซื้อ รวมถึงความมั่นคงของบริษัท เช่น หากบริษัทดังกล่าวปิดกิจการ ย่อมส่งผลกระทบต่อ ลกู คา้ ทใี่ ช้งานระบบ 2. คา่ ใช้จ่ายสงู กรณีทเี่ ป็นระบบงานขนาดใหญอ่ ย่างระบบ ERP ซง่ึ มีค่าใชจ้ ่ายหลกั ลา้ นข้นึ ไป 3. ผู้ใช้งานในองค์กร จาเป็นต้องได้รับการฝึกอบรม และจะต้องปฏิบัติตามกระบวนการทาง ธรุ กิจที่ระบบไดอ้ อกแบบไว้เท่าน้ัน 4. หากระบบเกิดข้อขดั ขอ้ ง จาเป็นตอ้ งไดร้ ับการปรึกษาจากบริษทั ตัวแทนจาหนา่ ยเทา่ น้ัน 3.3.3 การว่าจา้ งหนว่ ยงานภายนอก (Outsourcing) เป็นการวา่ จ้างหน่วยงานภายนอก เข้ามาพัฒนาและดูแลระบบให้ท้ังหมด แทนท่ีจะใช้บุค-ใลากรภายในองค์กรเอง เนื่องจากบุคลากร ภายในองค์กร อาจมีความรู้ความสามารถไม่เพียงพอ ไม่สามารถติดตามเทคโนโลยีได้ทัน หรือองค์กร ต้องการใช้ความสามารถหลักในการพัฒนาธุรกิจของตน ส่วนงานในด้านอ่ืน ๆ ที่ตนไม่ถนัดก็ใช้วิธีการ เอาต์เซอร์สแทน ปัจจุบันแนวทางการพัฒนาระบบด้วยการว่าจ้างหน่วยงานภายนอกหรือการเอาต์ เซอร์สน้ัน ไดร้ บั ความนิยมสงู ขน้ึ กว่าเดมิ มากเมื่อเทียบกบั อดีต ซ่ึงบริษัทเอาต์ซอรส์ มักมีกลมุ่ บุคลากรท่ี มีความรู้ ความเช่ยี วชาญ และมีประสบการณด์ ้านเทคโนโลยสี ารสนเทศที่ทันสมัย สามารถพฒั นาและ ดแู ลระบบทมี่ ีความซบั ซ้อนได้อยา่ งดี โดยแนวทางดงั กลา่ วมีขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี ดงั น้ี ข้อดี 1. เหมาะสาหรับองค์กรที่ไม่มีความพร้อมด้านการพัฒนาระบบงานด้วยตนเอง องค์กรไม่ต้อง ลงทุนเองเก่ียวกับทรัพยากร และบุคลากร ปล่อยให้เป็นหน้าท่ีของบริษัทเอาต์ซอร์สท่ีมีความพร้อมและ ความชานาญเป็นผพู้ ัฒนาระบบและจัดสรรให้ 2. หนว่ ยงานไดใ้ ช้ระบบงานที่ทันสมยั มีเทคโนโลยใี หม่ ๆ 3. มนั่ ใจไดว้ ่าจะได้ระบบตามความตอ้ งการ และส่งมอบระบบตรงเวลา 4. สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ซ่ึงอาจมีการแบ่งชาระเป็นงวดรายเดือน รายปี แล้วแต่เง่ือนไขที่ตกลง กนั ในสญั ญา 5. การปรับปรุงระบบให้มีความทันสมัยยิ่งข้ึน ทาให้ง่าย เน่ืองจากบริษัทเอาต์ซอร์สสามารถ ปรบั ปรงุ ระบบใหเ้ ปน็ ไปตามเทคโนโลยที ีเ่ ปลย่ี นไป 6. เอกสารเกยี่ วกบั ระบบงาน มีครบถว้ น เปน็ ระบบ และมมี าตรฐาน ขอ้ เสยี 1. บรษิ ทั เอาต์เซอร์สทมี่ ศี ักยภาพสูงในประเทศไทยยงั คงมนี ้อย 2. สูญเสียความลับขององค์กร 3. องค์กรจาเป็นต้องพึ่งพาบริษัทเอาต์ซอร์สเพื่อดูแลระบบให้ การพฒั นาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 103 4. อาจได้รบั แรงตอ่ ต้านจากพนักงานภายในองค์กร คะแนน 5. คา่ ใชจ้ ่ายสูง ตารางท่ี 4.1 ปจั จยั ดา้ นต่างๆ เกีย่ วกับการคดั เลือกอปุ กรณ์ฮารด์ แวรเ์ พ่ือใชก้ ับระบบใหม่ ปัจจยั ในการคดั เลอื กอปุ กรณฮ์ ารด์ แวร์ สมรรถนะ (Performance) พิจารณาเกี่ยวกับความเรว็ ปรมิ าณความจุและปรมิ าณงานท่สี ามารถทาได้ตอ่ หน่งึ หนว่ ยเวลา ตน้ ทนุ (Cost) เปรียบเทยี บราคาระหวา่ งราคาแบบเช่าซื้อกับราคาแบบซอ้ื สด รวมตน้ ทนุ เก่ียวกับการดาเนนิ งานและ การบารุงรักษา ความน่าเชื่อถอื (Reliability) อะไรคอื ความเส่ียงจากการทางานพลาด และอะไรทีต่ อ้ งบารงุ รกั ษา อะไรคอื วิธีการควบคมุ ขอ้ ผดิ พลาด หากเกิดขอ้ ผิดพลาดขนึ้ และวธิ กี ารตรวจวนิ จิ ฉยั ความเข้ากันได้ (Compatibility) อปุ กรณฮ์ าร์ดแวรใ์ หม่ มีความเข้ากันได้กับอุปกรณฮ์ าร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทีม่ ีอยู่เดิมหรอื ไม่? และสามารถนาไปใชร้ ว่ มกับอปุ กรณ์ฮาร์ดแวรแ์ ละซอฟต์แวร์ของผ้คู า้ รายอน่ื ได้หรอื ไม่? เทคโนโลยี (Technology) เทคโนโลยีของอปุ กรณฮ์ ารด์ แวร์เหลา่ น้ี สามารถใชง้ านไปไดอ้ กี ก่ปี ?ี เทคโนโลยนี ้ีเส่ียงตอ่ ความล้าสมัยท่เี ร็วเกนิ ไปหรอื ไม่? สามารถรองรบั เทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือไม่ อย่างไร? การยศาสตร์ (Ergonomics) อุปกรณ์ไดร้ ับการออกแบบเพอ่ื ความปลอดภยั จากการบาดเจบ็ กรณีใช้งานนาน ๆ หรอื ไม?่ เป็นอปุ กรณท์ ีใ่ ช้งานง่าย เปน็ มติ รต่อผใู้ ช้ และอานวยความสะดวกตอ่ การใชง้ านหรอื ไม่? การเชื่อมต่อ (Connectivity) ง่ายต่อการนาไปเชือ่ มตอ่ เขา้ กบั เครือขา่ ย LAN, WAN รวมถงึ เทคโนโลยเี ครอื ขา่ ยอืน่ ๆ หรือไม?่ การรองรบั อตั ราการเติบโตของระบบ (Scalability) สามารถรองรบั การประมวลผลจากความตอ้ งการของผู้ใชจ้ านวนมาก ๆ อนาคตไดห้ รือไม่? รวมถงึ ปริมาณทรานแซกช่นั จานวนมาก และความต้องการการประมวลผลในดา้ นอน่ื ๆ ซอฟต์แวร์ (Software) ซอฟตแ์ วรร์ ะบบและแอปพลเิ คชน่ั ซอฟตแ์ วร์ สามารถนามาใชง้ านไดด้ กี ับฮาร์ดแวรน์ ้หี รือไม?่ การสนบั สนุน (Support) มบี ริการหลงั การขาย การเรยี กใชบ้ รกิ ารเมื่อต้องการ และงานบารุงรักษาระบบหรือไม่? ผลรวมคะแนนท้งั หมด ทมี่ า: โอภาส เอ่ียมสริ วิ งศ์. (2554) การพัฒนาระบบสารสนเทศ
104 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 ตาราง 4.2 ปัจจัยเกย่ี วกบั การคดั เลอื กซอฟตแ์ วร์เพอ่ื ใช้กบั ระบบใหม่ คะแนน ปจั จยั ในการคดั เลอื กซอฟต์แวร์ คุณภาพ (Quality) ซอฟต์แวร์มีคณุ ภาพ ปราศจากบ๊ักหรือข้อผดิ พลาดใด ๆ ประสิทธภิ าพ (Efficiency) ซอฟตแ์ วรไ์ ดร้ ับการออกแบบและพฒั นาใหใ้ ช้ทรพั ยากรทตี่ า่ หรือไม่ ? เชน่ ใช้เวลาประมวลผลในซพี ยี ูไม่ มาก ใช้หนว่ ยความจาไมส่ ิ้นเปลอื ง หรือใช้พื้นทีบ่ นดสิ กน์ ้อย ความยืดหยุน่ (Flexibility) สามารถนามาใชง้ านเพอื่ จัดการกระบวนการธุรกิจได้งา่ ยหรือไม่ ? โดยไม่ต้องปรบั ปรงุ สว่ นงานหลกั ๆ ความปลอดภัย (Security) มีการจดั เตรียมข้ันตอนหรอื วธิ คี วบคุมขอ้ ผิดพลาด กบั กรณีการทางานท่ีผิดพลาด และการใช้งานท่ี ไม่ ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ ? การเชอ่ื มตอ่ (Connectivity) สามารถเขา้ ถงึ เวบ็ อินเทอรเ์ นต็ อนิ ทราเนต็ และเอ็กซท์ ราเนต็ ไดง้ า่ ยหรือไม่ ? รวมถงึ การนาไปใช้งาน ร่วมกบั เวบ็ เบราเซอร์ หรือซอฟต์แวร์ด้านเครอื ข่ายอน่ื ๆ การบารุงรักษา (Maintenance) จะมกี ารนาคณุ สมบตั ิใหม่ ๆ รวมถงึ ตวั อัปเกรดเพือ่ แกไ้ ขบกั๊ ของซอฟตแ์ วร์หรือไม่ ? และสามารถ ดาเนนิ การติดตั้งเพ่มิ เตมิ ด้วยตนเองได้งา่ ยหรือไม่ ? เอกสาร (Documentation) ซอฟต์แวร์ได้จดั เตรียมเอกสารไวอ้ ยา่ งครบถ้วนหรือไม่ ? และมรี ะบบการชว่ ยเหลอื ผา่ นทางจอภาพหรือการ ชว่ ยเหลือผ่านตัวแทนจาหน่ายซอฟตแ์ วร์หรือไม่ ? ฮารด์ แวร์ (Hardware) อปุ กรณฮ์ ารด์ แวร์ที่ใชง้ านอยู่ มีคุณสมบตั ิเพยี งพอต่อการใชง้ านกบั ซอฟต์แวรด์ งั กลา่ วไดด้ หี รอื ไม่ ? ปจั จัยดา้ นอนื่ ๆ (Other Factors) การพจิ ารณาเกีย่ วกบั สมรรถนะ ต้นทนุ ความน่าเชอ่ื ถือ ความเขา้ กนั ได้ เทคโนโลยี การเชอ่ื มตอ่ การรองรับอัตราการเตบิ โต และการสนบั สนนุ (สามารถนาคาถามการประเมินฮารด์ แวร์จากรปู ที่ 11.20มา ประยกุ ตใ์ ชเ้ พมิ่ เติมได้) ผลรวมคะแนนทั้งหมด ทมี่ า: โอภาส เอ่ียมสริ วิ งศ.์ (2554) การพฒั นาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 105 ตารางที่ 4.3 เปรยี บเทยี บข้อดีและข้อเสยี ของวิธีการจดั หาอปุ กรณร์ ะบบในแต่ละวธิ ี วธิ ีการจัดหาระบบ ข้อดี ขอ้ เสีย ตอ้ งชาระเงินกอ้ นใหญ่ในครั้งเดยี ว รวมถงึ การจดั ซือ้ จดั เปน็ วิธีทป่ี ระหยดั ทสี่ ดุ ในระยะยาวสามารถใชง้ าน เสยี่ งต่อการล้าสมัยในอนาคต และหากระบบ เกิดปญั หา อาจจาเป็นต้องรับผิดชอบเอง อปุ กรณต์ ่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเต็มที่ เน่อื งจากทรัพย์สนิ นัน้ จดั เป็นวิธที ีม่ ีคา่ ใช้จ่ายสงู ทส่ี ดุ มเี พยี งบาง หนว่ ยงานเท่านัน้ ทีใ่ ห้บริการเชา่ รวมถึงผ้เู ชา่ เป็นกรรมสทิ ธข์ิ องเรา อาจมขี ้อจากดั ในเรือ่ งการใช้งานอปุ กรณ์ การเช่า เป็นสัญญาเช่าระยะส้นั มคี วามยดื หยุน่ สงู ใช้ได้ดี มีคา่ ใช้จ่ายสงู กว่าการซอ้ื สด และอาจมี ขอ้ จากัดดา้ นการใช้อปุ กรณ์ เนอ่ื งจาก สาหรับระบบงานท่ตี อ้ งการใช้เทคโนโลยที สี่ งู หรอื กรรมสทิ ธิ์ยังไมไ่ ด้ ตกเปน็ ของเราจนกวา่ จะ ชาระคา่ งวดครบถว้ น ปรบั เปลย่ี นอย่เู สมอ รวมถึงการไมต่ ้องชาระเงนิ กอ้ น ใหญ่ การเชา่ ซอ้ื การชาระค่างวด จะเท่ากันทุก ๆ งวด โดยไม่ จาเปน็ ต้องชาระเงินก้อนใหญ่ จะได้รบั กรบริการทด่ี ี จากผใู้ ห้บรกิ ารเช่าซอื้ ความเส่ียงด้านความลา้ สมยั ของระบบมนี ้อย และมคี า่ ใชจ้ ่ายทนี่ อ้ ยกวา่ การเชา่ ที่มา: โอภาส เอย่ี มสิรวิ งศ.์ (2554) จากตารางที่ 4.1-4.3 ระยะการออกแบบยังเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเพ่ือคัดเลือกอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แสดงรายละเอียดของปัจจัยต่างๆ ต่อการคัดเลือกอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และ ซอฟต์แวร์เพ่ือใช้งานกับระบบใหม่ รายละเอียดข้อดีและข้อเสียของวิธีการจดั หาระบบด้วยวิธีการจัดซือ้ การเชา่ และการเช่าซ้อื 4.4 ระยะที่ 4: การนาไปใช้ (Implementation Phase) ระยะการนาไปใช้ เป็นการนาสิ่งที่ได้จากระยะการออกแบบมาดาเนินการให้เกิดผลขึ้นมาด้วย การสร้างระบบ การทดสอบระบบ และการปรับเปล่ียนระบบใหม่ สาหรับวัตถุประสงค์หลักของ กิจกรรมในระยะนี้ ไม่ใช่แค่เพียงความน่าเชื่อถือของระบบหรือระบบต้องสามารถทางานได้ดีเท่านั้น แต่ต้องมั่นใจว่าผู้ใช้ระบบต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อใช้งานระบบใหม่ และความคาดหวังขององค์กรท่ี ต้องการผลตอบแทนจากการนาระบบใหม่มาใช้ สาหรับระยะการนาไปใช้จัดเป็นระยะสาคัญทีเดียว เพราะทุกกิจกรรมจะต้องถูกนาเข้ามาดาเนินการร่วมกัน เพื่อให้ระบบสามารถปฏิบัติงานได้ลงเอยใน ทสี่ ดุ สาหรบั กิจกรรมสาคัญของระยะการนาไปใช้ ทีจ่ ะกล่าวถงึ ต่อไปนี้คือ การปรับเปลีย่ นระบบ (System Changeover) ซ่งึ เป็นวธิ นี าระบบใหมม่ าใช้ทดแทนระบบเดิม ตอ่ ไปนี้ เปน็ รายละเอยี ดต่าง ๆ ของแต่ละวิธี ที่นักวเิ คราะหร์ ะบบสามารนามาพิจารณาใหเ้ ขา้ กับเหตุการณ์ในแตล่ ะสถานการณ์ การพฒั นาระบบสารสนเทศ
106 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 4.4.1 การปรับเปล่ียนระบบโดยทันที (Direct Cutover) เป็นวิธีการปรับเปล่ียนระบบที่ งา่ ยที่สดุ ด้วยการหยุดใชง้ านระบบเดิม และนาระบบใหม่มาใช้งานโดยทันที ดังนนั้ การดาเนินงานทาง ธุรกิจในขณะนั้นจะไม่มีระบบเดิมคอยรองนับ ทาให้มีโอกาสเสี่ยงต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจากระบบ ใหมไ่ ด้เสมอ 4.4.2 การปรับเปลี่ยนแบบคู่ขนาน (Parallel Operation) เป็นวิธีการปรับเปล่ียนระบบ ที่ยังคงนาระบบเดิมกับระบบใหม่ใช้งานควบคู่กันไป ด้วยการรัน 2 ระบบคู่ขนานไปสักระยะหน่ึง จนกระทั่งม่ันใจได้ว่า ระบบใหม่มีความน่าเชื่อถือ จึงยกเลิกระบบงานเดิมไป แล้วหันมาใช้ระบบใหม่ แทน วิธีน้ีจัดเป็นวิธีการปรับเปลี่ยนระบบท่ีมีความปลอดภัยสูง เพราะหากระบบใหม่เกิดข้อผิดพลาด ขึ้น ก็ยังมีระบบเดิมคอยรองรบั หรือสนับสนุนอยู่ แต่ก็เป็นวิธีท่ีตอ้ งใช้กาลังคนและใชเ้ วลามาก รวมถงึ ต้นทนุ สูงท่ีสดุ เมื่อเทยี บกับวิธอี ืน่ ๆ 4.4.3 การปรับเปลี่ยนระบบแบบทีละเฟส (Phased Operation) เป็นวิธีการปรับเปลีย่ น ระบบ ด้วยการนาระบบมาติดต้ังใช้งานทีละระบบย่อย เช่น เร่ิมต้นจากระบบบัญชี ท่ีได้นาระบบ บัญชีลูกหน้ีมาใช้งานก่อน จากนั้นก็ค่อยเป็นระบบบัญชีเจ้าหนี้ และระบบบัญชแี ยกประเภทตามลาดบั เป็นต้น การปรับเปลี่ยนระบบด้วยวิธีน้ีเหมาะสมกับธุรกิจท่ีมีระบบงานขนาดใหญ่ มีความซับซ้อนสูง โดยการนาระบบใหม่มาใช้ด้วยการปรับเปลี่ยนทลี ะเฟสจะไมส่ ง่ ผลกระทบต่อระบบโดยรวม ส่วนขอ้ เสีย ก็คือ อาจใช้เวลามากเกินไปกับบางระบบงาน และส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอ่ืน ๆ ท่ีต้องรอการ ปรบั เปลีย่ นใช้งานในเฟสถดั ไป 4.4.4 การปรับเปลี่ยนแบบนาร่อง (Pilot Operation) กรณีที่ระบบใหม่ถูกนามาใช้งาน ตามหน่วยธรุ กจิ มากกว่าหนึง่ หนว่ ย เช่น ตามแต่ละแผนก ก็อาจใชว้ ิธีการนารอ่ งดว้ ยการเรม่ิ จากแผนก ใดแผนกหนึ่งก่อน เพ่ือลดความเสี่ยง เพราะหากเกิดข้อบกพร่องใด ๆ ข้ึนมา ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อ แผนกอ่ืน ๆ 4.5 ระยะท่ี 5: การบารุงรักษา (Maintenance Phase) บทบาทของทีมงานพัฒนาระบบมิใช่จะจบส้ินโดยทันที ภายหลังส่งมอบระบบใหม่ที่เรียบร้อย แล้ว เน่ืองจากจะต้องสนับสนุนและบารุงรักษาระบบ เพ่ือให้เกิดความมั่นใจต่อความพึงพอใจในด้าน การปฏบิ ตั ิงานของผใู้ ช้ สง่ิ ที่ต้องรบั ผิดชอบในระยะนี้กค็ ือ การบารุงรกั ษาระบบ และการช่วยเหลอื ผู้ใช้ บทสรปุ ของระยะการบารุงรักษา ประกอบไปด้วยกจิ กรรมต่าง ๆ ตามรายละเอียดดังน้ี 4.5.1 การบารุงรักษาระบบ (System Maintenance) ต้องเข้าใจว่าระบบท่ีใช้งานอยู่ ในวันข้างหน้าอาจพบปัญหาบางสิ่งบางอย่างได้เสมอ รวมถงึ ความตอ้ งการใหม่ ๆ ท่ีจะปรบั ปรุงเพิม่ เติมในอนาคต ดังนัน้ การบารุงรักษาระบบ จึงมเี ปา้ หมาย เพือ่ ให้ระบบสามารถใช้งานต่อไปได้ตลอดอายุการใชง้ านเทา่ ท่ีควรจะเป็น อนั ประกอบด้วย การพัฒนาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 107 1) การบารุงรักษาระบบด้วยการแก้ไขให้ถูกต้อง (Corrective Maintenance)ใน บางคร้ังข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่ได้ถูกค้นพบระหว่างการทดสอบ แต่กลับค้นพบในระหว่างการใช้งาน จรงิ ดังนัน้ เม่ือพบข้อผิดพลาดดังกลา่ ว จงึ ตอ้ งได้รบั การแก้ไขหรือปรับปรงุ ใหถ้ ูกต้องโดยทันที 2) การบารุงรักษาระบบด้วยการดัดแปลง (Adaptive Maintenance)เป็นการ บารุงรักษาด้วยการดัดแปลง หรือปรับระบบให้สามารถรองรับกับสภาพแวดล้อมใหม่ท่ีได้รับการ เปลย่ี นแปลง เช่น กรณที ่ีมีการปรบั เปลย่ี นอปุ กรณฮ์ าร์ดแวร์ ระบบปฏิบตั ิการ และสง่ ผลตอ่ ระบบงาน ที่ดาเนินงานอยู่เกิดข้อขัดข้อง อันเน่ืองมาจากสภาพแวดล้อมท่ีเปล่ียนแปลงไปจากเดิม จึงต้องมีการ ดดั แปลงแก้ไข เพื่อใหร้ ะบบงานสามารถรนั อยูบ่ นสภาพแวดล้อมใหม่ไดโ้ ดยไม่ติดขดั 3) การบารุงรักษาระบบด้วยการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น (Perfective Maintenance) เป็นการบารุงรักษาระบบด้วยการปรับปรุงกระบวนการที่มีอยู่ให้ดียิ่งข้ึนกว่าเดิม ซึ่งรวมถึงการเพ่ิม คณุ สมบัตใิ หมๆ่ เขา้ ไปในระบบ 4) การบารุงรักษาระบบด้วยการปอ้ งกนั (Preventive Maintenance) เปน็ การ บารุงรักษาเพ่ือป้องกันการเกิดเหตลุ ่วงหน้า ซงึ่ มีส่วนช่วยลดขอ้ ผดิ พลาดท่ีอาจเกิดขึน้ ในอนาคตได้ เชน่ การออกแบบใหร้ ะบบสามารถรองรับปรมิ าณข้อมลู ท่แี นวโนม้ ในอนาคตจะเพม่ิ ข้ึนอย่างมหาศาล เป็น ตน้ 4.5.2 การช่วยเหลอื ผูใ้ ช้ (User Help) การบารุงรักษาระบบที่มีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ลจะมคี วามเป็นไปได้สูงทีเดียว หากมี การจัดทาเอกสารท่ีดี ซึ่งจะถูกจัดทาข้ึนเมื่อระบบได้รับการพัฒนาขึ้นมาแล้ว และหากมีรายละเอียด โปรแกรมหรือซอร์สโค้ดท่ีเขียนในรูปแบบโครงสร้าง อ่านง่าย และง่ายต่อการไล่โปรแกรม ก็จะ ช่วยเหลือผู้ใช้ท่ีเป็นโปรแกรมเมอร์ได้อย่างดี ปกติแล้ว เอกสารจะมีอยู่ 3 ชนิดหลัก ๆ ด้วยกันคือ (1) คู่มือการปฏิบัติงาน (2) เอกสารอินเล็กทรอนิกส์ และ (3) เอกสารสาหรับโปรแกรม ดังน้ันการเลือกใช้ เอกสารเหล่าน้ีข้ึนอยู่กับผู้ใช้งานแต่ละระดับ เช่น คู่มือปฏิบัติงาน ท่ีจะแนะนาวิธีใช้งานและข้ันตอน การปฏิบัติงาน เหมาะสาหรับผู้ใช้ท่ัวไปหรอื ผู้ท่ีปฏบิ ัติกับระบบเป็นประจา ส่วนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงอาจจัดเก็บไว้บนส่ืออย่างซีดีหรือดีวีดี ก็สามารถอ่านข้ันตอน และวิธีใช้งานผ่านทางจอภาพ หรือ อาจสัง่ พมิ พ์ในหวั เรื่องเฉพาะท่ีต้องการ และถ้าตอ้ งการทาความเข้าใจถึงโมดลู โปรแกรมแบบย่อ ๆ หรอื รหัสคาส่งั ทเ่ี ขียนข้ึน ก็ตอ้ งอา้ งอิงเอกสารสาหรับโปรแกรม เปน็ ตน้ นอกจากนี้อาจมีบริการ Help Desk ทม่ี ีการจัดเตรยี มผู้เช่ยี วชาญทางไอทไี วค้ อยให้คาปรกึ ษาแก่ผูใ้ ช้ กรณที ่ผี ้ใู ชเ้ กิดปัญหาจากการใช้ระบบ การพัฒนาระบบสารสนเทศ
108 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 สรปุ การสร้างระบบใหมข่ ้นึ มาเพื่อใชง้ านในองค์กรเป็นส่วนหนงึ่ ของแผนการเพือ่ เปลีย่ นแปลงองค์กร เน่ืองจากระบบสารสนเทศใหม่ท่ีจะถูกนามาใช้งานทาการติดต้ังอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ การ เปลย่ี นแปลงในดา้ นทักษะงาน การจดั การ และองคก์ ร ดงั น้ันเม่ือมีการออกแบบระบบสารสนเทศผู้สร้าง ระบบจะต้องเข้าใจถึงผลกระทบที่จะเกิดข้ึน โดยเฉพาะกระบวนการธุรกิจและภาพรวมขององค์กร ท้ังหมด ระบบสารสนเทศ สามารถถูกสร้างขึ้นได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น กรณีท่ีองค์กรมีแผนกพัฒนา ระบบสารสนเทศ ก็อาจพัฒนาระบบขึ้นมาใช้งานเอง หรือว่าจ้างบริษัทภายนอกพัฒนาระบบให้ หรือ ซื้อซอฟต์แวร์สาเร็จรูปมาปรับใช้กับองค์กร ดังน้ันการวางแผนจึงเป็นส่ิงสาคัญต่อการวางแนวกลยุทธ์ ทางไอที กับกลยทุ ธ์ขององค์กรทัง้ หมดรวมเข้าด้วยกนั วงจรการพัฒนาระบบ หรือ SDLC ประกอบไปด้วยระยะต่าง ๆ ดังน้ี การวางแผนโครงการ การวเิ คราะห์ การออกแบบ การนาไปใช้ และการบารุงรกั ษา การพัฒนาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 109 แบบฝกึ หัด 1. จงอธิบายการพัฒนาระบบและการเปลยี่ นแปลงองค์กรว่ามีผลอยา่ งไรกับผู้อยใู่ นองคก์ รนน้ั 2. การวางแผนระบบสารสนเทศ หมายถงึ อะไร ประกอบด้วยอะไรบา้ ง 3. จงอธิบายวงจรการพฒั นาระบบได้ 4. ยกตวั อยา่ งระบบและออกแบบการพฒั นาระบบ 5. ให้บอกวธิ กี ารเลือกฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ท่ีเหมาะสมกับการพัฒนาระบบ การพฒั นาระบบสารสนเทศ
110 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 เอกสารอ้างอิง จติ ติมา วงศ์วฒุ ิวัฒน,์ นิตยา วงศ์ภนิ นั ท์วัฒนา และ ปัญจาศี ปุณณชัยยะ. (2547). การวิเคราะห์และ ออกแบบระบบ. กรงุ เทพฯ: เพยี ร์สนั เอด็ ดเู คช่ัน อนิ โดไชน่า. ปานใจ ธารทศั นวงศ์. (2554). การวิเคราะห์และออกแบบระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในมมุ มองดา้ น การบริหาร. กรุงเทพฯ: สนิ ทวกี ารพิมพ์. โอภาส เอ่ียมสิรวิ งศ์. (2554). ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ(Management Information Systems: MIS). กรงุ เทพฯ: ซเี อ็ดยูเคขัน่ . การพัฒนาระบบสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 111 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 5 รายวชิ า การจดั ระบบสารสนเทศทางการศึกษาด้วยคอมพิวเตอร์ หวั ข้อเนื้อหา 1. ความหมายของระบบสารสนเทศการจัดการด้านการศึกษา 2. การจัดเกบ็ ข้อมลู ในสถานศึกษา 3. แนวคดิ ของระบบ 4. บทบาทพื้นฐานของระบบสารสนเทศในองค์กร 5. บทบาทและความสาคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีมีต่อการบริหารจัดการศกึ ษา 6. การจดั การระบบสารสนเทศในสถาบนั อดุ มศกึ ษา 7. ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การทางการศึกษา 8. ตัวอย่างของระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การทางการศึกษา วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. อธิบายความหมายของระบบสารสนเทศการจัดการด้านการศกึ ษาได้ 2. บอกขน้ั ตอนการจดั เก็บข้อมลู ในสถานศึกษาได้ 3. บอกแนวคิดและหลักการของระบบได้ 4. อธบิ ายบทบาทพ้ืนฐานของระบบสารสนเทศในองค์กรได้ 5. บอกบทบาทและความสาคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศทมี่ ีต่อการบริหารจดั การศึกษาได้ 6. อธบิ ายวธิ ีการจัดการระบบสารสนเทศในสถาบนั อดุ มศึกษาได้ 7. อธิบายระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การทางการศึกษาได้ 8. บอกตวั อยา่ งของระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการทางการศึกษาได้ ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การทางการศกึ ษา
112 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. บรรยายเนอื้ หาในแต่ละหวั ข้อ พร้อมยกตัวอยา่ งประกอบ 2. ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน 3. ผ้สู อนสรปุ เนอื้ หา และซักถามในชัน้ เรียน 4. ทาแบบฝกึ หัดเพอ่ื ทบทวนบทเรยี น 5. ผู้เรียนถามข้อสงสยั สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชาการจัดการสารสนเทศทางการศึกษาด้วยคอมพวิ เตอร์ 2. ภาพเล่ือน (Slide) 3. ตวั อย่างจากหนงั สือวิชาการจัดการสารสนเทศทางการศึกษาและเวบ็ ไซต์ที่เก่ยี วข้อง 4. เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ การวดั ผลและการประเมนิ 1. ประเมินจากการซกั ถามในช้ันเรยี น 2. ประเมินจากการทาแบบฝกึ หดั ท้ายบท 3. ประเมนิ จากความรบั ผดิ ชอบตอ่ การเรยี น ระบบสารสนเทศเพือ่ การจดั การทางการศึกษา
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 113 บทที่ 5 ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การทางการศึกษา การศึกษาท่ีมีคุณภาพและมาตรฐาน ส่งผลทาให้ผู้เรียนมีศักยภาพครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมที่จะ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไปในอนาคตได้อย่างมีมาตรฐานเท่าเทียมกัน คาว่าต้อยโอกาสในสงคมจะไม่ปรากฏ การศึกษามีคุณภาพได้น้ันต้องมาจากข้อมูลบุคคล ข้อมูลสังคม ข้อมูลประเทศ รวมถึงข้อมูลของกระแส โลกที่ตอ้ งมากระทบกับบุคคลอยา่ งหลีกเลยี่ งไมไ่ ด้ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เมือ่ ทาการรวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินผลเป็นไปตามลาดับ การเรียบเรียงถ้อยคาและข้อความจากข้อมูล จะแปรสภาพมาเป็น ข้อมูลสารสนเทศ เม่ือนาสารสนเทศมาจัดหมวดหมู่ จาแนกประเภทให้มีความสะดวกต่อการใช้จึงเป็น ระบบสารสนเทศ การนาระบบสารสนเทศไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในกิจกรรมของงานด้านต่างๆ เรียกว่า ระบบ สารสนเทศเพอ่ื การจัดการ (Management Information System: MIS) ระบบการจดั การสารสนเทศท่ี มีอยู่ทั้งของบุคคลและองค์กร จึงสามารถนาไปใช้ในด้านต่างๆ เพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนา ทาความเจรญิ ก้าวหน้า เชน่ อาจจะนาไปใช้ในด้านธุรกิจเพ่ิมรายได้ ลดรายจา่ ย แสวงหาผลกาไร ลดการ ขาดทุน เรียกว่า ระบบสารสนเทศการจัดการด้านธุรกิจ (Business Management Information System: BMIS) หากนาไปใชใ้ นด้านการเรยี นการสอนหรือการศึกษาเป็นหลกั เรยี กว่า ระบบสารสนเทศ การจดั การด้านการศึกษา (Education Management Information System: EMIS) 1. ความหมายของระบบสารสนเทศการจดั การดา้ นการศกึ ษา ความหมายของระบบการจัดการสารสนเทศด้านการศึกษา อาจจาแนกความหมายออกเป็น 3 สว่ น ดว้ ยกนั ดังน้ี 1.1 ความหมายของระบบสารสนเทศการจัดการ ไดม้ นี ักวชิ าการใหค้ วามหมายไว้ ดงั นี้ ติน ปรัชญพฤทธ์ิ (2542) ได้กล่าวว่า ระบบสารสนเทศการจัดการ หมายถึง ระบบข่าวสารและ ข้อมูลชนิดพิเศษท่ีจัดทาข้ึน เพ่ือประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสงู เก่ียวกับการวางแผนกลยุทธ์ ระบบข่าวสารการจัดการจะเก็บรวบรวมข้อมูลสาหรับผู้จัดการในการวางแผนการดาเนินงานในอนาคต และในการตัดสินใจเพอื่ จดั สรรทรัพยากรให้เกดิ ประโยชน์สงู สดุ ระบบสารสนเทศเพอื่ การจดั การทางการศึกษา
114 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 วิทยากร เชียงกูล (2546) ได้กล่าวว่า ระบบสารสนเทศการจัดการ เป็นระบบสารสนเทศทาง ธุรกจิ ระบบการจดั หา รวบรวมจดั หมวดหม่ขู ้อมลู ข่าวสารทางธุรกจิ โดยใชค้ อมพิวเตอร์เพ่ือการวางแผน และใชป้ ระกอบการตดั สินใจของผ้บู รหิ าร ดังน้ัน จึงสรุปได้ว่า ระบบสารสนเทศการจัดการ หมายถึง การจัดกระทาเน้ือหาสาระของผู้รับ ข้อมูลในลักษณะต่างๆ ตามลาดับข้ันตอนหรือมีรูปแบบการจัดที่เหมาะสม เพื่อวัตถุประสงค์ในการ นามาใช้ทางดา้ นกจิ กรรมการบริหารที่สาคญั ทสี่ ุด คอื การวางแผนการดาเนนิ งาน สารสนเทศทีไ่ ด้รับการ จัดกระทาในรูปแบบท่ีเหมาะสม ผู้บริหารสามารถนาไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อการดาเนินงานทางการ บริหารไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 1.2 ความหมายทางการศึกษาได้มีนักวิชาการด้านการศึกษาให้ความหมายไว้จานวนมาก สามารถศึกษาได้ทั่วไป ความหมายของการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แกไ้ ขเพ่มิ เติม(ฉบับที่ 2) /2545 มาตรา 4 มานาเสนอไว้ว่า “การศึกษา หมายถึง กระบวนการเรยี นรู้เพื่อ ความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทาง วัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้ อันเกิดจากการจัด สภาพแวดลอ้ ม สังคม การเรียนรู้ และปจั จัยเกอ้ี หนุนให้บุคคลเรยี นรอู้ ย่างต่อเนื่องตลอดชวี ติ 1.3 ระบบสารสนเทศการจัดการด้านการศึกษา เป็นการจัดกระทาเน้ือหาสาระที่เก่ียวกับ การศึกษาใหบ้ รรลไุ ปตามความมุ่งหมายและหลักการในการจดั การศกึ ษาให้แกผ่ ู้เรียน ดังนัน้ สารสนเทศที่ ได้จัดออกเป็นหมวดหมู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ จึงเป็นข้อมูลที่สาคัญต่อการตัดสินใจในการดาเนินงาน ด้านการศกึ ษา 2. การจัดเก็บขอ้ มลู ในสถานศกึ ษา สถานศึกษาทุกรับทุกประเภทจะนาความรู้ด้านการศึกษาไปใช้ประกอบการวางแผนดาเนินการ หรือประกอบการตัดสินใจเร่ืองสาคัญต่างๆ ความรู้นั้นจะต้องได้มาจากสารสนเทศท่ีถูกต้องตรงประเด็น ทันต่อเหตุการณ์ ทั้งนี้ข้อมูลเป็นหัวใจสาคัญยิ่งของสารสนเทศและความรู้ ดังนั้น สถานศึกษาต้องเก็บ รวบรวมขอ้ มูลของสถานศึกษาในด้านต่างๆ ดังนี้ 2.1 ข้อมูลภายใน ประกอบด้วย โปรแกรมการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ นักเรียน นักศึกษา บคุ ลากรทางการศกึ ษา อาคารสถานท่ี และการเงินและงบประมาณ 2.2 ข้อมูลภายนอก ประกอบด้วย ข้อมูลจากหน่วยงานอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้อง อาจจะเป็นข้อมูลท่ี หน่วยงานนั้น ๆ เก็บรวบรวมไว้เอง หรือสถานศึกษาเองไปขอยืมมาใช้ประกอบในการดาเนินการทาง การศกึ ษา หรืออาจจะเป็นขอ้ มลู ท่ีสถานศกึ ษาออกไปเก็บรวบรวมมาเองในลกั ษณะขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณ 2.3 ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นข้อมูลอีกประเภทหน่ึงที่สถานศึกษาจัดเก็บมาอย่างเป็นทางการ หรอื ไม่เป็นทางการ ไดม้ าจากการร่วมกิกรรมหรือการสนทนาตามแต่โอกาสอนั เหมาะสม ระบบสารสนเทศเพอื่ การจัดการทางการศกึ ษา
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 115 3. แนวคิดของระบบ ระบบเป็นกลุ่มข้อมูลส่วนย่อย (Elements) ท่ีเกี่ยวพันกันหรือทางานร่วมกันเพ่ือประกอบให้ เป็นหน่ึงเดียว ระบบ (System) คือ กลุ่มของส่วนประกอบท่ีมีความเก่ียวพันระหว่างกัน มีการทางาน ร่วมกันเพ่ือเป้าหมายเดียวกัน โดยการรับข้อมูลเข้าและผลิตข้อมูลออกจากการประมวลผล บางคร้ัง เรียกว่า ระบบพลวตั (Dynamic System) ประกอบด้วยสว่ นประกอบพน้ื ฐาน 3 อย่างคือ 1. การนาเข้า/ข้อมูลนาเข้า (Input) เก่ียวข้องกับการจับและรวบรวมข้อมูลส่วนย่อยท่ีถูก ปอ้ นเขา้ สู่ระบบเพือ่ ใชใ้ นการประมวลผล ตัวอย่างเชน่ วัตถุดิบ พลังงาน ขอ้ มูล ความพยายามของมนุษย์ ท่ตี อ้ งการความปลอดภัย และการรวบรวมเพอ่ื ประมวลผล เปน็ ตน้ 2. การประมวลผล (Process) เกี่ยวขอ้ งกบั การแปลงขอ้ มูลนาเขา้ ให้เปน็ ขอ้ มลู ออก ตวั อยา่ งเช่น กระบวนการทางานในโรงงานอุตสาหกรรม กระบวนการหายใจของมนุษย์ หรือ การคานวณทาง คณติ ศาสตร์ เปน็ ตน้ 3. การสง่ ออก/ข้อมลู ออก/การแสดงผล/ผลลัพธ์ (Output) เกีย่ วข้องกบั การโอนข้อมูลสว่ นย่อย ท่ีถูกผลิตโดยการประมวลผลส่งไปยังปลายทาง ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์สาเร็จรูป การให้บริการและ สารสนเทศ การจัดการทีถ่ ูกถา่ ยทอดไปยงั ผใู้ ช้ แนวคิดเร่ืองระบบเกิดประโยชน์มากข้ึนเม่ือเพิ่มส่วนประกอบของผลป้อนกลับและการควบคุม ระบบที่มีทั้งผลป้อนกลับและการควบคุมบางครั้งเรียกว่า ระบบไซเบอร์เนติกส์ (Cybernetic System) ซึ่งเป็นทั้งระบบเฝ้าสังเกตด้วยตนเอง (Self-monitoring System) และระบบจัดระเบียบด้วยตนเอง (Self-regulating System) 4. ผลป้อนกลับ/ผลสะท้อน/ผลส่งกลับ (Feedback) เป็นข้อมูลเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานของ ระบบ เช่น ข้อมลู การปฏบิ ตั งิ านของพนกั งานขายเป็นผลปอ้ นกลับไปยังผจู้ ดั การฝา่ ยขาย เปน็ ตน้ 5. การควบคุม (Control) เป็นการเฝ้าสังเกตและการประเมินผลป้อนกลบั ว่าระบบได้ดาเนนิ ไป ใกล้เป้าหมายหรือไม่ หน้าที่การควบคุมเป็นส่ิงจาเป็นเพ่ือการปรับปรุงข้อมูลนาเข้าและกระบวนการ ประมวลผลเพื่อให้ได้ข้อมูลออกที่เหมาะสม เช่น ผู้จัดการฝ่ายขายได้รับสิทธ์ิควบคุมพนักงานขายใหม่ที่ อยู่ในเขตการขายของตน เป็นต้น ผลป้อนกลับมักรวมหน้าท่ีการควบคุมไว้ด้วย เพราะเป็นส่ิงจาเป็นในการปฏิบัติการ รูปที่ 5.1 แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างผลป้อนกลับและการควบคุมส่วนประกอบอื่นๆของระบบ เส้นลูกศร ปะแสดงถึงการไหลของข้อมูลผลป้อนกลับไปยังส่วนประกอบเพื่อการควบคุมจัดการ (Managerial Control Component) และผลลัพธ์ของสัญญาณควบคุมไปยังส่วนประกอบอื่น ซึ่งเน้นให้เห็นถึง บทบาทของผลป้อนกลับและการควบคุมการแปลงข้อมูลนาเข้าให้เป็นข้อมูลออกได้อย่างถูกต้องตาม เปา้ หมายของระบบ ระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การทางการศกึ ษา
116 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 วตั ถดุ ิบนาเข้า H สญั ญาณควบคุม ผลติ ภณั ฑส์ ง่ ออก กระบวนการผลติ รูปที่ 5.1 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผลป้อนกลบั และการควบคุมส่วนประกอบอื่น ๆ ของระบบ ตวั อยา่ งทีร่ ู้จกั กนั ดีของระบบเฝ้าสังเกตและจัดระเบียบดว้ ยตนเอง คอื ระบบควบคมุ อณุ หภูมิใน บ้านซ่ึงทางานอัตโนมัติเพ่ือรักษาอุณหภูมิตามท่ีต้องการ หรือร่างกายมนุษย์ซ่ึงจัดเป็นระบบไซเบอร์ เนติกส์ คอื สามารถเฝา้ สงั เกตและปรับเปล่ียนหน้าท่ีไดห้ ลายอยา่ ง เช่น อุณหภูมิ การเตน้ ของหวั ใจ การ หายใจ เป็นต้น ธุรกิจเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่มีหลายกิจกรรมท่ีทาหน้าท่ีควบคุม เช่น คอมพิวเตอร์ที่ใช้ใน การเฝา้ สังเกตและควบคมุ กระบวนการผลติ ในโรงงาน กระบวนคาส่ังทางบญั ชี เป็นต้น จากรูปท่ี 5.2 แสดงถึงลักษณะเฉพาะท่ีสาคัญอ่ืนๆ เพื่อให้สามารถเข้าใจระบบได้อย่างถูกต้อง ระบบท่ีทางานภายใต้สิ่งแวดล้อมท่ีประกอบด้วยระบบอ่ืนๆ โดยเป็นส่วนประกอบของระบบใหญ่ เรียกว่า ระบบย่อย (Subsystem) โดยขอบเขตของระบบ (System Boundary) จะเป็นสิ่งที่แยกระบบ ออกตามส่ิงแวดล้อม บางระบบอาจเช่ือมกับอีกระบบโดยใช้ขอบเขตระบบเดียวกันหรือใช้ส่วนต่อ ประสาน (Interface) เดยี วกนั รูปที่ 5.2 แสดงใหเ้ หน็ ถงึ แนวคดิ เรือ่ งระบบเปิด (Open System) ซึ่งเป็น ระบบท่ีโต้ตอบกับระบบอื่นๆได้ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลนาเข้าและข้อมูลออก ในสงิ่ แวดลอ้ มเดยี วกนั จงึ เรียก ระบบท่ีปรับตวั ได้ (Adaptive System) ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจัดการทางการศึกษา
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 117 รูปที่ 5.2 ตัวอย่างระบบองคก์ ร ที่มา : www2.cvc.ac.th จากรูปท่ี 5.2 ธุรกิจเป็นระบบองค์กร ที่ทรัพยากรทางเศรษฐกิจ ถูกแปลงโดยกระบวนการต่าง ขององค์การ ให้เป็นผลิตภณั ฑ์และบริการ ระบบสารสนเทศให้สารสนเทศ ของการทางานแก่ฝ่ายจดั การ เพอ่ื เปน็ ทศิ ทางและบารุงรกั ษาระบบ องค์กรธุรกิจหรือหน่วยราชการเป็นตัวอย่างที่ดีสาหรับระบบทางสังคม (System in Society) สังคมนั้นประกอบดว้ ยระบบจานวนมากมาย ทั้งบคุ คล สงั คม การเมือง และสถาบันเศรษฐกิจ ตวั องค์กร เองประกอบด้วยระบบย่อยมากมาย เช่น ส่วนงาน แผนก คณะทางาน และกลุ่มงาน (Workgroups) นอกจากนั้นองค์กรยังเป็นตัวอย่างของระบบเปิด เพราะสามารถประสานและโต้ตอบกับระบบอ่ืนๆใน ส่ิงแวดล้อมเดียวกัน และท้ายสุดองค์กรเป็นตัวอย่างของระบบท่ีปรับตัวได้ เพราะสามารถปรับเปล่ียน ตนเองใหส้ อดคล้องกบั ความตอ้ งการของสงิ่ แวดล้อมทีเ่ ปล่ยี นแปลงไป ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการทางการศกึ ษา
118 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 3.1. ประเภทของระบบ ระบบสามารถแบง่ เปน็ ประเภทตา่ งๆ ไดห้ ลายกลุ่ม ดังน้ี 3.1.1 ระบบอย่างง่าย และระบบท่ีซับซ้อน โดยระบบอย่าง่าย หมายถึง ระบบท่ีมี สว่ นประกอบน้อยและความสัมพนั ธห์ รือการโตต้ อบระหวา่ งสว่ นประกอบตา่ งๆ ไม่ซับซ้อน ตรงไปตรงมา ส่วนระบบท่ีซับซ้อน หมายถึง ระบบท่ีมีส่วนประกอบมากหลายส่วน แต่ละส่วนมีความสัมพันธ์และมี ความเก่ยี วข้องกนั ค่อนขา้ งมาก 3.1.2 ระบบเปิด และระบบปิด โดยระบบเปิด คือ ระบบท่ีมีการโต้ตอบกับส่ิงแวดล้อม สว่ นระบบปิด คอื ระบบทีไ่ ม่มกี ารโตต้ อบกบั สิ่งแวดล้อม 3.1.3 ระบบคงที่ และ ระบบเคลื่อนไหว โดยระบบคงที คือ ระบบท่ีมีการเปลย่ี นแปลง น้อยมากเมื่อเวลาผ่านไป ส่วนระบบเคล่ือนไหว คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการ เปลยี่ นแปลงอย่างคงท่ตี ลอดเวลา 3.1.4 ระบบที่ปรับเปล่ียนได้ และระบบที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ ระบบที่ปรับเปลี่ยนได้ คือ ระบบท่ีสามารถเปลี่ยนแปลงเพ่ือตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมท่ีเปลี่ยนไปได้ ส่วนระบบท่ีปรับเปล่ียนไม่ได้ คือ ระบบทไี่ มส่ ามารถเปล่ยี นแปลงเพื่อตอบโต้กับสง่ิ แวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ 3.1.5 ระบบถาวร และระบบชั่วคราว โดยท่ีระบบถาวร คือ ระบบที่มีอยู่ในช่ว ย ระยะเวลายาวนาน ส่วนระบบชัว่ คราว คอื ระบบทม่ี ีอยเู่ พยี งช่วยระยะเวลาสน้ั ๆ 3.2. ประสิทธิภาพของระบบ ประสิทธภิ าพของระบบสามารถวัดได้หลายทาง ได้แก่ 3.2.1 ประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ การวัดส่ิงที่ถูกผลิตออกมา หารด้วยสิ่งที่ถูกใช้ไป สามารถแบ่งช่วงจาก 0 ถึง 100% เช่น ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์มอเตอร์เคร่ืองหนึ่งคือพลังงานท่ี ผลิตออกมา (ในรูปของงานที่ทาเสร็จ) หารด้วยได้พลังงานที่ใช้ไป (ในรูปของไฟฟ้าหรือเช้ือเพลิง) เคร่ือง มอเตอร์บางเคร่ืองมีประสิทธิภาพ 50% หรือน้อยกว่า เนื่องจากพลังงานสูญเสียไปในการเสียดทานและ กาเนิดความรอ้ น 3.3.2 ประสิทธิผล (Effectiveness) คือ การวัดระดับการประสบผลสาเร็จตามเป้าหมาย ของระบบ สามารถคานวณไดด้ ้วยการหารสงิ่ ที่ได้รบั จากการประสบผลสาเร็จจรงิ ดว้ ยเป้าหมายรวม เชน่ บริษัทหนึ่งมีเป้าหมายในการลดช้นิ ส่วนท่ีเสียหาย 100 หน่วย เม่ือนาระบบการควบคุมใหม่มาใช้อาจจะ ชว่ ยให้บรรลเุ ป้าหมายนี้ได้ ถา้ ระบบควบคมุ ใหมน่ สี้ ามารถลดจานวนชิ้นส่วนทเี่ สยี หายไดเ้ พยี ง 85 หนว่ ย ดังนั้นระดับของประสิทธิผลของระบบควบคุมนีจ้ ะเทา่ กับ 85% ระบบสารสนเทศเพ่อื การจัดการทางการศึกษา
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 119 4. บทบาทพ้ืนฐานของระบบสารสนเทศในองคก์ ร ระบบสารสนเทศที่นามาประยุกต์ใช้งานในทางธุรกิจจะมีอยู่มาก แต่ก็มีเหตุผลพื้นฐานเพียง 3 ประการท่ที ุกธรุ กิจจะนาระบบสารสนเทศมาใชใ้ นองคก์ ร (โอภาส เอ่ยี มสิรวิ งศ์, 2554) คือ 4.1 เพื่อสนบั สนนุ กระบวนการธุรกจิ และการปฏบิ ัติงาน ตัวอย่างเช่น ระบบสารสนเทศกับการสนับสนุนกระบวนการธุรกิจและการดาเนินงาน ร้านค้า ปลกี ได้นาระบบสารสนเทศมาใช้ โดยมโี ปรแกรมระบบคอมพวิ เตอร์ให้พนกั งานบันทึกรายการซอื้ สินค้าที่ ลูกค้าเข้ามาบริการ ในการบันทึกรายการเหล่าน้ี ย่อมส่งผลต่อการนาไปใช้ประโยชน์เพ่ือการตรวจสอบ ยอดสินค้าในสต๊อก การพิจารณาซ้ือสินค้าใหม่เพิ่มเติม และการประเมินยอดขาย แต่การดาเนินการ ดังกล่าว เป็นเพียงขั้นตอนการเตรียมข้อมูลเบ้ืองต้นเท่านั้น เพื่อนาไปสู่การใช้งานในขั้นต่อไป ซึ่งถือว่า เปน็ งานสนับสนุนกระบวนการธรุ กจิ และการดาเนนิ งานประจาวนั 4.2 เพือ่ สนบั สนุนการตัดสินใจแก่พนักงานและผบู้ ริหาร ตัวอย่างเช่น ระบบสารสนเทศกับการสนับสนุนการตัดสินใจทางองค์กร จากรายการซื้อสินค้า ต่างๆ ท่ีบันทึกในแต่ละวันเป็นประจานั้น ก็สามารถนาไปประมวลผลผ่านระบบสารสนเทศให้เป็น รายงาน ที่ผู้จัดการร้านค้าสามารถนามาใช้เพื่อตัดสินใจได้ว่า สมควรนาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ประเภทใด เข้ามาขาย สินค้าใดที่ลูกค้าชื่นชอบเป็นพิเศษ ต้องส่ังสินค้ารายการใดเพิ่มเติม หรือสินค้าตัวใดที่ จาเป็นต้องคัดออกไป เป็นต้น สิ่งเหล่าน้ีมิใช่เพียงการสนับสนุนการตัดสินใจของผู้จัดการร้านค้าเท่าน้ัน แต่จะส่งผลดีต่อลูกค้าว่า เมื่อเขาได้เข้ามาซ้ือสินค้าที่ร้านแล้ว จะได้สินค้าที่เขาต้องการ ซ่ึงเป็นการ ป้องกันการสญู เสยี โอกาสในการขาย และเปน็ ท่ีมาของการชงิ ความได้เปรียบ 4.3 เพื่อนามาใชเ้ ปน็ กลยุทธ์เพ่ือความได้เปรียบในเชงิ แข่งขันทางธรุ กจิ ตัวอย่างร้านขายสินค้าท่ีมีการนาระบบสารสนเทศกับการส นับสนุนกล ยุทธ์เพ่ือ ชิงคว าม ไดเ้ ปรยี บ ในขณะเดยี วกัน เพอื่ ให้บรรลุถงึ เปา้ หมายยิ่งข้ึน ทางผ้จู ดั การร้านค้าจึงได้ใชกลยุทธ์ด้วยการนา นวัตกรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในคร้ังนี้ ด้วยการติดต้ังตู้คิออส(kiosks) ในทุกๆ ร้านตามสาขา ต่างๆ และเช่ือมโยงในรูปแบบของอีคอมเมิร์ซ เพ่ือบริการการช๊อปปิ๊งแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นการเพ่ิม ช่องทางให้กับลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ จากกรณีดังกล่าว จึงทาให้ทราบว่า ระบบสารสนเทศสามารถเข้ามาช่วย จัดเตรียมผลิตภัณฑ์ และการบริการได้อย่างไร เพ่ือให้ธุรกิจสามารถบรรลุเป้าหมาย และชิงความ ได้เปรียบในเชิงแข่งขันได้ 5. บทบาทและความสาคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีมตี อ่ การบรหิ ารจัดการศกึ ษา เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หรือเรียกกันย่อ ๆ ว่า“ IT ” หมายถึง เทคโนโลยีที่นามาใชในการจัดเก็บขอมูล และประมวลผลขอมูลใหเกิดผลลพั ธเปนสารสนเทศ เพื่อนาไป ใชประโยชน ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการทางการศึกษา
120 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อมูลดิบท่เี ก็บรวบรวมมาจากท่ีต่าง ๆ ซงึ่ ยงั นาไปใชงานไม่ได้ เช่น การ สารวจความคดิ เห็น ความคดิ เห็นที่ไดยังถอื วาเป็นขอ้ มลู ดิบ สารสนเทศ (Information) หมายถึง ผลลัพธจากการประมวลผลขอมูลดิบซึ่งสามารถนาไปใช ประโยชน เพื่อประกอบการทางาน หรือเพ่ิมประกอบการตัดสินใจของผูบริหาร เช่น นาข้อมูลความ คดิ เหน็ แตละขอมาหาความถี่ เป็นค่าร้อยละเพ่ือเปรียบเทียบดวู ่า ข้อคิดเหน็ ขอใดมผี ูเลือกมากน้อย เป็น รอ้ ยละเทา่ ไร ค่าร้อยละทไี่ ด้จดั เป็นสารสนเทศ เป็นตน้ การจัดเก็บข้อมูลและการจัดการข้อมูล ต้องการความถูกตองและรวดเร็วสูง จึงจาเปนตองนา เทคโนโลยีคอมพิวเตอรเข้ามาช่วย และ เมื่อต้องการใหผู้ท่ีอยูห่างไกลกันสามารถใชประโยชนจาก สารสนเทศจาเป็นต้องนาเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมเขามาช่วยอีกทางหน่ึง ในวงการบรหิ ารงาน ต่างๆ ไดนาเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในการบริหารกันเป็นอันมากเพ่ือใหการบริหาร มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดสุดและไดประสิทธิผลสูงสุด ผู้บริหารยุคใหมทุกระดับจึงนานวัตกรรม เทคโนโลยีมาใชกันอย่างแพรหลาย เช่น ผู้บริหารระดับสูงในองค์การ จะนาสารสนเทศที่แสดงภาพรวม ของการดาเนินงาน ความสัมพันธระหวางองคการและส่ิงแวดลอม สรุปปัญหาและแนวทางแก้ไข มาใช เพื่อประกอบการแก้ปัญหา และการตัดสินใจกาหนดกลยุทธขององค์การ ส่วนผูบริหารระดับกลางจะนา สารสนเทศ ท่ีประมวลงานประจาปีมาใชจัดแผนงบประมาณ และกาหนดแผนการดาเนินงานของ หน่วยงาน สาหรับผู้บริหารงานระดับต้นจะใชเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการควบคุมการปฏิบัติงาน เป็นต้น ปัจจุบันผูบริหารในการศึกษาไดนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชและมีบทบาท ความสาคัญในการบริหารจัดการศกึ ษากันมากข้ึน ดังนี้ 5.1 การนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการตัดสินใจ การตัดสินใจที่ดีจะต้อง รวดเร็วและไมผิดพลาด และการตัดสินใจท่ีรวดเร็วและไมผิดพลาดนัน้ จาเป็น ต้องมี ข้อมูลสารสนเทศท่ี เป็นปัจจุบันไมล้าสมัย มีจานวนมากเพียงพอ และสามารถนามาใชไดง่ายและรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยี สารสนเทศจะช่วยเร่ืองน้ีเป็นอยา่ งดี ระบบสารสนเทศท่ีผูบริหารนามาใชในการตัดสนิ ใจมี ดังน้ี 5.1.1 ระบบสารสนเทศสาหรับผูบริหาร (Executive Systems) หรือ “EIS” ในบางคร้ัง อาจเรียกว่า “ระบบสนับสนุนผู้บริหาร” (Executive Support Systems) หรือ “ESS” ระบบ EISเป็น ระบบท่ีออกแบบและพัฒนาข้ึนมาเพื่อจัดเตรียมสารสนเทศที่เหมาะสมในการ ตัดสินใจของผูบริหาร ระดับสูงช่วยให้ ผู้บริหารสามารถทาความเข้าใจ ปัญหาอย่างชดั เจน และสามารถตดั สนิ ใจเลือกแนวทาง แกปญั หาอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 5.1.2 ระบบสนบั สนุนการตัดสินใจ (Decision Support) หรือ DSS ระบบ DSS เป็นระบบ ท่ี ออกแบบและพัฒนาขึ้นมาเพื่อใชสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง ระบบDSS จะช่วย เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจของผูบริหารแตจะไมทาการตัดสินใจแทน ผู้บริหาร โดยประมวลผล และนาเสนอข้อมูล ที่สาคัญต่อการตัดสินใจ ตลอดจนประเมินทางเลือกท่ีเหมาะสมภายใตข้อจากัดของ ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การทางการศึกษา
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 121 แต่ละสถานการณ เพ่ือใหผู้บริหารใช้สติปญญา เหตุผล ประสบการณ และความคิดสร้างสรรคของตนวิ เคราะหและเปรียบเทียบทางเลือกใหสอดคลอ้ งกับปัญหาหรือสถานการณนั้นๆ 5.2 การนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในการบริหารงานทางไกล มีการนาส่ือ หลายๆอย่าง เช่น โทรศัพท มือถือ โทรสาร วิทยุ โทรทัศน คอมพิวเตอร และเครื่องมือส่ือสาร โทรคมนาคม มาใชในการติดต่อการสื่อสารและการบริหารงานทางไกลไดสะดวกรวดเร็ว ประหยัดเวลา และค่าใช้จายเป็นอันมาก ถึงแมจะอยูไกลกันก็สามารถทางานร่วมกัน ประชุมร่วมกันไดโดยใช Teleconference เปน็ ตน้ 5.3 การนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช ในการบริหารสถานศึกษา ปัจจุบัน สถานศึกษาหลายแห่ง พัฒนาระบบสารสนเทศ เพ่ือใชในการบริหารงานด้านต่างๆ ท้ังการบริหารงาน วิชาการ การบริหารกิจการนักเรียน การบริหารงานบุคลากร การบริหารงานธุรการ การเงิน พัสดุ ครุ ภณั ฑ การบรหิ ารงานอาคารสถานที่และการการบริหารงานชุมชน 5.4 การสรา้ งเครือขา่ ยข้อมูล ด้วยระบบสารสนเทศ เครือขา่ ยน้จี ะชว่ ยพัฒนาคุณภาพการศึกษา ไทยเป็นอันมาก ปัจจุบันมี โครงการเครือข่ายคอมพิวเตอรโรงเรียนมัธยม (Schoolnet) ซึ่งเป็นโครงการ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หนึ่งในหลายโครงการท่ีเกิดขึ้นตามพระราชดาริของสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยศูนยเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกสคอมพิวเตอรแห่งชาติ ไดนาแนว พระราชดารมิ าดาเนินการรว่ มกบั หน่วยงานและสถานศึกษาในสงั กัดกรมสามัญศกึ ษา(เดิม) 5.5 การนานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช ในการจัดการศึกษา ในปัจจุบันผูบริหาร หน่วยงานทางการศึกษานานวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชในการจัดการศึกษา เป็นประโยชน ตอ่ การเรยี นรูหลายอยา่ ง อาทิเช่น 5.5.1 อินเตอร์เน็ต (Internet) เพื่อใชในการศึกษาหาข้อมูล ข่าวสารทางวิชาการและอ่ืนๆ จากทต่ี า่ ง ๆ เป็นการส่งเสรมิ การเรียนรูตลอดชวี ติ 5.5.2 จดหมายอิเลก็ ทรอนิกส (Electronic Mail หรอื E-mail) เพื่อใชรบั สง่ ขา่ วสาร ขอ้ มูล รูปภาพ และส่งงานใหครอู าจารยตรวจ 5.5.3 การจัดทา Website ของสถานศึกษา เพ่ือการเผยแพรขาวสารของสถานศึกษา เป็น การประชาสัมพันธระหว่างสถานศกึ ษากบั ผทู้ เี่ กยี่ วของ และบคุ คลท่วั ไป 5.5.4 การใชโปรแกรม SPSS เพอื่ การวเิ คราะหข้อมลู ต่าง ๆ ซงึ่ เปน็ ประโยชนต่อการทาวิจัย ในชั้นเรยี นของครอู าจารย การทาวิจัยสถานบันของฝา่ ยบริหาร และอน่ื ๆ 5.5.5 การทา PowerPoint เพ่ือใชในการเรียนการสอนของครูอาจารย และใชเสนอผลงาน ของ ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา 5.5.6 คอมพิวเตอรช่วยสอน (Computer Assisted Instruction หรือ CAI) เพ่ือช่วยให ผู้เรยี นเรยี นรูดว้ ยตนเองจากบทเรียนสาเร็จรูปในคอมพิวเตอร ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการทางการศึกษา
122 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 5.5.7 การเรียนรู ผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส (Electronic Learning) หรือที่เรียกกันว่า E- Learning เปน็ การเรียนทางไกลท่ีผูเรยี นสามารถโตตอบกบั ผู้สอนได โดยอาศัยเครอื ขา่ ย อนิ เตอร์เนต็ จึง ช่วยใหเรียนรู้ไดโดยไม่มีข้อจากัดของเวลา ระยะทาง และสถานท่ี โดยผูเรียนจะสามารถเรียนรูได ตลอดเวลาจึงตอบสนองศักยภาพการเรยี นรูของผู้ เรียนไดเปน็ อยา่ งดี 5.5.8 ห้องเรียนอัจฉริยะ (Electronic Classroom หรือ E-Classroom) เป็นการจัดระบบ บริหารจัดการห้อง เรียน ท่ีใชการเรียนการสอนแบบ on-line และ ปฏิสัมพันธ (interactive) สามารถ ควบคุมและและตรวจสอบกิจกรรมของนักเรียนไดโดยตรงจากเครื่องคอมพิวเต อรของครูแบบ real time 5.5.9 หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส (E-book) และ หองสมดุ อิเล็กทรอนิกส (E-Library) เพอ่ื เสริม การเรยี นการสอน และใหบรกิ ารค้นควา้ หาความรูแกนักเรียน ครูอาจารย และประชาชน 5.5.10 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ “ICT” (Information and Communication Technologies) เพ่ือพัฒนาการศึกษา ปัจจุบันประเทศไทยโดยกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายสาคัญที่จะนาเทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสารมาใช เพื่อพัฒนาการสื่อสารในทุกด้าน โดยเฉพาะการช่วยพัฒนาครูอาจารย การช่วยใหเด็กและเยาวชนไดเขา้ ถึงแหล่งความรูและไดเรียนอย่าง ทดั เทยี มกัน ตลอดจนการพัฒนาระบบบรหิ ารจดั การให้ ฉบั ไว มปี ระสทิ ธิภาพสงู สุด ดังนั้น นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โนเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุค ของการปฎิรูปการศึกษา ผู้บริหารการศึกษายุคใหมต่างก็นานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช ประโย ชนใน การบริหารจัดการศึกษา เพ่ือใหประสบผลสาเร็จในการพัฒนาคุณภาพผูเรียนไดอย่างมี ประสทิ ธิภาพสูง 6. การจดั การระบบสารสนเทศในสถาบันอดุ มศกึ ษา จุดเร่ิมต้นของการจัดทาฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศในสถาบันอุดมศึกษา เริ่มจาก แนวความคิดของเอนเชมส์ งานสาคัญส่วนหน่ึงของเอนเชมส์ คือ การจัดทาโครงสร้างการจาแนก แผนงาน ซึ่งจัดทาเพ่ือวิเคราะห์แผนงานสาหรับกาหนดแนวทางในการจัดทางบประมาณและการ วางแผนของสถาบันอุดมศึกษาภายหลังจากได้มีการจัดทาขึ้นแล้ว ได้มีการนาโครงสร้างการจาแนก แผนงานไปใช้กับผลผลิตของเอนเชมส์ เช่น รูปแบบการจัดการทรัพยากร กล่าวได้ว่าโครงสร้างการ จาแนกแผนงานเปน็ จดุ เร่มิ ตน้ ของการจัดทาระบบสารสนเทศในระดบั อดุ มศึกษา โครงสร้างการจาแนกแผนงาน หมายถึง การจาแนกหมวดหมู่ของกิจกรรมใน สถาบนั อดุ มศึกษาเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์การดาเนินงานใหส้ ัมพันธ์กบั วัตถุประสงค์ กลุ่มแผนงาน หลัก ซ่ึงกาหนดขึ้นเพ่ือใช้เป็นแกนกลางในการวิเคราะห์การดาเนินงานของมหาวิทยาลัย ประกอบด้วย กลุม่ แผนงานหลัก 8 กลุ่ม ดังนี้ ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การทางการศึกษา
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 123 1) กล่มุ การเรยี นการสอน (Instruction) กลุ่มน้ีประกอบดว้ ยกลุ่มย่อย 4 กลุม่ คอื กลุ่มการ เรียนการสอนทางวิชาการทว่ั ไป กลมุ่ การเรียนการสอนด้านอาชีพ กลมุ่ การศกึ ษาสาหรบั ชุมชน และกลุ่ม การศึกษาพืน้ ฐานสาหรบั ผ้ใู หญ่ 2) กลุ่มการวิจัย (Research) ประกอบด้วยกลุ่มย่อย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสถาบันวิจัยหรือ ศูนยว์ ิจัย และกลุ่มงานวิจัยส่วนบคุ คลหรอื งานวจิ ัยเฉพาะโครงการ 3) กลมุ่ งานบริการสงั คม (Public Service) ประกอบด้วยกลมุ่ งานบริการผูป้ ่วย กล่มุ บริการ สังคม กลุ่มโครงการร่วมมือและบริการสังคมโดยไม่มีการเรียนการสอนหรือการวิจัย และกลุ่มบริการ เผยแพรท่ างวิทยุและโทรทศั น์ 4) กลุ่มงานสนับสนุนงานวิชาการ (Academic Support) ในบางแห่งเรียกว่ากลุ่มบริการ การศึกษา กลุ่มน้ีประกอบด้วยงานห้องสมุด งานพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ งานบริการเครื่องมือโสตทัศน อปุ กรณ์ งานบรกิ ารเครอื่ งคอมพิวเตอร์ งานบรหิ ารวิชาการ งานพฒั นาหลกั สูตร งานพัฒนาบุคลากรด้าน วชิ าการ และงานบรกิ ารด้านอน่ื ท่ีเกย่ี วข้อง 5) กลุ่มงานบริการนักศึกษา () ประกอบด้วยงานบริหารการบริการนิสิตนักศึกษา งาน ส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมทางสังคมและวัฒนธรรม งานแนะแนวบุคคลและแนะแนวอาชีพ งาน ชว่ ยเหลือและแก้ปัญหาด้านการเงิน งานบรกิ ารพิเศษอ่ืนๆ และงานส่งเสรมิ การกฬี าระหว่างสถาบัน 6) กลุ่มงานด้านบริหารองค์กร () อาจเรียนกันง่ายว่าฝ่ายบริหารองค์กร งานในกลุ่มนี้ ประกอบดว้ ย งานสานักงานบรหิ าร งานการเงนิ และการคลัง งานบรหิ ารทวั่ ไป งานพัสดุ งานด้านอาคาร สถานท่ี งานสวสั ดิการ อาจารย์ และเจา้ หนา้ ท่ี งานประชาสมั พันธ์ และงานสานักทะเบียนกลาง 7) กลุ่มหน่วยงานอิสระ () เป็นกิจการที่อยู่นอกเหนือการจัดการศึกษาโดยตรง ประกอบด้วยหน่วยงานอิสระภายในสถาบัน และหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย โดยอาจจะรวมการ จดั การทรพั ย์สนิ กจิ การโรงแรม ศูนยส์ ง่ เสรมิ อุตสาหกรรมเฉพาะอย่าง โรงพิมพ์ สานกั พิมพ์ 8) กลุ่มงานด้านทุนอุดหนุนการศึกษา () ได้แก่ รางวัลเรียนดี และทุนอุดหนุนการศึกษา ตา่ งๆ กลุ่มโปรแกรมงานหลักท้ัง 8 กลุ่มแสดงได้ดังรูปท่ี 5.1 ซ่ึงการจัดกลุ่มงานระบบสารสนเทศ อาจปรับเปล่ียนไปจากโครงสร้างการจาแนกแผนงานได้ เช่นในบางมหาวิทยาลัย มีการจัดกลุ่มโดยแยก ย่อยลงไปอีกเปน็ 11 กลมุ่ ดังน้ี กลุ่มที่ 1 การวางแผน การจัดการ และวิจัยสถาบัน ได้แก่ การพยากรณ์งบประมาณ การ เตรียมงบประมาณ การวิเคราะห์งบประมาณ การควบคุมงบประมาณ การศกึ ษาคา่ ใช้จา่ ย การวเิ คราะห์ เงินเดือนอาจารย์ การวิเคราะห์กิจกรรมของบุคลากร การวางแผนระยะยาว การพยากรณ์การสมัครเข้า ศกึ ษา การวิเคราะหเ์ งินเดือนบุคลากร กลุ่มที่ 2 การจัดการด้านการเงิน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายของภาควิชา ค่าใช้จ่ายท่ัวไป การจ่าย เงินเดอื น การลงทุน บัญชีเงนิ เดือน บัญชีคา่ หอพกั บญั ชีพัสดุ บัญชีเงนิ ค่าลงทะเบียน ระบบสารสนเทศเพอื่ การจัดการทางการศึกษา
124 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 กลุ่มท่ี 3 การบริหารงานท่ัวไป ได้แก่ อาคารสถานที่ การวิเคราะห์การใช้อาคาร การ วเิ คราะหก์ ารใชห้ อ้ งเรยี น ข้อมูลบุคลากร การประเมินบคุ ลากร การคัดเลอื กบคุ ลากร กลุ่มที่ 4 การบริการอ่ืนๆ ได้แก่ สโมสรอาจารย์ การจัดที่อยู่อาศัย การจัดการศูนย์หนังสือ การจดั การหอพกั นกั ศึกษา กลุ่มที่ 5 การสนับสนุนและบริการท่ัวไป ได้แก่ ระบบการจัดซื้อ ระบบผู้ขาย พัสดุคงคลัง รา้ นค้า การซ่อมบารงุ รกั ษาเครอื่ งจักร การจัดการที่จอดรถ การลงทะเบียนยานพาหนะ กลุ่มที่ 6 อาคารสถานท่ี ได้แก่ บัญชีอาคารสถานที่ การจัดตารางการใช้อาคาร ค่า บารุงรกั ษาอาคาร การบารุงรักษาอุปกรณ์ หอ้ งและการเก็บกุญแจ กลุ่มที่ 7 การรับสมัครและทะเบียน ได้แก่ การรับนักศึกษาปริญญาตรี การรับนักศึกษา บัณฑิตศึกษา ผลการทดสอบระดับมัธยม การเปิดรายวิชา การจัดตารางสอน การางแผนหลักสูตร การ เพม่ิ ลดรายวิชา การลงทะเบยี น ผลการเรยี น กลุ่มที่ 8 การบริหารเงินทุนนักศึกษา ได้แก่ แหล่งเงินทุนนักศึกษา การให้รางวัลนักศึกษา การจ้างงานนกั ศกึ ษา การทางานของนกั ศกึ ษา กลุ่มที่ 9 ห้องสมุด ได้แก่ การจัดทาดัชนีเอกสาร การจัดการรายการเอกสาร การเตรียม และควบคมุ เอกสาร การควบคมุ การยมื คนื การบริการดา้ นสื่อการศกึ ษา การบริการการค้นหา กลุ่มที่ 10 การบริหารงานอื่นๆ ได้แก่ มูลนิธิและการบริจาค การวิเคราะห์คะแนนทดสอบ การใหค้ าปรกึ ษานกั ศกึ ษา การทดสอบทางจติ วิทยาของนักศึกษา การประเมินอาจารย์ กลุ่มที่ 11 โรงพยาบาล ได้แก่ การรับคนไข้และลงทะเบียน การนัดหมายและตารางเวลา การรักษา หอผู้ป่วย พัสดุโรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการและห้องรังสี บริการอาหาร ระบบการสนับสนุน การจดั พยาบาล เภสัชกรรม การจัดเกบ็ เงนิ ผปู้ ่วย การเงินและงบประมาณ ระบบผูช้ ่วยทางเทคนิค ในปัจจุบันสถาบนั อุดมศึกษามกี ารจัดการระบบสารสนเทศทีห่ ลากหลาย แต่กย็ งั คงมกี ารจัด กลุ่มที่คล้ายคลึงกัน เป็นแต่เพียงวิธีการของการออกแบบระบบสารสนเทศเพ่ือทาให้มีการใชง้ านสะดวก และครอบคลมุ มากข้ึน เชน่ การออกแบบเป็นเว็บ การเช่อื มโยงขอ้ มลู ทางอินเทอรเ์ น็ต เป็นต้น 7. ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจดั การทางการศกึ ษา ระบบสารสนเทศ ( Information System) หมายถึง ชุดของบุคลากร ข้อมูล ข่าวสารและ วิธีการ ซึ่งทางานประสานกันเพ่ือให้บรรลุเปา้ หมายของหน่วยงาน ทั้งนี้ข้อสารสนเทศต่าง ๆ จะนามาใช้ ในการพิจารณาตัดสนิ ใจในการบรหิ ารหน่วยงานใหม้ ปี ระสิทธภิ าพมากขึ้น การพฒั นาระบบสารสนเทศในสถานศกึ ษา ควรจะพจิ ารณาแยกสว่ นการทางานใหช้ ัดเจน โดย สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ส่วน คือ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการทางการศกึ ษา
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 125 7.1 ระบบทางธุรกิจ (Business Systems) คือ ระบบสารสนเทศที่เก่ียวข้องกับการบริหาร องค์กร ได้แก่ บุคลากร งบประมาณ การเงิน รายได้ บัญชี จัดซ้ือ/จัดจ้าง ทะเบียนทรัพย์สิน อาคาร สถานท่ี ศิษย์เกา่ เปน็ ต้น 7.1.1 การบริหารงานบุคคล 1) ประเภทบุคลากรในสถาบนั การศึกษา (ผู้บรหิ าร สายการสอน สายบริการ) 2) การวางแผนเกีย่ วกับการบรหิ ารงานบุคคล 3) การสรรหาบุคคล 4) การบารุงรักษาบุคลากร 5) การพัฒนาบคุ ลากร 6) การประเมนิ ผลการปฏบิ ัตงิ านและการปนู บาเหนจ็ 7) การให้บคุ ลากรพ้นจากงาน 7.1.2 การบริหารงานธุรการ การเงินและพัสดุ 1) งานธุรการ 2) สารบรรณ(ประเภทหนังสือราชการ หนังสือภายนอก หนังสือภายใน หนังสือ ประทับตรา 3) หนงั สอื สัง่ การ หนังสอื ประชาสมั พนั ธ)์ 4) การเงิน (เงินงบประมาณ เงินนอกงบประมาณ การวางแผนงบประมาณ ระบบ บัญชี 5) การเงินสถาบนั ) 6) งานพัสดุ 7) งานธุรการทวั่ ไป 7.1.3 การบรหิ ารอาคารสถานทแ่ี ละสง่ิ แวดลอ้ ม 1) การแบง่ สว่ นตา่ งๆในสถานศึกษา 2) การออกแบบอาคารเรียน 3) การจดั บริเวณสาหรบั การเรยี นและห้องเรียน 4) การจดั บรเิ วณบริการและสนับสนุนการเรยี น 5) การประเมนิ ผลอาคารสถานทแี่ ละสิ่งแวดลอ้ ม 7.2 ระบบทางวิชาการ (Academic Systems) คือ ระบบสารสนเทศทส่ี นบั สนุนกิจกรรมท่ี เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ได้แก่ ระบบการรับนักศึกษา การคัดเลือก การลงทะเบียน การหางาน ทา การจัดการเรียนการสอน ผลงานของอาจารย์ ห้องสมุด เป็นต้น การพัฒนาระบบสารสนเทศต้อง สัมพนั ธ์กับนโยบายของสถานศึกษาแตล่ ะแหง่ โดยพิจารณาถงึ ความสาคัญ จดุ มงุ่ หมาย ความคาดหวัง และการจัดการโครงสร้างขององคก์ ร และหนว่ ยงานทีม่ บี ทบาทสาคญั ในการพฒั นาระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศเพือ่ การจัดการทางการศกึ ษา
126 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา CE20401 การบรหิ ารงานวิชาการ ประกอบด้วย 7.2.1 การวางแผนงานวิชาการ ต้องมกี ารจดั เตรยี มข้อมลู สาหรบั การวางแผน เช่น แนวโน้ม ความต้องการของสังคม ข้อมูลเก่ียวกับงาน ข้อมูลเก่ียวกับปริมาณงานพ้ืนฐานด้านการเรียนการสอน ขอ้ มูลเก่ยี วกับคณาจารย์ เจา้ หนา้ ที่ งบประมาณ ผลผลิตของสถาบัน เป็นตน้ 7.2.2 หลักสูตร และการพัฒนาหลักสูตร เช่น ประเภทหลักสูตร รูปแบบการจัดการ หลักสตู ร การประเมนิ หลกั สตู ร เปน็ ตน้ 7.2.3 การจัดระบบงานวิชาการ /การวัดและประเมินผล เช่น การจัดแผนการเรยี น การจัด ตารางสอน/ตารางเรียน การวัดผลการเรยี น ลักษณะและชนิดของข้อสอบ การบริหารด้านอาจารย์ การ จัดและดาเนินการเรยี นการสอน การบรหิ ารการวดั และประเมินผล เป็นต้น 7.2.4 งานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพงานวิชาการ เช่น งานฝ่ายทะเบียน (การลงทะเบียน เลือกวิชาเรียน การออกใบรับรองและหลักฐานอ่ืนๆในการเรียน) การจัดและการบริหารห้องสมุด การ บริหารและบริการสือ่ การสอน เปน็ ต้น 7.2.5 การบรหิ ารกจิ การนักเรยี น ประกอบดว้ ยการบริหารงานด้านต่างๆ ต่อไปนี้ 1) ภารกิจการบริหารกิจการนักเรยี นเก่ียวกับการควบคุม(การรับนักเรยี น การจัดทา ทะเบียนนักเรยี น ระเบียนสะสม การรักษาวินยั และควบคมุ ประพฤติ) 2) ภารกิจการบริหารกิจการนกั เรยี นเกย่ี วกบั งานสวัสดิการ(บริการแนะแนว บรกิ าร 3) ทางการเงิน บริการสุขภาพอนามัย บริการอาหารในสถาบัน บริการด้านความ ปลอดภัย บริการรับส่งนักเรียน บริการไปรษณีย์และโทรศัพท์ บริการการเรียน วิชาทหารและการผ่อนผันการตรวจคัดเลือกทหาร บริการร้านค้าในสถาบัน บริการศษิ ยเ์ กา่ ) 4) ภารกจิ การบรหิ ารกิจการนกั เรยี นเกีย่ วกบั การจดั กจิ กรรมนกั เรยี น 5) ภารกจิ การบริหารกจิ การนักเรียนเกย่ี วกบั การสอน 8. ตัวอย่างของระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การทางการศึกษา 8.1 ระบบงานรับสมคั ร อานวยความสะดวกในการกรอกใบสมัคร ข้อมูลประวัตินักเรียน ตรวจสอบประวัตนิ ักเรียนผา่ นเครือข่าย Internet/intranet จัดสถานทส่ี อบ ทนี่ ั่งสอบ พิมพ์บญั ชีรายชื่อ ผูเ้ ขา้ สอบ พิมพ์บัตรประจาตวั สอบ พมิ พแ์ บบฟอร์มบันทกึ คะแนน ประมวลผลคะแนน จัดลาดบั จาแนก ตามกลุม่ ผูส้ มคั ร ใช้เปน็ ขอ้ สนเทศในการคดั เลือก จัดห้องเรียน ประชาสัมพันธ์ และจดั ทารายงาน 8.2 ระบบงานทะเบียนนักเรียน บันทึกข้อมูลประวัตินักเรียน ออกเลขประจาตัวนักเรียน จัด นกั เรียนเขา้ ช้นั เรียนตามเงือ่ นไขทตี่ ้องการ เช่น จานวนชาย-หญงิ อายุนกั เรยี นในแตล่ ะช้ันเรยี น สามารถ ระบบสารสนเทศเพือ่ การจัดการทางการศึกษา
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 127 กาหนดเง่อื นไขในการจัดชัน้ เรยี น ตามผลการเรยี นแบบคละ หรือจาแนกตามความสามารถเพ่อื ประโยชน์ ในการจัดการศึกษาได้ มีรายละเอียดข้อมูลครอบคลุมในทุกๆด้าน ประกอบด้วย ประวัติสุขภาพ ความสามารถพิเศษ ความประพฤติ การเข้าร่วมกจิ กรรมเพ่อื ส่วนรวม บันทกึ ผลการเรียน ผลการทดสอบ พัฒนาการด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการให้ความช่วยเหลือนักเรียน การแนะแนวอาชีพ หรือ การศึกษาต่อ สามารถสืบค้น วิเคราะห์ ประมวลผล คัดกรองข้อมูลเชิงสถิติ โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลที่ สามารถ คานวณได้ เช่น อายุ จานวนพี่น้อง ร่วมบิดามารดา ที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาเดียวกันรายได้ บิดา มารดา และพัฒนาการทางด้านการศึกษา สุขภาพ ร่างกาย สามารถใช้คาสั่งมาตรฐาน SQL ประมวลผลได้โดยตรง จดั ทาแฟม้ ประวัตสิ ่วนบุคคล ประวตั กิ ารศึกษา รายวชิ า เปน็ รายบุคคล จัดข้อมูล ในฐานข้อมูลเดียวกันทุกช่วงชั้น สามารถติดตาม และประเมินผลการเรียน พัฒนาการของนักเรียนได้ ตลอดเวลา ใช้เป็นข้อสนเทศในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือนักเรียน ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วชิ าการ และจรยิ ธรรม เพื่อประโยชนใ์ นการพัฒนาพฤติกรรม แก้ปัญหาครอบครวั การพิจารณาใหค้ วาม ช่วยเหลอื ใหท้ ุนการศกึ ษา ได้อย่างต่อเน่ือง ลดปญั หา และภาระงานในการจัดทาเอกสารระเบยี นผลการ เรยี น ใบรบั รอง เป็นขอ้ สนเทศสง่ ตอ่ ให้กบั สถานศึกษาในระดับสูงได้อยา่ ง 8.3 ระบบงานวัดผลประเมินผล เป็นโปรแกรมอานวยความสะดวกในการเก็บบันทึกคะแนน ผ่านเครือข่าย บันทึกคะแนนตามระเบียบการวัดผลประเมินผล การจัดหลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้ บันทึกคะแนนพัฒนาการของนักเรียนตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ อ่าน คิด วิเคราะห์ เขียน สาหรับ อาจารย์ผู้สอนเป็นรายวิชา ลดภาระงานของแผนกทะเบียนวัดผลในการจัดทาประวัติผลการเรียน เอกสารรายงานผลการเรียน สถิติพัฒนาการของนักเรียนในแต่ละด้านโดยละเอียด ช่วยให้อาจารย์ผู้สอน สามารถวเิ คราะห์ และพัฒนาหลักสูตร แผนการเรียนไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ 8.4 ระบบงานตารางสอน อานวยความสะดวกในการวางแผนการจัดการศึกษา การใช้ ทรัพยากรทางการศึกษาร่วมกันภายในสถานศึกษา และระหว่างสถานศึกษา การจัดตารางสอนสาหรับ ครูในสาขาท่ีขาดแคลน ครูชาวต่างชาติ ให้สามารถสอนในสถานศึกษาท่ีอยู่ในเขตพ้ืนที่ใกล้เคียงกันได้ หรือใช้ห้องปฏิบัติการร่วมกันระหว่างสถานศึกษาได้ อานวยความสะดวกในการจัดทาตารางเรียน ตารางสอน การใชห้ อ้ งเรยี น ส่ือการสอน เปน็ รายภาคเรยี น ช้นั /ห้อง จดั คาบเรียนกิจกรรม วิชาเลือกเสรี ท่เี รยี นรวมกันระหว่างห้อง คาบพกั ไดโ้ ดยอิสระ กาหนดคาบภาระงานของคณาจารย์ เป็นกลมุ่ คณะ เช่น การประชุมกรรมการวิชาการ การนิเทศกลุ่มสาระ ได้โดยอิสระกาหนดคาบภาระงานส่วนบุคคล การ ปฏิบัติหน้าท่ีพิเศษได้กาหนดคาบสอนแบบ Team Teaching ได้ ลดปัญหาและภาระงานในการจัดทา ตารางสอน สามารถจัดตารางสอนได้ท้ังแบบกึ่งอัตโนมัติ และอัตโนมัติ พิมพ์รายงาน ตารางสอน รายบุคคล กลุ่มสาระ ตารางเรียน ตารางการใช้ห้อง ภาระงานสอนรายบุคคล ให้บริการสืบค้นข้อมูล ตารางสอน ตารางเรียน ตารางการใช้ห้อง ห้องเรียนว่าง ผ่านเครือข่าย Internet เป็นข้อสนเทศในการ วางแผนจัดอัตรากาลัง และงบประมาณ เช่ือมโยงข้อมูลกับระบบงานทะเบียน และวัดผลประเมินผล โดยตรง ลดปญั หาเรอ่ื งการลงทะเบยี นวชิ าเรียน ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การทางการศึกษา
128 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 8.5 ระบบลงทะเบียนวิชาเลือก อานวยความสะดวกในการลงทะเบียนเรียน สามารถเลือก ลงทะเบยี นวชิ าเรยี นได้ตามความสนใจ และความถนัด กาหนดเงื่อนไข จานวนนกั เรียนในแต่ละช้ันเรียน รายวิชาได้ตามความเหมาะสม ตรวจสอบเงื่อนไขการลงทะเบียน วิชาต่อเน่ืองตามหลักเกณฑ์ในการจัด การศึกษาได้ สามารถจัดการศึกษา และให้บริการ เพ่ือตอบสนองความต้องการของผู้เรียนในการเรียนรู้ ตามอัธยาศัย ให้บริการลงทะเบียนได้ทั้งแบบ มาก่อนได้ก่อน (First in/First serve) หรือแบบสุ่ม (Random) เช่ือมโยงข้อมลู กบั ระบบงานทะเบยี น งานวดั ผลประเมินผล และงานตารางสอนโดยตรง 8.6 ระบบบัตรประจาตัวนักเรียน อานวยความสะดวกในการพิมพ์บัตรประจาตัวนักเรียน สามารถพมิ พ์ได้ท้ังด้านหนา้ และดา้ นหลัง เชือ่ มโยงกบั ระบบงานทะเบยี นโดยตรง ลดปญั หาข้อผิดพลาด และคา่ ใชจ้ า่ ยในการทาบัตร สามารถปรับรูปแบบ และกาหนดรายละเอียดข้อความบนบัตร ได้ตามความ ต้องการ พิมพแ์ ถบรหสั บาร์โค๊ดตามรหสั นักเรยี น หรือเลขประจาตัวประชาชนได้ 8.7 ระบบสารสนเทศวิชาการ อานวยความสะดวก และให้บริการผ่านเครือข่าย Intranet /Internet จัดทาข้อสนเทศเพ่ือการประชาสัมพันธ์ จัดทารายงานสถิติ ผลการเรียน รายบุคคล รายวิชา ชน้ั /หอ้ ง กลุ่มสาระ ครูผู้สอนสบื คน้ ตรวจสอบขอ้ มลู ตารางสอน ตารางเรียน ตารางการใช้ห้อง การบันทึกผลการเรียน การตรวจสอบ การแก้ไข ข้อมูลส่วนบุคคลให้บริการเขียนคาร้องการขอรับ เอกสาร ผ่านระบบเครือข่าย Internet/Intranet 8.8 ระบบถ่ายโอนข้อมูล สพฐ. อานวยความสะดวกในการถ่ายโอน นาเข้าขอ้ มูลจากระบบงาน เดิม เช่น SMIS, STUDENT2544 และ BEIS ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน แสดงรายละเอียด ตรวจสอบ แก้ไขข้อมูลได้โดยตรง จัดทารายงานข้อสนเทศตามความต้องการ เพ่ือประโยชน์ในการบริหาร จัดทา ข้อสนเทศประชากรวัยเรยี น และการสารวจข้อมลู นักเรยี นตกหลน่ จัดทาขอ้ สนเทศ 10 มถิ ุนายน จดั ทา ข้อสนเทศการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาในระดับ โรงเรียน เขตพื้นท่ี จังหวัด และภาพรวมของ ประเทศ 8.9 ระบบคลังข้อสอบ อานวยความสะดวกในการจัดทาฐานข้อมูลคลังข้อสอบมาตรฐาน นาเข้าข้อสอบจากเอกสาร MS-Word และจัดทาคลังข้อสอบได้โดยอัตโนมัติ ไม่เพิ่มภาระงานในการ จัดทา อานวยความสะดวกในการวิเคราะห์ค่าสถิติ อานาจการจาแนก ความยากง่าย คุณภาพของ ข้อสอบ เป็นรายข้อตามรายวตั ถปุ ระสงค์ สามารถกาหนดเงอ่ื นไขความต้องการ ในการใช้ขอ้ สอบ สรา้ ง ต้นฉบับข้อสอบ เพ่ือจัดพิมพ์เป็นเอกสารข้อสอบได้โดยอัตโนมัติ สามารถจัดสอบผ่านหน้า จอคอมพิวเตอร์บนระบบเครือข่าย และเก็บบันทึกผลการสอบ และรายงานผลได้ทันที ทางานร่วมกับ งานวัดผลประเมินผล และงานหลักสูตรได้โดยตรง นักเรียนสามารถฝึกทาแบบทดสอบ ในลักษณะ แบบฝึกหดั On line ได้ ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจัดการทางการศึกษา
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 129 8.10 ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน อานวยความสะดวกสะดวกในการจัดทาข้อสนเทศเพื่อให้ ความช่วยเหลือนักเรียน บันทึกข้อมูลแผนท่ีที่พัก อาศัยของนักเรียน ชุมชน เขตพ้ืนท่ี แหล่งเสื่อมโทรม จัดทาข้อสนเทศในการวางแผน ป้องกันในการแก้ปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา จัดทาแฟ้มสะสม (Portfolio) ของนกั เรยี นรายบคุ คล บันทกึ ขอ้ มลู เวลาเรียน/ความประพฤติ ผ่านระบบเครือขา่ ย จัดพิมพ์แบบฟอร์ม และบันทึกเวลาเรียน ความประพฤติของนักเรยี น นาเข้าข้อมูลโดยใช้เทคนิค วิธีการ อ่านภาพ (Optical Mark Reader) บันทึกการลงโทษ การตัดคะแนนความประพฤติ การให้รางวัล ประกาศชมเชยนักเรียนมีความประพฤติดี จัดเตรียมข้อสนเทศในการ ติดตาม วิเคราะห์ปัญหา ให้ความ ช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายบุคคล จัดพิมพ์รายงานเวลาเรียน ความประพฤติ แจ้งผู้ปกครองทาง จดหมาย หรือทาง E-mail พิมพ์ประกาศชมเชย ขอพบนักเรียน ใบอนุญาตเข้าช้ันเรียน และรายงาน เหตกุ ารณ์ประจาวนั 8.11 ระบบงานหอ้ งสมดุ อานวยความสะดวกในการเก็บบันทึกข้อมลู การให้บริการห้องสมุด จัดทาทะเบียนหนังสือ ส่ือสิงพิมพ์ และแหล่งความรู้ จัดพิมพ์บัตรรายการ เลขทะเบียน Bar Code เลข เรียกหนังสือ บันทึกข้อมูลวารสาร หนังสือพิมพ์ การลงทะเบียนรับ การจัดทาหัวเรื่อง ดรรชนีวารสาร สาระสังเขป การสืบค้น ชื่อหนังสือ ช่ือผู้แต่ง หัวเร่ือง เลขหมู่ การจัดพิมพ์รายงาน บรรณานุกรม ช่ือ หนังสือ ชื่อผู้แต่ง เลขหมู่ บันทึกข้อมูลทะเบียนสมาชิก การพิมพ์บัตรสมาชิก การยืมคืน การคานวณ ค่าปรับ จัดพิมพ์เอกสารทวงถามสมาชิกยืมหนังสอื เกินกาหนด การพิมพ์รายงาน กราฟสถิติ การยืม-คืน เชื่อมโยงสืบค้นข้อมูลทะเบียนหนังสือ เลขหมู่ ชื่อผู้แต่ง นามปากกา สานักพิมพ์ จากแหล่งข้อมูลผ่าน เครือข่าย Internet ลดภาระในการจัดทาทะเบียนหนังสือ ทางานเป็นระบบเครือข่าย นักเรียนสืบค้น ข้อมลู ไดพ้ ร้อมกัน หลายๆ เครือ่ ง 8.12 ระบบงานการเงินนักเรียน อานวยความสะดวกในการจัดพิมพ์ใบเสร็จรับเงิน บันทึก รายการค่าธรรมเนียมการศึกษาท่ีต้องชาระรายช้ัน/ห้อง จัดพิมพ์ ใบแจ้งหนี้ เพื่อชาระเงินผ่านธนาคาร นาเข้าข้อมูลรายงานการชาระเงินจากธนาคาร ในรูปของ Text หรือ Excel ได้โดยตรง พิมพ์ ใบเสร็จรับเงิน รายบุคคล ช้ัน/ห้อง ตามแบบฟอร์ม รายงานสรุปการชาระเงิน จาแนกตามช้ัน/ห้อง ระดับช้ัน การเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการ แผนงาน การตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ การพิมพ์ เอกสารรายงาน การขออนมุ ัติ เช่อื มโยงขอ้ มลู นักเรียนจากงานทะเบยี นโดยตรง 8.13 ระบบงานแนะแนว อานวยความสะดวกในการจัดทาข้อสนเทศงานแนะแนวการศึกษา อาชีพ จัดทาข้อสนเทศทางการศึกษา สถานศึกษา ลักษณะอาชีพ สถานประกอบการ จัดทาแบบสารวจ วดั แวว ความสนใจ ความถนัด ของนกั เรียน เปน็ รายบุคคล สารวจ และวเิ คราะห์ ความสนใจ ความถนัด ความสามารถพิเศษ ของนักเรียนเป็นรายบุคคล ใหค้ าแนะนาการแก้ปญั หา ทางการศึกษา การศกึ ษาต่อ การประกอบอาชีพ 8.14 ระบบงานบริการ อานวยความสะดวกการบริหารอาคารสถานท่ี ยานพาหนะ จัด เตรียมสถานที่ ให้บริการ การดูแลบารุงรักษา อาคารสถานที่ และยานพาหนะและระบบ สาธารณูปโภค ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การทางการศึกษา
130 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 ภายในสถานศึกษา บันทึกสืบค้น การขอใช้อาคารสถานที่ในการจัดเรียนการสอน และการให้บริการ บันทึกรายงานสถิติการใช้ไฟฟ้า น้าประปารายเดือน บันทึกการขอใช้ยานพาหนะ การเบิกจ่ายน้ามัน เชอื้ เพลงิ บันทึกการซอ่ มแซมยานพาหนะรายงานสถิติ งบประมาณ การดแู ลบารงุ รกั ษา 8.15 ระบบงานสารบรรณ อานวยความสะดวกในการบันทึก และจัดพิมพ์เอกสาร การ ลงทะเบียนหนังสือ รับ-ส่ง การจัดเก็บเอกสาร คาสั่ง บันทึกราชการ การพิมพ์เอกสารบันทึกราชการ คาสั่ง การติดตามงานตามคาส่ัง การตรวจสอบเรื่องเสร็จ การพิมพ์รายงานสถิติการรับ-ส่งจาแนกตาม หน่วยงาน การจัดเก็บ – การสืบค้นเอกสาเนาเอกสารคาสั่งผ่านระบบเครือข่าย การรับ-ส่งหนังสือผ่าน ระบบเครือข่าย Intranet และ Internet สามารถสร้าง และเก็บข้อความสาระสาคัญจากเอกสาร MS- Word และบันทกึ ลงฐานขอ้ มลู ได้โดยอัตโนมัติ 8.16 ระบบแผนงานงบประมาณ อานวยความสะดวกในการวางแผนงบประมาณแบบมุ่งเน้น ผลงาน การจดั ทาแผนงาน งบประมาณ การคิดตน้ ทุนกจิ กรรม การจัดซื้อจดั จา้ ง การบรหิ ารทางการเงิน และการควบคุมงบประมาณ การรายงานทางการเงิน และผลการดาเนินงาน การบริหารสินทรัพย์ การ ตรวจสอบภายใน การจดั ทารายงาน การใช้งบประมาณท่ีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างทรัพยากรท่ีใช้ กับ ผลผลิตท่ีได้ 8.17 ระบบงานพัสดุ อานวยความสะดวกในการบรหิ ารงานพัสดุ บันทึก และจัดพิมพ์เอกสาร การสบื คน้ การขออนุมตั ิซื้อวัสดุ–ครุภัณฑ์ การอนุมตั กิ ารซ้อื การจา้ งงาน การจดั ทาเอกสารการตรวจรับ จัดทาบัญชีการเบิกจ่ายวัสดุ–ครุภัณฑ์ ระเบียนประวัติครุภัณฑ์ การตรวจสอบ การทารายงานครุภัณฑ์ คงเหลือ การควบคุมวงเงินงบประมาณ การทาบัญชีรายจ่ายงบประมาณตามโครงการการติดตาม ความก้าวหน้าของโครงการ สามารถสร้าง และเก็บข้อความสาระสาคัญ รายการวัสดุ-ครุภัณฑ์ จาก แบบฟอร์มเอกสาร MS-Word และบันทึกลงฐานข้อมูลได้โดยอัตโนมัติ ลดการทางานและข้อผิดพลาดท่ี ตอ้ งคัดลอกลงแบบฟอร์มต่างๆ 8.18 ระบบงานบัญชี อานวยความสะดวกในการบริหารงานบัญชี จาแนกรายการตาม แผนงาน หน่วยงาน จัดทาบัญชีแยกประเภท บัญชีเจ้าหนี้ งานวัสดุ และงานครุภัณฑ์ การออกแบบ จัดพิมพ์เอกสารทางการเงินและบัญชี การออกแบบสมุดบันทึกรายการทางบัญชี การออกแบบผังบัญชี การกาหนดรหัสบัญชี การบันทึกบัญชีตามหลักการบัญชีทั่วไป การจัดทารายงาน งบดุล งบรายได้ ค่าใช้จ่าย งบกระแสเงินสด รายงานการรับเงิน รายงานการจา่ ยเงิน รายงานรายละเอยี ดลกู หนี้/เจ้าหนี้ 8.19 ระบบงานการเงิน อานวยความสะดวกในการบริหารการเบิก-จ่ายเงินประมาณงบเป็น ระบบบัญชีย่อยที่เช่ือมต่อกับระบบงบประมาณ และระบบบัญชี GFMIS (เฉพาะโรงเรียนท่ีเป็นหน่วย เบกิ ) บนั ทึกการรบั เงิน และจา่ ยเงนิ จาแนกประเภทของเงนิ ทร่ี ับ จดั พมิ พใ์ บเสรจ็ รับเงิน จดั พมิ พร์ ายงาน ที่เก่ียวข้องตามความต้องการ รายงานข้อมูลที่เก่ียวกับการเงินประจาวัน ประจาเดือน จาแนกตาม ประเภทของเงินรับ โครงการ หน่วยงาน รายงานข้อมูลเก่ียวกับการรับเงินแยกตามบุคลากร ผู้รับเงิน รายบุคคล รายงานข้อมูลสรุปเก่ียวกับเงินสดย่อย รายงานข้อมูลสรุปเกี่ยวกับยอดเงินรับประจาวัน ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการทางการศกึ ษา
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า CE20401 131 รายงานขอ้ มูลสรปุ เกี่ยวกบั การรับเงินท้ังหมด บันทกึ การจา่ ยเงิน ทุกประเภทรายจ่าย และจดั ทารายงาน ที่เกี่ยวข้อง รายงานข้อมูลการจ่ายเงินประจาวัน / เดือน หรือตามช่วงเวลาท่ีต้องการ จาแนกประเภท ของรายจ่าย แผนงาน งาน / โครงการ หมวดรายจ่าย รายงานข้อมูลเกี่ยวกับการรับเงิน แยกตาม เจ้าหน้าท่ีผู้จ่ายเงินเป็นรายบุคคล รายงานสรุปยอดเงินจ่ายประจาวัน และรายงานสรุปการจ่ายเงิน ทง้ั หมด 8.20 ระบบงานบรกิ าร อานวยความสะดวกการบริหารอาคารสถานท่ี ยานพาหนะ จดั เตรยี ม สถานที่ ให้บริการ การดูแลบารุงรักษา อาคารสถานท่ี และยานพาหนะและระบบสาธารณูปโภคภายใน สถานศึกษา บันทึกสืบค้น การขอใช้อาคารสถานที่ในการจัดเรียนการสอน และการให้บริการ บันทึก รายงานสถิติการใช้ไฟฟ้า น้าประปารายเดือน บันทึกการขอใช้ยานพาหนะ การเบิกจ่ายน้ามันเชื้อเพลิง บันทึกการซ่อมแซมยานพาหนะ รายงานสถติ ิ งบประมาณ การดแู ลบารงุ รกั ษา 8.21 ระบบบริหารห้องปฏิบัติการ อานวยความสะดวกในการบันทึกประวัติการใช้ การซ่อม บารุงเครื่องอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ บันทึกรายละเอียดการใช้เครื่องและอุปกรณ์ ใน ห้องปฏิบัติการประกอบด้วย หมายเลขเครื่อง จุดประสงค์การใช้ วันเวลาท่ีใช้ บันทึกรายการขออนุญาต จองเวลา และจัดสรรทรัพยากร การใช้เคร่ืองอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ บันทึกประวัติการซ่อมบารุง รายการอปุ กรณ์ที่เปล่ยี น คา่ ใช้จา่ ยในการซอ่ มบารุง ผูร้ บั จา้ งซ่อมบารุง จดั ทารายงานสถติ ิการใช้ รายวนั รายเดือน รายภาคการศกึ ษา และรายปจี ัดทารายงานประวตั กิ ารซอ่ มบารงุ 8.22 ระบบสารสนเทศสาหรับการบริหาร อานวยความสะดวกในการปฏิบัติ การบริหาร การ วางแผน และการประเมินคุณภาพการศึกษา อานวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน การบันทึก/แก้ไข/ ตรวจสอบ ติดตามผลการปฏิบัติงาน การใหบ้ รกิ ารสืบคน้ ข้อมูล ทเี่ กยี่ วข้องกบั งานบรหิ ารวิชาการ งาน บริหารงบประมาณ งานบริหารบุคลากร และงานธุรการ จัดทาข้อสนเทศเพื่อการบริหาร และการ ประเมินคุณภาพการศึกษา อานวยความสะดวกในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ จัดทาสถิติข้อสนเทศ ท่ีเป็น ประโยชนต์ ่อการบริหาร การติดตาม และการวางแผน และจัดเตรยี มข้อสนเทศเพ่ือการประเมินคุณภาพ การศึกษา 8.23 ระบบงานประกันคุณภาพการศึกษา อานวยความสะดวกในการสร้างแบบประเมิน จัดเก็บ เช่ือมโยงข้อมูลสารสนเทศจากระบบงานที่เกี่ยวข้อง สามารถดาเนินผ่านระบบเครือข่าย Intranet/Internet จัดทาแบบประเมินตามมาตรฐาน ตัวชี้วัด ประเด็นการตรวจสอบ การจัดการศึกษา ขั้นปฐมวัย และการศึกษาข้ันพื้นฐานทุกช่วงชั้น จัดทาเตรียมสนเทศเพ่ือการประเมินผล ตามมาตรฐาน ด้านผู้เรียน ด้านบุคลากร ด้านการบริหารและด้านชุมชน ประมวลผล วิเคราะห์ผล รายงานผลการ ประเมิน ระดับรายบุคคล รายมาตรฐาน สร้างรายงานประจาปี (SAR) เต็มรูปแบบ และจัดพิมพ์เอกสาร ประกอบการประเมิน เผยแพร่รายงานประจาปี (SAR) จัดพิมพ์เอกสาร ฉบับย่อ และเผยแพร่ทาง เครือขา่ ย Internet ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การทางการศกึ ษา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284