Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ວິຊາການປະເມີນຜົນໂຄງການ

ວິຊາການປະເມີນຜົນໂຄງການ

Published by lavanh9979, 2021-08-26 02:45:33

Description: ວິຊາການປະເມີນຜົນໂຄງການ

Search

Read the Text Version

189 วธิ กี ารประเมนิ 1. การพจิ ารณาเมตริกภาคบรรยาย 1.1 การพิจารณาความสอดคล้องระหวา่ งความคาดหวงั กบั สิ่งท่ีเกิดข้ึนจริง เป็ นการ พิจารณาในแนวนอน (Horizontal) 1.2 การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งนา ปฏิบัติการ และผลการดาเนินการ เป็นการพจิ ารณาในต้งั (Vertical) การพิจารณาความสอดคลอ้ ง (Congruence) และการพิจารณาความสัมพนั ธ์ (Contingency) ดงั แสดงในภาพตอ่ ไปน้ี ความคาดหวงั สิ่งที่เกิดข้ึนจริง ส่ิงนา หรือปัจจยั เบ้ืองตน้ สอดคลอ้ ง ส่ิงนา หรือปัจจยั เบ้ืองตน้ ความสมั พนั ธ์เชิงตรรกะ สอดคลอ้ ง ความสัมพนั ธ์เชิงประจกั ษ์ การปฏิบตั ิ การปฏิบตั ิ ความสมั พนั ธ์เชิงตรรกะ สอดคลอ้ ง ความสัมพนั ธ์เชิงประจกั ษ์ ผลการดาเนินงาน หรือผล ผลการดาเนินงาน หรือผล การปฏิบตั ิ การปฏิบตั ิ ภาพท่ี 12 ความสอดคลอ้ ง (Congruence) และความสมั พนั ธ์ (Contingency) ของความคาดหวงั และสิ่งท่ีเกิดข้ึนจริง 2. การเปรียบเทียบเมตริกภาคบรรยายกบั เมตริกภาคตดั สินคุณค่าโดยอาศยั เกณฑ์สมบูรณ์ (Absolute Criteria) หรือเกณฑ์สัมพนั ธ์ (Relative Criteria) ซ่ึงอาจทาได้โดยการเปรียบเทียบกับ เมตริภาคบรรยายของโครงการอื่น ๆ

190 ตัวแปรทจ่ี ะศึกษา ตวั แปรที่จะศึกษา จาแนกตามโครงสร้างของโมเดลเคานท์ ิแนนซ์ดงั ตารางต่อไปน้ี ตารางที่ 4 แสดงการจาแนกตามโครงสร้างของโมเดลเคาน์ทิแนนซ์ ตวั แปรท่ีศึกษา/แหลง่ ขอ้ มูล/เครื่องมือท่ีใช้ แผนงานหรือความ สิ่งที่เกิดข้ึนจริง มาตรฐานการดาเนินงาน การตดั สิน คาดหวงั ที่ควรจะเป็ น สิ่งนาหรือ ความเขา้ ใจของ ใชเ้ กณฑส์ มบูรณ์จาก พจิ ารณาผลจาก ปัจจยั พนื้ ฐาน (Antecedents) กรรมการบริหาร กลมุ่ ต่อ แบบสอบถามมาตราส่วน แบบสอบถามและความ ประเมนิ ค่า 1. วตั ถุประสงคก์ าร วตั ถปุ ระสงค์ โดยใช้ คิดเห็นของผทู้ รงคุณวฒุ ิ จดั ต้งั กลมุ่ โรงเรียน แบบสอบถามจากคณะ จากการสมั ภาษณ์ โดยวเิ คราะห์จาก กรรมการบริหารกล่มุ เอกสาร 2. ปัจจยั พ้นื ฐานที่ ปัจจยั พ้ืนฐานท่ีกลมุ่ มจี ริง ปัจจยั พ้นื ฐานที่กล่มุ พจิ ารณาความสอดคลอ้ ง จาเป็ นต่อการ ในขณะดาเนินงานปี 2524/ โรงเรียนควรมี โดยการ ระหวา่ งปัจจยั ที่คาดหวงั ดาเนินงานที่กลุ่ม สมั ภาษณ์ประธานหรือ วเิ คราะห์จากเอกสาร วา่ จะมีกบั ปัจจยั ท่ีมีจริง คาดหวงั วา่ จะมี/ เลขานุการกลมุ่ ระเบียบและแนวปฏิบตั ิ พร้อมท้งั พิจารณาจาก ของกลุ่ม สมั ภาษณ์ประธาน แบบสอบถามและขอ้ มลู หรือกลมุ่ เลขานุการ การสมั ภาษณ์ความ กลมุ่ คิดเห็นของผทู้ รงคุณวฒุ ิ การปฏบิ ัตกิ าร กิจกรรมปกติที่กล่มุ ทาไดจ้ ริง ลักษณะกิจกรรมที่กลุ่ม พจิ ารณาความสอดคลอ้ ง (Transactions) โรงเรียนกระทา ระหวา่ งความคาดหวงั กบั สิ่งท่ีเกิดข้ึนจริงและ 1. กิ จก รรม ป กติ ที่ ระหวา่ งสิ่งที่เกิดข้ึน กล่มุ คาดหวงั วา่ จะทา 2. กิจกรรมพิเศษที่ กิจกรรมพิเศษท่ีกลมุ่ ไดท้ าจริง วเิ คราะหจ์ ากเอกสาร กบั มาตรฐานการ กล่มุ คาดหวงั วา่ จะทา สมั ภาษณ์ประธานหรือ ระเบียบและแนวปฏิบตั ิ ดาเนินงานที่ควรจะเป็ น สมั ภาษณ์ประธาน เลขานุการกล่มุ ของกลุ่มโรงเรียน ใชข้ อ้ คดิ เห็นของประธาน หรือเลขานุการกลมุ่ กลุม่ และผทู้ รงคุณวฒุ ิ ประกอบการตดั สิน

191 ตารางที่ 4 แสดงการจาแนกตามโครงสร้างของโมเดลเคาน์ทิแนนซ์ (ต่อ) ตวั แปรที่ศึกษา/แหลง่ ขอ้ มลู /เคร่ืองมือท่ีใช้ แผนงานหรือความ สิ่งท่ีเกิดข้ึนจริง มาตรฐานการดาเนินงาน การตดั สิน คาดหวงั ที่ควรจะเป็ น พจิ ารณาจากคุณภาพของ ผลการดาเนนิ งาน กิจกรรมจาก หรือผลลพั ธ์ ศึกษาคุณภาพของกิจกรรมที่ ใชเ้ กณฑส์ มบูรณ์ระดบั แบบสอบถามและ (outcome) ไดด้ าเนินการท้งั กิจกรรมปกติ 3.50 จากแบบสอบถาม ใชค้ วามคิดเห็นของผชู้ ่วย วตั ถปุ ระสงคข์ อง และกิจกรรมพิเศษ สอบถาม มาตรฐานส่วนประมาณ ผบู้ ริหารฝ่ ายวชิ าการ กิจกรรมท้งั กิจกรรม ความคิดเห็นของ คา่ 6 ระดบั ในฐานะนกั ประเมินผล ปกติและกิจกรรม กรรมการบริหารกล่มุ ผชู้ ่วย ภายใน (Internal พเิ ศษ วเิ คราะห์จาก ผบู้ ริหาร ฝ่ ายวชิ าการและครู Evaluator) และความ เอกสารและผลงาน อาจารยผ์ เู้ ขา้ ร่วมในโครงการ คิดเห็นของผทู้ รงคุณวฒุ ิ กลมุ่ และการ พเิ ศษต่าง ๆ ในฐานะนกั ประเมินผล สมั ภาษณ์ประธาน ภายนอก (External กล่มุ Evaluator) การวเิ คราะห์ข้อมูล 1. การวเิ คราะห์เน้ือหา 2. ขอ้ มูลความคิดเห็น หรือความรู้สึกของกลุ่มตวั อย่างใช้วิธีวิเคราะห์มธั ยฐานและฐาน นิยม ผลการประเมนิ 1. ผลจากการประยกุ ตใ์ ชโ้ มเดลเคาน์ทิแนนซ์ของสเตก ปรากฏวา่ แบบจาลองการประเมิน ดงั กล่าวสามารถประเมินกิจกรรมได้ในลกั ษณะที่ครอบคลุมและลกั ษณะเด่นของแบบจาลองคือ ข้นั ตอนการพิจารณาความสมั พนั ธ์เชิงประจกั ษร์ ะหวา่ งปัจจยั พ้ืนฐานกบั การดาเนินงาน และผลการ ดาเนินงานเปรียบเสมือนการสรุปผลการประเมินไปในตวั ดว้ ย 2. ผลการประเมินกิจกรรมของกลุ่มโรงเรียน ปรากฏวา่ กลุ่มโรงเรียนกลุ่มที่ 1 และกลุ่ม ท่ี 2 มีความพร้อมทางดา้ นปัจจยั พ้ืนฐานและแนวทางการดาเนินงานส่วนใหญ่เป็ นไปดว้ ยดี กลุ่มท่ี 1 มีจุดอ่อนในแง่ของการประชาสัมพนั ธ์ กลุ่มที่ 2 ประสบปัญหาในส่วนท่ีเก่ียวกบั โครงการระยะยาว

192 เพราะขาดการวางแผนในการควบคุมและติดตามโครงการท่ีเด่นชดั ส่วนกลุ่มท่ี 3 ประสบปัญหา ในดา้ นการดาเนินงานของกลุ่ม แตผ่ ลการดาเนินงานโครงการอบรมระยะส้นั บรรลุผลตามเป้ าหมาย 3. ปัญหาร่วมท่ีเกิดข้ึนในลกั ษณะเดียวกนั ท้งั 3 กลุ่มโรงเรียน คือ ขาดแคลนในดา้ นวสั ดุ ครุภณั ฑ์ และงบประมาณ ขาดปฏิทินการปฏิบตั ิงานท่ีเด่นชดั กรณศี ึกษาท2ี่ การประเมนิ หลกั สูตรการพยาบาลเฉพาะทาง คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล พรทิพย์ อาจณรงค,์ (2536) วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ เพื่อวิเคราะห์และประเมินหลกั สูตรพยาบาลเฉพาะทาง ซ่ึงเป็ นหลกั สูตรการศึกษาอบรม ระยะส้ันของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล กล่มุ ตัวอย่างของการประเมนิ กลุ่มตวั อยา่ งของการประเมินแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ตอน คือ ตอนท่ี 1 กลุ่มตวั อยา่ งสาหรับการประเมินหลกั สูตรปี การศึกษา 2523 ไดแ้ ก่ ผเู้ ก่ียวขอ้ งกบั หลกั สูตรการพยาบาลเฉพาะทาง ปี การศึกษา 2523 ท้งั หมด ตอนท่ี 2 ติดตามผลการปฏิบตั ิงานของผูส้ าเร็จการศึกษาการอบรมทุกรุ่น กลุ่มตวั อย่างคือ ผสู้ าเร็จการอบรมทุกรุ่น และผบู้ งั คบั บญั ชา เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการประเมนิ เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล คือ แบบสอบถาม ซ่ึงแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ดงั น้ี ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกบั ขอ้ มูลส่วนตวั และความคิดเห็นทว่ั ไปของผสู้ าเร็จการอบรม ท้งั ก่อนเขา้ รับการอบรม และภายหลงั สาเร็จการอบรมแลว้ ส่วนที่ 2 แบบสอบถามเพอื่ ประเมินการบริหารและการจดั ดาเนินหลกั สูตร ส่วนที่ 3 แบบสอบถามเพือ่ ประเมินเน้ือหาวชิ าของหลกั สูตร ส่วนที่ 4 แบบประเมินความสามารถในการปฏิบตั ิการพยาบาลเฉพาะทาง ส่วนที่ 5 แบบสอบถามขอ้ มูลเก่ียวกบั การสอน

193 วธิ ีการประเมนิ ในการประเมินผลน้ีไดใ้ ช้โมเดลซิป (CIPP Model) เป็ นรูปแบบในการกาหนดโครงสร้าง การประเมิน ดงั แผนภมู ิดงั ต่อไปน้ี การประเมิน การประเมินปัจจยั การประเมิน การประเมินผล สภาวะแวดลอ้ ม เบ้ืองตน้ กระบวนการ ผลิต การประเมิน การประเมินปัจจยั การประเมินการ การประเมิน จุดมุง่ หมายของ เบ้ืองตน้ ตา่ ง ๆ จดั การบริหาร สัมฤทธ์ิผลทาง หลกั สูตร ของหลกั สูตร หลกั สูตร และ การศึกษาของ ไดแ้ ก่ ผเู้ รียน กระบวนการเรียน ผสู้ าเร็จหลกั สูตร การประเมิน ผสู้ อน บุคลากร การสอน เน้ือหาสาระของ และทรัพยากรอื่น การติดตามผลการ หลกั สูตร ๆ รวมท้งั แผนการ ปฏิบตั ิงานของ ดาเนินงาน ผสู้ าเร็จหลกั สูตร ภาพที่ 13 การประเมินรูปแบบโมเดลซิป (CIPP Model) รายละเอียดการประเมินดาเนินการดงั น้ี 1. การประเมินสภาวะแวดล้อม 1.1 เป้ าหมายการประเมิน การประเมินจุดมุ่งหมายของหลกั สูตรการพยาบาลเฉพาะทาง ประมาณ 2 ส่วน คือ ประเมินจุดมุง่ หมายทว่ั ไปของหลกั สูตรและประเมินวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะสาขา 1.2 การประเมินเน้ือหาสาระของหลกั สูตร การประเมินเน้ือหาสาระของหลกั สูตรการพยาบาลเฉพาะทาง ประเมิน 2 ดา้ น คือ 1.2.1 ความสอดคลอ้ งระหวา่ งเน้ือหาสาระของหลกั สูตรกบั วตั ถุประสงค์เฉพาะ สาขา

194 1.2.2 ความสอดคลอ้ งระหวา่ งเน้ือหาวชิ าโดยทวั่ ไปกบั ประสบการณ์ของผเู้ ขา้ ร่วม การอบรม 1.2.3 ความคิดเห็นเก่ียวกบั ความเหมาะสมของเน้ือหาวิชาของหลกั สูตร ท้งั ใน ทศั นะของผเู้ ขา้ รับการอบรมและผสู้ อน 2. การประเมนิ ปัจจัยเบอื้ งต้น ไดท้ าการประเมินปัจจยั เบ้ืองตน้ 4 ประเภท คือ 2.1 ปัจจัยด้านผู้เข้ารับการอบรมซ่ึงพิจารณาจากความเหมาะสมของคุณสมบัติ ของผูส้ มคั รเขา้ รับการอบรมที่กาหนดไวใ้ นหลกั สูตรและความสอดคล้องระหว่างความเป็ นจริง ของคุณสมบตั ิของผเู้ ขา้ รับการอบรมกบั คุณสมบตั ิที่หลกั สูตรกาหนดไว้ 2.2 ปัจจยั ดา้ นบุคลากร จะพิจารณาจากความเหมาะสมของคณะกรรมการดาเนินงาน หลกั สูตรและความเหมาะสมของอาจารยผ์ สู้ อนในหลกั สูตร 2.3 ความเหมาะสมของปัจจยั ดา้ นทรัพยากรอ่ืน ๆ 2.4 ความเหมาะสมของปัจจยั ดา้ นการวางแผนการดาเนินการอบรมตลอดหลกั สูตร 3. การประเมนิ กระบวนการ ในการประเมินกระบวนการน้นั เน่ืองจากผปู้ ระเมินไดท้ าการประเมินหลงั จากเสร็จสิ้น การอบรมประจาปี การศึกษาไปแล้ว จึงไม่อาจทาการประเมินการจดั การอบรมท้งั กระบวนการ ได้ การประเมินกระบวนการจึงเป็ นเพียงการสัมภาษณ์และส่งแบบสอบถามผเู้ กี่ยวขอ้ งกบั หลกั สูตร เพ่ือประเมินวา่ การดาเนินการเป็ นไปตามแผนงานที่ไดก้ าหนดไวห้ รือไม่รวมท้งั การประเมินความ คิดเห็นเกี่ยวกบั ความราบรื่นหรือขอ้ บกพร่อง รวมท้งั ความพึงพอใจที่เกิดข้ึนกบั ผูเ้ รียนและผสู้ อน ในดา้ นตา่ ง ๆ ระหวา่ งการเรียนการสอนในหลกั สูตรการพยาบาลเฉพาะทาง ปี การศึกษา 2523 4. การประเมินผลผลติ การประเมินผลผลิต คือ ประเมินผูส้ าเร็จหลกั สูตรการอบรมการพยาบาลเฉพาะทาง โดยการประเมินในด้านการเป็ นผูม้ ีความรู้ทางวิชาการและในด้านการเป็ นผูม้ ีความสามารถ ในทางปฏิบตั ิ การวเิ คราะห์ข้อมูล 1. รวบรวมขอ้ มูลจากการวเิ คราะห์เอกสาร 2. วเิ คราะห์ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากแบบสอบถามดว้ ยการแจกแจงความถี่ 3. วเิ คราะห์เน้ือเรื่อง

195 4. คานวณค่ามชั ฌิมเลขคณิต ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าสถิติทีของคะแนนท่ีได้ จากการทาแบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของผูส้ าเร็จการอบรม และ ผบู้ งั คบั บญั ชาในส่วนที่เป็นมาตราส่วนประเมินค่า ผลการประเมนิ 1. ผลการประเมินสภาวะแวดล้อม พบวา่ 1.1 การประเมินจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ในด้านลักษณะที่ดีของจุดมุ่งหมายทาง การศึกษาซ่ึงควรประกอบดว้ ยลกั ษณะ 3 ประการ ต่างจากการวิเคราะห์หลกั สูตร พบว่า ลกั ษณะ ของจุดมุ่งหมายทวั่ ไปของหลกั สูตรมีลกั ษณะที่ดีของจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเพียง 2 ประการ คือ ในส่วนที่แสดงถึงความสามารถและส่วนของการเป็ นผมู้ ีความรู้ทางวชิ าการของผสู้ าเร็จหลกั สูตร โดยที่มิได้ใส่วนใดแสดงออกให้เห็นถึงทัศนคติท่ีควรจะเป็ นของผูส้ าเร็จหลกั สูตร แต่มีความ สอดคลอ้ งและความสัมพนั ธ์กนั กบั ปรัชญาการศึกษาของคณะพยาบาลศาสตร์ส่วนวตั ถุประสงค์ ของแต่ละสาขาวิชาเป็ นวตั ถุประสงค์ท่ีชัดเจนและขยายความเก่ียวกับจุดมุ่งหมายท่ัวไปของ หลกั สูตรเป็นอยา่ งดี 1.2 การประเมินเน้ือหาสาระของหลักสูตร พบว่า เน้ือหาวิชาในหลักสูตรมีความ สอดคลอ้ งกนั กบั วตั ถุประสงคเ์ ฉพาะสาขาของหลกั สูตร และประสบการณ์ของผเู้ ขา้ รับการอบรม เน้ือหาสาระทางวชิ าการส่วนใหญ่มีความเหมาะสมกบั หลกั สูตร มีเพียงบางส่วนท่ีควรปรับปรุงเพ่ือ ลดความซ้าซอ้ นของเน้ือหาวชิ าที่เก่ียวขอ้ งกนั 2. ผลการประเมินปัจจัยเบอื้ งต้น พบวา่ 2.1 การประเมินปัจจยั ดา้ นผเู้ ขา้ รับการอบรม พบวา่ หลกั เกณฑ์คุณสมบตั ิของผสู้ มคั ร เขา้ รับการอบรมท่ีหลกั สูตรกาหนดไว้ เป็ นหลกั เกณฑค์ ุณสมบตั ิที่จะทาให้เลือกผมู้ ีความเหมาะสม เขา้ รับการอบรมเป็นอยา่ งดี 2.2 การประเมินปัจจยั ด้านบุคลากร พบว่า ในหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางมี บุคลากรท้งั ในดา้ นคณะกรรมการจดั ดาเนินงานหลกั สูตรท่ีเหมาะสม รวมท้งั มีคณาจารยผ์ สู้ อนเป็ น ผเู้ ช่ียวชาญตรงต่อสาขาวชิ าและมีความเขา้ ใจในจุดประสงคข์ องหลกั สูตร 2.3 การประเมินปัจจยั ดา้ นอุปกรณ์และส่ิงแวดลอ้ มประกอบการเรียนการสอนพบวา่ อุปกรณ์ต่าง ๆ มีเพยี งพอ 2.4 การประเมินปั จจัยด้านการวางแผนการดาเนินงานตลอดหลักสู ตร พบว่า คณะกรรมการดาเนินงานหลกั สูตรไดม้ ีการวางแผนการดาเนินงานตลอดระยะเวลาการอบรมไว้ อยา่ งมีระเบียบแบบแผน 3. ผลการประเมินกระบวนการ พบวา่ 3.1 การจดั ดาเนินงานตลอดหลกั สูตรส่วนใหญ่เป็ นไปตามแผนท่ีกาหนดไว้

196 3.2 การประเมินด้านกระบวนการเรียนการสอนในทศั นะของผูเ้ ขา้ รับการอบรมและ สอน พบวา่ 3.2.1 ทศั นะของผเู้ ขา้ รับการอบรมในการกระบวนการเรียนการสอนและการจดั ดาเนินหลกั สูตรส่วนใหญอ่ ยใู่ นระดบั เป็นที่พอใจ 3.2.2 ทศั นะของอาจารยผ์ ูส้ อน พบว่า อาจารย์ส่วนใหญ่ยงั ใช้วิธีการบรรยาย ในการสอน 4. ผลการประเมินผลิตผล พบว่า ผูส้ าเร็จการอบรมในปี การศึกษา 2523 เป็ นผูม้ ีความรู้ ทางวิชาการการพยาบาลเฉพาะทางเป็ นอยา่ งดี และมีความสามารถมากในการปฏิบตั ิกิจกรรมการ พยาบาลเฉพาะทางดา้ นตา่ ง ๆ เป็นส่วนใหญ่ กรณศี ึกษาท่ี 3 การวเิ คราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนทางการ ศึกษาของวทิ ยาลยั ช่างศิลป์ โดยรูปแบบ การวเิ คราะห์ต้นทุนและผลตอบแทน พชั รี ผลานุรักษา, (2531) วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ โครงการ เพ่ือศึกษาวิเคราะห์ตน้ ทุน ผลตอบแทน และอตั ราผลตอบแทนทางการศึกษาของวิทยาลยั ช่างศิลป์ สังกดั กรมศิลปากร คานิยามศัพท์เฉพาะ ตน้ ทุน (Cost) หมายถึง ค่าใช้จ่ายเพ่ือการศึกษาในวิทยาลยั ช่างศิลป์ แบ่งออกเป็ นตน้ ทุน ทางสงั คมและตน้ ทุนส่วนบุคคล ตน้ ทุนทางสังคม หมายถึง ค่าใชจ้ ่ายท่ีเกิดจากการใชเ้ งินงบประมาณเพือ่ จดั การศึกษาใหก้ บั วทิ ยาลยั ช่างศิลป์ ซ่ึงแบ่งออกเป็ น 2 ลกั ษณะ คือ ตน้ ทุนทางตรง ประกอบดว้ ย ค่าใช้จา่ ยดาเนินการ คิดจากรายจ่ายในหมวดเงินเดือนและค่าจา้ งประจาปี ค่าจา้ งชวั่ คราว ค่าตอบแทนใชส้ อยและวสั ดุ คา่ สาธารณูปโภคกบั คา่ ใชจ้ ่ายทุนทรัพยส์ ิน คิดจากรายจ่ายในหมวดคา่ ครุภณั ฑ์ท่ีดินและส่ิงก่อสร้าง กบั ตน้ ทุนทางออ้ ม หมายถึง ค่าเสียโอกาสในการใชอ้ าคารสถานท่ีและครุภณั ฑเ์ พ่ือการศึกษาแทนท่ี จะนาไปใชใ้ นกิจกรรมอื่น ๆ ตน้ ทุนส่วนบุคคล หมายถึง รายจ่ายท่ีบุคคลจ่ายในขณะที่ศึกษาอยู่กบั วิทยาลัยช่างศิลป์ พิจารณาจากตน้ ทุนทางตรง ไดแ้ ก่ ค่าบารุงการศึกษาและค่าใชจ้ ่ายส่วนตวั เพื่อการศึกษากบั ตน้ ทุน

197 ทางอ้อม ได้แก่ ค่าเสียโอกาสซ่ึงหมายถึงรายได้ที่นักศึกษาควรจะได้รับจากการทางานแทนท่ี จะมาศึกษาต่อ ผลตอบแทน (Benefit) หมายถึง รายไดท้ ี่บุคคลไดร้ ับบวกกบั รายไดพ้ ิเศษหลกั จากสาเร็จ การศึกษาระดบั ประกาศนียบตั รศิลปศึกษาช้นั สูงจากวิทยาลยั ช่างศิลป์ ในส่วนท่ีเป็ นตวั เงินเท่าน้นั และผลตอบแทนในการคานวณหาอตั ราผลตอบแทนในการศึกษาน้ี หมายถึง ส่วนแตกต่างระหวา่ ง รายไดข้ องผสู้ าเร็จการศึกษาระดบั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 กบั ผสู้ าเร็จการศึกษาประกาศนียบตั รศิลปศึกษา ช้นั สูง จากวทิ ยาลยั ช่างศิลป์ อตั ราผลตอบแทน ใช้อตั ราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) หมายถึง อตั รา ความสามารถของเงินลงทุนท่ีทาให้เกิดผลตอบแทนท่ีคุ้มกับเงินจากทุนน้ันพอดี กล่าวได้ว่า เป็นอตั ราที่ทาใหผ้ ลตอบแทนและค่าใชจ้ ่ายท่ีคิดเป็นมลู ค่าปัจจุบนั เท่ากนั อัตราผลตอบแทนต่อสังคม หมายถึง อัตราลดที่แสดงให้เห็นถึงประสิ ทธิภาพของ การจดั สรรทรัพยากรในวทิ ยาลยั ช่างศิลป์ โดยพิจารณาค่าประมาณของกระแสผลตอบแทนก่อนเสีย ภาษีเทียบกบั ตน้ ทุนท้งั หมด อตั ราผลตอบแทนส่วนบุคคล หมายถึง อตั ราส่วนท่ีไดร้ ับจากผลตอบแทนท่ีบุคคลได้รับ หลงั จากหกั ภาษี เปรียบเทียบกบั ตน้ ทุนท่ีบุคคลเสียเม่ือเปรียบเทียบระยะเวลาใหอ้ ยู่ ณ จุดเดียวกนั ดชั นีราคาผบู้ ริโภค (Consumer Price Index) หมายถึง ตวั เลขเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง ของราคาสินคา้ อุปโภคบริโภคที่จาเป็นตอ่ การครองชีพในแตล่ ะปี ความสูญเปล่าทางการศึกษา หมายถึง การท่ีรัฐตอ้ งสูญเสียเงิน วสั ดุ อุปกรณ์ ตลอดจน กาลงั คน และเวลา โดยไม่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์สูงสุดอนั ไดแ้ ก่ การลาออกกลางคนั และการเรียนชา้ กวา่ เวลาท่ีกาหนด วธิ ีดาเนินการประเมนิ โครงการ ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มท่ี 1 คือ นกั ศึกษาวทิ ยาลยั ช่างศิลป์ กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ในปี การศึกษา 2529 จานวน 861 คน เพอ่ื ใชใ้ นการศึกษาตน้ ทุนคา่ ใชจ้ า่ ยส่วนตวั นกั ศึกษา กลุ่มที่ 2 คือผูส้ าเร็จระดับประกาศนียบตั รศิลปศึกษาช้ันสูง จากวิทยาลยั ช่างศิลป์ รุ่นปี การศึกษา 2518 จนถึงรุ่นปี การศึกษา 2529 จานวน 536 คน เพื่อใช้ในการศึกษาผลตอบแทนทาง การศึกษา กลุ่มตวั อย่างไดม้ าจากกลุ่มประชากรดงั กล่าว ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งช้ัน (Stratified Random Sampling) ตามช้นั ปี ซ่ึงขนาดกลุ่มตวั อย่างไดม้ าจากการประเมินค่าสัดส่วน โดยยอมให้

198 ขอ้ มูลมีความคาดเคลื่อน .05 ด้านความเชื่อมน่ั ร้อยละ 95 ได้ขนาดกลุ่มตวั อย่างที่หน่ึง 274 คน กลุ่มตวั อยา่ งที่สอง 229 คน การเกบ็ รวบรวมข้อมูล เก็บรวบรวมขอ้ มูลจากกลุ่มตวั อยา่ ง โดยการใชแ้ บบสอบถามและการสมั ภาษณ์ การวเิ คราะห์ข้อมูล ข้นั ตอนในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู แตล่ ะประเภทดงั น้ี 1. คา่ ใชจ้ ่ายในการจดั การศึกษาในวทิ ยาลยั ช่างศิลป์ แบง่ ออกเป็น 1.1 ค่าใช้จ่ายนักศึกษาซ่ึงจัดเป็ นต้นทุนส่วนบุคคล นามาหาค่าเฉล่ียต่อคนต่อปี ในแต่ละช้ันปี ค่าเสียโอกาสหรือต้นทุนทางอ้อมกาหนดจากรายได้หลังภาษีของผู้สาเร็จช้ัน มธั ยมศึกษาตอนตน้ และปรับดว้ ยอตั ราการวา่ งงาน 1.2 ค่าใชจ้ ่ายสถาบนั ซ่ึงจดั เป็ นตน้ ทุนทางสังคมในส่วนของค่าใชจ้ า่ ยดาเนินการนามา หาคา่ เฉล่ียต่อคนต่อปี ในแต่ละปี ต้งั แตป่ ี งบประมาณ 2525-2529 ค่าใชจ้ ่ายทุนทรัพยส์ ิน สาหรับค่าครุภณั ฑ์คิดจากค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายในหมวดน้ีท่ีใชไ้ ป ในแต่ละปี ค่าท่ีดินคา่ จากมูลค่าที่เป็นตวั เงินของที่ดินแลว้ คิดค่าเสียโอกาสจากอตั ราดอกเบ้ียที่ไดร้ ับ มูลค่าท่ีดินน้ัน ค่าอาคารสิ่งก่อสร้างวิเคราะห์โดยแยกเป็ นอาคารประเภทต่าง ๆ แล้วนามูลค่า ประเมินต่อปี จากสูตร R  cr cr 1 rt เม่ือ R = คา่ ใชจ้ ่ายรายปี ของอาคารและสิ่งก่อสร้าง c = ราคาตน้ ทุนทรัพยส์ ิน r = อตั ราดอกเบ้ียในตลาดปัจจุบนั t = ค่าเฉล่ียของอายุการใช้งานของอาคารโดยใช้เกณฑ์ของคณะกรรมการ พิ จารณ าปรับ ปรุ งการก่อส ร้างของส่ วน ราชก ารและถ าวรวัตถุ ของป ระเทศ (กป ส .) ซ่ึงกาหนดใหอ้ าคารคอนกรีตมีอายใุ ชง้ าน 50 ปี อาคารไม้ 20 ปี และอาคารคร่ึงตึกคร่ึงไม้ 25 ปี นาค่าใชจ้ ่ายดาเนินการและค่าใช้จ่ายทุนทรัพยส์ ินมารวมเป็ นตน้ ทุนทางสังคมต่อคนต่อปี แล้วปรับด้วยอตั ราการเรียนช้ากว่ากาหนดและการลาออกกลางคนั เพ่ือเป็ นตน้ ทุนทางสังคมต่อ ผสู้ าเร็จ 1 คน โดยใชส้ ูตร

199 ค่าใชจ้ า่ ยท่ีปรับแลว้  c y / n 1 d เม่ือ C = ค่าใชจ้ า่ ยตอ่ หน่วย y = จานวนปี ที่โดยเฉลี่ยท่ีผสู้ าเร็จเรียนจบหลกั สูตร n = จานวนปี ตามกาหนดของหลกั สูตร d = สัดส่วนของผทู้ ่ีลาออก 2. การคานวณอตั ราผลตอบแทนส่วนสังคมและอตั ราผลตอบแทนส่วนบุคคลใช้ สูตรการหาอตั ราผลตอบแทนภายใน (The Internal Rate of Return)     mCtt n Bt t 1 r 1 r t 0  t m1 เมื่อ Ct = ตน้ ทุนในปี ที่ t Bt = ผลตอบแทนในปี ที่ t r = อตั ราผลตอบแทนภายใน ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลและผลตอบแทนทางการศึกษาของวทิ ยาลยั ช่างศิลป์ ไดผ้ ลดงั น้ี 1. ตน้ ทุนส่วนบุคคลของนกั ศึกษาวิทยาลยั ช่างศิลป์ ซ่ึงแบ่งออกเป็ นตน้ ทุนทางตรงและ ทางออ้ มสรุปไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี ตารางท่ี 5 ตน้ ทุนส่วนบุคคล นกั ศึกษาวทิ ยาลยั ช่างศิลป์ โดยเฉล่ียต่อคนตอ่ ปี จาแนกตามช้นั ปี ช้นั ปี ตน้ ทุนทางตรง ตน้ ทุนทางออ้ ม รวมตน้ ทุนส่วนบุคคล 1 15,482 14,126 29,607 2 18,762 14,914 33,676 3 21,121 15,702 36,823 4 20,493 16,546 37,039 5 23,727 17,389 41,116 รวม 99,581 78,677 178,261 ต้นทุนส่วนบุคคลของนักศึกษาวิทยาลัยช่างศิลป์ โดยเฉลี่ยต่อปี ต่อคนจบหลักสูตร มี คา่ ใชจ้ ่ายท้งั หมด 178,261 บาท

200 2. ตน้ ทุนทางสงั คม ซ่ึงแบง่ ออกเป็นตน้ ทุนทางตรงและทางออ้ มสรุปไดด้ งั น้ี ตารางท่ี 6 ตน้ ทุนทางสงั คมตอ่ ผสู้ าเร็จ ช้นั ปี ตน้ ทุนทางตรง ตน้ ทุนทางออ้ ม รวมตน้ ทุนส่วนบุคคล 1 23,537 14,126 37,663 2 20,618 14,914 35,532 3 20,358 15,702 36,060 4 24,184 16,546 40,730 5 17,005 17,389 34,394 รวม 105,702 78,677 178,261 ตน้ ทุนทางสังคมในการผลิตนกั ศึกษาระดบั ประกาศนียบตั รศิลปศึกษาช้นั สูงหน่ึงคน ตอ้ ง ใชก้ ารลงทุนถึง 184,379 บาท ตารางที่ 7 เปรียบเทียบตน้ ทุนทางสังคมกบั ตน้ ทุนส่วนบุคคล ตน้ ทุน ค่า รวม สัดส่วนระหวา่ ง ทางตรง เสียโอกาส (%) A:B A ตน้ ทุนทางสงั คม 105,702 78,677 184,379 1.00 (57.33) (42.67) (100) B ตน้ ทุนส่วนบุคคล 99,585 78,677 178,261 0.96 (55.86) (44.14) (100) จากการเปรียบเทียบต้นทุนทางสังคมกับต้นทุนส่วนบุคคล พบว่าต้นทุนส่วนบุคคล ท่ีนกั ศึกษาตอ้ งรับภาระค่าใชจ้ ่ายที่รัฐเป็ นผจู้ ่ายในการผลิตผสู้ าเร็จระดบั ประกาศนียบตั รศิลปศึกษา ช้นั สูงอยใู่ นอตั ราที่ใกลเ้ คียง โดยมีสดั ส่วนร้อยละ 96.7 3. อตั ราผลตอบแทนส่วนบุคคลและอตั ราผลตอบแทนทางสงั คม การวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลตอบแทน (Cost-Benefit Analysis) อาศยั หลกั เกณฑ์การหา คา่ อตั ราผลตอบแทนภายใน (The Internal Rate of Return หรือ IRR) โดยใชส้ ูตรในการคานวณคือ     mCtn Bt  t0 1 r t tm1 1 r t เม่ือ Ct คือ ตน้ ทุนในปี ท่ี t Bt คือ ผลตอบแทนในปี ท่ี t R คือ อตั ราผลตอบแทนภายใน

201 3.2 อตั ราผลตอบแทนส่วนบุคคล พบวา่ r มีค่าเท่ากบั 15.75% หมายความวา่ นกั ศึกษา จะได้รับผลตอบจากการลงทุนในการศึกษาที่วิทยาลัยช่างศิลป์ ในอัตราร้อยละ 15.75 เมื่อเปรียบเทียบกับ ดอกเบ้ียเงินฝากธนาคาร (2530) มีค่าร้อยละ 7.25 อตั ราผลตอบแทนภายใน ส่วนบุคคลมีคา่ ค่อนขา้ งสูง 3.2 อตั ราผลตอบแทนทางสังคม พบวา่ r มีค่าเทา่ กบั 14.86% หมายความวา่ ถา้ รับเลือก ลงทุนในโครงการจดั การศึกษาของวทิ ยาล่างศิลป์ ไดร้ ับตอบแทนในอตั ราร้อยละ 14.86 สรุป 1. ตน้ ทุนส่วนบุคคลพบว่า ค่าใช้จ่ายส่วนตวั นักศึกษามากกว่าค่าใช้จ่ายให้สถานศึกษา โดยจ่ายเป็ นค่าอาหารในสัดส่วนที่สูงสุดคือ ร้อยละ 27.41 ของค่าใช้จ่ายส่วนตัวท้ังหมดและ เม่ือเปรียบเทียบระหว่างช้ันปี ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายส่วนตัวของนักศึกษาช้ันปี ที่ 4 มีค่าสูงสุ ด นอกจากน้ีตน้ ทุนส่วนบุคคลในการศึกษาจนจบหลกั สูตรประกาศนียบตั รศิลปช้นั สูง นกั ศึกษาตอ้ ง เสียคา่ ใชจ้ ่ายเป็นเงิน 178,261 บาท 2. ตน้ ทุนทางสงั คมในการจดั การศึกษาช่างศิลป์ ดา้ นค่าใชจ้ ่ายดาเนินการส่วนใหญ่จา่ ยจาก เงินงบประมาณ หมวดรายจ่ายที่มีค่าสูงสุด คือ หมวดเงินเดือนและค่าจ้างประจา ค่าใช้จ่ายทุน ทรัพยส์ ินเฉลี่ยปี ต่อนกั ศึกษา 1 คนมีค่า 4,404 บาท เพ่ือนาตน้ ทุนทางตรงทางสังคมปรับดว้ ยการ เรียนช้ากว่ากาหนดและการลาออกกลางคนั เพื่อเป็ นตน้ ทุนต่อผูส้ าเร็จหน่ึงคน ปรากฏว่าค่าที่ได้ ใหม่สู งกว่าค่าที่ยังไม่ได้ปรับถึง 34,047 บาท ซ่ึ งเป็ นตัวเลขแสดงถึงค่าใช้จ่ายที่สู ญเปล่า ทางการศึกษา ซ่ึงเป็ นจานวนไม่น้อยและเมื่อปรับตน้ ทุนทางสังคมด้วยดัชนีราคาผูบ้ ริโภคได้ ค่าใชจ้ ่ายตน้ ทุนทางสงั คมของนกั ศึกษาผสู้ าเร็จการศึกษามีค่าถึง 184,379 บาท 3. อตั ราผลตอบแทนส่วนบุคคล และอัตราผลตอบแทนทางสังคมระหว่างการลงทุน ทางการศึกษาของนกั ศึกษาในวทิ ยาลยั ช่างศิลป์ จะใหอ้ ตั ราผลตอบแทนร้อยละ 15.75 นกั เป็ นอตั รา ผลตอบแทนท่ีค่อนข้างสูงเม่ือเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบ้ียเงินฝากธนาคาร สาหรับอัตรา ผลตอบแทนทางสังคม ปรากฏว่า ถ้ารัฐจะเลือกลงทุนในโครงการจดั การศึกษาช่างศิลป์ จะไดร้ ับ ผลตอบแทนในอัตราร้อยละ 14.86 นักว่าเป็ นอัตราผลตอบแทนท่ีสูงกว่าอัตราผลตอบแทน การลงทุนทางการช่างอ่ืน ข้อคดิ เหน็ ของผู้ประเมนิ การวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลตอบแทนทางการศึกษาของวิทยาลยั ช่างศิลป์ เป็ นงานวิจยั ประเมินที่เป็ นประโยชน์อยา่ งมากในการจดั การศึกษาของรัฐในดา้ นน้ีซ่ึงเป็ นผลทาให้ผทู้ ี่เก่ียวขอ้ ง ต้งั แต่ผรู้ ับผิดชอบในการจดั การศึกษาตลอดจนผปู้ กครองและนกั ศึกษา เมื่อทราบถึงขอ้ มูลดงั กล่าว แลว้ สามารถนามาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์ไดใ้ นหลายดา้ น ดงั น้ี

202 1. รัฐจะไดด้ าเนินการส่งเสริมและจดั การศึกษาทางดา้ นช่างศิลป์ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2. วทิ ยาลยั ช่างศิลป์ ไดท้ ราบถึงความสูญเปล่าทางการศึกษา และหาวธิ ีป้ องกนั และแกไ้ ขได้ อยา่ งถูกตอ้ ง 3. เป็ นขอ้ มูลท่ีช่วยให้ผปู้ กครองจดั เตรียมค่าใชจ้ ่ายไดอ้ ยา่ งเหมาะสมสาหรับที่จะส่งบุตร หลานมาศึกษา 4. เป็นการส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนเห็นถึงความสาคญั ของการศึกษา จึงกล่าวไดว้ า่ การวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลตอบแทนทางการศึกษาจะช่วยให้รัฐตดั สินใจได้ อยา่ งถูกตอ้ งในการจดั การศึกษา ท้งั น้ีเพ่อื เป็นการสนองความตอ้ งการของสงั คมในยคุ ปัจจุบนั กรณศี ึกษาที่ 4 การประเมนิ ผลกระทบของโครงการวจิ ยั ด้านสังคมศาสตร์ทไี่ ด้รับความช่วยเหลอื จาก IDRC โดยใช้รูปแบบทไี่ ม่องิ วตั ถุประสงค์อย่างเดยี ว เยาวดี วบิ ลู ยศ์ รี และคณะ, (2531) วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ 1. เพื่อให้ทราบถึงผลกระทบต่าง ๆ ของโครงการวจิ ยั ทางดา้ นสังคมศาสตร์ที่เคยไดร้ ับทุน สนบั สนุนจาก IDRC 2. เพื่อศึกษาปัญหาหรืออุปสรรคที่ไม่เอ้ืออานวยให้เกิดผลกระทบตามเป้ าหมายของการ พฒั นาโครงการ 3. เพ่ือแสวงหาแนวทางที่จะช่วยให้โครงการวิจยั ต่าง ๆ ของ IDRC เกิดผลกระทบตาม เป้ าหมายของการพฒั นาโครงการน้นั วธิ ปี ระเมนิ โดยทว่ั ไป วิธีการประเมินน้ันไม่ได้อิงรูปแบบ (Model) การประเมินแบบใดแบบหน่ึงที่เด่นชัด โดยเฉพาะแต่ท้ังน้ีก็ต้องอิงพ้ืนฐานของรูปแบบการประเมินที่ไม่อิงวตั ถุประสงค์ (Goal Free Evaluation) ของ Scriven ซ่ึงเป็ นการประยุกต์รูปแบบต่าง ๆ ที่เอ้ืออานวยต่อสภาพการณ์ของ โครงการในการประเมินโดยทวั่ ไป ไดย้ ดึ แนวทางการประเมินที่สาคญั 2 รูปแบบ คือ 1. รูปแบบ “จากบนสู่ล่าง” (Top down) หมายถึง ไดร้ วบรวมและวิเคราะห์ความคิดเห็น ของผรู้ ับผิดชอบในการดาเนินโครงการ และบุคลากรในเชิงนโยบายท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั โครงการน้นั ๆ จากผรู้ ับผดิ ชอบระดบั สูงไปสู่ระดบั ต่า

203 2. รูปแบบ “จากล่างสู่บน” (Bottom up) หมายถึง ไดร้ วบรวมและวิเคราะห์ความคิดเห็น จากผูท้ ่ีมีส่วนร่วมในการดาเนินโครงการ รวมท้งั กลุ่มบุคคลเป้ าหมายของโครงการและกลุ่มบุคคล ท่าจะไดร้ ับผลกระทบจากโครงการ ต้งั แต่ระดบั ช้นั ผนู้ อ้ ยหรือระดบั ล่างไปสู่ระดบั ช้นั ผใู้ หญ่หรือ ระดบั บน ในการวิเคราะห์ท้งั สองรูปแบบไดอ้ าศยั ขอ้ มูลจากเอกสารและหลกั ฐานเชิงประจกั ษต์ ่าง ๆ ประกอบเขา้ ดว้ ยกนั และในการประเมินผลกระทบไดร้ วบรวมและวเิ คราะห์ผลกระทบท้งั ท่ีเกิดข้ึน จริงและท่ีอาจเป็ นได้จากภาคสนาม โดยการประยุกต์รูปแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น รูปแบบ ความสอดคลอ้ งของ Scriven วธิ กี ารประเมนิ ของแต่ละโครงการ 1. เป้ าหมายตวั แปรท่ีศึกษาไดก้ าหนดเป้ าหมายท่ีแปรท่ีจะศึกษาในลกั ษณะเดียวกนั จาก ตวั อยา่ งโครงการ 3 โครงการ (ดงั ระบุในขอ้ 2) คือศึกษาตวั แปรท่ีเกี่ยวกบั ดา้ นตอ่ ไปน้ี 1.1 ประสิทธิภาพของโครงการ ซ่ึงส่งผลต่อการแกป้ ัญหาพ้นื ฐานท่ีคาดหวงั 1.2 ผลท่ีเกิดจากโครงการวิจยั ซ่ึงอยู่นอกเหนือจากวตั ถุประสงค์หรือเป้ าหมายของ โครงการ 1.3 ปัญหาหรืออุปสรรค ซ่ึงไม่เอ้ืออานวยใหเ้ กิดผลกระทบที่คาดหวงั 1.4 แนวทางการเสริมสร้างให้โครงการในลกั ษณะต่าง ๆ ไดเ้ กิดผลกระทบที่ควรจะ เป็ นมากข้ึน 2. แหล่งขอ้ มูลและผใู้ หข้ อ้ มลู ในแต่ละโครงการ ไดก้ าหนดเป้ าหมายไวด้ งั น้ี โครงการท่ี 1 โครงการที่ 2 โครงการที่ 3 Research for the Development Land Distribution and A Study on Collection and Employment (LDAE) of Provincial Education Storage of Roof Runoff for - ศึกษาเอกสาร Planning (RDPEP) - เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลภาคสนาม Drinking Purposes - ศึกษาเอกสาร โดยการสังเกตและสัมภาษณ์ (SCSRRDP) - สงั เกตสภาพการปฏิบตั ิงาน ผทู้ าวจิ ยั และบุคลากรท่ี - ศึกษาเอกสาร - ส่งแบบสอบถามเพื่อศึกษา เก่ียวขอ้ งกบั โครงการท้งั ใน - สังเกตสภาพการใชน้ ้า การ สภาพการดาเนินงานดา้ นการ ระดบั นโยบายและระดบั ใชถ้ งั เก็บน้า และสภาพความ วางแผน ปฏิบตั ิการตลอดจนชาวบา้ นใน เป็นอยทู่ ว่ั ไปของชาวบา้ นใน - สัมภาษณ์ผทู้ าวจิ ยั รวมท้งั เขตพ้ืนท่ีวิจยั เขตทดลอง บุคลากรท่ีเกี่ยวขอ้ ง - สมั ภาษณ์ผทู้ าวจิ ยั และบุคคล ที่เก่ียวขอ้ ง

204 ข้อค้นพบทสี่ าคญั จากการติดตามผลโครงการวจิ ยั ท้งั 3 โครงการ ปรากฏผลกระทบที่สาคญั ดงั น้ี 1. โครงการวจิ ยั โดยทวั่ ไป มีลกั ษณะเป็ นโครงการนาร่อง (Pilot Project) ซ่ึงส่งผลกระทบ ทางตรงต่อหน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งในลกั ษณะที่เป็ นแบบอยา่ งหรือเป็ นขอ้ มูลพ้ืนฐาน หรือเป็ นแนวคิด ท่ีสาคญั ในการทาวจิ ยั หรือในการวางแผนการศึกษา 2. โครงการวิจยั ได้ส่งผลกระทบทางออ้ ม คือ มีส่วนเสริมสร้างสมรรถภาพเชิงวิจยั แก่ บุคลากรของหน่วยงานวจิ ยั และหน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ ง 3. โครงการวจิ ยั เป็ นพ้ืนฐานสาคญั ใหน้ กั วจิ ยั เกิดแนวความคิดใหม่ ๆ เพ่ือทาการวิจยั อื่น ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งหรือต่อเน่ืองตามมาในภายหลงั ข้อเสนอแนะ 1. หน่วยงานที่รับผดิ ชอบโครงการวจิ ยั ทางดา้ นสงั คมศาสตร์ในอนาคตควรจะเนน้ การวจิ ยั แบบต่อเนื่องหรือแบบเจาะลึกท่ีสามารถช้ีให้เห็นความเกี่ยวขอ้ งและความต่อเน่ืองของประเด็น ปัญหาจากโครงการอ่ืน ๆ ที่เคยศึกษามาแลว้ 2. ความร่วมมือระหวา่ งรัฐบาลไทยและ IDRC ควรมีความร่วมมือกนั ในดา้ น 2.1 ใหก้ ารสนบั สนุนและส่งเสริมการวจิ ยั แบบต่อเนื่องและแบบเจาะลึก 2.2 ให้หน่วยงานกลางทาหน้าที่เน้นหนักในเรื่องการควบคุมกากับและติดตาม ผลการวจิ ยั 2.3 สนบั สนุนโครงการวิจยั ที่ดาเนินการร่วมกนั ระหว่างหน่วยงานวิจยั กบั หน่วยงาน ท่ีนาผลวจิ ยั ไปใช้ 2.4 รัฐบาลไทยควรใหก้ ารสนบั สนุนในเร่ืองของระบบขอ้ มลู เพื่อการวจิ ยั อยา่ งจริงจงั 2.5 ควรมีแนวทางควบคุมใหผ้ เู้ สนอโครงการไดว้ างแผนในเรื่องของการนาผลวจิ ยั ไป ใช้

205 กรณศี ึกษาท5่ี การประเมนิ ผลกระทบของโครงการวจิ ยั เพอื่ พฒั นาการวางแผนระดบั จังหวดั (โครงการวจิ ยั ทางด้านสังคมศาสตร์ ทไี่ ด้รับความช่วยเหลอื จาก IDRC) เยาวดี รางชยั กลู วบิ ลู ยศ์ รี, (2551) ภูมหิ ลงั ของการประเมนิ รัฐบาลไทยไดร้ ับความช่วยเหลือในรูปของทุนสนบั สนุนโครงการวิจยั ต่าง ๆ จากศูนยว์ ิจยั เพอ่ื การพฒั นาระหวา่ งประเทศ (IDRC) แห่งประเทศแคนาดา ถา้ นบั ถึงปี พ.ศ. 2528 ก็จะเป็ นจานวน ประมาณ 100 โครงการคิดเป็ นเงินช่วยเหลือท้งั สิ้นประมาณ 233 ลา้ นบาทและมีแนวโนม้ วา่ IDRC จะให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยต่อต่อไปอีกอย่างต่อเน่ือง ดังน้ัน เพื่อประโยชน์ในการกาหนด นโยบาย การวางแนวปฏิบตั ิตลอดจนการกาหนดรูปแบบการส่งเสริมโครงการวิจยั ต่าง ๆ ให้มี ประสิทธิภาพมากย่งิ ข้ึนและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพฒั นาประเทศในโอกาสต่อไป กรมวิเทศ สหการและ IDRC จึงเห็นสมควรริเริ่มให้มีการประเมินผลกระทบอนั เกิดจากโครงการวิจยั ต่าง ๆ ที่ไดด้ าเนินการลุล่วงไปแลว้ โดยแบ่งโครงการวิจยั ที่จะทาการประเมินผลกระทบออกเป็ น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มทางดา้ นสาธารณสุข กลุ่มทางดา้ นเกษตรกร และกลุ่มทางดา้ นสังคมศาสตร์ การประเมิน โครงการต่าง ๆ ท้งั 3 ดา้ นน้ี กรมวเิ ทศสหการทาหนา้ ท่ีเป็นผปู้ ระสานงานกบั ผเู้ ช่ียวชาญแต่ละสาขา เพ่ือดาเนินการประเมินผลกระทบของแต่ละโครงการใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคต์ ่อไป ผู้รับผิดชอบโครงการ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติร่วมกับสานักงาน ปลดั กระทรวง ศึกษาธิการ พืน้ ท่ีในการดาเนินโครงการ : ดาเนินการทดลองใน 5 จงั หวดั คือ นราธิวาส บุรีรัมย์ ระยอง พิษณุโลก และลาปาง ระยะเวลาในการดาเนินการ : ปี พุทธศกั ราช 2525-2528 ค่าใช้จ่ายในโครงการ : ....................................................... บาท (ตามจานวนงบประมาณที่ไดร้ ับ)

206 วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ 1. เพ่ือให้ทราบถึงผลกระทบต่าง ๆ ของโครงการวจิ ยั ท้งั ที่เป็นผลกระทบทางตรง ทางออ้ ม และผลกระทบอื่น ๆ ท่ีอาจเป็นไปได้ 2. เพื่อศึกษาปัญหาหรืออุปสรรคที่ไม่เอ้ืออานวยให้เกิดผลกระทบต่อการพฒั นาประเทศ ในทิศทางที่ตอ้ งการเทา่ ที่ควร 3. เพ่ือแสวงหาแนวทางท่ีจะช่วยให้โครงการวิจยั ท่ีได้รับทุนจาก IDRC เกิดผลกระทบ ต่อการพฒั นาประเทศตามความเหมาะสมต่อไป วธิ ีการประเมนิ ได้ยึดแนวทางการประเมินที่สาคัญท้ัง 2 รูปแบบ คือ (1) รูปแบบ “จากบนสู่ ล่าง” (Top down) ซ่ึงหมายถึง การรวบรวมและวิเคราะห์ความคิดเห็นของผูร้ ับผิดชอบในการดาเนิน โครงการและบุคลากรในเชิงนโยบายที่เกี่ยวขอ้ งกบั โครงการน้นั ๆ จากผรู้ ับผิดชอบระดบั สูงไปสู่ ระดับต่า (2) รูปแบบ “จากล่างสู่บน” (Bottom up) ซ่ึงหมายถึง การรวบรวมและวิเคราะห์ความ คิดเห็นของผูท้ ี่มีส่วนร่วมในการดาเนินโครงการรวมท้งั กลุ่มบุคคลเป้ าหมายโครงการ และกลุ่มท่ี น่าจะไดร้ ับผลกระทบจากโครงการ โดยเริ่มจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลระดบั ช้นั ผนู้ อ้ ยหรือระดบั ล่าง ไปสู่ระดบั ช้นั ผูใ้ หญ่หรือระดบั บน ในการวิเคราะห์ท้งั สองรูปแบบไดอ้ าศยั ขอ้ มูลจากเอกสารและ หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ต่าง ๆ มาประกอบเขา้ ดว้ ยกนั นอกจากน้นั ในการประเมินผลกระทบคร้ังน้ี จะรวบรวมและวิเคราะห์ผลกระทบท้ังที่เกิดข้ึนจริงและผลกระทบท่ีอาจเป็ นไปได้ (Possible Impact) จากภาคสนามดว้ ย เป้ าหมายตวั แปรทจี่ ะศึกษา ไดก้ าหนดเป้ าหมายตวั แปรท่ีจะศึกษา คือ 1. ประสิทธิภาพของโครงการ ซ่ึงส่งผลตอ่ การแกป้ ัญหาพ้ืนฐานที่คาดหวงั 1.1 การนาขอ้ คน้ พบไปใชท้ ้งั ในระดบั นโยบายและระดบั ปฏิบตั ิการ 1.2 คุณภาพของการดาเนินงานโดยทวั่ ไป หลงั จากที่ไดม้ ีการนาขอ้ คน้ พบจากการวิจยั ไปใชใ้ นการปฏิบตั ิงาน 2. ผลที่เกิดจากโครงการวจิ ยั ซ่ึงอยนู่ อกเหนือจากวตั ถุประสงค์ หรือเป้ าหมาของโครงการ 2.1 ผลที่เกิดกบั หน่วยงานวจิ ยั 2.2 ผลท่ีเกิดกบั หน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การวจิ ยั 2.3 ผลท่ีเกิดกบั หน่วยงานหรือองคก์ รอื่น 3. ปัญหาหรืออุปสรรคซ่ึงไม่เอ้ืออานวยใหเ้ กิดผลกระทบท่ีคาดหวงั 4. แนวทางการเสริมสร้างใหโ้ ครงการในลกั ษณะเช่นน้ีเกิดผลกระทบท่ีควรจะเป็นมากข้ึน

207 เทคนิคและวธิ ีการเกบ็ ข้อมูล 1. ศึกษาเอกสารเกี่ยวกบั เทคนิคและวิธีการเก็บขอ้ มูล โดยดาเนินการจากโครงการและ หน่วยงานต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง 2. สงั เกตสภาพการปฏิบตั ิงานดา้ นการวางแผนใน 5 จงั หวดั ซ่ึงเป็นเขตพ้ืนท่ีทดลอง 3. ส่งแบบสอบถามเพ่ือศึกษาสภาพการดาเนินงานด้านการวางแผนเพิ่มเติมท้งั จงั หวดั ซ่ึงเป็ นเขตพ้ืนที่ทดลองและจงั หวดั อื่น ๆ อีก 3 จงั หวดั ได้แก่ ปัตตานี เชียงใหม่ และขอนแก่น เพือ่ ประกอบการพจิ ารณาผลการประเมิน 4. สัมภาษณ์ผูท้ าวิจยั รวมท้งั บุคลากรที่เกี่ยวขอ้ ง ท้งั ในระดบั นโยบาย ระดับปฏิบตั ิการ และบุคลากรในเขตพ้ืนท่ีทดลอง การเกบ็ ข้อมูลภาคสนาม ส่วนกลาง : สานักงานคณะกรรมการการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ และกรมวิเทศสหการ (อาจจะมีหน่วยงานอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งเพ่มิ เติมอีกดว้ ย) ส่วนภูมิภาค : จงั หวดั ที่ต้งั ของโครงการวิจยั ภาคสนาม ไดแ้ ก่ จงั หวดั พิษณุโลก ระยอง บุรีรัมย์ นราธิวาส และลาปาง โดยมีกาหนดการเดินทางเพ่ือเก็บขอ้ มลู ในส่วนน้ีดงั ต่อไปน้ี คร้ังที่ วนั เดนิ ทาง จังหวดั รายละเอยี ด ระยอง เก็บรวบรวมขอ้ มูลในพ้ืนท่ีของ 1 19-20 มีนาคม 2530 โครงการ เดินทางโดยรถยนต์ (รวม 2 วนั ) นราธิวาส เก็บรวบรวมขอ้ มูลในพ้ืนท่ีของ โครงการ เดินทางโดยรถไฟ 2 23-25 มีนาคม 2530 ลาปาง เก็บรวบรวมขอ้ มูลในพ้ืนท่ีของ (รวม 3 วนั ) โครงการ เดินทางโดยรถไฟ บุรีรัมย์ เก็บรวบรวมขอ้ มูลในพ้ืนที่ของ 3 7-9 เมษายน 2530 โครงการ เดินทางโดยรถยนต์ (รวม 3 วนั ) พษิ ณุโลก เก็บรวบรวมขอ้ มูลในพ้ืนที่ของ โครงการ เดินทางโดยรถยนต์ 4 14-16 เมษายน 2530 (รวม 3 วนั ) 5 16-18 เมษายน 2530 (รวม 3 วนั )

แผนดาเนินงานและแนวทางในการประเมนิ ตารางท่ี 8 แสดงรายละเอียดของแผนการและแนวทางที่จะดาเนินการประเมิน ตวั แปรที่ศึกษา คาถามเชิงประมาณ แหล่งขอ้ มลู 1. ประสิทธิผลของโครงการ ซ่ึงส่งผลต่อการแกป้ ัญหา พ้นื ฐานที่คาดหวงั 1.1 การนาขอ้ คน้ พบไป ขอ้ คน้ พบจากโครงการวจิ ยั น้ี 1. เอกสารรายงานการวจิ ยั ใชท้ ้งั ในระดบั นโยบายและ ผเู้ กี่ยวขอ้ งไดน้ าไปใช้ 2. คณะผวู้ จิ ยั ประโยชน์หรือไม่ เพียงใด 3. ผรู้ ับผิดชอบหน่วยงานท่ี ระดบั ปฏิบตั ิการ ท้งั ในระดบั นโยบายและ เกี่ยวขอ้ งท้งั ระดบั นโยบาย ระดบั ปฏิบตั ิการ ฯลฯ และระดบั ปฏิบตั ิการ 4. แผนพฒั นาเศรษฐกิจและ สงั คมแห่งชาติ 1.2 คุณภาพของการ การนาขอ้ คน้ พบจากการวจิ ยั 1. หวั หนา้ และผปู้ ฏิบตั ิใน ดาเนินงานโดยทว่ั ไปหลงั ที่ ไปใชใ้ นการปฏิบตั ิงาน หน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ ง ไดม้ ีการนาขอ้ คน้ พบจากการ ก่อใหเ้ กิดผลอยา่ งไรบา้ งต่อ 2. ผใู้ ชบ้ ริการของหน่วยงาน วจิ ยั ไปใชใ้ นการปฏิบตั ิ สุขภาพของการดาเนินงาน ท่ีเก่ียวขอ้ ง ฯลฯ

208 วธิ ีการรวบรวมขอ้ มลู การวเิ คราะห์ขอ้ มลู แนวทางการพิจารณา/เกณฑ์ 1. ศึกษา วเิ คราะห์และสรุป วเิ คราะห์ความสอดคลอ้ ง มีการนาขอ้ คน้ พบจาก ประเด็นสาคญั จากเอกสาร ความเป็ นเหตเุ ป็นผลระหวา่ ง โครงการวจิ ยั ไปใช้ 2. สมั ภาษณ์ผเู้ กี่ยวขอ้ งท่ีเป็ น ขอ้ มลู จากเอกสารและขอ้ มูล ประโยชนท์ ้งั ในระดบั แหลง่ ขอ้ มลู จากการสมั ภาษณ์ นโยบายและรับปฏิบตั ิการ 1. สมั ภาษณ์ผเู้ กี่ยวขอ้ งท่ีเป็ น วเิ คราะหค์ วามสอดคลอ้ ง การนาขอ้ คน้ พบจาก แหล่งขอ้ มูล ความสมเหตุสมผลระหวา่ ง โครงการวจิ ยั ไปใช้ 2. ตรวจสอบ วเิ คราะห์ สรุป ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสมั ภาษณ์ ประโยชนก์ ่อใหเ้ กิดการ ประเดน็ สาคญั จากเอกสารที่ การวเิ คราะห์เอกสารและ พฒั นาแนวคิด วธิ ีการ เกี่ยวขอ้ ง 3. สงั เกต ตรวจสอบสภาพ ขอ้ มูลเชิงประจกั ษจ์ ากการ รูปแบบและกระบวนการ การดาเนินงานในหน่วยงาน สงั เกตสภาพการดาเนินงาน ทางานในหน่วยงานที่ ที่นาผลการวจิ ยั ไปใช้ ในภาคสนาม เก่ียวขอ้ งซ่ึงส่งผลดีตอ่ ผลผลิตและคุณภาพ

ตารางที่ 8 แสดงรายละเอียดของแผนการและแนวทางที่จะดาเนินการประเมิน(ต่อ) ตวั แปรที่ศึกษา คาถามเชิงประมาณ แหลง่ ขอ้ มลู 2. ผลที่เกิดจากโครงการวจิ ยั โครงการวจิ ยั น้ีก่อใหเ้ กิดผล ซ่ึงอยนู่ อกเหนือจาก (ที่นอกเหนือจาก 1. แผนปฏิบตั ิงานของ วตั ถปุ ระสงคห์ รือเป้ าหมาย วตั ถุประสงคแ์ ละเป้ าหมาย หน่วยงานท่ีทาวจิ ยั หน่วยงาน ของโครงการ ของโครงการ) ตอ่ หน่วยงาน ท่ีเกี่ยวขอ้ ง และหน่วยงาน ต่อไปน้ีอยา่ งไรบา้ ง อื่น ๆ ท่ีนาผลการวจิ ยั ไปใช้ 3. ปัญหาหรืออปุ สรรคท่ีไม่ ก. หน่วยงานที่ทาวจิ ยั 2. หวั หนา้ และผปู้ ฏิบตั ิใน เอ้ือตอ่ การเกิดผลกระทบที่ ข. หน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั หน่วยงานที่ทาวจิ ยั คาดหวงั การวจิ ยั หน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ งและ ค. หน่วยงานหรือองคก์ รอ่ืน หน่วยงานอ่ืน 3. ผใู้ ชบ้ ริการของหน่วยงาน ฯลฯ ขา้ งตน้ (ในขอ้ 2) 4. เอกสารรายงานการวจิ ยั ในการดาเนินโครงการวจิ ยั น้ี และเอกสารอื่นท่ีเก่ียวขอ้ ง มีปัญหาอุปสรรคประการ 1. คณะผจู้ ดั ทา ใดบา้ งท่ีไมเ่ อ้ืออานวยใหเ้ กิด 2. ผเู้ กี่ยวขอ้ งกบั การวจิ ยั ผลกระทบตามท่ีคาดหวงั ไว้ 3. เอกสารรายงานการวจิ ยั 4. ชุมชนในทอ้ งที่ดาเนิน ฯลฯ โครงการ

209 วธิ ีการรวบรวมขอ้ มูล การวเิ คราะห์ขอ้ มูล แนวทางการพจิ ารณา/เกณฑ์ 1. ศึกษา วเิ คราะห์ สรุป วเิ คราะหค์ วามสอดคลอ้ ง โครงการวจิ ยั ก่อใหเ้ กิด ประเด็นที่เก่ียวขอ้ งจาก ผลกระทบในทางตรงหรือ เอกสารรายงานวจิ ยั ความสมเหตสุ มผลของ ทางออ้ มต่อหน่วยงานท่ีทา ขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการศึกษา วจิ ยั หน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ ง และหน่วยงานอื่น แผนปฏิบตั ิงาน เอกสารและขอ้ มูลที่ไดจ้ าก 2. สมั ภาษณ์ผเู้ ก่ียวขอ้ งท่ีเป็ น การสมั ภาษณ์ตลอดจน แหลง่ ขอ้ มลู ขอ้ สงั เกตจากภาคสนาม 3. ขอ้ สงั เกตจากภาคสนาม 1. สมั ภาษณ์คณะผวู้ จิ ยั และ วเิ คราะหค์ วามสอดคลอ้ ง สามารถระบุปัญหาหรือ ผเู้ กี่ยวขอ้ ง ความสมเหตสุ มผลของ อปุ สรรคที่ไมเ่ อ้ือตอ่ การเกิด 2. ศึกษา วเิ คราะห์ สรุป ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการวเิ คราะห์ ผลกระทบที่คาดหวงั ไดอ้ ยา่ ง ประเด็นท่ีเกี่ยวขอ้ งจาก เอกสารและขอ้ มลู จากการ ชดั เจน รายงานการวจิ ยั สมั ภาษณ์รวมท้งั ขอ้ สงั เกต 3. ขอ้ สงั เกตต่าง ๆ จาก จากภาคสนาม ภาคสนาม

ตารางท่ี 8 แสดงรายละเอียดของแผนการและแนวทางท่ีจะดาเนินการประเมิน(ต่อ) ตวั แปรที่ศึกษา คาถามเชิงประมาณ แหลง่ ขอ้ มูล 4. แนวทางการเสริมสร้างให้ มีวธิ ีการหรือแนวทางใดบา้ ง 1. เอกสารรายงานการวจิ ยั โครงการในลกั ษณะเช่นน้ี ที่จะช่วยเสริมสร้างให้ 2. คณะผวู้ จิ ยั เกิดผลกระทบท่ีควรจะเป็ น โครงการในลกั ษณะเช่นน้ี 3. หวั หนา้ และผปู้ ฏิบตั ิงาน มากข้ึน ก่อใหเ้ กิดผลกระทบท่ีควรจะ ในหน่วยงานท่ีทาวจิ ยั และ เป็ นมากข้ึน หน่วยงานที่เก่ียวขอ้ ง ฯลฯ

210 วธิ ีการรวบรวมขอ้ มลู การวเิ คราะห์ขอ้ มลู แนวทางการพิจารณา/เกณฑ์ 1. วเิ คราะห์ สรุปประเด็น วเิ คราะห์ความสมเหตุสมผล แนวทางท่ีเป็ นไปไดใ้ นการ สาคญั ท่ีเกี่ยวขอ้ งจากรายงาน ความเป็ นไปไดข้ อง เสริมสร้างใหโ้ ครงการวจิ ยั การวจิ ยั ในส่วนของ ขอ้ เสนอแนะ ท้งั จากรายงาน ในลกั ษณะน้ีก่อใหเ้ กิด ขอ้ เสนอแนะ การวจิ ยั และความคิดเห็นของ ผลกระทบท่ีควรจะเป็ นมาก 2. สมั ภาษณ์สอบถามความ ผเู้ กี่ยวขอ้ งตลอดจน ข้ึน คิดเห็นของคณะผวู้ จิ ยั และ ขอ้ สงั เกตจากภาคสนาม ผเู้ กี่ยวขอ้ ง 3. ขอ้ สงั เกตจากภาคสนาม

211 ระยะเวลาในการดาเนินโครงการ การประเมินโครงการคร้ังน้ีจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ต้ังแต่เดือนมกราคม จนถึง เดือนมิถุนายน 2530 โดยมีกาหนดเวลาในการดาเนินงานดงั น้ี ลกั ษณะงาน ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. 1. การเตรียมงาน 2. ศึกษาเอกสาร 3. เก็บขอ้ มูลภาคสนาม 4. การวิเคราะห์ และสรุ ปผลการ ประเมิน 5. จดั ทารายงานผลการประเมิน ประโยชน์ทีค่ าดว่าจะได้รับจากการประเมนิ 1. ทราบประสิทธิผลของโครงการในการวางแผนการศึกษาระดบั จงั หวดั 2. ทราบผลกระทบที่เกิดข้ึนจากการดาเนินโครงการ ซ่ึงจะเป็ นประโยชน์อยา่ งย่ิงต่อการ บริการโครงการในอนาคต 3. ทราบปัญหาและอุปสรรคในการบริหารโครงการที่เกิดข้ึน 4. ไดข้ อ้ เสนอแนะสาหรับใชเ้ ป็นแนวทางในการแกป้ ัญหา และปรับปรุงการบริหารงานใน โครงการท่ีจะไดร้ ับความช่วยเหลือในโอกาสต่อไป สรุป หลักการและแนวปฏิบตั ิสาหรับเตรียมการประเมินโครงการ แบ่งเป็ น 6 ข้ันตอน คือ ข้ันท่ี 1 การศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องกับโครงการ ข้ันท่ี 2 การกาหนดวตั ถุประสงค์ของ การประเมิน ข้นั ท่ี 3 การกาหนดขอบเขตการประเมิน ข้นั ที่ 4 การพิจารณากาหนดตวั บ่งช้ีและ แหล่งข้อมูล ข้นั ท่ี 5 การวิเคราะห์ขอ้ มูล ข้นั ที่ 6 การสรุปผลการประเมิน นอกจากน้ีโครงร่าง การประเมินโครงการควรมีหัวข้อที่ต้องระบุรายละเอียด ดังน้ี ภูมิหลังของการประเมิน วัตถุประสงค์ของการประเมิน วิธี การประเมิน ระยะเวลาในการดาเนิ นการประเมิน และ ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ ับจากการประเมิน

212 กรณศี ึกษาท่ี 6 การประเมนิ การดาเนินโครงการพฒั นาเครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge – based OTOP จงั หวดั หนองคาย ประจาปี งบประมาณ 2550 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอดุ รธานี ศูนย์การศึกษาบงึ กาฬ, (2550) วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ ในการประเมินคร้ังน้ีมีความมุ่งหมายเพ่ือประเมินผลการดาเนินโครงการพฒั นาเครือข่าย องคค์ วามรู้ Knowledge-Based OTOP:KBO โดยทาการประเมินดงั น้ี 1. เพ่ือประเมินผลการดาเนินงานตามโครงการพฒั นาครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge – Based OTOP ของกลุ่มผลิตภณั ฑช์ ุมชนในจงั หวดั หนองคาย 2. เพ่ือศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการดาเนินโครงการพัฒนาเครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge – Based OTOP ของกลุ่มผลิตภณั ฑช์ ุมชนในจงั หวดั หนองคาย วธิ ีประเมนิ โครงการ . กาหนดจุดประสงคใ์ นการสร้างและพฒั นาเครื่องมือ ศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งในการประเมิน เขียนขอ้ คาถามตามโครงสร้างกรอบเน้ือหาที่จะประเมิน ไมผ่ า่ น ตรวจสอบพิจารณาขอ้ คาถามใหค้ รอบคลุม และมีความเที่ยงตรง ผา่ น นาเครื่องมือดาเนินการรวบรวมขอ้ มูลและประเมินตอ่ ไป ภาพท่ี 14 รูปแบบที่ใชใ้ นการประเมินโครงการ

213 การสร้างและพฒั นาเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโครงการข้ันตอนในการดาเนินงาน ประกอบดว้ ย 1. กาหนดจุดประสงค์ในการสร้างและพัฒนาเครื่องมือท่ีใช้ในการประเมินโครงการ เพอ่ื สร้างและพฒั นาเคร่ืองมือที่ใชใ้ นการประเมินโครงการ 2. ศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ งที่ใชส้ าหรับการประเมินโครงการ โดยคน้ ควา้ จากแหล่งขอ้ มูล ท่ีหลากหลาย เพื่อศึกษาโครงสร้างกรอบเน้ือหาที่จะทาการประเมินให้ครอบคลุม สอดคลอ้ งกบั ความเป็ นจริงมากท่ีสุด แล้วทาการสังเคราะห์โครงสร้างกรอบเน้ือหาจากการรวบรวมข้อมูล พร้อมท้งั ศึกษาแบบการประเมินที่สอดคลอ้ งกบั การประเมินโครงการในคร้ังน้ี 3. การเขียนขอ้ คาถามโครงสร้างกรอบเน้ือหาการประเมิน ตามโครงสร้างกรอบเน้ือหาท่ีได้ จากการสังเคราะห์ในข้อ 2 พร้อมกับสร้างและปรับปรุงพฒั นาข้อคาถามในแบบการประเมิน ที่ใกลเ้ คียงสอดคลอ้ งกบั โครงสร้างกรอบเน้ือหาที่สงั เคราะห์ข้ึน 4. ตรวจสอบพิจารณ าข้อคาถาม โดยคณะผู้ประเมินพิจารณาจากการวิเคราะห์ ตามโครงสร้างท่ีไดจ้ ากการสังเคราะห์ข้ึน เมื่อพบวา่ ขอ้ คาถามใดมีความสอดคลอ้ งกบั โครงสร้าง ก็ทาการจดั เตรียมเพ่ือประเมินต่อไป หากขอ้ คาถามใดไม่ชดั เจนในความสอดคลอ้ งกบั โครงสร้าง คณะผปู้ ระเมินทาการพิจารณากบั โครงสร้างกรอบเน้ือหาอีกคร้ัง โดยการปรับปรุงขอ้ คาถาม ภาษา ที่ใชใ้ หม้ ีความกระชบั รัดกุม เขา้ ใจง่าย สามารถวดั และประเมินไดใ้ นเน้ือหาน้นั ๆไดอ้ ยา่ งเท่ียงตรง 5. นาเคร่ืองมือท่ีไดจ้ ากการพิจารณาและไดป้ รับปรุงเรียบร้อยแลว้ ดาเนินการเก็บรวบรวม ขอ้ มูล เพ่ือทาการประเมินโครงการฯ แลว้ ทาการวิเคราะห์ขอ้ มูล และรายงานผลการวิเคราะห์ ขอ้ มลู เพ่อื จะไดน้ าเสนอ ข้อค้นพบทส่ี าคญั 1. การประเมินการฝึ กอบรมโครงการพฒั นาเครือข่ายองคค์ วามรู้ โดยไดท้ าการเก็บขอ้ มูล กบั กลุ่มผผู้ ลิตผลิตภณั ฑช์ ุมชนทอ้ งถ่ิน ไดแ้ ก่กรรมการบริหารและสมาชิกกลุ่มผผู้ ลิต/ผปู้ ระกอบการ OTOP ระดบั 1-2 ดาว ปี 2549 ส่วนใหญ่เป็ นเพศหญิง มีอายุ50 ปี ข้ึนไป อาชีพหลกั เป็ นเกษตรกร มีรายไดเ้ ฉลี่ยของครอบครัวต่อปี 20,001-30,000 บาท และ เคยเขา้ รับการฝึกอบรม 2. การประเมินดา้ นความคิดเห็นท่ีมีตอ่ การฝึ กอบรมสถานท่ี พบวา่ วนั เวลา ในการจดั การ อบรมฯ จานวนวทิ ยากร การถ่ายทอดความรู้ของวิทยากร ความเหมาะสมของเน้ือหาการอบรม และ ความสามารถในการนาความรู้จากการอบรมฯ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง มีความ เหมาะสมในระดบั มาก 3. การประเมินด้านความรู้ความเข้าใจต่อการฝึ กอบรมด้านการเงินการบญั ชี การตลาด การผลิต การจดั การทรัพยากรมนุษย์ การเขียนแผนธุรกิจ และการพฒั นากลุ่มและการสร้าง เครือข่าย จากผผู้ ลิตผลิตภณั ฑ์ชุมชนทอ้ งถ่ิน จานวน 155 คน หลงั จากไดร้ ับการอบรมในหัวขอ้

214 ตา่ งๆ พบวา่ มีความรู้ความเขา้ ใจอยใู่ นระดบั มากทุกดา้ น ยกเวน้ ดา้ นการตลาด มีความรู้ความเขา้ ใจ ในระดบั ปานกลาง เม่ือพิจารณาในภาพรวมแล้วผูผ้ ลิตผลิตภณั ฑ์ชุมชนทอ้ งถิ่นมีความรู้ความ เขา้ ใจอยใู่ นระดบั มาก 4. ในส่วนผลการประเมินการประยุกต์ใช้ความรู้ความเขา้ ใจ หลงั การฝึ กอบรมโครงการ พฒั นาเครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge – based OTOP (KBO) ได้ทาการเก็บข้อมูลกับสมาชิก กลุ่มผผู้ ลิตสินคา้ OTOP ชุมชน ระดบั 1-2 ดาว ท่ีเขา้ ร่วมโครงการ 4 ประเภทผลิตภณั ฑ์ ไดแ้ ก่ 1) กลุ่มทอผา้ พ้นื เมืองดว้ ยมือ หมทู่ ี่ 8 ต.นาขา่ อ.ท่าบอ่ 2) กลุ่มสตรีสหกรณ์นิคมดงบงั หม่ทู ี่ 11 ต.กุดบง อ.โพนพสิ ยั 3) กลุ่มชมรมแพทยแ์ ผนไทยภูมิปัญญาชาวบา้ น หมทู่ ี่ 4 ต.โป่ งเปื อย อ.บึงกาฬ 4) กลุ่มจกั สานบา้ นหนองเด่ินท่า หม่ทู ่ี1 ต.หนองเดิ่น อ.บุ่งคลา้ รวมจานวน 38 คน พบวา่ ส่วนใหญเ่ ป็นเพศหญิง มีอายุ 50 ปี ข้ึนไป รองลงมามีอายุ 30-40ปี ด้านอาชีพหลัก ส่ วนใหญ่มีอาชีพหลักเป็ นเกษตรกร รองลงมารับจ้าง ด้านรายได้เฉลี่ย ของครอบครัวต่อปี ส่วนใหญ่มีรายได้ 40,001-50,000 บาท รองลงมา 30,001- 40,000 บาท ดา้ นการเขา้ รับการฝึ กอบรมเก่ียวกบั การพฒั นาผลิตภณั ฑ์ชุมชน ส่วนใหญ่เคยเขา้ รับการฝึ กอบรม ส่วนท่ีไม่เคยเขา้ รับการฝึกอบรม มีจานวน 6 คน 5. ผลการประเมินการประยุกต์ใช้ความรู้ความเข้าใจในการฝึ กอบ รม 1) ด้านการเงิน การบญั ชี การตลาด การผลิต การจดั การทรัพยากรมนุษย์ การเขียนแผนธุรกิจ และการพฒั นา กลุ่มและการสร้างเครือข่าย พบว่า การประยุกต์ใช้ความรู้ความเขา้ ใจในการฝึ กอบรมระดบั มาก เรียงลาดับดังน้ี ด้านการผลิต การจดั การทรัพยากรมนุษย์ และ การพัฒนากลุ่มและการสร้าง เครือข่าย และการประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ความเขา้ ใจในการฝึ กอบรมระดบั ปานกลาง เรียงลาดบั ดงั น้ี ดา้ นการเงิน การบญั ชี การตลาด และ การเขียนแผนธุรกิจ เม่ือพิจารณาในภาพรวมแลว้ สมาชิก ผู้ผ ลิ ต ผ ลิ ต ภัณ ฑ์ ชุ ม ช น ท้อ ง ถ่ิ น มี ก าร ป ร ะ ยุก ต์ใ ช้ ค ว า ม รู้ ค ว า ม เข้า ใ จ อ ยู่ใ น ร ะ ดับ ป าน ก ล า ง 2)ดา้ นการดาเนินพฒั นาผลิตภณั ฑ์และองค์ความรู้ใหม่ (นวตั กรรม) ท่ีเกิดจากการเขา้ ไปส่งเสริม สนับสนุนโดย โครงการพฒั นาเครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge – based OTOP (KBO) สามารถ สรุปเป็ นรายกลุ่มไดด้ งั น้ี คือ กลุ่มทอผา้ พ้ืนเมืองดว้ ยมือ หมู่ที่ 8 ต.นาข่า อ.ท่าบ่อ (ผลิตภณั ฑ์ผา้ ) ผลการจากอบรมและพฒั นาท้งั ในดา้ นการบริหารจดั การกลุ่มและผลิตภณั ฑ์ทาให้เกิดองคค์ วามรู้ ใหม่ในกระบวนการผลิตผา้ พ้ืนเมืองในประเด็นดงั น้ี คือ 1) ใชส้ ีธรรมชาติที่ไดจ้ ากตน้ คราม และ เปลือกไม้ 2) ไดล้ ายผา้ แบบใหม่ 3) ไดต้ วั ผลิตภณั ฑ์/สินคา้ สาเร็จ กลุ่มสตรีสหกรณ์นิคมดงบงั หม่ทู ่ี 11 ต.กุดบง อ.โพนพิสัย (ผลิตภณั ฑอ์ าหาร) กระบวนการและข้นั ตอนการผลิตท่ีไดม้ าตรฐาน กระบวนการและข้นั ตอนในการผลิตปลาร้าบองแบบใหม่ โดยมีการตวงและการวดั ที่ไดม้ าตรฐาน ยง่ิ ข้ึน กลุ่มผลิตภณั ฑ์สมุนไพร บา้ นโนนศรีทอง ตาบลโป่ งเปื อย อาเภอบึงกาฬ จงั หวดั หนองคาย เม่ือมีการพฒั นาผลิตภณั ฑไ์ ดอ้ งคค์ วามรู้ในการบริหารจดั การกลุ่มและบรรจุภณั ฑใ์ หม่

215 กลุ่มจกั สานบา้ นหนองเด่ินท่า หมู่ท่ี1 ต.หนองเดิ่น อ.บุ่งคลา้ ผลจากการเขา้ ไปสนบั สนุน ของโครงการพัฒนาเครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge – based OTOP ได้ก่อให้เกิดองค์ความรู้ ในดา้ นต่างๆ ดงั น้ี คือ 1) กระบวนการผลิตผลิตภณั ฑ์ 2) การประมาณการราคาสินคา้ ซ่ึงเป็ นการ คานวณตน้ ทุนเพื่อกาหนดราคาสินคา้ 3) ไดผ้ ลิตภณั ฑ์ใหม่ คือ กระติบขา้ วชุด กรอบนาฬิกา สาน กรอบรูปสาน 6 . ปัญหาและอุปสรรคในการดาเนินโครงการพฒั นา รวบรวมจากแบบสอบถามปลายเปิ ด กับคณะกรรมการโครงการพัฒนาเครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge – based OTOP พบปัญหา ท่ีสาคญั ดงั น้ี 1) ปัญหาด้านการติดต่อประสานงาน ของคณะกรรมการฯ มีปัญหาในระดับมาก เน่ืองจากไม่มีสถานท่ีท่ีเป็ นศูนยก์ ลางในการติดต่อ เมื่อเกิดปัญหาระหว่างการทางานไม่มีการให้ คาปรึกษาและแนะนาให้กบั คณะทางาน ซ่ึงอาจจะเกิดความไม่ชดั เจนในการทางาน 2) ขอ้ จากดั ในเร่ืองของระยะเวลาและงบประมาณ ซ่ึงทาให้วทิ ยากรกลางและวิทยากรกระบวนการถ่ายทอด ความรู้ได้ไม่เต็มที่ และในส่วนของกลุ่มผูผ้ ลิตปัญหาที่พบในการดาเนินงาน คือ การรวมกลุ่ม เนื่องจากติดขดั ในเร่ืองเวลาในช่วงฤดูกาลเก็บเก่ียว และปัญหาที่พบมากในการผลิต คือ ตลาดท่ีจะ รองรับผลิตภณั ฑข์ องกลุ่ม ข้อเสนอแนะ จากการประเมินโครงการพฒั นาเครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge - based OTOP จงั หวดั หนองคาย ซ่ึงเขา้ ไปสนบั สนุนกลุ่มผลิตภณั ฑ์ 4 กลุ่ม/ประเภท ในจงั หวดั หนองคาย มีขอ้ เสนอแนะ ท่ีเป็นประโยชน์ตอ่ การพฒั นาโครงการ ดงั น้ี 1. การฝึกอบรมและหลกั สูตรในการฝึกอบรม 1.1 การฝึกอบรมควรเนน้ ท่ีปัญหาของแต่ละกลุ่มและควรเป็นหลกั สูตรฝึกอบรมเชิง ปฏิบตั ิการมากกวา่ เน้ือหาบรรยาย 1.2 ควรมีการแลกเปล่ียนองคค์ วามรู้ระหวา่ งกลุ่มภายในจงั หวดั หรือต่างพ้นื ที่เพื่อให้ เกิดการตื่นตวั และสร้างเครือข่ายที่แทจ้ ริง 1.3 ควรพฒั นาหลกั สูตรกลางใหม้ ีมาตรฐานสาหรับใชใ้ นการพฒั นากลุ่มอาชีพอื่นๆ ต่อไป 1.4 ระยะเวลาในการฝึกอบรม ควรปรับใหม้ ีความเหมาะสมกบั เน้ือหาและสอดคลอ้ ง กบั ช่วงเวลาสะดวกของกลุ่มเป้ าหมาย (ควรเลี่ยงช่วงฤดูเก็บเก่ียวของเกษตรกร) 2. การดาเนินงานของกลุ่มผผู้ ลิตชุมชน 2.1 ควรมีการวเิ คราะห์ทบทวนกิจกรรม/ผลิตภณั ฑข์ องกลุ่มเพอื่ สารวจสถานะของ กลุ่มและถอดองคค์ วามรู้ในการดาเนินงานท่ีผา่ นมา

216 2.2 ควรส่งเสริมสนบั สนุนการทาแผนธุรกิจใหก้ บั ชุมชนอยา่ งจริงจงั โดยเฉพาะ การวางแผนการผลิตและการวางแผนการตลาด 2.3 ภาคเอกชนควรไดเ้ ขา้ มาสนบั สนุนการดาเนินการหรือศึกษา/เสนอแนะแนวทาง ใหก้ บั กลุ่มผผู้ ลิตชุมชนมากกวา่ น้ี 3. ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ 3.1 ระยะเวลาดาเนินโครงการควรจะมีเวลามากกวา่ น้ี 3.2 หน่วยงานในทอ้ งถิ่น เช่น องคก์ ารบริหารส่วนตาบล และองคก์ ารบริหารส่วน จงั หวดั ควรเขา้ มาช่วยส่งเสริมและสนบั สนุนใหม้ ากข้ึน 3.3 ควรไดร้ ับการส่งเสริมและจดั สรรงบประมาณเพือ่ ดาเนินการในปี ต่อไปอยา่ ง ต่อเนื่อง 3.4 ควรจดั ใหม้ ีการประชุมผลการดาเนินงานอยา่ งสม่าเสมอ กรณศี ึกษาท่ี 7 โครงการจดั งานวนั เดก็ แห่งชาติ ประจาปี พ.ศ. 2557 ขององค์การบริหารส่วน ตาบล โนนสมบูรณ์ อาเภอเมอื ง จังหวดั บงึ กาฬ องคก์ ารบริหารส่วนตาบลโนนสมบรู ณ์ (2557) วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ ผล เพื่อประเมินการดาเนินกิจกรรมโครงการจดั งานวนั เด็กแห่งชาติ ประจาปี พ.ศ. 2557 ของ องคก์ ารบริหารส่วนตาบลโนนสมบรู ณ์ กล่มุ ตวั อย่างทใ่ี ช้ในการประเมนิ บุคลากรผูด้ าเนินงานภายในองค์การบริหารส่วนตาบลโนนสมบูรณ์ ผูบ้ ริหาร หัวหน้า ส่วนงาน เจา้ หนา้ ท่ีผดู้ าเนินงาน และประชาชนผเู้ ขา้ ร่วมโครงการ รูปแบบหรือโมเดลทใี่ ช้ในการประเมนิ ในการประเมินคร้ังน้ี ใช้โมเดลเคาน์ทิแนนซ์ของสเตคเป็ นรูปแบบในการประเมิน ตามรูปแบบการประเมินน้ี ไดจ้ าแนกสิ่งท่ีตอ้ งพิจารณาในการประเมินออกเป็ น 3 ส่วน คือ

217 1. ส่ิงนา หรือปัจจัยเบื้องต้ น (Antecedents) หมายถึง สภาพเงื่อนไขหรื อปัจจัยต่างๆ ในการดาเนินโครงการ เช่น การกาหนดนโยบาย ตวั ช้ีวดั คารับรองการปฏิบตั ิราชการฯ งบประมาณ ท่ีสนบั สนุน, หน่วยงาน/บุคลากรท่ีดาเนินงาน/ภาคีเครือข่าย เป็นตน้ 2. กระบวนการหรือการปฏิบัติ (Transaction) หมายถึง กิจกรรมดาเนินตามกิจรรมท่ีปฏิบตั ิ พฤติกรรมระหวา่ งบุคคล ปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งผบู้ ริหารและหัวหน้าส่วนงาน หวั หน้าส่วนงานและ เจา้ หน้าที่ผูด้ าเนินงาน ระหว่างผูร้ ่วมดาเนินงานดว้ ยกนั เอง และระหว่างผูด้ าเนินงานประชาชน ผเู้ ขา้ ร่วม เป็นตน้ 3. ผลลัพธ์หรือผลการดาเนินงาน (Outcome) หมายถึง ผลผลิตที่ได้จากการนาโครงการ ไปปฏิบตั ิ เช่น ประสิทธิภาพในการดาเนินงาน ผลสัมฤทธ์ิของการดาเนินงานและความพึงพอใจ ของผเู้ ขา้ ร่วมงาน เป็นตน้

ปัจจัยนาเข้า สิ่งทเ่ี กดิ ขึน้ จริง 218 ปัจจัยปฏิบัตกิ าร ผลลพั ธ์ - การนานโยบายของรัฐ - กระบวนการจดั ทา ผลการดาเนินงาน/ มาปฏิบตั ิ แผนงานสู่การปฏิบตั ิ กิจกรรมตาม เป้ าหมายของ - การจดั ต้งั /จดั ทา - กลยทุ ธ์ในการ โครงการ โครงการ ดาเนินงานตามแผน - ระบบการควบคุมกากบั ความพงึ พอใจของ - ตวั ช้ีวดั คารับรองการ ติดตามประเมินผลการ ผู้เข้าร่วมงาน ปฏิบตั ิราชการฯ ดาเนินงาน 1. ปัจจยั แห่งความสาเร็จ - งบประมาณสนบั สนุน 2. ปัญหาอุปสรรค ส่ิงทเ่ี กดิ ขึน้ จริง - หน่วยงาน/บุคลากรท่ี ดาเนินงาน/ภาคีเครือข่าย ภาพที่ 15 แผนผงั กระบวนการประเมินโครงการ

219 เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินเป็ นแบบสอบถามความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมวนั เด็ก แห่งชาติ ประจาปี 2557 ณ องคก์ ารบริหารส่วนตาบลโนนสมบูรณ์ เป็นแบบสอบถามความคิดเห็น แบง่ เป็น 3 ตอน ตอนที่ 1 ข้อมูลท่ัวไปของผูก้ รอกแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ สถานภาพของผูต้ อบ แบบสอบถาม ตอนท่ี 2 ข้อมูลเก่ียวกับการสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการจดั กิจกรรมเป็ นแบบ ประเมิน คา่ (Rating Scules) ของลิเกิร์ต (Liket) 5 ระดบั โดยกาหนดดงั น้ี 5 หมายถึง มีความเหมาะสมอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด ความเหมาะสมอยใู่ นระดบั มาก 4 หมายถึง ความเหมาะสมอยใู่ นระดบั ปานกลาง 3 หมายถึง 2 หมายถึง ความเหมาะสมอยใู่ นระดบั นอ้ ย 1 หมายถึง ความเหมาะสมอยใู่ นระดบั นอ้ ยที่สุด ตอนที่ 3 ขอ้ มูลเกี่ยวกบั การแสดงความคิดเห็นหรือขอ้ เสนอแนะ การวเิ คราะห์ข้อมูล 1. การวเิ คราะห์เน้ือหา 2. การวเิ คราะห์ขอ้ มูลความคิดเห็นของกลุ่มตวั อยา่ งผเู้ ขา้ ร่วมโครงการ โดยการหาค่าร้อยละ ผลการประเมนิ 1. ผลการประเมินปัจจยั นาเขา้ ของกิจกรรมงานวนั เด็กแห่งชาติขององคก์ ารบริหารส่วนตาบล โนนสมบูรณ์ ปรากฏวา่ บุคลากรและคณะผทู้ างาน ตลอดท้งั ภาคีที่เก่ียวขอ้ งกบั การดาเนินกิจกรรม ในงานวันเด็กแห่งชาติขององค์การบริหารส่วนตาบลโนนสมบูรณ์ มีความพร้อมทางด้าน ปัจจยั พ้ืนฐานและแนวทางในการดาเนินงาน/แผนงานเป็ นไปดว้ ยดี มีการกาหนดแผนงาน/กิจกรรม ผูร้ ับผิดชอบในแต่ละส่วนงาน การบริหารจดั การทรัพยากรท่ีดี มีความพร้อมด้านวสั ดุอุปกรณ์ ในการดาเนินงาน 2. การประเมินกระบวนการการประสานงานและการประชาสัมพนั ธ์ระหว่างหน่วยงาน ท่ีเกี่ยวขอ้ งไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการข้นั ตอนของการกาหนดแผนงาน การดาเนินงาน ตามแผนงาน และไดร้ ับความร่วมมือจากภาคีต่างๆเป็ นอย่างดี ตลอดท้งั การควบคุมและติดตาม

220 การดาเนินโครงการมีความชดั เจน และไดม้ ีการปฏิบตั ิตามระเบียบ/คาสั่งของราชการไดอ้ ยา่ งเป็ น ระบบ จึงทาใหก้ ารดาเนินโครงการเป็นไปอยา่ งมีระบบ ต่อเน่ืองและมีประสิทธิภาพ 3. ดา้ นผลลพั ธ์ของการดาเนินกิจกรรม พบวา่ กลุ่มตวั อย่างที่ไดท้ าการตอบสอบถามความ คิดเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของการจดั กิจกรรมวนั เด็กแห่งชาติส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่า การดาเนินโครงการในคร้ังน้ีมีความเหมาะสมท้งั ในดา้ นรายละเอียดของกิจกรรม ระยะเวลาในการ ดาเนินกิจกรรม สถานที่ในการดาเนินกิจกรรม ตลอดท้งั ประโยชน์ที่ไดร้ ับจากการเขา้ ร่วมกิจกรรม อยใู่ นระดบั มากที่สุด เฉล่ียร้อยละ 59.4 บทสรุป เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจมากย่ิงข้ึน ผูส้ อนจึงได้นาเสนอกรณีศึกษาการ ประเมินผลโครงการ ในรูปแบบ (Model) เพ่ือให้เห็นรูปแบบท่ีนักประเมินได้นาไปใช้ในการ ประเมินได้อย่างเหมาะสมกับบริบทของโครงการ ท้ังน้ีเพื่อให้ได้ผลการประเมินท่ีครบถ้วน สมบูรณ์ และครอบคลุมสารสนเทศท่ีมีประโยชน์มากท่ีสุด เพือ่ เป็นแนวทางให้แก่ผสู้ นใจไดศ้ ึกษา และทาความเข้าใจจึงได้ยกกรณีศึกษาในการประเมินโครงการ ดังรายละเอียดเก่ียวกับ1) การ ประเมินโดยรูปแบบของสเตก (Robert E. Stake) 2) การประเมินโดยใช้รูปแบบซิป (CIPP Model) 3) ก า ร วิ เค ร า ะ ห์ ต้ น ทุ น แ ล ะ ต อ บ แ ท น ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า ( Cost Benefit Analysis) 4) การประเมินโดยไม่อิงวตั ถุประสงค์ (Goal Free Evaluation) อย่างไรก็ดี ผู้อ่านควรศึกษา รายละเอียดเพม่ิ เติมของการประเมินโครงการจากรายงานประเมินโครงการฉบบั สมบูรณ์ต่อไป ดงั น้นั จากการศึกษากรณีศึกษาการประเมินโครงการ ผปู้ ระเมินจะตอ้ งเป็ นคนตดั สินใจว่า โครงการท่ีจะประเมินน้นั จะตอ้ งใชร้ ูปแบบ (Model) ใดที่นามาใชใ้ นการประเมินไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ท้งั น้ีเพ่ือให้ไดผ้ ลการประเมินท่ีออกมาได้น้นั ครอบคลุมสารสนเทศท่ีมีประโยชน์มากที่สุด และ ผทู้ ่ีทาหนา้ ที่ประเมินจาเป็นตอ้ งเขา้ ใจรูปแบบและข้นั ตอนของการประเมินเป็นอยา่ งดีเพือ่ ที่จะทาให้ การประเมินมีประสิทธิภาพ

221 คาถามท้ายบท 1. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายกระบวนการประเมินผลโครงการกรณีศึกษาท่ี1 เป็นอยา่ งไร 2. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายกระบวนการประเมินผลโครงการกรณีศึกษาที่2 เป็นอยา่ งไร 3. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายกระบวนการประเมินผลโครงการกรณีศึกษาท่ี3 เป็นอยา่ งไร 4. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายกระบวนการประเมินผลโครงการกรณีศึกษาที่4 เป็นอยา่ งไร 5. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายกระบวนการประเมินผลโครงการกรณีศึกษาท่ี5 เป็นอยา่ งไร 6. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายกระบวนการประเมินผลโครงการกรณีศึกษาท่ี6 เป็นอยา่ งไร 7. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายกระบวนการประเมินผลโครงการกรณีศึกษาท่ี7 เป็นอยา่ งไร

222 เอกสารอ้างองิ พรทิพย์ อาจณรงค.์ (2536). การประเมินหลกั สูตรการพยาบาลเฉพาะทาง คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล. วทิ ยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบณั ฑิต ภาควชิ าวจิ ยั การศึกษา บณั ฑิต วทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . พชั รี ผลานุรักษา.(2531). การวเิ คราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนทางการศึกษาของวทิ ยาลัยช่างศิลป์ . วทิ ยานิพนธ์ปริญญามหาบณั ฑิต ภาควชิ าวจิ ยั การศึกษา บณั ฑิตวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี ศูนยก์ ารศึกษาบึงกาฬ .(2550).การประเมินการดาเนินโครงการพฒั นา เครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge – based OTOP จังหวดั หนองคาย ประจาปี งบประมาณ 2550. บึงกาฬ: พิมพท์ ี่มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี ศูนยก์ ารศึกษาบึงกาฬ. เยาวดี รางชยั กลู วบิ ูลยศ์ รี.(2551). การประเมินโครงการ: แนวคิดและแนวปฏิบตั ิ.พมิ พค์ ร้ังที่6. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . เยาวดี วบิ ูลยศ์ รี และคณะ.(2531) การประเมินผลกระทบของโครงการวจิ ัยด้านสังคมศาสตร์ทไี่ ด้รับ ความช่วยเหลอื จาก IDRC. รายงานผลการประเมิน กรุงเทพมหานคร : กรมวเิ ทศสหการ สานกั นายกรัฐมนตรี. สุพกั ตร์ พบิ ลู ย.์ (2527). การประยกุ ต์ใช้แบบจาลองเคาน์ทแิ นนซ์ของสเต็กในการประเมินกจิ กรรม ของกล่มุ โรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตจังหวดั ขอนแก่น.กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . องคก์ ารบริหารส่วนตาบลโนนสมบรู ณ์. (2557). รายงานการประเมนิ โครงการจัดงานวันเดก็ แห่งชาติ ประจาปี พ.ศ. 2557 ขององค์การบริหารส่วนตาบลโนนสมบูรณ์ อาเภอเมอื ง จังหวดั บึงกาฬ.บึงกาฬ: พิมพท์ ี่องคก์ ารบริหารส่วนตาบลโนนสมบูรณ์ จงั หวดั บึงกาฬ.

223 บรรณานุกรม กนกวรรณ จนั ทร์เจริญชยั . (2553). การเตรียมและการประเมินโครงการ. กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพ์ ภำคควชิ ำเศรษฐศำสตร์ มหำวทิ ยำลยั เกษตรศำสตร์. กลำ้ ทองขำว. (2555). การประเมินความเป็ นไปได้ของนโยบายแผนงานและโครงการในประมวล สาระชุดวชิ าการประเมินนโยบาย แผนงานและโครงการ หน่วยท1ี่ 2. นนทบุรี: มหำวทิ ยำลยั สุโขทยั ธรรมำธิรำช. จิระศกั ด์ิ สำระรัตน์. (2551). การประเมนิ โครงการ. กรุงเทพฯ:เอเชีย ดิจิตอลกำรพิมพ์ จำกดั . เชิดศกั ด์ิ โฆวำสินธุ์ ( 2541 ). การพฒั นาคุณภาพการคดิ . การวดั ผลการศึกษา.กรุงเทพมหำนคร. เชำว์ อินใย. (2553). การประเมินโครงการ Program Evaluation. กรุงเทพฯ :โรงพิมพแ์ ห่ง จุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั . ถวลั ย์ มำศจรัส และเชำวฤทธ์ิ จงเกษกรณ์.(2547). นวตั กรรมการศึกษาชุดการนิเทศเพอ่ื ปฏริ ูปการศึกษาและพฒั นาการเรียนรู้.กรุงเทพ ฯ : สำนกั พิมพเ์ ซนจูรี่. ทศพร ศิริสมั พนั ธ์.(มมป).เอกสารประกอบการบรรยายวชิ าการวเิ คราะห์และประเมินผลนโยบาย สาธารณะ. คณะรัฐศำสตร์ จุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั .กรุงเทพฯ เทียนฉำย กีระนนั ท.์ (2537).การวางแผนและจัดทาโครงการของรัฐ” ใน รวมบทความทางการ ประเมนิ โครงการ. โดย สมหวงั พธิ ิยำนุวฒั น์ (บรรณำธิกำร).กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพ์ จุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั . ปกรณ์ ปรียำกร. (2548). การบริหารโครงการ: แนวคดิ และแนวทางในการสร้างความสาเร็จ. พมิ พค์ ร้ังท่ี 7.กรุงเทพฯ: สำนกั พมิ พเ์ สมำธรรม. ประชุม รอดประเสริฐ. (2535). การบริหารโครงการ.กรุงเทพฯ : เนติกุล ประสิทธิ ตงยง่ิ ศิริ.(2540).การวเิ คราะห์และประเมนิ โครงการ.สถำบนั พฒั นบริหำรศำสตร์ โครงกำรส่งเสริมเอกสำรวชิ ำกำร.กรุงเทพฯ ปุระชยั เปี่ ยมสมบูรณ์. (2529).การวจิ ัยประเมนิ ผล : หลกั การและกระบวนการ. กรุงเทพฯ: กำรพิมพ์ พระนคร พชั รี ผลำนุรักษำ.(2531). การวเิ คราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนทางการศึกษาของวทิ ยาลัยช่างศิลป์ . วทิ ยำนิพนธ์ปริญญำมหำบณั ฑิต ภำควชิ ำวจิ ยั กำรศึกษำ บณั ฑิตวทิ ยำลยั จุฬำลงกรณ์ มหำวทิ ยำลยั .

224 พชิ ิต ฤทธ์ิจรูญ.(2545). การเขียนรายงานการประเมนิ และการใช้ผลการประเมนิ นโยบาย แผนงาน และโครงการ.ในประมวลสำระชุดวชิ ำ กำรประเมินนโยบำย แผนงำนและโครงกำร หน่วยท่ี10.นนทบุรี: มหำวทิ ยำลยั สุโขทยั ธรรมธิรำช สำขำศึกษำศำสตร์. . (2548). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา. พิมพค์ ร้ังท่ี3. กรุงเทพฯ: เฮำ้ ส์ ออฟ เคอร์มิสท.์ พชิ ิต ฤทธ์ิจรูญ. (2557) เทคนิคการประเมนิ โครงการ.บริษทั เฮำ้ ส์ ออฟ เคอร์มิสท์ จำกดั . พิสณุ ฟองศรี. (2553). การสร้างและพฒั นาเครื่องมือ.กรุงเทพฯ: ด่ำนสุทธำกำรพิมพ์ พงษส์ ัณห์ ศรีสมทรัพย.์ (2543).การประเมนิ ผลโครงการในภาครัฐ.ตาราภาควชิ าบริหารรัฐกจิ . คณะรัฐศำสตร์มหำวทิ ยำลยั รำมคำแหง.กรุงเทพฯ พรทิพย์ อำจณรงค.์ (2536). การประเมินหลกั สูตรการพยาบาลเฉพาะทาง คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล. วทิ ยำนิพนธ์ครุศำสตรมหำบณั ฑิต ภำควชิ ำวจิ ยั กำรศึกษำ บณั ฑิต วทิ ยำลยั จุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั . ไพศำล หวงั พำนิช .(2533 ). หลกั และวธิ ีการประเมนิ โครงการ.กรุงเทพฯ: บริษทั ประธำนชน. มหำวทิ ยำลยั รำชภฏั อุดรธำนี ศูนยก์ ำรศึกษำบึงกำฬ .(2550).การประเมินการดาเนินโครงการพฒั นา เครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge – based OTOP จังหวดั หนองคาย ประจาปี งบประมาณ 2550. บึงกำฬ: พิมพท์ ่ีมหำวทิ ยำลยั รำชภฏั อุดรธำนี ศูนยก์ ำรศึกษำบึงกำฬ. เยำวดี วบิ ลู ยศ์ รี และคณะ.(2531) การประเมินผลกระทบของโครงการวจิ ัยด้านสังคมศาสตร์ทไ่ี ด้รับ ความช่วยเหลอื จาก IDRC. รำยงำนผลกำรประเมิน กรุงเทพมหำนคร : กรมวเิ ทศสหกำร สำนกั นำยกรัฐมนตรี. เยำวดี วบิ ลู ยศ์ รี (2539) . การวดั ผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธ์ิ. กรุงเทพฯ : สำนกั พมิ พ์ จุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั . . (2546). การประเมินโครงการ แนวคิดและแนวปฏบิ ตั ิ. พิมพค์ ร้ังที่ 3. กรุงเทพฯ : จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลยั . . (2551). การประเมินโครงการ: แนวคิดและแนวปฏิบตั ิ.พิมพค์ ร้ังท่ี 6. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พจ์ ุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั . รัตนะ บวั สนธ์. (2540). การประเมนิ โครงการ/การวจิ ัยเชิงปริมาณ. กรุงเทพฯ บริษทั คอมแพคทพ์ ริ้นท์ จำกดั . รำชบณั ฑิตยสถำน. (2526) . พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 .กรุงเทพฯ: อกั ษรเจริญทศั น.์

225 รำชบณั ฑิตยสถำน. (2546). พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : นำนมี บุคส์พลบั ลิเคชนั่ . สุชำติ ประสิทธ์ิรัฐสินธุ์. (2541). การประเมินผลโครงการ:หลกั การและการประยกุ ต์.พิมพค์ ร้ังท่ี 3. กรุงเทพฯ: โรงพิมพเ์ ล่ียงเชียง. สุพกั ตร์ พบิ ลู ย์ และกำนดำ นำคะเวช. (2545). การประเมนิ ความก้าวหน้าในการดาเนินโครงการ. พิมพค์ ร้ังท่ี 2 .นนทบุรี: มหำสุโขทยั ธรรมำธิรำช . (2551). ชุดเสริมทกั ษะการประเมินโครงการ.นนทบุรี: จตุพรดีไซน์. . (2527). การประยุกต์ใช้แบบจาลองเคาน์ทแิ นนซ์ของสเต็กในการประเมินกจิ กรรม ของกล่มุ โรงเรียนมธั ยมศึกษาในเขตจังหวดั ขอนแก่น.กรุงเทพฯ: จุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั . สุภมำส องั ศุโชติ. (2555). รูปแบบการประเมนิ นโยบาย แผนงาน และโครงการ.นนทบุรี: มหำวทิ ยำลยั สุโขทยั ธรรมำธิรำช. สุวมิ ล วอ่ งวำณิช. (2544). คู่มอื การประเมินผลภายในของสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษา: การออกแบบระบบการประเมินผลภายใน (คร้ังท2่ี ). กรุงเทพฯ: หำ้ งหุน้ ส่วนจำกดั วที ีซี คอมมิวนิเคชนั่ . . (2550).การวจิ ัยประเมินความต้องการจาเป็ น.ศนู ยห์ นงั สือแห่งจุฬำลงกรณ์ มหำวทิ ยำลยั .กรุงเทพฯ สมคิด พรมจุย้ .(2550). เทคนิคการประเมินโครงการ. นนทบุรี: พมิ พค์ ร้ังที่5. จตุพร ดีไซน์. . (2550). การพฒั นาการศึกษาด้วยวจิ ัยเชิงอนาคตและพฒั นาผู้เรียนด้วยการวจิ ัยใน ช้ันเรียน : การวจิ ัยเพอื่ พฒั นาการเรียนรู้. เอกสำรกำรประชุมสมั มนำทำงวชิ ำกำร กำรวจิ ยั กำรวดั และประเมินผลทำงกำรศึกษำแห่งประเทศไทยคร้ังท่ี14 : จำกทฤษฎีสู่กำรปฏิบตั ิ เพอ่ื พฒั นำคุณภำพกำรศึกษำ. กรุงเทพ ฯ : พฒั นศึกษำกำรพมิ พ.์ . (2550). เทคนิคการประเมินโครงการ . กรุงเทพฯ: จตุพรดีไซน์ . (2552). การเขียนรายงานการประเมนิ โครงการ. นนทบุรี: จตุพร ดีไซน.์ สมหวงั พิธิยำนุวฒั น์. (2549). การวจิ ัยประเมินโครงการด้านการศึกษา. เอกสารตาราโครงการการ จัดทาตาราเพอื่ พฒั นาคุณภาพการศึกษาในระดบั อดุ มศึกษา. กรุงเทพฯ : ส ำนกั งำนรับรอง มำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ (องคก์ รมหำชน). . (2553) . วธิ ีวทิ ยาการประเมนิ : ศาสตร์แห่งคุณค่า. พิมพค์ ร้ังท่ี 5. กรุงเทพฯ: สำนกั พมิ พแ์ ห่งจุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั .

226 องคก์ ำรบริหำรส่วนตำบลโนนสมบรู ณ์. (2557). รายงานการประเมนิ โครงการจัดงานวนั เด็ก แห่งชาติ ประจาปี พ.ศ. 2557 ขององค์การบริหารส่วนตาบลโนนสมบูรณ์ อาเภอเมอื ง จังหวดั บึงกาฬ.บึงกำฬ: พิมพท์ ี่องคก์ ำรบริหำรส่วนตำบลโนนสมบรู ณ์ จงั หวดั บึงกำฬ. Anderson, Ball & Murphy. (1975). Encyclopedia of educational evaluation. Jossey-Bass Publishers, 1975.University of Michigan. Alkin, M.C. (1969). Evaluation Theory Development, Education Comment. Anderson, S.B., Ball, S., Murphy, R.T. and Associates. (1974). Encyclopedia of Educational Evaluation. San Francisco : Jossey-Bass. Brinkerhoff, R., Brethower, D,. Hluchyi, T., and Nowakowshi, J. (1983). Program Evaluation : A Practitioners’ Guide for Trainers and Educators. Boston : Kluwer-Nijhoff. Brown, F.G. (1983). Principles of Educational and Psychological Testing. 3rd ed., New York : CBS College Publishing. Cambell, D.t. and Stanley, J.C. (1963). Experimental and Quasi Experimental Designs for Research on Teaching. In N.I.Gage (Ed.). Handbook of Research on Teaching. Chicago : Rand McNally. Cambell, D.T., Boruch, R.F., Schwartz, R.D., and Steinberg, J. (1977). “Confidentiality- Preserving Modes of Access to Files and Interfile Exchange for Useful Statistical Analysis.” Evaluation Quarterly. Cronbach, L.J. (1963). Course Improvement Through Evaluation. Teachers College Record Cook, T.D. and Gruder, C.L. (1978). :Meta-Evaluation Research.” Evaluation Quarterly Eisner, E.W. (1979). The Educational Imagination. New York : Macmillan. Good, C.V. (1973). Dictionary of Education. New York : McGraw-Hill Book Company. Guttentag, M., and Struening, E.L. (1975). Handbook Evaluation Research. Beverly Hills, CA : Sage Publications, Inc. Guba. E.G., and Lincoln, Y.S. (1981). Effective Evaluation. San Francisco : Jossey-Bass Publishers. Guba. E.G., and Lincoln, Y.S. (1989). Fourth Generation Evaluation. Newbury Park, California : Sage Publications, Inc.

227 Glass, G.V. et al. (1970). Data Analysis of the 1968-69 Survey of Compensatory Education, Title I, Final Report on Grant No. OEG 8-8-961860 4003-(058). Washington D.C. : Office of Education. Havelock, Ronald G. (1973). The Change Agent’s Guide to Innovation in Education. Englewood Cliffs, N.J. : Educational Technology Publications. House, E.R. (1980). Evaluating with Validity. Beverly Hills, CA : Sage Publications. Lynne, Jr., Lawrence, E. and Susan Salasin. (1974). Human Services : Should We, Can We Make Them Available to Everyone Evaluation. (Spring Special Issue) : 4-5. Madaus, G.F., Scriven, M and Stufflebeam, D.L. (Ed.). (1983). Evaluation Models : Viewpoints on Educational and Human Services Evaluation. Boston : Kluwer-Nijhoff Publishing. Mehrens, W.A. & Lehman, I.J. (1984). Measurement and Evaluation in Education and Psychology. 3rd. ed., Japan : Holt, Rinehart and Winston. Mclaughlin, M.W. (1975). Evaluation and Reform. Cambridge, Massachusetts : Ballinger Publishing. Patton, M.G. (1978). Utilization Focused Evaluation. Calif : Sage Publications, Inc. Posavac, J . Emil and Carey, Raymond G. (1980). Program Evaluation Methods and Case Studies. Englewood Cliffs. New Jersey : Prentice-Hall Inc. Provus, M.N. (1971). Discrepancy Evaluation. Berkeley, California : McCutcheon Publishing Co. Riecken, H.W. and Boruch, R.F. (Eds.). (1974). Social Experimentation : A Methods for Planning and Evaluating Social Intervention. New York : Academic Press. Rossi, P.H. and Wright, S.R. (1977). “Evaluation Research : An Assessment of Theory, Practice and Politics.” Evaluation Quarterly (February). Rossi, P.H. and Freeman, H.E. (1982). Evaluation : A Systematic Approach. Beverly Hills, California : Sage Publications, Inc. Shertzer, B. & Linden, J.D. (1979). Fundamentals of Individual Appraisal. Boston : Houghton Mifflin Scriven, M.S. (1969). “An Introduction to Meta-Evaluation.” Educational Product Report. February.

228 Scriven, M.S. (1967). The Methodology of Evaluation. In Perspectives of Curriculum Evaluation (AERA Monograph Series on Curriculum Evaluation, No. 1). Chicago : Rand McNally. Scriven, M.S. (1973). Goal-Free Evaluation. In E. House (Ed.), School Evaluation : The Politics and Process. Berkerley : McCutchan. Scriven, M.S. (1974). Pros and Cons About Goal-Free Evaluation. Evaluation Comment Smith, N.L. (1981). Metaphors for Evaluation : Sources of New Methods. Beverly Hills : Sage Publication, Inc. Stake, R.E. (1967). “Setting Standards for Educational Evaluators.” Evaluation New no. 2 Scriven (1974) . Pros and Cons About Goal-Free Evaluation. Evaluation Comment Stufflebeam, D.L. and Shrinkfield, A.J. (1985). Systematic Evaluation. A Self-Instructional Guide to Theory and Practice. Boston : Kluwer-Nijholf Publishing. Stufflebeam, D.L., et sl. (1971). Educational Evaluation and Decision Making. Itasca, Illinois : Peacock. Stufflebeam, D.L. (1978). “Meta Evaluation : An Overview.” Evaluation and the Health Professions, 1 (2), 146-163. Suchman, E.A. (1967). Evaluative Research : Principles an Practice in Public Service and Social Action Programs. New York : Russell Sage Foundation. Evaluation (AERA Monograph Series on Curriculum Evaluation, No. 1). Chicago : Rand McNally. The ILAC Secretariat. 2006. ILAC Guidelines on Qualifications and Competence of Assessors and Technical Experts. [Online] Available : http://www.ilac.org/documents/WhatsNew.G11_2006_Final_Version_050706.pdf. [2006, May 14th]. Worthen, B.R. and Sanders, J.R. (1973). Educational Evaluation : Theory and Practice. Ohio : Charles and Joanes.

229 สำนกั งำนตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำประเทศนิวซีแลนด.์ (2555). การติดตามและประเมนิ ผล การศึกษา. [Online] Available : : http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6- 3/no40/new_zealand/sec04p02.html สำนกั งำนรับรองมำตรฐำนและประกนั คุณภำพกำรศึกษำ. (2555) . จรรยาบรรณของนักประเมิน [Online]. Available: http://www.onesqa.or.th/magazine/05_05_46/2.html) สำนกั งำนรำงวลั คุณภำพแห่งชำติ, (2555) รางวลั คุณภาพแห่งชาติของนักประเมิน. (http://www.tqa.or.th/th/assessor )


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook