เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข จากตัวอยา งท่ี 2-8 กรณีที่นาํ รหัส BCD – 8421 มาบวกกนั และคา ที่ไดเกิน 9 จะตองแปลงรหัส BCD-8421 เปนรหัสเพิ่ม 3 แลวจึงนํามาบวกกันโดยผลลัพธท่ีไดจากการบวกกันเปนรหัส BCD - 8421 2.4 รหสั ตรวจสอบความผิดพลาด (Error – Detecting Code) เน่ืองจากขอ มูลท่จี ะตอ งมีการรบั หรอื สงดวยระบบดิจทิ ัล อาจมีขอ ผิดพลาดเกิดขึ้นไมวาจะเปน ขอผิดพลาดที่เกิดขึ้นกอนท่ีจะมีการรับสงขอมูล หรือขอผิดพลาดท่ีเกิดข้ึนหลังจากรับสงขอมูล เรยี บรอยแลว ดงั นน้ั จงึ จาํ เปน ที่จะตองมีการตรวจสอบหาขอผดิ พลาดของขอมูลกอนทจ่ี ะนําไปใชงาน จริง เพ่ือไมใ หเ กิดความเสยี หาย หรอื เกดิ ความเสียหายนอ ยท่ีสดุ การใชบ ิตพาริต้ี (Parity bit) เปนวธิ ี หน่งึ ทีส่ ามารถนาํ มาตรวจสอบหาความผดิ พลาดของขอมูลได โดยการพจิ ารณาเฉพาะจาํ นวนของบติ ที่ มคี าเปน 1 จากจํานวนบติ ทัง้ หมดซ่ึงแบงออกเปน 2 วิธี ดังน้ี วธิ ที ี่ 1 พารติ ้ีคู (Even parity) คือ การทาํ ใหจ ํานวนบิตท้ังหมดมีจํานวนบิตท่ีมีคาเปน 1 เปน จาํ นวนคู โดยการเติมบิตเพิ่มเขา ไปในขอ มลู อกี 1 บติ โดยหากขอ มลู เดิมมจี าํ นวนบิตทม่ี คี า เปน 1 เปน จาํ นวนค่ีใหเตมิ บติ “ 1” เพมิ่ เขา ไปเพอ่ื เปลย่ี นใหจ าํ นวนบิตทมี่ ีคาเปน 1 กลายเปนจํานวนคู แตหาก ขอ มูลเดมิ มีจํานวนบิตทม่ี คี าเปน 1 เปน จํานวนคูอ ยูแลว ใหเ ตมิ บติ “ 0” เพมิ่ เขาไปเพื่อใหจํานวนบิตที่ มีคา เปน 1 มเี ปน จาํ นวนคคู งเดมิ วธิ ที ี่ 2 พาริตีค้ ี่ (Odd parity) คือ การทําใหจํานวนบิตทั้งหมดมีจํานวนบิตที่มีคาเปน 1 เปน จาํ นวนคโี่ ดยการเตมิ บิตเพม่ิ เขา ไปในขอ มลู อกี 1 บติ โดยหากขอ มลู เดมิ มีจาํ นวนบติ ท่ีมคี า เปน 1 เปน จํานวนคใู หเ ติมบติ “ 1” เพม่ิ เขาไปเพอื่ เปลีย่ นใหจ าํ นวนบติ ท่มี ีคา เปน 1 มเี ปนจาํ นวนค่ี แตห ากขอมลู เดมิ มีจํานวนบติ ท่ีมคี าเปน 1 เปนจํานวนคอี่ ยแู ลวใหเติมบิต “ 0” เพ่ิมเขาไปเพื่อใหจํานวนบิตที่มีคา เปน 1 มเี ปนจํานวนค่คี งเดิม ตวั อยา งท่ี 2-9 จงเติมพารติ ีค้ ู และ พารติ คี้ ่จี ากใหรหสั 1001 วิธที ํา เน่อื งจากรหสั 1001 มีจํานวนบิตทม่ี คี า เปน 1 อยู 2 ตวั ดงั นก้ี ารเตมิ พารติ ้ีคู และ พาริตคี้ ่ี เปน ดังนี้ การเตมิ พาริตคึ :ู เติม “ 0” เพมิ่ เขา ไป ไดเปน “ 10010” การเตมิ พารติ คึ :่ี เติม “ 1” เพ่ิมเขาไป ไดเ ปน “ 10011” 2.5 รหัสเกรย (Gray Code) รหัสเกรย เปน รหสั ที่อยใู นประเภทท่ไี มมีนาํ้ หนัก เชนเดียวกับรหัส Excess – 3 เพราะฉะน้ันจึง เปนรหสั ทีไ่ มเหมาะท่ีจะนํามาใชในการคํานวณทางคณิตศาสตร โดยลักษณะของรหัสเกรย คือจะมี การเปลีย่ นแปลงขอมลู ในแตล ะลาํ ดับเพียงแค 1 บติ เทา น้ันจึงทําใหโอกาสเกิดความผิดพลาดมีนอย ซึ่งหากใชรหัสเกรยเปน อนิ พตุ หรือเอาตพ ุตจะมคี วามผดิ พลาดนอ ยกวาหากเทียบกับรหัสเลขฐานสอง พิจารณาตารางที่ 2.2 ประกอบการอธิบาย 32
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ตารางท่ี 2.2 การเปรียบเทียบการเปลยี่ นแปลงของบิตขอ มูลระหวางรหสั เกรยแ ละรหสั เลขฐานสอง เลขฐานสิบ รหัสเลขฐานสอง รหัสเกรย 0 0000 0000 1 0001 0001 2 0010 0011 3 0011 0010 4 0100 0110 5 0101 0111 6 0110 0101 7 0111 0100 8 1000 1100 9 1001 1101 จากตารางที่ 2.2 แสดงใหเ ปนวาการเปลย่ี นแปลงคาในแตล ะลาํ ดบั ข้นั นั้น รหัสเกรยจะมกี าร เปลย่ี นแปลงเพยี งครง้ั ละ 1 บิตเทา นนั้ แตรหสั เลขฐานสองจะมีการเปล่ียนแปลงอยางนอย 1 บติ (ซง่ึ อาจจะมากกวา 1 บิต) เชน การเปลยี่ นจาก 1 เปน 2 ในเลขฐานสิบ เลขฐานสบิ รหสั เลขฐานสอง รหัสเกรย 1 0001 0001 2 0010 0011 การเปลยี่ นจาก 7 เปน 8 ในเลขฐานสบิ เลขฐานสิบ รหสั เลขฐานสอง รหัสเกรย 7 0111 0100 8 1000 1100 จากตวั อยางขา งตน สงั เกตเหน็ วา การเปลี่ยนจาก 1 เปน 2 และจาก 7 เปน 8 ในเลขฐานสิบ จะ ทําใหรหัสเลขฐานสองมีการเปล่ียนแปลง 2 และ 4 บิตตามลําดับ แตในรหัสเกรยน้ันจะมีการ เปล่ียนแปลงเพยี ง 1 บติ เสมอ ประโยชนข องรหัสเกรย คอื นําไปใชกบั Encoder ซงึ่ เปน อปุ กรณทใ่ี ชส ําหรับการวัดตําแหนง และ นับความเรว็ รอบท่ีมคี วามแมน ยาํ สงู สําหรบั วธิ กี ารคํานวณหารหสั เกรยน ้ันทําไดโ ดยการแปลงมาจากรหัสเลขฐานสอง โดยการแปลง จากรหัสเลขฐานสองเปนรหัสเกรย และการแปลงจากรหัสเกรยเปนรหัสเลขฐานสองจะมีวิธีการท่ี คลายๆกนั ดังนี้ 33
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข 2.5.1 การแปลงจากรหสั เลขฐานสองเปน รหัสเกรย การแปลงจากรหสั เลขฐานสองเปนรหัสเกรยมขี นั้ ตอนดังน้ี 1. กําหนดใหบิตท่ีมีลําดับความสําคัญสูงที่สุดคือ n (จํานวนบิตท้ังหมดของรหัส เลขฐานสองลบดวย 1) และบติ ท่ีมีลาํ ดับความสําคญั ตา่ํ ที่สุดคือ 0 2. บติ ท่ี n ของรหสั เกรยจ ะมีคา เทา กบั บติ ท่ี n ของรหสั เลขฐานสอง 3. นาํ บติ ท่ี n และบติ ที่ n-1 ของรหัสเลขฐานสองมาบวกกนั ผลลัพธที่ไดจะเปนบิตที่ n – 1 ของรหสั เกรยโ ดยการบวกนัน้ จะเปน การบวกแบบเลขฐานสองโดยไมค ดิ ตวั ทด เพราะฉะนั้น 1 + 1 =0 4. กําหนดใหบ ติ ท่ี n-1 ของรหสั เลขฐานสองเปนบติ ท่ี n ซ่ึงพจิ ารณาไดดงั นี้ 4.1 กรณบี ติ ที่ n ยงั ไมเ ทากบั 0 ใหก ลบั ไปขนั้ ตอนที่ 3 4.2 กรณีท่ีบิตที่ n มีคาเทา กับ 0 จบการทํางานโดยคําตอบของรหัสเกรยคอื บิตท่ี n ของรหัสเกรยจะเปน บติ ทมี่ ลี ําดบั ความสาํ คญั สงู สุดเรยี งลงไปจนถงึ บิตท่ี 0 ของรหัสเกรยซ งึ่ เปน บติ ทมี่ ี ลาํ ดบั ความสําคัญตํ่าที่สุด ตวั อยา งท่ี 2-10 จงแปลงจากรหสั เลขฐานสองตอไปนี้ 100112 เปน รหสั เกรย วิธที าํ จากตวั อยางพบวา 100112 มที ัง้ หมด 5 บติ เพราะฉะนน้ั n มีคาเทา กบั 5-1 = 4 การคาํ นวณหา รหัสเกรยส ามารถทาํ ไดด ังน้ี ขั้นตอนท่ี 1 บิตท่ี n ของรหสั เกรยจะมีคา เทากับบติ ท่ี n ของรหสั เลขฐานสอง บติ ที่ 4 3 2 1 0 รหสั 1 0 0 1 1 เลขฐานสอง รหสั เกรย 1 ขัน้ ตอนที่ 2 นาํ บิตที่ 4 และบติ ที่ 3 ของรหสั เลขฐานสองมาบวกกันผลลพั ธทไี่ ดจ ะเปน บิตที่ 3 ของรหสั เกรยไ ดเ ปน 1 (บติ ที่ 4 ของรหสั เลขฐานสอง) + 0 (บติ ท่ี 3 ของรหสั เลขฐานสอง) = 1 (บติ ที่ 3 ของรหัสเกรย) บติ ที่ 4 3 2 1 0 รหสั 1 0 0 1 1 เลขฐานสอง รหัสเกรย 1 1 ขน้ั ตอนที่ 3 กําหนดใหบ ิตท่ี n-1 ของรหัสเลขฐานสองเปนบติ ที่ n เพราะฉะน้ันปจจุบันบิตที่ n คือบติ ท่ี 3 ซึ่งยังมีคา ไมเทา กับ 0 ขั้นตอนที่ 4 นาํ บติ ท่ี 3 และบติ ท่ี 2 ของรหัสเลขฐานสองมาบวกกันผลลัพธท่ีไดจะเปน บิตที่ 2 ของรหสั เกรยไ ดเ ปน 34
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข 0 (บิตที่ 3 ของรหสั เลขฐานสอง) + 0 (บติ ที่ 2 ของรหสั เลขฐานสอง) = 0 (บติ ที่ 2 ของรหสั เกรย) บติ ท่ี 4 3 2 1 0 รหสั 1 0 0 1 1 เลขฐานสอง รหสั เกรย 1 1 0 ขน้ั ตอนที่ 5 กาํ หนดใหบิตที่ n-1 ของรหสั เลขฐานสองเปน บิตท่ี n เพราะฉะน้ันปจ จุบันบิตที่ n คือบติ ท่ี 2 ซ่งึ ยังมีคาไมเทากบั 0 ข้ันตอนที่ 6 นําบติ ที่ 2 และบิตที่ 1 ของรหสั เลขฐานสองมาบวกกนั ผลลัพธที่ไดจะเปน บิตที่ 1 ของรหัสเกรยไดเ ปน 0 (บติ ที่ 2 ของรหสั เลขฐานสอง) + 1 (บติ ที่ 1 ของรหสั เลขฐานสอง) = 1 (บติ ท่ี 1 ของรหัสเกรย) บิตที่ 4 3 2 1 0 รหัส 1 0 0 1 1 เลขฐานสอง รหสั เกรย 1 1 0 1 ข้นั ตอนท่ี 7 กําหนดใหบ ติ ท่ี n-1 ของรหสั เลขฐานสองเปน บติ ท่ี n เพราะฉะนั้นปจจุบันบิตท่ี n คือบิตท่ี 1 ซง่ึ ยังมคี าไมเทากบั 0 ขน้ั ตอนที่ 8 นําบติ ท่ี 1 และบติ ท่ี 0 ของรหัสเลขฐานสองมาบวกกนั ผลลัพธท่ีไดจะเปน บิตที่ 0 ของรหสั เกรยไ ดเ ปน 1 (บิตท่ี 1ของรหัสเลขฐานสอง) + 1 (บติ ที่ 0 ของรหสั เลขฐานสอง) = 0 (บติ ที่ 0 ของรหสั เกรย) บิตท่ี 4 3 2 1 0 รหัส 1 0 0 1 1 เลขฐานสอง รหัสเกรย 1 1 0 1 0 ขั้นตอนที่ 9 กาํ หนดใหบ ติ ท่ี n-1 ของรหสั เลขฐานสองเปนบติ ท่ี n เพราะฉะนน้ั ปจจุบันบติ ที่ n คอื บติ ท่ี 0 ซึ่งมคี า เทากับ 0 แลว เพราะฉะน้นั 100112 = 11010 (Gray Code) 2.5.2 การแปลงจากรหสั เกรยเปน รหสั เลขฐานสอง การแปลงจากรหสั เกรยเปนรหัสเลขฐานสองมขี ัน้ ตอนดังนี้ 1. กําหนดใหบ ติ ทม่ี ีลาํ ดับความสําคัญสูงที่สุดคือ n (จํานวนบิตท้ังหมดของรหสั เกรยลบ ดวย 1) และบิตทม่ี ีลําดับความสาํ คญั ต่าํ ที่สดุ คือ 0 2. บิตท่ี n ของรหสั เลขฐานสองจะมคี า เทากบั บติ ท่ี n ของรหสั เกรย 35
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข 3. นาํ บติ ที่ n ของรหสั เลขฐานสอง บวกกบั บติ ที่ n-1 ของรหสั เกรย ผลลัพธที่ไดจ ะเปน บิต ท่ี n – 1 ของรหสั เลขฐานสองโดยการบวกนั้นจะเปนการบวกแบบเลขฐานสองโดยไมคิดตัวทด เพราะฉะน้ัน 1 + 1 = 0 4. กาํ หนดใหบ ติ ท่ี n-1 ของรหสั เกรย และรหัสเลขฐานสองมาเปนเปนบติ ที่ n ซึ่งพิจารณา ดังนี้ 4.1 กรณบี ติ ท่ี n ยงั ไมเ ทา กบั 0 ใหก ลบั ไปข้นั ตอนท่ี 3 4.2 กรณีทบ่ี ิตท่ี n มคี าเทากบั 0 จบการทาํ งานโดยคําตอบของรหสั เลขฐานสองคอื บติ ท่ี n ของรหัสเลขฐานสองจะเปนบิตที่มีลําดับความสําคัญสูงสุดเรียงลงไปจนถึงบิตที่ 0 ของรหัส เลขฐานสองซง่ึ เปน บติ ทม่ี ลี ําดบั ความสําคญั ตํา่ ที่สุด ตวั อยา งท่ี 2-11 จงแปลงจากรหสั เกรยต อไปนี้ 11100 เปนรหัสเลขฐานสอง วิธที ํา จากตวั อยางพบวา 11100 มีท้งั หมด 5 บิตเพราะฉะนนั้ n มคี าเทากบั 5 - 1 = 4 การคํานวณหา รหัสเลขฐานสองสามารถทาํ ไดด งั นี้ ขนั้ ตอนที่ 1 บติ ท่ี n ของรหสั เลขฐานสองจะมีคาเทา กับบติ ที่ n ของรหสั เกรย บติ ท่ี 4 3 2 1 0 รหสั เกรย 1 1 1 0 0 รหัส 1 เลขฐานสอง ข้ันตอนท่ี 2 นาํ บติ ที่ 4 ของรหสั เลขฐานสองมาบวกกับบติ ท่ี 3 ของรหัสเกรย ผลลัพธท ไ่ี ดจะเปน บิตที่ 3 ของรหสั เลขฐานสองไดเปน 1 (บติ ท่ี 4 ของรหสั เลขฐานสอง) + 1 (บิตที่ 3 ของรหสั เกรย) = 0 (บติ ที่ 3 ของรหัสเลขฐานสอง) บติ ท่ี 4 3 2 1 0 รหัสเกรย 1 1 1 0 0 รหสั 1 0 เลขฐานสอง ขน้ั ตอนที่ 3 กาํ หนดใหบ ติ ที่ n-1 ของรหสั เกรย และรหัสเลขฐานสอง เปนบิตที่ n เพราะฉะน้ัน ปจจุบนั บิตที่ n คอื บติ ท่ี 3 ซึง่ ยงั มีคาไมเทา กับ 0 ขั้นตอนที่ 4 นําบิตท่ี 3 ของรหสั เลขฐานสองมาบวกกบั บิตท่ี 2 ของรหสั เกรย ผลลัพธทไี่ ดจะเปน บิตที่ 2 ของรหสั เลขฐานสองไดเปน 0 (บิตท่ี 3 ของรหสั เลขฐานสอง) + 1 (บิตท่ี 2 ของรหสั เกรย) = 1 (บิตท่ี 2 ของรหสั เลขฐานสอง) 36
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข บิตที่ 4 3 210 รหัสเกรย 1 1 100 1 0 1 รหัส เลขฐานสอง ขน้ั ตอนที่ 5 กําหนดใหบ ติ ที่ n-1 ของรหสั เกรย และรหัสเลขฐานสอง เปน บิตที่ n เพราะฉะน้ัน ปจจบุ นั บิตที่ n คอื บิตท่ี 2 ซง่ึ ยังมีคาไมเทา กับ 0 ขน้ั ตอนท่ี 6 นําบิตที่ 2 ของรหสั เลขฐานสองมาบวกกับบิตที่ 1 ของรหัสเกรย ผลลัพธท ีไ่ ดจ ะเปน บติ ที่ 1 ของรหัสเลขฐานสองไดเ ปน 1 (บิตที่ 2 ของรหสั เลขฐานสอง) + 0 (บติ ที่ 1 ของรหสั เกรย) = 1 (บติ ที่ 1 ของรหัสเลขฐานสอง) บิตที่ 4 3 2 1 0 รหัสเกรย 1 1 1 0 0 รหสั 1 0 1 1 เลขฐานสอง ขนั้ ตอนที่ 7 กําหนดใหบ ติ ที่ n-1 ของรหสั เกรย และรหสั เลขฐานสอง เปนบิตที่ n เพราะฉะนั้น ปจจุบนั บติ ที่ n คือบิตที่ 1 ซึ่งยังมีคา ไมเ ทา กับ 0 ขั้นตอนที่ 8 นําบติ ท่ี 1 ของรหสั เลขฐานสองมาบวกกับบิตท่ี 0 ของรหสั เกรย ผลลัพธท ่ีไดจ ะเปน บติ ที่ 0 ของรหัสเลขฐานสองไดเ ปน 1 (บติ ท่ี 1 ของรหสั เลขฐานสอง) + 0 (บติ ที่ 0 ของรหสั เกรย) = 1 (บติ ท่ี 0 ของรหัสเลขฐานสอง) บติ ท่ี 4 3 2 1 0 รหสั เกรย 1 1 1 0 0 รหัส 1 0 1 1 1 เลขฐานสอง ขน้ั ตอนท่ี 9 กําหนดใหบ ติ ที่ n-1 ของรหัสเกรย และรหสั เลขฐานสอง เปน บติ ท่ี n เพราะฉะนั้น ปจจบุ นั บิตที่ n คอื บติ ท่ี 0 ซึ่งมคี า เทากับ 0 แลว เพราะฉะนัน้ 11100 (Gray Code) = 101112 2.6 รหัสแอสกี (ASCII Code) รหัสแอสกี หรือ ASCII Code มีช่ือเต็มคือ American Standard Code for Information Interchange คือรหัสท่ีประกอบไปดวยกลุมของเลขฐานสองขนาด 7 บิต ซึ่งแตละกลุมของรหัส ดังกลาว จะถูกแทนดวยตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพใ หญ (A - Z), ตวั อกั ษรภาษาอังกฤษพิมพเลก็ (a - z), ตัวเลขอารบกิ (0 - 9) และอักขระอน่ื ๆ โดยที่ รหัส 1 ตวั จะถูกแทนดวยอกั ขระ 1 ตัว เชน 4116 จะหมายถงึ ตัวอักษร “ A” , 6116 จะหมายถึงตัวอกั ษร “ a” เปนตน 37
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ตารางท่ี 2.3 รหสั แอสกที ใี่ ชแ ทนสญั ลกั ษณบ างสว นโดยเปรยี บเทียบกบั เลขฐานสบิ หก เลขฐานสบิ หก สญั ลักษณ เลขฐานสบิ หก สญั ลักษณ เลขฐานสิบหก สัญลักษณ 41 A 61 a 30 0 42 B 62 b 31 1 43 C 63 c 32 2 44 D 64 d 33 3 45 E 65 e 34 4 46 F 66 f 35 5 47 G 67 g 36 6 48 H 68 h 37 7 49 I 69 i 38 8 4A J 6A j 39 9 4B K 6B k 4C L 6C l 4D M 6D m 4E N 6E n 4F O 6F o 50 P 70 p 51 Q 71 q 52 R 72 r 53 S 73 s 54 T 74 t 55 U 75 u 56 V 76 v 57 W 77 w 58 X 78 x 59 Y 79 y 5A Z 7A z ตารางท่ี 2.3 แสดงการเปรียบเทียบคา ระหวางเลขฐานสบิ หก กับสัญลักษณต า งๆ บางสวน โดยท่ี เลขฐานสิบหกขา งตนน้เี กิดจากการแปลงมาจากเลขฐานสองขนาด 7 บิต เชน หากตองการสัญลกั ษณ “ A” กต็ องแทนคา ดว ย 4116 ซึง่ 4116 หากมองในรปู แบบของเลขฐานสองคือ 1000001 (หากตอ งการ แปลงเปนเลขฐานสบิ หกโดยใชว ธิ ลี ดั ใหใสบติ 0 เพิ่มที่ขา งหนา อีก 1 บิตสําหรบั แตละกลุม ของรหัส แอสกีซงึ่ จากตัวอยา งไดเ ปน 01000001 ซง่ึ จะมีคาเทา กบั 4116 เชนเดมิ ) 38
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข ตวั อยางท่ี 2-12 จงแสดงรหสั แอสกตี อไปน้อี อกมาเปน ขอ ความ 4416 4916 4716 4916 5416 4116 4C16 วธิ ที ํา จากตารางที่ 2.3 ไดผลดังน้ี 4416 แทนดวย D 4916 แทนดว ย I 4716 แทนดว ย G 4916 แทนดวย I 5416 แทนดวย T 4116 แทนดวย A 4C16 แทนดว ย L เพราะฉะนนั้ ขอ ความทีไ่ ดค อื DIGITAL ตวั อยา งท่ี 2-13 จงแสดงรหสั แอสกตี อไปนี้ออกมาเปนขอความ 1000011100000110101002 วิธีทํา เนื่องจากโจทยกําหนดเปนรหัสเลขฐานสองเพื่อใหงายในการคํานวณ ควรแปลงจากรหัส เลขฐานสองเปน เลขฐานสบิ หกกอนดังนี้ ข้นั ตอนท่ี 1 แบง รหสั เลขฐานสองออกเปนกลมุ ๆละ 7 บติ โดยแบง จากบติ ทมี่ ีลําดบั ความสาํ คญั ต่าํ สดุ ไปหาบติ ทม่ี ลี ําดบั ความสาํ คญั สงู สดุ คอื 32 1 ไดด งั น้ี 100001110000011010100 กลุมท่ี 1 คอื 1010100 กลมุ ท่ี 2 คือ 1000001 กลมุ ท่ี 3 คือ 1000011 ขนั้ ตอนที่ 2 แปลงจากรหสั เลขฐานสองของแตละกลมุ เปน เลขฐานสบิ หก ไดด งั น้ี กลุมที่ 1 คอื 1010100 = 5416 กลุมท่ี 2 คอื 1000001 = 4116 กลมุ ท่ี 3 คอื 1000011= 4316 ขัน้ ตอนท่ี 3 แทนเลขฐานสิบหกแตละกลมุ ดว ยตวั อักษรทตี่ รงตามตารางท่ี 2.3 ไดด งั นี้ 5416 แทนดว ย T 4116 แทนดว ย A 4316 แทนดวย C เพราะฉะนน้ั ขอ ความท่ไี ดค ือ CAT 2.7 บทสรุป วงจรดิจิทลั จะประมวลผลเพียงรหัสท่ีอยูในรูปแบบรหัสเลขฐานสองเทาน้ัน ซึ่งรหัสมีอยูหลาย ชนิด เชน รหัส BCD – 8421 รหสั เพิม่ 3 รหัสเกรย หรือ รหัสแอสกี เปนตน โดยรหสั เพมิ่ 3 เกิดจาก การบวกคารหัส BCD – 8421 ที่มีขนาด 4 บิต ดวย 3 โดยรหสั เพ่มิ 3 เปน รหสั ทไี่ มมกี ารถวงนาํ้ หนัก เชน เดียวกันกบั รหัสเกรย จึงไมเหมาะในการนํามาคํานวณทางคณิตศาสตร แตถูกนิยมนํามาใชก ับ อุปกรณอินพุต หรือเอาตพุต รหัสแอสกีเปนรหัสมาตรฐานที่ใชแทนตัวอักษรภาษาอังกฤษ รวมถึง อักขระท่ีสําคัญและเปนมาตรฐานตัวอื่นๆ นอกจากน้ันรหัสยังสามารถถูกนํามาใชสําหรับการ 39
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ตรวจสอบขอ ผิดพลาดของขอ มูล ซ่ึงในเอกสารเลม นก้ี ลา วถึงการตรวจสอบความผดิ พลาดดวยวิธี พา รติ คี้ ู และ พารติ ้คี ่ี คําถามทา ยบท 1. รหสั คอื อะไร 2. รหัสเลขฐานสอง และรหัส BCD – 8421 มคี วามแตกตา งกันอยางไร 3. จงแปลงจากรหัสเลขฐานสบิ ตอ ไปนีเ้ ปน รหสั BCD – 8421 3.1) 79 3.2) 94 3.3) 186 3.4) 399 3.5) 4101 4. จงแปลงจากรหสั BCD – 8421 ตอ ไปนีเ้ ปน รหสั เลขฐานสบิ 4.1) 0110011110010101 4.2) 1000010000100001 4,3) 0010001101010110 4.4) 0111100100100111 4.5) 1001011010011001 5. จงแปลงจากรหสั เลขฐานสองตอ ไปนเ้ี ปน รหสั BCD – 8421 5.1) 1011101101 5.2) 11011101111 5.3) 10111011011 5.4) 101101011101 5.5) 10111010101110 6. จงแปลงจากรหสั เลขฐานสบิ หกตอไปนี้เปน รหสั BCD – 8421 6.1) AHF 6.2) 147 6.3) 8A4 6.4) 9F 6.5) 1011 7. จงเตมิ พารติ ค้ี แู ละพารติ ค้ี ี่ ใหกบั รหสั ตอไปนี้ 7.1) 101110 7.2) 101100 7.3) 101101 7.4) 100110 7.5) 111111 40
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ 8. จงแปลงจากรหัสเลขฐานสองตอ ไปนี้เปน รหสั เกรย 8.1) 10111011 8.2) 111101110111 8.3) 101101011 8.4) 101111011 8.5) 1011011111 9. จงแปลงจากรหสั เกรยต อ ไปนเ้ี ปนรหสั เลขฐานสอง 9.1) 101101111011 9.2) 101101101011 9.3) 1011101101111 9.4) 1011110111011 9.5) 1111011110111 10. จงแปลงจากรหัสเลขฐานสิบตอไปน้ีเปนรหสั เกรย 10.1) 75 10.2) 97 10.3) 621 10.4) 854 10.5) 812 11. จงแปลงจากรหสั BCD – 8421 ตอไปนเ้ี ปนรหสั เกรย 11.1) 100110000011 11.2) 01110110 11.3) 10000111 11.4) 000100100011 11.5) 01110110 12. จงแปลงจากขอ ความตอไปนีเ้ ปน รหัสแอสกี 12.1) ELETRONIC 12.2) el ectronic 12.3) ENGINEERING 12.4) engineering 12.5) UDRU 41
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ เอกสารอา งอิง Marcovit z, A. B. (2009). Introduction to Logic Design. New York: McGraw-Hil l . Mark, B. (2003). Com plete Digital Design: A Com prehensive Guide to Digital Electronics and Com puter System Architecture. New York: McGraw-Hil l . David, M. H. (2012).Digital Design and Com puter Architecture. USA: Morgan Kaufm ann. Ram aswam y, P. (2011). Digital System s Design. United Kingdom : London Business School . Morris, M, Michael , D. C. (2006). Digital Design. New Jersey: Prentice-Hal l Int ernational In c. ธวชั ชยั เลือ่ นฉวี และ อนุรกั ษ เถื่อนศิริ. (2527). ดิจติ อลเทคนิคเลม 1.กรงุ เทพฯ: มติ รนราการพมิ พ. มงคล ทองสงคราม. (2544).ทฤษฎีดิจิตอล.กรุงเทพฯ: หา งหนุ สวนจาํ กัด วี.เจ. พร้ินดิง้ . ทมี งานสมารทเลิรนนิ่ง. (2543). ออกแบบวงจร Digital และประยุกตใ ชงาน.กรงุ เทพฯ: หางหุนสวน สามัญสมารทเลริ น นิง่ . 42
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ แผนบรหิ ารการสอนประจําบทท่ี 3 เกตและไอซพี ืน้ ฐาน 1 ช่ัวโมง 30 นาที หวั ขอ เนอื้ หา 3.1 บทนาํ 3.2 ตารางความจรงิ 3.3 แผนผงั เวลา 3.4 แอนดเ กต 3.5 ออรเ กต 3.6 น็อตเกต 3.7 แนนดเ กต 3.8 นอรเ กต 3.9 เอก็ คลซู พี ออรเกต 3.10 เอ็กคลซู พี นอรเ กต 3.11 คุณสมบตั ขิ องเกตพนื้ ฐาน 3.11.1 คาปลอดสัญญาณรบกวน 3.11.2 ความเรว็ ในการทํางาน 3.11.3 การสญู เสียกาํ ลงั 3.11.4 ความสามารถในการตอรวมกนั 3.11.5 กระแสซงิ คและกระแสซอรส 3.12 ไอซีพ้ืนฐาน 3.12.1 ไอซีเบอร 7408 3.12.2 ไอซีเบอร 7432 3.12.3 ไอซีเบอร 7404 3.12.4 ไอซีเบอร 7400 3.12.5 ไอซเี บอร 7402 3.12.6 ไอซเี บอร 7486 3.12.7 ไอซีเบอร 74266 3.13 บทสรปุ วัตถปุ ระสงคเ ชิงพฤตกิ รรม 1. เพื่อใหผ ูเรยี นมคี วามรูความเขา ใจเกย่ี วกบั การใชงานเกตพื้นฐาน 2. เพอ่ื ใหผ ูเรยี นมคี วามรคู วามเขาใจเกยี่ วกบั การใชงานไอซพี นื้ ฐาน 3. เพ่อื ใหผ เู รยี นมคี วามรูค วามเขาใจเกย่ี วกบั ตารางความจรงิ วธิ กี ารสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาํ บท 1. บรรยายเนอ้ื หาในแตล ะหัวขอ พรอมยกตวั อยางประกอบ 43
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ 2. ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน 3. ผูสอนสรุปเน้อื หา 4. ทาํ แบบฝก หดั เพื่อทบทวนบทเรยี น 5. เปด โอกาสใหผ เู รยี นถามขอสงสยั 6. ผสู อนทาํ การซกั ถาม สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจิก 2. ภาพเลื่อน การวดั ผลและการประเมิน 1. ประเมินจากการซักถามในชัน้ เรยี น 2. ประเมินจากความรว มมอื และความรับผดิ ชอบตอการเรยี น 3. ประเมนิ จากการทาํ แบบฝกหดั ทบทวนบทเรยี น 44
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ บทที่ 3 เกตและไอซีพื้นฐาน 3.1 บทนํา ในบทน้จี ะกลาวถงึ เกตและไอซพี ้นื ฐานที่มีการใชง านในระบบดิจิทัล โดยท่ลี กั ษณะของเกตแตละ ชนิดนนั้ จะมีอนิ พุตอยางนอ ย 1 ขา สว นเอาตพ ตุ จะมีเพียง 1 ขาเทาน้ัน ซ่ึงผลลัพธทางเอาตพุตที่ได ออกมาจะมีความแตกตางกันข้ึนอยูกับคุณสมบัติของเกตแตละชนิดโดยใชตารางความจริง (Truth Table) หรือ แผนผังเวลา (Timing Diagram) เปน ตวั บอกคณุ สมบตั ิของเกต กําหนดใหสถานะของอินพุตและเอาตพุตของเกตพน้ื ฐานมีท้ังหมด 2 สถานะ ดงั ตอไปน้ี สถานะ 0 (สายดิน หรือ กราวด) และ สถานะ 1 (แรงดัน 5 โวลต) 3.2 ตารางความจรงิ ตารางความจรงิ คอื ตารางท่ีใชในการแสดงคุณสมบัติของเอาตพ ุตของเกตหรือวงจรแตละชนิด จากความสัมพนั ธของอินพุต ซึ่งเอาตพ ตุ ที่เปนไปไดท้ังหมดจะขึน้ อยกู บั จํานวนของอินพตุ โดยจํานวน ของเอาตพตุ ที่เปน ไปไดท ั้งหมด คอื 2จํานวนอินพุต เชน มอี นิ พุต 3 ตวั จาํ นวนของผลลพั ธของเอาตพ ุตจะ มที ง้ั หมด 3 กรณี เปนตน = 8 2 ตารางท่ี 3.1 ตวั อยางของตารางความจริง อินพุต เอาตพุต AB Y 00 1 01 1 10 0 11 1 ตารางที่ 3.1 แสดงตัวอยางของตารางความจริงที่มีอินพตุ 2 ตัว เพราะฉะน้ันของผลลัพธข อง เอาตพุตจะมีทั้งหมด 2 กรณดี ังน้ี = 4 2 อินพตุ A = 0, อนิ พุต B = 0 จะไดเ อาตพ ตุ Y = 1 อินพตุ A = 0, อินพตุ B = 1 จะไดเ อาตพ ตุ Y = 1 อนิ พตุ A = 1, อนิ พตุ B = 0 จะไดเ อาตพตุ Y = 0 อนิ พุต A = 1, อินพตุ B = 1 จะไดเ อาตพตุ Y = 1 3.3 แผนผังเวลา แผนผงั เวลา คือ แผนผังทีถ่ ูกนํามาใชสาํ หรบั พจิ ารณาความสัมพันธระหวางสถานะของสัญญาณ อินพุตทงั้ หมดและสถานะของสัญญาณเอาตพุตทง้ั หมดทเี่ กดิ ขึ้นในแตล ะชวงเวลา 45
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ อนิ พุต A v t อนิ พุต B t เอาตพ ุต Z 1 t 0 v 1 0 v 1 0 t1 t2 t3 t4 รูปท่ี 3.1 ตัวอยา งแผนผงั เวลา จากรปู ท่ี 3.1 แสดงตวั อยา งของแผนผงั เวลาจากความสมั พันธข องอนิ พุตและเอาตพุตทั้งหมดที่ เกิดขนึ้ ในแตละชวงเวลา ดงั นี้ ชว งเวลา t1: อนิ พุต A = 0, อนิ พตุ B = 0 จะไดเ อาตพ ตุ Z = 0 ชว งเวลา t2: อินพุต A = 1, อินพุต B = 0 จะไดเ อาตพตุ Z = 1 ชว งเวลา t3: อนิ พตุ A = 0, อินพตุ B = 1 จะไดเ อาตพตุ Z = 1 ชว งเวลา t4: อินพุต A = 1, อินพุต B = 0 จะไดเ อาตพตุ Z = 1 3.4 แอนดเกต (AND GATE) แอนดเกต คอื เกตทม่ี ีอนิ พตุ อยา งนอย 2 ขา และมีเอาตพตุ เพยี ง 1 ขา โดยการทาํ งานของแอนด เกตคือ เอาตพุตมคี า เปน 1 ไดกต็ อเมือ่ อินพตุ ทุกขาจะตอ งมคี าเปน 1 แตหากมีอนิ พตุ อยางนอย 1 ขา มคี าเปน 0 แลว จะทาํ ใหเ อาตพตุ มคี า ออกมาเปน 0 ในทันที แอนดเกตจะใชส ัญลกั ษณ “ .” แทนความหมายของการ แอนด เชน หากสมมตวิ า เปนแอนดเกต แบบอนิ พุต 2 ขา โดยมีตวั แปร A และ ตวั แปร B เปนอินพุต และมีตวั แปร Z เปนเอาตพตุ จะเขียน เปน สมการไดด ังนี้ Z = A.B หรอื หากเปนแอนดเกตแบบอินพตุ 3 ขา โดยมีตัวแปร A ตัวแปร B และ ตัวแปร C เปนอนิ พตุ และมตี วั แปร Z เปนเอาตพุต จะเขียนเปนสมการไดดังนี้ Z = A.B.C สําหรับ การเขียนสมการของการแอนดอาจจะตัดสัญลักษณ “ .” ท้ิงไดเชน การแอนดแบบอินพุตท่ีมี 2 ขา เขียนสมการไดเปน Z = AB เปนตน ตารางที่ 3.2 ตารางความจรงิ ของแอนดเกต อนิ พตุ เอาตพ ตุ AB Z = AB 00 0 01 0 10 0 11 1 46
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ตารางที่ 3.2 แสดงตารางความจรงิ ของแอนดเ กตแบบอนิ พตุ 2 ขา อธิบายไดดงั นี้ อนิ พุต A = 0, อนิ พตุ B = 0 จะไดเอาตพ ตุ Z = 0 อินพตุ A = 0, อินพุต B = 1 จะไดเ อาตพตุ Z = 0 อินพตุ A = 1, อนิ พตุ B = 0 จะไดเ อาตพตุ Z = 0 อนิ พุต A = 1, อนิ พุต B = 1 จะไดเอาตพ ตุ Z = 1 (a) (b) รปู ที่ 3.2 สญั ลกั ษณของแอนดเกต รูปท่ี 3.2 แสดงสัญลักษณของแอนดเกต โดยท่ี (a) แสดงสญั ลักษณของแอนดเกตท่มี อี นิ พตุ แบบ 2 ขา และ (b) แสดงแอนดเกตท่มี อี นิ พุตแบบ 3 ขา ตัวอยางท่ี 3-1 จากไดอะแกรมแสดงเวลา (Timing Diagram) ของแอนดเ กตทม่ี อี นิ พตุ แบบ 2 ขา ตอ ไปนี้จงหาเอาตพ ุตท่เี กดิ ขึน้ ในแตล ะชวงเวลา อินพตุ A v 1 t 0 อินพุต B v 1 t 0 t1 t2 t3 t4 วิธที าํ จากไดอะแกรมแสดงเวลาสามารถคํานวณหาเอาตพตุ แตละชว งเวลาไดด ังน้ี ชว งเวลา t1 อินพตุ A มคี า เปน 1 อินพตุ B มคี า เปน 0 ไดเ อาตพตุ เปน 0 ชว งเวลา t2 อนิ พตุ A มีคาเปน 1 อินพุต B มคี า เปน 1 ไดเ อาตพ ตุ เปน 1 ชวงเวลา t3 อินพุต A มีคาเปน 0 อนิ พตุ B มคี า เปน 1 ไดเอาตพตุ เปน 0 ชวงเวลา t4 อินพุต A มีคาเปน 1 อนิ พุต B มคี า เปน 0 ไดเ อาตพตุ เปน 0 จากเอาตพ ุตท่ไี ดม าในแตล ะชว งเวลา จึงสามารถเขยี นออกมาเปน ไดอะแกรมแสดงเวลาไดด ังนี้ อนิ พตุ A v t อนิ พุต B t เอาตพ ตุ Z 1 t 0 47 v 1 0 v 1 0 t1 t2 t3 t4
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข 3.5 ออรเกต (OR GATE) ออรเ กต คือเกตท่มี อี ินพตุ อยา งนอ ย 2 ขา และมีเอาตพ ตุ เพียง 1 ขาเชนเดยี วกบั แอนดเกต โดย การทํางานของออรเกตจะทําใหเ อาตพ ุตมคี า เปน 1 ไดก ็ตอเม่ือมีอินพุตอยางนอย 1 ขาที่มีคาเปน 1 และจะทาํ ใหเ อาตพตุ มคี า เปน 0 ไดก ต็ อเม่ืออนิ พุตทุกขามคี า เปน 0 ออรเ กตจะใชส ัญลกั ษณ “ +” แทนความหมายของการ ออร เชน หากสมมติวา เปนออรเ กตแบบ อนิ พตุ 2 ขา โดยมตี วั แปร A และ ตวั แปร B เปน อินพุต และมีตัวแปร Z เปนเอาตพุต จะเขียนเปน สมการไดด งั นี้ Z = A + B หรอื หากเปน ออรเ กตแบบอนิ พุต 3 ขา โดยมตี ัวแปร A ตวั แปร B และ ตัว แปร C เปน อนิ พตุ และมีตวั แปร Z เปน เอาตพ ตุ จะเขยี นเปน สมการไดดังน้ี Z = A + B + C ตารางที่ 3.3 ตารางความจริงของออรเ กต อินพุต เอาตพตุ AB Z = A+ B 00 0 01 1 10 1 11 1 ตารางที่ 3.3 แสดงตารางความจริงของออรเ กตแบบอนิ พตุ 2 ขา อธิบายไดด งั นี้ อินพุต A = 0, อินพุต B = 0 จะไดเ อาตพตุ Z = 0 อินพุต A = 0, อินพตุ B = 1 จะไดเ อาตพ ตุ Z = 1 อนิ พุต A = 1, อนิ พุต B = 0 จะไดเ อาตพตุ Z = 1 อนิ พุต A = 1, อนิ พุต B = 1 จะไดเ อาตพ ตุ Z = 1 (a) (b) รปู ที่ 3.3 สัญลักษณข องออรเ กต รูปที่ 3.3 แสดงสญั ลักษณข องออรเ กต โดยท่ี (a) แสดงสญั ลกั ษณข องออรเกตทมี่ อี นิ พตุ แบบ 2 ขา และ (b) แสดงออรเกตทมี่ อี นิ พตุ แบบ 3 ขา ตวั อยางที่ 3-2 จากไดอะแกรมแสดงเวลาของออรเ กตท่มี อี นิ พุตแบบ 2 ขาตอไปนี้จงหาเอาตพ ตุ ที่ เกดิ ข้นึ ในแตล ะชว งเวลา 48
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ v t t อนิ พุต A 1 0 v อินพุต B 1 0 t1 t2 t3 t4 วิธที ํา จากไดอะแกรมแสดงเวลาสามารถคํานวณหาเอาตพตุ แตละชวงเวลาไดด ังน้ี ชวงเวลา t1 อนิ พุต A มีคา เปน 0 อนิ พตุ B มคี าเปน 0 ไดเ อาตพ ตุ เปน 0 ชว งเวลา t2 อนิ พุต A มีคา เปน 1 อินพตุ B มคี าเปน 1 ไดเอาตพ ตุ เปน 1 ชวงเวลา t3 อินพตุ A มคี าเปน 1 อินพตุ B มคี าเปน 0 ไดเอาตพ ตุ เปน 1 ชว งเวลา t4 อนิ พุต A มีคาเปน 1 อินพตุ B มคี าเปน 1 ไดเอาตพตุ เปน 1 จากเอาตพ ุตที่ไดม าในแตล ะชว งเวลา จึงสามารถเขยี นออกมาเปนไดอะแกรมแสดงเวลาไดด ังนี้ อินพุต A v t อินพุต B t 1 0 v 1 0 เอาตพ ุต Z v 1 t 0 t1 t2 t3 t4 3.6 น็อตเกต (NOT GATE) นอ็ ตเกต คือเกตทมี่ อี ินพุต 1 ขา และมีเอาตพุต 1 ขา โดยการทาํ งานของนอ็ ตเกตคือ เอาตพุตจะ มีคาเปนตรงกันขา มกับอินพิตเสมอ เชน หากอินพุตมีคาเปน 0 เอาตพุตจะมีคาเปน 1 หรือ หาก อินพตุ มีคา เปน 1 เอาตพตุ จะมีคาเปน 0 หากสมมติวา ตัวแปร A เปนอินพตุ ของนอ็ ตเกต เอาตพ ตุ ของนอ็ ตเกตเขยี นไดด งั นี้ A ตารางที่ 3.4 ตารางความจริงของนอ็ ตเกต อินพตุ เอาตพุต AA 01 10 49
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ตารางท่ี 3.4 แสดงตารางความจรงิ ของนอ็ ตเกต อธบิ ายไดด งั นี้ อินพตุ A = 0 จะไดเ อาตพ ตุ A = 1 อนิ พุต A = 1จะไดเอาตพ ตุ A = 0 รูปที่ 3.4 สัญลกั ษณข องนอ็ ตเกต 3.7 แนนดเ กต (NAND GATE) แนนดเกต คือเกตที่มีอนิ พุตอยา งนอย 2 ขา และมีเอาตพตุ เพยี ง 1 ขา โดยการทาํ งานของแนนด เกต คือเอาตพ ตุ มีคา เปน 0 กต็ อเมอ่ื อินพุตทกุ ขาจะตองมคี าเปน 1 แตหากมอี นิ พตุ อยา งนอย 1 ขามี คาเปน 0 แลว จะทาํ ใหเอาตพ ตุ มคี า ออกมาเปน 1 ในทันที หากสมมติวา เปน แนนดเกตแบบอนิ พุต 2 ขา โดยมตี ัวแปร A และ ตวั แปร B เปนอินพุต และมี ตัวแปร Z เปนเอาตพ ุต จะเขียนเปน สมการไดดังนี้ Z = A.B หรือ หากเปนแนนดเกตแบบอินพุต 3 ขา โดยมตี ัวแปร A ตวั แปร B และ ตวั แปร C เปน อินพุต และมตี ัวแปร Z เปน เอาตพตุ จะเขียนเปน สมการไดดงั น้ี Z = A.B.C ตารางท่ี 3.5 ตารางความจรงิ ของแนนดเ กต อินพตุ เอาตพุต AB Z = A.B 00 1 01 1 10 1 11 0 ตารางที่ 3.5 แสดงตารางความจริงของแนนดเกตแบบอนิ พตุ 2 ขา อธิบายไดด งั น้ี อนิ พุต A = 0, อนิ พุต B = 0 จะไดเอาตพ ตุ Z = 1 อนิ พตุ A = 0, อินพตุ B = 1 จะไดเ อาตพ ตุ Z = 1 อินพุต A = 1, อินพตุ B = 0 จะไดเอาตพ ตุ Z = 1 อนิ พุต A = 1, อินพตุ B = 1 จะไดเอาตพ ตุ Z = 0 (a) (b) รปู ที่ 3.5 สญั ลกั ษณของแนนดเกต 50
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข รูปท่ี 3.5 แสดงสญั ลักษณข องแนนดเ กต โดยท่ี (a) แสดงสญั ลกั ษณข องแนนดเ กตทีม่ อี ินพตุ แบบ 2 ขา และ (b) แสดงแนนดเ กตทม่ี อี ินพตุ แบบ 3 ขา สัญลกั ษณของแนนดเกตจะมีความคลายคลึงกับสญั ลักษณข องแอนดเกต ตางกันเพียงที่แนนด เกตจะมวี งกลมวงเลก็ ๆที่ตาํ แหนงปลายของเอาตพุต โดยที่จรงิ แลวนั้นเอาตพตุ ของแนนดเ กตเปน สว น กลับของเอาตพ ุตของแอนดเกตนั่นเอง โดยที่สวนกลับของแอนดเกตสามารถทําไดอีกวิธีโดยนํา เอาตพตุ ของแอนดเกดิ มาเปน อินพตุ ใหกบั น็อตเกต (a) (b) รูปท่ี 3.6 เปรียบเทยี บการใชงานแนนดเ กต รูปท่ี 3.6 แสดงใหเหน็ วาเอาตพุต Z ของแนนดเกต (a) และ เอาตพุต Z ที่เกิดจากการนํา เอาตพุตของแอนดเกตมาเปนอินพุตใหกับน็อตเกต (b) นั้นมีคาเทากัน เพราะฉะนั้นหากผูใชงาน ตองการตอ วงจรดังรูปที่ 3.6(b) แตไมมีแอนดเกต (หรือไมมีน็อตเกต) ผใู ชงานสามารถใชแนนดเกต แทนได หรอื ในทางกลับกัน หากผใู ชงานตองการใชงานแนนดเกต แตไมม ีแนนดเ กตผูใชงานสามารถ ตอวงจรดังรปู ท่ี 3.6(b) แทนได ตัวอยางท่ี 3-3 จากไดอะแกรมแสดงเวลาของตอไปน้จี งหาเอาตพตุ ท่เี กดิ ข้นึ ในแตล ะชว งเวลา ของ แอนดเกต และแนนดเกต อินพุต A v 1 t 0 อินพุต B v 1 t 0 t1 t2 t3 t4 วิธที ํา จากไดอะแกรมแสดงเวลาสามารถคํานวณหาเอาตพตุ แตล ะชว งเวลาไดด ังน้ี ชว งเวลา t1 อินพุต A มคี า เปน 1 อนิ พตุ B มคี า เปน 0 ไดเ อาตพตุ แอนดเกตเปน 0, ไดเอาตพ ตุ แนนดเกตเปน 1 ชวงเวลา t2 อินพตุ A มีคา เปน 1 อินพตุ B มคี า เปน 1 ไดเ อาตพ ตุ แอนดเกตเปน 1, ไดเ อาตพ ตุ แนนดเกตเปน 0 ชว งเวลา t3 อินพุต A มีคาเปน 0 อินพุต B มคี าเปน 1 ไดเ อาตพ ตุ แอนดเกตเปน 0, ไดเ อาตพ ตุ แนนดเกตเปน 1 ชวงเวลา t4 อินพตุ A มีคา เปน 1 อินพตุ B มคี าเปน 0 ไดเอาตพตุ แอนดเกตเปน 0, ไดเอาตพ ตุ แนนดเกตเปน 1 51
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข จากเอาตพ ตุ ทไ่ี ดม าในแตล ะชว งเวลา จึงสามารถเขยี นออกมาเปนไดอะแกรมแสดงเวลาได ดงั น้ี อินพุต A v t อนิ พุต B t เอาตพตุ (แอนดเ กต) 1 t เอาตพุต (แนนดเกต) t 0 v 1 0 v 1 0 v 1 0 t1 t2 t3 t4 จากไดอะแกรมแสดงเวลาของเอาตพุตทง้ั สองแสดงใหเ หน็ วา เอาตพุตของแอนดเกตและเอาตพ ตุ ของแนนดเกตจะมีคา ตรงกนั ขา มกนั เสมอ ขอ ดขี องแนนดเกตคือ สามารถนาํ แนนดเกตไปดัดแปลงเปนเกตชนิดอ่นื ๆไดท ัง้ หมดไมว า จะเปน แอนดเกต ออรเกต น็อตเกต รวมถงึ เกตชนิดอนื่ ๆท่ีอยางไมไดกลา วถงึ จากความสามารถดงั กลา วนีจ้ งึ สามารถเรยี กแนนดเกตอีกชือ่ หนึง่ คือ ยนู ิเวอรแ ซลเกต ซง่ึ วธิ กี ารนําแนนดเกตไปตอเปน เกตชนดิ อน่ื ๆ นน้ั จะกลาวถึงในบทถัดไป 3.8 นอรเ กต (NOR GATE) นอรเ กต คือเกตที่มีอินพตุ อยางนอ ย 2 ขา และมเี อาตพุตเพยี ง 1 ขา โดยการทาํ งานของนอรเกต คือเอาตพุตมีคา เปน 1ก็ตอเมื่ออนิ พตุ ทุกขาจะตองมีคาเปน 0 แตห ากมีอนิ พตุ อยางนอ ย 1 ขามคี า เปน 1 แลว จะทําใหเอาตพุตมคี า ออกมาเปน 0 ในทันทีโดยสามารถนํานอรเกตมาตอเพ่ือใชงานแทนเกต ชนดิ อื่นๆไดเชน เดยี วกันกบั แนนดเกต หากสมมตวิ าเปนนอรเ กตแบบอนิ พตุ 2 ขา โดยมตี ัวแปร A และ ตวั แปร B เปน อินพุต และมตี วั แปร Z เปนเอาตพ ตุ จะเขยี นเปนสมการไดดงั น้ี Z = A+ B หรือ หากเปนนอรเกตแบบอินพุต 3 ขา โดยมีตัวแปร A ตัวแปร B และ ตัวแปร C เปนอินพุต และมีตัวแปร Z เปนเอาตพุต จะเขียนเปน สมการไดดงั นี้ Z = A + B+ C 52
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ตารางท่ี 3.6 ตารางความจริงของนอรเ กต อนิ พุต เอาตพตุ AB Z = A+B 00 1 01 0 10 0 11 0 ตารางที่ 3.6 แสดงตารางความจรงิ ของนอรเ กตแบบอินพตุ 2 ขา อธบิ ายไดด งั น้ี อินพุต A = 0, อินพตุ B = 0 จะไดเ อาตพ ตุ Z = 1 อนิ พุต A = 0, อินพตุ B = 1 จะไดเอาตพตุ Z = 0 อินพตุ A = 1, อนิ พุต B = 0 จะไดเ อาตพตุ Z = 0 อินพตุ A = 1, อินพุต B = 1 จะไดเอาตพตุ Z = 0 (a) (b) รูปที่ 3.7 สญั ลักษณข องนอรเ กต รปู ท่ี 3.7 แสดงสญั ลักษณข องนอรเกต โดยที่ (a) แสดงสญั ลักษณข องนอรเ กตท่ีมีอนิ พุตแบบ 2 ขา และ (b) แสดงนอรเกตที่มอี ินพุตแบบ 3 ขา สญั ลกั ษณข องนอรเ กตจะมคี วามคลา ยคลงึ กับสัญลกั ษณข องออรเ กต ตางกนั เพยี งทนี่ อรเ กตจะมี วงกลมวงเลก็ ๆท่ีตําแหนงปลายของเอาตพตุ โดยที่จริงแลว น้นั เอาตพตุ ของนอรเ กตเปนสว นกลับของ เอาตพ ตุ ของออรเกตน่ันเอง โดยทส่ี ว นกลับของออรเ กตสามารถทําไดอีกวิธีโดยนําเอาตพุตของออร เกดิ มาเปนอนิ พุตใหก ับนอ็ ตเกต (b) (a) รปู ที่ 3.8 เปรียบเทยี บการใชงานนอรเ กต รปู ท่ี 3.8 แสดงใหเห็นวาเอาตพ ุต Z ของนอรเ กต (a) และ เอาตพ ตุ Z ทเี่ กดิ จากการนาํ เอาตพ ตุ ของออรเกตมาเปนอนิ พตุ ใหก ับน็อตเกต (b) นนั้ มีคาเทา กัน เพราะฉะนน้ั หากผูใชง านตองการตอ วงจร ดังรูปที่ 3.8(b) แตไมมีออรเกต (หรือไมมีน็อตเกต) ผูใชงานสามารถใชนอรเกตแทนได หรือในทาง 53
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข กลบั กัน หากผใู ชงานตองการใชง านนอรเ กต แตไมมีนอรเ กตผใู ชง านสามารถตอวงจรดังรูปที่ 3.8(b) แทนได 3.9 เอก็ คลซู พี ออรเ กต (Exclusive OR GATE) เอ็กคลูซีพออรเกต หรือนิยมเรียกอีกช่ือวา เอ็กออร (XOR) คือเกตที่มีอินพุต 2 ขา และมี เอาตพตุ เพียง 1 ขา โดยการทํางานของเอ็กออรเกต คือเอาตพุตมีคาเปน 0 ก็ตอเม่ืออินพุตทุกขา จะตอ งมคี าเทา กัน แตห ากมอี นิ พตุ มีคา แตกตางกันแลว จะทาํ ใหเอาตพ ุตมคี า ออกมาเปน 1 ในทันที สมมติตวั แปร A และ ตัวแปร B เปน อินพุต และมีตวั แปร Z เปนเอาตพุต จะเขียนเปนสมการได ดงั นี้ Z = A B ตารางที่ 3.7 ตารางความจริงของเอก็ คลูซพี ออรเ กต อนิ พตุ เอาตพ ตุ AB Z = AB 00 0 01 1 10 1 11 0 ตารางท่ี 3.7 แสดงตารางความจรงิ ของเอ็กออรเกตแบบอนิ พตุ 2 ขา อธิบายไดด งั น้ี อนิ พุต A = 0, อนิ พุต B = 0 จะไดเอาตพตุ Z = 0 อนิ พตุ A = 0, อินพุต B = 1 จะไดเอาตพตุ Z = 1 อนิ พุต A = 1, อินพตุ B = 0 จะไดเ อาตพตุ Z = 1 อินพุต A = 1, อินพุต B = 1 จะไดเอาตพตุ Z = 0 รูปที่ 3.9 สญั ลกั ษณข องเอก็ คลซู ีพออรเกต 3.10เอก็ คลซู พี นอรเ กต (Exclusive NOR GATE) เอ็กคลูซีพนอรเกต หรือนิยมเรียกอีกช่ือวา เอ็กนอร (XNOR) คือเกตที่มีอินพุต 2 ขา และมี เอาตพตุ เพียง 1 ขา โดยการทํางานของเอ็กนอรเ กต คือเอาตพ ุตมีคาเปน 0 ก็ตอเมื่ออินพุตทุกขา จะตองมีคาแตกตางกัน แตหากอินพุตทุกตัวมีคาเทากันแลวจะทําใหเอาตพุตมีคาออกมาเปน 1 ในทันที ซง่ึ เอ็กนอรเกตเปรียบเสมือนเปนนิเสธของ เอก็ ออรเกต นนั่ เอง สมมตติ ัวแปร A และ ตัวแปร B เปน อินพตุ และมีตัวแปร Z เปน เอาตพ ตุ จะเขียนเปนสมการได ดงั นี้ Z = A B 54
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข ตารางท่ี 3.8 ตารางความจริงของเอ็กคลูซพี นอรเกต อนิ พุต เอาตพุต AB Z = AB 00 1 01 0 10 0 11 1 ตารางท่ี 3.8 แสดงตารางความจริงของเอก็ นอรเกตแบบอินพุต 2 ขา อธบิ ายไดด งั นี้ อนิ พุต A = 0, อนิ พตุ B = 0 จะไดเอาตพ ตุ Z = 1 อนิ พตุ A = 0, อนิ พตุ B = 1 จะไดเ อาตพตุ Z = 0 อินพตุ A = 1, อนิ พตุ B = 0 จะไดเอาตพตุ Z = 0 อินพตุ A = 1, อนิ พตุ B = 1 จะไดเอาตพ ตุ Z = 1 รปู ท่ี 3.10 สญั ลกั ษณข องเอ็กคลซู พี นอรเ กต 3.11คุณสมบตั ิของเกตพื้นฐาน คณุ สมบตั ทิ ส่ี ําคญั ของเกตพ้นื ฐานแตล ะชนดิ ทคี่ วรทราบแบงออกเปน 5 คุณสมบตั ิ ดงั น้ี 3.11.1 คา ปลอดสัญญาณรบกวน (noise imm unity) คาปลอดสัญญาณรบกวน คอื ชวงของแรงดันที่ยังคงยอมรับไดวาเปนระดับลอจิกตํ่า หรอื ระดบั ลอจกิ สงู แบงออกเปน 2 ประเภท ดงั น้ี ชว งปลอดสญั ญาณรบกวนระดับสูง = VOH,min – VIH,min โดย VIH, min คือ คาต่ําสดุ ของแรงดันอนิ พตุ ทย่ี อมรับไดว าเปนระดบั ลอจกิ สงู VOH, min คอื คาตา่ํ สดุ ของแรงดนั เอาตพ ตุ ทย่ี อมรบั ไดว าเปนระดบั ลอจกิ สงู ชวงปลอดสัญญาณรบกวนระดับต่าํ = VOL,max – VIL,max โดย VIL, max คอื คาสงู สดุ ของแรงดนั อินพตุ ทยี่ อมรับไดว า เปน ระดบั ลอจกิ ตํ่า VOL, max คอื คาสงู สดุ ของแรงดันเอาตพตุ ทย่ี อมรบั ไดวา เปนระดบั ลอจกิ ตํา่ 55
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข ตวั อยา งที่ 3-4 เกตพนื้ ฐานชนดิ หนง่ึ มคี าตาํ่ สดุ ของแรงดนั อนิ พุตที่ยอมรบั ไดว าเปน ระดับลอจิกสูงคือ 2V และ คา ต่าํ สดุ ของแรงดนั เอาตพ ตุ ทยี่ อมรับไดว าเปนระดับลอจิกสงู 2.4V จงหาชวงปลอดสญั ญาณ รบกวนระดบั สงู วิธีทํา จากตวั อยางกําหนดให VIH, min = 2V และ VOH, min = 2.4V ไดว า ชวงปลอดสญั ญาณรบกวนระดับสูง = VOH,min – VIH,min = 2.4V – 2V = 0.4V 3.11.2 ความเรว็ ในการทํางาน (Speed of Operation) ความเรว็ ในการทาํ งาน คือ ชวงเวลาที่ชวงท่ีเอาตพุตจะตองเปล่ียนสถานะตามอินพุต หรือทน่ี ยิ มเรยี กวาเวลาหนว ง (Delay Time) 3.11.3 การสญู เสียกาํ ลัง (Power Dissipation) การสูญเสยี กาํ ลงั คอื คาของกําลงั ไฟฟา ท่ีเกตพืน้ ฐานแตล ะชนดิ ตอ งการเพอ่ื ใหส ามารถ ทํางานได 3.11.4 ความสามารถในการตอรวมกัน ความสามารถในการตอ รว มกนั คือ ความสามารถสูงสุดในการรับอินพุตหรือตัวแปรท่ี แตกตางกัน (Fan-In) และความสามารถสงู สดุ ในการตอโหลดท่ีเอาตพ ุตของเกต (Fan-Out) 3.11.5 กระแสซงิ คแ ละกระแสซอรส (Current Sink and Current Source) กระแสซงิ คและกระแสซอรส คือ การเกิดกระแสท่ไี หลจากอินพุตของเกตตัวหน่ึงไปยัง เอาตพ ุตของเกตตวั อนื่ ๆ เรยี กวา กระแสซิงค หรือ การเกิดกระแสทไี่ หลจากเอาตพุตของเกตตัวหนึ่ง ไปยังอินพตุ ของเกตตัวอ่ืนๆ เรียกวา กระแสซอรส 3.12ไอซีพน้ื ฐาน เนื่องจากวงจรดจิ ทิ ลั แตละวงจรนน้ั จะมีการใชง านเกตอยูเ ปนจํานวนมาก ทาํ ใหการนาํ เกตแตละ ชนิดมาตอ ใชง านจะมคี วามยงุ ยากมากยง่ิ ขึ้น ดังนัน้ จงึ นาํ เกตแตล ะชนิดบรรจลุ งในไอซี ซ่ึงทําใหไ อซี 1 ตวั ประกอบดว ยเกตอยา งนอ ย 1 ชนิดท่ีมีจํานวนมากกวา 1 ตวั เชน ไอซีตระกูลทีทแี อล (TTL) เบอร 7400 จาํ นวน 1 ตัวจะประกอบไปดวยแนนดเกตทั้งหมด 4 ตัว เปน ตน 14 13 12 11 10 9 8 1 2 34 56 7 รปู ท่ี 3.11 ตวั อยา งแบบจาํ ลองไอซี 56
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข จากรปู ท่ี 3.11 แสดงตัวอยา งแบบจําลองของไอซที ่ีนยิ มนํามาใชเรียกวาตัวถังแบบเสนคู (Dual in Line Package: DIP) โดยตาํ แหนงขาแตล ะตาํ แหนง พจิ ารณาไดจากจุดวงกลมสขี าว ซึง่ ตาํ แหนงที่ อยูติดกบั จดุ วงกลมสขี าวจะเปน ตาํ แหนง ขาหมายเลขหน่ึงและเรยี งไปในทศิ ทวนเข็มนาฬกิ าจนครบทุก ขา โดยตระกูลของไอซที ี่ใชงานทางดานดิจิทัลถูกแบงออกเปน 2 ชนิดหลัก คือ ไอซีตระกูลทีทีแอล (TTL) และ ไอซตี ระกูลซมี อส (CMOS) 1. ไอซีตระกูลทที ีแอล: TTL ยอ มาจาก Transistor – transistor Logic เปน ไอซีที่ไดรับความ นิยมมากในปจ จุบัน เนื่องจากทํางานไดรวดเร็ว และมีราคาไมแพง โดยไอซีตระกูลน้ีจะมีหมายเลข ข้นึ ตนดว ย “ 74” หรือ “ 54” เสมอ และตัวเลขท่ีตามหลังจะเปนตัวบอกวาเปนไอซีทีทีแอลชนิดใด เชน 7400 เปน ไอซชี นิดแนนดเกต หรือ 7408 เปน ไอซีชนดิ แอนดเกต เปนตน โดยไอซีตระกลู ทที แี อล จะถูกแบงออกเปน ทั้งหมด 6 กลมุ ดังน้ี 1.1 ทีทีแอลมาตรฐาน: ขึน้ ตน ดว ย 54 หรือ 74 โดยใชความถีส่ ูงสดุ 20MHz 1.2 ทที แี อลกาํ ลังสูญเสยี ต่าํ : ขึ้นตนดว ย 54L หรอื 74L โดยไอซีชนิดน้ีจะมีอัตราการสญู เสีย กําลงั ไฟฟาทตี่ าํ่ กวา ทที แี อลมาตรฐานถงึ 10 เทา 1.3 ทีทแี อลความเร็วสูง: ขน้ึ ตน ดว ย 54H หรือ 74H โดยไอซีชนิดนจี้ ะมีความเรว็ สงู กวาไอซี ทีทแี อลแบบมาตรฐานซง่ึ ใชเวลาในการเปลีย่ นสภาวะเพียง 6ns แตม ีอตั ราการสญู เสียกําลงั ไฟฟา ทต่ี าํ่ กวาไอซที ีทแี อลมาตรฐาน 1.4 ชอตตกกี าํ ลงั ตา่ํ : ข้ึนตนดวย 74LS เปนไอซีท่ีใชกําลังไฟฟาตํ่าและมีความเร็วท่ีสูงเม่ือ เปรียบเทียบกับไอซีทีทแี อลความเรว็ สูง 1.5 แอดวานซชอตตก ีกําลังตํ่าทีทีแอล: ขึ้นตนดวย 74ALS กินกําลังไฟฟาตํ่ากวาชอตตกี กาํ ลงั ตํ่าโดยไอซชี นดิ นจี้ ะกนิ กําลังไฟฟาเพียง 1mW และมีเวลาหนวงเหลือเพียง 4ns ตอเกต 1 ตัว โดยไอซีชนดิ น้เี ปนไอซที พ่ี ัฒนาตอ มาจากกวา ชอตตกีกาํ ลังตาํ่ 1.6 ฟาสตทที แี อล: ไอซที ี่มีความเรว็ สูงกวา แอดวานซชอตตกีกําลงั ตาํ่ ทที ีแอล โดยจะข้นึ ตน ดวย 74F 5V ‘ 1’ 2V 0.8V ‘ 0’ 0V รปู ท่ี 3.12 ระดบั ลอจกิ ของไอซีตระกลู ทีทแี อล จากรปู ที่ 3.12 แสดงระดับลอจกิ ของไอซีตระกูลทที แี อลโดยทคี่ าแรงดนั ท่ถี ูกนาํ ไปเปนไฟเลยี้ งให ไอซที ที ีแอลจะตองไมเกิน 5V หากแรงดนั ทป่ี อ นเขาสูไอซมี ีคา อยูระหวาง 0 – 1.5V จะถูกกําหนดให เปน ระดับลอจิกต่ํา หรือ “ 0” หากแรงดันท่ีปอนเขาสูไอซีมคี าอยูระหวาง 2 – 5V จะถูกกําหนดให เปนระดับลอจิกสูง หรือ “ 1” แตหากเปนแรงดันที่อยูในชวง 0.8 – 2V จะถูกกําหนดใหเปนระดับ ลอจิกท่ีไมแ นน อน 57
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข 2. ไอซตี ระกลู ซมี อส: CMOS ยอ มาจาก Complementary Metal Oxide Silicon เปน ไอซีที่ ใชทรานซสิ เตอรแบบเฟตเปนตัวออกแบบวงจรภายใน จุดเดนคือวงจรมีขนาดเล็ก และใชพลังงาน ไฟฟาตํ่า แตอยางไรก็ตามซีมอสจะมีความเร็วท่ีตํ่าและมีชนิดของวงจรใหเลือกใชงานนอย เมื่อ เปรียบเทยี บกับไอซตี ระกูลทที ีแอล โดยไอซีตระกลู ซีมอสจะถูกแบง เปน กลมุ ดงั น้ี 2.1 ซมี อสมาตรฐาน: ไอซอี นกุ รมแบบ 4000 โดยจะข้ึนตนดวย 40XX และ 45XX เสมอ 2.2 ซีมอสความเรว็ สงู : ขนึ้ ตนดวย 74HC หรือ 74HCT ซ่ึงสังเกตไดวาจะเปนเลขท่ีขึ้นตน เหมอื นไอซีตระกูลทีทีแอล ท่ีเปนเชนน้ีเน่ืองจากวาไอซีประเภทนมี้ ีฟงกชันการทํางานคลายกับไอซี ทีทแี อลท่ีขึ้นตน ดว ย 74 เพียงแตมีโครงสรางแบบซีมอสทม่ี คี วามถ่ีสูงถึง 35MHz โดยท่ีหากเปนไอซี เบอร 74HC สญั ญาณทางอนิ พุตจะเปน ระดบั สญั ญาณที่อยูในระดับซีมอส (รูปที่ 3.13) แตส ัญญาณ เอาตพตุ สามารถใหไดท ง้ั ระดับสัญญาณของซีมอสและทที ีแอล ไอซีชนิดนี้ใชกําลังไฟฟาประมาณ 1 mW ตอ เกต 1 ตวั แตหากเปนไอซีเบอร 74HCT สัญญาณทางอินพุตจะเปนระดับสัญญาณที่อยูใน ระดบั ทีทแี อล แตสัญญาณเอาตพุตสามารถใหไ ดท้ังระดับสัญญาณของซีมอสและทีทีแอล เนื่องจาก ชวงของแรงดนั สําหรับการแบงระดับสัญญาณของไอซีทีทีแอลและซีมอสมีความแตกตางกัน ดังน้ัน สาํ หรับไอซชี นดิ นคี้ วรกาํ หนดใหม ีแรงดัน 0V สําหรับกรณีระดับสัญญาณต่ํา และกําหนดใหมีแรงดัน 5V ในกรณรี ะดบั ลอจกิ สูง 2.3 แอดวานซซีมอสความเร็วสูง: ขึ้นตนดวย 74AC และ 74ACT ซ่ึงไอซีชนิดน้ีจะมี ความเรว็ สูงกวา ไอซกี ลุมซมี อสความเรว็ สงู เปน อยา งมาก 5V ‘ 1’ 3.5V 1.5V ‘ 0’ 0V รปู ท่ี 3.13 ระดับลอจกิ ของไอซตี ระกลู ซมี อส จากรูปที่ 3.13 แสดงระดับลอจกิ ของไอซีตระกูลซมี อสโดยทีค่ าแรงดนั ท่ีถูกนําไปเปนไฟเลี้ยงให ไอซีซมี อสจะตองไมเกิน 5V หากแรงดันที่ปอนเขา สูไอซีมีคาอยูระหวาง 0 – 1.5V จะถูกกําหนดให เปน ระดบั ลอจิกต่ํา หรือ “ 0” หากแรงดันทีป่ อนเขาสูไอซมี ีคา อยูระหวาง 3.5 – 5V จะถูกกําหนดให เปนระดับลอจกิ สูง หรือ “ 1” แตหากเปนแรงดันท่ีอยูในชวง 1.5 – 3.5V จะถูกกําหนดใหเปนระดับ ลอจิกทีไ่ มแ นน อน จากไอซีท้ัง 2 ประเภทสรปุ ไดวาหมายเลขขึ้นตน 2 ตวั แรกจะแสดงตระกลู ของไอซี เชน 74 คือ ไอซีตระกลู ทที แี อล (หรือซมี อสบางประเภท) หรอื 40 คือไอซีตระกลู ซมี อส อยา งไรก็ตามตัวเลขกลมุ หลงั จะแสดงถึงประเภทของไอซี เชน ไอซเี บอร 7408 ความหมายเปนดังน้ี 74 แสดงใหเ ห็นวา ไอซตี วั น้ีคอื ไอซตี ระกลู ทที แี อล และ 08 คอื ไอซที บี่ รรจแุ อนเกตแบบ 2 อินพตุ จํานวน 4 ตวั เปนตน โดย ตวั อยา งไอซีทีบ่ รรตเุ กตพื้นฐานมดี งั ตอ ไปนี้ 58
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข 3.12.1 ไอซีเบอร 7408 ไอซีเบอร 7408 เปนไอซที บี่ รรจแุ อนดเ กตแบบ 2 อินพุตอยูภายในโดยที่ไอซเี บอร 7408 จาํ นวน 1 ตัวจะประกอบดว ยแอนดเ กตท้ังหมด 4 ตวั รปู ที่ 3.14 ไอซีเบอร 7408 ทม่ี าของภาพ: https:/ / faculty-web.msoe.edu/ tritt/ hs/ hsdig01.html รูปที่ 3.14 แสดงโครงสรา งของไอซีเบอร 7408 ซึ่งมที ้ังหมด 14 ขาโดยขาไฟเล้ยี งอยทู ี่ Vcc (ขา 14) และขากราวดอ ยูท ่ีขา GND (ขา 7) การตอใชง านแอนดเ กตทาํ ไดดังน้ี การใชงานแอนดเ กตตัวท่ี 1: ตออนิ พุตทีข่ า A1 (ขา 1) และขา B1 (ขา 2) และตอ เอาตพตุ ที่ขา Y1 (ขา 3) การใชง านแอนดเ กตตวั ท่ี 2: ตอ อินพุตทีข่ า A2 (ขา 4) และขา B2 (ขา 5) และตอเอาตพตุ ทีข่ า Y2 (ขา 6) การใชง านแอนดเ กตตวั ท่ี 3: ตอ อินพุตทขี่ า A3 (ขา 9) และขา B3 (ขา 10) และตอเอาตพุตท่ี ขา Y3 (ขา 8) การใชงานแอนดเกตตวั ท่ี 4: ตอ อนิ พตุ ทีข่ า A4 (ขา 12) และขา B4 (ขา 13) และตอเอาตพุตท่ี ขา Y4 (ขา 11) 3.12.2 ไอซเี บอร 7432 ไอซเี บอร 7432 เปน ไอซที ่บี รรจอุ อรเกตแบบ 2 อินพุตอยูภายในโดยที่ไอซีเบอร 7432 จํานวน 1 ตัวจะประกอบดวยออรเ กตท้ังหมด 4 ตวั 59
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ รูปที่ 3.15 ไอซเี บอร 7432 ทมี่ าของภาพ: https:/ / faculty-web.msoe.edu/ tritt/ hs/ hsdig01.html รูปท่ี 3.15 แสดงโครงสรางของไอซีเบอร 7432 มีท้ังหมด 14 ขาโดยขาไฟเลี้ยงอยูท่ี Vcc (ขา 14) และขากราวดอ ยูที่ขา GND (ขา 7) การตอใชง านออรเ กตทําไดดงั น้ี การใชงานออรเ กตตัวที่ 1: ตอ อินพุตที่ขา A1 (ขา 1) และขา B1 (ขา 2) และตอเอาตพุตที่ขา Y1 (ขา 3) การใชงานออรเกตตวั ที่ 2: ตอ อินพุตที่ขา A2 (ขา 4) และขา B2 (ขา 5) และตอเอาตพุตท่ีขา Y2 (ขา 6) การใชง านออรเกตตัวที่ 3: ตอ อินพุตท่ขี า A3 (ขา 9) และขา B3 (ขา 10) และตอ เอาตพุตที่ขา Y3 (ขา 8) การใชง านออรเกตตัวท่ี 4: ตออนิ พุตทข่ี า A4 (ขา 12) และขา B4 (ขา 13) และตอ เอาตพ ุตทข่ี า Y4 (ขา 11) 3.12.3 ไอซีเบอร 7404 ไอซีเบอร 7404 เปน ไอซที บ่ี รรจุนอ็ ตเกตอยูภายในโดยที่ไอซเี บอร 7404 จํานวน 1 ตัว จะประกอบดวยน็อตเกตทั้งหมด 6 ตัว รปู ที่ 3.16 ไอซเี บอร 7404 ทม่ี าของภาพ: https:/ / faculty-web.msoe.edu/ tritt/ hs/ hsdig01.html รปู ที่ 3.16 แสดงโครงสรางของไอซีเบอร 7404 มีท้ังหมด 14 ขาโดยขาไฟเลี้ยงอยูท่ี Vcc (ขา 14) และขากราวดอยทู ่ขี า GND (ขา 7) การตอใชงานน็อตเกตทําไดด ังน้ี 60
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ การใชงานนอ็ ตเกตตวั ที่ 1: ตออินพตุ ที่ขา A1 (ขา 1) และตอเอาตพ ุตทข่ี า Y1 (ขา 2) การใชงานน็อตเกตตัวที่ 2: ตออินพตุ ท่ีขา A2 (ขา 3) และตอ เอาตพตุ ทีข่ า Y2 (ขา 4) การใชง านนอ็ ตเกตตวั ที่ 3: ตออนิ พตุ ที่ขา A3 (ขา 5) และตอ เอาตพุตทข่ี า Y3 (ขา 6) การใชง านนอ็ ตเกตตวั ที่ 4: ตออินพตุ ทข่ี า A4 (ขา 9) และตอ เอาตพ ตุ ท่ีขา Y4 (ขา 8) การใชง านน็อตเกตตวั ท่ี 5: ตอ อนิ พุตท่ขี า A5 (ขา 11) และตอเอาตพ ุตท่ีขา Y5 (ขา 10) การใชง านนอ็ ตเกตตัวที่ 6: ตอ อินพตุ ที่ขา A6 (ขา 13) และตอเอาตพ ตุ ท่ขี า Y6 (ขา 12) 3.12.4 ไอซเี บอร 7400 ไอซีเบอร 7400เปนไอซีท่บี รรจุแนนดเ กตแบบ 2 อินพุตอยภู ายในโดยทีไ่ อซีเบอร 7400 จํานวน 1 ตัวจะประกอบดว ยแนนดเกตทั้งหมด 4 ตัว รูปที่ 3.17 ไอซเี บอร 7400 ทีม่ าของภาพ: https:/ / faculty-web.msoe.edu/ tritt/ hs/ hsdig01.html รูปท่ี 3.17 แสดงโครงสรา งของไอซีเบอร 7400 มีท้ังหมด 14 ขาโดยขาไฟเลย้ี งอยทู ขี่ า Vcc (ขา 14) และขากราวดอ ยทู ข่ี า GND (ขา 7) การตอ ใชงานแนนดเ กตทาํ ไดด งั น้ี การใชงานแนนดเ กตตัวที่ 1: ตอ อนิ พุตทขี่ า A1 (ขา 1) และขา B1 (ขา 2) และตอ เอาตพตุ ทข่ี า Y1 (ขา 3) การใชง านแนนดเกตตัวที่ 2: ตออนิ พุตทข่ี า A2 (ขา 4) และขา B2 (ขา 5) และตอเอาตพ ตุ ท่ขี า Y2 (ขา 6) การใชงานแนนดเ กตตัวที่ 3: ตออนิ พตุ ทข่ี า A3 (ขา 9) และขา B3 (ขา 10) และตอเอาตพุตที่ ขา Y3 (ขา 8) การใชงานแนนดเ กตตวั ที่ 4: ตอ อนิ พตุ ท่ีขา A4 (ขา 12) และขา B4 (ขา 13) และตอเอาตพตุ ที่ ขา Y4 (ขา 11) 3.12.5 ไอซีเบอร 7402 ไอซีเบอร 7402 เปน ไอซที บ่ี รรจนุ อรเกตแบบ 2 อนิ พุตอยภู ายในโดยทีไ่ อซเี บอร 7402 จาํ นวน 1 ตวั จะประกอบดว ยนอรเกตทง้ั หมด 4 ตัว 61
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข รูปที่ 3.18 ไอซีเบอร 7402 ทมี่ าของภาพ: http:/ / www.hardwaresecrets.com / article/ Introduction-to-Logic- Gates/ 237/ 6 รูปท่ี 3.18 แสดงโครงสรา งของไอซเี บอร 7402 มที ้ังหมด 14 ขาโดยขาไฟเล้ยี งอยทู ี่ขา Vcc (ขา 14) และขากราวดอยทู ่ีขา GND (ขา 7) การตอ ใชงานนอรเ กตทําไดด งั น้ี การใชง านนอรเกตตวั ที่ 1: ตออนิ พุตท่ขี า A1 (ขา 2) และขา B1 (ขา 3) และตอเอาตพุตที่ขา Y1 (ขา 1) การใชง านนอรเกตตวั ท่ี 2: ตอ อินพุตทขี่ า A2 (ขา 5) และขา B2 (ขา 6) และตอเอาตพุตท่ีขา Y2 (ขา 4) การใชงานนอรเ กตตวั ท่ี 3: ตอ อนิ พตุ ท่ีขา A3 (ขา 8) และขา B3 (ขา 9) และตอเอาตพุตที่ขา Y3 (ขา 10) การใชง านนอรเ กตตัวท่ี 4: ตอ อินพตุ ท่ขี า A4 (ขา 11) และขา B4 (ขา 12) และตอเอาตพ ุตทขี่ า Y4 (ขา 13) 3.12.6 ไอซเี บอร 7486 ไอซีเบอร 7486 เปนไอซีที่บรรจุเอ็กออรเกตแบบ 2 อินพุตอยูภายในโดยท่ีไอซีเบอร 7486 จํานวน 1 ตัวจะประกอบดว ยเอ็กออรเ กตทั้งหมด 4 ตัว รปู ท่ี 3.19 ไอซีเบอร 7486 ทม่ี าของภาพ: http:/ / www.hardwaresecrets.com / article/ Introduction-to-Logic- Gates/ 237/ 7 62
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข รูปท่ี 3.19 แสดงโครงสรางของไอซเี บอร 7486 มที ้ังหมด 14 ขาโดยขาไฟเลยี้ งอยูทขี่ า Vcc (ขา 14) และขากราวดอ ยทู ข่ี า GND (ขา 7) การตอใชง านเอก็ ออรเกตทาํ ไดด ังน้ี การใชงานเอก็ ออรเกตตัวที่ 1: ตอ อนิ พตุ ทข่ี า A1 (ขา 1) และขา B1 (ขา 2) และตอเอาตพุตที่ ขา Y1 (ขา 3) การใชงานเอก็ ออรเกตตวั ที่ 2: ตออนิ พตุ ท่ขี า A2 (ขา 4) และขา B2 (ขา 5) และตอเอาตพุตท่ี ขา Y2 (ขา 6) การใชง านเอก็ ออรเกตตัวท่ี 3: ตออนิ พุตท่ขี า A3 (ขา 9) และขา B3 (ขา 10) และตอเอาตพ ตุ ท่ี ขา Y3 (ขา 8) การใชง านเอก็ ออรเกตตัวที่ 4: ตออนิ พตุ ทขี่ า A4 (ขา 12) และขา B4 (ขา 13) และตอ เอาตพ ุต ท่ีขา Y4 (ขา 11) 3.12.7 ไอซีเบอร 74266 ไอซเี บอร 74266 เปน ไอซีทบ่ี รรจเุ อก็ นอรเกตแบบ 2 อนิ พุตอยภู ายในโดยทไี่ อซเี บอร 74266 จํานวน 1 ตวั จะประกอบดว ยเอ็กนอรเกตทัง้ หมด 4 ตวั 74266 รูปที่ 3.20 ไอซเี บอร 74266 ทมี่ าของภาพ: http:/ / www.hardwaresecrets.com / article/ Introduction-to-Logic- Gates/ 237/ 8 รูปที่ 3.20 แสดงโครงสรางของไอซเี บอร 74266 มีทง้ั หมด 14 ขาโดยขาไฟเลีย้ งอยูท ีข่ า Vcc (ขา 14) และขากราวดอ ยทู ขี่ า GND (ขา 7) การตอ ใชงานเอก็ นอรเกตทาํ ไดดังน้ี การใชงานเอ็กออรเกตตัวที่ 1: ตอ อนิ พตุ ท่ีขา A1 (ขา 1) และขา B1 (ขา 2) และตอเอาตพุตที่ ขา Y1 (ขา 3) การใชงานเอ็กออรเกตตวั ที่ 2: ตออินพตุ ท่ขี า A2 (ขา 5) และขา B2 (ขา 6) และตอเอาตพุตท่ี ขา Y2 (ขา 4) การใชงานเอก็ ออรเกตตัวท่ี 3: ตอ อนิ พตุ ทขี่ า A3 (ขา 8) และขา B3 (ขา 9) และตอเอาตพุตท่ี ขา Y3 (ขา 10) การใชง านเอ็กออรเ กตตวั ที่ 4: ตออินพุตท่ีขา A4 (ขา 12) และขา B4 (ขา 13) และตอเอาตพ ตุ ท่ขี า Y4 (ขา 11) 63
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ 3.13 บทสรุป เกตดจิ ิทัล คืออปุ กรณท มี่ อี นิ พุตอยา งนอ ย 1 ขา และเอาตพตุ 1 ขาโดยสถานะของเอาตพุตจะ ข้ึนอยูกับคุณสมบัติของเกตแตละชนิด โดยในบทนี้กลาวถึงเกตพื้นฐานท้ังหมด 7 ประเภท ประกอบดวย แอนดเ กต ออรเกต น็อตเกต นอรเกต แนนดเ กต เอ็กออรเกต และ เอ็กนอรเกต ซึง่ เกต แตละชนดิ จะถกู บรรจไุ วใ นไอซี โดยไอซี 1 ตวั จะมีเกตพื้นฐานชนดิ หนึง่ บรรจุไวภายในมากกวา 1 ตัว เชน ไอซเี บอร 7408 จาํ นวน 1 ตัวจะประกอบไปดวยแอนดเกตทัง้ หมด 4 ตวั เปนตน คําถามทายบท 1. จากไดอะแกรมแสดงเวลา (Timing Diagram) ทมี่ อี นิ พตุ แบบ 2 ขาตอไปน้ี I nput A v t I nput B t 1 0 v 1 0 t1 t2 t3 t4 จงหาเอาตพตุ ทเี่ กดิ ขึ้นในแตละชวงเวลาเมือ่ เกตท่ีใชง านคือ 1.1) แอนดเกต 1.2) ออรเกต 1.3) แนนดเ กต 1.4) นอรเกต 1.5) เอก็ ออรเ กต 1.6) เอก็ นอรเกต 2. จากรปู ทก่ี าํ หนดใหตอ ไปนี้ จงหาสถานะ Y3 (ขา 6) เมอ่ื อนิ พตุ คือ A1 (ขา 1) โดยกําหนดให - A1 = 1 (5V) - ตอ Y1 (ขา 2) รว มกับ A2 (ขา 3) 64
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข - ตอ Y2 (ขา 4) รว มกับ A3 (ขา 5) - ตอ ขา 7 ลงสายดนิ - ตอ ขา 14 กบั ไฟเลยี้ ง 5V 3. จากรูปท่ีกาํ หนดใหต อไปน้ี จงหาสถานะ Y3 (ขา 6) โดยกาํ หนดให - A3 (ขา 9) = 1 (5V) ขา- B3 ( 10) = 1 (5V) - ตอขา 7 ลงสายดิน - ตอ ขา 14 กบั ไฟเลย้ี ง 5V เอกสารอา งอิง Marcovit z, A. B. (2009). Introduction to Logic Design. New York: McGraw-Hil l . Mark, B. (2003). Com plete Digital Design: A Com prehensive Guide to Digital Electronics and Com puter System Architecture. New York: McGraw-Hil l . David, M. H. (2012).Digital Design and Com puter Architecture. USA: Morgan Kaufm ann. Ram aswam y, P. (2011). Digital System s Design. United Kingdom : London Business School . Morris, M, Michael , D. C. (2006). Digital Design. New Jersey: Prentice-Hal l Int ernational In c. ธวชั ชัย เลื่อนฉวี และ อนุรกั ษ เถอื่ นศิริ. (2527). ดิจติ อลเทคนิคเลม 1.กรงุ เทพฯ: มติ รนราการพมิ พ. มงคล ทองสงคราม. (2544).ทฤษฎีดิจิตอล.กรุงเทพฯ: หา งหุนสว นจาํ กดั วี.เจ. พรน้ิ ดิง้ . ทมี งานสมารท เลิรน นง่ิ . (2543). ออกแบบวงจร Digital และประยุกตใชงาน.กรงุ เทพฯ: หา งหนุ สวน สามญั สมารท เลริ นนงิ่ . https:/ / facul ty-web.m soe.edu/ tritt/ hs/ hsdig01.htm l http:/ / www.hardwaresecrets.com 65
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ แผนบรหิ ารการสอนประจําบทที่ 4 พชี คณิตบูลีน 3 ชว่ั โมง หวั ขอ เนอ้ื หา 4.1 บทนํา 4.2 การสรางวงจรจากสมการพีชคณติ บลู ีน 4.3 การหาสถานะเอาตพ ตุ โดยใชต ารางความจรงิ 4.4 กฎพ้นื ฐานพชี คณติ บลู ีน 4.4.1 กฎการสลับที่ 4.4.2 กฎการเปลยี่ นกลุม 4.4.3 กฎการแจกแจง 4.4.4 กฎไอเดมโปเทน 4.4.5 กฎนเิ สธสองครง้ั 4.4.6 กฎการแอนด 4.4.7 กฎการออร 4.4.8 กฎคอมพลีเมนต 4.4.9 กฎความซบั ซอน 4.4.10 กฎเดอรมอรแ กน 4.5 บทสรปุ วัตถปุ ระสงคเชงิ พฤตกิ รรม 1. เพอ่ื ใหผ เู รยี นสามารถสรา งวงจรจากสมการพชี คณติ บลู นี ได 2. เพอื่ ใหผ เู รยี นมคี วามรคู วามเขา ใจเกย่ี วกบั การหาสถานะเอาตพ ตุ ของวงจรโดยใชต ารางความจริง 3. เพอื่ ใหผ ูเรยี นมคี วามรูความเขาใจเกยี่ วกบั กฎพนื้ ฐานพชี คณิตบลู ีน วธิ กี ารสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาํ บท 1. บรรยายเน้ือหาในแตล ะหัวขอ พรอ มยกตัวอยา งประกอบ 2. ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน 3. ผสู อนสรปุ เนอ้ื หา 4. ทําแบบฝก หดั เพอื่ ทบทวนบทเรยี น 5. เปด โอกาสใหผ เู รยี นถามขอ สงสยั 6. ผสู อนทาํ การซกั ถาม สอ่ื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจกิ 2. ภาพเล่อื น 66
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข การวัดผลและการประเมิน 1. ประเมินจากการซักถามในชน้ั เรยี น 2. ประเมินจากความรวมมอื และความรบั ผดิ ชอบตอการเรยี น 3. ประเมินจากการทาํ แบบฝกหดั ทบทวนบทเรียน 67
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ บทท่ี 4 พชี คณติ บลู นี 4.1 บทนาํ พีชคณิตบูลีนเปนการดําเนินการทางคณิตศาสตรในรูปแบบตรรกะที่สามารถทําใหทราบถึง สถานะตาง ๆ ในกรณที ีน่ าํ ลอจิกเกตมากกวา หน่งึ ตัวมาตอรวมกัน สาํ หรับเน้ือหาในบทน้ีจะกลาวถึง หวั ขอ ทสี่ ําคัญดงั น้ี การสรางวงจรจากสมการพีชคณิตบูลีน การหาสถานะเอาตพุตของวงจรโดยใช ตารางความจริงและกฎพ้ืนฐานพีชคณิตบลู นี 4.2 การสรา งวงจรจากสมการพชี คณิตบูลีน การสรางวงจรจากสมการพีชคณิตบูลีน คือการนําสมการพีชคณิตบูลีนมาสรางเปนวงจรโดย จะตองสรางตามลาํ ดบั ความสําคญั ทางลอจกิ ดังตอไปนี้ 1. อินพุตใดๆ ท่ีมีน็อต และมีตัวดําเนินการกับอินพุตตัวอื่นจะตองใชตัวดําเนินการน็อตกอน เสมอ เชน AB จะตอ งนํา A ผานนอ็ ตเกตกอ นแลว จงึ นําผลลพั ธท่ไี ดไ ปแอนดก บั B แตหากเปน กรณีท่ี ใชต ัวดาํ เนนิ การน็อตกับอินพตุ 2 ตัวท่ีดําเนินการกันอยูจะตองดําเนินการระหวางอินพุต 2 ตัวกอน แลวจงึ นํามาผานนอ็ ตเกต เชน AB จะตองนาํ A และ B มาแอนดก ันกอ นแลวจงึ นาํ มาผา นนอ็ ตเกต 2. แอนดมลี าํ ดับความสําคัญสูงกวา ออร 3. กรณีมีวงเลบ็ ตองกระทําภายในวงเลบ็ กอ นเสมอ ตวั อยา งที่ 4-1 จงสรางวงจรจากสมการพีชคณิตบูลีนตอไปน้ี Z = AB + C วิธที าํ จากสมการพีชคณติ บูลีนพบวา มีการใชต วั ดําเนนิ การแอนด และ ออร เน่อื งจาก แอนด มีลาํ ดับ ความสาํ คญั มากกวา ออร ดังน้ันจงึ นํา A และ B มา แอนด กนั กอ นโดยใชแ อนดเ กตไดดังน้ี สถานะของ Y = AB ข้นั ตอนสดุ ทา ยเปนการนาํ เอาตพ ตุ ท่ีไดจ าก แอนด (Y) มา ออร กบั C ดงั น้ี สถานะของ Z = AB + C 68
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ตวั อยา งท่ี 4-2 จงสรางวงจรจากสมการพีชคณติ บลู นี ตอไปน้ี Z = A(B + C) วธิ ีทาํ จากสมการพีชคณติ บูลนี พบวามกี ารใชต วั ดาํ เนินการแบบ แอนด และ แบบ ออร แตเน่ืองจาก ตัวอยา งนี้มวี งเล็บ ดงั น้ันจึงดําเนินการภายในวงเลบ็ กอน นั่นคือ B + C สถานะของ Y = B + C ข้ันตอนสดุ ทา ยเปนการนําเอาตพตุ ทไ่ี ดจาก ออร (Y) มา แอนด กบั A ดังน้ี สถานะของ Z = A(B+C) ตัวอยางท่ี 4-3 จงสรางวงจรจากสมการพีชคณติ บลู นี ตอไปน้ี Z = ABC โดยใช แอนดเ กต ออรเกต หรือ นอ็ ตเกตเทา นั้น วิธที าํ จากสมการพชี คณติ บูลีนพบวามนี อ็ ตเกตอยูทผ่ี ลลัพธข องการนาํ A มาผานกระบวนการแอนด กบั B ดังนนั้ จึงตองดําเนนิ การของอนิ พตุ A และ B กอ นไดด ังนี้ สถานะของ Y = AB ข้ันตอนตอ ไปเปนการนาํ ผลลพั ธท ่ีไดจ ากการแอนดมาผานนอ็ ตเกต ดงั น้ี สถานะของ X = AB ข้ันตอนสุดทา ยเปน การนาํ เอาตพ ตุ X มาเปนอินพตุ เพ่อื แอนดกบั C ดังน้ี 69
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ สถานะของ Z = ABC 4.3 การหาสถานะเอาตพุตโดยใชต ารางความจริง ตารางความจรงิ สามารถถกู นาํ มาใชส าํ หรับ การหาสถานะที่เปน ไปไดทั้งหมดของเอาตพุตจาก สมการพีชคณิตบูลีน โดยจากสมการพีชคณิตบูลีนท่ีกําหนดให จะตองคํานวณหาการดําเนินการ ระหวางอนิ พตุ ท่ีมลี าํ ดบั ความสําคัญสงู สุดกอ นเสมอ (แตห ากมกี ารดําเนินการระหวางอินพุตทมี่ ีระดับ ความสําคัญเทา กนั สามารถเลอื กคํานวณคใู ดกอ นหลงั ได) และคาํ นวณระดบั ความสําคัญทตี่ า่ํ ลงมาจน ไดผ ลลพั ธทเี่ ปน สถานะท้ังหมดของเอาตพ ุตของสมการพชี คณิตบลู ีนดงั กลา ว ตวั อยางท่ี 4-4 จงคาํ นวณหาผลลพั ธท เ่ี ปน ไปไดทงั้ หมดจากสมการ Z = A(B+C) โดยใชตารางความ จรงิ วิธีทาํ เนือ่ งจากมอี นิ พตุ ทัง้ หมด 3 ตัว สถานะเอาตพ ุตทเ่ี ปน ไปไดจงึ มีท้ังหมด 8 กรณี จากสมการพชี คณิตบูลีนมกี ารดาํ เนนิ การภายในวงเล็บน่ันคือ B+C เพราะฉะนั้นคํานวณหา สถานะเอาตพุตของสมการดงั กลา วกอน ขน้ั ตอนสุดทายนาํ A มาแอนด กับ B+C ตารางท่ี 4.1 การหาสถานะเอาตพุตทเี่ ปนไปไดท ั้งจากสมการ Z = A(B+C) A B C B+C Z = A(B+C) 00 0 0 0 00 1 1 0 01 0 1 0 01 1 1 0 10 0 0 0 10 1 1 1 11 0 1 1 11 1 1 1 4.4 กฎพื้นฐานพชี คณิตบูลีน กฎพืน้ ฐานพีชคณิตบูลีน เปนสิ่งทสี่ ําคญั ท่ีจะชว ยใหสมการพีชคณิตบูลนี ทีต่ อ งการนาํ ไปสรา งเปน วงจรนั้นอยใู นรูปทส่ี น้ั ลง และงายมากย่งิ ข้ึน น่นั คอื เม่ือสมการมีขนาดที่ส้ันลง สงผลใหจํานวนเกตท่ี ตอ งนํามาใชง านมนี อ ยลงดว ย โดยที่สถานะของเอาตพตุ ท่เี ปน ไปไดท ้งั หมดยังคงเดมิ โดยกฎพนื้ ฐานท่ี สาํ คญั ประกอบดวยดงั น้ี 70
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ 4.4.1 กฎการสลับที่ (Comm utative Laws) 1. A + B = B + A 2. A.B = B.A กฎการสลับท่ี คือ การเปล่ยี นแปลงตําแหนง ของอนิ พุต จะไมส ง ผลตอ สถานะของเอาตพ ตุ ซึ่งกฎขอน้ีสามารถพสิ ูจนได โดยใชตารางความจรงิ ตารางที่ 4.2 คณุ สมบัตกิ ารสลบั ทภี่ ายใตก าร ออร A B A+ B B+ A 00 0 0 01 1 1 10 1 1 11 1 1 4.4.2 กฎการเปลี่ยนกลมุ (Associative Laws) 1. (A + B) + C = A + (B + C) 2. (A.B).C = A.(B.C) กฎการเปลย่ี นกลุม คอื การท่ีสามารถเลอื กดําเนินการกับอนิ พตุ คใู ดกอนได โดยไมสงผล กระทบตอสถานะของเอาตพุต แตตัวดําเนินการจะตองเหมือนกันท้ังหมด แตหากเปนกรณีท่ีตัว ดาํ เนินการไมเ หมือนกัน หากเปล่ยี นกลมุ การดาํ เนินการจะทําใหสถานะของเอาตพุตมีความแตกตาง กนั เชน (A.B)+C จะไมเทา กบั A.(B+C) ตารางท่ี 4.3 คุณสมบัตกิ ารเปล่ยี นกลุมภายใตก าร ออร A B C A+B * B+C * A+ (B+ C) (A+B)+C 0 1 0 00 0 0 0 1 1 1 1 00 1 0 1 0 1 1 1 01 0 1 1 1 1 1 1 01 1 1 1 1 10 0 1 1 10 1 1 1 11 0 1 1 11 1 1 1 4.4.3 กฎการแจกแจง (Distributive Laws) 1. A.(B + C) = A.B + A.C 2. A + (B.C) = (A + B).(A+C) 71
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข กฎการแจกแจง มีลกั ษณะคลายกับกฎทางคณติ ศาสตรท ่เี ปน การกระจายการคณู เขา ไปใน วงเลบ็ สามารถพิสูจนไ ดงา ย ดว ยตารางความจรงิ ดงั น้ี ตารางท่ี 4.4 คุณสมบตั กิ ารแจกแจง A B C B+C * AB AC * A.(B+ C) (A.B)+(A.C) 00 0 0 0 0 0 0 00 1 1 0 0 0 0 01 0 1 0 0 0 0 01 1 1 0 0 0 0 10 0 0 0 0 0 0 10 1 1 1 0 1 1 11 0 1 1 1 0 1 11 1 1 1 1 1 1 4.4.4 กฎไอเดมโปเทน (Idempotent Laws) 1. A + A = A 2. A.A = A กฎไอเดมโปเทนคือการดําเนนิ การ กบั ตัวเองดว ยตัวดําเนนิ การ ออร หรือ ตัวดําเนินการ แอนด โดยสถานะเอาตพตุ ท่ไี ดม คี า เหมือนกับสถานะเดิมของอนิ พุตตัวดังกลาวทุกประการ สามารถ พิสจู นไ ดด ังนี้ ตวั ดําเนนิ การ ออร กรณที ่ี A = 0, 0+ 0= 0= A กรณีที่ A = 1, 1+ 1= 1= A ตัวดําเนินการ แอนด กรณีท่ี A = 0, 0.0 = 0 = A กรณีที่ A = 1, 1.1 = 1 = A 4.4.5 กฎนิเสธสองครงั้ (Double Negation Law) A= A เมอ่ื นาํ อินพตุ มาใสนเิ สธ 2 ครั้ง สถานะของเอาตพุตท่ีไดจะเหมือนกับอินพุตเดิมที่ยังไม ผานนิเสธ สามารถพสิ จู นไดด งั นี้ พิสูจน กรณที ี่ A = 0, A = 1, A = 0 = A กรณีท่ี A = 1, A = 0, A = 1 = A 72
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ 4.4.6 กฎการแอนด (AND Laws) 1. A.0 = 0 2. A.1 = A พิสจู น กฎขอ ที่ 1 (A.0 = 0) กรณีท่ี A = 0, 0.0 = 0 กรณีที่ A = 1 1.0 = 0 ดงั นน้ั จากกฎการแอนดขอที่ 1 สรุปไดว า อินพุตใดๆ แอนดก ับ 0 จะไดเอาตพุตเปน 0 เสมอ พสิ จู น กฎขอ ที่ 2 (A.1 = A) กรณที ี่ A = 0, 0.1 = 0 = A กรณที ่ี A = 1 1.1 = 1 = A ดงั นน้ั จากกฎการแอนดข อ ท่ี 2 สรปุ ไดว า อนิ พตุ ใดๆ แอนดก ับ 1 เอาตพ ตุ ที่ไดจะมสี ถานะ เดยี วกันกบั อนิ พุตเสมอ 4.4.7 กฎการออร (OR Laws) 1. A+ 0 = A 2. A + 1 = 1 พิสูจน กฎขอ ท่ี 1 (A + 0 = A) กรณีที่ A = 0, 0+ 0= 0= A กรณที ี่ A = 1 1+ 0= 1= A ดังน้นั จากกฎการออรขอ ที่ 1 สรปุ ไดวา อนิ พตุ ใดๆ ออรก บั 0 จะไดเอาตพุตที่มีสถานะเดียวกับ อินพุตเสมอ พิสูจน กฎขอ ที่ 2 (A+ 1 = 1) กรณีท่ี A = 0, 0+ 1= 1 กรณีท่ี A = 1 1+ 1= 1 ดังน้นั จากกฎการออรข อ ท่ี 2 สรุปไดวา อินพตุ ใดๆ ออรก บั 1 เอาตพตุ ทีไ่ ดจะมคี าเปน 1 เสมอ 4.4.8 กฎคอมพลเี มนต (Complement Laws) 1. A.A = 0 2. A + A = 1 กฎการคอมพลีเมนต คือ กรณนี ําอินพุต และ นิเสธของอินพุตดังกลาวมาผานตัวดําเนินการ แอนด เอาตพุตที่ไดมีคาเปน 0 เสมอ แตหากนําอินพุต และ นิเสธของอินพุตดังกลาวมาผานตัว ดําเนนิ การ ออร เอาตพ ตุ ทีไ่ ดม คี าเปน 1 เสมอ ดังนี้ พิสจู น กฎขอ ท่ี 1 ( A.A = 0 ) กรณที ี่ A = 0, 0.0 = 0.1= 0 กรณที ี่ A = 1 1.1 = 1.0 = 0 ดังนัน้ จากกฎคอมพเิ มนตข อท่ี 1 สรปุ ไดวา หากนาํ อินพุตใดๆและ นิเสธของอินพุตดังกลาวมา ผา นตัวดาํ เนนิ การ แอนด ไดเอาตพตุ ทีม่ คี า เปน 0 เสมอ 73
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข พสิ ูจน กฎขอที่ 2 ( A + A = 1) กรณที ี่ A = 0, 0+ 0 = 0 +1= 1 กรณที ่ี A = 1 1+1=1+ 0= 1 ดงั นั้นจากกฎคอมพเิ มนตข อ ท่ี 2 สรปุ ไดว า หากนาํ อินพุตใดๆ และ นิเสธของอินพุตดังกลาวมา ผานตัวดาํ เนนิ การ ออร ไดเ อาตพ ุตทม่ี ีคา เปน 1 เสมอ 4.4.9 กฎความซับซอ น (Redundance Laws) 1. A + A.B = A 2. A.(A+B) = A 3. A + A.B = A + B 4. A(A + B) = A.B กฎความซบั ซอน สามารถถกู พิสจู นไดงายโดยใชกฏพีชคณิตบูลีนที่ไดรับการพิสูจนแลววาเปน จริง ดังน้ี พสิ จู น กฎขอ ท่ี 1 (A + A.B = A) A + A.B = A.1 + A.B กฎ 4.4.6 ขอที่ 2 = A.(1 + B) กฎ 4.4.3 ขอ ท่ี 1 = A.1 กฎ 4.4.7 ขอ ท่ี 2 = A กฎ 4.4.6 ขอ ท่ี 2 พิสูจน กฎขอ ท่ี 2 (A.(A+B) = A) A.(A+B) = A.A + A.B กฎ 4.4.3 ขอ ที่ 1 = A + A.B กฎ 4.4.4 ขอท่ี 2 = A กฎ 4.4.9 ขอท่ี 1 พิสูจน กฎขอ ท่ี 3 ( A + A.B= A + B) A + A.B = (A + A).(A + B) กฎ 4.4.3 ขอที่ 2 = 1.(A + B) กฎ 4.4.8ขอที่ 2 กฎ 4.4.6ขอ ท่ี 2 = A+B พิสูจน กฎขอ ที่ 4( A(A + B) = A.B ) A(A + B) = A.A + A.B กฎ 4.4.3 ขอที่ 1 = 0 +A.B กฎ 4.4.8 ขอท่ี 1 กฎ 4.4.7 ขอที่ 1 = A.B 4.4.10 กฎเดอมอรแ กน (De Morgan Laws) 1. A + B= A.B 2. A.B= A + B กฎเดอมอรแ กนสามารถพสิ จู นไ ด โดยใชต ารางความจรงิ ดงั น้ี 74
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ตารางท่ี 4.5 คณุ สมบัติ A + B= A.B AB A B * A+ B * 00 1 1 A.B A+B 01 0 1 10 1 0 10 1 11 0 0 01 0 01 0 01 0 ตารางท่ี 4.6 คณุ สมบตั ิ AB= A B AB A B* AB * 00 1 AB 0 AB 01 0 0 10 1 11 0 1 11 0 11 1 1 01 1 00 0 4.5 บทสรุป การออกแบบวงจรดิจิทัล น้ันจําเปนตองคํานึงถึงการใชงานอุปกรณใหนอยท่ีสุดดวย เพือ่ ให ประหยัดคาใชจายใหมากท่ีสุด ซ่ึงการลดขนาดของวงจรรวมเชิงจัดหมูสามารถทําไดโดยการใชกฎ พื้นฐานของบูลนี ดังนั้นผอู อกแบบจึงตอ งมีความรเู กีย่ วกบั กฎพ้นื ฐานตา งๆ ของบลู ีนเปนอยางดี การ วาดวงจรจากสมการบูลีนจะตอ งใหล ําดบั ความสาํ คัญกบั ตัวดาํ เนนิ การนอ็ ตกอ นเสมอ แลวจึงตามดว ย ตวั ดําเนินการแอนด และ ตวั ดาํ เนนิ การออร ตามลําดับ การหาสถานะที่เปน ไปไดท้ังหมดของวงจร สามารถทําไดโดยใชต ารางความจริง นอกเหนอื จากน้ันยังสามารถใชต ารางความจริงสําหรับการพิสจู น สมการพชี คณิตบูลนี ไดด วยเชนกนั 75
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ คาํ ถามทายบท 1. จงสรางวงจรจากสมการพีชคณติ บูลีนตอ ไปนี้ 1.1 Z = A.(B+ C) 1.2 Z = A.B.(C+ D) 1.3 Z = AB+ C 1.4 Z = A + BC 2. จงคาํ นวณหาผลลัพธทเี่ ปนไปไดท ้งั หมดจากสมการพชี คณิตบลู ีนตอ ไปน้ี โดยใชต ารางความจริง 2.1 Z = A.(B+ C) 2.2 Z = A.B.(C+ D) 2.3 Z = A.B+ C 2.4 Z = A + B.C 3. จงพสิ จู นสมการพชี คณติ บูลนี ตอ ไปน้โี ดยใชต ารางความจริง 3.1 A.A = 0 3.2 A + A = 1 3.3 A + A.B = A 3.4 A + A.B= A + B 4. จงพิสจู นสมการพชี คณติ บลู นี ตอ ไปนี้โดยใชก ฎพน้ื ฐานบลู นี 4.1 A + A.A = A 4.2 A + AB + AB= A + B 4.3 AB + A + B = 1 3.4 A + A.B= A + B 76
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ เอกสารอา งอิง Marcovit z, A. B. (2009). Introduction to Logic Design. New York: McGraw-Hil l . Mark, B. (2003). Com plete Digital Design: A Com prehensive Guide to Digital Electronics and Com puter System Architecture. New York: McGraw-Hil l . David, M. H. (2012).Digital Design and Com puter Architecture. USA: Morgan Kaufm ann. Ram aswam y, P. (2011). Digital System s Design. United Kingdom : London Business School . Morris, M, Michael , D. C. (2006). Digital Design. New Jersey: Prentice-Hal l Int ernational In c. ธวชั ชยั เลือ่ นฉวี และ อนุรกั ษ เถื่อนศิริ. (2527). ดิจติ อลเทคนิคเลม 1.กรงุ เทพฯ: มติ รนราการพิมพ. มงคล ทองสงคราม. (2544).ทฤษฎีดิจิตอล.กรุงเทพฯ: หา งหนุ สวนจาํ กัด วี.เจ. พร้ินดิง้ . ทมี งานสมารทเลิรนนิ่ง. (2543). ออกแบบวงจร Digital และประยุกตใ ชงาน.กรงุ เทพฯ: หางหุนสวน สามัญสมารทเลริ น นิง่ . 77
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข แผนบรหิ ารการสอนประจําบทท่ี 5 วงจรรวมเชงิ จัดหมู 3 ชว่ั โมง หวั ขอ เนอ้ื หา 5.1 การแกไขวงจรใหอยใู นรปู ท่งี า ยขน้ึ โดยใชกฎพชี คณติ บูลนี 5.2 การเขยี นสมการพีชคณติ บลู นี จากผลรวมของผลคูณ 5.3 การเขยี นสมการพีชคณติ บลู ีนจากผลคูณของผลรวม 5.4 การเขยี นสมการพชี คณติ บลู นี จากตารางความจริง 5.5 การออกแบบวงจรรวมเชิงจดั หมู 5.6 การใชยูนเิ วอรแ ซลเกตในการออกแบบวงจรรวมเชงิ จดั หมู 5.7 บทสรุป วัตถปุ ระสงคเ ชิงพฤตกิ รรม 1. เพอ่ื ใหผ เู รยี นสามารถลดรปู สมการพชี คณติ บลู ีนโดยใชกฎพ้นื ฐานพชี คณิตบูลีน 2. เพอื่ ใหผ ูเรยี นมคี วามรคู วามเขาใจเกย่ี วกบั การเขยี นสมการพีชคณติ บลู นี จากผลรวมของผลคณู 3. เพอื่ ใหผ เู รยี นมคี วามรคู วามเขา ใจเกยี่ วกบั การเขยี นสมการพีชคณติ บลู นี จากผลคณู ของผลรวม 4. เพ่ือใหผ เู รยี นสามารถเขยี นสมการบลู ีนของคา เอาตพ ตุ จากตารางความจริง 5. เพือ่ ใหผ เู รยี นมคี วามรูความเขาใจเกย่ี วกบั การออกแบบวงจรรวมเชิงจดั หมู 6. เพอื่ ใหผ เู รยี นมคี วามรคู วามเขาใจเกยี่ วกบั ยูนเิ วอรแ ซลเกต และสามารถนํายนู เิ วอรแ ซลเกตมาใช แทนเกตพ้ืนฐานชนดิ อ่นื ได วิธกี ารสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอนประจาํ บท 1. บรรยายเน้ือหาในแตล ะหัวขอ พรอ มยกตวั อยางประกอบ 2. ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน 3. ผสู อนสรุปเน้อื หา 4. ทาํ แบบฝก หดั เพ่ือทบทวนบทเรยี น 5. เปด โอกาสใหผ เู รยี นถามขอ สงสยั 6. ผสู อนทําการซกั ถาม สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจทิ ลั และลอจกิ 2. ภาพเลอื่ น การวดั ผลและการประเมิน 1. ประเมินจากการซกั ถามในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ จากความรวมมือและความรบั ผดิ ชอบตอ การเรยี น 3. ประเมินจากการทําแบบฝกหดั ทบทวนบทเรียน 78
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข บทที่ 5 วงจรรวมเชงิ จดั หมู วงจรรวมเชงิ จัดหมู (Combinatorial Logic Circuits) คอื วงจรที่สถานะของเอาตพุตขึ้นอยูกับ สถานะของการจัดหมูของอินพุตท้ังหมดท่ีมีอยูในวงจร โดยผลการทํางานของเอาตพุตจะขึ้นอยกู ับ คุณสมบตั ขิ องเกตพ้ืนฐานตาง ๆ และสัญญาณของอินพุตท่ีปอนเขาสูวงจร โดยท่ีวงจรดังกลาวจะไม สามารถเก็บสถานะไวใ ชงานในชวงเวลาตอไปได ดงั นั้นจงึ สรปุ ไดว า วงจรรวมเชิงจัดหมู คือวงจรท่ีเกิด จากการตอใชงานรวมกันของเกตพน้ื ฐานเทานัน้ ดงั ตวั อยางตอ ไปน้ี รปู ที่ 5.1 ตวั อยา งวงจรรวมเชิงจัดหมู รูปท่ี 5.1 แสดงตัวอยางของวงจรรวมเชิงจัดหมู ซึ่งเกิดจากการตอใชงานรวมกันเฉพาะเกต พนื้ ฐานเทาน้ัน โดยจากรูป 5.1 เกตพ้นื ฐานประกอบดว ย แอนดเ กต 1 ตัว น็อตเกต 1 ตัว และ ออร เกต 1 ตวั 5.1 การแกไ ขวงจรใหอ ยูใ นรูปทง่ี า ยขึน้ โดยใชก ฎพชี คณิตบลู นี สําหรบั วงจรลอจิกบางวงจร พบวาสมการพชี คณติ บลู นี ยงั มคี วามกาํ กวมอยู ซึง่ สามารถแกความ กํากวมไดโ ดยใชก ฎพชี คณิตบูลนี ขอดีคือจะทาํ ใหสมการพชี คณิตบูลีนดูงา ยขน้ึ ทําใหวงจรมขี นาดเลก็ ลง สง ผลใหใชง านจํานวนเกตลดนอยลง และประหยัดคาใชจ า ย ในขณะทส่ี ถานะเอาตพุตยังคงเดมิ ตวั อยา งท่ี 5-1 จงลดรูปสมการพีชคณติ บลู ีนตอไปน้ี Z = ABC+ ABC+ A โดยใชก ฎพชี คณติ บูลีนให อยูในรูปอยา งงา ยพรอมวาดวงจรลอจิก วิธที ํา Z = ABC+ ABC+ A กฎ 4.4.3 ขอ ท่ี 1 = AB(C+ C) + A = AB1+ A กฎ 4.4.8 ขอท่ี 2 = AB+ A กฎ 4.4.6 ขอที่ 2 = A + AB กฎ 4.4.1 ขอ ที่ 1 = A+B กฎ 4.4.9 ขอที่ 3 = AB กฎ 4.4.10 ขอที่ 2 79
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข รูปที่ 5.2 วงจร Z = ABC+ ABC+ A รปู ท่ี 5.3 วงจร Z = AB รปู ท่ี 5.2 แสดงวงจรลอจกิ ของสมการ Z = ABC+ ABC+ A และรปู ท่ี 5.3 แสดงวงจรลอจกิ ของ สมการ Z = AB ซ่งึ เปน วงจรลอจกิ ท่เี กดิ จากการนาํ สมการพีชคณิตบูลีนของวงจรในรูปที่ 5.2 มาจัด รปู ใหมโดยใชกฎพชี คณติ บลู นี ซง่ึ วงจรมขี นาดเล็กลง แตสถานะของเอาตพตุ ยงั คงเดิม ตวั อยา งท่ี 5-2 จงลดรูปสมการพีชคณติ บลู ีนตอไปน้ี Z = ABC+ AB(BC) โดยใชก ฎบลู นี ใหอยูใ นรปู อยา งงา ย วิธที าํ Z = ABC+ AB(BC) กฎ 4.4.10 ขอ ท่ี 2 = ABC+ AB(B+ C) = ABC+ AB(B+ C) กฎ 4.4.5 = ABC+ ABB+ ABC กฎ 4.4.3 ขอท่ี 1 = ABC+ AB+ ABC กฎ 4.4.4 ขอ ท่ี 2 = ABC+ AB1+ ABC กฎ 4.4.6 ขอ ที่ 2 = ABC+ AB(1+ C) กฎ 4.4.3 ขอ ที่ 1 = ABC+ AB1 กฎ 4.4.7 ขอที่ 2 = ABC+ AB กฎ 4.4.6 ขอ ท่ี 2 = (AC+ A)B กฎ 4.4.3 ขอท่ี 1 = (C+ A)B กฎ 4.4.9 ขอท่ี 3 = BC+ AB กฎ 4.4.3 ขอ ท่ี 1 = AB+ BC กฎ 4.4.1ขอท่ี 1 ตัวอยา งที่ 5-3 จงลดรปู สมการพีชคณติ บลู นี ตอ ไปนี้ Z = AB+ A โดยใชกฎบลู ีนใหอ ยูในรปู อยางงา ย วธิ ที ํา Z = AB+ A กฎ 4.4.10 ขอ ท่ี 2 = A+B+ A = A+ A+B กฎ 4.4.1 ขอ ท่ี 1 = 1+ B กฎ 4.4.8 ขอ ที่ 2 80
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ =1 กฎ 4.4.7 ขอที่ 2 =0 5.2 การเขียนสมการพชี คณิตบลู นี จากผลรวมของผลคณู ผลรวมของผลคณู (Sum of Product) สามารถนํามาเขียนใหอยูในรูปสมการพีชคณิตบูลีนได โดยมีหลกั การดงั ตอ ไปนี้ 1. นําตัวเลขฐานสิบแตละพจนยอยมาแปลงเปนเลขฐานสอง และใสจํานวนบิตใหเทากับ จํานวนอินพตุ เชน กรณี 3 อนิ พตุ ของ 210 เม่อื แปลงเปนฐานสองจะได 102 แตเน่ืองจากเปน 3 อินพุต จงึ ตอ งเพ่ิม 0 ไวตาํ แหนง หนาสดุ อีก 1 ตวั ไดเ ปน 0102 2. แทนคาเลขฐานสองท่ีไดจากขอ 1 ดวยอินพุตแตละตัวและนํามาเชื่อมกันโดยใชตัว ดาํ เนนิ การแอนด โดยกรณีทเ่ี ปน คา ประจาํ บิตมีคาเปน 0 ใหใสค อมพลเิ มนตดวย เชน กรณอี ินพตุ (A, B, C) มีคาเปน 2 เมอื่ แปลงจาก 010 จะได ABC 3. นาํ พจนยอ ยแตละพจนมาเชื่อมกันดวยตัวดําเนนิ การออร ตวั อยา งที่ 5-4 จงแปลง f(A,B,C)= m(0,1,3,5) ใหอยใู นรูปสมการพชี คณิตบลู นี วธิ ที ํา เนอ่ื งจากมีอินพตุ ทง้ั หมด 3 ตวั จึงสามารถแปลงพจนย อยแตจะพจนไ ดดังน้ี 010 -> 0002 -> 000 -> ABC 110 -> 0012 -> 001 -> ABC 310 -> 0112 -> 011 -> ABC 510 -> 1012 -> 101 -> ABC เพราะฉะนั้น f(A,B,C)= ABC+ ABC+ ABC+ ABC ตวั อยา งท่ี 5-5 จงแปลง f(A,B,C,D)= m(2,3,5,9,11) ใหอยใู นรปู สมการพีชคณิตบลู นี วธิ ที าํ เน่ืองจากมอี ินพตุ ทัง้ หมด 4 ตัว จงึ สามารถแปลงพจนย อยแตจ ะพจนไดด ังน้ี 210 -> 00102 -> 0010 -> ABCD 310 -> 00112 -> 0011 -> ABCD 510 -> 01012 -> 0101 -> ABCD 910 -> 10012 -> 1001 -> ABCD 1110-> 10112 -> 1011 -> ABCD เพราะฉะนั้น f(A,B,C,D)= ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD สาํ หรบั พจนย อ ยแตละพจนของสมการพีชคณติ บลู นี ท่ีซง่ึ แอนดกนั อยู เรยี กวา มินเทอม (m interm ) 5.3 การเขียนสมการพชี คณติ บลู ีนจากผลคูณของผลรวม นอกจากผลรวมของผลคณู แลว ผลคูณของผลรวม (Product of Sum) สามารถนํามาเขียนให อยใู นรปู สมการพชี คณติ บลู ีนไดเ ชน เดยี วกัน โดยมีหลกั การดังตอ ไปนี้ 81
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282