อารยธรรมตะวันตก สมัยโบราณ
อารยธรรมเมโสโปเตเมยี
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย เป็นอารยธรรมที่เกา่ แกท่ ่ีสดุ คาวา่ “เมโสโปเตเมีย” มาจากคาในภาษากรีก มีแหลง่ กาเนิดบนดนิ แดนระหวา่ งแมน่ า้ ไทกริส-ยเู ฟรตสิ เรียกวา่ “เมโสโปเตเมีย” นอกจากนีย้ งั เรียกดนิ แดนนีว้ า่ “ดนิ แดนพระจนั ทร์เสีย้ ว”
มีความหมายว่า “ดินแดนระหว่างแม่นา้ ทงั้ สอง” คือ ไทกริส (ต้นกาเนิดจากเทือกเขาซากรอสในอิหร่านปัจจุบนั ) และ ยูเฟรติส (ต้ นกาเนิดจากภูเขาในบริเวณท่ีราบสูง อาร์เมเนียในเขตตุรกีปัจจุบัน) แม่นา้ ทัง้ สองไหลลงอ่าว เปอร์เซีย
ดินแดนเมโสโปเตเมียเป็นดินแดนที่มีอาณากว้างขวาง พืน้ ที่ตอนบนเป็น พท. ที่ราบท่ีสงู กวา่ ทางตอนใต้ และลาดต่า มายงั พท. ราบลมุ่ ตอนลา่ ง ทาให้ทางตอนบนจงึ แห้งแล้งกวา่ การเกษตรต้องใช้ระบบชลประทาน
สว่ น พท.ราบลมุ่ ตอนลา่ งเป็นท่ี ราบตา่ อดุ มสมบรู ณ์ เกิดจากการ ทบั ถมของดนิ ตะกอนปากแมน่ า้ ที่ ถกู พดั มาทบั ถมไว้ ทาให้เกิดพืน้ ดิน งอกตรงปากแมน่ า้ ทกุ ปี บริเวณนี ้ เรียกวา่ “บาบิโลเนีย” เป็นเขต ตดิ ตอ่ กบั อา่ วเปอร์เซยี
เป็นบริเวณที่ อดุ มสมบรู ณ์ และ เป็นแหลง่ กาเนิด อารยธรรมเมโส- โปเตเมีย
อาณาเขตตดิ ตอ่ ของดนิ แดนเมโสโปเตเมยี เมโสโปเตเมียทางด้านเหนือ จดทะเลดา + ทะเล แคสเปียน เมโสโปเตเมียทางด้าน ตต./ต. จดคาบสมทุ รอาระเบีย ซง่ึ ล้อมรอบ ท.แดง และ มหาสมทุ รอนิ เดีย เมโสโปเตเมียทางด้าน ตอ. จดที่ราบสงู อิหร่าน เมโสโปเตเมียทางด้าน ตต. จดท่ีราบซีเรียและปาเลสไตน์
ลกั ษณะภูมอิ ากาศ มีฝนตกน้อยมาก เพราะมีภมู ิอากาศแบบทะเลทราย และกง่ึ ทะเลทราย อากาศจงึ แห้งแล้ง ความชืน้ ไมพ่ อ สาหรับการเพาะปลกู ต้องอาศยั นา้ จากแมน่ า้ ทงั้ สอง เป็นหลกั ชว่ งฤดรู ้อน หิมะในเทือกเขาอาร์เมเนีย ละลาย ระดบั นา้ สงู ขนึ ้ ทาให้นา้ ทว่ ม ในเขตท่ีราบต่า
ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ส่ี าคญั มีทรัพยากรท่ีสาคญั ได้แก่ ดนิ อนั อดุ มสมบรู ณ์ โดยเฉพาะดินเหนียว นามาทาอิฐก่อสร้างบ้านเรือน และศาสนสถาน สว่ นแร่ คือ เหลก็ และเกลือ แตม่ ีไมม่ าก
ปัจจยั ท่เี ออื้ ให้เกิดอารยธรรมเมโสโปเตเมยี 1. เป็นอารยธรรมท่ีเกิดขนึ ้ บริเวณท่ีราบลมุ่ ม.ไทกริส – ยเู ฟรตีสที่มีดนิ อดุ มสมบรู ณ์ ซง่ึ มีประโยชน์ต่อการทา เกษตรกรรม 2. ประชากรในเมโสโปเตียเป็นกลมุ่ ชน หลายเชือ้ ชาติ ได้แก่ สเุ มเรียน อคั คาเดียน อะมอไรท์/บาบโิ ลเนียน แคสไซท์ อสั ซีเรียน และแคลเดียน ทาให้มีการแยง่ ิชงอานาจกนั ตลอดเวลา
3. ไมม่ ีภเู ขาและทะเลทรายเป็นปราการธรรมชาติ จึง ทาให้ตา่ งชาตเิ ข้ารุกรานและตงั้ อาณาจกั รตลอดเวลา
อารยธรรมเมโสโปเตเมยี : กลมุ่ ชนทต่ี ง้ั ถน่ิ ฐานในดนิ แดนเมโสโปเตเมยี สมยั อาณาจกั รสเุ มเรียน (ซเู มเรีย) สมยั อาณาจกั รบาบิโลเนีย (บาบิโลนเกา่ ) สมยั จกั รวรรดิอสั ซเี รีย สมยั อาณาจกั รคาลเดีย (บาบิโลนใหม)่ สมยั อาณาจกั รขนาดเลก็
อาณาจกั รซเู มอร์ : ชาวสุเมเรยี น ประวตั ศิ าสตร์สุเมเรียน สุเมเรียนเป็นชนชาติแรกท่ีเขา้ มาต้งั ถิ่นฐาน และ วางรากฐานทางอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ท้งั น้ียงั ไม่ทราบแน่ชดั วา่ สุเมเรียนเป็น กลุ่มชนเช้ือชาติใด
แต่มีการสนั นิษฐานวา่ น่าจะเป็นกลุ่มชนที่อพยพจาก เอเชียกลางแลว้ เขา้ มาต้งั ใน พท.ทางตอนใต้ เรียกวา่ “ซูเมอร์” เมื่อประมาณ 5,000 B.C. จากน้นั จึงรวมตวั กนั จดั ต้งั เป็นนครรัฐ ประมาณ 12 นครรัฐ โดยแต่ละนครรัฐจะปกครองตนเอง มีอิสระไม่ข้ึนตรงต่อกนั และ มีการแยง่ ชิง ค.เป็นใหญ่บ่อยคร้ัง
สุเมเรียนปกครองเมโสโปเตเมีย ประมาณ 1,430 ปี (3,800 – 2,371 B.C.) และหมดอานาจลงเมื่อแซกเก ซี ผปู้ กครองนครรัฐ Umma พา่ ยแพต้ ่อกองกาลงั ของ พวกอคั คาเดียนจากดินแดนอคั คตั ในปี 2,371 B.C.
อารยธรรมสุเมเรียน สุเมเรียนเป็นผวู้ างรากฐานอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ท่ี สาคญั มี 8 ดา้ นดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ 1. ด้านการปกครอง - สุเมเรียนจะยดึ มนั่ ในระบอบ เทวราชา คือ ผปู้ กครองจะอา้ งนามและ อาศยั อานาจของเทพเจา้ เป็นเคร่ืองมือใน การปกครอง โดยผปู้ กครองจะผลดั เปล่ียน กนั ข้ึนปกครองนครรัฐ ซ่ึงมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ
1) พระ/ปาเตซี นาการปกครองได้ เพราะอา้ งนามและ อาศยั อานาจของเทพเจา้ 2) นายทหาร/ลูกลั นาการปกครองได้ เพราะมี ค. สามารถในการรบ ท้งั น้ีสุเมเรียนเช่ือวา่ ผปู้ กครอง คือ ผทู้ ่ี เทพเจา้ กาหนดใหม้ าปกครอง ซ่ึงหนา้ ที่ ของ ผปู้ กครอง
คือ ปกป้อง และขยายดินแดน ปรับปรุงและพฒั นา ระบบชลประทาน สร้างและซ่อมแซมถนน และคงไวซ้ ่ึง ความยตุ ิธรรม
นอกจากน้ีกฎระเบียบการปกครองของสุเมเรียนจะยดึ จารีตประเพณีเป็นหลกั และมีการกาหนดบทลงโทษท่ี รุนแรง สาหรับผกู้ ระทา ค.ผดิ แต่ยงั ไม่มีการจารึกเป็นลาย ลกั ษณ์อกั ษร สาหรับกฎหมายของสุเมเรียนจะมีลกั ษณะแบบ สนองตอบ ซ่ึงต่อมาไดก้ ลายเป็นรากฐาน ของประมวลกฎหมายฮมั มูราบีของ พวกอะมอไรท์
2. ด้านสังคม - สุเมเรียนใหค้ วามสาคญั ต่อสถาบนั ครอบครัว ลูกตอ้ ง เชื่อฟังบิดามารดา และสามีใหภ้ รรยาร่วมมีสิทธ์ิในทรัพยส์ ิน ท้งั น้ีสงั คมสุเมเรียนแบ่งออกเป็น 4 ชนช้นั ไดแ้ ก่ * ชนช้นั สูง คือ ผปู้ กครอง ไดแ้ ก่ นายทหารและพระ * ชนช้นั กลาง ไดแ้ ก่ ทหาร พระ พอ่ คา้ และอาลกั ษณ์ * ชนช้นั ต่า ไดแ้ ก่ ประชาชนซ่ึงส่วนใหญ่ เป็ นเกษตรกร * ชนช้นั ต่าสุด ไดแ้ ก่ ทาส
3. ด้านการประกอบอาชีพ - อาชีพหลกั ของสุเมเรียนมี 3 ประเภท ไดแ้ ก่ การทาเกษตรกรรม งานฝีมือ และการคา้ ขายดว้ ยระบบ แลกเปลี่ยน - ชาวสุเมเรียนรู้จกั การเพาะปลูก ดงั น้ี ทานาปลูกขา้ วสาลี ขา้ วบาเลย์ ประดิษฐค์ นั ไถทาดว้ ยโลหะสาริด และนาววั มาเทียม คนั ไถ เป็นคร้ังแรกที่มนุษยร์ ู้จกั นาสตั วม์ าช่วยทางาน จึง ถือวา่ เป็นการปฏิวตั ิเกษตรกรรมเป็นคร้ังแรกของมนุษย์
4. ด้านศาสนา - สุเมเรียนเป็นกลุ่มชนท่ีบูชาเทพเจา้ แห่ง ธรรมชาติหลายองค์ ซ่ึงเทพเจา้ สูงสุดเริ่มแรกมี 3 องค์ ไดแ้ ก่ เทพเจา้ แห่งทอ้ งฟ้า เทพเจา้ แห่งแผน่ ดิน และ เทพเจา้ แห่งน้า - นอกจากน้ีสุเมเรียนไม่เชื่อในเร่ืองวญิ ญาณ เป็นอมตะ และโลกหนา้ มีจริง แต่เช่ือวา่ วญิ ญาณร้าย จะนามาซ่ึงความเจบ็ ไขแ้ ละความทุกขย์ าก
5. ด้านศิลปะการเขยี น - สุเมเรียนเป็นชนกลุ่มแรกที่พฒั นา ระบบการเขียนเมื่อประมาณ 3,500 B.C. - ในขณะท่ีนครรัฐ Urak เป็นใหญ่ ไดป้ ระดิษฐ์ ตวั อกั ษรเคร่ืองหมายที่เรียกวา่ “อกั ษรรูปลิ่ม หรือ อกั ษร คูนิฟอร์ม” ข้ึน ซ่ึงมีรูปร่างคลา้ ยตวั วใี นภาษาองั กษษ
- สุเมเรียนไดจ้ ารึกตวั อกั ษรคูนิฟอร์มดว้ ยการใชต้ น้ ออ้ แหง้ หรือเหลก็ แหลมกดลงบนดินเหนียว และนาไปตากแดด หรือเผาใหแ้ หง้ เพือ่ เกบ็ รักษา ขอ้ ความส่วนใหญ่จะเป็นเร่ือง เกี่ยวกบั ศาสนาและการปกครอง ถือวา่ มีอายเุ ก่าแก่ที่สุดใน โลก โดยเกิดข้ึนก่อนอกั ษรภาพไฮโรกลิฟิ ก และพีระมิดของ อียปิ ต์
อกั ษรลมิ่ หรือ คูนิฟอร์ม ของชาวสุเมเรียน
- การประดิษฐอ์ กั ษรลิ่มเพอื่ ประโยชนท์ างศาสนกิจ และการบนั ทึกของพวกพระ เช่น บญั ชีการคา้ บญั ชีรายรับ – รายจ่าย บทบญั ญตั ิศาสนา - การประดิษฐอ์ กั ษร เป็นพฒั นาการสาคญั ต่อการ สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมีย และก่อใหเ้ กิดการเขียน วรรณกรรมท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ มหากาพยก์ ิลกาเมซ
มหากาพยก์ ิลกาเมซ เป็นเรื่องการผจญภยั ของวรี บุรุษที่ แสวงหาชีวติ อนั เป็นอมตะ และมีเร่ืองท่ีเกี่ยวกบั น้าท่วมโลก ดว้ ยนกั ปวศ. มีความเขา้ ใจวา่ การเขียนพนั ธสญั ญาเดิม/ พระคมั ภีร์เก่า ที่เป็นส่วนหน่ึงของพระคมั ภีร์ไบเบิล ที่ กล่าวถึงน้าท่วมโลก คงไดร้ ับอิทธิพลจากมหากาพยน์ ้ี
เรือ่ งน่ารู้... “พันธสัญญาเดมิ ” เป็นภาษาฮบิ รู เป็นคัมภีร์ ของศาสนายูดาหม์ าก่อน เนื้อหาประกอบด้วย ประวตั ิ ความเปน็ มาของชนชาติยิว เรอื่ งพระเจ้าสร้างโลก บญั ญตั ิ 10 ประการ ศาสดาพยากรณ์ คาสอน เรื่องพระยโฮวาห์ พระเมสสอิ าห์ การอพยพขา้ มทะเลแดง มบี ทสวด บทสดดุ ี สุภาษิต และบทเพลง
6. ด้านสถาปัตยกรรม - สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่จะทาจากอิฐ ส่งผลใหง้ าน สถาปัตยกรรมไม่คงทนถาวร เหมือนสถาปัตยกรรม ของอียปิ ต์ ซ่ึงทาจากหิน - สถาปัตยกรรมท่ีเด่นที่สุด คือ มหาวหิ ารหอคอย หรือ ซิกกแู รต ที่นครรัฐเออรุค ซ่ึงช้นั บนสดจะเป็นวหิ ารเทพเจา้ เพือ่ ใชเ้ ป็นท่ีประทบั ของเทพเจา้ และเป็นศาสนสถานเพื่อ ประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนา ในเวลากลางคืนพระจะใชว้ หิ าร เทพเจา้ ในการศึกษาหมู่ดาวบนทอ้ งฟ้า ซ่ึงนาไปสู่การสร้าง ผลงานทางดา้ นดาราศาสตร์และโหราศาสตร์
7. ปฏทิ นิ - จะเป็นแบบจนั ทรคติ คือ 1 เดือน มี 29 วนั คร่ึง และมี 354 วนั 8. ด้านวทิ ยาศาสตร์ - สุเมเรียนจะรู้จกั การจดั ระบบชลประทาน เพอ่ื เกบ็ กกั น้าไวใ้ ชใ้ นการเกษตรกรรม - สามารถนบั เลขไดถ้ ึง 60 ซ่ึงนาไปสู่การคน้ พบวา่ 1 วนั มี 24 ชวั่ โมง 1 ชว่ั โมงมี 60 นาที 1 นาทีมี 60 วนิ าที และ 1 วงกลมมี 360 องศา
- เป็นกลุ่มชนท่ีเป็นผนู้ าดา้ นการแพทย์ และยา สมุนไพร และพวกสุเมเรียนไดก้ ลายเป็นผนุ้ าในการศึกษา ดา้ นดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ที่ไดจ้ ากการสงั เกตการ โคจรของดวงดาวบนทอ้ งฟ้า
ด้านเครื่องกล - ชาวสุเมเรียนไดส้ ร้างแป้น/จานหมุน สาหรับใชป้ ้ัน ภาชนะ ถือเป็นเคร่ืองกลชิ้นแรกของโลก
- มีการสร้างวงลอ้ ประกอบติดเพลา ใชก้ บั เกวยี น และรถศึก
ด้านคณติ ศาสตร์ • นาระบบเลขฐาน 12, 24, 60 และ 90 มาใชใ้ นการแบ่ง จานวน เช่น - แบ่งวนั เป็น 24 ชว่ั โมง - แบ่งชวั่ โมง เป็น 60 นาที - แบ่งกลางวนั เป็น 12 ชวั่ โมง กลางคืน 12 ชวั่ โมง • รู้จกั วธิ ีคูณ หาร ยกกาลงั คานวณพ้ืนท่ีของ วงกลม คานวณระยะทาง และคิดมาตราชงั่ ตวง วดั
สมัยอาณาจักรบาลโิ ลเนยี /บาบโิ ลนเกา่ ก่อตัง้ โดยพวกอะมอไรต์ ซง่ึ เป็นชนเผา่ เซมิตกิ มีถิ่น กาเนิดแถบตะวันออกกลางเขา้ มายดึ ครองดินแดนของชาว สเุ มเรยี น และจัดต้งั อาณาจกั รบาบโิ ลเนีย มีอานาจปกครอง ระหวา่ ง 2,000 – 1,600 B.C. ศนู ย์กลางการปกครองอยทู่ ีเ่ มือง บาบิโลน เรียกว่า “พวกบาบิโลน”
ใช้ภาษาพูดตระกูลเซมติ กิ มอี านาจทางการทหารทีเ่ ขม้ แขง็ ผู้นาสาคัญ คือ กษตั ริย์ฮัมบรู าบี เป็นผู้สรา้ งความเขม้ แข็งให้กับจักรวรรดิบาบลิ อน มีการปกครองแบบรวมศนู ยท์ ่ีส่วนกลาง มกี ารเกบ็ ภาษี เกณฑ์ทหาร และมีการค้า ทร่ี ฐั ควบคุมอยา่ งเข้มงวด
ผลงานสาคัญ ประมวลกฎหมายฮัมบรู าบี (เป็น กษัตรยิ ์ชาวอามอไรต์ องค์ท่ี 6) จารึก ลนแผน่ ศลิ า จัดทาในสมยั พระเจ้า ฮัมบรู าบี โดยนาหลกั กฎหมายของพวก สเุ มเรียนมาปรับปรงุ และ จัดระเบียบ ใหเ้ ปน็ หมวดหมู่
ประมวลกฎหมายฮมั บรู าบี เปน็ การจารึกลงบนแทน่ หนิ สูง 2 เมตร สว่ น ตอนบนจะสลักรปู ฮัมมูราบยี นื ต่อหนา้ พระพักตรพ์ ระเจา้ แหง่ ความยุติธรรม ในปี ค.ศ. 1901 นกั โบราณคดีชาวฝรงั่ เศสขดุ พบ แทน่ หนิ น้ีท่ีเมอื งชูซา
สาระสาคญั ของประมวลกฎหมายฮมั บรู าบี ยดึ หลัก “ตาต่อตา ฟนั ตอ่ ฟัน” คอื มบี ทลงโทษผ้ทู าผดิ ดว้ ย การกระทาอย่างเดยี วกัน จุดมงุ่ หมายการจัดทา เพอื่ สร้างความยุติธรรม และความมี ระเบยี บวนิ ยั ในสงั คม และเป็น กฎหมายฉบับแรกที่คมุ้ ครองสิทธิ สตรี เช่น ใหส้ ิทธิฟ้องหย่าสามไี ด้ เปน็ ต้น
สาระสาคญั ของประมวลกฎหมายฮมั บรู าบี ขอ้ บัญญัตขิ องกฎหมายฮัมบรู าบี ทาให้อาณาจักร บาบิโลเนยี มลี กั ษณะเป็นรฐั สวสั ดิการ โดยรฐั ดูแลความ เปน็ อยูข่ องประเทศในด้านต่างๆ เชน่ กาหนดค่า รกั ษาพยาบาล กาหนดค่าก่อสร้าง กาหนดราคาสินคา้ เพ่อื มใิ หป้ ระชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบ รวมท้ังกาหนดใหร้ ฐั จา่ ยคา่ เสียหาย/ทรัพย์สินใหก้ บั เจา้ ของทรัพย์ กรณที ี่ เจา้ หน้าทจี่ ับคนรา้ ยไม่ได้
นอกจากน้ีชาวบาบิโลเนีย ยงั สบื ทอดความเชอ่ื ต่างๆ ของพวกสเุ มเรียนไว้ เช่น * การบชู าเทพเจา้ * การแบ่งชนช้ัน เพอ่ื แบ่งแยกหน้าที่ และสะดวก ต่อการปกครอง * การผลติ สินคา้ อตุ สาหกรรม * การค้ากบั ดนิ แดนอนื่ ได้แก่ อยี ปิ ต์ และ อินเดีย
การเสอ่ื มอานาจของอาณาจกั รบาบิโลเนยี มชี นเผ่าฮิตไทต์ ซ่งึ เป็นพวกอนิ โด-ยูโรเปยี น ซ่ึงมี ความสามารถในการรบโดยใชเ้ หลก็ ทาอาวธุ และใชร้ ถศึก เทยี มมา้ เข้ามาปลน้ สะดม เมอื่ 1,500 B.C. ต่อมาพวกฮติ ไทตเ์ สียอานาจใหพ้ วกแคสไซต์ ทม่ี าจาก เทือกเขาซากรอส และเขา้ ครอบครองบาบโิ ลนนาน 400 ปี พวกฮิตไทต์ได้จัดทาประมวลกฎหมายเพอื่ ใชค้ วบสงั คม โดยไมเ่ นน้ การใช้ความรนุ แรงตอบโต้ผ้ทู าผิด เช่น ให้จา่ ย ค่าปรบั แทนการลงโทษทีร่ ุนแรง
สมัยจกั รวรรดิอัสซีเรีย ชนเผา่ อสั ซเี รียนกอ่ ต้งั จกั รวรรดอิ สั ซีเรยี อนั ยิ่งใหญ่ - ชาวอสั ซีเรยี นมีถ่ินฐานอยู่ทางตอนเหนือของเมโส โปเตเมยี เป็นชนชาตินกั รบ กลา้ หาญ มวี นิ ยั มี ความสามารถสูง และโหดรา้ ย จึงเป็นทหี่ วนั่ เกรง ของชาติอน่ื ๆ
- ชาวอัสซเี รียนใช้อาวธุ ทาด้วยเหลก็ อยา่ งมี ประสิทธภิ าพ ไดเ้ ข้ายดึ ครองดินแดนของพวกบาบโิ ลเนียน เม่อื ประมาณ 800 B.C. และซีเรยี รวมทั้งอาณาจกั รต่างๆ ในเอเชียตะวนั ตก - กระท่งั เมื่อ 671 B.C. ชาวอัสซเี รยี นสามารถ ยดึ ครองดินแดนเมโสโปเตเมียไดท้ ้ังหมด รวมทั้ง อียปิ ตต์ อนเหนือ กลายเป็นจักรวรรดิอสั ซีเรีย ทม่ี อี าณาเขตกวา้ งใหญ่ไพศาล มีศนู ยก์ ลางทเ่ี มอื งนิเนเวห์ (ปัจจบุ นั อยูใ่ นเขต ป.อริ กั )
อารยธรรมสมัยจกั รวรรดิอสั ซีเรีย ความเชือ่ เร่อื งกษัตรยิ ข์ องพวกอัสซีเรยี น มีความเชื่อว่า กษัตรยิ ข์ องตนเป็นตัวแทนของเทวราช เป็นด่ังสมมตเิ ทพ/ ตัวแทนของพระเจา้ ซ่งึ มเี กยี รติและฐานะสงู กวา่ กษัตรยิ ์ ของสเุ มเรยี น ความต่างในขอ้ น้ี แสดงออกทางด้านสถาปัตยกรรม คอื ชาวอัสซเี รยี นนิยมสรา้ งวังใหม้ ขี นาดใหญ่โตมโหฬารกว่า ศาสนสถาน
อารยธรรมสมัยจกั รวรรดิอสั ซีเรยี มรดกทางศิลปกรรมทีส่ าคัญ ได้แก่ การสลักภาพนูน ตา่ ลงบนแผน่ หนิ /แผน่ ดนิ เหนยี ว เป็นภาพท่ีแสดงเก่ียวกับ ชีวติ ประจาวันของชาวอสั ซีเรียน ได้แก่ การลา่ สตั ว์ และ การทาสงครามกบั ชนชาตติ ่างๆ
Search