ภูมปิ ญั ญาศกึ ษา เรอื่ ง การเล้ยี งโคนม โดย 1. นางคาผา ชมุ่ กงิ่ (ผูถ้ ่ายทอดภมู ิปญั ญา) 2. นางพรรษา หาญเทียม (ผู้เรียบเรยี งภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน) เอกสารภมู ปิ ญั ญาศกึ ษานเี้ ปน็ ส่วนหน่ึงของการศกึ ษา ตามหลกั สตู รโรงเรยี นผ้สู งู อายุเทศบาลเมืองวังน้าเยน็ ประจาปกี ารศกึ ษา 2561 โรงเรียนผสู้ งู อายุเทศบาลเมอื งวังน้าเย็น สังกัดเทศบาลเมอื งวงั นา้ เยน็ จังหวดั สระแก้ว
คานา ภูมิปัญญาท้องถ่ิน หรือเรียกช่ืออีกอย่างหน่ึงว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน คือองค์ความรู้ที่ชาวบ้านได้ สั่งสมจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นหรือจากบรรพบุรุษท่ีได้ถ่ายทอดสืบกันมาต้ังแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อนามาใช้แกป้ ัญหาในชวี ิตประจาวัน การทามาหากิน การประกอบการงานเล้ียงชพี หรือกิจกรรมอื่น ๆ เป็น การผ่อนคลายจากการทางาน หรือการย้ายถ่ินฐานเพ่ือมาต้ังถ่ินฐานใหม่แล้วคิดค้นหรือค้นหาวิธีการดังกล่าว เพื่อการแก้ปัญหา โดยสภาพพื้นที่นั้น ชุมชนวังน้าเย็นแห่งนี้ เกิดขึ้นเมื่อราว ๆ 50 ปีท่ีผ่านมา จากการอพยพ ถิ่นฐานของผู้คนมาจากทุก ๆ ภาคของประเทศไทย แล้วมาก่อตั้งเป็นชุมชนวังน้าเย็น ซึ่งบางคนได้นาองค์ ความรู้มาจากถ่ินฐานเดิมแล้วมีการสืบทอดสืบสานมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับ การเลี้ยงโคนม โดย นางคาผา ชุ่มกิ่ง ได้รวบรวม เรียบเรียง ถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนรุ่นหลังได้สืบค้น หรือค้นคว้าเป็น ภมู ิปญั ญาศึกษา ของคนในชมุ ชนเทศบาลเมอื งเมืองวังนา้ เยน็ จงั หวัดสระแกว้ ผู้ศึกษาขอขอบพระคุณ นายวันชัย นารีรักษ์ นายกเทศมนตรีเมืองวังน้าเย็น นายคนองพล เพ็ชรร่ืน ปลัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น คณะกรรมการโรงเรียนผู้สูงอายุ กองสวัสดิการสังคม กองสาธารณสุข และส่ิงแวดล้อม เทศบาลเมืองวังน้าเย็น โรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ์วิทยา โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมือง วังน้าเย็น หน่วยงานอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้อง และขอขอบพระคุณ นางพรรษา หาญเทียม ท่ีได้เป็นที่ปรึกษา ดูแล รับผิดชอบงานด้านธรุ การ บนั ทึกเรอ่ื งราวและจัดทาเป็นรูปเล่มท่ีสมบรู ณ์ครบถ้วน ความรู้อันใดหรือกุศลอันใด ที่เกิดจากการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจร่วมพลังจนเกิดมีภูมิปัญญาศึกษาฉบับน้ี ขอกุศลผลบุญนั้นจงเกิดมีแก่ ผเู้ กยี่ วขอ้ งดงั ที่กลา่ วมาทุก ๆ ทา่ นเพื่อสร้างสังคมแหง่ การเรยี นตอ่ ไป นางคาผา ชุม่ กิง่ นางพรรษา หาญเทียม ผู้จัดทา
ค ทมี่ าและความสาคัญของภมู ปิ ญั ญาศึกษา จากพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช ท่วี า่ “ประชาชนนั่นแหละ ทีเ่ ขามีความรู้เขาทางานมาหลายชว่ั อายคุ น เขาทากนั อย่างไร เขามีความเฉลยี วฉลาด เขาร้วู ่าตรงไหนควร ทากสิกรรม เขารู้วา่ ตรงไหนควรเก็บรักษาไว้ แต่ที่เสยี ไปเพราะพวกไม่รเู้ ร่ือง ไม่ได้ทามานานแลว้ ทาให้ลมื ว่า ชวี ติ มันเป็นไปโดยการกระทาท่ีถูกต้องหรือไม่” พระราชดารัสของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพล อดลุ ยเดช ทส่ี ะท้อนถึงพระปรีชาสามารถในการรับรู้และความเข้าใจหย่ังลกึ ท่ีทรงเหน็ คุณคา่ ของ ภูมปิ ัญญาไทยอยา่ งแทจ้ ริง พระองค์ทรงตระหนักเป็นอย่างย่ิงวา่ ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ เป็นส่ิงทช่ี าวบ้านมีอยู่ แล้ว ใชป้ ระโยชนเ์ พื่อความอยรู่ อดกันมายาวนาน ความสาคญั ของภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ ซึ่งความรทู้ ีส่ ง่ั สมจาก การปฏิบัติจรงิ ในหอ้ งทดลองทางสงั คม เปน็ ความรดู้ งั้ เดิมทีถ่ กู คน้ พบ มีการทดลองใช้ แก้ไข ดัดแปลง จน เปน็ องค์ความรทู้ ี่สามารถแกป้ ัญหาในการดาเนินชวี ติ และถ่ายทอดสบื ต่อกนั มา ภูมปิ ัญญาทอ้ งถิ่นเป็นขุมทรพั ย์ ทางปญั ญาที่คนไทยทุกคนควรรู้ ควรศึกษา ปรับปรุง และพัฒนาให้สามารถนาภูมปิ ัญญาท้องถิน่ เหลา่ นัน้ มา แก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกบั บริบททางสงั คม วัฒนธรรมของกลุ่มชุมชนนัน้ ๆ อย่างแทจ้ ริงการพัฒนา ภมู ิปญั ญาศกึ ษานบั เป็นสงิ่ สาคญั ตอ่ บทบาทของชมุ ชนท้องถนิ่ ทไ่ี ด้พยายามสร้างสรรค์เป็นน้าพักนา้ แรงร่วมกัน ของผู้สูงอายแุ ละคนในชมุ ชนจนกลายเปน็ เอกลักษณ์และวัฒนธรรมประจาถิน่ ทเ่ี หมาะต่อการดาเนินชวี ติ หรือ ภูมิปญั ญาของคนในท้องถนิ่ นั้น ๆ แตภ่ มู ปิ ัญญาท้องถ่นิ สว่ นใหญ่เป็นความรู้ หรือเปน็ สงิ่ ที่ไดม้ าจาก ประสบการณ์ หรือเปน็ ความเชอื่ สบื ตอ่ กนั มา แต่ยังขาดองค์ความรู้ หรอื ขาดหลกั ฐานยืนยนั หนกั แน่น การ สร้างการยอมรบั ที่เกิดจากฐานภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ จึงเปน็ ไปได้ยาก ดงั น้นั เพอื่ ใหเ้ กิดการส่งเสรมิ พัฒนาภูมิปญั ญาที่เปน็ เอกลกั ษณข์ องท้องถ่ิน กระตนุ้ เกดิ ความ ภาคภูมิใจในภมู ปิ ัญญาของบุคคลในท้องถน่ิ ภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย เกิดการถ่ายทอดภมู ปิ ัญญาสู่ คนรนุ่ หลงั โรงเรียนผ้สู งู อายเุ ทศบาลเมืองวงั นา้ เยน็ ไดด้ าเนนิ การจดั ทาหลักสตู รการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนา ศกั ยภาพผู้สูงอายุในท้องถิ่นที่เนน้ ใหผ้ สู้ ูงอายุไดพ้ ฒั นาตนเองใหม้ ีความพร้อมสู่สงั คมผู้สูงอายทุ ีม่ ีคุณภาพใน อนาคต รวมท้ังสืบทอดภูมปิ ัญญาในการดารงชวี ิตของนักเรียนผู้สูงอายทุ ี่ได้สั่งสมมา เกิดจากการสืบทอดภมู ิ ปัญญาของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผู้สงู อายุจะเปน็ ผถู้ ่ายทอดองคค์ วามรู้ และมคี รูพเ่ี ลี้ยงซ่งึ เปน็ คณะครูของ โรงเรียนในสงั กดั เทศบาลเมืองวังน้าเยน็ เปน็ ผ้เู รยี บเรยี งองคค์ วามรู้ไปสู่การจดั ทาภูมปิ ัญญาศึกษา ให้ปรากฏ ออกมาเปน็ รูปเล่มภมู ปิ ัญญาศึกษา ใช้เปน็ สว่ นหน่ึงในการจบหลกั สตู รการศึกษาของโรงเรยี นผู้สูงอายุ ประจาปีการศกึ ษา 2561 พรอ้ มทง้ั เผยแพรแ่ ละจัดเก็บคลังภมู ปิ ัญญาไว้ในห้องสมุดของโรงเรียนเทศบาล มติ รสัมพันธว์ ิทยา เพื่อให้ภูมิปญั ญาท้องถิน่ เหล่านีเ้ กิดการถา่ ยทอดสู่คนรุ่นหลงั สืบต่อไป จากความรว่ มมือในการพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานและภาคีเครือขา่ ยท่ีมสี ่วนรว่ มในการผสมผสาน องค์ความรู้ เพือ่ ยกระดบั ความร้ขู องภมู ิปัญญานน้ั ๆ เพือ่ นาไปสกู่ ารประยกุ ต์ใช้ และผสมผสานเทคโนโลยี ใหม่ ๆ ใหส้ อดรบั กับวถิ ีชวี ติ ของชมุ ชนได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ การนาภมู ิปัญญาไทยกลับส่กู ารศกึ ษา
สามารถสง่ เสรมิ ให้มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาในโรงเรียนเทศบาลมิตรสมั พนั ธว์ ิทยา และโรงเรียนในสงั กัด เทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น เกดิ การมสี ่วนร่วมในกระบวนการถ่ายทอด เชื่อมโยงความรู้ให้กับนกั เรยี นและบุคคล ทวั่ ไปในท้องถ่นิ โดยการนาบุคลากรท่ีมีความรคู้ วามสามารถในท้องถน่ิ เขา้ มาเป็นวิทยากรให้ความรู้กับ นักเรียนในโอกาสต่าง ๆ หรอื การทโ่ี รงเรียนนาองค์ความรูใ้ นท้องถนิ่ เขา้ มาสอนสอดแทรกในกระบวนการ จดั การเรยี นรู้ สง่ิ เหล่านี้ทาใหก้ ารพัฒนาภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน นาไปสกู่ ารสบื ทอดภูมปิ ัญญาศกึ ษาเกดิ ความสาเร็จอยา่ งเปน็ รูปธรรม นักเรียนผ้สู งู อายุเกิดความภาคภูมิใจในภมู ปิ ญั ญาของตนที่ไดถ้ ่ายทอดส่คู น รุ่นหลงั ใหค้ งอยู่ในท้องถิน่ เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวติ ประจาท้องถ่ิน เปน็ วฒั นธรรมการดาเนินชวี ติ คู่ แผน่ ดินไทยตราบนานเทา่ นาน นิยามคาศัพท์ในการจัดทาภูมปิ ัญญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองท่ีผู้สูงอายุเช่ียวชาญที่สุด ของ ผ้สู ูงอายุทเ่ี ขา้ ศกึ ษาตามหลักสตู รของโรงเรียนผู้สงู อายเุ ทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิปัญญา ในรูปแบบต่าง ๆ มีการสืบทอดภูมิปัญญาโดยการปฏิบัติและการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษรตามรูปแบบที่ โรงเรียนผู้สูงอายุกาหนดขึน้ ใช้เป็นสว่ นหนึ่งในการจบหลักสูตรการศกึ ษา เพ่อื ใหภ้ ูมิปัญญาของผู้สูงอายุไดร้ ับ การถา่ ยทอดสู่คนรุน่ หลังและคงอยใู่ นท้องถนิ่ ต่อไป ซึ่งแบง่ ภูมปิ ัญญาศึกษาออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ภูมิปัญญาศกึ ษาทีผ่ ู้สงู อายเุ ปน็ ผู้คิดค้นภมู ิปญั ญาในการดาเนนิ ชวี ติ ในเรอ่ื งท่ีเชย่ี วชาญทสี่ ดุ ดว้ ยตนเอง 2. ภูมิปัญญาศึกษาที่ผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต์ใช้ในการดาเนิน ชวี ติ จนเกดิ ความเชีย่ วชาญ 3. ภูมิปัญญาศึกษาที่ผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช้ในการดาเนินชีวิตโดย ไมม่ ีการเปล่ียนแปลงไปจากเดิมจนเกดิ ความเชยี่ วชาญ ผูถ้ ่ายทอดภมู ิปัญญา หมายถึง ผสู้ ูงอายุทีเ่ ข้าศึกษาตามหลกั สูตรของโรงเรียนผู้สงู อายุเทศบาลเมือง วงั น้าเยน็ เป็นผถู้ า่ ยทอดภมู ิปัญญาการดาเนินชีวติ ในเรื่องท่ีตนเองเช่ยี วชาญมากที่สดุ นามาถ่ายทอดให้แก่ ผเู้ รียบเรยี งภมู ิปญั ญาท้องถิน่ ไดจ้ ัดทาข้อมลู เปน็ รปู เล่มภูมปิ ัญญาศึกษา ผเู้ รยี บเรียงภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน หมายถงึ ผทู้ น่ี าภูมปิ ญั ญาในการดาเนนิ ชวี ติ ในเร่ืองทผี่ ู้สูงอายุ เช่ยี วชาญทีส่ ดุ มาเรยี บเรยี งเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ศกึ ษาหาข้อมูลเพม่ิ เติมจากแหล่งข้อมูลตา่ ง ๆ จดั ทาเป็น เอกสารรปู เลม่ ใช้ชอ่ื ว่า “ภูมิปญั ญาศึกษา”ตามรปู แบบท่ีโรงเรยี นผสู้ งู อายเุ ทศบาลเมืองวงั นา้ เย็นกาหนด ครทู ่ีปรกึ ษา หมายถึง ผูท้ ่ปี ฏิบัติหนา้ ทีเ่ ป็นครพู เี่ ลย้ี ง เป็นผ้เู รียบเรียงภมู ปิ ัญญาท้องถ่ิน ปฏิบัติ หน้าทเ่ี ป็นผ้ปู ระเมนิ ผล เป็นผู้รับรองภูมปิ ญั ญาศึกษา รวมทงั้ เป็นผนู้ าภมู ิปัญญาศกึ ษาเข้ามาสอนในโรงเรียน โดยบูรณาการการจัดการเรียนร้ตู ามหลักสูตรท้องถ่ินท่โี รงเรยี นจดั ทาขน้ึ
ง ภูมิปัญญาศกึ ษาเชอ่ื มโยงสู่สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ 1. ลกั ษณะของภมู ปิ ัญญาไทย ลักษณะของภมู ปิ ญั ญาไทย มีดงั น้ี 1. ภูมปิ ญั ญาไทยมีลกั ษณะเป็นท้งั ความรู้ ทักษะ ความเชื่อ และพฤตกิ รรม 2. ภูมปิ ัญญาไทยแสดงถึงความสมั พันธ์ระหว่างคนกบั คน คนกบั ธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ 3. ภูมปิ ญั ญาไทยเป็นองคร์ วมหรอื กจิ กรรมทกุ อย่างในวถิ ีชวี ิตของคน 4. ภูมปิ ญั ญาไทยเปน็ เรื่องของการแก้ปัญหา การจดั การ การปรับตัว และการเรียนรู้ เพ่ือความอยู่รอดของบุคคล ชมุ ชน และสงั คม 5. ภมู ิปัญญาไทยเป็นพื้นฐานสาคัญในการมองชีวติ เปน็ พืน้ ฐานความร้ใู นเรอ่ื งต่างๆ 6. ภูมิปัญญาไทยมลี ักษณะเฉพาะ หรือมเี อกลักษณใ์ นตวั เอง 7. ภมู ิปญั ญาไทยมกี ารเปล่ียนแปลงเพ่ือการปรบั สมดลุ ในพัฒนาการทางสงั คม 2. คณุ สมบตั ิของภูมิปญั ญาไทย ผู้ทรงภมู ิปัญญาไทยเปน็ ผู้มีคุณสมบัตติ ามทกี่ าหนดไว้ อย่างน้อยดงั ต่อไปน้ี 1. เปน็ คนดมี ีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพต่างๆ มผี ลงานดา้ นการพฒั นา ทอ้ งถิน่ ของตน และได้รับการยอมรบั จากบคุ คลทว่ั ไปอย่างกว้างขวาง ทงั้ ยังเป็นผู้ท่ีใชห้ ลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเปน็ เครื่องยดึ เหนี่ยวในการดารงวถิ ีชวี ติ โดยตลอด 2. เปน็ ผู้คงแก่เรียนและหม่ันศกึ ษาหาความรู้อยู่เสมอ ผู้ทรงภูมปิ ัญญาจะเปน็ ผู้ท่ีหมั่น ศกึ ษาแสวงหาความรเู้ พิ่มเติมอยู่เสมอไมห่ ยุดน่ิง เรียนรูท้ ั้งในระบบและนอกระบบ เปน็ ผู้ลงมอื ทา โดยทดลอง ทาตามทเี่ รยี นมา อีกทง้ั ลองผิด ลองถกู หรือสอบถามจากผู้รูอ้ ่นื ๆ จนประสบความสาเร็จ เปน็ ผู้เช่ยี วชาญ ซง่ึ โดดเด่นเปน็ เอกลักษณ์ในแต่ละด้านอย่างชัดเจน เป็นทยี่ อมรบั การเปลย่ี นแปลงความรู้ใหมๆ่ ทเี่ หมาะสม นามา ปรบั ปรงุ รับใชช้ ุมชน และสงั คมอยเู่ สมอ 3. เป็นผู้นาของท้องถิน่ ผูท้ รงภูมิปัญญาสว่ นใหญจ่ ะเป็นผูท้ สี่ งั คม ในแตล่ ะท้องถ่ินยอมรับ ให้เป็นผู้นา ทั้งผูน้ าทีไ่ ดร้ บั การแต่งตงั้ จากทางราชการ และผู้นาตามธรรมชาติ ซง่ึ สามารถเป็นผู้นาของท้องถิ่น และชว่ ยเหลอื ผูอ้ นื่ ไดเ้ ป็นอย่างดี 4. เปน็ ผู้ทสี่ นใจปัญหาของท้องถ่ิน ผ้ทู รงภมู ิปญั ญาลว้ นเปน็ ผทู้ สี่ นใจปญั หาของท้องถ่ิน เอา ใจใส่ ศึกษาปญั หา หาทางแก้ไข และชว่ ยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกลเ้ คียงอย่างไม่ย่อท้อ จนประสบความสาเรจ็ เปน็ ท่ียอมรับของสมาชิกและบุคคลท่ัวไป
5. เป็นผขู้ ยันหมั่นเพยี ร ผทู้ รงภูมิปญั ญาเป็นผู้ขยันหม่นั เพยี ร ลงมอื ทางานและผลติ ผลงาน อยู่เสมอ ปรบั ปรุงและพฒั นาผลงานให้มีคณุ ภาพมากขึน้ อีกทัง้ มุ่งทางานของตนอยา่ งต่อเน่อื ง 6. เปน็ นกั ปกครองและประสานประโยชนข์ องท้องถิน่ ผู้ทรงภูมิปัญญา นอกจากเปน็ ผู้ที่ ประพฤตติ นเป็นคนดี จนเป็นทีย่ อมรับนบั ถอื จากบคุ คลท่ัวไปแล้ว ผลงานที่ท่านทายงั ถือว่ามคี ณุ คา่ จึงเปน็ ผูท้ ี่ มที ั้ง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เปน็ ผปู้ ระสานประโยชนใ์ ห้บุคคลเกดิ ความรกั ความเข้าใจ ความเห็นใจ และมีความสามัคคีกัน ซึง่ จะทาใหท้ ้องถ่นิ หรือสังคม มีความเจรญิ มีคุณภาพชวี ิตสงู ข้ึนกว่าเดมิ 7. มคี วามสามารถในการถ่ายทอดความรเู้ ป็นเลิศ เมื่อผ้ทู รงภมู ิปญั ญามีความรู้ ความสามารถ และประสบการณเ์ ปน็ เลศิ มีผลงานทีเ่ ป็นประโยชนต์ อ่ ผู้อ่นื และบุคคลทัว่ ไป ทง้ั ชาวบา้ น นกั วิชาการ นกั เรยี น นิสติ /นักศึกษา โดยอาจเข้าไปศกึ ษาหาความรู้ หรือเชญิ ทา่ นเหลา่ นั้นไป เป็นผถู้ ่ายทอด ความรไู้ ด้ 8. เป็นผมู้ คี ู่ครองหรือบริวารดี ผู้ทรงภมู ิปัญญา ถา้ เปน็ คฤหัสถ์ จะพบวา่ ลว้ นมีคูค่ รองทีด่ ี ท่ีคอยสนบั สนนุ ชว่ ยเหลือ ให้กาลงั ใจ ให้ความรว่ มมือในงานท่ีทา่ นทา ชว่ ยให้ผลติ ผลงานท่ีมีคุณคา่ ถา้ เป็น นกั บวช ไมว่ ่าจะเปน็ ศาสนาใด ตอ้ งมีบรวิ ารท่ีดี จงึ จะสามารถผลติ ผลงานท่มี คี ุณคา่ ทางศาสนาได้ 9. เปน็ ผู้มปี ญั ญารอบรแู้ ละเช่ยี วชาญจนไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เป็นปราชญ์ ผทู้ รงภมู ิปญั ญา ต้องเป็นผู้มปี ัญญารอบรู้และเชี่ยวชาญ รวมทงั้ สรา้ งสรรค์ผลงานพเิ ศษใหมๆ่ ทเี่ ป็นประโยชนต์ ่อสงั คมและ มนษุ ยชาตอิ ย่างตอ่ เน่ืองอยู่เสมอ 3. การจัดแบง่ สาขาภูมิปัญญาไทย จากการศึกษาพบวา่ มีการกาหนดสาขาภมู ปิ ญั ญาไทยไวอ้ ย่างหลากหลาย ข้นึ อยู่กบั วตั ถุประสงค์ และ หลักเกณฑ์ต่างๆ ท่หี นว่ ยงาน องค์กร และนักวชิ าการแตล่ ะทา่ นนามากาหนด ในภาพรวมภูมปิ ญั ญาไทย สามารถแบ่งได้เป็น 10 สาขา ดงั นี้ 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทกั ษะ และ เทคนคิ ดา้ นการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพฒั นาบนพื้นฐานคุณคา่ ด้งั เดมิ ซ่ึงคนสามารถพงึ่ พาตนเอง ในภาวการณ์ตา่ งๆ ได้ เช่น การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไร่นาสวนผสม และ สวนผสมผสาน การแก้ปญั หาการเกษตรดา้ นการตลาด การแกป้ ญั หาดา้ นการผลิต การแกไ้ ขปัญหาโรคและ แมลง และการรูจ้ ักปรบั ใชเ้ ทคโนโลยีท่เี หมาะสมกับการเกษตร เปน็ ตน้ 2. สาขาอตุ สาหกรรมและหัตถกรรม หมายถงึ การรูจ้ ักประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยสี มัยใหม่ ในการแปรรูปผลิตผล เพื่อชะลอการนาเขา้ ตลาด เพื่อแก้ปัญหาดา้ นการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยดั และ เปน็ ธรรม อันเปน็ กระบวนการทที่ าใหช้ ุมชนท้องถ่นิ สามารถพ่ึงพาตนเองทางเศรษฐกจิ ได้ ตลอดทัง้ การผลิต และการจาหน่าย ผลิตผลทางหัตถกรรม เชน่ การรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุม่ หัตถกรรม เปน็ ต้น
3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจดั การปอ้ งกนั และรักษา สุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นใหช้ ุมชนสามารถพ่ึงพาตนเอง ทางด้านสขุ ภาพ และอนามยั ได้ เช่น การนวด แผนโบราณ การดูแลและรักษาสขุ ภาพแบบพ้นื บา้ น การดูแลและรักษาสุขภาพแผนโบราณไทย เป็นต้น 4. สาขาการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม หมายถงึ ความสามารถเก่ียวกับการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากคณุ ค่าของทรัพยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดล้อม อยา่ งสมดลุ และย่งั ยนื เชน่ การทา แนวปะการงั เทียม การอนรุ ักษป์ ่าชายเลน การจัดการป่าต้นนา้ และป่าชุมชน เปน็ ต้น 5. สาขากองทุนและธรุ กจิ ชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจดั การด้านการ สะสม และบรกิ ารกองทนุ และธุรกิจในชมุ ชน ทง้ั ท่ีเปน็ เงนิ ตรา และโภคทรัพย์ เพือ่ ส่งเสริมชีวิตความเปน็ อยู่ ของสมาชิกในชมุ ชน เชน่ การจัดการเร่อื งกองทนุ ของชมุ ชน ในรูปของสหกรณอ์ อมทรัพย์ และธนาคารหมู่บา้ น เป็นตน้ 6. สาขาสวัสดกิ าร หมายถึง ความสามารถในการจดั สวัสดกิ ารในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ใหเ้ กิดความมน่ั คงทางเศรษฐกิจ สังคมและวฒั นธรรม เชน่ การจดั ตง้ั กองทุนสวสั ดิการรกั ษาพยาบาล ของชมุ ชน การจัดระบบสวัสดกิ ารบริการในชุมชน การจัดระบบส่งิ แวดล้อมในชมุ ชน เปน็ ตน้ 7. สาขาศลิ ปกรรม หมายถงึ ความสามารถในการผลติ ผลงานทางดา้ นศลิ ปะสาขาตา่ ง ๆ เช่น จติ รกรรม ประตมิ ากรรม วรรณกรรม ทศั นศลิ ป์ คีตศลิ ป์ ศลิ ปะมวยไทย เป็นตน้ 8. สาขาการจัดการองคก์ ร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องค์กรชมุ ชนต่างๆ ใหส้ ามารถพฒั นา และบรหิ ารองคก์ รของตนเองได้ ตามบทบาท และหนา้ ที่ขององค์การ เชน่ การจัดการองคก์ รของกลุ่มแมบ่ า้ น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มประมงพื้นบา้ น เปน็ ต้น 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเกยี่ วกบั ด้านภาษา ทงั้ ภาษาถ่นิ ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช้ภาษา ตลอดทง้ั ด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจดั ทา สารานกุ รมภาษาถ่นิ การปริวรรต หนงั สอื โบราณ การฟนื้ ฟูการเรยี นการสอนภาษาถ่นิ ของท้องถิ่นต่าง ๆ เปน็ ต้น 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถงึ ความสามารถประยกุ ต์ และปรบั ใช้หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเช่อื และประเพณีดั้งเดิมท่ีมคี ุณคา่ ให้เหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบัติ ใหบ้ ังเกิดผลดีต่อ บคุ คล และสิง่ แวดล้อม เช่น การถ่ายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลกั ษณะความสัมพันธ์ของภูมปิ ญั ญาไทย ภมู ปิ ญั ญาไทยสามารถสะท้อนออกมาใน 3 ลักษณะท่ีสมั พันธใ์ กล้ชิดกัน คอื 1.1 ความสมั พนั ธ์อย่างใกล้ชิดกนั ระหว่างคนกบั โลก ส่ิงแวดล้อม สตั ว์ พชื และ ธรรมชาติ 1.2 ความสัมพันธ์ของคนกับคนอื่นๆ ท่ีอยรู่ ว่ มกนั ในสังคม หรือในชมุ ชน
1.3 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับส่งิ ศักดิ์สิทธิส์ งิ่ เหนอื ธรรมชาติ ตลอดทง้ั ส่งิ ที่ไม่สามารถ สัมผสั ไดท้ ั้งหลาย ทัง้ 3 ลักษณะน้ี คือ สามมติ ิของเร่ืองเดียวกัน หมายถงึ ชวี ิตชุมชน สะท้อนออกมาถึงภมู ิ ปัญญาในการดาเนินชวี ิตอยา่ งมเี อกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลย่ี ม ภูมิปัญญา จึงเป็นรากฐานในการ ดาเนินชีวติ ของคนไทย ซ่ึงสามารถแสดงใหเ้ หน็ ได้อยา่ งชดั เจนโดยแผนภาพ ดังนี้ ลกั ษณะภมู ปิ ัญญาทเ่ี กิดจากความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งคนกับธรรมชาตสิ ่ิงแวดล้อม จะแสดงออกมา ในลกั ษณะภูมปิ ญั ญาในการดาเนนิ วถิ ีชวี ิตขั้นพื้นฐาน ดา้ นปัจจยั สี่ ซ่ึงประกอบดว้ ย อาหาร เครอ่ื งนุง่ ห่ม ทอี่ ยอู่ าศยั และยารักษาโรค ตลอดทัง้ การประกอบ อาชีพตา่ งๆ เปน็ ต้น ภูมิปัญญาท่ีเกิดจาก ความสัมพันธ์ระหวา่ งคนกับคนอืน่ ในสังคม จะแสดงออกมาในลกั ษณะ จารีต ขนบธรรมเนยี มประเพณี ศลิ ปะ และนนั ทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดท้งั การส่ือสารต่างๆ เป็นต้น ภูมิปัญญาทเ่ี กิดจากความสมั พันธ์ระหว่างคนกบั สิง่ ศักด์ิสทิ ธิ์ สง่ิ เหนอื ธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลักษณะของสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ ศาสนา ความเชอื่ ตา่ งๆ เป็นต้น 4. คุณคา่ และความสาคญั ของภมู ปิ ญั ญาไทย คุณคา่ ของภูมิปญั ญาไทย ได้แก่ ประโยชน์ และความสาคญั ของภมู ปิ ญั ญา ที่บรรพบุรุษไทย ได้ สร้างสรรค์ และสบื ทอดมาอย่างตอ่ เนื่อง จากอดตี สูป่ ัจจบุ ัน ทาใหค้ นในชาติเกดิ ความรัก และความภาคภูมิใจ ทจ่ี ะรว่ มแรงร่วมใจสบื สานต่อไปในอนาคต เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม ประเพณีไทย การมี น้าใจ ศักยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นต้น ภมู ิปญั ญาไทยจึงมคี ุณคา่ และความสาคัญดังนี้ 1. ภมู ปิ ัญญาไทยช่วยสร้างชาติให้เป็นปึกแผน่ พระมหากษัตรยิ ์ไทยได้ใชภ้ ูมิปญั ญาในการสรา้ งชาติ สรา้ งความเปน็ ปึกแผน่ ใหแ้ ก่ ประเทศชาติมาโดยตลอด ตง้ั แตส่ มัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช พระองคท์ รงปกครองประชาชน ดว้ ยพระ เมตตา แบบพ่อปกครองลกู ผู้ใดประสบความเดือดร้อน ก็สามารถตรี ะฆงั แสดงความเดือดร้อน เพ่ือขอรับ พระราชทานความช่วยเหลอื ทาใหป้ ระชาชนมีความจงรกั ภักดีตอ่ พระองค์ ต่อประเทศชาติรว่ มกันสร้าง บา้ นเรอื นจนเจรญิ รุ่งเรืองเปน็ ปกึ แผ่น สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใช้ภูมิปญั ญากระทายุทธหตั ถี จนชนะข้าศึกศตั รู
และทรงกอบก้เู อกราชของชาติไทยคนื มาได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจบุ ัน พระองค์ทรงใชภ้ ูมิปัญญาสรา้ งคุณประโยชนแ์ ก่ประเทศชาติ และเหล่าพสกนิกรมากมายเหลอื คณานับ ทรงใช้ พระปรีชาสามารถ แก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมอื ง ภายในประเทศ จนรอดพน้ ภยั พิบัตหิ ลายคร้งั พระองค์ทรง มพี ระปรีชาสามารถหลายด้าน แม้แต่ดา้ นการเกษตร พระองค์ได้พระราชทานทฤษฎีใหมใ่ หแ้ ก่พสกนิกร ท้ังดา้ นการเกษตรแบบสมดลุ และยัง่ ยนื ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นาความสงบรม่ เย็นของประชาชนใหก้ ลบั คนื มา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎีใหม่\" แบ่งออกเป็น 2 ข้ัน โดยเรม่ิ จาก ข้ันตอนแรก ให้เกษตรกรรายยอ่ ย \"มีพออยู่ พอกนิ \" เปน็ ขนั้ พืน้ ฐาน โดยการพัฒนาแหลง่ น้า ในไรน่ า ซงึ่ เกษตรกรจาเปน็ ทีจ่ ะต้องไดร้ ับความชว่ ยเหลือจาก หน่วยราชการ มูลนธิ ิ และหนว่ ยงานเอกชน รว่ มใจกนั พัฒนาสงั คมไทย ในข้นั ทสี่ อง เกษตรกรตอ้ งมคี วาม เขา้ ใจ ในการจัดการในไร่นาของตน และมีการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์ เพ่ือสร้างประสิทธภิ าพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจ่ายด้านความเป็นอยู่ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค์กรเอกชน เมื่อกลุ่มเกษตร วิวฒั น์มาขนั้ ท่ี 2 แลว้ ก็จะมีศักยภาพ ในการพัฒนาไปส่ขู ้นั ทีส่ าม ซงึ่ จะมีอานาจในการต่อรองผลประโยชนก์ ับ สถาบันการเงนิ คอื ธนาคาร และองค์กรทีเ่ ป็นเจา้ ของแหล่งพลงั งาน ซ่ึงเปน็ ปจั จัยหน่ึงในการผลิต โดยมกี าร แปรรปู ผลติ ผล เช่น โรงสี เพ่ือเพ่ิมมูลค่าผลติ ผล และขณะเดียวกนั มีการจดั ต้ังรา้ นคา้ สหกรณ์ เพ่ือลดค่าใช้จา่ ย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสงั คม จะเห็นได้วา่ มิได้ทรงทอดทง้ิ หลักของ ความสามคั คใี นสังคม และการจดั ตั้งสหกรณ์ ซง่ึ ทรงสนับสนุนให้กลมุ่ เกษตรกรสร้างอานาจต่อรองในระบบ เศรษฐกจิ จึงจะมคี ุณภาพชวี ิตท่ดี ี จึงจดั ได้วา่ เป็นสงั คมเกษตรท่พี ฒั นาแล้ว สมดังพระราชประสงคท์ ีท่ รงอุทิศ พระวรกาย และพระสติปัญญา ในการพัฒนาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ 2. สร้างความภาคภูมิใจ และศกั ด์ิศรี เกยี รติภมู ิแก่คนไทย คนไทยในอดีตท่ีมีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร์มีมาก เป็นท่ียอมรบั ของนานา อารยประเทศ เชน่ นายขนมต้มเปน็ นกั มวยไทย ที่มีฝีมือเกง่ ในการใชอ้ วัยวะทุกสว่ น ทุกท่าของแมไ่ ม้มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพมา่ ได้ถึงเกา้ คนสิบคนในคราวเดยี วกนั แม้ในปัจจบุ ัน มวยไทยกย็ งั ถือว่า เปน็ ศลิ ปะชนั้ เยยี่ ม เปน็ ที่ นยิ มฝึกและแข่งขนั ในหมคู่ นไทยและชาวตา่ ง ประเทศ ปจั จบุ นั มีค่ายมวยไทยท่วั โลกไม่ ต่ากว่า 30,000 แห่ง ชาวต่างประเทศท่ีได้ฝึกมวยไทย จะรู้สึกยินดแี ละภาคภูมิใจ ในการทจ่ี ะใช้กติกา ของมวย ไทย เช่น การไหวค้ รูมวยไทย การออก คาส่ังในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เช่น คาว่า \"ชก\" \"นับหน่ึงถงึ สิบ\" เป็นตน้ ถือเปน็ มรดก ภมู ปิ ัญญาไทย นอกจากน้ี ภูมิปัญญาไทยท่ีโดด เด่นยังมอี ีกมากมาย เชน่ มรดกภมู ิ ปญั ญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยทีม่ ีอกั ษรไทยเป็นของ ตนเองมาตั้งแตส่ มยั กรุงสุโขทยั และววิ ัฒนาการ มาจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถอื ว่า เปน็ วรรณกรรมทมี่ ีความไพเราะ ได้อรรถรสครบทุกด้าน วรรณกรรม หลายเรอ่ื งได้รับการแปลเปน็ ภาษาต่างประเทศหลายภาษา ด้านอาหาร อาหารไทยเปน็ อาหารที่ปรงุ ง่าย พืชท่ี ใช้ประกอบอาหารสว่ นใหญ่เป็นพชื สมนุ ไพร ทหี่ าได้งา่ ยในท้องถิ่น และราคาถกู มี คุณคา่ ทางโภชนาการ และ
ยงั ปอ้ งกนั โรคไดห้ ลายโรค เพราะส่วนประกอบสว่ นใหญ่เป็นพชื สมนุ ไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระชาย ใบมะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นตน้ 3. สามารถปรับประยุกต์หลักธรรมคาสอนทางศาสนาใช้กับวถิ ีชีวิตไดอ้ ยา่ งเหมาะสม คนไทยสว่ นใหญ่นบั ถือศาสนาพทุ ธ โดยนาหลกั ธรรมคาสอนของศาสนา มาปรบั ใช้ในวิถีชีวติ ได้อยา่ งเหมาะสม ทาให้คนไทยเป็นผู้ออ่ นน้อมถอ่ มตน เอื้อเฟ้อื เผื่อแผ่ ประนปี ระนอม รักสงบ ใจเยน็ มคี วาม อดทน ให้อภยั แก่ผู้สานึกผิด ดารงวิถชี วี ิตอยา่ งเรียบง่าย ปกติสขุ ทาให้คนในชมุ ชนพ่งึ พากนั ได้ แมจ้ ะอดอยาก เพราะ แห้งแล้ง แต่ไม่มีใครอดตาย เพราะพงึ่ พาอาศยั กัน แบ่งปนั กนั แบบ \"พริกบ้านเหนือเกลือบ้านใต้\" เปน็ ต้น ทง้ั หมดน้ีสืบเน่อื งมาจากหลกั ธรรมคาสอนของพระพทุ ธศาสนา เปน็ การใชภ้ ูมปิ ญั ญา ในการนาเอาหลัก ของพระพทุ ธศาสนามา ประยุกตใ์ ชก้ ับชวี ติ ประจาวัน และดาเนินกุศโลบาย ด้านตา่ งประเทศ จนทาให้ชาว พุทธทว่ั โลกยกย่อง ให้ประเทศไทยเป็นผูน้ าทางพุทธศาสนา และเป็น ทต่ี งั้ สานักงานใหญ่องค์การพุทธศาสนิก สัมพันธ์ แห่งโลก (พสล.) อยเู่ ยอ้ื งๆ กบั อุทยานเบญจสริ ิ กรุงเทพมหานคร โดยมคี นไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรม ศกั ดิ์ องคมนตรี) ดารงตาแหน่งประธาน พสล. ต่อจาก ม.จ.หญงิ พูนพศิ มัย ดิศกลุ 4. สร้างความสมดุลระหว่างคนในสังคม และธรรมชาติได้อยา่ งยัง่ ยืน ภมู ปิ ัญญาไทยมคี วามเดน่ ชัดในเรื่องของการยอมรับนับถือ และให้ความสาคัญแกค่ น สังคม และธรรมชาติอย่างยิ่ง มีเครื่องช้ีทีแ่ สดงใหเ้ หน็ ได้อย่างชดั เจนมากมาย เชน่ ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดท้ังปี ล้วนเคารพคณุ คา่ ของธรรมชาติ ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น ประเพณสี งกรานต์ เปน็ ประเพณีท่ีทาใน ฤดรู ้อนซึ่งมีอากาศร้อน ทาให้ตอ้ งการความเยน็ จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ้านเรอื น และธรรมชาตสิ ิ่งแวดลอ้ ม มกี ารแหน่ างสงกรานต์ การทานายฝนวา่ จะตกมากหรอื น้อยในแต่ละปี สว่ นประเพณีลอยกระทง คุณค่าอย่ทู ี่การบชู า ระลึกถงึ บญุ คุณของน้า ทห่ี ล่อเลีย้ งชวี ติ ของ คน พืช และสตั ว์ ให้ได้ใชท้ ง้ั บริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจงึ ทาความสะอาดแม่น้า ลาธาร บูชาแมน่ า้ จากตวั อย่าง ข้างต้น ล้วนเป็น ความสัมพันธ์ระหวา่ งคนกับสงั คมและธรรมชาติ ทง้ั สนิ้ ในการรกั ษาป่าไม้ต้นนา้ ลาธาร ได้ประยุกตใ์ ห้มปี ระเพณกี ารบวชป่า ใหค้ นเคารพสงิ่ ศกั ดิ์สทิ ธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดลอ้ ม ยังความอุดมสมบูรณ์แกต่ ้นน้า ลาธาร ให้ฟนื้ สภาพกลับคืนมาได้มาก อาชีพ การเกษตรเปน็ อาชีพหลักของคนไทย ที่คานงึ ถึงความสมดุล ทาแตน่ อ้ ยพออยู่พอกิน แบบ \"เฮ็ดอยู่เฮด็ กิน\" ของ พอ่ ทองดี นนั ทะ เม่ือเหลือกิน กแ็ จกญาติพน่ี ้อง เพ่ือนบ้าน บ้านใกลเ้ รอื นเคยี ง นอกจากนี้ ยังนาไปแลกเปลีย่ น กับสิ่งของอยา่ งอืน่ ที่ตนไม่มี เมอื่ เหลือใชจ้ ริงๆ จึงจะนาไปขาย อาจกลา่ วไดว้ ่า เป็นการเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาให้คนในสังคมได้ช่วยเหลอื เกื้อกูล แบ่งปันกนั เคารพรกั นบั ถอื เปน็ ญาติกัน ท้ังหมูบ่ ้าน จงึ อยู่ รว่ มกนั อยา่ งสงบสุข มคี วามสัมพนั ธก์ ันอย่างแนบแน่น ธรรมชาติไม่ถกู ทาลายไปมากนกั เน่อื งจากทาพออยู่พอ กิน ไม่โลภมากและไม่ทาลายทกุ อย่างผิด กบั ในปัจจบุ นั ถือเป็นภมู ปิ ญั ญาทีส่ ร้างความ สมดลุ ระหวา่ งคน สังคม และธรรมชาติ
5. เปล่ยี นแปลงปรับปรุงได้ตามยุคสมัย แม้วา่ กาลเวลาจะผ่านไป ความรู้สมัยใหม่ จะหลั่งไหลเขา้ มามาก แตภ่ ูมปิ ัญญาไทย กส็ ามารถ ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับยุคสมยั เช่น การรู้จกั นาเครื่องยนต์มาตดิ ตงั้ กบั เรอื ใส่ใบพดั เป็นหางเสือ ทาให้เรือ สามารถแล่นได้เรว็ ขน้ึ เรยี กว่า เรอื หางยาว การรู้จกั ทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลกิ ฟื้นคนื ธรรมชาติให้ อดุ มสมบรู ณ์แทนสภาพเดมิ ท่ีถูกทาลายไป การรู้จักออมเงิน สะสมทุนใหส้ มาชิกกู้ยมื ปลดเปลอื้ ง หนส้ี นิ และจัดสวัสดกิ ารแก่สมาชิก จนชุมชนมีความม่นั คง เขม้ แข็ง สามารถช่วยตนเองไดห้ ลายร้อยหมบู่ า้ นทั่ว ประเทศ เช่น กลมุ่ ออมทรัพย์คีรวี ง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทนุ หมุนเวยี นของชมุ ชน จนสามารถ ช่วยตนเองได้ เมอ่ื ปา่ ถกู ทาลาย เพราะถูกตัดโค่น เพ่อื ปลูกพชื แบบเดี่ยว ตามภมู ิปัญญาสมัยใหม่ ท่ีหวัง ร่ารวย แต่ในทส่ี ดุ ก็ขาดทุน และมีหน้ีสิน สภาพแวดล้อมสูญเสียเกดิ ความแหง้ แลง้ คนไทยจงึ คดิ ปลูกป่า ทีก่ นิ ได้ มพี ืชสวน พืชปา่ ไมผ้ ล พชื สมนุ ไพร ซ่งึ สามารถมกี ินตลอดชวี ิตเรยี กว่า \"วนเกษตร\" บางพนื้ ท่ี เม่ือปา่ ชุมชน ถกู ทาลาย คนในชุมชนก็รวมตวั กนั เปน็ กลุม่ รกั ษาป่า รว่ มกนั สรา้ งระเบยี บ กฎเกณฑก์ ันเอง ใหท้ ุกคนถือ ปฏบิ ตั ิได้ สามารถรักษาป่าได้อย่างสมบรู ณ์ดงั เดมิ เมื่อปะการงั ธรรมชาติถกู ทาลาย ปลาไม่มีทอ่ี ยู่อาศัย ประชาชนสามารถสร้าง \"อหู ยัม\" ขึน้ เป็นปะการังเทียม ให้ปลาอาศยั วางไข่ และแพร่พนั ธ์ุให้เจริญเตบิ โต มีจานวนมากดงั เดิมได้ ถือเป็นการใช้ภูมปิ ญั ญาปรับปรงุ ประยุกตใ์ ช้ไดต้ ามยุคสมยั สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชนฯ เล่มที่ 19 ใหค้ วามหมายของคาว่า ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น หมายถงึ ความรู้ของชาวบา้ น ซึง่ ไดม้ าจากประสบการณ์ และความเฉลยี วฉลาดของชาวบา้ น รวมทงั้ ความรทู้ ่ี สง่ั สมมาแต่บรรพบรุ ษุ สืบทอดจากคนรุน่ หน่งึ ไปสู่คนอีกรุ่นหนงึ่ ระหว่างการสบื ทอดมีการปรบั ประยุกต์ และ เปลี่ยนแปลง จนอาจเกดิ เปน็ ความรูใ้ หม่ตามสภาพการณ์ทางสงั คมวัฒนธรรม และ สง่ิ แวดล้อม ภมู ปิ ญั ญาเปน็ ความรู้ที่ประกอบไปด้วยคุณธรรม ซึ่งสอดคลอ้ งกบั วิถชี วี ิตด้งั เดิมของชาวบ้าน ในวิถีด้ังเดมิ นน้ั ชวี ติ ของชาวบา้ นไม่ไดแ้ บง่ แยกเป็นสว่ นๆ หากแต่ทุกอย่างมีความสมั พันธก์ ัน การทามาหากนิ การอยู่ร่วมกนั ในชมุ ชน การปฏิบตั ิศาสนา พธิ ีกรรมและประเพณี ความรูเ้ ปน็ คณุ ธรรม เมือ่ ผคู้ นใชค้ วามรนู้ ั้น เพอื่ สรา้ งความสัมพันธ์ท่ีดรี ะหว่าง คนกบั คน คนกบั ธรรมชาติ และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ ความสมั พันธท์ ด่ี ี เปน็ ความสมั พนั ธท์ ี่มีความสมดลุ ทเี่ คารพกันและกนั ไมท่ าร้ายทาลายกนั ทาให้ทกุ ฝา่ ยทุกส่วนอย่รู ว่ มกนั ได้ อย่างสันติ ชุมชนดง้ั เดมิ จึงมกี ฎเกณฑข์ องการอยูร่ ว่ มกนั มีคนเฒ่าคนแก่เป็นผนู้ า คอยให้คาแนะนาตกั เตือน ตัดสนิ และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบา้ นเคารพธรรมชาตริ อบตัว ดิน น้า ปา่ เขา ขา้ ว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบ้านเคารพผหู้ ลกั ผใู้ หญ่ พอ่ แม่ ปยู่ า่ ตายาย ทงั้ ทม่ี ีชวี ิตอยู่และลว่ งลบั ไปแล้ว ภูมิปัญญาจึง เป็นความรทู้ ี่มีคุณธรรม เปน็ ความร้ทู ม่ี เี อกภาพของทกุ สง่ิ ทุกอยา่ ง เปน็ ความร้วู า่ ทกุ ส่งิ ทุกอยา่ งสัมพนั ธ์กัน อย่างมีความสมดุล เราจงึ ยกย่องความรู้ขน้ั สูงสง่ อนั เปน็ ความร้แู จ้งในความจรงิ แหง่ ชวี ติ นว้ี า่ \"ภูมิปัญญา\"
ความคดิ และการแสดงออก เพื่อจะเขา้ ใจภมู ิปญั ญาชาวบ้าน จาเปน็ ต้องเข้าใจความคดิ ของชาวบา้ นเกีย่ วกับ โลก หรอื ท่เี รยี กว่า โลกทัศน์ และเก่ียวกับชีวิต หรือท่เี รยี กวา่ ชวี ทัศน์ สงิ่ เหล่านีเ้ ปน็ นามธรรม อนั เกยี่ วขอ้ ง สมั พันธ์โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะตา่ งๆ ท่ีเปน็ รูปธรรม แนวคิดเรอ่ื งความสมดลุ ของชวี ติ เปน็ แนวคดิ พื้นฐานของภมู ปิ ัญญาชาวบา้ น การแพทย์แผนไทย หรอื ที่เคยเรยี กกนั วา่ การแพทย์แผนโบราณนน้ั มีหลักการว่า คนมสี ุขภาพดี เมอื่ ร่างกายมีความสมดุลระหว่างธาตุทงั้ ๔ คือ ดิน นา้ ลม ไฟ คนเจบ็ ไขไ้ ด้ปว่ ย เพราะธาตุขาดความสมดลุ จะมีการปรับธาตุ โดยใช้ยาสมุนไพร หรอื วิธีการอ่ืนๆ คนเป็นไข้ตัวร้อน หมอยา พ้ืนบา้ นจะให้ยาเย็น เพ่ือลดไข้ เปน็ ต้น การดาเนินชวี ิตประจาวันกเ็ ชน่ เดยี วกัน ชาวบ้านเชือ่ ว่า จะต้องรักษา ความสมดลุ ในความสัมพันธ์สามด้าน คือ ความสมั พันธ์กับคนในครอบครวั ญาติพี่น้อง เพ่อื นบา้ นในชุมชน ความสมั พันธท์ ด่ี ีมีหลกั เกณฑ์ ท่บี รรพบุรษุ ได้สั่งสอนมา เชน่ ลูกควรปฏบิ ตั ิอยา่ งไรกับพอ่ แม่ กับญาติพี่น้อง กบั ผสู้ งู อายุ คนเฒา่ คนแก่ กบั เพ่ือนบ้าน พ่อแม่ควรเลีย้ งดูลูกอย่างไร ความเอือ้ อาทรต่อกนั และกัน ชว่ ยเหลอื เกื้อกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกขย์ าก หรือมีปัญหา ใครมีความสามารถพิเศษกใ็ ช้ความสามารถนน้ั ชว่ ยเหลือ ผอู้ ืน่ เชน่ บางคนเป็นหมอยา กช็ ว่ ยดแู ลรกั ษาคนเจ็บป่วยไม่สบาย โดยไมค่ ดิ คา่ รักษา มีแต่เพียงการยกครู หรือ การราลกึ ถึงครูบาอาจารย์ท่ปี ระสาทวิชามาให้เท่าน้นั หมอยาตอ้ งทามาหากิน โดยการทานา ทาไร่ เลย้ี งสัตว์ เหมอื นกบั ชาวบา้ นอ่ืนๆ บางคนมคี วามสามารถพิเศษดา้ นการทามาหากิน กช็ ว่ ยสอนลูกหลานให้มวี ชิ าไปดว้ ย ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑเ์ ปน็ ข้อปฏิบตั ิ และข้อห้าม อย่างชดั เจน มีการแสดงออกทางประเพณี พธิ ีกรรม และกิจกรรมต่างๆ เช่น การรดน้าดาหวั ผ้ใู หญ่ การบายศรี สู่ขวญั เปน็ ตน้ ความสมั พันธ์กบั ธรรมชาติ ผคู้ นสมัยก่อนพึง่ พาอาศยั ธรรมชาตแิ ทบทุกด้าน ต้งั แต่อาหารการ กิน เครอื่ งนุ่งหม่ ท่ีอย่อู าศัย และยารกั ษาโรค วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยยี งั ไม่พัฒนากา้ วหนา้ เหมอื นทกุ วันน้ี ยงั ไม่มีระบบการคา้ แบบสมัยใหม่ ไมม่ ตี ลาด คนไปจับปลาล่าสตั ว์ เพื่อเปน็ อาหารไปวนั ๆ ตัดไม้ เพอื่ สรา้ งบ้าน และใช้สอยตามความจาเป็นเทา่ น้ัน ไม่ได้ทาเพ่ือการค้า ชาวบา้ นมหี ลักเกณฑใ์ นการใช้สิง่ ของในธรรมชาติ ไม่ ตดั ไม้ออ่ น ทาใหต้ น้ ไม้ในป่าข้ึนแทนต้นท่ีถูกตดั ไปได้ตลอดเวลา ชาวบา้ นยังไมร่ จู้ กั สารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ฆา่ หญ้า ฆ่าสัตว์ ไม่ใชป้ ยุ๋ เคมี ใชส้ ิง่ ของในธรรมชาติใหเ้ ก้ือกูลกัน ใช้มูลสัตว์ ใบไมใ้ บ หญา้ ที่เนา่ เปอ่ื ยเป็นปุย๋ ทาใหด้ นิ อุดมสมบรู ณ์ น้าสะอาด และไมเ่ หือดแหง้ ชาวบ้านเคารพธรรมชาติ เช่อื ว่า มเี ทพมีเจ้าสถิตอยใู่ นดิน นา้ ปา่ เขา สถานทที่ ุกแหง่ จะทาอะไรตอ้ งขออนุญาต และทาดว้ ยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ้าน รูค้ ุณธรรมชาติ ทไี่ ด้ใหช้ วี ติ แก่ตน พธิ ีกรรมต่างๆ ล้วนแสดงออกถงึ แนวคดิ ดังกล่าว เชน่ งานบญุ พธิ ี ทเี่ กย่ี วกับ น้า ขา้ ว ปา่ เขา รวมถงึ สัตว์ บ้านเรือน เครื่องใชต้ ่างๆ มพี ิธีสู่ขวญั ข้าว ส่ขู วญั ควาย สู่ขวัญเกวยี น ทางอสี านมี พธิ แี ฮกนา หรอื แรกนา เลีย้ งผตี าแฮก มงี านบญุ บ้าน เพือ่ เลย้ี งผี หรอื สง่ิ ศกั ดิ์สทิ ธป์ิ ระจาหม่บู า้ น เปน็ ตน้ ความสัมพนั ธ์กับสงิ่ เหนอื ธรรมชาติ ชาวบ้านรวู้ ่า มนษุ ย์เปน็ เพยี งสว่ นเลก็ ๆ ส่วนหน่งึ ของ จกั รวาล ซึ่งเตม็ ไปดว้ ยความเร้นลบั มีพลงั และอานาจ ทเี่ ขาไม่อาจจะหาคาอธบิ ายได้ ความเร้นลบั ดงั กลา่ ว รวมถึงญาติพ่นี อ้ ง และผคู้ นที่ล่วงลบั ไปแล้ว ชาวบ้านยงั สัมพนั ธ์กับพวกเขา ทาบุญ และราลึกถงึ อย่างสมา่ เสมอ
ทุกวนั หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกน้นั เป็นผดี ี ผีรา้ ย เทพเจ้าต่างๆ ตามความเชอื่ ของแต่ละแห่ง ส่งิ เหลา่ น้ีสิง สถติ อยู่ในส่งิ ตา่ งๆ ในโลก ในจักรวาล และอยบู่ นสรวงสวรรค์การทามาหากนิ แมว้ ิถีชีวิตของชาวบา้ นเม่ือก่อนจะดเู รียบงา่ ยกวา่ ทุกวนั น้ี และยงั อาศยั ธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แตพ่ วกเขาก็ตอ้ งใช้สตปิ ัญญา ท่ีบรรพบรุ ุษถา่ ยทอดมาให้ เพื่อจะได้อยู่ รอด ท้ังนี้เพราะปัญหาตา่ งๆ ในอดตี กย็ ังมไี ม่นอ้ ย โดยเฉพาะเมื่อครอบครวั มสี มาชิกมากข้ึน จาเปน็ ต้องขยายท่ี ทากิน ตอ้ งหกั รา้ งถางพง บกุ เบิก พืน้ ที่ทากนิ ใหม่ การปรบั พื้นที่ปนั้ คนั นา เพ่ือทานา ซง่ึ เปน็ งานที่หนกั การทา ไรท่ านา ปลูกพืชเล้ียงสัตว์ และดแู ลรักษาให้เติบโต และไดผ้ ล เปน็ งานที่ตอ้ งอาศัยความรู้ความสามารถ การ จบั ปลาล่าสตั วก์ ม็ ีวธิ กี าร บางคนมีความสามารถมากรูว้ ่า เวลาไหน ที่ใด และวิธใี ด จะจับปลาได้ดีทีส่ ุด คนที่ไม่ เก่งก็ต้องใชเ้ วลานาน และได้ปลาน้อย การลา่ สตั ว์ก็เช่นเดียวกนั การจดั การแหล่งน้า เพื่อการเกษตร กเ็ ปน็ ความรคู้ วามสามารถ ท่ีมมี าแต่โบราณ คนทาง ภาคเหนอื ร้จู กั บรหิ ารนา้ เพอ่ื การเกษตร และเพ่อื การบรโิ ภคตา่ งๆ โดยการจดั ระบบเหมืองฝาย มีการจดั แบ่งปนั น้ากันตามระบบประเพณที ี่ สบื ทอดกันมา มหี ัวหน้าท่ีทุกคนยอมรับ มคี ณะกรรมการจดั สรรนา้ ตาม สัดสว่ น และตามพน้ื ที่ทากนิ นบั เป็นความรทู้ ี่ทาให้ชุมชนต่างๆ ท่อี าศยั อยู่ใกลล้ านา้ ไม่ว่าตน้ นา้ หรอื ปลายนา้ ได้รบั การแบ่งปนั น้าอย่างยุตธิ รรม ทุกคนได้ประโยชน์ และอยูร่ ว่ มกันอย่างสนั ติ ชาวบา้ นรูจ้ ักการแปรรปู ผลติ ผลในหลายรปู แบบ การถนอมอาหารให้กินได้นาน การดองการ หมัก เชน่ ปลารา้ นา้ ปลา ผักดอง ปลาเค็ม เนื้อเคม็ ปลาแห้ง เนอ้ื แห้ง การแปรรูปขา้ ว กท็ าได้มากมายนบั ร้อย ชนดิ เช่น ขนมต่างๆ แต่ละพิธกี รรม และแตล่ ะงานบุญประเพณี มีข้าวและขนมในรูปแบบไมซ่ ้ากัน ต้งั แต่ ขนมจนี สงั ขยา ไปถงึ ขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอ่ืนๆ ซ่ึงยงั พอมีให้เหน็ อยู่จานวนหนึ่ง ใน ปัจจบุ ันส่วนใหญ่ปรบั เปลีย่ นมาเปน็ การผลติ เพ่ือขาย หรอื เปน็ อุตสาหกรรมในครัวเรือน ความรูเ้ รอื่ งการปรุงอาหารก็มีอยูม่ ากมาย แต่ละท้องถ่ินมีรูปแบบ และรสชาติแตกต่างกันไป มีมากมายนับร้อยนบั พันชนดิ แม้ในชวี ติ ประจาวนั จะมีเพยี งไม่กอ่ี ย่าง แตโ่ อกาสงานพธิ ี งาน เลี้ยง งานฉลอง สาคญั จะมีการจดั เตรยี มอาหารอย่างดี และพิถพี ิถนั การทามาหากินในประเพณีเดมิ นั้น เปน็ ทั้งศาสตร์และ ศลิ ป์ การเตรยี มอาหาร การจัดขนม และผลไม้ ไม่ไดเ้ ปน็ เพียงเพ่อื ใหร้ บั ประทานแลว้ อร่อย แต่ให้ได้ความ สวยงาม ทาให้สามารถสัมผสั กบั อาหารน้ัน ไม่เพียงแต่ทางปาก และรสชาติของลน้ิ แตท่ างตา และทางใจ การ เตรยี มอาหารเป็นงานศิลปะ ทป่ี รุงแตด่ ้วยความตั้งใจ ใชเ้ วลา ฝีมอื และความรคู้ วามสามารถ ชาวบ้าน สมยั กอ่ นส่วนใหญ่จะทานาเป็นหลัก เพราะเมอ่ื มขี า้ วแลว้ ก็สบายใจ อยา่ งอนื่ พอหาได้จากธรรมชาติ เสร็จหน้า นาก็จะทางานหตั ถกรรม การทอผ้า ทาเสื่อ เลีย้ งไหม ทาเครอ่ื งมือ สาหรับจบั สตั ว์ เคร่อื งมือการเกษตร และ อุปกรณ์ต่างๆ ท่จี าเปน็ หรอื เตรยี มพื้นท่ี เพ่อื การทานาครง้ั ตอ่ ไป
หัตถกรรมเป็นทรพั ย์สิน และมรดกทางภูมปิ ัญญาที่ย่ิงใหญ่ที่สดุ อย่างหน่งึ ของบรรพบุรุษ เพราะเปน็ ส่ือที่ถา่ ยทอดอารมณ์ ความรู้สกึ ความคิด ความเช่อื และคุณคา่ ตา่ งๆ ที่สัง่ สมมาแตน่ มนาน ลายผา้ ไหม ผา้ ฝ้าย ฝมี อื ในการทออยา่ งประณีต รูปแบบเครื่องมือ ท่สี านด้วยไม้ไผ่ และอปุ กรณ์ เคร่อื งใช้ไมส้ อยต่างๆ เครอ่ื งดนตรี เครื่องเลน่ สิ่งเหลา่ นี้ได้ถกู บรรจงสร้างข้ึนมา เพ่ือการใช้สอย การทาบุญ หรือการอทุ ศิ ใหใ้ ครคน หนึ่ง ไม่ใชเ่ พ่ือการคา้ ขาย ชาวบ้านทามาหากินเพียงเพ่ือการยงั ชีพ ไม่ไดท้ าเพื่อขาย มีการนาผลติ ผลสว่ นหนึ่ง ไปแลกสิ่งของทจี่ าเป็น ที่ตนเองไม่มี เช่น นาข้าวไป แลกเกลอื พรกิ ปลา ไก่ หรอื เส้ือผ้า การขายผลติ ผลมแี ต่ เพียงส่วนน้อย และเมื่อมคี วามจาเปน็ ตอ้ งใชเ้ งิน เพื่อเสยี ภาษีใหร้ ัฐ ชาวบ้านนาผลติ ผล เชน่ ข้าว ไปขายใน เมืองให้กับพ่อค้า หรือขายให้กับพ่อค้าทอ้ งถิ่น เชน่ ทางภาคอีสาน เรยี กวา่ \"นายฮ้อย\" คนเหล่านีจ้ ะนาผลติ ผล บางอย่าง เชน่ ข้าว ปลาร้า วัว ควาย ไปขายในท่ีไกลๆ ทางภาคเหนอื มีพ่อคา้ ววั ตา่ งๆ เป็นตน้ แมว้ ่าความรู้เรือ่ งการคา้ ขายของคนสมัยกอ่ น ไม่อาจจะนามาใชใ้ นระบบตลาดเช่นปจั จุบันได้ เพราะสถานการณไ์ ด้เปลย่ี นแปลงไปอยา่ งมาก แตก่ ารคา้ ที่มีจริยธรรมของพ่อค้าในอดีต ท่ไี ม่ไดห้ วังแตเ่ พียง กาไร แต่คานึงถึงการช่วยเหลอื แบง่ ปนั กนั เป็นหลัก ยังมีคุณคา่ สาหรับปจั จุบนั นอกน้นั ในหลายพ้นื ทีใ่ นชนบท ระบบการแลกเปล่ียนสงิ่ ของยังมีอยู่ โดยเฉพาะในพืน้ ที่ยากจน ซ่งึ ชาวบา้ นไม่มเี งนิ สด แต่มีผลิตผลตา่ งๆ ระบบ การแลกเปล่ยี นไมไ่ ดย้ ึดหลกั มาตราชัง่ วัด หรือการตรี าคาของสงิ่ ของ แต่แลกเปล่ียน โดยการคานงึ ถงึ สถานการณ์ของผู้แลกท้ังสองฝา่ ย คนท่ีเอาปลาหรือไก่มาขอแลกขา้ ว อาจจะไดข้ ้าวเปน็ ถัง เพราะเจ้าของข้าว คานงึ ถึงความจาเป็นของครอบครัวเจา้ ของไก่ ถา้ หากตีราคาเปน็ เงนิ ข้าวหนง่ึ ถงั ย่อมมีคา่ สงู กวา่ ไกห่ นง่ึ ตัว การอยู่รว่ มกนั ในสังคม การอยู่ร่วมกันในชุมชนด้งั เดิมน้ัน สว่ นใหญจ่ ะเป็นญาตพิ น่ี ้องไม่กต่ี ระกลู ซงึ่ ได้อพยพย้ายถนิ่ ฐานมา อยู่ หรอื สบื ทอดบรรพบรุ ุษจนนับญาติกันไดท้ ้งั ชุมชน มคี นเฒ่าคนแก่ทช่ี าวบ้านเคารพนับถือเปน็ ผ้นู าหน้าที่ ของผนู้ า ไมใ่ ช่การสง่ั แตเ่ ปน็ ผใู้ ห้คาแนะนาปรึกษา มีความแมน่ ยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวติ ตดั สินไกลเ่ กล่ยี หากเกิดความขัดแย้ง ช่วยกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกดิ ขึ้น ปัญหาในชมุ ชนกม็ ไี ม่น้อย ปัญหา การทามาหากนิ ฝนแล้ง นา้ ท่วม โรคระบาด โจรลักววั ควาย เปน็ ต้น นอกจากนน้ั ยงั มปี ัญหาความขัดแยง้ ภายในชุมชน หรือระหวา่ งชมุ ชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี สว่ นใหญ่จะเปน็ การ \" ผดิ ผี\" คือ ผขี องบรรพ บุรุษ ผซู้ งึ่ ได้สรา้ งกฎเกณฑต์ า่ งๆ ไว้ เช่น กรณีท่ีชายหนุ่มถูกเน้อื ต้องตัวหญงิ สาวที่ยังไม่แต่งงาน เปน็ ตน้ หาก เกดิ การผดิ ผีขน้ึ มา ก็ต้องมีพธิ ีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒา่ คนแก่เปน็ ตัวแทนของบรรพบรุ ุษ มีการว่ากลา่ วส่ัง สอน และชดเชยการทาผดิ นน้ั ตามกฎเกณฑ์ท่วี างไว้ ชาวบา้ นอยู่อยา่ งพึง่ พาอาศยั กัน ยามเจบ็ ไข้ไดป้ ว่ ย ยาม เกดิ อบุ ตั ิเหตเุ ภทภยั ยามท่ีโจรขโมยววั ควายขา้ วของ การชว่ ยเหลือกนั ทางานท่เี รียกกันว่า การลงแขก ทง้ั แรงกายแรงใจทมี่ ีอยกู่ จ็ ะแบง่ ปันช่วยเหลอื เออ้ื อาทรกัน การแลกเปลย่ี นส่ิงของ อาหารการกนิ และอื่นๆ จงึ เกย่ี วข้องกับวถิ ีของชุมชน ชาวบา้ นช่วยกนั เกบ็ เก่ียวข้าว สรา้ งบ้าน หรืองานอืน่ ทีต่ ้องการคนมากๆ เพื่อจะได้ เสรจ็ โดยเรว็ ไมม่ ีการจา้ ง
กรณีตวั อย่างจากการปลกู ข้าวของชาวบา้ น ถา้ ปีหน่งึ ชาวนาปลกู ขา้ วไดผ้ ลดี ผลิตผลทไ่ี ด้จะใชเ้ พื่อการ บริโภคในครอบครวั ทาบุญที่วดั เผอื่ แผ่ใหพ้ ่นี ้องที่ขาดแคลน แลกของ และเก็บไว้ เผื่อวา่ ปีหนา้ ฝนอาจแลง้ นา้ อาจท่วม ผลิตผล อาจไม่ดีในชุมชนตา่ งๆ จะมผี ูม้ ีความรู้ความสามารถหลากหลาย บางคนเกง่ ทางการรกั ษา โรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเลีย้ งสตั ว์ บางคนทางดา้ นดนตรีการละเลน่ บางคนเกง่ ทางดา้ นพธิ กี รรม คนเหลา่ นีต้ ่างก็ใช้ความสามารถ เพ่ือประโยชน์ของชุมชน โดยไมถ่ ือเป็นอาชพี ทีม่ ี คา่ ตอบแทน อย่างมากก็มี \"ค่าคร\"ู แต่เพียงเล็กนอ้ ย ซ่ึงปกตแิ ล้ว เงินจานวนน้นั ก็ใช้สาหรบั เครื่องมอื ประกอบ พธิ กี รรม หรือ เพ่อื ทาบุญทวี่ ัด มากกว่าท่ีหมอยา หรือบุคคลผูน้ นั้ จะเกบ็ ไว้ใช้เอง เพราะแท้ทจี่ ริงแลว้ \"วิชา\" ที่ ครถู ่ายทอดมาให้แก่ลูกศษิ ย์ จะต้องนาไปใช้ เพ่ือประโยชนแ์ กส่ งั คม ไมใ่ ช่เพ่ือผลประโยชน์ส่วนตวั การตอบ แทนจงึ ไมใ่ ช่เงินหรอื ส่ิงของเสมอไป แตเ่ ปน็ การช่วยเหลือเก้ือกูลกันโดยวิธีการตา่ ง ๆ ดว้ ยวถิ ชี วี ิตเช่นน้ี จึงมี คาถาม เพอ่ื เป็นการสอนคนรุ่นหลังวา่ ถ้าหากคนหนึ่งจบั ปลาช่อนตวั ใหญไ่ ด้หน่งึ ตัว ทาอยา่ งไรจงึ จะกินไดท้ งั้ ปี คนสมยั นอ้ี าจจะบอกว่า ทาปลาเคม็ ปลารา้ หรือเก็บรักษาด้วยวิธีการต่างๆ แต่คาตอบที่ถูกต้อง คือ แบง่ ปันให้ พี่น้อง เพอื่ นบ้าน เพราะเมื่อเขาไดป้ ลา เขากจ็ ะทากับเราเช่นเดียวกัน ชวี ิตทางสังคมของหมู่บา้ น มศี ูนย์กลาง อยูท่ ่วี ัด กจิ กรรมของส่วนรวม จะทากันท่วี ดั งานบุญประเพณตี ่างๆ ตลอดจนการละเลน่ มหรสพ พระสงฆเ์ ป็น ผูน้ าทางจติ ใจ เปน็ ครูที่สอนลูกหลานผู้ชาย ซึ่งไปรับใชพ้ ระสงฆ์ หรอื \"บวชเรียน\" ทั้งน้ีเพราะก่อนนีย้ งั ไม่มี โรงเรยี น วดั จึงเปน็ ทั้งโรงเรียน และหอประชมุ เพ่ือกิจกรรมตา่ งๆ ต่อเมื่อโรงเรยี นมีขึน้ และแยกออกจากวดั บทบาทของวัด และของพระสงฆ์ จึงเปล่ียนไป งานบญุ ประเพณีในชมุ ชนแตก่ ่อนมีอยูท่ กุ เดือน ต่อมาก็ลดลงไป หรอื สองสามหมู่บา้ นร่วมกันจัด หรอื ผลดั เปล่ยี นหมนุ เวยี นกนั เช่น งานเทศน์มหาชาติ ซ่ึงเป็นงานใหญ่ หมู่บ้านเล็กๆ ไม่อาจจะจดั ได้ทุกปี งาน เหล่าน้ีมีทงั้ ความเช่ือ พิธีกรรม และความสนุกสนาน ซงึ่ ชุมชนแสดงออกร่วมกนั ระบบคณุ คา่ ความเช่ือในกฎเกณฑป์ ระเพณี เปน็ ระเบียบทางสงั คมของชุมชนดัง้ เดิม ความเชือ่ น้เี ป็นรากฐานของ ระบบคณุ ค่าตา่ งๆ ความกตญั ญรู ูค้ ุณต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ความเมตตาเอื้ออาทรต่อผู้อน่ื ความเคารพต่อสิ่ง ศักดิส์ ทิ ธใ์ิ นธรรมชาตริ อบตัว และในสากลจักรวาล ความเชือ่ \"ผ\"ี หรือสง่ิ ศักดสิ์ ทิ ธิใ์ นธรรมชาติ เปน็ ทม่ี าของการดาเนนิ ชวี ติ ทั้งของสว่ นบคุ คล และของ ชุมชน โดยรวมการเคารพในผีปตู่ า หรอื ผีปยู่ ่า ซึ่งเป็นผีประจาหมูบ่ ้าน ทาให้ชาวบา้ นมคี วามเป็นหน่งึ เดยี วกนั เป็นลูกหลานของปตู่ าคนเดยี วกนั รกั ษาปา่ ทมี่ ีบา้ นเล็กๆ สาหรับผี ปลกู อยู่ติดหม่บู า้ น ผปี ่า ทาให้คนตัดไมด้ ว้ ย ความเคารพ ขออนญุ าตเลือกตดั ต้นแก่ และปลกู ทดแทน ไมท่ ิง้ ส่ิงสกปรกลงแมน่ า้ ดว้ ยความเคารพในแม่คงคา กนิ ข้าวด้วยความเคารพ ในแม่โพสพ คนโบราณกินขา้ วเสร็จ จะไหว้ข้าว
พิธีบายศรสี ูข่ วญั เป็นพิธีร้ือฟื้น กระชับ หรอื สร้างความสัมพนั ธ์ระหวา่ งผคู้ น คนจะเดินทางไกล หรอื กลับจากการเดนิ ทาง สมาชิกใหม่ ในชุมชน คนป่วย หรอื กาลังฟ้ืนไข้ คนเหลา่ นีจ้ ะได้รบั พิธสี ู่ขวญั เพือ่ ให้เป็น สริ ิมงคล มคี วามอยเู่ ย็นเปน็ สุข นอกน้ันยงั มพี ธิ ีสืบชะตาชวี ติ ของบุคคล หรือของชุมชน นอกจากพธิ ีกรรมกับคนแลว้ ยงั มพี ธิ ีกรรมกบั สตั ว์และธรรมชาติ มีพธิ ีสูข่ วัญขา้ ว สขู่ วัญควาย สขู่ วญั เกวียน เปน็ การแสดงออกถงึ การขอบคุณ การขอขมา พิธีดงั กล่าวไมไ่ ดม้ ีความหมายถึงว่า สิง่ เหล่านม้ี ีจติ มีผีใน ตวั มนั เอง แตเ่ ป็นการแสดงออก ถงึ ความสมั พันธก์ ับจิตและสงิ่ ศกั ดส์ิ ิทธ์ิ อันเป็นสากลในธรรมชาตทิ ัง้ หมด ทา ใหผ้ คู้ นมคี วามสัมพนั ธอ์ นั ดีกับทุกสิ่ง คนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ท่มี าจากหมู่บ้าน ยงั ซอื้ ดอกไม้ แลว้ แขวนไวท้ ่ี กระจกในรถ ไมใ่ ช่เพ่ือเซน่ ไหว้ผใี นรถแท็กซ่ี แต่เปน็ การราลึกถึงส่ิงศักดสิ์ ทิ ธ์ิ ใน สากลจักรวาล รวมถงึ ท่ีสิงอยู่ ในรถคนั นัน้ ผูค้ นสมัยก่อนมีความสานกึ ในข้อจากดั ของตนเอง รวู้ า่ มนุษยม์ ีความอ่อนแอ และเปราะบาง หากไมร่ ักษาความสมั พนั ธอ์ นั ดี และไม่คงความสมดลุ กับธรรมชาตริ อบตัวไว้ เขาคงไมส่ ามารถมีชีวิตได้อยา่ ง เป็นสขุ และยนื นาน ผคู้ นทัว่ ไปจงึ ไม่มีความอวดกล้าในความสามารถของตน ไม่ท้าทายธรรมชาติ และสิง่ ศักดิส์ ิทธ์ิ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และรักษากฎระเบยี บประเพณีอยา่ งเครง่ ครดั ชีวติ ของชาวบา้ นในรอบหน่งึ ปี จงึ มีพิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงความเช่ือ และความสัมพันธ์ ระหวา่ งผู้คนในสงั คม ระหวา่ งคนกับธรรมชาติ และระหวา่ งคนกับสง่ิ ศักดสิ์ ิทธ์ติ า่ งๆ ดังกรณงี านบุญประเพณี ของชาวอีสานที่เรยี กว่า ฮีตสิบสอง คือ เดือนอา้ ย (เดือนที่หนึง่ ) บุญเข้ากรรม ให้พระภกิ ษุเข้าปรวิ าสกรรม เดอื นยี่ (เดือนท่สี อง) บุญคูณลาน ใหน้ าข้าวมากองกันที่ลาน ทาพิธีก่อนนวด เดือนสาม บุญขา้ วจี่ ใหถ้ วาย ขา้ วจี่ (ข้าวเหนียวป้ันชบุ ไขท่ าเกลือนาไปย่างไฟ) เดือนส่ี บุญพระเวส ใหฟ้ ังเทศน์มหาชาติ คอื เทศน์เร่ืองพระ เวสสันดรชาดก เดอื นห้า บุญสรงนา้ หรอื บุญสงกรานต์ ให้สรงนา้ พระ ผเู้ ฒา่ ผู้แก่ เดือนหก บุญบัง้ ไฟ บชู า พญาแถน ตามความเช่ือเดมิ และบุญวิสาขบชู า ตามความเชอ่ื ของชาวพุทธ เดือนเจด็ บุญซาฮะ (บุญชาระ) ใหบ้ นบานพระภูมิเจา้ ที่ เลย้ี งผปี ู่ตา เดอื นแปด บุญเข้าพรรษา เดอื นเกา้ บุญข้าวประดับดิน ทาบญุ อุทศิ สว่ น กุศลใหญ้ าติพีน่ ้องผลู้ ว่ งลบั เดือนสบิ บญุ ขา้ วสาก ทาบุญเชน่ เดอื นเก้า รวมให้ผไี มม่ ญี าติ (ภาคใต้มีพิธคี ล้ายกนั คอื งานพิธีเดอื นสิบ ทาบุญให้แก่บรรพบรุ ุษผลู้ ว่ งลับไปแลว้ แบง่ ข้าวปลาอาหารสว่ นหนึง่ ให้แก่ผไี ม่มีญาติ พวก เดก็ ๆ ชอบแยง่ กนั เอาของที่แบ่งใหผ้ ีไมม่ ีญาติหรือเปรต เรียกวา่ \"การชงิ เปรต\") เดอื นสิบเอด็ บุญออกพรรษา เดอื นสิบสอง บญุ กฐนิ จดั งานกฐิน และลอยกระทง ภูมปิ ัญญาชาวบา้ นในสังคมปัจจบุ นั ภมู ิปญั ญาชาวบา้ นได้กอ่ เกิด และสืบทอดกนั มาในชุมชนหมู่บา้ น เมือ่ หมูบ่ า้ นเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสงั คมสมัยใหม่ ภูมิปญั ญาชาวบา้ นก็มีการปรับตัวเช่นเดยี วกนั ความรู้ จานวนมากได้สูญหายไป เพราะไม่มกี ารปฏบิ ตั สิ ืบทอด เช่น การรักษาพ้นื บ้านบางอยา่ ง การใชย้ าสมุนไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาทีเ่ ก่งๆ ได้เสยี ชีวติ โดยไม่ไดถ้ า่ ยทอดให้กับคนอื่น หรอื ถา่ ยทอด แตค่ นต่อมาไม่ได้ปฏบิ ัติ เพราะชาวบ้านไมน่ ิยมเหมอื นเม่อื ก่อน ใช้ยาสมยั ใหม่ และไปหาหมอ ท่โี รงพยาบาล หรอื คลินิก ง่ายกว่า งาน หันตถกรรม ทอผา้ หรอื เครื่องเงิน เครอ่ื งเขนิ แมจ้ ะยงั เหลืออยู่ไมน่ ้อย แตก่ ็ไดถ้ ูกพัฒนาไปเปน็ การคา้ ไม่
สามารถรกั ษาคุณภาพ และฝีมือแบบด้ังเดมิ ไว้ได้ ในการทามาหากนิ มีการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ใชร้ ถไถแทน ควาย รถอีแตน๋ แทนเกวยี น การลงแขกทานา และปลกู สร้างบ้านเรอื น ก็เกือบจะหมดไป มกี ารจา้ งงานกันมากขน้ึ แรงงานก็หา ยากกว่าแต่กอ่ น ผู้คนอพยพย้ายถ่ิน บ้างก็เขา้ เมือง บา้ งกไ็ ปทางานท่ีอนื่ ประเพณงี านบุญ ก็เหลอื ไม่มาก ทาได้ ก็ต่อเม่ือ ลกู หลานทีจ่ ากบา้ นไปทางาน กลับมาเยยี่ มบา้ นในเทศกาลสาคัญๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา เป็นตน้ สงั คมสมยั ใหม่มีระบบการศึกษาในโรงเรียน มีอนามยั และโรงพยาบาล มีโรงหนงั วทิ ยุ โทรทัศน์ และ เคร่ืองบนั เทิงตา่ งๆ ทาใหช้ ีวติ ทางสังคมของชุมชนหม่บู า้ นเปลี่ยนไป มีตารวจ มีโรงมศี าล มเี จา้ หน้าท่ีราชการ ฝ่ายปกครอง ฝา่ ยพัฒนา และอ่นื ๆ เข้าไปในหมบู่ ้าน บทบาทของวัด พระสงฆ์ และคนเฒ่าคนแก่เริ่มลดน้อยลง การทามาหากนิ ก็เปลย่ี นจากการทาเพ่ือยงั ชีพไปเปน็ การผลติ เพ่ือการขาย ผู้คนต้องการเงนิ เพื่อซื้อเครอ่ื ง บริโภคต่างๆ ทาให้ส่งิ แวดล้อม เปลีย่ นไป ผลติ ผลจากปา่ ก็หมด สถานการณ์เชน่ นี้ทาให้ผูน้ าการพฒั นาชุมชน หลายคน ท่มี บี ทบาทสาคัญในระดับจงั หวดั ระดบั ภาค และระดับประเทศ เริ่มเหน็ ความสาคัญของภูมปิ ญั ญา ชาวบ้าน หน่วยงานทางภาครฐั และภาคเอกชน ใหก้ ารสนับสนุน และสง่ เสรมิ ให้มีการอนรุ ักษ์ ฟื้นฟู ประยุกต์ และค้นคิดสิ่งใหม่ ความรู้ใหม่ เพื่อประโยชนส์ ขุ ของสังคม
ความเป็นมาและความสาคญั ของการเลยี้ งโคนม เล้ียงโคนมในประเทศไทยได้เรม่ิ มานานกวา่ 95 ปี ราวพุทธศกั ราช 2450 โดยชาวอินเดยี ที่อาศัย อย่ใู นประเทศไทย ซ่ึงชาวอนิ เดียนิยมการบริโภคนมสดเป็นอาหารเปน็ ประจาทุกวัน โดยชาวอินเดยี เป็นผู้ นามาเล้ียงก่อน โดยมีแหล่งการเล้ยี งสาคญั บริเวณรอบกรุงเทพมหานคร โคท่ีเลยี้ งส่วนใหญเ่ ป็นโคพน้ื เมือง หรอื โคที่นาเข้าจะประเทศอนิ เดีย ซง่ึ ใหน้ า้ นมในปริมาณวนั ละ 2-3 กโิ ลกรมั ต่อตัวต่อวัน ต่อมาในระหว่าง สงครามโลกคร้ังทสี่ องได้เกิดการขาดแคลนนมสาหรับใชเ้ ลยี้ งทารกขน้ึ รฐั บาลไทยในขณะนั้นจึงได้จดั ต้ัง องค์การนมข้นึ มาทาหน้าทีใ่ นการรวบรวมนา้ นมท่ผี ลติ ได้ในเขตกรงุ เทพมหานคร นามาทาเป็นอาหารสาหรับใช้ เลี้ยงทารก และทานมข้นหวานซ่ึงประชาชนนิยมบริโภคมากว่าผลิตภภณั ฑ์นมชนิดอืน่ คร้ันพอส้ินสุด สงครามโลกครงั้ ที่สอง กจิ การองค์การนมก็ได้สลายตัวลง เนือ่ งจากไดม้ ีการสง่ ผลติ ภัณฑน์ มราคาถกู มาจาก ตา่ งประเทศเพื่อใช้แทน ในขณะเดียวกนั ได้เร่ิมมีการนาเข้าพนั ธ์ุโคนมจากตา่ งประเทศ คือ โคนมพันธุ์ โฮลสไตนฟ์ รเี ชี่ยนหรอื เกษตรกรท่ัวไปมักจะเรียกวา่ “พนั ธ์ุขาวดา” เข้ามาทดลองเล้ียงดู และในระยะต่อมา โคนมพนั ธด์ งั กลา่ วไดก้ ระจายไปอยา่ แพรห่ ลายในหมผู่ ู้เล้ยี งโคนมในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก ความสามารถในการให้นา้ นมในบริมาณท่ีสูงกวา่ โคพันธุ์อินเดีย ในสว่ นของรัฐบาลไดเ้ ร่ิมหันมาสนใจผลติ น้านมในประเทศมากขน้ึ และได้มกี ารนาโคนมพันธ์ตุ ่างๆ เข้ามาทดลองเล้ยี งอีกหลายพันธ์ุ เช่น พนั ธเุ์ จอรซ์ ี่ พนั ธ์ุบราวน์สวิสซ์ และพนั ธุ์เรดซนิ ด้ี เป็นตน้ 2. ประวัติความเป็นมาของโคนมไทย การเลย้ี งโคนมเพือ่ ผลติ น้านมในเชิงการค้านั้น ไดเ้ ริม่ อย่างจรงิ จังเมอ่ื ประมาณ 50 กว่าปที ีผ่ ่านมา อนั มผี ลสืบเนอ่ื งมาจากท่ีพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวภมู พิ ลอดุลยเดช และสมเดจ็ พระนางเจ้าสิริกติ ิ์ พระบรมราชินนี าถ ได้เสดจ็ ประพาสทวีปยุโรป เมือ่ ปีพทุ ธศกั ราช 2503 ในระหว่างทลี่ ้นเกล้าทัง้ สอง พระองค์ทรงประทับแรมอยู่ ณ ประเทศเดนมาร์ก ทรงใหค้ วามสนพระทยั เกยี่ วกับกจิ การการเลี้ยงโคนมของ ชาวเดนมาร์กเป็นอย่างมาก ทาให้รัฐบาลเดนมารก์ และสมาคมเกษตรกรเดนมาร์กรสู้ ึกทราบซง้ึ ในพระมหา กรณุ าธิคณุ เป็นล้นพน้ ท่ีได้ทรงโปรดกจิ การเลยี้ งโคนมอนั เปรยี บเสมือนรากเหง้าแห่งความเจรญิ ทางด้าน อตุ สาหกรรมของชาวเดนมาร์ก ในปตี อ่ มารัฐบาลเดนมาร์กและสมาคมเกษตรกรเดนมาร์กจึงได้ร่วมกนั นอ้ มเกล้าน้อมกระหมอ่ มถวายโครงการส่งเสริมการเลยี้ งโคนมใหเ้ ป็นของขวัญแด่ลน้ เกล้าทั้งสองพระองค์ และ เพอื่ ให้การดาเนนิ โครงการส่งเสริมการเลย้ี งโคนมในประเทศไทยบรรลผุ ลสาเร็จตามเจตนารมณท์ ่ีต้งั ไว้ จึงไดม้ ี การตกลงทาสัญญาให้ความช่วยเหลือจัดต้ังฟาร์มโคนมและศนู ยฝ์ ึกอบรมการเลยี้ งโคนมไทย-เดนมาร์กขนึ้ ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบรุ ี พร้อมทง้ั จัดส่งผู้เช่ียวชาญมารว่ มดาเนนิ การ และจดั สรรงบประมาณสนบั สนนุ การ ดาเนนิ งานตลอดโครงการ เม่ือพทุ ธศักราช 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ นี าถ ได้เสดจ็ พระราชดาเนนิ ไปทรงกระชบั สัมพันธไมตรีกบั นานาประเทศในสหรัฐอเมริกา ยโุ รป เอเชยี และได้ เสดจ็ พระราชดาเนินไปทรงเยือนประเทศเดนมารก์ ซึง่ เปน็ ประเทศทม่ี ชี ือ่ เสยี งในกิจการด้านเลี้ยงปศุสัตว์ด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทยั ในกิจการเล้ยี งโคนมเปน็ พเิ ศษ เนื่องดว้ ยทรง ตระหนกั วา่ อาหารนมมีคุณคา่ สงู ตอ่ ความเจรญิ เติบโตของรา่ งกายมนุษย์ ดงั ท่ีทราบกันว่า พลเมอื งของยุโรป ซง่ึ ดม่ื นมเปน็ อาหารหลัก มรี ่างกายใหญโ่ ตและมสี ุขภาพพลานามยั แข็งแรงสมบรู ณ์ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ทรงมสี ายพระเนตรยาวไกล จงึ เสด็จไปทอดพระเนตรกิจการฟาร์มโคนม และกิจการผลิต อาหารจากนมหลายแหง่ ในประเทศเดนมาร์ค ในครัง้ นัน้ รัฐบาลและองค์การเกษตรกรรมของเดนมาร์ก ได้ น้อมเกลา้ น้อมกระหม่อมถวายโครงการส่งเสริมการเล้ียงโคนมในประเทศไทยโดยจดั ตงั้ ฟาร์มโคนมไทย- เดนมารก์ ข้นึ ท่ีอาเภอมวกเหล็ก จังหวดั สระบุรี ฝา่ ยไทยเปน็ ผู้จดั หาสถานที่และก่อสรา้ งอาคารปฏบิ ัติงาน ฝ่ายเดนมาร์กชว่ ยเหลอื ดา้ นการเงนิ การจดั หาโคพันธุ์ ส่งผู้เชี่ยวชาญมาดาเนนิ การและจัดการฝกึ อบรม เกษตรกรและเจา้ หนา้ ทข่ี องไทยให้มีความรู้ความชานาญกิจการฟาร์มโคนม ดว้ ยเดชะพระบารมีนี้ เริม่ เปดิ ดาเนนิ การเมื่อพุทธศักราช 2504 ในขณะนัน้ กิจการดังกล่าว นบั เปน็ ของใหม่ทนั สมัยมากของประเทศไทย จึงไดร้ บั ความสนใจและก้าวหนา้ ไปอย่างรวดเรว็ ผลติ ผลจากฟาร์มโคนมแห่งนี้กไ็ ด้ความนิยมจากประชาชน มาก นับแตน่ ั้นมากจิ การเล้ยี งโคนม และการบรโิ ภคอาหารนมก็ขยายตัวอย่างรวดเรว็ ในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ยงั มีพระราชประสงคจ์ ะทรงส่งเสรมิ อาชีพเลี้ยงโคนมแบบพืน้ บ้านแก่ เกษตรไทย พร้อมไปกบั การส่งเสริมสุขภาพอนามยั ของประชาชนชาวไทย และการสงวนเงินตราตา่ งประเทศ ในการส่งั ซื้อผลติ ภณั ฑ์อาหารนมจากตา่ งประเทศดว้ ย จงึ ทรงรเิ รมิ่ ทดลองเล้ียงโคนมในบริเวณสวนจิตรลดา เพื่อทรงศึกษาหาวิธกี ารเลี้ยงโคนมและการผลิตการจาหน่ายผลิตภัณฑจ์ ากนมท่เี หมาะสมแกเ่ กษตรกรใน ภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ของไทยจะได้มาศึกษาและนาไปเปน็ แบบอยา่ งปฏบิ ตั ิในครอบครัวของตนต่อไป โครงการทดลองเล้ยี งโคนมในสวนจิตรลดา ไดเ้ ร่ิมขน้ึ เมื่อกรมปศุสัตว์และบริษัท เอสอาร์ จากัด น้อมเกล้าฯ ถวายโคพันธุ์ 6 ตวั เม่ือวันท่ี 16 มกราคม 2504 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั โปรดให้นา โคพันธ์ุเหล่านี้ไปเล้ียงในสวนจิตรลดา โปรดให้ปลกู หญา้ และพืชไว้เป็นอาหารเลย้ี งโค เป็นการเลีย้ งแบบ ประหยัดเหมาะสาหรบั ครอบครัวเกษตรกรไทยในชนบทจะนาไปเป็นแบบอย่าง ต่อมาเมื่อโคนมตกลกู แล้ว โปรดใหร้ ดี นมโค ใชเ้ ลยี้ งลกู โคสว่ นหนึ่ง และอีกส่วนหนงึ่ นาออกจาหน่ายในหมูข่ า้ ราชบรพิ าร ภายหลงั เมอื่ มี นมเพ่ิมข้นึ จึงขยายการจาหนา่ ยออกสภู่ ายนอก และปรบั ปรุงวธิ กี ารผลติ การบรรจุ และการจัดสง่ ให้ถึงลูกค้า รวดเรว็ ขนึ้ ตลอดจนผลติ นมผงและนมเม็ดออกจาหน่ายด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ได้โปรดให้ ปรบั ปรุง ตดิ ตามผล และจัดทารายละเอยี ดตา่ ง ๆ ท้ังในการเลี้ยงโค การปลูกหญา้ ให้งามและมีพอเล้ียงโค ตลอดปี การผลิตอาหารนม การจัดจาหนา่ ย การขยายกิจการ การลงทนุ และรายได้ ฯลฯ ทง้ั น้ี เพ่อื เปน็ แนวทางสาหรับเกษตรกรในชนบทจะนาไปใชป้ ฏิบตั ิใหไ้ ด้ผลดีตอ่ ไป ซง่ึ นบั แต่ พ.ศ. 2504 จนถึงปจั จุบัน ได้ปรากฎผลเปน็ ทปี่ ระจักษ์แล้วว่า นอกเหนือจากการทาเกษตรกรรมเพาะปลกู พืชพันธ์ุในไร่นา กจิ การเลี้ยง โคนมเปน็ อีกอาชีพหนงึ่ ซ่งึ อานวยแกเ่ กษตรกรท่ีใฝ่ใจเรียนร้วู ธิ ีการท่ีถูกต้องและรู้จกั พฒั นาการดาเนินงานให้ เหมาะสม ทง้ั น้ี ก็ด้วยพระบารมปี กเกล้าปกกระหม่อมปวงประชาชาวไทยโครงการทดลองเล้ียงโคนมในสวน จติ รลดา จงึ เปน็ พระมหากรุณาธคิ ุณเก้อื กูลเกษตรกรไทยให้สามารถพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมและพฒั นา เศรษฐกจิ ของชาติดว้ ย
จากนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั และพระเจ้าเฟรดเดอริคท่ี 9 แหง่ ประเทศเดนมาร์ก ได้ทรง ประกอบพธิ เี ปิดฟาร์มโคนมและศนู ย์ฝกึ อบรมการเล้ียงโคนมไทย-เดนมารก์ เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2505 จงึ นบั ได้ว่าเป็นวนั ที่ทีความสาคัญอยา่ งยงิ่ ในประวัติศาสตรข์ องการเล้ยี งโคนมในประเทศไทย และเป็น ที่ประจักษ์ต่อเกษตรกรผู้เลย้ี งโคนมวา่ อาชพี การเลย้ี งโคนมเป็นอาชพี พระราชทาน ตอ่ มาในปี 2530 รัฐบาล ไดก้ าหนดวนั ที่ 17 มกราคมของทุกปเี ปน็ วนั โคนมแหง่ ชาติ กิจการฟาร์มโคนมได้วิวฒั นาการขยายตัว เจรญิ ก้าวหน้าไปเปน็ ลาดับ และในปี 2514 รฐั บาลไทยได้รับโอนกจิ การและไดจ้ ดั ตั้งเป็นรฐั วสิ าหกจิ สงั กัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มชี ือ่ ว่า “องคก์ ารส่งเสรมิ กิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.) ดังน้ัน การเลยี้ งโคนมจงึ มีความสาคัญอยา่ งยิง่ ในประเทศไทย เนอื่ งจากมีพธิ ีเปดิ ของรัชกาลที่ 9 ของท้ังสองพระองค์ และเกษตรกรผเู้ ลีย้ งโคนมถือว่า การเลี้ยงโคนมเป็นอาชีพพระราชทาน และยงั เปน็ อาชพี ทีท่ รงเกยี รติ โดยนมท่ผี ลิตขึ้นมายงั มคี วามสาคัญต่อเด็กนักเรียนและเยาวชนของไทย ซ่งึ การผลิตนมเพอื่ นกั เรียน ที่เรยี กกันวา่ “นมโรงเรียน” และยงั ช่วยเกษตรกรเนอื่ งจากราคาผลผลิตตกต่า ให้มรี าคาคงตวั โดย การนาไปผลติ นมโรงเรยี น เพ่ือใหอ้ นาคตของชาติ และให้อนาคตของชาติมีความรู้ความสามารถเพื่อทีจ่ ะให้ อนาคตของชาตินาความร้คู วามสามารถไปพัฒนาประเทศชาติต่อไป การพฒั นาการเลีย้ งโคนมใหเ้ ป็นอาชีพอย่างจริงจงั น้นั เริ่มมาประมาณ 30 ปีแล้ว โดยในระยะ แรกเร่ิม เปน็ การส่งเสรมิ การผสมขา้ มโคพน้ื เมืองของเราด้วยน้าเชอื้ ของโคพนั ธุน์ มจากต่างประเทศ การ ส่งเสรมิ การเลี้ยงได้กระทาเป็นจุด ๆ โดยมเี ด่นชัด 3 กล่มุ หลกั ๆ คอื 1. กลุ่มผ้เู ลี้ยงโคนมทไ่ี ดร้ บั การสง่ เสรมิ โดยองค์การส่งเสริมกจิ การโคนมแหง่ ประเทศไทย (อสค.) เกษตรกรในกลมุ่ นี้จะเน้นอยใู่ นเครือข่าย 3 เขตหลกั ๆ คือ มวกเหล็ก ประจวบคีรีขนั ธ์ และเชียงใหม่ โดย อสค.รับผิดชอบในการใหก้ ารฝกึ อบรม การบริการต่าง ๆ ในระดบั ฟาร์มและรบั ซื้อน้านมดบิ ปรมิ านา้ นมดบิ ที่ ผลติ ไดข้ องเกษตรกรในกลุ่มน้ีประมาณ 66% ของปรมิ าณนา้ นมดิบทง้ั ประเทศ (ปี 2529) 2. กล่มุ ผู้เลี้ยงโคนมทรี่ วมตวั กนั ในรูปสหกรณ์ ซ่ึงสว่ นใหญ่สหกรณ์จะเปน็ ผู้ซ้ือน้านมดิบจาก เกษตรกรแลว้ แปรรปู จาหนา่ ยเอง ปรมิ าณนา้ นมดบิ รวมของสหกรณ์ต่าง ๆ ท่ีผลิตไดใ้ นปี 2529 เท่ากับ 29% ของปริมาณน้านมดบิ ท้ังประเทศ 3. กลุ่มผเู้ ลยี้ งอิสระ ซ่ึงอยู่นอกเขตการทางานของ อสค. หรอื สหกรณ์โคนมจดั วา่ มปี ริมาณทน่ี อ้ ย ในกลมุ่ ของผ้เู ล้ยี งโคนมภายใต้การสง่ เสริมของ อสค. นับไดว้ ่า อสค. ได้เปน็ ผู้ลงทุนในการจดั ต้ังและ การบริการในระดบั ฟารม์ อืน่ ๆ เช่น ด้านสัตวแพทย์และผสมเทยี ม สว่ นในกลมุ่ สหกรณ์ในอดตี เป็นการเริ่มตน้ โดยการส่งเสริมและให้การผสมเทยี มโดยกรมปศุสัตว์ เมอ่ื ปริมาณโคนมมากข้ึนจงึ มีการจดั ตงั้ เป็นสหกรณ์ ซ่งึ บรหิ ารและรบั ผดิ ชอบกันในกลุ่มสมาชิกเอง ทล่ี ้มเหลวไปดว้ ยเหตุผลและปจั จยั ของความเปน็ มนษุ ย์ เชน่ สหกรณเ์ กษตรอืน่ ๆ ก็หลายแห่งทีส่ าเร็จและโดดเด่นกว่าเพอ่ื นกค็ งไดแ้ ก่ สหกรณ์โคนมหนองโพ เมื่อมาถึงยคุ สมัยเปลยี่ นสนามรบเปน็ สนามการค้าตามนโยบายของพลเอกชาตชิ าย ชุณหะวณั อดตี นายกรฐั มนตรี ปรากฏวา่ ธุรกจิ โคนมได้รับวามนิยมอย่างหนกั คือ ทั้งภาครฐั บาลมีโครงการสง่ เสรมิ การเลีย้ ง
โคนมในจุดใหม่ ๆ เพิ่มข้ึน และธุรกจิ การส่ังโคนมจากตา่ งประเทศเข้ามาคา้ ขายเริม่ มากขนึ้ ความทเ่ี ปน็ อยู่ ของวงการโคนมในขณะนี้พอสรปุ ไดค้ รา่ ว ๆ ดังนี้ 1. การขยายการเลยี้ งโคนมตามเป้าของรฐั บาล โดยการจดั ต้งั กลมุ่ เกษตรกร การอานวยการดา้ น สนิ เชื่อละจัดหาพันธโ์ุ ค (ลูกผสมโคนมพนั ธุข์ าวดาและซาฮีวาล) โดยธนาคารเพ่ือการเกษตรฯ (ธ.ก.ส.) สว่ นใน การบรกิ ารดา้ นการผสมเทยี มและการป้องกนั รกั ษาโรคเป็นหน้าที่รบั ผิดชอบของกรมปศุสตั ว์และตามรูปแบบ ตามจดุ ตา่ ง ๆ จะจัดตงั้ เปน็ สหกรณ์แตจ่ ะมีหน้าที่แคร่ วบรวมน้านมดบิ ขายต่อให้บริษทั ท่ีเซน็ สัญญาการรบั ซ้ือ นมอีกต่อหนึง่ ทผี่ ่านมาสหกรณใ์ นรปู แบบนี้ไดแ้ ก่ สหกรณโ์ คนมวังนา้ เยน็ เขาขลุง และกาแพงแสน เป็นตน้ 2. การขยายกลุ่มผูเ้ ลยี้ งโคนมโดยความรบั ผดิ ชอบของภาคเอกชนเอง รูปแบบของการดาเนินงาน เปน็ การดาเนินงานธุรกิจ ครบวงจร โดยมเี กษตรกรผู้เล้ียงโคนมรายยอ่ ยเป็นสมาชิกโดยรวม ๆ แลว้ สมาชิก ต้องซ้ือโค อาหาร และซื้อบริการในรปู อน่ื ๆ เช่น การผสมเทยี มและการรักษา ป้องกันโรค หรอื ใช้บรกิ าร เหล่านีจ้ ากกรมปศสุ ตั ว์ และตอ้ งขายน้านมดบิ ท่ีผลิต ให้แก่บริษัท เท่าท่ีเป็นอยู่การเกดิ ขึ้นของกลมุ่ ผู้เลี้ยงโค นมโดยการสง่ เสริมของภาคเอกชนนี้ เปน็ การขยายกลุ่มใหมเ่ ริ่มต้นดว้ ยลาแล้งลาขาของตัวบริษัทเองในการ ออกไปชักชวนลูกฟารม์ ให้เร่ิมเลย้ี งโคนม ซง่ึ เปน็ การทาการคา้ ท่ยี ุติธรรมนา่ สง่ เสริม พนั ธุ์โคนมท่ีเลีย้ งในประเทศไทย ปัจจุบนั นถี้ อื วา่ อยู่ในสภาวะท่ีขาดแคลนพันธ์โุ คนม โดยเฉพาะโคนมลกู ผสมท่เี กดิ ข้นึ ในประเทศซ่ึง ปัญหาการเลีย้ งดนู ้อยกวา่ โคท่ีนาเขา้ จากต่างประเทศในสภาวะน้ีจงึ มีการเสนอขายโคนมพันธแ์ุ ท้ท่ีนาเข้าจาก ต่างประเทศอยู่โดยธุรกิจภาคเอกชน ซง่ึ ดงั ไดก้ ลา่ วมาแล้วว่ายังหาข้อสรุปทีแ่ นน่ อนไม่ได้ในระดบั ฟาร์มของ เกษตรกรทั่ว ๆ ไป เพราะระดับการจดั การ (โดยเฉพาะความเอาใจใส่) และความรู้ความสามารถของผ้เู ลยี้ ง แตกต่างกนั ทางภาครฐั บาลโดยเฉพาะกรมปศสุ ัตวแ์ ละนักวชิ าการหลาย ๆ ทา่ นที่คลุกคลอี ยใู่ นวงการสรปุ ตรงกนั คือ เกษตรกรรายย่อยทไี่ ม่เคยมปี ระสบการณ์การเล้ียงโคนมมาก่อนเลย ควรจะเรมิ่ จากโคลูกผสมเป็น การเริ่มต้นเม่ือวิทยายุทธ์แก่กลา้ ขึน้ จะขยบั ขยายมาเลยี้ งพันธ์ุแท้บา้ งก็จะมคี วามมั่นใจมากขึ้น 1. พนั ธไ์ุ ทยฟรเี ชยี น (Thai Friesian) เกษตรกรทวั่ ไปมักเรียกว่า “ โคเลือดสูง ” หมายถงึ โคนมลกู ผสมทีม่ ีเลือดโคนมพันธุ์ โฮลส์ไตน์ฟรีเชย่ี นมากกวา่ 75 % ปัจจุบันเกษตรกรเลย้ี งกันมากในจงั หวดั สระบรุ ี, นครราชสมี า และราชบุรี รวมท้ังจงั หวัดอื่น ๆ โคพนั ธ์ุนี้ให้ผลผลติ นา้ นมค่อนข้างสูง จากข้อมลู สาหรบั ฟาร์มทมี่ ีการจัดการดา้ นอาหารอยา่ ง เหมาะสมให้ผลผลติ น้านมเฉล่ียประมาณ 4,000 – 5,000 กิโลกรัมต่อระยะการให้นม หรอื ผลผลติ นา้ นมในระยะให้ นมสงู (peak) หลังคลอดไม่ตา่ กว่า 15 กิโลกรัม โค พันธน์ุ เ้ี หมาะสาหรบั เกษตรกรทมี่ ปี ระสบการณใ์ นการ เล้ยี งโคนมมาแล้วสาหรับในส่วนของกรมปศุสตั วไ์ ด้มกี าร เลี้ยงโคนมพันธไ์ุ ทยฟรีเช่ียน ทศ่ี ูนย์วจิ ยั และบารงุ พัน์ธุ์สตั ว์
เชียงใหม่, ศนู ยว์ ิจัยและบารงุ พันธส์ุ ตั ว์สุราษฎร์ธานี, ศูนยว์ จิ ัยและบารงุ พนั ธส์ุ ตั ว์ทับกวาง, สถานวี จิ ัยทดสอบ พันธุ์สัตวป์ ากชอ่ ง, สถานวี ิจัยทดสอบพนั ธสุ์ ตั ว์สกลนคร, สถานีวิจัยทดสอบพันธส์ุ ตั ว์สระแกว้ 2. พันธ์ุ ที เอม็ แซด (Thai Milking Zebu) เกษตรกรท่วั ไปมักเรยี กวา่ “โคเลือด 75 ” หมายถงึ โคนมลกู ผสมที่มีเลือดโคนมพันธโุ์ ฮลสไ์ ตน์ ฟรีเชย่ี น 75 % สว่ นสายเลอื ดท่เี หลือ 25 % เป็น โคพนั ธุ์ซบี ู โคพนั ธ์ุนเี้ หมาะสาหรับเกษตรกรรายใหม่ กลุม่ ทไี่ ดม้ ี การผสมพนั ธุ์และคดั เลอื กแลว้ ใหผ้ ลผลิต น้านมเฉลี่ย ประมาณ3,000 – 4,000 กโิ ลกรัมตอ่ ระยะ การให้นม 3. พันธ์โุ ฮลส์ไตน์ฟรีเชียน หรอื พันธุข์ าว - ดา (Holstein - Friesian) เป็นโคนมพนั ธุท์ ่ีกรมปศุสัตวไ์ ดค้ ดั เลือกใหเ้ ป็น พนั ธห์ุ ลักในการปรับปรุงพันธุ์โคนมของประเทศ โค พนั ธ์นุ ้ีมีถน่ิ กาเนิดในประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ ซง่ึ อยู่ในทวีป ยุโรปสาหรับโคพันธุ์น้ใี นทวีปยุโรปมักนยิ มเรยี กว่าพันธ์ุ ฟรเี ช่ียน(Friesian) ซงึ่ ชอ่ื นีส้ อดคล้องกบั เมืองฟรีแลนด์ (Friesland) ซึง่ อย่ทู างตอนเหนือของเนเธอร์แลนด์ แต่ ในทวีปอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมรกิ า และแคนาดา เรยี กโคนมพนั ธ์ุนี้วา่ พันธโ์ุ ฮลส์ไตน์ (Holstein) ซ่ึงคาดวา่ เรียกตามชือ่ รฐั Holstein ซ่งึ อยูใ่ น ประเทศเยอรมัน แตส่ าหรับประเทศไทยรวมท้งั หลาย ๆ ประเทศไดม้ ีการนาเข้านา้ เชอ้ื และตวั โคจากประเทศ ในยโุ รป, สหรฐั อเมริกา และแคนาดาจงึ มีการเรียกโคพันธุ์น้ีรวมว่าพันธ์ุโฮลส์ไตนฟ์ รเี ช่ยี น (Holstein Friesian) โคพนั ธ์ุนมี้ ขี นาดใหญเ่ พศผ้หู นัก 800 – 1,000 กโิ ลกรัม เพศเมยี น้าหนกั 500 – 800 กโิ ลกรมั ผลติ นา้ นมเฉล่ีย 6,000 – 7,000 กิโลกรมั ต่อ ระยะการให้นม มีนสิ ยั ค่อนขา้ งเชอื่ ง รีดนมงา่ ยไมเ่ ตะ หรอื อ้นั น้านม โคนมพนั ธ์ุ โฮลสไ์ ตน์ ส่วนใหญ่มสี ีขาวดา โดยสขี าว หรือ ดา จะมากหรอื น้อยกวา่ กไ็ ด้ จึงมักเรยี กชือ่ ง่ายๆ วา่ โคนมพนั ธ์ุ ขาวดา (Black & White Holstein) แตจ่ รงิ ๆ แล้วโคนมพนั ธโุ์ ฮลสไ์ ตน์ ยงั มสี ีขาวแดงอีกกลุ่มหนึง่ ซ่ึงมกั เรียกวา่ Red & White Holstein แตล่ ักษณะสีขาวดาเป็นลักษณะยีนเดน่ (Dominant Gene) สว่ นลักษณะ สีขาวแดงเปน็ ยนี ด้อย (Recessive Gene) ซ่ึงเมื่อใช้นา้ เชอ้ื ขาวดา ผสมกับ แม่โคขาวแดง ลูกท่ีได้สมมุตชิ ื่อ จารณุ ี จะเปน็ สขี าวดาอย่างเดียว แตก่ ็มยี ีนขาวแดงซอ่ นอยู่ ตอ่ มาถา้ ใช้นา้ เชื้อจากพ่อขาวแดงมาผสมกับแม่โค จารณุ ี ลูกทไี่ ด้กม็ ีโอกาสที่จะได้ทง้ั สขี าวแดง หรือ สขี าวดา ขน้ึ กบั โอกาสที่ไข่และน้าเช้ือสีขาวดา หรือสีขาวแดง จะมาผสมกนั
คุณยายคาผา ช่มุ กง่ิ ให้ข้อมูลกบั ผเู้ รียบเรยี งว่า ได้รับโคนมมาจากสหกรณโ์ คนมวังน้าเย็น ตาม โครงการปรบั โครงสรา้ งและระบบการผลติ การเกษตร (คปร.) ปี พ.ศ. 2539 ครง้ั แรกได้รบั โคนมมาจานวน 5 ตัว ปัจจุบันนี้มีโคนมทงั้ สนิ้ 50 ตวั แตค่ ุณยายจาไม่ได้วา่ โคนมท่ีได้รบั มาน้ันเป็นโคนมพนั ธ์ุอะไร จากการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ผู้เรียบเรียงสันนษิ ฐาน จากลักษณะและสีของโคนนม คาดว่าจะเป็นพนั ธ์ุ โฮลส์ไตน์ฟรเี ชยี น หรือพันธุข์ าว - ดา (Holstein - Friesian) 3. การเลือกซื้อโคนม โคนมพนั ธ์มุ าตรฐานท่เี ลย้ี งกนั อยู่ในต่างประเทศมีอย่หู ลายพันธุด์ ว้ ยกนั ที่เดน่ ๆ เห็นจะได้ แก่ พนั ธ์ุ เกิรน์ ซีและไอร์ชายท่ีนยิ มเล้ียงอยูม่ ากทส่ี ุดคือ พันธ์ุขาว-ดา ไมว่ ่าจะเปน็ แถบหนาวของทวปี อเมรกิ าเหนือ หรือ แถบร้อนแบบก่งึ ทะเลทราย เช่น ในอสิ ราเอล ซาอุดอิ าระเบีย หรอื รอ้ นชื้นอยา่ งกลมุ่ ประเทศอาเซยี นเพ่ือมใิ ห้ เปน็ การฝนั เฟื้องเกนิ ไปจะไมก่ ลา่ วถงึ ลักษณะประจาพนั ธ์ุของโคแตล่ ะพนั ธซุ์ ึง่ หาอ่านไดต้ ามตาราท่ัว ๆ ไป แต่ เราจะมาทาความเข้าใจกนั สั้น ๆ 2 จุด นั่นคอื จะเร่ิมเลีย้ งโคนมตอนน้ีจะมีโคพนั ธุอ์ ะไรบ้างในบ้านเราทจ่ี ะเลอื ก ซ้อื มาเลี้ยงไดใ้ นเชงิ ธรุ กจิ จดุ หน่ึงและพอจะมีเกณฑ์ในการคัดเลอื กเพอ่ื ป้องกนั การขายแบบไม่เจตนาดีได้ อย่างไรอีกจุดหน่ึง วิธที ด่ี ีทส่ี ดุ ในการซื้อโคนมเข้าฝูงคอื ซื้อโคสาวอมุ้ ท้องโดยวธิ นี ี้เราจะได้มน่ั ใจวา่ โคไม่มปี ัญหาเรือ่ ง ความไมส่ มบูรณ์พนั ธุห์ รอื ปัญหาความผดิ ปกติของระบบสบื พนั ธุ์ การพิจารณาลกั ษณะความเปน็ โคนมที่ดี ขอใหย้ ึดหลักในตารา อ.หมอ่ มชวนศิ เป็นเกณฑ์ ถ้าเป็นแม่โคท่ีรีดนมอยมู่ ิไดเ้ ปน็ หลักประกนั ว่าจะไมเ่ ป็นหมนั แม่โคตวั นน้ั ๆ อาจจะผสมไม่ติดมา 5-6 ครั้งแลว้ หรือมีปัญหาตดิ เชอ้ื เรื้อรงั ในมดลูกและไดผ้ ่านการล้างมดลูก เสียสภาพไปแลว้ ก็ได้ หรือผ่านการเป็นถงุ น้าทรี่ ังไขเ่ รื้อรังจนแก้ไมไ่ ด้ เป็นตน้ เพราะฉะนนั้ จงึ เส่ียงเกินไปท่ีจะ ซื้อแม่โคท้องวา่ งแม้จะได้รับการยืนยนั วา่ คลอดมาไม่นาน หรอื ยังใหน้ มสูงอยู่อีกประการหนึ่งคือ อายุของแม่โค ช่วงอายุการใหล้ ูกได้ของแม่โคนั้นว่าไปแล้วสัก 9 ขวบก็คงจะลาบากแลว้ เปรยี บเทียบเสมือนคนก็คงอยู่ใน เกณฑ์อายุสักเกือบ ๆ 50 ปี คือ คนเร่ิมเรยี กป้าหรือกาลงั จะย่างรุน่ ยายแล้ว เพราะฉะนั้นถา้ ไปซื้อโคอายุ 6-7 ขวบ ถ้าโชคดีอาจจะไดล้ กู อีกสองตัว แลว้ รีดนมอีกรอบสองรอบก็จะหมดสมรรถภาพการให้ลกู น่ันคอื
หมดสภาพการใหน้ มน่ันเอง การซ้ือโคจงึ ควรจะรู้อายโุ คอย่างหยาบ ๆ เพ่ือไม่ให้ตกเป็นเหยอ่ื ของการขายแบบ ไม่เจตนาดี วิธีทีง่ ่ายทส่ี ุดคือ ดูจากการขน้ึ ของฟนั แท้ ดงั น้ี อายปุ ระมาณ 2 ปี ฟันแท้คทู่ ่ี 1 ข้ึนเตม็ อายปุ ระมาณ 3 ปี ฟนั แท้คู่ที่ 2 ข้ึนเต็ม อายุประมาณ 4 ปี ฟนั แท้ค่ทู ี่ 3 ขึ้นเต็ม อายปุ ระมาณ 5 ปี ฟันแทค้ ู่ที่ 4 ขึน้ เตม็ สาหรบั การซอ้ื แม่โคตั้งทอ้ งท่ีงดการรดี นมแล้วมีปัญหาทพี่ ิจารณายากอยู่ประการหนง่ึ นั่นคือกรณีที่มี เตา้ นมบางเตา้ บอดหรือบอดหลายเต้า อนั เกิดจากการติดเชอ้ื เตา้ นมอักเสบเร้ือรงั ถ้าแม่โคเพ่ิงถกู รีดนมไป ไมน่ านก็พอจะมองออกวา่ เต้าท่ีบอดจะแฟบเลก็ ไม่มีนมเตง่ อยเู่ หมือนเต้าอ่ืน ๆ ว่าไปแล้วการซอ้ื แม่โคในระยะน้ี มคี วามเสี่ยงสงู มาก อาจได้โคที่มปี ระวัติเต้านมอักเสบรกั ษาไม่หายซ่งึ ในช่วงทอ้ งและไมไ่ ด้รดี นมน้พี จิ ารณา ยากถ้าไม่จาเป็นควรหลีกเลี่ยง เพราะฉะนั้นว่าไปแล้วการเริ่มต้นที่ดีควรเร่ิมกับโคสาวตั้งท้อง ถ้าเป็นโคสาวลูกของแม่ที่ให้นมดี ๆ ก็ จะยงิ่ ดเี ปน็ ทวคี ณู คุณยายคาผา “ ววั ทยี่ ายได้มาครั้งแรก 5 ตัว เป็นววั สาวตัง้ ท้องทั้งหมด โชคดีหลายๆ มาเลี้ยงได้ สองสามเดือนวัวกต็ กลูก และสามารถรีดนมใหน้ ้านม สร้างรายไดม้ าหมนุ เวยี นในการเลีย้ งวัวตวั อ่นื ๆทยี่ ังไม่ คลอดได้ หลังๆมายายก็ซ้อื วัวมาเล้ียงเอง” คุณยายให้ขอ้ มลู เพิ่มเติมอีกว่า คุณยายคาผา “คร้ังแรกท่ีเลี้ยงไม่มีความรู้ ตาสามีของยายเป็นคนไปอบรม 10 วัน ในการอบรม เจ้าหน้าท่ีให้ข้อมูลการเล้ียงวัวกับเรา หลังจากเราก็มาลองผิดลองถูกเองน้ันก็คือประสบการณ์ การแก้ปัญหา ตา่ งๆในการเลี้ยงวัว มีอกี หลายอย่างทุกอยา่ งต้องอาศัยการสงั เกต การเรยี นร้จู ากของจรงิ ทง้ั หมดเลย”
4. การต้ังฟารม์ และโรงเรือนโคนม ในการเริ่มตน้ เลย้ี งโคนมสิ่งท่ตี ้องมีการตระเตรียมก่อนการซ้ือโคเข้ามา คอื การเตรียมพื้นทแ่ี ละที่อยู่ อาศยั ของโค ซึ่งจะได้ยกเอา 3 จดุ หลกั ๆ อนั ได้แก่ สภาพพื้นทแ่ี ละเร่ืองของโรงเรอื นมาพิจารณากนั 4.1 ทาเล ในแง่ของทาเลทจี่ ะตั้งฟาร์มอยากจะเน้น 2 ประเดน็ ยอ่ ย อนั ไดแ้ ก่ ก. แหล่งนา้ นา้ เปน็ หวั ใจหลักอย่างหนึ่งของการทาฟาร์มโคนม นา้ นอกจากจาเป็นสาหรบั ไว้ ใหโ้ คดื่มกนิ อยา่ งเต็มทแี่ ล้ว ในกิจกรรมของการรดี นมอยา่ งน้อยทีส่ ุดมีความต้องการน้าสะอาดสาหรับการทา ความสะอาดตัวโค โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการล้างเต้านมใหส้ ะอาดกอ่ นการรีดนม การทาความสะอาดอปุ กรณ์ใส่ นมและรีดนมและใช้ทาความสะอาดโรงเรือน อกี ประการหน่งึ ถ้าอยู่ในแหลง่ ชลประทาน ซ่งึ สามารถชกั น้าเขา้ แปลงหญ้าได้ในหน้าหนาวและหน้าแล้งได้ก็จะเพิ่มประสทิ ธิภาพการผลติ และลดต้นทุนอาหารข้นไปได้อย่าง มาก ถ้าพื้นท่ีทจี่ ะคดิ เลย้ี งโคนมอยูใ่ นสภาพขาดแคลนนา้ หรือมีใชอ้ ย่างจากัดก็ไม่ควรใช้เล้ยี งโคนมเพราะ ปัญหาอ่ืน ๆ จะตามมาอกี มากมายในภายหลงั ฟาร์มและโรงเรือนโคนม ของนางคาผา ชุ่มก่งิ ตั้งอย่ทู ี่เลขท่ี 108 หมู่ที่ 5 ตาบลวังน้าเย็น อาเภอวงั นา้ เยน็ จังหวดั สระแกว้ คณุ ยายคาผา “เม่ือครั้งเรมิ่ เลย้ี งวัว คปร. (โครงการปรับโครงสรา้ งและระบบการผลติ การเกษตร) กบั สหกรณ์โคนมวงั นา้ เย็น ให้เงนิ กู้ยืม 300,000 บาท แบ่งเปน็ ววั อาหารววั และงบในการสร้างคอก และโรงเรือนวัว เขาไม่ไดใ้ ห้เปน็ ตวั เงินเรามา แต่ใหส้ ิง่ ทีจ่ าเป็นในการสรา้ งอาชพี เลย้ี งวัวนมให้เรา เม่ือเราเรม่ิ เลี้ยงกส็ ร้างหลังโรงเรือนเล็ก ๆ ค่อยๆเกบ็ หอมรอมรบิ เม่ือเรามีรายไดก้ ็แบง่ ไปจ่ายหนี้เงินกู้ เมื่อใชห้ นี้หมด ก็ขยายฟารม์ ขยายคอก และซื้อวัวมาเพม่ิ ยดึ หลกั พอเพียงของในหลวง ค่อยๆทาค่อยๆขยับขยายไป ประหยดั อดออม เพื่อใหต้ ัง้ ตัวได้ ใชเ้ วลาหลายปี แต่ผลตอบแทนก็คุม้ ค่านะ”
ข. ความใกล้เคียงกับแหล่งวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรท่ีสามารถใช้เป็นอาหารหยาบท่ีดีของ โคนม โดยเฉพาะอย่างยิง่ ต้นและเปลือกขา้ วโพดฝักออ่ น ฯลฯ 4.2 สภาพพืน้ ที่ จดุ ทตี่ ้องพิจารณามีหลัก ๆ ดังนี้ ก. จดุ สรา้ งคอกหรือท่ีอยู่อาศัยของโคในทีด่ อน เพื่อหลีกเลี่ยงหรอื ลดปญั หาความแฉะของพื้นท่ี จุดที่จะต้ังโรงเรือนและลานดินนอกโรงเรอื นที่จะให้โคอยู่อย่างน้อยทีส่ ุดควรจะสูงจากสภาพพนื้ ทโ่ี ดยรอบ ประมาณ 1 ฟตุ ข. สภาพดินบริเวณท่ีจะสร้างคอก ถ้าเปน็ ดนิ กรวดทรายจะดกี วา่ ดินโคลน (ทนี่ า) ค. ควรมีต้นไมใ้ หญ่ ๆ ทใ่ี ห้รม่ เงาอย่ใู นบริเวณร่มเงาของต้นไมใ้ หญ่จะเป็นทกี่ นั แดดธรรมชาติทมี่ ี ประสิทธภิ าพมากกวา่ หลงั คาโรงเรือนไมว่ ่าเปน็ ชนิดใด ๆ ถา้ สภาพภมู ิประเทศทีเ่ ลือกเปน็ ท่ีดอนและเล้ยี งโค ไมก่ ีต่ ัว ถา้ มีรม่ ไมใ้ หญ่ ๆ พุ่มโต ๆ สามารถท่ีจะเล้ียงโคนมได้โดยไม่ตอ้ งสร้างโรงเรอื นอยู่อาศัยให้มนั เลย ดงั ระบบการเลย้ี งในประเทศออสเตรเลยี อน่ึง ในเมืองไทยไดม้ ีการทดลองเล้ียงปล่อยโคในแปลงหญ้าท่ีมีรม่ เงาจากต้นไมโ้ ดยให้โคอยู่ในแปลงหญ้าตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากเวลารดี นมพบว่าการใหน้ มไม่ได้แตกต่าง จากการเล้ียงขังในโรงเรอื นเลย (งานทดลองของ อสค. มวกเหล็ก) เพราะฉะนน้ั ควรพจิ ารณาและระวงั ในแง่ การใช้ร่มไม้ของโคคือ ถา้ ตน้ ไมไ้ ม่โตนักและโคอาศยั อยจู่ าเจ สภาพการถูกเหยียบย่าใตโ้ คนต้นนาน ๆ และ ขบั ถ่ายลงใต้ต้นตลอดเวลาจะเป็นตัวทาให้ตน้ ไมน้ ั้นตายได้ ในส่วนของทาเลท่ีตั้งฟาร์ม คุณยายคาผา ช่มุ ก่ิง ได้ให้ขอ้ มูลกับผู้เรียบเรียงว่า คุณยายคาผา “ฟาร์มต้องกว้างขวางนะครู มีพื้นที ทุ่งหญ้า ถังน้าไว้ให้วัวได้กิน เวลาบ่ายๆ ต้องปล่อยวัว ออกเดินเล็มหญ้าแล้วเขาจะอารมณ์ดี ถ้าวัวอารมณ์ดี จะให้น้านมเพ่ิมข้ึน น้านมจะต่างกันเลยกับวันไหนท่ี เราขงั ววั ไว้แต่ในโรงเลยี้ ง”
4.3 โรงเรือน ในฟาร์มขยาดเลก็ ความจาเป็นในแง่ของโรงเรอื นโคนมจะเป็นไปเพื่อสาหรบั ใหร้ ม่ เงาแก่โค และเพ่ือ การรีดนมเป็นหลักสาคญั ผู้เร่ิมตน้ เลยี้ งโคนมควรจะต้องเน้นในแง่ของการสร้างโรงเรอื นทีป่ ระหยดั และเรียบงา่ ย และพยายามใช้ประโยชน์ร่มเงาธรรมชาติใหม้ ากทสี่ ุด ชนิดของโรงเรอื นโค โรงเรอื นโคตามลกั ษณะการเลย้ี งดูทม่ี อี ยู่ในเมืองไทย แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ นนั่ คือ ก. แบบผูกโคยืนโรง โรงเรือนแบบนี้จะประกอบด้วย ซองหรือช่องใหโ้ คอยู่และจะมีโซ่คล้องคอโคไว้ โคจะถูกลา่ มอยู่อยา่ งนตี้ ลอดทั้งวัน การรดี นมก็จะกระทาในซองท่โี คถกู ล่ามไวน้ ้ี จานวนแถวของซองตอ่ โรงเรือนอาจจะมีแถวเดยี วในโรงเรอื นขนาดเล็กหรือสองแถวในโรงเรอื นขนาดใหญ่ขนึ้ เป็นลักษณะโรงเรือน และการเล้ียงดูทีใ่ ชก้ ันมากในอดีต ข้อเสยี ของการเลี้ยงดแู บบน้ีคอื โคต้องอยู่ในซองตลอด 24 ชว่ั โมง บน พน้ื คอนกรีตและด้วยไม่ไดเ้ ดินไปมา การงอกของกบี จะมากโดยมีการสึกนอ้ ยลงทาให้มีปัญหาตอ้ งตัดแตง่ กีบ บอ่ ยขน้ึ ถา้ ผเู้ ลยี้ งไมส่ นใจเร่ืองการตัดแต่งกีบ กีบจะงอกยาวจนบางครงั้ งอนออกไปเหมือนใส่รองเทา้ แกว้ โค จะมีความเจ็บปวดและเครยี ดมาก ข. แบบปลอ่ ยอิสระในโรงเรือน และมีลานดนิ นอกโรงเรือนให้โคไดเ้ ดนิ และนอนได้ ลักษณะการ เล้ียงภายใต้โรงเรอื นแบบนม้ี ีมากข้ึนในปจั จบุ ัน และถือว่าดีกวา่ การผูกยืนโรงในข้อ ก ข้อดีของการเลี้ยง แบบนีเ้ ป็นการให้อสิ รภาพแก่โคมากขน้ึ การเดินไปเดนิ มาบนพน้ื ปูนสลับกบั พื้นดินช่วยให้การสึกของกีบดีข้นึ โคสามารถนอนบนพ้นื ดินนอกโรงเรอื นในเวลาท่แี ดดไมจ่ ดั และเวลากลางคืน ความเครียดอันเกดิ จากสภาพ อากาศร้อนชน้ื ในบา้ นเราท่ีมีในตัวโคจะนอ้ ยลง โรงเรือนเล้ียงโคนมของคุณยายคาผา เป็นแบบปล่อยอิสระ โคสามารถเดินเล็มหญ้าในบริเวณฟาร์ม ได้ และเมื่อถึงเวลารีดนมโคจะถกู ต้อนเข้าซองรีดนม เมื่อรดี นมเสรจ็ โคนมจะกลับเขา้ คอก หรือปล่อยใหเ้ ดิน แล็มหญ้าในบรเิ วณฟาร์ม
ค. ขนาดของโรงเรือน พนื้ ทภ่ี ายใต้โรงเรือนใหค้ านวณว่าโค 1 ตวั ตอ้ งการพ้ืนที่ในเกณฑ์ 30-50 ตารางฟุตต่อตวั ในการสรา้ งโรงเรอื นถาวรให้เผ่ือจานวนโคท่ีจะเพ่ิมมากขึ้นภายในปีสองปขี ้างหนา้ ด้วย และ ควรสารองทีท่ ี่จะต่อโรงเรือนใหย้ าวออกไปได้อีกสาหรับอนาคต ง. ความสูงและความกว้าง ลักษณะของโรงเรือนควรจะโลง่ และโปรง่ ความสูงของหลงั คาควรใหอ้ ยู่ ในเกณฑ์ 12-14 ฟุต และความกวา้ งของโรงเรือนไม่ควรเกิน 2 เทา่ ของความสูง จ. หลงั คา วสั ดทุ ใ่ี ช้มุงหลงั คาสามารถเลือกใชไ้ ดต้ ั้งแต่คาจากกระเบอื้ งและสังกะสี คาและจากจะลด รังสีความรอ้ นท่ีส่งผา่ นลงไปยังในโรงเรือนได้มากกว่ากระเบ้ืองและสังกะสตี ามลาดับ ลักษณะของหลังคาที่ เรยี บง่ายแบบเพงิ หมาแหงนให้ประโยชนใ์ ช้สอยได้ดีพอ ฉ. การวางตวั ของโรงเรอื น ได้มีการแนะนาว่า ควรต้งั โรงเรอื นขวางตะวันคือ ความยาวของ โรงเรอื นชีไ้ ปทางทศิ เหนือ-ใต้ เพอื่ ให้พื้นทภ่ี ายในโรงเรือนได้ถกู แสงแดดส่องเข้าไปถึงบา้ ง ช. พนื้ โรงเรือน มขี ้อต้องพิจารณาในแง่ของพื้นของโรงเรือนว่าควรจะเป็นพนื้ ปูนหรือดนิ ในแง่ ความสะดวกการใชพ้ นื้ ปนู สะดวกกว่าในการลดปัญหาความเฉอะแฉะทีจ่ ะเกิดข้ึนโดยเฉพาะในหน้าฝน โรงเรอื นพ้ืนดินมักจะแกป้ ญั หาความหมกั หมมของขี้เย่ียวไม่ค่อยได้ และจากการเหยยี บย่าตลอดเวลา พนื้ ดนิ จะเละกลายเป็นปลักเหมือนปลักควายซึ่งแกไ้ ขยากในการก่อสรา้ งโรงเรอื นครั้งแรกอาจจะยงั ไม่เทปนู กอ่ นกไ็ ด้ ใหผ้ า่ นไปสกั 1 ปีก่อน ความคิดในการแก้ไขเรื่องพ้นื จะเกิดข้ึนจากปญั หาที่ได้พบมาจรงิ ๆ แต่อยา่ งไรก็ตาม ถึงจะไม่ใช้พ้ืนปูนบรเิ วณท่โี คเดินผา่ นหรอื ต้องยนื อยู่บ่อย ๆ เช่น บริเวณรอ ๆ ทก่ี นิ น้าบรเิ วณทโี่ คยืนกิน อาหารและทางเดินเข้า-ออกจากโรงเรอื น ควรจะต้องเทปูน ซ. รางหญา้ และอาหาร ควรจะวางอยู่ด้านตะวันออกของโรงเรอื นตามยาว โดยมีท่ลี ็อกคอได้โดย การโยกแปป๊ หนีบคอ ซ่ึงหาดเู ป็นตัวอย่างไดท้ ี่ อสค. มวกเหลก็ หรอื ทมี่ หาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กาแพงแสน ถ้าทาหลังคาแบบเพิงหมาแหงนควรให้ด้านสงู ของหลงั คาหันไปทางทิศตะวันออกและเพงิ ในระดบั ต่ากวา่ ยื่นออกมาคลมุ พนื้ ท่ีรางอาหารดงั ภาพ รางหญ้าและอาหาร ในโรงเรือนโคนมคุณยายคาผา
ฌ. ในแนวท่โี คยนื กินหญา้ และอาหารน้ีอาจจะทาเปน็ ซองคล้าย ๆ กบั ท่ใี ช้กันอยู่ในโรงเรอื นแบบผกู ยนื โรงเพื่อใชเ้ ป็นทร่ี ีดนมไปในตัว ถา้ ใช้ระบบน้พี น้ื คอกเป็นพ้ืนปูนหมด และตอ้ งมีการออกแบบการระบาย นา้ ออกจากโรงเรือนทด่ี ี ซองรดี นมโค ในโรงเรือนโคนมคุณยายคาผา ญ. ลานดิน ถ้ามีพ้ืนที่มากพอลานดินอาจจะคลุมพื้นท่ีอีก 3 ด้านของโรงเรอื นออกไปตามแต่ท่ีจะมี และกาลังทรพั ย์ในการลอ้ มรวั้ ในฝงู โคท่ีใหญ่หนอ่ ยถา้ มบี ริเวณลานดินนอ้ ยเกนิ ไปจะแฉะเป็นปลักได้ง่าย ลาน ดินควรจะเป็นพ้ืนที่ที่มีความเอียงออกไปจากโรงเรือน และไม่ควรมีน้าขัง ชายคาหลังคาด้านต่าควรจะมีราง นา้ ฝนและคูน้าคอนกรีตระบายนา้ ฝนเหล่าน้ีออกจากบรเิ วณโรงเรอื นให้ออกพน้ ไปจากลานดนิ ลานดิน ในบรเิ วณฟาร์มโคนมคุณยายคาผา
ฎ. ทก่ี นิ น้า ควรจะสร้างในบริเวณลานดินเปน็ บ่อซีเมนตม์ ีน้าไหลเตม็ ตลอดเวลาและควรมีเพิงคลุม กนั แดดไม่ควรใหบ้ ่อน้าตากแดดอยู่ซึ่งจะทาให้โคต้องจาใจกนิ น้าที่อนุ่ ๆ ในขณะท่ีมันเครยี ดจากอากาศร้อนอยู่ สาหรบั การกอ่ สรา้ งสิ่งก่อสร้างอ่นื ๆ เชน่ โรงเกบ็ ฟางและอปุ กรณ์ หรือโรงรีดนม เมื่อมีโคมากขนึ้ ควร จะวางให้หา่ งจากโรงเรอื น เพ่ือไมใ่ ห้ขวางทางลมและก่อสภาพหรอื จุดอับลมขึ้นในโรงเรือนความโลง่ และโปร่ง คอื หัวใจของโรงเรอื นโคนมที่ดี 5. อาหารสาหรบั โคนม เน่ืองจากประเทศไทยได้พัฒนาเกย่ี วกบั การเลยี้ งสัตว์ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะการเลย้ี งโค เชน่ โคนม จึงจาเป็นต้องพฒั นา และคน้ คว้าเรื่องพืชอาหารสัตวแ์ ละทงุ่ หญ้าเลี้ยงสตั วด์ ้วย เช่น การคัดเลอื กพันธุ์ หญ้าประเภทถ่ัว โดยนาพนั ธ์จุ ากตา่ งประเทศมาทดสอบ และศึกษาจานวนมาก แล้วคัดเลือกพนั ธ์ทุ ีข่ น้ึ ไดด้ ี ผลิตผลสูง คุณค่า อาหารดี และปลูกง่าย เร่ิมนาเขา้ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2472 ในคร้งั น้นั ได้นาพันธห์ุ ญ้ามอรชิ ัส กนิ นี และเนเปยี รม์ าจากประเทศมาเลเซยี และนาย พี อาร์ โจนส์ (P.R.Jones) นาไปปลูกไว้ท่ีสถานผลติ วัคซีนของ กรมปศสุ ตั ว์ ตาบลปากช่อง อาเภอปากชอ่ ง จงั หวัดนครราชสีมา ในระยะต่อมาได้นาพันธห์ุ ญ้าถั่วพันธตุ์ ่างๆ เข้ามามากกวา่ ๒๐๐ ชนดิ อาหารสาหรับโคนม ส่วนใหญ่แล้วคล้ายกับอาหารโคเนื้อ ตา่ งกันทปี่ ริมาณโภชนะบางอย่าง นอกจากน้ีแลว้ ผูเ้ ล้ียงโคนมตอ้ งใหค้ วามสนใจในเรื่องอาหารสาหรบั โคนมมากเป็นพิเศษ เนือ่ งจากโคนม ต้องการอาหารทมี่ ีโภชนะตา่ ง ๆ ครบถ้วน ไมว่ า่ จะเป็นการให้อาหารแก่ลูกโค, โคสาว, โคให้นม, และ โคนม แห้ง เน่อื งจากโคนมแตล่ ะระยะการเจรญิ เติบโต ตอ้ งการโภชนาไมเ่ ท่ากันหากอาหารขน้ สาหรับโคนมทใ่ี หม้ ี โภชนาไม่ครบและไม่พอเพยี งจะเกดิ ผลเสียหายเป็นอย่างมาก อาหารหยาบ สาหรับโคนม อาหารหยาบ หมายถึง อาหารทีม่ ีเยอ่ื ใยสูง เช่น หญา้ สด หญา้ หมกั หญ้าแหง้ ฟาง ฟางปรุงแตง่ พชื ถ่วั อาหารสตั ว์ และเศษวัสดุเหลอื ใชจ้ ากการเกษตรเช่น ยอดอ้อย ต้นกลว้ ย ใบมันสาปะหลังตากแหง้ หรือ แม้แตว่ ัชพืช เช่น ผักตบชวา ก็จัดเป็นอาหารหยาบสาหรับสตั วเ์ ค้ียวเออื้ งเช่นกนั โดยปกติโค สามารถสรา้ งน้านมโดยกินอาหาร หยาบแต่เพยี งอยา่ งเดียวก็พอเพียงแล้ว แตน่ า้ นมท่ีให้ นน้ั จะมจี านวนน้อย จงึ มหี ลักวา่ ถา้ โคตัวใดให้นา้ นม นอ้ ยกว่าวันละ 5 ลติ ร ควรให้โคตวั น้นั กินแต่อาหาร หยาบท่ีมีคุณภาพดเี ท่าน้ันก็พอเพยี งไม่จา เป็นต้องเพมิ่ อาหารข้นให้กนิ แตเ่ กณฑ์น้ีไมใ่ ช่มาตรฐานเกษตรกร บางรายอาจจะไมเ่ พ่ิมอาหารขน้ ใหแ้ กโ่ คเลยถงึ แมโ้ คตวั นั้นจะให้นมถึงวนั ละ 7-8 ลิตรทั้งนข้ี นึ้ อยู่กับ ความสามารถของโค และการตดั สนิ ใจของผู้เลี้ยง โดย
ยดึ หลกั ว่าหากได้เพม่ิ อาหารข้นให้แก่นมลดลงแสดงว่าปริมาณอาหารขน้ จานวนสดุ ท้ายนี้เหมาะสมกบั ความสามารถของโคใหน้ มตวั นั้น อาหารหยาบท่ีมคี ุณภาพดี ควรจะเป็นอาหารหยาบที่ไดจ้ ากหญ้า และถ่ัวอาหารสัตว์ผสมกันใน อัตราส่วนอย่างละครึง่ ถ้าอาหารหยาบประกอบดว้ ยถ่ัวอาหารสัตว์เกิดกว่าคร่ึง โคอาจจะเกดิ อาการท้องอืดได้ แปลงปลูกหญา้ ขนของคุณยายคาผา จานวน 6 ไร่ การให้ความรู้เพิ่มเติมจากประสบการณ์การเล้ียงโคนมของคุณยายคาผา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อาหารของโคนม ดงั น้ี ผู้เรียบเรยี ง “เวลาให้อาหารโคนม คณุ ยายใหอ้ าหารอะไรบา้ งคะ” คุณยายคาผา “มีหวั อาหารท่ีซ้ือมาจากโคนมวังน้าเย็น ต้องใหป้ ระกอบกบั หญา้ ทเ่ี รามี เพราะถา้ ให้ กินหญ้าอย่างเดียว ววั จะใหน้ า้ นมน้อย และน้านมจะมีคุณค่าทางอาหารตา่ ราคาก็จะไม่ดี เวลาเราเอานมไป ส่งทสี่ หกรณ์โคนม เขาจะตรวจสารอาหารดว้ ย” ผเู้ รียบเรียง “แล้วฟางละคะ เราได้ให้วัวกินดว้ ยไหม” คณุ ยายคาผา “ฟางเราก็เอาไวเ้ สริมใหก้ บั วัว ในวนั ทเ่ี ราติดธุระ ไปตดั หญา้ ให้ววั ไมไ่ ด้ และใหเ้ สรมิ ชว่ งที่เรารดี นมววั แต่ทีส่ าคญั ฟางเราจะต้องกักตุนเอาไว้ใชต้ อนหนา้ ฝน เวลาฝนตกฟา้ ร้อง เราจะไม่ปล่อยววั ออกไปเดินเลม็ หญ้า ฟางจะเป็นอาหารท่ีสาคัญในชว่ งหน้าฝน” ผู้เรียบเรยี ง “แล้วเราให้ววั กินหญา้ มากนอ้ ยแคไ่ หนคะ” คุณยายคาผา “เราใหว้ วั กินหญา้ สดเยอะไปก็ไม่ดีนะ วัวจะท้องอืดวัวมนั จะเคีย้ วทั้งวนั ทง้ั คนื ดังนั้น เราต้องคอยดูดีๆ ถ้าววั ท้องอืดช่วยไม่ทนั ววั จะตายได้” ผเู้ รียบเรยี ง “แล้วเราดูยังไงคะว่าวัวท้องอดื แล้วเราช่วยได้ยังไง” คุณยายคาผา “วัวที่ท้องอดื ท้องเขาจะบวมๆใหญ่ๆผดิ ปกติ เราชว่ ยได้โดยการใหก้ ินน้าแปป็ ซี่ 1 ขวดเล็ก หรอื นา้ มันพชื ก็ชว่ ยได้ แล้ววัวจะตดออก นน้ั คือเขาจะหายทอ้ งอดื แต่ถ้าไมห่ ายต้องใหเ้ ข็มฉีดยา
แทงท่ีท้องวัวขา้ งซา้ ย ใหม้ ลี มออกมากลน่ิ ที่ลมออกมากจ็ ะเหมือนหญา้ ที่หมักแลว้ มนั เน่านน้ั แหละ มันเป็น อย่างนีเ้ พราะว่าหญา้ ท่ีกนิ เข้าไปมันย่อยไม่ทันเลยเกดิ แกส๊ แลว้ ววั จะทอ้ งอืด” “ยังมีมันสาปะหลังด้วยนะเราสามารถสับๆมาให้ววั กินได้ ถ้าเป็นมันสาปะหลังสดไมค่ วรเกิน 3 กโิ ลกรมั หรือถา้ เปน็ มันสาปะหลังแหง้ ก็ไม่ควรเกนิ 5 กโิ ลกรัม ไมง่ ้นั วัวจะท้องอดื ได้ มนั สาปะหลังแหง้ จะ ดีกว่าสด วัวกินแลว้ ใหน้ า้ นมไดเ้ ยอะ ประหยัดหัวอาหารได้อกี ด้วย แต่เราต้องระวังเวลาให้ววั กนิ ดว้ ยนะ” โคสามารถแทะเลม็ หญา้ และพืชถั่วอาหารสัตว์ทม่ี ีความสูงระดบั 6-8 นิ้ว แต่เกษตรกรบางรายไมน่ ยิ ม ปล่อยใหโ้ คลงแทะเลม็ มักจะใช้วิธีตดั สดแล้วนา มาให้กินทีค่ อก ดงั นัน้ จึงควรปลูกพืชอาหารสัตว์ทใี่ หผ้ ลผลติ สงู และมีการดแู ลจดั การที่ดี พชื อาหารโคในวงศ์หญา้ 1. หญ้ามอรชิ ัส (Brachiaria mutica) เป็นหญ้าในสกลุ เดียวกันกับหญา้ ขน แตง่ อกงามในทีด่ อนได้ ดีกว่าหญ้าขน มีขนมากกว่า และต้นอวบน้า และโตกว่าหญ้าขน มีแหล่งเดมิ ในเขตร้อน ทวปี แอฟริกา แตเ่ รา นาเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย เม่อื พ.ศ. 2472 เป็นหญา้ อายหุ ลายปี กอสงู ถึง 50-60 เซนติเมตร ลาตน้ กลวง ใบดก สตั วช์ อบกนิ ขน้ึ ไดด้ ใี นทดี่ อน ฝนชกุ และดินอดุ ม มีข้อเสยี ที่ไมต่ ิดเมล็ด การขยายพนั ธจ์ุ งึ ต้องใชเ้ ถาปลกู ใชป้ ลกู เพ่ือทาทุ่งหญ้า สาหรับโคแทะเลม็ หรือเพ่ือตัดใหก้ ิน หรือตดั ทาหญ้าหมกั ไมท่ นต่อการแทะเล็มเหยียบ ย่า การปลกู ใชล้ าต้นโดยตัดใหต้ ดิ ข้อ 3-4 ข้อ แลว้ ปักชาหลุมละ 2-3 ท่อน ห่างกนั หลุมละ 50 เซนติเมตร หลงั จากงอก 80-90 วนั ตัดหรอื ปลอ่ ยโคแทะเล็มได้ หลงั จากนนั้ ควรตัดทุกๆ 40-45 วัน ควรปลกู ปนกับ ถั่วลาย โดยใชถ้ ั่วลาย 2 กิโลกรมั ต่อไร่ ใส่ปุ๋ยบารงุ ตามลักษณะความอุดมของดิน 2. หญ้ารูซี หรือ หญา้ คองโก (Brachiaria ruziziensis)เปน็ หญา้ อายุหลายปี กอสูง 50-60 เซนตเิ มตร ลักษณะใบคลา้ ยใบหญ้ามอรชิ สั ลาต้นเล็กกวา่ และตัน ชอ่ ดอกเป็นแฉกเรียงกัน 2 แหลง่ ดง้ั เดมิ พบ ในทวปี แอฟริกา เขตรอ้ นแถบประเทศคองโก เรานาเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย เม่ือ พ.ศ. 2511 ปลูกครั้ง แรกที่สถานีพืชอาหารสตั วป์ ากช่อง อาเภอปากช่อง ตดิ เมล็ดดีมาก ติดเมล็ดปีละครง้ั ในช่วงเดือนตลุ าคม โตเรว็ โคกระบือชอบกิน ข้นึ ได้ดีในท่ีดอน ใชป้ ลูกทาทุ่งหญา้ สาหรับโคกระบือแทะเล็มทนการเหยยี บย่าได้ดกี ว่าหญ้า มอริชัส ใช้เล้ียงโคกระบือได้ดี แตไ่ ม่ควรใช้เลี้ยงแกะ เนื่องจากแกะแพส้ ารบางอย่างท่ีมใี นหญ้าชนิดน้ี ทาใหต้ ับ พกิ ารและตายได้ การปลกู ใชเ้ มล็ดปลกู 2 กโิ ลกรัมต่อไร่ หลังจากงอก 70-80 วัน ปลอ่ ยโคแทะเลม็ ได้ ภาพ หญ้ารูซี หรอื หญา้ คองโก
3. หญ้าซิกแนล (Brachiaria decumbens) เปน็ หญา้ อายุหลายปี ลักษณะใบและตน้ คล้ายๆ หญ้า รูซี แตแ่ ตกกอแบบกง่ึ ตง้ั กง่ึ นอนสงู ประมาณ 40-50 เซนตเิ มตร แหลง่ เดมิ อย่ใู นทวปี แอฟริกา แตเ่ รานาเขา้ มา จากฮ่องกง เม่อื พ.ศ. 2499 ข้ึนไดด้ ใี นทีด่ อน ปลูกทาทุ่งหญ้าเลี้ยงโค ในสวนมะพร้าวได้ดี เหมาะสาหรบั ปลูกทาทงุ่ ปล่อยโคแทะเลม็ ทนตอ่ การเหยยี บย่า โคกระบือชอบกนิ ติดเมลด็ น้อยมาก การปลกู ใช้เมล็ด ๒ กโิ ลกรัมต่อไร่ หรือใช้หน่อปักชา โดยชาห่างกันหลุมละ 40 เซนตเิ มตร ปลูกร่วมกับถวั่ ลายได้ดีกวา่ ถ่ัวอืน่ ๆ คณุ ค่าอาหารจากตวั อย่างหญ้าทีจ่ งั หวัดชมุ พรคิดเป็นรอ้ ยละดงั น้ี ความชนื้ 10.9 โปรตีน 9.7 ไขมัน 1.4 กาก 22.4 แปง้ 45.6 และแรธ่ าตุ 9.8 4. หญา้ กนิ นี (Panicum maximum) เป็นหญ้าอายุหลายปี แตกกอและใบเล็ก ยาวคลา้ ยกับกอ ตะไคร้ แต่ต้นสงู กวา่ มาก สงู 1-1.4 เมตร ช่อดอกบานใหญ่ 14-20 เซนตเิ มตร เมลด็ เลก็ มาก ขนาดโตกวา่ เข็มหมดุ ประมาณ 1 เทา่ แหล่งดั้งเดิมอยู่ในทวปี แอฟริกา เขตร้อน เรานาเขา้ มาจากประเทศมาเลเซีย เม่ือ พ.ศ. 2472 พร้อมกับหญา้ มอรชิ สั โคกระบอื ชอบกิน ขึ้นไดด้ ใี นที่ดอน ดินอดุ มปานกลาง ทนร่มเงาไดป้ าน กลาง ควรปลูกทาทุ่งหญ้าเลี้ยงโคในสวนมะพร้าว ทนการแทะเล็มเหยียบยา่ คุณค่าอาหารจากตัวอยา่ งหญา้ ที่ อาเภอปากชอ่ ง จังหวัดนครราชสีมาคิดเปน็ รอ้ ยละดังน้ี ความชื้น 9.8 โปรตนี 9.5 ไขมัน 1.9 กาก 25.9 แปง้ 41.7 และแร่ธาตุ 11.0 หญา้ ในกลุ่มหญา้ กนิ นี มหี ญา้ กินนีสมี ่วง หญ้าแกตตันแพนิค ซง่ึ ใชท้ าทุ่งหญ้าเลีย้ งสัตว์ได้ดี และโค ชอบกนิ หญ้ากนิ นี 5. หญ้าเฮมลิ (Panicum maximum var.Hamil) เปน็ หญา้ ในกล่มุ หญา้ กนิ นีอายหุ ลายปี ตน้ โต สูงกว่าหญา้ กินนี สูงประมาณ 1.4-1.8 เมตร ใบและช่อดอกใหญ่กว่าหญ้ากนิ นี ช่อดอกยาว 20-25 เซนติเมตร ใบสีเขยี วแก่กว่าใบหญ้ากนิ นี ตดิ เมล็ดได้ดีกวา่ แหล่งด้งั เดมิ อยู่ในทวปี แอฟริกาเขตร้อน เรานาเขา้ มาจากออสเตรเลีย เมื่อ พ.ศ. 2510 โคกระบอื ชอบกนิ ใช้ปลูกเปน็ หญ้าสวนครวั หรือทาเปน็ ทุง่ หญา้ สาหรบั ปล่อยสัตว์แทะเล็ม ทนตอ่ การเหยยี บยา่ นอ้ ยกว่าหญ้ากนิ นี การปลูกใช้เมล็ดในอตั รา 1.5-2 กิโลกรมั ต่อไร่
หรือแยกหน่อปลูกกไ็ ด้ คุณค่าอาหารจากตวั อย่างหญา้ ท่จี ังหวดั หนองคายคิดเป็นรอ้ ยละดงั น้ี ความช้นื 8.6 โปรตนี 5.1 ไขมนั 1.7 กาก 30.6 แปง้ 45.7 และแร่ธาตุ 8.1 6. หญา้ กรีนแพนิค (Panicum maximum var.trichoglumes) เปน็ หญา้ อายุหลายปี ต้นเตยี้ กว่า หญ้ากินนี ใบและตน้ เล็ก กอสูงประมาณ 70 เซนติเมตร ใบมขี นปกคลุมมากกว่าหญ้ากินนีขนนุ่ม แหล่ง ดง้ั เดมิ อยู่ในทวปี แอฟริกาเขตร้อน เรานาเขา้ มาจากประเทศออสเตรเลีย เมอ่ื พ.ศ. 2499 โคกระบอื ชอบกิน ใชป้ ลกู ทาท่งุ ปล่อยโคแทะเล็ม ข้ึนในรม่ เงาในสวนไม้ผลไดด้ ี ติดเมล็ดดีมาก ขยายพันธ์ดุ ว้ ยเมล็ดหรือหน่อ การ ปลูกใชเ้ มลด็ ในอตั รา 1.5-2 กิโลกรัมตอ่ ไร่ หรือแยกหน่อปลูก คุณคา่ อาหารจากตัวอย่างหญ้าท่ีอาเภอ ปากชอ่ ง จงั หวดั นครราชสีมา คดิ เปน็ ร้อยละดังนี้ ความช้นื 10.2 โปรตนี 6.8 ไขมัน 1.9 กาก 30.9 แปง้ 40.1 และแร่ธาตุ 9.8 หญา้ กรีนแพนิค 7. หญ้าเนเปียร์ (Pennisetum purpureum) เปน็ หญ้าอายุหลายปี กอสงู คล้ายออ้ ย สูงประมาณ 1.6-1.9 เมตร ช่อดอกสนี า้ ตาลเหลอื ง เป็นรปู ทรงกระบอกคลา้ ยหางกระรอก มีแหลง่ ดั้งเดมิ อยู่ในทวีป แอฟริกาเขตรอ้ น เรานาเข้ามาจากมาเลเซียเมอ่ื พ.ศ. 2472 หญ้าชนิดนี้ชอบทดี่ อน โคกระบือชอบกิน ใช้ ปลูกทาทงุ่ สาหรบั ตดั เล้ียงสัตว์ ไมท่ นตอ่ การเหยยี บย่า ไม่ติดเมล็ด ดงั น้นั การปลูก จึงใช้วธิ ตี ดั ลาต้นชา ชาหา่ ง กนั หลมุ ละ 50 เซนติเมตร ตัดเลี้ยงโคได้ หลังจากงอกประมาณ 70.80 วัน หลังจากนน้ั ตดั ได้ทุก 40-45 วัน ใช้ทาหญ้าหมกั ได้ดี คุณค่าอาหารจากตัวอย่างหญ้าในท้องทอ่ี าเภอปากช่อง จงั หวัดนครราชสมี า คิดเป็นรอ้ ยละ ดงั น้ี ความช้ืน 9.7 โปรตนี 11.3 ไขมนั 2.3 กาก 21.6 แป้ง 41.1 และแรธ่ าตุ 13.8
หญา้ เนเปียร์ แปลงปลูกหญ้าเนเปยี ร์ของคุณยายคาผา จานวน 3 ไร่ 8. หญา้ บัฟเฟิล (Cenchrus ciliaris) เปน็ หญ้าอายุหลายปี กอเตีย้ สูงประมาณ 60 เซนติเมตร มี แหลง่ กาเนิดในทวปี แอฟรกิ า เรานาเข้ามาจากประเทศฟลิ ปิ ปินส์ เมื่อ พ.ศ. 2498 ใบเล็กเรียว กว้างประมาณ 4 มลิ ลิเมตร ยาว 8-10 เซนตเิ มตร ชอ่ ดอกคล้ายหางกระรอก ยาวประมาณ 6 เซนตเิ มตร ทนแล้งและการ เหยียบย่า ใชป้ ลูกทาทุ่งหญ้าปลอ่ ยโคแทะเล็มขึน้ ได้ดใี นดินร่วนปนทราย ทดี่ อน ทนแล้งพอใช้ได้ตดิ เมล็ดดีมาก การปลกู ใชเ้ มลด็ หรอื หน่อ คุณค่าอาหารจากตัวอย่างหญา้ ในทอ้ งท่อี าเภอปากช่อง จังหวดั นครราชสีมา คดิ เปน็ ร้อยละดังนี้ ความชืน้ 9.7 โปรตนี 11.1 ไขมัน 1.6 กาก 23.9 แปง้ 40.8 และแรธ่ าตุ 12.5
หญ้าบัฟเฟลิ 9. หญา้ โรด (Chloris gayana) เปน็ หญา้ อายหุ ลายปี แหล่งดง้ั เดมิ อยู่ในทวปี แอฟริกาเขตรอ้ น เรา นาเข้ามาคร้ังแรกเม่ือ พ.ศ. 2472 เปน็ หญ้ากอสงู ประมาณ 60 เซนตเิ มตร ชอ่ ดอกแตกเปน็ แฉกหลายแฉก คล้ายตีนนก ขน้ึ ไดด้ ีในท่ดี อน ติดเมลด็ ดมี าก ใช้ปลูกทาทงุ่ สาหรบั โคแทะเล็ม หรอื ตัดทาหญา้ แหง้ ใชเ้ มล็ดปลูก ในอตั รา 1-1.5 กิโลกรมั ต่อไร่ คุณคา่ อาหารจากตวั อย่างหญา้ ท่ีอาเภอปากช่อง จงั หวดั นครราชสมี า คิดเป็น รอ้ ยละดงั นี้ ความช้นื 10.4 โปรตีน 7.3 ไขมัน 1.8 กาก 28.9 แปง้ 42.1 และแร่ธาตุ 9.5 หญ้าโรด
10. หญา้ ซอกมั (Sorghum almum) เป็นหญา้ อายุสองปี แหลง่ ด้งั เดมิ อยูใ่ นทวปี อเมริกาใต้ เรา นาเขา้ มาจากสหรฐั อเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2503 เป็นหญา้ กอสูง ต้นสูงประมาณ 1.6 เมตร ลกั ษณะใบคลา้ ยตน้ อ้อ ช่อดอกบานทรงพรี ะมิด ยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ชอบท่ดี อน ดินอุดม ติดเมลด็ ดีมาก โคชอบกนิ แต่ มสี ารพิษไฮโดรไซยานกิ เป็นอันตรายกับโคกระบอื ไม่ควรใหโ้ คกระบือกินเมื่อตน้ ยังอ่อนๆ ควรให้กิน หลังชอ่ ดอกโผลจ่ ากยอดใหมๆ่ ไมท่ นตอ่ การแทะเล็ม ควรตดั ให้กนิ การปลกู ใช้เมล็ดในอัตรา 2.5 -3 กโิ ลกรมั ต่อไร่ หญ้าในกลุ่มน้ี มหี ญ้าลูกผสมหลายพนั ธ์ุ เช่น หญ้าจัมโบ สปดี ฟดี มีคุณค่าอาหารสงู โคชอบกนิ เลี้ยงโคนมไดด้ ี คณุ คา่ อาหารจากตวั อยา่ งหญ้าตัดก่อนมดี อก ในท้องท่ีอาเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา คิดเป็นรอ้ ยละดังน้ี ความช้นื 9.4 โปรตีน 15.1 ไขมนั 4.0 กาก 22.8 แปง้ 40.2 และแรธ่ าตุ 8.3 นอกจากนั้น ยงั มหี ญ้า ในกลมุ่ ซอกมั อน่ื ๆ อีกหลายชนิด เช่น หญา้ ซูกาครบิ จมั โบ และสปีดฟีด ซ่ึงเปน็ หญ้าลูกผสม เปน็ หญา้ คุณภาพ ดี แต่อายุสั้น 1-2 ปี 11. หญ้าเซตาเรยี (Setaria anceps) บางทีเรยี กวา่ หญา้ เซาทแ์ อฟริกนั เปน็ หญา้ อายหุ ลายปี กอสงู 1.2-1.4 เมตร โคนต้นแบนใบเกลี้ยง ยาวเรยี ว ยาว 13-16 เซนตเิ มตร กว้าง 1.0-1.2 เซนตเิ มตร มีแหล่ง ด้งั เดิมในทวปี แอฟรกิ าเขตร้อน นาเข้ามาจากไต้หวันเมื่อ พ.ศ. 2503 ขึน้ ได้ดี ในทีด่ อน โคชอบกิน เหมาะ สาหรับใชท้ าทุง่ ปลอ่ ยสัตว์แทะเลม็ ติดเมลด็ ดี ปลูกโดยเมล็ดหรอื แยกหน่อชา ใช้เมล็ดในอตั รา 2 – 2.5 กิโลกรมั ต่อไร่ คุณคา่ อาหารจากตัวอย่างหญ้าในท้องที่อาเภอปากช่อง จงั หวัดนครราชสมี า คดิ เป็นรอ้ ยละดงั น้ี ความชืน้ 9.4 โปรตนี 11.5 ไขมัน 2.8 กาก 22.1 แป้ง 43.3 และแรธ่ าตุ 10.5 12. หญา้ กวั เตมาลา (Tripsacum laxum) เปน็ หญา้ ประเภทอายุหลายปี กอใหญ่ ใบดก ใบแตกชดิ ดนิ ไม่มลี าต้นเดน่ ชดั ใบยาวใหญเ่ ท่าใบข้าวโพด มแี หล่งดงั้ เดมิ อยใู่ นทวีปอเมริกาใต้ เรานาเขา้ มาจาก สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2496 โคกระบือชอบกนิ เหมาะสาหรบั ปลกู เพอื่ ตดั เล้ยี งสัตว์ ไมท่ นต่อการแทะเล็ม เหยียบย่า ขึ้นไดด้ ีในท่ีดอน เชงิ เขา แตป่ รับตัวกับที่ลุ่มได้พอสมควร ไมต่ ิดเมล็ด ขยายพันธโ์ุ ดยหน่อ ปลกู ชา ห่างกนั หลุมละ 60-70 เซนติเมตร คณุ คา่ อาหารจากตวั อย่างหญ้าในจงั หวัดชุมพร คิดเป็นรอ้ ยละดังน้ี ความช้นื 10.5 โปรตนี 7.1 ไขมัน 1.4 กาก 26.0 แป้ง 48.0 และแร่ธาตุ 6.7 หญา้ ก้วเตมาลา
๗. หญา้ ขน (Brachiaria mutica) เปน็ หญ้าอายหุ ลายปี มีเถาเล้ือย ลาตน้ กลวง อวบน้าใบขนาด กลาง ยาว 5-8 เซนติเมตร กวา้ ง 0.8-1.2 เซนตเิ มตร มีขนขาวๆ ปกคลมุ กาบใบ และแผ่นหลงั ใบ ชอบข้นึ ในท่ีรมิ น้า เชน่ หนองน้า ครู ่องสวน เป็นหญ้ากลุ่มเดยี วกบั หญา้ มอรชิ สั แต่หญ้ามอรชิ ัสข้ึนในทด่ี อนได้ดีกว่า มขี นปกคลุมมากกวา่ โคกระบือชอบกิน ใชเ้ ลยี้ งไก่ และสกุ รได้ด้วย โดยใหก้ นิ เสรมิ กับอาหารขน้ ไมท่ นตอ่ การ เหยยี บย่าของโค มคี ุณค่าอาหารคิดเปน็ รอ้ ยละ ดงั น้ี มคี วามช้นื มี 10.0 โปรตนี 9.5 ไขมัน 3.4 กาก 27.9 แปง้ 36.6 และแร่ธาตุ 13.0 หญ้าขน แปลงปลูกหญา้ ขนคณุ ยายคาผา จานวน 6 ไร่ และทาการตัดเพ่ือนาหญา้ ไปเล้ียงโคนม
คณุ ยายคาผาให้ข้อมูลเพม่ิ เติมถึงการปลูกหญา้ อาหารโคนมอกี ว่า คณุ ยายคาผา “ต้ังแตเ่ ริม่ เลี้ยงววั มา ทดลองปลูกหญ้ามาหลายชนิด ทั้งหญ้าเนเปียร์ หญ้ากินนี หญ้ากนิ นสี ีมว่ ง หญ้ารซู ี หญ้าสตาร์ หญ้าขน หลายชนดิ ววั กินแล้วใหน้ มดี แต่ทดี่ ีทีส่ ุดในการเล้ียงวัวของ ยาย ยายวา่ หญ้าขนกบั หญา้ เนเปยี รน์ ะ ทดลองแลว้ วัวกนิ แลว้ ให้นมดีมากทส่ี ดุ ตอนนี้แปลงปลูกหญา้ ของ ยายมีหญา้ เนเปียร์ 3 ไร่ หญา้ ขน 6 ไร่ และแปลงทปี่ ลกู รวมๆกนั เพ่ือปล่อยววั เดินเลม็ หญา้ ได้อีก 30 ไร่” อาหารขน้ สาหรบั โคนม อาหารขน้ หมายถงึ อาหารท่ีประกอบดว้ ยโปรตีน คาร์โบไฮเดรท วิตามนิ และแรธ่ าตอุ ยู่ครบใน อัตราสว่ นท่ีเหมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตของสัตว์ เป็น อาหารทมี่ ีคณุ คา่ สงู มีเย่ือใยน้อย อาหารขน้ สาหรบั โคนม นั้น เกษตรกรอาจจะซ้อื จากบริษทั ทีผ่ ลติ หรือจะผสมขนึ้ ใช้ เองก็ได้ ในกรณที เี่ ล้ยี งโคนมจานวนน้อย หาซือ้ วสั ดุดบิ คุณภาพดยี ากหรอื วัตถดุ ิบมรี าคาแพง ขอแนะนาใหซ้ ื้อ อาหารเม็ดสาเร็จรปู จากกลุ่มสหกรณ์หรือจากบรษิ ทั จะ เหมาะสมกว่า ความตอ้ งการโภชนาการอาหารของโคนมของโคนมแตล่ ะระยะ การจะพิจารณาวา่ เมื่อใดควรจะใหอ้ าหารข้นแก่โคนมหรอื ไม่น้ัน สาหรบั สภาพการเลยี้ งโคนมใน เมอื งไทยควรยึดหลักดงั นี้ 1. ลกู โคอ่อน เร่ิมหดั ให้กินอาหารขน้ เม่ือลกู โคอายุได้ 8 วัน และให้กินไดเ้ ต็มท่ี เม่ือลูกโคอายุได้ 2 เดอื น โดยใหอ้ าหารขน้ ไม่เกนิ วันละ 2 กโิ ลกรมั อาหารข้นที่ใหค้ วรจะมีโปรตีนประมาณ 20% 2. โคเลก็ อาหารข้นสาหรับโคเลก็ ควรจะมโี ปรตีนอยรู่ ะหว่าง 16-18%
3. โครุ่นหรือโคสาว อาหารข้นสาหรับโครุ่นหรอื โคสาวควรจะมโี ปรตีนอยรู่ ะหว่าง 14-16% 4. โคใหน้ ม ควรจะมีโปรตนี 16-18% เปน็ อย่างตา่ ข้อแนะนา ความต้องการโภชนาการอาหารของโคนมของโคนมแต่ละระยะ 1. สาหรบั โคเล็ก โครุ่นและโคให้นมนัน้ หากโคได้ กนิ อาหารหยาบท่มี คี ุณภาพดี (มีท้ังหญา้ และพืชถว่ั อาหาร สตั ว)์ เราสามารถลดปริมาณโปรตีนในอาหารข้นใหล้ ดลง ไปจากที่กาหนดไว้ได้อกี 2. สาหรบั โคให้นมน้นั หากโคตวั ใดให้นมต่ากว่า วันละ 5 กโิ ลกรัม ควรใหโ้ คได้กนิ แตอ่ าหารหยาบทมี่ ี คุณภาพดี โดยให้กนิ อยา่ งเตม็ ท่ไี มจ่ าเป็นต้องใหอ้ าหารขน้ เสรมิ 3. ถ้าโคใหน้ มสามารถใหน้ มไดว้ นั ละ 5-10 กิโลกรัม ควรให้โคได้กินอาหารหยาบท่ีมีคุณภาพดี และเสริมดว้ ยกากถ่วั เหลอื ง หรอื กากฝ้ายเพยี งเลก็ น้อย เพ่อื เพิ่มโปรตนี ในอาหารหยาบ โดยไม่จา เปน็ ต้องเพ่ิมอาหารข้นให้ 4. ถา้ โคใหน้ มสามารถให้นมไดม้ ากกว่า 10 กโิ ลกรมั ในแต่ละวนั แลว้ จึงสมควรใหอ้ าหารข้นเสริม เกณฑ์การเสรมิ อาหารข้นให้แกโ่ คนมเหลา่ น้ี เกษตรกรบางรายสามารถเปล่ียนแปลงได้ตามความเหมาะสม และความสามารถของการให้นา้ นมในโคนมแตล่ ะตวั โดยพิจารณาถึงรายไดแ้ ละรายจ่ายเป็นหลกั สาคญั ยายคาผาให้อาหารขน้ (หัวอาหาร)กับโคนมเวลารดี นมโค สูตรอาหารขน้ สาหรบั โคใหน้ ม ในทางปฏิบัติ เราจะปล่อยโคใหน้ มได้กินอาหารหยาบอย่างเต็มที่ และการจะเพ่ิมอาหารข้นใหห้ รอื ไม่ น้ัน มหี ลกั ควรยึดปฏบิ ตั ิดังนี้
ปริมาณโปรตีนในอาหารข้นสาหรับโคใหน้ ม จะมากน้อยเท่าใดขึน้ อยู่กบั คุณภาพอาหารหยาบ นา้ หนกั ของโค เปอรเ์ ซ็นต์ไขมันในนมของนา้ นม และความสามารถในการให้น้านม นอกจากนี้แล้วคุณภาพ ของอาหารหยาบยังขน้ึ อยู่กับฤดูกาลอกี ดว้ ย เช่นฤดูฝน อาหารหยาบจะมีคุณภาพดี แต่ในฤดูแลง้ คุณภาพ อาหารหยาบจะไม่คอ่ ยดี ดงั น้ัน ถา้ ผเู้ ลี้ยงสามารถเตรยี มอาหารหยาบท่มี ีคณุ ภาพดใี ห้โคให้นมได้กินแลว้ จะสามารถลดตน้ ทุน อาหารขน้ ได้ โดยการเตรียมอาหารข้นใหม้ ีเปอร์เซน็ ตโ์ ปรตีนต่าลงกว่าเกณฑ์ปกติได้ ดังต่อไปน้ี 1. เมือ่ โคให้นมได้กนิ อาหารหยาบคณุ ภาพดีมาก เชน่ หญ้าแหง้ ผสมกับพชื ถวั่ อาหารสตั ว์ หรอื หญ้า และพชื ถั่วอาหารสตั วห์ มกั ควรผสมอาหารขน้ ให้มปี ริมาณโปรตนี ระหว่าง 9-10% 2. เมอ่ื โคให้นมได้กนิ อาหารหยาบคณุ ภาพดี เช่น หญ้าอ่อนท่มี พี ชื ถว่ั อาหาร สัตวป์ ะปนอยู่ ควรผสม อาหารข้นให้มีปรมิ าณโปรตีน 13% 3. เมื่อโคให้นมได้กินอาหารหยาบคุณภาพปานกลาง เช่น หญ้าอ่อนท่ีมีใบมาก(แต่ไม่มีพืชถั่วอาหาร สัตวป์ ะปนอยู)่ ควรผสมอาหารข้นใหม้ ีปรมิ าณโปรตนี 15% 4. เม่ือโคให้นมไดก้ นิ อาหารหยาบคุณภาพตา่ เช่น หญา้ แก่จัด หรือหญา้ ทมี่ ีใบนอ้ ยหรือใหก้ ินฟางข้าว ควรผสมอาหารข้นให้มปี ริมาณโปรตนี 17-20% วัสดอุ ุปกรณ์และขน้ั ตอนการรีดนมโค การรดี นมแมโ่ คเปน็ ขัน้ ตอนสาคญั ในการเกบ็ เกี่ยวผลลิตน้านม หลักสาคญั ในการรีดนม คือ 1. การปฏิบัติตอ่ แมโ่ ครีดนม ควรกระทาด้วยความ นุ่มนวล สมา่ เสมอ ขณะรดี ไม่ควรให้แมโ่ คตน่ื ตกใจ หรือมี ความเครียดเพราะจะทาให้แม่โคให้นมลดลง 2. การรดี นมควรจะมเี วลากาหนดแน่นอน ปกตริ ีด วันละ 2 ครง้ั กรณีท่ีแม่โคให้นมมากอาจจะรีด วนั ละ 3 ครั้ง กรณีท่รี ดี วันละ 2 ครัง้ ช่วงหา่ งของการรีดนมควรห่างกนั ประมาณ 12 ชัว่ โมง ไมค่ วรรีดนมผิดเวลาจากทเี่ คยปฏิบัติ
3. กอ่ นรดี นมต้องทาความสะอาดเต้านมโดยการเช็ดล้าง และกระตุน้ ใหแ้ มโ่ คปล่อยนา้ นม 4. การรดี นมควรรีดใหเ้ สรจ็ และหมดเตา้ ภายใน 5-7 นาที 5. อุปกรณเ์ คร่ืองใชเ้ กยี่ วกับการรีดนม ตอ้ งสะอาด 6. คนรีดนมต้องสะอาดและมีสุขภาพดี ไม่ควรเปล่ียนคนรีดนมโดยไม่จาเปน็ ก่อนทาการรีดนม ตอ้ งล้างทาความสะอาดโคนมและเต้านมใหม้ คี วามสะอาด การรดี นมทาได้ 2 วธิ ี คอื 1. การรีดนมดว้ ยเครอื่ งรดี นม 2. การรีดนมดว้ ยมอื การรีดนมด้วยเคร่อื งรีดนมมีข้นั ตอน ดงั น้ี 1. เตรียมเคร่ืองรีดนม เปล่ยี นไส้กรองของทอ่ เครอ่ื งรดี นมใหเ้ รยี บรอ้ ย 2. ประกอบตวั ถังเครื่องรดี นมแยกจากเครอื่ งใหญใ่ หเ้ สร็จเรียบร้อย พร้อมตรวจดูอุปกรณ์ในหอ้ งรีดให้ ครบ 3. เปดิ ระบบเครอ่ื งรีดนมให้ทางานพร้อมเตรียมตวั รีดนมต่อไป 4. ปลอ่ ยแม่โครีดนมเขา้ หอ้ งรดี นม 5. ทาความสะอาดเต้าแม่โครีดนมใหเ้ รียบร้อย โดยใช้น้ายาทาความสะอาดเตา้ นมทเ่ี ตรยี มไว้ พร้อม กระตนุ้ เตา้ นมให้แมโ่ คปลอ่ ยน้านม และตรวจทานไม่โคนมจะตอ้ งไม่เปน็ เต้านมอกั เสบ ในกรณีที่เปน็ ก็รีดใสถ่ ัง แยกต่างหากไมใ่ ชเ้ ครื่องใหญร่ ีดรวมปะปนกนั เข้าไปในถงั เก็บนมใหญ่ 6. จากน้นั กส็ วมหัวเครื่องรีดนมได้ ข้นั ตอนน้ีก็ขึน้ อยู่กับระบบของเครือ่ งรีดนม อาทิ บางรุ่นจะต้องกด ป่มุ รีดนมก่อนถึงจะรดี ได้ บางรนุ่ สามารถดงึ มาสวมใสเ่ ตา้ นมไดเ้ ลย เป็นตน้ 7. รอจนกว่าหัวรีดนมจะหยุดทางานเองโดยอัตโนมัติ เราไม่จาเป็นทีจ่ ะต้องไปย่ืนรอสามารถไปรดี นม ตวั อืน่ ได้เลย แล้วหวั รีดนมจะหยดุ เองโดยอตั โนมัติ
8. เมอ่ื หวั รดี นมหยุดทางานแล้ว กไ็ ปตรวจเตา้ นมของแมโ่ คดวู ่าแม่โคตวั น้ันๆ ให้นมหมดเต้าหรือยัง ในกรณีใหย้ ังไม่หมดเต้าเราสามารถรดี นมซ้าอีกรอบกไ็ ด้ เมื่อตรวจทานครบทกุ ตวั แลว้ ปล่อยโคชดุ นั้นๆ ออกไป ได้แล้วเตรยี มตัวรีดแม่โคนมชดุ ต่อไป อุปกรณ์ในการรีดนมโค นอกจากการรีดนมด้วยมือแล้ว เครอื่ งรดี นม เป็นนเคร่ืองมอื สาคัญท่ใี ชเก็บรวมนา้ นมท่ีโคนมผลติ ได้ ถาหากวา เคร่ืองรีดนมทางานอยา่ งไมถ่ ูกตอง ช้นิ สวนบางชิ้นสึกหรอ หรอื เส่อื มคุณภาพ น้านมทผี่ ลิต ได้ก็จะ ลดลง ดังนน้ั การระวังรักษาใหเครอื่ งรีดนมทางานได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ จงึ เปน็ สง่ิ จาเป็นนอยางยง่ิ สาหรบั ฟาร์มโคนม เคร่ืองรีดนมมสี วนประกอบท่ีสาคัญต่าง ๆ ซง่ึ จะตองอยู่ในสภาพดีเพื่อทาใหการรีด นมได้ผลอยา่ ง เต็มท่ี สวนประกอบท่ีสาคญั ดังกล่าว ได้แก่ 1. ปม้ั ลม ป้มั ลม เปน็ หัวใจสาคัญของระบบรีดนมดวยเคร่ือง ซง่ึ ทาหนาทส่ี รา้ งสูญญากาศให เกิดข้ึนภายใน ทอลม-ถังรองรบั น้านม-และชุดหวั รีดนม กลาวคอื ปมลมจะสูบอากาศออก จากทอลมอย่างรวดเร็ว ทงั้ น้ีอตั รา การสูบมหี น่วยวดั เปน็ ลูกบาศกนว้ิ ตอนาที โดยมีมาตรวัด ลมเป็นตวั ตรวจสอบ ระดับสูญญากาศทจ่ี าเป็นในการ รดี นมขน้ึ อยู่กับยย่ีห้อของเคร่ืองรีดนม สวนใหญ่จะมีคาต้ังแต่ 10-15 นิ้วปรอท 2. ทอลม ทอลม ท่ีใชกับเครื่องรดี นมสวนใหญเปนทอเหล็กอาบสังกะสี หรือทอพลาสติกแข็ง เสนผา่ ศนู ยก์ ลาง ของทอลมควรจะมีขนาดพอเหมาะไมควรมีของอหรือทอแยกมาก เกนิ ไป และอยาลดขนาดของทอทางเขาของ อากาศที่ตอกบั ปม การตอทอทีถ่ ูกตองเพ่ือใหสูญญากาศ หรอื ลมดดู ภายในทอมีความคงที่โดยตลอด นนั้ คือ การตอแบบวงจรป ไม่ใชแบบวงจรเปด เสนผ่าศนู ยก์ ลางของทอลมไมควรจะเล็กกวา 11 /4 นวิ้ ดงั ทปี่ รากฏ การตอ่ ทอ่ แบบวงจรปดทาใหการไหลของอากาศสะดวกและระดับสญู ญากาศคงที่ แตก่ ารตอท่อแบบวงจรเปด ทาใหการไหลของอากาศไมส่ ะดวก และระดับสญู ญากาศไมคงที่ ทอ่ ลมและก๊อกเปดิ ปิดลม
3. ก๊อกเปิดปิดลม ป้มั ลมทม่ี ีอัตราการสบู อากาศที่พอเพยี ง รวมท้ังทอลมท่ีมีขนาดพอเหมาะ จะไมมีประโยชน ถาหาก ว่าก๊อกปดเปดลมสกึ หรอหรอื มีเศษนมทแี่ หงอดุ ตันอยู เพราะเหตวุ ากอกนเี้ ปนทางผานของอากาศเขาไปในท่อ ลมตลอดจนระบบรีดนมทงั้ หมดจากกระบวนการในการใช้เครอ่ื งรดี นม ทอ่ ลมและก๊อกเปิดปิดลม 4. อปุ กรณจัดจงั หวะรดี อุปกรณนี้เป็นวาลวอัตโนมัติซ่งึ ทาใหหวั รีดนมเกดิ จงั หวะดดู และปล่อบสลับกัน 1. จงั หวะดูด ในจังหวะดูด น้านมจะไหลออกมาจากเต้านม อปุ กรณจัดจังหวะรีดจะ ดดู อากาศท่ีอยู่ ภายในชองว่างระหวา่ งกระบอกดูดนมและยางเตา้ รดี ออกไปทาใหเกิดสญู ญากาศข้นึ ยางเตา้ รดี จะยดื ตัวออกไป อยู่ในสภาพเดิมคือสภาพตรง ในจงั หวะน้ีน้านมในเต้าจะไหลออกมา เพราะวาภายในยางเต้ารดี เกิดสูญญากาศ (ลมดดู ) ซึ่งมคี วามกดดนั ของ บรรยากาศตา่ กวา่ ความกดดนั ของน้านมในเตา้ นม 2. จังหวะปล่อย ในจงั หวะปล่อย หรือเรยี กวาจังหวะบีบนวด เป็นจังหวะท่อี ุปกรณจัด จังหวะรดี ปดวง จรลมดดู ทเี่ กิดข้ึนจากปมลมและปล่อยใหอากาศภายนอกเข้าไปอยู่ภายใน ช่องว่างระหว่างกระบอกดูดนมและ ยางเตา้ รีดจนยางเตา้ รีดหดตวั บีบนวดหัวนมของโค จงั หวะนจ้ี ะทาใหการไหลเวียนของโลหติ ในเตา้ นมกลับคนื สู่ สภาพปกติ ไม่มกี ารค่งั ของโลหิต เกดิ ขึน้ 3. วงจรของจงั หวะรดี วงจรของจังหวะรดี (หรืออตั ราสวนของจงั หวะรดี ) จะครบรอบได้กต็ องประกอบ ด้วยจังหวะดูดและจังหวะปล่อย เชน 50/50, 55/45, 60/40, 70/30 ซงึ่ ตัวเลขสองตัวแรกคอื ระยะเวลาของ จังหวะดดู และตวั เลขสองตัวหลงั คือระยะเวลาของจงั หวะปล่อยโดยมี หนว่ ยเป็นเปอรเซน็ ต (ร้อยละ) 4. ความถ่ีของจงั หวะรีด ความถ่ีของจงั หวะรีดมีคาต้ังแต่ 45-72 ครงั้ ตอนาทีแลวแตช่ นดิ ของเครือ่ ง รดี นม การเพิ่มจานวนของความถี่ไมไ่ ดร้ ะยะเวลาในการรีดนมแต่จะทาใหวงจรของจังหวะรีดไม่ครบรอบ ดงั นนั้ จึงควรจะยึดถือความถ่ขี องจงั หวะรีดตามทบ่ี รษิ ัทผู้ผลิตเครอื่ งรีดนมได้ระบุไว อย่าลืมวาโคนมเปนสัตว ทีม่ คี วามเคยชนิ ถาหากมีการเปล่ียนความถ่ีของจงั หวะรดี ปรมิ าณนมท่ีรีดได้อาจจะนอยลง 5. ชนิดของอปุ กรณจดั จังหวะรีด อปุ กรณ์จดั จงั หวะรดี ทีม่ ีจาหนา่ ยในทองตลาดสวนใหญ่เป็นแบบลมท่ี อาศัยสูญญากาศจากปมลมมาช่วยในการทางาน ความถ่ีของจงั หวะรดี และวงจรของจังหวะรดี ทเี่ กดิ ขึน้
ในอปุ กรณจ์ ัดจังหวะรดี แบบน้ีอาจจะเปลีย่ นแปลงไปไดถ้ าเกิดการสึกหรอ สกปรก รอน ชื้น หรือเมอื่ ความ กดดนั ของอากาศเปลยี่ นแปลง ดังน้ัน จงึ ตองรักษาความสะอาดเป็นประจา อุปกรณ์จัดจังหวะรดี แบบไฟฟา และแบบแมเ่ หลก็ เป็นอปุ กรณทีม่ ีความถ่ีของจังหวะรีด และวงจรของจังหวะรีดที่คงที่ เน่ืองจากทางานดวยไฟฟาจงึ ไมตอง เปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภมู ิ ความช้นื หรือความกดดนั ของอากาศ อยางไรก็ตามปากชองทางเขาของ อากาศอาจจะอดุ ตันไดถาหากเกดิ การสะสมของสง่ิ สกปรกมากขึ้น 6. การบารงุ รกั ษาอปุ กรณจัดจงั หวะรดี แบบลม การถอดทาความสะอาดช้นิ สวนตาง ๆ ของอปุ กรณ จดั จงั หวะรีดควรจะปฏิบตั ติ ามคาแนะนาของบริษทั ผูผลติ หลงั จากทาความสะอาดแลว ควรจะตรวจสอบ ความถ่ีของจังหวะรดี ดวยนาฬิกา เพือ่ เปรยี บเทยี บกับคาแนะนาถาเปลี่ยนแปลงก็ตองปรบั ใหมใหถูกตอง อุปกรณจัดจงั หวะรีดใชระบบลมผาน 5. กระปุกรวมน้านม กระปกุ รวมน้านม ทาหนาทร่ี บั น้านมท่ีไหลมาจากหวั รีดนมทั้งสีก่ อนท่จี ะไหลตอไปยงั ถงั รองรบั น้านม ดงั น้นั กระปกุ รวมน้านมและทอสงน้านมไปยงั ถงั รองรบั น้านม จงึ ควรจะมีขนาดใหญพอทจ่ี ะไมทาใหน้าล้น ขนึ้ ไปจนถึงหัวนมของโค นอกจากนนั้ ยงั ตองสามารถถอดลางและทาความสะอาดไดโดยงาย ชุดหัวรดี นมและกระปกุ รวมน้านม
6. ยางเตารีด เปนชน้ิ สวนเดียวของเครื่องรีดนมทสี่ ัมผัสกับหวั นม ยางเตารดี ท่ดี ีควรจะเปนทอยางท่ี สวมหัวนมไดโดยท่ีขอบยางไมบีบรดั ฐานของหัวนม . ท่ีมาของภาพ www.facebook.com/pg/เครื่องล้างหัวรีดนม-ยางไลเนอร์-อะไหล่-และอุปกรณ์ เครือ่ งรีดนม-ราคาถูก การบารงุ รกั ษา โดยปกตวิ สั ดุท่ีทาจากยางมกั จะเส่ือมตามอายุ โดยเฉพาะเม่อื มีไขมันจากนมอุดตามรู ตวั ยางจะเกดิ รูพรนุ และผิวแตก ทาใหเกิดจากการสะสมของน้านมและเปนทเ่ี จรญิ เติบโตของจุลนิ ทรยี ท่ีทาให นมเสยี การยดื อายุของยางเตารีดใหยาวนายจาเปนตองอาศยั ยางเตารดี จานวน 2 ชุด ตอ หัวรีดนม 1 ชดุ โดยใชสลบั กนั อาทิตยเวนอาทิตยขณะท่ีกาลงั ใชยางเตารีดชดุ ทหี่ นง่ึ ก็จุ่มยางเตารดี ชดุ ท่ีสองทง้ิ ไวในนา้ ยา เชน สารละลายโซดาไฟ 5% 7. ทอยางหรือทอพลาสติก ในระบบรีดนมนน้ั จาเปนตองอาศยั ทอยางหรือทอพลาสติกเปนทอลมและทอสงน้านมกันมาก ดงั น้นั จึงควรจะรกั ษาอายุของทอเหลานี้ใหยาวนานเพอื่ เปนการลดตนทนุ การดาเนนิ งานโดยท่ัวไป จุดที่ตอและถอด ทอยางหรือทอพลาสติกมกั จะฉกี ขาดงาย โดยเฉพาะสวนปลายทอทต่ี อเขากับกอกปดเปดลม ดงั น้นั จึงควร ระมัดระวังท่ีจุดนถ้ี าเห็นวายดื ตัวมากก็ควรจะเปลย่ี นเสียใหม่ สาหรบั ทอสงน้านมน้นั ตองทาความสะอาดทุก คร้งั หลังจากการรีดนมดัวยสารละลายทใ่ี ชลางอปุ กรณรีดนมอ่นื ๆ นอกจากนน้ั ก็ควรจะใชแปรงท่ีมกี าน ยาว ๆ ถูภายในเพ่ือขจัดคราบไขมันทีเ่ กิดข้นึ จากนา้ นมออกใหหมด หลงั จากลางหลาย ๆ ครงั้ แลวก็นาไป แขวน ไวในทที่ ่ีสะอาดจนแหงสนิท สวนทอลมนน้ั ควรจะทาความสะอาด 1 คร้งั ตอสปั ดาห
สายลม สายลมเล็ก สายรีดนม แปลงลา้ งสายรดี และหัวรีด ฝาถงั นม
ถงั เกบ็ น้านม เกบ็ อุปกรณร์ ีดนม การรดี นมดว้ ยเครื่องรีดนมอัตโนมัตขิ องคุณยายคาผา 8. การบารุงรกั ษาหลังจากการรดี นม การบารงุ รักษาหลังจากการรีดนมแตละครั้ง หลงั จากการรดี นมแตละคร้ัง กค็ วรจะลางและแปรงยาง เตารีดเบาๆ ดวยสารละลายที่เหมาะสมและรอน ไมควรจะใชสารละลายของคลอรนี เพราะจะทาใหยางแข็ง และแตก หลังจากนน้ั กล็ างอยางระมดั ระวังดวยน้าอนุ แลวนาไปเกบ็ ในที่ ๆ มอี ากาศแหงและมีความสะอาด การรีดนมด้วยมอื กระทาไดโ้ ดยการใช้น้วิ หัวแม่มือนิว้ ช้บี บี หรือรีดหวั นมตอนบนเพอื่ เปน็ การปดิ ทางนม เป็นการกนั ไมใ่ ห้ นา้ นม ในหัวนมหนีข้ึนไปอย่ตู อนบนตอ่ มาก็ใช้นิ้วที่เหลือ (กลาง, นาง, กอ้ ย) ทาการบบี ไล่น้านมต้งั แต่ตอนบน เรือ่ ย ลงมาข้างล่างจะทาใหภ้ ายในหัวนมมีแรงอดั และน้านมจะถูกดันผ่านรูนออกมาและเม่ือขณะทปี่ ลอ่ ยช่อง
นิว้ (หวั แมม่ อื , น้ิวช้ี) ทรี่ ดี หัวนมตอนบนออก นา้ นมซึ่งมีอยู่ในถุงพับนม ข้างบนจะไหลลงมาสว่ นล่างเปน็ การเตมิ ใหแ้ กห่ ัวนมอีกเปน็ เช่นนต้ี ลอดระยะเวลาทร่ี ดี จนกระทงั่ น้านม การรีดนมด้วยมือของคุณยายคาผา ข้นั ตอนในการรีดนมเพ่ือใหไ้ ด้น้านมทส่ี ะอาด 1. การเตรียมนา้ ยาฆ่าเชอ้ื โดยใชน้ ้ายาคลอดรนี อยา่ งเจอื จาง 2. การเตรียมอุปกรณ์การรีด ซง่ึ รวมถึงผ้ทู ่ีทาการรีด และแม่โคให้เรียบร้อย การเตรียมการตา่ ง ๆ ควรจัด การให้สะอาดหรอื ฆ่าเช้ือกอ่ นดว้ ยยาคลอริน 3. ทาความสะอาดตัวโคและบริเวณคลอรินท่สี กปรก 4. ล้างเต้านมดว้ ยน้าอนุ่ หรือนา้ ยาคลอรนี พรอ้ มกบั นวดเชด็ เบา ๆ 5. ก่อนลงมือรดี ควรตรวจสอบความผิดปกติของน้านมหรอื ทาการรดี นา้ นมท่ีค้างอยู่ในหัวนมทิ้ง เสียกอ่ น 6. ขณะลงมือรีดนา้ ควรรบี รีดใหเ้ ร็วท่สี ดุ ไมห่ ยดุ พักกะใหเ้ สร็จภายใน 5-6 นาที และต้องรดี ใหห้ มด ทกุ เต้า จุม่ หัวนมทันทดี ว้ ยนา้ ยาเฉพาะทกุ ครั้ง เมื่อรดี นมเสร็จ ป้องกันแมลงมาตอมหัวนม และปอ้ งกันหัวนมอักเสบ
กรองนา้ นมอีกครั้งก่อนทจ่ี ะเทน้านมลงในถังเก็บนา้ นม คุณยายคาผาและคณุ ตาเจื้อ ชว่ ยกันขนถงั นมเพ่อื เตรยี มส่งให้กบั สหกรณโ์ คนมวังนา้ เยน็
Search