การสอนความร้คู ู่คณุ ธรรม : แนวทางสกู่ ารปฏิบัติ ลาวัณย์ วิจารณ์
การสอนความรูค้ ่คู ณุ ธรรม: แนวทางสู่การปฏิบัติ ช่ือผเู้ ขียน: ลาวัณย์ วิจารณ์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสติ ชอื่ หนงั สือ การสอนความรู้ค่คู ณุ ธรรม: แนวทางสูก่ ารปฏบิ ตั ิ จานวนหนา้ 47 หนา้ พิมพท์ ่ี โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั รงั สิต ถนนพหลโยธิน เมืองเอก ปทุมธานี 12000 โทร. 0-2997-2200-30 จดั ทาโดย ผศ.ดร.ลาวณั ย์ วจิ ารณ์ ISBN 978-616-590-803-0
คานา นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กล่าวได้ว่า การปลูกฝังคุณธรรมให้เกิดขึ้นในตัว ผู้เรียน เป็นภารกิจสาคัญของกระบวนการจัดการเรียนการสอนในทุกระดับ ท้ัง การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน อาชีวศึกษาและอุดมศึกษา จะเห็นได้จาก....มีการกาหนดให้ การสรา้ งเสริมคุณธรรมเป็นองคป์ ระกอบหนึ่งของมาตรฐานการศึกษาในทุกระดับ ...จากความสาคัญขา้ งตน้ ทาให้มี Slogan หรู “ความร้คู ู่คณุ ธรรม” เกดิ ขึ้นมาในวง การศกึ ษาของบา้ นเรา.....ตามมาด้วยคาถามทคี่ าใจมาโดยตลอดวา่ ....แลว้ ทาได้จรงิ หรือ?.. ผู้เขียนได้พยายามหาคาตอบโดยสร้าง L.E.(learning experience) ทดลองใช้สอนเนื้อหาความรู้วชิ าการควบคู่ไปกับคณุ ธรรม... เม่ือไดค้ าตอบแล้ว จงึ เขียนหนังสือเล่มน้ีข้ึนเพื่อแลกเปล่ียนความคิดเห็นกับสมาชิก L.E. CORPS และ แสดงให้เห็นว่า การสอนความรู้วิชาการ...ควบคู่ไปกับการสอนคุณธรรมในเวลา เดียวกันน้ัน...สามารถทาได้จริงและยังทาให้ผู้เรียน(ลูกศิษย์ของเรานั้น)ประสบ ความสาเร็จในการเรียนได.้ ..อีกดว้ ย... พฤษภาคม 2565
สารบัญ 1 4 ความรูค้ ู่คุณธรรม วัฒนธรรมกับค่านิยม 4 ความหมายของวฒั นธรรม 5 สาขาของวัฒนธรรม 5 คตธิ รรม 5 เนตธิ รรม 5 สหธรรม วตั ถุธรรม 5 กลุ่มคติธรรม ประเพณี 6 จารตี ประเพณี 6 ขนบประเพณี ธรรมเนยี มประเพณี 7 คา่ นิยม 7 ปฏจิ จสมปุ บาท ประสบการณเ์ พอ่ื การเรยี นรู้ 7 ความหมายของประสบการณ์เพือ่ การเรยี นรู้ องคป์ ระกอบของประสบการณเ์ พ่อื การเรยี นรู้ 8 การสร้างประสบการณ์เพอ่ื การเรยี นรู้ 11 การสอนความรคู้ ่คู ณุ ธรรม คุณธรรมคตธิ รรมเฉพาะบคุ คล 13 การสอนคณุ ธรรมคตธิ รรมเฉพาะบคุ คล 14 การประเมนิ ผลการสอนความรู้คู่คณุ ธรรม การปลูกฝงั ค่านยิ ม 14 ครู: ผู้เปน็ กลั ยาณมิตร : ทางานให้เหมอื นทาบุญ 21 บรรณานุกรม 24 27 28 34 37 41 44 46
ความร้คู ู่คณุ ธรรม : แนวทางสู่การปฏิบตั ิ”
1 ความรู้คู่คุณธรรม ความรคู้ ่คู ุณธรรม คอื ความรู้ทางวชิ าการ คูก่ ับ คณุ ธรรม ท่ีมีลักษณะ เปน็ ทงั้ สภาพ (condition) และการกระทา (action) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545 มาตราที่ 23,24 และ 25 เกี่ยวกับการจัดการศึกษาระบุว่า การจัดการ ศึกษาต้องเน้นความสาคัญทงั้ “ความรู้และคณุ ธรรม” ต่อมาก็ไดม้ ีการประดิษฐ์เป็น คาขวัญ(slogan) แต่งขึ้นเพ่ือให้จดจาได้ง่ายและเตือนคนไทยว่า“เม่ือมีความรู้แล้ว ...ยงั ไม่พอ...ตอ้ งเป็นคนดดี ว้ ย” น่นั คือ “ ความรคู้ ูค่ ณุ ธรรม ” คาขวญั น้ขี ยายความไดว้ า่ ความรู้ด้านวชิ าการ คคู่ วามประพฤตปิ ฏบิ ัตทิ ี่เป็น คุณความดี ทั้ง 2 ส่วนนี้ ต้องสัมพันธ์กันสนิทได้สัดส่วนสมดุลกัน จึงจะเป็นคนที่มี คณุ ภาพ แต่คาถามท่ีสาคัญ คือ ทาอย่างไรจึงจะประสบความสาเรจ็ ? เนื้อหาสาระที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ นาเสนอจากการประมวลแนวคิด ของนักวิชาการทางการศึกษา ผนวกกับประสบการณ์การสอนของผู้เขียน ส่วน แนวการเขียนเป็นลักษณะของความเรียงให้อ่านแล้วเข้าใจเน้ือหาโดยง่าย และ สามารถใช้เป็นแนวทางใน “การสอนความรู้คู่คุณธรรม” ได้จริง จึงเลี่ยงเชิงอรรถ เพื่อเลี่ยงความวุ่นวาย สับสนในการทาความเข้าใจ ไม่ต้องการให้เป็นหนังสือทาง วชิ าการทรี่ ุงรงั มากเกนิ ไป คาวา่ ความรู้ในทน่ี ้ี หมายความวา่ ความรู้ตามเนื้อหารายวิชาทีจ่ ดั การเรียน การสอนตามหลกั สตู รในช้ันเรยี น
2 คาว่าคุณธรรมนักวิชาการท้ังหลายท้ังภิกษุและฆราวาสได้ให้ความหมาย โดยอรรถ คือ การอรรถาธิบายขยายความตามความเข้าใจของตน การให้ ความหมายเช่นน้ีทาให้เกิดความหลากหลายของความหมาย สร้างความสับสน ยุ่งยากทีจ่ ะทาความเข้าใจใหต้ รงกันได้ ผู้เขียนจะขอให้ความหมายโดยนัยแห่งพยัญชนะ คือ การแยกตัวหนังสือ ออกมาเป็นคาๆ แล้วจึงนาความหมายของแต่ละคามารวมกนั ให้เป็นความหมาย เมอื่ เปิดพจนานุกรม จะพบความหมายของคา คณุ หมายถึง ความดีทีม่ ปี ระจาอยู่ในสิง่ นน้ั ๆ ธรรม หมายถึง คณุ ความดี คุณธรรม หมายถึง คุณความดที ี่มีประจาอยใู่ นส่งิ นั้นๆ คุณธรรมตามนัยทางพุทธศาสนา คุณความดีของคุณธรรมมีลักษณะเป็น สภาพ (condition) อย่างหนึ่ง และเปน็ การกระทา (action)อย่างหนง่ึ ความเป็นสภาพ คือ ความเปน็ ปกติของสง่ิ ๆนั้น พนั ตรีป่นิ มุทกุ นั ต์ (2526) ไดอ้ ธิบายโดยยกตวั อย่างศลี 5 เช่น ศีลข้อท่ี 1 วา่ ด้วย“การฆา่ กันกบั การไม่ฆา่ กัน”ความเปน็ ปกตขิ องคนน้นั คอื “ไม่ใช่ฆ่ากัน” เพราะฉะนั้นการรักษาศีลข้อนี้ก็คือ การอยู่ในปกติเดิมของคนเราซ่ึง เป็นคุณความดี คือ“ไม่ฆ่ากัน” เพราะฉะนั้นการรักษาศีลข้อน้ี ก็คือ การอยู่ในปกติ เดิมของคนเราซึ่งเป็นคุณความดี คือ“ไม่ฆ่ากัน” อีกตัวอย่างหนึ่ง ศีลข้อที่ 5 ว่า ด้วยการดื่มสุรา คนเราไม่ใช่ว่าจะต้องด่ืมสุราอยู่เรื่อย ปกติคนเราจะดื่มน้า การดื่ม เหล้าจึงเป็นการทาผิดปกติ เพราะฉะนั้นการเว้นการดื่มสุรา ก็คือ การอยู่ในปกติ ของคนเรา ซ่ึงเป็นคุณความดี คือ “ไม่ดื่มสุรา” อีกตัวอย่างหนึ่ง สภาพความ เจ็บป่วยก็คือ อาการที่แสดงตามอาการของโรคน้ันๆ เมื่อหายจากเจ็บป่วยก็จะมี ลักษณะเป็นปกติซง่ึ เปน็ คณุ ความดี ส่วนการกระทาน้ันมุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมที่แสดงออกถึงตัวคุณธรรมน้ัน ตัวอยา่ ง เช่นดังแสดงในตาราง
3 คณุ ธรรม พฤตกิ รรมท่แี สดงออกถงึ คุณธรรม รับผิดชอบ ปฏิบัติงานตามท่ีได้รับมอบหมายให้สาเร็จอย่าง ถูกต้องในเวลาทก่ี าหนด อดทน ไมท่ อดทงิ้ งาน ตอ้ งทางานให้สาเร็จ ขยัน ทางานใหส้ าเร็จอย่างเตม็ ความสามารถ อย่างสมา่ เสมอ ตรงต่อเวลา ตรงต่อเวลาท่นี ดั หมายในการทากิจกรรม ซือ่ สตั ย์ สุจริต รักษาคาพดู ท่ใี หไ้ ว้ รักษาวาจา สามคั คี รว่ มมอื ร่วมใจ ช่วยกนั ทากิจการงานให้สาเร็จ วินัย ทาตามกตกิ าท่กี าหนดไว้ เอ้อื เฟื่อเผอ่ื แผ่ อยา่ เปน็ คนนิ่งดดู าย เมอื่ พอจะชว่ ยเหลือได้ เสียสละ สุภาพอ่อนโยน ใช้ถ้อยคาทสี่ ุภาพ ไม่ใชว้ าจาก้าวรา้ ว ขออภัย ใหอ้ ภยั ทาผิดต้องรูจ้ กั ขออภยั /ขอโทษ ทาผดิ รบั ผดิ ผู้ทาผิดขอโทษ ต้องให้อภัย(ยกโทษให)้ เมตตา กรุณา เมือ่ เห็นผู้อนื่ ตกทุกขไ์ ด้ยาก ตอ้ งคิดช่วยเหลอื เมื่อเหน็ เพอื่ นพบปัญหา ช่วยเหลอื ไดก้ ็ควร ช่วยเหลือ
4 วฒั นธรรมกับค่านยิ ม หวั ใจของส่วนน้ี คอื ผอู้ า่ นจะเห็นรูปธรรมของคาว่า “วัฒนธรรม” และโดยอาศยั รปู ธรรมนี้ ทาให้เกิด “จินตนาการ” ความสมั พันธร์ ะหว่างวัฒนธรรม กบั คุณธรรมและค่านิยม......ตอ่ ไป สาหรับสังคมไทย ส่ิงท่ีมีค่าควรแก่การนาไปประพฤติปฏิบัตินั้นอิงอยู่กับ วัฒนธรรมไทย ความหมายของวัฒนธรรม คาว่า“วัฒนธรรม”เป็นเพียงคาๆเดียวแต่กินความหมายกว้างไกล อย่างไรก็ ตาม โดยภาพรวมแล้วก็มักจะหมายถึง วิถีทางการดาเนินชีวิตของมนุษย์ เช่น วัฒนธรรมไทย ก็มีวิถีทางการดาเนินชีวิตแบบคนไทย (คนไทยกินข้าว ส่วนคน อเมริกันกินขนมปัง) คนไทยท่ีไปเรียนท่ีสหรัฐอเมริกา การใช้ชีวิตประจาวันก็ต้อง เลยี นแบบชาวอเมรกิ นั วั ฒ น ธ ร ร ม ต้ อ ง เ ป็ น สิ่ ง ท่ี สั ง ค ม ย อ ม รั บ แ ล ะ ยึ ด ถื อ ป ฏิ บั ติ กั น ต่ อ ๆ ม า วฒั นธรรมท่ีเกิดขึน้ ในสงั คมนนั้ ๆ สามารถถ่ายทอดจากคนรนุ่ หนึ่งไปส่คู นอกี รนุ่ หนงึ่ วัฒนธรรมเป็นส่ิงท่ีเรียนรู้กันได้ รวมท้ังมีอิทธิพลต่อความรู้สึก ความคิด และการกระทาของสมาชิกของสังคมในวัฒนธรรมน้ันๆ เป็นต้นว่า รู้อะไรถูก-อะไร ผิด อะไรควร-อะไรไมค่ วร เป็นตน้
5 สาขาของวฒั นธรรม กรมการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (2496) ได้จาแนกวัฒนธรรม ออกเป็น 4 สาขา ได้แก่ คตธิ รรม เนตธิ รรม สหธรรม และวัตถธุ รรม 1. คติธรรม คือ วัฒนธรรมท่ีเก่ียวกับหลักในการดาเนินชีวิตและได้มาจาก พทุ ธศาสนา ซงึ่ ธรรมะของพระพทุ ธเจา้ ไดย้ อมรับกนั แลว้ ว่าเปน็ “อกาลิโก” คือเปน็ ความจรงิ แทแ้ น่นอน ไมข่ ้นึ กบั กาลเวลา คติธรรม ประกอบด้วย ขยันหมั่นเพียร ออมประหยัด เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่และ เสียสละ กตัญญูกตเวที ขออภัย ให้อภัย ทาผิดรับผิด สามัคคี ซื่อสัตย์สุจริตและ รักษาวาจา การเพียร ตรงต่อเวลา รู้จักรักชาติ เกียรติ วินัย กล้าหาญ รู้จัก รับผิดชอบ เมตตากรุณา สุภาพอ่อนโยนไม่หยาบคาย ใช้ปัญญาในทางที่ถูก ความ ระมดั ระวงั ไม่ประมาท รู้จักอดทนหนกั เอาเบาสู้ 2. เนติธรรม คือ วัฒนธรรมทางกฎหมาย รวมทั้งระเบียบประเพณีท่ี จดั เป็นเคร่ืองประกันสวัสดิภาพของพลเมืองและอบรมจติ ใจของประชาชนใหด้ ขี ึน้ เนติธรรม ประกอบด้วย ศึกษาให้รู้จักสิทธิและหน้าที่ เคารพต่อกฎหมาย ของบ้านเมือง ใช้สิทธิตามกฎหมาย ศึกษาให้รู้กฎหมาย ใช้กฎหมายโดยสุจริต เชื่อ ฟังและปฏิบัติตามคาส่ังอันชอบธรรม ให้คาแนะนาแก่ญาติมิตรและเพ่ือนบ้านเม่ือ ทาความผิดเพราะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมายย่อมปลอดภัย เสมอ เคารพประเพณที ด่ี ีงาม 3. สหธรรม คือ วัฒนธรรมทางสังคมท่ีทาให้คนอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข รวมท้ังระเบียบมารยาททางสงั คมทุกชนดิ สหธรรม ประกอบด้วย มารยาทในการเป็นแขก มารยาทในการตอ้ นรบั แขก มารยาทในโต๊ะอาหาร การใช้บัตร การไปงานมงคลและงานศพ มารยาทในการ โต้ตอบจดหมาย มารยาทในการขับรถ เก็บต๋ัว ตรวจตั๋ว มารยาทในการเดินทาง มารยาทในการชมมหรสพ รู้จักแสดงความเคารพสถานท่ีและส่ิงแทนท่ีควรเคารพ พยายามทาตนให้เขา้ ไหนเข้าได้ 4.วัตถุธรรม คือ วัฒนธรรมทางวัตถุ ซึ่งหมายถึงความเป็นระเบียบและ ความเหมาะสมแห่งการกินอยู่หลับนอน การจัดบ้านเรือน การแต่งกาย และศิลปะ ท้ังปวง วัตถุธรรม ประกอบด้วย รู้จกั กินดี รู้จักอยู่ดี รจู้ ักทาเครือ่ งใช้เลก็ ๆนอ้ ยๆได้ ปลกู บา้ นใหถ้ ูกสุขลักษณะ รู้จักรักษาความสะอาด รู้จกั แต่งกายใหเ้ รยี บร้อย รจู้ ัก
6 รักษาโบราณวัตถุ ช่วยเกบ็ รักษาสาธารณสมบัติ รจู้ ักสร้างเคร่อื งมอื เครือ่ งใช้ รจู้ กั สรา้ งความเจริญทางวตั ถุ พยายามประกอบงานอาชีพ กลุม่ คติธรรม จากคติธรรมดังท่ไี ดก้ ล่าวแลว้ ในหวั ข้อสาขาของวฒั นธรรม เราสามารถ นามาพจิ ารณาจาแนกออกเป็น 2 กล่มุ เพอื่ ให้เข้าใจได้งา่ ย และชดั เจนมากขนึ้ ดังตอ่ ไปน้ี เฉพาะตนเอง คติธรรม ขยัน หมน่ั เพียร สมั พนั ธก์ บั ผู้อืน่ ออม ประหยดั เทีย่ งตรงต่อเวลา เมตตากรุณา รับผิดชอบ สุภาพอ่อนโยน ไม่หยาบคาย อดทน หนกั เอาเบาสู้ ขออภยั ให้อภัย ทาผดิ รับผิด สามัคคี ซ่ือสัตย์ สจุ ริตและรักษาวาจา รกั ชาติ เกยี รติ วนิ ัย กล้าหาญ ระมดั ระวัง ไมป่ ระมาท กตญั ญูกตเวที เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละ ให้ใช้ปญั ญาในทางท่ถี ูก ประเพณี วัฒนธรรมสาขาเนติธรรมท่ีสาคัญ คือ “ประเพณี”ซ่ึงเป็นคาท่ีคุ้นเป็น อย่างดี แต่เมื่อซักถามถึงความเข้าใจกันอย่างจริงจัง ก็พบว่า มีความสับสนกันอยู่ มาก จึงจะนาประเพณีมาขยายความให้เข้าใจมากขึ้น โดยจะยกเอาข้อเขียนของ สมใจ ใจดแี ละยรรยง ศรวี ิรยิ าภรณ์ (2538) มาเรียบเรียง ดงั นี้ ประเพณี คือ ความประพฤติท่ีคนส่วนใหญ่ปฏิบัติสืบทอดกันมาจนเป็น แบบอย่างเดียวกัน เป็นระเบียบแบบแผนท่ีเห็นว่าถูกต้อง หรือเป็นท่ียอมรับของ คนสว่ นใหญ่ และมกี ารปฏบิ ัตสิ ืบตอ่ ๆกนั มา ประเพณี มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง ได้แก่ จารีตประเพณี ขนบประเพณี และ ธรรมเนยี มประเพณี
7 1. จารีตประเพณี เป็นประเพณีท่ีเก่ียวกับศีลธรรม และสวัสดิภาพของ สังคมส่วนรวม มีการบังคับใหก้ ระทา ถ้าไม่ทากถ็ อื ว่าผดิ หรอื ชัว่ ตอ้ งมีการลงโทษ 2. ขนบประเพณี เป็นประเพณีที่ได้มีระเบียบแบบแผนวางไว้โดยตรง หรือ โดยอ้อม โดยตรง คอื มรี ะเบยี บกฎเกณฑ์พิธีตา่ งๆ กาหนดไว้ชดั เจน เชน่ ไหวค้ รูต้อง ทาอย่างไร ส่วนโดยอ้อม เป็นประเพณีท่ีรู้จักกันโดยทว่ั ไป ไม่ได้วางไว้แน่นอน แต่ที่ ปฏิบัติได้เพราะท่ีมีการบอกเล่าสืบทอดต่อกันมา เช่น แห่นางแมว หรือการจุดบ้อง ไฟของภาคอีสาน ขนบประเพณีจึงเป็นเร่ืองท่ีปฏิบัติต่อๆกันมา จนเป็นเรื่องท่ีถูกกาหนดให้วา่ ต้องทาอย่างไรจึงจะถูกตอ้ ง แต่เปล่ียนแปลงได้ตามกาลเวลา เช่น การแต่งงาน ใน ปัจจบุ ันไมน่ ิยมจัดขนั หมากแบบมีพธิ ีรีตรองมากอย่างแตก่ ่อน ทัง้ นี้เพือ่ ประหยัดท้ัง เวลาและค่าใช้จ่าย 3. ธรรมเนียมประเพณี เป็นประเพณีท่ีไม่มีระเบียบแบบแผนเหมือน ขนบประเพณี ไม่มีผิดถูกเหมือนจารีตประเพณี แต่เป็นเรื่องท่ีปฏิบัติกันมาจนเคย ชิน จนไม่รู้สึกเป็นภาระหน้าท่ี ทาผิดบ้างก็ไม่ใช่เร่ืองร้ายแรงอะไร นอกจากเห็นว่า เปน็ คนไม่มีมารยาท ไมร่ จู้ กั กาลเทศะ ประเพณีเปล่ียนได้ตามกาลเวลาเพ่อื ให้เขา้ กับสงั คมทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป จารีต ประเพณี และขนบประเพณี อาจกลายเป็นธรรมเนียมประเพณีได้ คือ ไม่มีผิดถูก เหมือนจารตี ประเพณี และไมม่ ีระเบยี บแบบแผนเหมอื นขนบประเพณี สังคมไทยเรามงี านประเพณีตา่ งๆตลอดทง้ั ปี ทน่ี ยิ มทากนั ในปจั จุบัน เช่น 1. ประเพณที ี่ทากันทวั่ ไป เช่น สงกรานต์ ลอยกระทง เปน็ ตน้ 2. ประเพณีเก่ียวเน่ืองกบั พทุ ธศาสนา เช่น งานบวช เข้าพรรษา ออก พรรษา ทอดกฐิน วันมาฆบูชา วิสาขบชู า อาสาฬหบูชา ทอดผ้าป่า เป็นต้น 3. ประเพณสี าหรบั ตวั บคุ คล เชน่ การทาบญุ วนั เกิด พิธที าบญุ ข้นึ บา้ น ใหม่ พิธสี มรส พธิ ีงานศพ เป็นต้น
8 คา่ นิยม คาว่า“ค่านิยม”(value) บางทีก็เรียกว่า“คุณค่า”ได้นาไปใช้ในความหมายท่ี หลากหลายในศาสตร์แขนงต่างๆ สร้างความสับสนต่อการทาความเข้าใจ จาก การศึกษาเอกสารทางสังคมวิทยาและพุทธศาสนา ผู้เขียนประมวลแนวคิดแล้ว ขอให้ความหมายของคา่ นิยมในทีน่ ้ีเปน็ การเฉพาะว่า... ค่านิยม เป็นการกระทาอันเกิดจากสิ่งท่ีตนเห็นว่า/เช่ือว่า เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ควรแกก่ ารนยิ ม การให้ความหมายในลกั ษณะนี้ ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นว่าคา่ นิยมมีลักษณะ ทั้งท่ีเป็น“สภาพ”(condition) และเป็นการกระทา(action) ซ่ึงทาให้ค่านิยมมี ความหมายเป็น“รปู ธรรม”ได้ชดั เจน คนเราจะนยิ มอะไรกเ็ พราะเห็นคุณค่าของส่งิ น้นั และการกระทานัน้ ๆ ของตน เราอาจจาแนกค่านิยมออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ค่านิยมท่ีสอดคล้องกับ คุณธรรม และคา่ นยิ มทีข่ ัดแย้งกบั คุณธรรม เช่น คา่ นิยมทีส่ อดคลอ้ งกับคณุ ธรรม ลกู ต้องตอบแทนคณุ พ่อแม่ : คุณธรรมกตัญญูกตเวที ซอื้ ปลาที่วางขายท่ที า่ น้าไป : คุณธรรมเมตตากรุณา ปล่อยให้รอดชีวิต ค่านยิ มทีข่ ดั แย้งกบั คุณธรรม ความหรูหราฟุม่ เฟอื ย แสดง : คุณธรรมออมประหยดั ถงึ รสนิยมสูง ทนั สมยั การต้องไดค้ า่ สินบนจึงจะ : คณุ ธรรมซือ่ สัตย์ สจุ รติ ดาเนนิ การให้ จากตัวอย่างได้ขยายความคาว่า ค่านิยม ทาให้เห็นภาพของค่านิยมว่า เป็น การกระทาอนั เกดิ จากความเช่ือของคนๆนั้น คา่ นิยมในลักษณะน้ี เรียกว่า “ค่านิยม ทางปฏิบัติ”(practical value)
9 ค่านิยมทางการปฏิบัติจึงเป็นการกระทาทีป่ ัจเจกบุคคล (individual) เช่ือ ว่ามีคุณคา่ แกก่ ารนยิ ม คือ เปน็ “ค่านิยมประจาตวั ”(personal value) ซ่งึ สามารถ นาไปสู่ความประพฤติที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ของคนๆน้ันตามสายตาของสังคมส่วนใหญ่ หรอื ท้ังหมด ค่านิยมทางการปฏิบัติของบุคคล เม่ือรวมกันเข้าหลายๆบุคคล ก็จะ กลายเป็นค่านิยมของกลุ่ม(group value)หมายความว่า คนส่วนใหญ่เห็นว่ามี คุณค่า น่ันก็คือ ในแต่ละสังคมจะมีค่านิยมรวม(core value) หรือท่ีเรียกว่า ค่านิยมของสังคม(social value) ค่านิยมในแต่ละสังคมจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ สังคมน้นั ๆจะนิยมส่ิงใดวา่ มีค่าสงู จะขอยกตัวอย่างเก่ียวกับการศึกษา เชน่ คนรวยส่วนมากถือว่าการศึกษาชั้นสูง การศึกษาต่างประเทศเป็นสิ่งท่ีมี คุณค่าสาหรับลูกหลาน ชาวชนบทส่วนมากถือว่าการศึกษาระดับปริญญาตรี เพื่อเข้ารับ พระราชทานปรญิ ญาบัตรเป็นส่ิงทีม่ คี ่าสาหรับครอบครัว ค่านิยมมีทั้งท่คี งท่แี ละท่เี ปลี่ยนแปลง ลักษณะของคา่ นิยมท่ีคงที่และท่ีเปลีย่ นแปลง เราดูได้จากวา่ ค่านิยมนนั้ อิง กับวฒั นธรรมสาขาใด 1. คา่ นยิ มทีค่ งท่ี ค่านิยมชุดน้ีอิงอยู่กับวัฒนธรรมคติธรรม ซึ่งอิงหลักธรรมทางพุทธ ศาสนาเป็นแกนกลาง ค่านิยมลักษณะน้ี เป็นค่านิยมท่ีมีคุณค่ามาแล้วในอดีต และ ปัจจุบันก็ยังเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่ จัดได้ว่าเป็น “ค่านิยมทางบวก(positive value) หรือคา่ นิยมทพ่ี งึ ประสงค์ (desired value)” 2. ค่านยิ มที่เปลยี่ นแปลงได้ ค่านิยมชุดนี้อิงอยู่กับวัฒนธรรมเนติธรรม สหธรรม และวัตถุธรรม ซึ่งข้ึนอยู่กับความปรารถนาของมนุษย์ท่ีเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา ค่านิยมใน แต่ละสังคม/ยุดสมัยย่อมแตกต่างกันไป การกระทาที่คนในสังคมหนงึ่ ยุคสมัยหน่ึง เห็นว่า “ดีงาม” อาจเป็นการกระทาท่ี “เชย” “น่าอับอาย” หรือ “ไม่ดีไม่งาม” เช่น การแต่งกาย อาหารการกิน การสร้างบ้านเรือน การแต่งงาน ฯลฯ ซึ่งก็มีลักษณะ เป็นวาทกรรม คอื มกี ารถกเถียงกัน ความหมายท่ีขัดแยง้ กนั มมี มุ มองทต่ี า่ งกันใน เรือ่ งเดียวกนั
10 ค่านิยมท่ีเปลี่ยนแปลงน้ี เป็นได้ทั้งค่านิยมทางบวก (positive value) สาหรับกลุ่มคนท่ีนิยมชมชอบ และเป็นได้ท้ังค่านิยมทางลบ (negative value) สาหรบั กลมุ่ คนทไี่ ม่นิยมชมชอบ คา่ นิยมท่ีเป็นไดท้ ้งั ทางบวกและทางลบน้ี เราอาจจะต้ังชอื่ ตามหลักวิชาการ วิจัยได้ว่า ค่านิยมตัวแปรเปล่ียน(variable value) หมายความว่า ขึ้นอยู่กับตัว แปรต้น (independent variable) คอื ความนยิ มชมชอบของคนในสภาพสงั คมน้นั จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมแต่ละกลุ่มทง้ั คติธรรม เนติธรรม สหธรรม และวัตถุ ธรรม เปน็ ปัจจยั ท่ีก่อใหเ้ กดิ สิ่งทต่ี นเหน็ วา่ /เชื่อวา่ เปน็ สง่ิ ท่มี ีคณุ คา่ ควรแก่การนิยม ทง้ั คา่ นิยมคงที และคา่ นยิ มทแ่ี ปรเปลยี่ นไป
11 ปฏจิ จสมุปบาท เม่อื ศกึ ษาแล้ว จะได้หลักคิดว่า การทีค่ นเรามีคณุ ธรรมหน่งึ ใดน้นั คณุ ธรรมน้ัน...สามารถส่งผลให้ เกิดคุณธรรมอ่ืนข้นึ ได้...ตอ่ ๆมา ตามพจนานุกรม: (น)(ป) ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง เคร่ืองอาศัยท่ีทาให้ เกิดต่อเนื่องกัน หรือพูดได้ว่า เกิดข้ึนโดยอาศัยกัน มิใช่เกิดขึ้นโดยอิสระแต่อาศัยให้ เกดิ ข้นึ โยงกันไปเปน็ สาย ถ้าจะตีความเป็นภาษาชาวบ้าน ก็พูดได้ว่า เหตุของเหตุการณ์หน่ึงจะส่งผล ต่ออีกเหตุการณ์หนึ่ง และผลของเหตุการณ์นั้นก็จะกลายเป็นเหตุของเหตุการณ์ ตอ่ ๆไปได้อกี ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี(2552)ได้กล่าวถึงปฏิจจสมุปบาทเอาไว้ว่า พระพุทธองค์ได้ทรงกาหนดทฤษฏีหรือหลักการว่าด้วย“การเกิดข้ึนของ ทุกข์และการดับของทุกข์” ไว้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว หลักการน้ีชื่อว่า “ ปฏิจจสมุป บาท ” ซ่ึงแปลตามตัวได้ว่า “เกิดขึ้นโดยอาศัยซ่ึงกันและกัน” หรือ“การเป็นสาเหตุ ซ่ึงกนั และกนั ” ปฏิจจสมปุ บาท = ปฏจิ จ+สม+อปุ บาท ปฏิจจ = อาศัย สมุ = รว่ มกัน อปุ บท = เกิด
12 ตามวงแห่งปฏิจจสมุปบาท จะเห็นว่าถ้าอวิชชาดับ สังขารก็ดับ ถ้าสังขาร ดับวิญญาณก็ดับ ถ้าวิญญาณดับนามรูปก็ดับ ถ้านามรูปดับ สฬายตนะก็ดับ ถ้าสฬายตนะดับผัสสะก็ดับ ถ้าผัสสะดับเวทนาก็ดับ ถ้าเวทนาดับตัณหาก็ดับ ถา้ ตัณหาดบั อปุ าทานกด็ บั ถา้ อุปาทานดับภพกด็ ับ ถา้ ภพดับชาตกิ ็ดับ ถ้าชาติ ดับชรามรณะก็ดับ และความทุกข์ทั้งปวงก็ดับส้ินไป (ท่านท่ีสนใจ ศึกษาได้จาก เอกสารหนังสอื ทางพุทธรรม) สว่ นศาสตราจารย์ ประภาศรี สีหอาไพ (2540) ไดใ้ ห้ความหมายไว้ดังนี้ ปฏิจจ แปลว่า อาศัย ส แปลว่า พร้อม อุปบาท แปลว่า ความเกิดข้ึน ปฏิจจสมปุ บาท จึงเป็นธรรมอนั อาศัยกนั และกันเกดิ ขึ้น อาการท่ีเป็นปัจจัยหนุนกัน เรียกว่า ปัจจยาการ ทาให้เกิดกระบวนการแห่งสังสารวัฏ ช้ีให้เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ และหนทางดับแห่งทุกข์ ธรรมที่เป็นวงจรแห่งการเกิดดับในสังสารวั ฎ มี ในปฏิจจสมุปบาท ซึ่งพงึ กาหนดในความเปน็ ทุกข์ เป็นอนจิ จังและเปน็ อนัตตา
13 ประสบการณเ์ พ่ือการเรยี นรู้ ประสบการณ์เพอื่ การเรยี นรู้ ...(คือ) เคร่ืองมือ... ในการสอนความรู้คคู่ ณุ ธรรม ความคดิ รวบยอดประสบการณ์เพอื่ การเรยี นรใู้ นที่นี้ ผเู้ ขียนคัดลอกสรุปมา จากหนงั สือทผี่ ูเ้ ขยี นได้เรียบเรียงชอ่ื วา่ “การสรา้ งประสบการณ์เพือ่ การเรยี นรู้ สงิ่ แวดล้อม: แนวทางสู่การปฏิบตั ิ” (2561) ดงั น้ี คาว่า“ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ ” (learning experience) ได้ปรากฏในหนังสือช่ือ “Basic Principles of Curriculum and Instruction” ตี พิ ม พ์ เ ม่ื อ ปี ค . ศ . 1949 ข อ ง ศาสตราจารย์ Ralph W. Tyler ผู้ซ่ึงได้รับการยก ย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการพัฒนาหลักสูตร สมัยใหม่ของประเทศสหรัฐอเมรกิ า” ภาพ ศาสตราจารย์ Ralph W. Tyler ท่มี า: https://www.amazon.ae/Educating-America-Ralph-Tyler-Taught/dp/0275981975 , https://www.amazon.com/Basic-Principles-Curriculum-Instruction-Paperback/dp/B010TS5E62
14 ความหมายของประสบการณเ์ พ่ือการเรียนรู้ คาว่าประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้(learning experience: L.E.) นั้นเกิด จากการรวมกนั ของคาว่า การเรียนรู้ (การเปลยี่ นพฤติกรรม อันเนือ่ งมาจากการมี ประสบการณ์) และประสบการณ์ (การได้ประสบมาด้วยตนเอง หรือเข้าไป เกยี่ วขอ้ งกับเหตกุ ารณแ์ ลว้ เกดิ ความรู้) เม่อื นาคาสองคามารวมกัน ประสบการณ์ เพื่อการเรียนรู้ จึงหมายถึง การแสดงออกอย่างกระตือรือร้นของผู้เรียนต่อ สถานการณ์ท่ีผู้สอนสร้างข้ึนจนบรรลุวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ ซ่ึงส่งผลให้ผู้เรียน เกิดการเปลีย่ นพฤตกิ รรม ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้นี้ถือได้ว่าเป็นฟันเฟืองสาคัญท่ีสุดของการ จัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นไปท่ีตัวผู้เรียนและผู้สอน ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะต้องมี ปฏิสัมพันธ์ (interaction)ต่อกันโดยท่ี ผ้สู อนทาหนา้ ทีจ่ ัดสร้างสถานการณก์ ารเรยี นรู้ (learning situation: L.S.) ให้กบั ผเู้ รยี น ผู้เรียน....ทาหน้าที่ตอบสนอง (interaction: ปฏิสัมพันธ์) ต่อสถานการณ์ การเรียนรู้ท่ีผู้สอนได้จัดสร้างขึ้นอย่างกระตือรือร้นจนผู้เรียนมีความรู้และ/หรือมี ทกั ษะ และ/หรือมีเจตคติ ในเนื้อหาความรตู้ ามทผี่ ูส้ อนต้องการ องค์ประกอบของประสบการณ์เพื่อการเรยี นรู้ L.E. ประกอบดว้ ย 6 องคป์ ระกอบ คือ 1) เน้อื หาความรู้ 2) วตั ถุประสงค์ การสอน 3) วตั ถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 4) สถานการณก์ ารเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย กจิ กรรมการเรยี นร้ใู นเนอื้ หาความรทู้ ่ผี สู้ อน สร้างขนึ้ กบั กิจกรรมท่ผี ู้เรยี นกระทา 5) สอ่ื ชว่ ยสอน และ 6) การประเมินผล ซึง่ จัดเรียงอยู่ในรปู ของตาราง ดงั ภาพ แผนภาพ ตารางประสบการณเ์ พอ่ื การเรยี นรู้ เนือ้ หาความรู้ เนื้อหาความรู้(subject matter) หมายถึง ข้อเท็จจริงท่ีเป็นสาระความรู้ที่ ทันสมัยถูกต้องตามหลักวิชาการของศาสตร์น้ันๆ จาแนกออกได้เป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ เนอื้ หาความรู้ภาคความรู้ (knowing element) และเน้ือหาความรภู้ าคปฏบิ ัติ (doing element)
15 1.เน้อื หาภาคความรู้ (knowing element) หมายถงึ เนอื้ หาความรู้ท่ีทาให้ ผู้เรียนเกิดความรู้ ซึ่งแบ่งออกเป็นเนื้อหาข้อเท็จจริง (ข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริงที่เป็นเกณฑ์ /มาตรฐาน ข้อเท็จจริงที่เป็นเจตคติ) เนื้อหาความคิดรวบ ยอด และเนอ้ื หาหลกั การ 2. เนื้อหาภาคปฏิบัติ (doing element) หมายถึง เนื้อหาความรู้ที่ทาให้ ผู้เรียนเกิดทักษะในการทา เป็นเนื้อหาที่ระบุถึง วิธีดาเนินการ หรือระบุข้ันตอนการ ทางาน สาระสาคญั ของเนอ้ื หาความรู้แต่ละประเภท แสดงดังแผนภาพดังน้ี แผนภาพ สาระสาคญั ของเนอ้ื หาความรูแ้ ตล่ ะประเภท
16 การวเิ คราะหแ์ ละเรยี บเรยี งเน้ือหาความรู้ โดยทั่วไปเน้ือหาความรู้ที่นักวิชาการเขียนขึ้นนั้น มีลักษณะของการขยาย ความ มีการยกตัวอย่าง มีภาพประกอบเพ่ือช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย แต่สาหรับการ จัด L.E.นั้น เนื้อหาความรู้เหล่านั้นต้องนามาเรียบเรียงใหม่ ให้สอดคล้องกับ ประเภทเน้ือหาความรูน้ ้นั ๆ ดงั น้ี แผนภาพ การวิเคราะหแ์ ละเรยี บเรยี งเน้อื หาความร้แู ต่ละประเภท
17 วตั ถปุ ระสงค์การสอน เป็นข้อความที่ระบุคุณลักษณะท่ีต้องการให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนตามระดับ ของวตั ถปุ ระสงคก์ ารศกึ ษาทงั้ 3 ระดับ ไดแ้ ก่ พทุ ธพิ สิ ยั ทกั ษะพสิ ยั และเจตพสิ ัย 1. พุทธิพิสัย เป็นการเรียนรู้ที่เน้นเกี่ยวกับความรู้ (knowledge ) โดยการ พัฒนา เกิดจากกระบวนการคิด (cognitive process) เรียงลาดับจากซับซ้อนนอ้ ย ไปซับซอ้ นมาก(จา เขา้ ใจ นาไปใช้ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า) 2. ทักษะพิสัย เป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นเกี่ยวกับการกระทา (doing) อย่างมี ทักษะในการทาเรื่อง/สิ่งนั้นๆ เรียงตามลาดับจากความสามารถท่ีซับซ้อนน้อยไปสู่ ซับซ้อนมาก (รับรู้ เตรียมพร้อม ปฏิบัติได้ภายใต้คาแนะนา ปฏิบัติได้จนคล่อง ปฏบิ ตั งิ านทีซ่ บั ซอ้ นได้ ปรับปรงุ ตน้ แบบ) 3. เจตพสิ ยั เปน็ การเรยี นร้ทู ่เี น้นเกยี่ วกับความรสู้ กึ (feeling) ซึ่งมีอิทธพิ ล ต่อพฤติกรรมของผู้เรียน เรียงลาดับจากซับซ้อนน้อยไปซับซ้อนมาก (รับรู้ ตอบสนอง เห็นคุณค่า จัดระบบคุณค่า สรา้ งลักษณะนิสัย) ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาความรู้กับวตั ถุประสงค์การสอน ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาความรู้กับวัตถุประสงค์การสอน เป็นการ วิเคราะห์ว่า ประเภทเน้ือหาความรู้ ได้แก่ เน้ือหาความรู้ภาคความรู้ 1) ข้อเท็จจริง เฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริงเกณฑ์ / มาตรฐาน และข้อเท็จจริงเจตคติ 2) ความคิด รวบยอด 3) หลักการ และเน้ือหาความรู้ภาคปฏิบัติ ควรอยู่ตรงกับวัตถุประสงค์ การสอนระดับใด ดังน้ี ประเภทเนื้อหาความรู้ ควรเปน็ ระดับวตั ถปุ ระสงคก์ ารสอน ข้นั สงู สุด 1.ขอ้ เทจ็ จริงเฉพาะเจาะจง ควรไปถึง 2.ข้อเทจ็ จรงิ ท่ีเปน็ ขนั้ จา (พทุ ธิพสิ ัย) มาตรฐาน/เป็นเกณฑ์ ควรไปถงึ 3.ขอ้ เท็จจริงเจตคติ ควรไปถงึ ขน้ั ประเมนิ ค่า (พทุ ธพิ สิ ยั ) 4.ความคดิ รวบยอด ควรไปถึง 5.หลกั การ ขัน้ เหน็ คณุ คา่ (เจตพสิ ยั ) ควรไปถึง ขน้ั เขา้ ใจ - นาไปใช้ (พทุ ธิพสิ ยั ) 6.ปฏบิ ัติ ข้ันประเมินคา่ (พทุ ธพิ ิสัย) ขนั้ ปฏิบตั ิได้ภายใต้คาแนะนา(ทกั ษะ พิสยั )
18 วัตถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม คือ ข้อความที่ขยายความวัตถุประสงค์การสอนให้ชัดเจนจนระบุออกมา เป็นพฤติกรรมของผู้เรียน เพ่ือให้สามารถวัดพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่าง ชัดเจน ตัวอย่างเช่น วัตถุประสงค์การสอน ระบุว่า: ผู้เรียนตรวจวัดค่าออกซิเจน ละลายน้าโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่ายได้อย่างคล่องแคล่ว วัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรม ก็จะระบุว่า : ผู้เรียนสามารถตรวจวัดค่าออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ชุด ทดสอบอย่างง่ายได้อย่างถูกต้องทกุ ข้ันตอน ภายในเวลา 3 นาที สถานการณ์การเรยี นรู้ สถานการณ์การเรยี นรู้ (learning situation: L.S.) มาจากคาว่า สถานการณ์ซง่ึ หมายถึงเหตกุ ารณท์ กี่ าลงั เป็นไป และการเรยี นรู้ หมายถึง การ เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรม ดังนั้น L.S. จงึ หมายถงึ การท่ีผู้เรยี นเกดิ การเรียนรู้ (ผูเ้ รียนคนน้นั ได้เกดิ การเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมข้ึนในตวั ของผ้เู รียนเอง) จาก เหตุการณท์ ก่ี าลังเปน็ ไปดว้ ยตนเอง การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนแสดงออกให้เห็นได้จากการ พู ด เขียน และทา ขณะท่ีการแสดงออกของความคิดท่ีเป็นรูปธรรมของบุคคลจะ ออกมาในลักษณะของการพูด เขียน และทาเช่นกัน ดังนั้นเพ่ือให้เห็นการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรมผู้เรียนอย่างชัดเจน ผู้เขียนจึงได้ประยุกต์หลักการคิด จาก หนังสือ“ถอดรหัสคิด”ของอาจารย์ ดร.โสภณ ธนะมัย มาเป็นแนวทางในการ กาหนดสถานการณ์เพื่อการเรียนรู้ในเนื้อหาความรู้ที่ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ หลักคิด: สรา้ งสถานการณ์การเรยี นรู้ ถอดรหัสคดิ :Think: An Introductory Analysis ของดร.โสภณ ธนะมัย (2561) ซึง่ ไดน้ าเสนอแผนภาพโครงร่างของการ เกดิ ความคิด โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้ แผนภาพ โครงร่างแสดงการเกดิ ความคดิ
19 จากโครงรา่ งแสดงการเกดิ ความคดิ ..... สามารถนามาถอดรหัสไดว้ ่า.... ความคดิ (T) จะเกิดข้นึ ไดจ้ ะตอ้ งม.ี ..ข้อเท็จจริงทีร่ ู้ F2 มาก่อน เหมือนกับตอ้ งมี ทุนความรเู้ ดมิ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความคิดท่ีจะเกดิ ขน้ึ แตก่ ารที่จะเกิดความคดิ ขนึ้ ได้นน้ั จะต้องมีสาเหตุให้คิด ซึ่งกค็ ือ ข้อเท็จจรงิ ทเ่ี กย่ี วข้องเชอ่ื มโยงกับ F2 แลว้ ก่อให้เกิด ...ความคดิ (T)ข้นึ มานน่ั ก็คอื ...ข้อเท็จจริงเหตุใหค้ ดิ F1 นัน่ เอง ดังตวั อย่างจาก หนงั สอื ถอดรหสั คดิ แผนภาพ โครงรา่ งแสดงการ เกิดความคดิ จากตัวอย่างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ สะท้อนให้เห็นว่า ในการจัดการเรียนการ สอนน้ัน ผู้เรียนจะต้องมี F2 ก่อน คือ เนื้อหาความรู้เดิมของตน หรือเป็น F2 ที่ได้ จากการได้ความรู้จากผู้สอน จากนั้นผู้สอนมีหน้าท่ีต้ัง F1 ข้อเท็จจริงเหตุให้คิด ให้กับผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนได้ใช้ F2 ข้อเท็จจริงที่รู้ที่มีอยู่เป็นต้นทุนของการคิด (T) ซงึ่ จะกอ่ ใหเ้ กดิ “ความคดิ ”ข้ึนในตวั ผเู้ รยี น การแสดงออกของความคิดที่เป็นรูปธรรมของผู้เรียน จะออกมาใน ลักษณะของการพูด เขียน และทา ดังนั้นเม่ือผู้เรียน พูด เขียน และทาตามท่ี ผู้สอนกาหนด ( F1 หรือข้อเท็จจริงเหตุให้คิด) ก็ทาให้เรารู้ว่า ผู้เรียนได้เกิด กระบวนการคิดแลว้ ถา้ คิดไดถ้ กู ตอ้ ง แสดงว่าผูเ้ รยี นมี F2 มากพอจงึ ตอบ F1 ได้
20 ในทางตรงกันข้ามหากผู้สอนตั้ง F1 แล้วผู้เรียนตอบไม่ได้ เขียนตอบไม่ได้ หรือทา ไม่ได้ แสดงว่า ผู้เรียนมี F2 ไม่เพียงพอ ผู้สอนก็ต้องจัดสถานการณ์เพ่ือเติม F2 ใหก้ บั ผเู้ รียน แผนภาพ สรปุ โครงร่างการ แสดงออกของความคดิ ส่อื ชว่ ยสอน คือ สิ่งท่ีจะช่วยสอนเน้ือหาความรู้ท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ใน อดตี เคร่ืองช่วยสอนของครูหรอื นกั ส่งเสริมการเกษตรท่ใี ช้ในการสอน การเผยแพร่ ความรู้ เรียกว่า “โสตทัศนูปกรณ์” หรือ“โสตทัศนอุปกรณ์”(audio-visual aids) (บุญธรรม, 2540) คือ ส่ิงที่มองเห็นได้ สิ่งที่ได้ยินเสียง เช่น ของจริง ของจาลอง รูปภาพ สไลด์ powerpoint แผน่ ใส แผ่นขอ้ ความ บัตรขอ้ ความ แผ่นภาพ ภาพถา่ ย ภาพยนตร์ เอกสารสิง่ พิมพ์ต่างๆ เป็นต้น สื่อ online เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดความเข้าใจ ในเนอื้ หาความรู้ทต่ี อ้ งการใหเ้ กดิ ขน้ึ ในตัวผู้เรยี น เช่น การใช้แอพพลิเคชั่น Air4Thai เ พื่ อ ต ร ว จ ส อ บ คุ ณ ภ า พ อ า ก า ศ ข อ ง ประเทศไทย ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ เกีย่ วกับสถานการณ์มลพิษทางอากาศท่ี เกดิ ขนึ้ จริงในสถานทีจ่ ริงไดอ้ ยา่ งชัดเจน นอกจากนั้นในช่วงสถานการณ์ COVID 19 การเรียนการสอนแบบ online กลายเป็นความจาเป็น เทคโนโลยี สารสนเทศจึงได้เข้ามามีบทบาทสาคัญ อยา่ งมากตอ่ การจัดประสบการณเ์ พ่อื การเรียนรู้ application ต่างๆจึงกลายเป็นท้ัง ส่ือและช่องทางนาสื่อช่วยสอน เพ่ือสร้าง interaction ให้เกิดข้ึนระหว่างผู้เรียนกับ
21 เนื้อหาความรู้ ผู้เรียนกับผู้สอน และผู้เรียนกับผู้เรียนกันเอง เช่น การใช้ Line application, Google Slide, Google meet, Zoom application, Wordwall application, Wooclap application และ Padlet application ซึ่งสามารถนามา ประยุกต์ใช้ได้ท้ังการติดต่อส่ือสาร การประชุม การส่งไฟล์งาน ไฟล์เสียง ไฟล์ ภาพนิ่ง ไฟลภ์ าพเคลอ่ื นไหว เปน็ ทัง้ สื่อช่วยสอนและชอ่ งทางนาเน้ือหาความร้ตู า่ งๆ ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ส่งต่อ และโต้ตอบกับผู้เรียน (ปฏิสัมพันธ์) ได้ อยา่ งรวดเร็ว การประเมินผล เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ท่ีผู้สอนต้องการให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนในทันทีท่ีผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรม การเรียนรู้ทผ่ี ู้สอนสร้างขึน้ การสรา้ งประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ จากองค์ประกอบท้ัง 6 ของตารางประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ดังได้กล่าว มาก่อนหน้านี้แล้วนั้น เมื่อต้องการสร้างประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ในเนื้อหา ความรู้ใดแก่ผู้เรียน สามารถทาได้ตามขั้นตอนท่ีนาเสนอในลาดับต่อไป ซึ่งผู้เขียน คัดลอกสรุปมาจากหนังสือที่ผู้เขียนได้เรียบเรียงช่ือว่า “ การสร้างประสบการณ์ เพอื่ การเรยี นรสู้ ิง่ แวดล้อม: แนวทางส่กู ารปฏบิ ัติ ”(2561) ดงั ภาพ F2= ขอ้ เท็จจรงิ เหตใุ หค้ ดิ / F1= ข้อเท็จจริงเหตใุ หค้ ดิ แผนภาพ ความสัมพันธ์เชื่อมโยงขององค์ประกอบตารางประสบการณ์เพ่ือการ เรยี นรู้
22 ขัน้ ตอนท่ี 1: วิเคราะห์และเรยี บเรยี งเน้ือหาความรู้สิ่งแวดล้อม เป็นการวเิ คราะห์ว่า เนอ้ื หาความรู้ส่งิ แวดลอ้ มนนั้ เปน็ เนือ้ หาประเภทใด เปน็ knowing หรือ doing จากน้นั จงึ เรียบเรียงเนือ้ หา ใหส้ อดคลอ้ งกบั ประเภท ของเน้ือหาน้นั ๆ ซ่ึงจะได้เป็น “เน้ือหาความรู้” ใส่ลงในตารางช่องที่ 1 (เนือ้ หา ความรู้) ขั้นตอนท่ี 2: กาหนดวตั ถุประสงค์การสอ การกาหนดวัตถุประสงค์ การสอนน้ี จะต้องวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธเ์ นือ้ หาความรูจ้ ากช่องตารางที่ 1 ว่าควร จะตรงกบั วัตถุประสงคก์ ารสอนด้านพทุ ธพิ ิสยั หรือทกั ษะพสิ ัย หรอื เจตพิสยั ใน ระดบั ใด แล้วใสล่ งในตารางชอ่ งท่ี 2 (วัตถปุ ระสงคก์ ารสอน) ข้นั ตอนที่ 3: กาหนดวตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรม การกาหนดวตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เป็นการขยายความวตั ถุประสงค์ การสอนให้เห็นภาพของพฤติกรรมท่ีผเู้ รยี นตอ้ งแสดงออกว่า จะบรรลุวัตถุประสงค์ การสอนที่ตง้ั ไว้หรือไม่ แลว้ ใส่ลงในตารางช่องท่ี 3 (วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม) ขัน้ ตอนท่ี 4: กาหนดสถานการณก์ ารเรยี นรู้ ผ้สู อนกาหนดกจิ กรรมเพอื่ ให้เนือ้ หาความร้แู ก่ผู้เรยี น นัน่ กค็ ือ เป็นกิจกรรม เพ่อื สรา้ ง F2 (ขอ้ เท็จจรงิ ทีร่ ู้) ให้แกผ่ เู้ รียน และกาหนดกิจกรรมเพ่อื ให้ผู้เรียนได้คดิ นนั่ กค็ อื กจิ กรรมเพ่อื สร้าง F1 (ข้อเท็จจริงเหตใุ ห้คดิ ) ใสล่ งในตารางช่อง “กจิ กรรมที่ผ้สู อนสร้างข้นึ ” ผู้สอนกาหนดให้ผู้เรียนกระทากิจกรรมเพ่ือให้ได้รับเนื้อหาความรู้ ซ่ึงก็คือ F2 (ข้อเท็จจริงที่รู้) และได้รับ F1(ข้อเท็จจริงเหตุให้คิด) เพ่ือให้ผู้เรียนได้มี ปฏสิ มั พนั ธก์ บั F2 ใส่ลงในตารางช่อง “กจิ กรรมที่ผูเ้ รยี นกระทา” ขั้นตอนที่ 5: กาหนดส่ือช่วยสอน ใหร้ ะบุสอื่ ช่วยสอน ซ่ึงต้องสอดคลอ้ งกับสอื่ ชว่ ยสอนทก่ี าหนดไวใ้ น “กิจกรรมการเรยี นร้ทู ่ีผู้สอนสร้างขน้ึ ” และ “กจิ กรรมที่ผเู้ รียนกระทา” ใส่ลงใน ตารางช่องท่ี 5 (สื่อช่วยสอน) ขั้นตอนท่ี 6 : กาหนดการประเมนิ ผล ระบวุ ิธกี ารประเมินผลใหส้ อดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีกาหนด ไว้ ใส่ลงในตารางช่องที่ 6 (การประเมินผล)
23 ตวั อย่างตาราง L.E. ผู้เขียนทาการวิจัยเร่ือง การสร้างชุดประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ เรื่อง แมลงในแปลงนาข้าว จังหวัดเพชรบุรี สาหรับนักเรียน ปวช.โครงการอาชีวศึกษา เพื่อการพัฒนาชนบท: กรณีศึกษาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรี (ลาวัณย์ และศักด์ิศรี, 2561) และได้สร้างตาราง L.E.ขึ้นใช้ในการวิจัย ซ่ึงผู้เขียนได้นามาใช้ เป็นตัวอย่างในทีน่ ี้
24 การสอนความรู้ค่คู ณุ ธรรม เม่ือศึกษาแล้วจะเขา้ ใจได้วา่ ... ....การสอนคุณธรรมควบคู่ไปกบั เนื้อหาความร้วู ิชาการสามารถทาได้.... ..คณุ ธรรม น้นั คือ คณุ ธรรมคติธรรม.... (ที่)จะชักนาใหผ้ ้เู รยี นประสบความสาเร็จ ในการเรียนวิชาการ โดยท่วั ไปแลว้ คนท่ีเป็นครยู อ่ มต้องทาหน้าที่ “สอน” แตจ่ ะเป็นครอู ยา่ งไรใน สายตาของลูกศิษย์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าสอนดี / ไม่ดี สอน ไม่รู้เรื่อง / ไม่เข้าใจ เป็นต้น บางกรณีถึงกับทาให้ลูกศิษย์เข็ดขยาดกับการเรียนไป เลยก็มี ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หน้าท่ีในการบ่มนิสัยใหม้ ีความประพฤติปฏิบัติอันดีงาม ตามคุณธรรม ก็เป็นภาระท่ีสาคัญย่ิงของครูเช่นกัน นอกจาการสอนความรู้ทาง วชิ าการ (โสภณ, 2550) คาว่า“สอน”น้ีเป็นคาที่คุ้นเคยย่ิง แต่ถ้าถามกันขึ้นมาว่า “คืออะไร”ก็อึดอัด ใจ ตอบไดไ้ มเ่ ต็มปากเตม็ คา ทัง้ ๆที่ตวั เองก็สอนอยู่เปน็ ประจา ตามพจนานุกรม คาว่า “สอน” หมายถึง บอกวิชาความรู้ให้ ทาให้เห็นเป็น ตวั อย่างเพอ่ื ใหร้ ู้ ความหมายตามพจนานุกรมนี้ คนทั่วไปพอเข้าใจได้ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ งา่ ยอย่างท่คี ดิ ความยุ่งยากสับสนเกดิ จากครตู อ้ งทา ตามรูปแบบวิธีสอนทกี่ ระทรวง ศกึ ษาธกิ ารกาหนด ซง่ึ เปน็ วิธสี อนทนี่ ักการศกึ ษาไทยผไู้ ด้รบั โอกาสไปเรยี นวิชา ศกึ ษาศาสตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกาไดน้ าเข้า (imported)มา ครกู ็เลยตอ้ งถกู
25 อบรมให้รเู้ พือ่ นาไปใช้ ซงึ่ กเ็ ขา้ ใจบา้ งไม่เข้าใจบา้ ง ถูกอบ ถูกรมจนไหมเ้ กรยี มแลว้ ก็ แลว้ กันไป(โสภณ, 2550) นักวิชาการทางการศึกษาของไทยมกั จะอ้างถงึ ทฤษฎขี องฝรงั่ ในการสรา้ ง คณุ ธรรม ซึง่ ก็ไมไ่ ดไ้ รค้ ่าเสยี ทเ่ี ดยี ว ทฤษฏีของลอวเ์ รนซ์ โคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg ) ผมู้ ชี ื่อเสยี ง คือ Kohlberg’s theory ที่ระบวุ า่ คุณธรรมนั้นมี พฒั นาการตามวฒุ ิภาวะและมคี วามสัมพันธก์ ับระดับสติปญั ญาและการศึกษา (พรรณทพิ ย,์ 2534) ทฤษฎนี ชี้ ่วยให้เราเข้าใจว่า การจะสอนเพอื่ สร้างคณุ ธรรม ใหก้ ับนักเรยี น นกั ศึกษาจะตอ้ งจดั “สถานการณ์การเรยี นรู้”(learning situation) ให้เหมาะสมกับวฒุ ภิ าวะและระดบั การศกึ ษาของพวกเขา ต้ังแต่ระดับอนบุ าล ประถมศึกษา มัธยมศกึ ษาและอุดมศึกษา อย่างไรก็ตามมีนักการศึกษาไทย ได้พยายามนาเสนอ “วิธีสอนตามแนว พุทธศาสตร์” เชน่ ศ.ดร.สาโรจ บวั ศรี เสนอวธิ สี อนตามข้ันท้ัง 4 ของอรยิ สจั และ ศ.สุมน อมรวิวัฒน์ เสนอ “พุทธวิธีสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนโิ สมนสิการ” แต่ก็ ไมส่ ามารถขยายให้เกดิ การยอมรับ นาไปปฏิบตั ิในวงกว้างได้ นอกจากนี้ในระยะปัจจุบันกม็ ีสถาบนั /องคก์ รภาคเอกชนนาเสนอรูปแบบวิธี สอนโดยเน้นการใช้ “เทคโนโลยกี ารศกึ ษา” จากการพูดคยุ กบั เพ่ือนครูดว้ ยกันท่ีมาจากสถาบันการศึกษาระดับตา่ งๆ พบวา่ ข้อเสนอวิธีสอนเหล่านน้ั ย่งุ ยากซับซอ้ นเกินไปท่จี ะนาไปใช้ ทาให้ผ้เู ขียน ม่งุ ม่นั ค้นหาวธิ กี ารสอนธรรมดา งา่ ยตอ่ การทาความเขา้ ใจและนาไปใช้ หลังจาก สารวจเอกสาร ผเู้ ขียนพบข้อเขยี นของ ศ.สมุ น อมรวิวัฒน์ ในหนังสอื “สมบตั ิทพิ ย์ ของการศึกษาไทย”(2535) หวั ขอ้ เร่อื ง“คาไทยที่แสดงวิธสี อนแบบไทย” และ หนังสอื “การพัฒนาหลกั สตู รการศึกษาเกษตร”(2534) โดย ดร.สมสุดา ผ้พู ฒั น์ และดร.โสภณ ธนะมัย ที่ยา้ ในเร่ืองการสอนว่าตอ้ ง “เนน้ -ย้า-ซ้า-ทวน”ใน เนอ้ื หาวิชาบอ่ ยๆจะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นจดจาเน้ือหานั้นมากขน้ึ ศ.สมุ น อมรวิวฒั น์ พูดถงึ วิธีการสอนแบบไทยในลักษณะทีเ่ ป็นกระบวนการ ซ่ึงเริ่มด้วย “สั่ง” คือบอกให้กระทา แนะนาให้ปฏิบัติ แล้วก็ “สอน” เมื่อ สอน หลักการแล้วจึง ฝึกฝน อบรม และบ่มนิสัย เพ่ือให้เป็นคนที่มีท้ังความรู้และ คุณธรรม
26 ผู้เขียนได้ประมวล 2 แนวทางนี้นามาประยุกต์การสอนความรู้คู่คุณธรรม ในรายวิชาท่ีผู้เขียนรับผิดชอบ โดยกาหนดว่า...การสอนเป็นกระบวนการเร่ิมจาก 1.สั่ง-สอน 2.เนน้ -ยา้ -ซ้า-ทวน และ3.บม่ นสิ ยั 1) ส่ัง-สอน: สั่ง คือ ผู้เขียนบอกกาหนดให้ทากิจกรรมการเรียนในลักษณะ ต่างๆตามความเหมาะสม ส่วนสอน คือ อธิบายถึงคุณประโยชน์ ความสาคัญท่ี นกั ศกึ ษาตอ้ งทากิจกรรมเหล่านน้ั ทัง้ นี้เพอื่ สรา้ งคณุ ธรรมให้เกิดขึน้ ในตวั นกั ศึกษา 2) เน้น–ย้า–ซ้า–ทวนในกจิ กรรมจากขน้ั ตอน “สั่ง-สอน” บ่อยๆ เปน็ ประจา ทุกคาบการเรียนการสอน เพ่อื ใหจ้ ดจาได้ไมล่ มื จนพัฒนาเปน็ ลักษณะนิสัย 3) บ่มนิสัย: “นิสัย” ตามพจนานุกรม หมายถึง ความประพฤติท่ีเคยชิน ส่วนคาว่า “บ่ม”หมายถึง ทาให้สมบูรณ์ คาว่า “บ่ม” น้ีมีความหมายได้อีกอย่างว่า เป็นวิธีการทาให้สุกอย่างช้าๆ ต้องจัดส่ิงห่อหุ้มให้พอเหมาะพอดี ใจเย็นรอเวลา ให้ ค่อยๆสุก ตัวอย่างเช่น การบ่มมะม่วงเพ่ือใช้เป็นของหวาน “ข้าวเหนียวมะม่วง” อันล่ือช่ือของไทย มะม่วงจะมีสีเหลืองทองสวยมาก และรสชาติก็หวานพร้อมหอม ชน่ื ใจอกี ดว้ ย การบ่มนสิ ัยใจคอของนกั ศึกษาน้นั ตอ้ งกวดขนั เข้มงวดแต่พอดี ใจเยน็ ค่อย ส่งั สอนกนั ไป ต้องคานึงถึงความประพฤตแิ ละสภาพจติ ใจของนักศกึ ษา ให้ความรัก ความอบอุ่นแก่นักศึกษา โดยทาตนเป็น “กัลยาณมิตร” คอยช้ีแนะและช่วยเหลือชี้ ทางแกป้ ัญหา ในตลอดระยะเวลาของกระบวนการนีท้ ้ังหมด ต้งั แต่ “สั่ง-สอน” “เนน้ -ยา้ - ซ้า-ทวน” “บ่มนิสัย” น่ันก็คือ“การปลูกฝัง” นั่นเอง นักศึกษาจะค่อยๆซึมซับ คุณธรรมฝังลึกในจติ ใจเปน็ นสิ ยั ขนึ้ มา จากประสบการณ์ของผู้เขียนในการจัดการเรียนการสอนเนื้อหาความรู้ใน รายวิชาตามคาบการเรียนปกติในช้ันเรียน ผู้เขียนพบว่า เราสามารถทาการสอน เน้อื หาความรู้วชิ าการควบคูไ่ ปกบั การสอนคุณธรรมในเวลาเดยี วกนั ได้ นอกจากนน้ั เมื่อวนั ที่ 23 มีนาคม 2565 ผ้เู ขียนมีโอกาสไปบรรยาย หวั ขอ้ เรื่อง การสอนความรคู้ คู่ ณุ ธรรม ใหแ้ กค่ ณะครโู รงเรียนพิบลู ประชาสรรค์ กรุงเทพมหานคร ซ่ึงประกอบดว้ ยครผู สู้ อนในระดบั อนบุ าล การศกึ ษาพเิ ศษ ประถมศกึ ษา และมธั ยมศึกษา จานวน 65 คน ซึง่ ผู้เขยี นได้ทาการสอบถามก่อน และหลังการบรรยายวา่ “ท่านมีความคดิ เห็นว่า “การสอนเนื้อหาความรวู้ ิชาการ
27 ควบคไู่ ปกบั การสอนคุณธรรมในเวลาเดยี วกนั น้นั สามารถทาได้หรอื ไม่ คาตอบที่ ได้รับก็คอื ทกุ คนเหน็ ตรงกนั วา่ สามารถทาได้ ภาพ การบรรยาย “การสอนความรคู้ ู่คุณธรรม” ใหแ้ กค่ ณะครูโรงเรยี นพิบูลประชา สรรค์ กรุงเทพมหานคร ในส่วนของการสอนคณุ ธรรม คุณธรรมชดุ นีอ้ งิ อยกู่ บั วฒั นธรรมคติธรรมที่ อิงหลักธรรมพุทธศาสนาอันเป็น “อกาลิโก” เรียกว่า“คุณธรรมคติธรรม” ซึ่งจะ กล่าวถึงเฉพาะคุณธรรมคติธรรมเฉพาะบุคคล ประกอบด้วย 1) คุณธรรมความ รับผิดชอบ 2) คุณธรรมความอดทน 3) คุณธรรมขยัน 4) คุณธรรมตรงต่อเวลา และ 5) คณุ ธรรมมวี นิ ัย คณุ ธรรมคตธิ รรมเฉพาะบคุ คล ผู้เขียนกาหนดให้คุณธรรมความรับผิดชอบ เป็นคุณธรรมปลายทาง (end) และพบเส้นทางของคุณธรรมอีก 4 คุณธรรมท่ีมีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกัน ตาม “หลักปฏิจจสมุปบาท” นาไปสู่คุณธรรมความรับผิดชอบ โดยเริ่มจาก คุณธรรมความอดทนก่อน ซึ่งผลจากการปลูกฝังคุณธรรมความอดทนนี้ จะ ก่อให้เกิดคุณธรรมความขยันท่ีส่งผลให้เกิดคุณธรรมตรงต่อเวลาและมีวินัย อัน ก่อให้เกิดคุณธรรมความ รับผิดชอบในที่สุด ดัง แสดงตามภาพ แผนภาพ ปฏจิ จ สมปุ บาท ของคุณธรรมทสี่ ่งผลใหเ้ กดิ คณุ ธรรมความรบั ผดิ ชอบ
28 การสอนคณุ ธรรมคตธิ รรมเฉพาะบคุ คล การสร้างคุณธรรมให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนตามคุณธรรมคติธรรมเฉพาะ บุคคล ซึ่งกาหนดคุณธรรมปลายทาง คือ ความรับผิดชอบ การสอนจะดาเนินการ ตามกระบวนการ 3 ข้ันตอน ดังแสดงตามภาพ แผนภาพ กระบวนการการสอนคุณธรรมคตธิ รรมเฉพาะบุคคล ตอ่ ไปนเี้ ป็นตัวอยา่ งจากประสบการณต์ รงของผู้เขียนในการจดั การเรยี น การสอนแบบ online1 ในเนอ้ื หาความรภู้ าคปฏิบัต(ิ doing) เรือ่ ง การสบื ค้นข้อมลู บทความวชิ าการจากฐานขอ้ มูลท่ีเชอ่ื ถือได้ เนื้อหาความรู้ภาคปฏิบัติ (Doing): การสืบค้นขอ้ มลู บทความวชิ าการจาก ฐานข้อมูลทเ่ี ชื่อถอื ได้ สงั่ : 1.ให้นกั ศึกษาชมการสาธิตแล้วฝกึ การสบื ค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Thaijo ในเวลา 30 นาที 2. ให้นักศึกษาสืบค้นบทความวิจัยเก่ียวกับชีวิตท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คนละ 2 บทความ ภายในเวลา 10 นาที 1 การเรียนการสอนแบบออนไลน์ เป็นวธิ ีการถ่ายทอดเน้ือหา รปู ภาพ วิดีโอ การใชส้ ื่อหลายๆ ประเภท(Multimedia) ร่วมกบั การสนทนาแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ ผา่ นอปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยสี มัยใหม่เพอื่ ให้ผเู้ รยี นไดเ้ ขา้ ถงึ แหลง่ เรียนรู้ท่ีมีความหลากหลาย ทันสมยั สามารถเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองได้ตามความต้องการ
29 3. ให้นักศึกษาจัดทาขั้นตอนการสืบค้นข้อมูล เป็นสื่อ Info-graphic ส่ง ภายในเวลา 24.00 น.ของวนั รุ่งขึ้น เพอื่ ใชน้ าเสนอในคาบเรยี นต่อไป สอน: นักศึกษาตอ้ งมีความอดทน: 1. ในการคน้ หา key word ค้นหาบทความ นกั ศึกษาตอ้ งอดทนคน้ หาหลาย ครงั้ จนกวา่ จะไดบ้ ทความตามทีก่ าหนด 2. กรณีที่สัญญาณ internet ไม่เสถียร นักศึกษาต้องใช้ความอดทนในการ เข้าระบบเพอ่ื ทาการสบื คน้ หลายครัง้ จึงจะสามารถสบื คน้ ได้ 3. นักศึกษาที่ใชม้ ือถอื หรือ ipad เป็นอุปกรณใ์ นการสืบคน้ ตอ้ งใช้ความ อดทนในการเข้าสืบค้นขอ้ มลู หลายรอบ คุณธรรมความอดทน: 1. นักศึกษาทาการสืบค้นบทความซ้าๆจากฐานข้อมูล จนได้บทความตามที่ กาหนด 2. นักศึกษาใช้อุปกรณ์ส่ือสารเพื่อใช้ internet ในการสืบค้นบทความซ้าๆ (เนอื่ งจากสัญญาณ internet ไม่เสถยี ร) 3. นักศึกษาชมการสาธิตและฝึกสืบค้นข้อมูลซ้าๆหลายๆรอบ เน่ืองจาก ขอ้ จากดั ของอปุ กรณส์ ื่อสารที่ใชใ้ นการเรยี น เชน่ การใช้โทรศพั ทม์ อื ถือเป็นอุปกรณ์ ในการเรียน 4. นักศึกษาสามารถสรุปข้ันตอนในการสืบค้นบทความในเวลาจากัดและ นาเสนอ info graphic ได้สาเร็จและส่งไดใ้ นเวลาทีก่ าหนด คุณธรรมความอดทนน้ี ถือวา่ เป็นคณุ ธรรมทเ่ี ป็นเหตุปจั จยั กอ่ เกิด คณุ ธรรมอน่ื ตามมาดงั นี้ คุณธรรมขยัน: นักศึกษาฝึกทาการสืบค้น สรุปสาระสาคัญขั้นตอนการ สืบคน้ จากประสบการณ์ตนเอง และทาสอื่ ข้นั ตอนการสืบคน้ เป็น infographic ส่ง ได้ทันเวลากาหนด เป็นการทางานหลายขั้นตอนและเสร็จในเวลาท่ีกาหนด จึงเห็น ไดว้ ่านกั ศกึ ษาไมท่ อดทิง้ งาน ทางานให้สาเร็จ
30 คุณธรรมตรงต่อเวลา: นักศึกษาส่งงานตรงต่อเวลาตามท่ีกาหนดนัด หมาย คือ นักศึกษาฝึกและสืบค้นบทความเสร็จตรงตามกาหนดเวลา ทาสื่อ ขนั้ ตอนการสบื ค้นเปน็ infographic ส่งตรงเวลาทีก่ าหนด คุณธรรมมีวินัย: นักศึกษาทางานส่งตามระเบียบกติกาท่ีกาหนด คือ ฝึกและสืบค้นบทความ ทาส่ือขั้นตอนการสืบค้นเป็น info graphic สาเร็จตาม กาหนดเวลา นั่นคอื เกิดคุณธรรมความรับผิดชอบข้ึนในตัวนักศึกษานน่ั เอง เหตุการณ์ในการจัดการเรียนการสอนหัวข้อ“การสืบค้นข้อมูลบทความ วิชาการ”ตามที่ได้เขียนเล่าแล้วนั้น เม่ือนาหลัก “ปฏิจจสมุปบาท”มาอธิบาย ปรากฏการณ์น้ี จะพบว่า การท่ีนักศึกษา....ไม่ทอดทิ้งงาน(อดทน)ทาใหท้ างานจนสาเร็จ(ขยัน) ตรง ตามเวลาที่กาหนด(ตรงต่อเวลา) ตามระเบียบกติกาท่ีต้ังไว้(มีวินัย) ซ่ึงก็หมายถึง นกั ศึกษาปฏิบัติงานตามท่ีได้รับมอบหมายจนสาเรจ็ (ความรบั ผดิ ชอบ) ส่วนในการสอน ผู้เขียนอรรถาธิบายชี้แจงให้เห็นความสาคัญของการส่ง งาน“ตรงต่อเวลา”ท่ีกาหนดว่า นอกจากจะได้คะแนนตามเกณฑ์แล้ว ยังทาให้ นักศึกษามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนในคาบต่อถัดไปได้ ซ่ึงจะทาให้นักศึกษาเกดิ การเรียนรู้ในเนื้อหาความรู้วิชาการที่ผู้สอนจัดขึ้น และยังได้คะแนนในการร่วม กิจกรรมในครั้งนั้นๆด้วย ส่ิงสาคัญท่ีสุดที่นักศึกษาจะได้รับ ก็คือ เป็นการฝึก \"คุณธรรมอดทน\" อนั เปน็ คุณธรรมที่จะนาไปสู่คุณธรรมอย่างน้อยอกี 4 คณุ ธรรม ได้แก่ คุณธรรมขยัน คุณธรรมตรงต่อเวลา คุณธรรมมีวินัย และที่สาคัญคือ “คุณธรรมความรับผิดชอบ”ที่เป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหน่วยงานต่างๆ ท้ังภาคราชการและเอกชน ซึ่งนักศึกษาต้องออกไปทางานด้วยเม่ือจบการศึกษา หรอื จะประกอบอาชพี อิสระกต็ าม เนน้ -ยา้ -ซา้ -ทวน: ผู้เขียนจัดสถานการณ์การเรียนรู้ให้นักศึกษาได้ฝึกการมีคุณธรรมความ อดทนในทุกคาบเรียนของแต่ละเน้ือหาความรู้ในรายวชิ า ได้แจ้งให้นักศึกษารับรู้ถึง การให้คะแนนในการทากจิ กรรมว่า “ต้องอดทนในการทางาน สง่ ใหต้ รงตามเวลาที่ กาหนด”
31 บม่ นสิ ัย: จัดสถานการณ์ให้นักศึกษาได้ฝึกความอดทนอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่าง ต่อเนื่องในทุกคาบเรียนของแต่ละเน้ือหาความรู้ในรายวิชา ให้นักศึกษาได้ฝึกความ อดทนซ้าๆ จนเป็นสถานการณ์ปกติ ถ้าหากพบว่านักศึกษาบางส่วนยังขาดความ อดทน ผู้เขียนจะช่วยเหลือ ให้กาลังใจและชี้แนะแนวทางแก้ไข และจัดสถานการณ์ ให้นักศึกษาดังกลา่ วได้ฝกึ ฝนการมีคณุ ธรรมความอดทน“ใหม่” เชน่ กาหนดเวลาใน การส่งงานใหม่ ก็พบว่า นักศึกษาสามารถแสดงพฤติกรรมบ่งช้ีความอดทนได้ สาเรจ็ เปน็ ตน้ จากการท่ีนักศึกษาอดทนทางานท่ีกาหนดอย่างต่อเน่ืองตลอดภาคการ เรียน นักศึกษาก็มี “คุณธรรมขยัน”ก่อให้เกิด“คุณธรรมตรงต่อเวลา” ซึ่งสร้าง “คณุ ธรรมมวี ินยั ” กอ่ ให้เกดิ “คุณธรรมความรับผิดชอบ” การสอนความรู้คู่คุณธรรมตามคาบเรียนในช้ันเรียนปกติ ดังตัวอย่างที่ได้ ยอ่ มานาเสนอแลว้ น้นั มีคุณธรรมเฉพาะบุคคล 5 คุณธรรมทีเ่ กิดขนึ้ ในตัวนักศกึ ษา ประกอบดว้ ย คณุ ธรรมอดทน ขยนั ตรงตอ่ เวลา วนิ ยั และความรบั ผิดชอบ การจดั ประสบการณ์เพือ่ การเรยี นรใู้ นการสอนความรู้คู่คณุ ธรรม ตอ่ ไปนผี้ ูเ้ ขียนจะขอยกตัวอยา่ งการจัดประสบการณ์เพื่อการเรยี นรู้ (learning experience: L.E.) ในการจัดการเรยี นการสอนความรคู้ คู่ ณุ ธรรม ประกอบดว้ ย เนอ้ื หาความรภู้ าคความรแู้ ละภาคปฏบิ ตั ิ 1. เนื้อหาความรู้ภาคความรู้ (Knowing) เรอื่ ง หนงึ่ อม่ิ ท่เี ปน็ มิตรกับ สิ่งแวดล้อม ในการสรา้ ง“คณุ ธรรมคตธิ รรมเฉพาะบุคคล”ควบคูก่ บั วิชาการ “ความร้วู ชิ าการ”โดยการจดั L.E. ซึ่งความรูว้ ชิ าการอยูส่ ่วนบนและคุณธรรมอยู่ สว่ นลา่ ง ดังแสดงในตาราง L.E. 2. เน้อื หาความรู้ doing: เป็นเนื้อหาความรเู้ รื่อง “ข้นั ตอนการสบื ค้นข้อมูล บทความวิชาการจากฐานขอ้ มูลที่เชือ่ ถอื ได้”การปลกู ฝงั “คณุ ธรรมคติธรรมเฉพาะ บคุ คล” ควบคูjกับ “ความรู้วชิ าการ” โดยการจัด L.E.ซ่งึ ความรวู้ ิชาการอยสู่ ่วนบน และภาคคณุ ธรรมอยสู่ ว่ นล่างของตารางL.E.
32
33
34 การประเมินผลการสอนความรคู้ ู่คณุ ธรรม จากท่ีกลา่ วแลว้ ก่อนหนา้ น้ีวา่ การจดั การเรียนการสอนความรคู้ คู่ ุณธรรม นน้ั ผ้เู ขียนได้ใช้ L.E.เป็นหลักในการจดั การเรียนการสอน ซึ่งในคร้งั นจี้ ะขอ ยกตัวอย่างการจดั การเรียนการสอนความรู้คู่คุณธรรมในรายวชิ า ชวี ติ ทีเ่ ป็นมติ ร กับส่งิ แวดล้อม โดยได้จัดประสบการณ์เพือ่ การเรยี นรใู้ หแ้ ก่นกั ศึกษาจานวน 27 คน ในรปู แบบการสอนออนไลน์ ร้อยเปอรเ์ ซน็ ต์ตลอดภาคการเรียน โดยจดั ประสบการณเ์ พ่ือการเรียนรตู้ าม L.E.ทัง้ หมด 9 L.E.ดว้ ยกัน การประเมินผลการสอนจะเริ่มจากการประเมินผลการสอนความรู้วิชาการ เป็นอันดับแรก ตามด้วยการประเมินผลการสอนคุณธรรมในลาดับต่อไป ซึ่งการ ประเมนิ ผลการสอนท้ัง 2 ส่วน จะใชผ้ ลคะแนนจากช้ินงานทม่ี อบหมายใหน้ กั ศึกษา แต่ละคน ทาในแต่ละคาบเรียน โดยแต่ละช้ินงานมีเกณฑ์การให้คะแนนท่ียึดความ ถูกต้อง ความครบถ้วนของเน้ือหา และการตรงต่อเวลาในการส่งชิ้นงาน ซึ่งการ ประเมนิ ผลแต่ละส่วนนน้ั มีดังนี้ การประเมินผลการสอนความรู้วชิ าการ 1. ผู้เขียนมอบหมายให้นักศึกษาจัดทาชิ้นงานจานวน 38 ชิ้นงาน/ภาคการ เรียน นักศึกษาต้องมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพ่ือนนักศึกษาและปฏิสัมพันธ์ร่วมกับ ผู้สอนในชั้นเรียน (แตกต่างไปตามเนื้อหาในแต่ละคาบเรียน เช่น การสืบค้นข้อมูล วิชาการผ่านฐานข้อมูลวิชาการท่ีเช่ือถือได้ ร่วมกันจัดทา Mind map ใน Padlet application รว่ มกันตอบคาถาม แสดงความคดิ เห็นใน Wooclap application เปน็ ต้น) มีการทดสอบก่อนการเรียน การทดสอบหลังเรียน การจัดทา infographic การจัดทา clip การจดั ทา Tik Tok การนาเสนอผลงาน และการทาโครงงาน 2. ผลการประเมินจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ซ่ึงมีค่าคะแนนเกณฑ์ มาตรฐานรอ้ ยละ 80 เท่ากับ 80 คะแนน2 ปรากฏว่า จานวนนักศึกษาท่ีได้คะแนนสูงกว่าหรือเท่ากับค่าคะแนนเกณฑ์ มาตรฐานร้อยละ 80 มจี านวน 25 คน จานวนนักศึกษาท่ไี ดค้ ะแนนน้อยกว่าค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐานรอ้ ย ละ 80 มีจานวน 2 คน 2 หมายเหต:ุ ในการจัดการเรียนการสอนน้นั หากพบว่า ผลงานนกั ศึกษาไม่ถกู ตอ้ ง ไม่ ครบถว้ น จะใหค้ าแนะนาและใหโ้ อกาส นกั ศกึ ษาทาการแกไ้ ขและสง่ ในเวลาท่กี าหนด ซงึ่ เป็น แนวคดิ หลักของการจดั การเรียนการสอนโดยใช้ L.E. จึงส่งผลทาใหน้ ักศกึ ษาได้คะแนนในแตล่ ะ ชิน้ งานสูงข้ึน
35 3. ถึงแม้ว่าจานวนนกั ศึกษาไดค้ ะแนนจะตา่ งกนั อย่างชัดเจน (25:2) อย่าไร ก็ตามผู้เขียนประสงค์จะแสดงการทดสอบความแตกต่างด้วยค่าสถิติทดสอบ 2 ใหท้ ราบไวด้ ว้ ย ทาการทดสอบความแตกต่างโดยใช้ 2-test of goodness of fit ดงั ตาราง จานวนนักศึกษา คะแนนวิชาการ O-E (O-E)2 132.25 จานวนนักศึกษาที่ได้คะแนนสูง 25(E= 13.5) 25-13.5=11.5 132.25 กว่าหรือเท่ากับค่าคะแนนเกณฑ์ มาตรฐานรอ้ ยละ 80 จานวนนักศึกษาที่ได้คะแนนน้อย 2(E= 13.5) 2-13.5=-11.5 กว่าค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐาน รอ้ ยละ 80 2cal = ∑ (������−������)2 = 132.252 + 132.252 = 9.79+9.79 = 19.59 ������ 13.5 13.5 เปิดตาราง 2cal ท่ี df =1: α = .05 2tab = 3.84 แสดงให้เหน็ ว่า 2cal (19.59) > 2tab (3.84) ซึง่ หมายถงึ ปฏเิ สธH0 แต่ยอมรบั HA แสดงวา่ จานวนนกั ศกึ ษาทีไ่ ด้คะแนน วิชาการสงู กวา่ หรอื เทา่ กับคา่ คะแนน มาตรฐานร้อยละ 80 มจี านวนมากกวา่ นักศึกษาท่ไี ด้คะแนนต่ากวา่ คา่ คะแนน มาตรฐาน อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั ความ เช่ือมน่ั .05 หรอื เชอื่ ถือได้ 95 % จึงสรุปไดว้ า่ L.E. การสอนความรู้วิชาการที่ออกแบบไวม้ ี ประสทิ ธิภาพ การประเมนิ ผลการสอนคุณธรรม 1 เร่ิมจากการกาหนดเกณฑ์คุณธรรม ซึ่งใช้จานวนชิ้นงานทผี่ ู้เรียนนาส่งใน เวลาท่กี าหนด (ถูกต้องและครบถ้วน) ซงึ่ มีจานวนชิน้ งานทง้ั หมด เท่ากับ 38 ช้นิ 2. ผลการประเมินการจัดการเรียนการสอนคุณธรรม ซึ่งพิจารณาจาก ชิ้นงานทั้งหมด 38 ชน้ิ ซ่ึงเทา่ กบั 38 คะแนน ค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 80 = 30.4 คะแนน พบว่า
36 จานวนนักศึกษาที่ได้คะแนนสูงกว่าหรือเท่ากับค่าคะแนนเกณฑ์ มาตรฐานร้อยละ 80 มจี านวน 21 คน จานวนนักศึกษาท่ีได้คะแนนน้อยกว่าค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐานร้อย ละ 80 มจี านวน 6 คน 4. ทาการทดสอบความแตกต่างโดยใช้ 2-test of goodness of fit ดังตาราง จานวนนักศกึ ษา คะแนนวชิ าการ O-E (O-E)2 56.26 จานวนนักศึกษาที่ได้คะแนนสูง 21(E= 13.5) 21-13.5=7.5 56.26 กว่าหรือเท่ากับค่าคะแนนเกณฑ์ มาตรฐานร้อยละ 80 จานวนนักศึกษาที่ได้คะแนนน้อย 6(E= 13.5) 6-13.5=-7.5 กว่าค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐาน รอ้ ยละ 80 2cal = ∑ (������−������)2 = 56.262 + 56.262 = 4.16+4.16 = 8.32 ������ 13.5 13.5 เปิดตาราง 2cal ที่ df =1: α = .05 2tab = 3.84 แสดงให้เหน็ วา่ 2cal (8.32) > 2tab (3.84) ซงึ่ หมายถึง ปฏิเสธH0 แตย่ อมรับ HAแสดงว่า จานวน ( ) นกั ศึกษาท่ีได้คะแนนคุณธรรมสงู กวา่ หรือเทา่ กบั คา่ คะแนนมาตรฐานรอ้ ยละ 80 มี จานวนมากกว่านกั ศกึ ษาทไ่ี ด้คะแนนต่ากว่าคา่ คะแนน มาตรฐาน อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับความ เชอื่ มั่น .05 หรือเชอื่ ถือได้ 95 % จงึ สรุปไดว้ า่ L.E. การสอนคณุ ธรรมทอ่ี อกแบบไวม้ ีประสิทธิภาพ
37 การปลูกฝังคา่ นิยม คา่ นิยมท่แี ปรเปลยี่ นได้ เป็นวาทกรรม...อิงอยกู่ ับวฒั นธรรม เนตธิ รรม สหธรรม และ วตั ถุธรรม ....การขัดเกลาทางสงั คมเปน็ วิถที าง ของการปลูกฝงั ค่านิยมกลุ่มนี้ การปลกู ฝังค่านยิ ม 1. คา่ นยิ มที่คงที่ ค่านิยมชุดน้ีอิงคุณธรรมคติธรรม เราสามารถทาการสอนควบคู่ร่วมไปกับ การสอนคุณธรรมในกา รจั ดการ เ รียนกา รส อนภาค วิชา การ ในช้ั นเ รียน ป ก ติ ไ ด้ ขน้ั ตอน “สั่ง-สอน”“เน้น-ยา้ -ซ้า-ทวน” “บม่ นิสัย” นั่นกค็ อื “การปลกู ฝัง” นน่ั เอง 2. ค่านิยมท่เี ปลี่ยนแปลงได้ การปลูกฝังชุดน้ี ซ่ึงเป็นค่านิยมท่ีเปล่ียนแปลงไปตามความปรารถนาของ มนุษย์ ผู้เขียนมีความเห็นว่า จะต้องใช้หลักของ “การขัดเกลาทางสังคม” (socialization) การขัดเกลาทางสังคม มนุษย์มีความเหมือนกันและแตกต่างกัน จึงต้องได้รับการขัดเกลาทาง สังคม เพื่อให้บุคคลมีแบบของความประพฤติทส่ี อดคล้องกับกลุ่ม สามารถปรับตวั เข้ากับวิถีชีวิตทตี่ นเป็นสมาชิก ควบคุมความรู้สึกนึกคิด ความประพฤติให้เหมาะสม กับวาระและโอกาสตา่ งๆ การขดั เกลาทางสงั คมเปน็ การเรียนรทู้ างตรงโดยการสอน หรอื ทางออ้ มโดยการสงั เกตเลยี นแบบ
38 สุพัตรา สุภาพ (2535)ได้กล่าวถึงตัวแทนของการขัดเกลาทางสังคม (socialization)เอาไว้ว่ามี 6 กลมุ่ คือ 1. ครอบครัว: การอบรมของครอบครัว ทาได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรง เช่น สอนให้มีวินัย มีสัมมาคารวะรู้จักไหว้เมื่อพบผู้ใหญ่ รู้จักกล่าวคา ขอบคุณเม่ือมีใครให้ของหรือทาอะไรให้ ทางอ้อม เช่น อาจเป็นการเลียนแบบหรือ รับเข้าไปแบบไม่รู้ตัว เช่น พ่อแม่สกปรก ลูกก็สกปรก พ่อแม่ชอบใช้คาหยาบ ลูกก็ ใชค้ าหยาบด้วย เป็นตน้ 2. กลุ่มเพ่ือน: การต้องการอยู่ร่วมกับเพื่อนที่มีรสนิยมใกล้เคียงกัน ไม่ว่า จะเป็นด้านความคิดหรือแบบของการแสดงออกเพื่อให้เพ่ือนยอมรับตนเป็นสมาชกิ คนหนึ่งของกลุ่ม เช่น เพื่อนไว้ผมยาว ก็ไว้ผมยาวตามเพื่อน จะได้ไม่ผิดแผกไปจาก กลมุ่ เป็นตน้ 3. โรงเรียน: โรงเรียนเป็นบ้านท่ีสองของเด็กและเยาวชน เป็นสถานท่ี สาคัญท่ีทาให้มีโอกาสพบปะสมาคมกับเพื่อนในวัยเดียวกัน เด็กและเยาวชนจะใช้ ชีวิตอยู่ในโรงเรียนเป็นระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะลูกหลานของชนชั้นกลางและ มง่ั มี ทาให้ไดร้ บั คุณค่าบางอย่าง ท้งั แบบรตู้ ัวและไมร่ ู้ตัว ปัญหาทเี่ กดิ ขึน้ จากการขัดเกลาของโรงเรียน อาจจะออกมาในแบบที่ 1. ไมต่ รงกบั พ่อแมผ่ ู้ปกครอง เกิดความสบั สน ไม่ร้วู า่ ของใครถกู กว่า กัน เชน่ ครูวา่ ไม่ดี พ่อแม่วา่ ดี ครวู า่ ผดิ พ่อแม่วา่ ถูก 2. สอนในลักษณะที่เป็นอุดมคติจนเกินไป ไม่ตรงกับสิ่งที่ปฏิบัติในชีวิต จริง เชน่ ทาดีไดด้ ี แต่ไดเ้ ห็นคนทาชัว่ ไดด้ ี จึงเกิดเส่ือมศรทั ธาได้ เปน็ ต้น 4. กลุ่มอาชีพ: กลุ่มอาชีพต่างๆจะมีคุณค่าหรือระเบียบกฎเกณฑ์ไปตาม อาชพี ของตน แต่ละอาชีพจงึ มีบคุ ลิกภาพแตกต่างกนั ไป 5. ตัวแทนทางศาสนา: ไดแ้ ก่ วัดวาอาราม พระ นักบวช ผู้เผยแพร่ศาสนา การทบ่ี คุ คลจะคดิ ว่า ส่งิ ใดถกู หรอื ผดิ ส่วนใหญจ่ ะเกดิ จากความเช่ือในศาสนา 6. ส่ือมวลชน: เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ นวนิยาย วรรณคดี เป็นต้น มีส่วนสาคัญในการหล่อหลอมบุคลิกภาพของบุคคลตามที่สังคมต้องการ แม้แต่ นวนิยายก็ใช้เป็นส่ือการเรียนการสอนบทเรียนวิชาการ ทาให้คนสนใจมากกว่า แบบเรยี นทเี่ น้นหนักวชิ าการอย่างเดยี ว นอกจากนี้ยังได้ระบุถึงวัยท่ีจาเป็นต่อการขัดเกลาเอาไว้ว่ามี 2 วัยที่สาคัญ ได้แก่
39 1. การขดั เกลาในระยะท่ียงั เปน็ เด็ก ในวัยน้ี พ่อแม่เป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวเด็กท่ีจะช่วยปลูกฝังคุณธรรม เจต คติ หรือแนวทางที่เด็กจะยึดถือเป็นหลักปฏิบัติหรือเป็นไปในทางตรงกันข้ามก็ได้ พอ่ แมจ่ ึงเปน็ สถาบนั แรกทสี่ าคัญต่อการพฒั นาบคุ ลิกภาพของเด็กมากทีส่ ุด 2. การขดั เกลาในวยั รุ่น เป็นวัยท่ีพ้นจากความเป็นเด็กและเริ่มเข้าสู่ความเป็นหนุ่มสาว ซึ่งระยะนี้มี การเปล่ียนแปลงทางร่างกายและจิตใจ จะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่ จะเป็นเด็กก็ไม่เชิง เพ่ือนมคี วามหมายต่อคนในวยั น้ีมากและเห็นวา่ จาเปน็ ขาดเสียมิได้ การขัดเกลาของ พอ่ แม่จึงควรออกในรปู เข้าใจความต้องการของเขา ให้ความสนใจตอ่ ปัญหาของเขา พร้อมเสมอที่จะให้คาแนะนาหรือเป็นที่ปรกึ ษา หรือเป็นผู้คอยช่วยเหลือหากเหน็ ว่า เขาตอ้ งการ หรอื กาลงั ประพฤติในทางที่ผดิ ไปจากขอ้ ตกลงของสังคม การปลูกฝังค่านิยมจะจาแนกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1) การปลูกฝังคา่ นิยม จากคุณธรรมคติธรรม และ 2) การปลูกฝังค่านิยมจากวัฒนธรรมเนติธรรม สหธรรม และวัตถุธรรม ในส่วนของการนาเสนอ จะอธิบายในรูปแบบบของ ไดอะแกรม ดงั นี้ การปลกู ฝงั ค่านิยมตามคุณธรรมคตธิ รรม การปลูกฝงั คา่ นิยมตามวฒั นธรรมเนติธรรม สหธรรม และวตั ถุธรรม
40 สถาบันการศึกษาโดยเฉพาะโรงเรียนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ได้มกี ารจดั กจิ กรรมหลากหลาย ซึ่งเราสามารถนามาใชเ้ ป็นวิถที าง(means) นาไปสู่ การสรา้ งคา่ นิยม (end) ตามคุณธรรมคตธิ รรม และวฒั นธรรมเนตธิ รรม สหธรรม และวัตถุธรรม ตัวอยา่ งเชน่ - การไหวห้ นา้ ประตูโรงเรียนทุกเชา้ : คติธรรม สหธรรม เนติธรรม - ครูอบรมนักเรียนหน้าเสาธงตอนเช้าทุกวัน: คติธรรม เนติธรรม สหธรรม วตั ถธุ รรม - เข้าคา่ ย: คติธรรม เนติธรรม สหธรรม วัตถุธรรม - ทศั นศกึ ษานอกสถานที่: คติธรรม เนตธิ รรม สหธรรม วัตถธุ รรม - กจิ กรรมเพอ่ื นช่วยเพื่อน พีช่ ่วยนอ้ ง: คตธิ รรม สหธรรม - ครูอบรมในห้องเรยี นกอ่ นการเรียนทกุ เชา้ : คตธิ รรม เนตธิ รรม สหธรรม วตั ถุธรรม
41 คร:ู ผู้เป็นกัลยาณมิตร หวั ใจของส่วนน้ี คอื ถ้าครูไมใ่ ช่ผู้เป็นกลั ยาณมิตร... .การสอนความรู้คคู่ ณุ ธรรม ก็เป็นอันจบส้นิ ครู: ผ้เู ป็นกลั ยาณมิตร คาวา่ “กัลยาณมิตร” ตามพจนานกุ รมไดใ้ หค้ วามหมายว่า “มติ รแท้” กลั ยา = งาม งาม = ลกั ษณะท่ีเหน็ แล้วชวนยินดชี วนพึงใจ กลั ยาณมติ ร = มติ รทม่ี ีลกั ษณะเหน็ แล้วชวนยินดีชวนพึงใจ ข้อเขียนน้ีผู้เขียนอาศัยผลงานของนักการศึกษา 4 ท่านเป็นหลักสาคัญ ได้แก่ หนังสือ “การสอนโดยศรัทธาและโยนิโสมนสิการ”(2530) และสมบัติทิพย์ ของการศึกษาไทย(2535) โดยศาสตราจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ ข้อเขียนเรื่อง “คุณธรรมครูไทย”ของศาสตราจารยอ์ าไพ สจุ ริตกลุ ในหนงั สือ“ความรู้คูค่ ณุ ธรรม” (2534) โดยไพฑูรย์ สินลารัตน์และถนอม รอดคาดี(บรรณาธิการ) หนังสือ “พ้ืนฐานการศึกษาทางศาสนาและจริยธรรม” (2540) โดยศาสตราจารย์ประภาศรี สหี อาไพ และสมั ภาษณ์อาจารย์ ดร.โสภณ ธนะมัย (2564) ศาสตราจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ อ้างถึงพระราชมุนี(ประยุทธ์ ปยุตโต)ว่า กลั ยาณมติ ร คือ มิตรท่มี ลี ักษณะ 7 ประการ ไดแ้ ก่
42 1. ปโิ ย (นา่ รัก ในฐานเปน็ ทสี่ บายใจและสนิทสนม ชวนใหอ้ ยากเขา้ ไปปรึกษาไต่ถาม) 2. ครุ ( นา่ เคารพ ในฐานประพฤตสิ มควรแกฐ่ านะ ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ อบอ่นุ ใจ เป็นท่พี ่ึงไดแ้ ละปลอดภยั ) 3. ภาวนโี ย (นา่ ยกยอ่ ง ควรเอาอยา่ ง ในฐานทรงคุณ คอื ความรูแ้ ละ ภูมปิ ญั ญาแทจ้ ริง ทัง้ เปน็ ผู้ฝกึ อบรม และปรบั ปรุงตนอยู่เสมอ) 4.วตตา จ. (รู้จักพดู รูจ้ กั ช้ีแจงให้เข้าใจ ร้วู า่ เมื่อไรควรพดู อะไร อย่างไร คอยใหค้ าแนะนาว่ากลา่ วตักเตือน เปน็ ทปี่ รกึ ษาทดี่ )ี 5. วจนกขโม (อดทนตอ่ ถ้อยคา คอื พรอ้ มท่จี ะรบั ฟงั คาปรึกษา ซักถามทุกอย่างอยู่เสมอ อดทนฟังได้ไม่เบ่อื ) 6. คมภีรญจ กถ กตตา (กล่าวชแ้ี จงแถลงเรอ่ื งต่างๆทีล่ ึกซึง้ ได้) 7. โน จฏฐาเน นโิ ยชเย (ไม่แนะนาในเร่อื งเหลวไหล หรอื ชกั จงู ไป ในทางที่เสอื่ ม) ศาสตราจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ ได้ขยายความพอให้เห็นภาพบางส่วนของ กัลยาณมติ รวา่ .... .....เมอ่ื นักเรียนเดินเข้ามาหาครู เขารู้วา่ เขาจะได้พบมนุษย์คนหน่ึง ท่ีรักเขา มีความรู้ความคิดที่สูงและกว้างไกลกว่าเขา ท่ีเขาจะพึ่งพา ได้ ที่จะช่วยให้เขาเข้าใจเมื่อเขาสงสัย ช่วยให้เขาร่มเย็นเม่ือเขา เดือดร้อน ช่วยให้เขาเห็นทางสว่างเมื่อเขามืดมน ช่วยให้เขาเลือก ตัดสินใจไดด้ ว้ ยตนเองเมื่อเขาสับสนวุ่นวาย นักเรียนจะต้องมัน่ ใจว่า เม่ือเขามาหาครู เขาจะจากไปด้วยรอยย้ิม มิใช่ด้วยหยาดน้าตา หัวใจของครู จึงเป็นหัวใจของมิตร มิตรท่ีเป็นกัลยาณมิตร คือ งดงาม เทย่ี งตรงเปย่ี มดว้ ยวิชชา และกรณุ าต่อศษิ ยเ์ ลก็ ๆของครู .......ครูที่มีหัวใจเป็นกัลยาณมิตรของศิษย์เท่านั้น จึงจะเป็นครูที่ ดเี ด่นท่แี ท้
43 ศาสตราจารยอ์ าไพ สุจริตกลุ ได้อธิบายสรุปกลั ยาณมิตรธรรม หรือครฐุ านยิ ม เอาไวว้ า่ ....ผู้เปน็ ครดู ี จะตอ้ งยึดม่นั ในคณุ สมบัตขิ องครหู รอื มิตรที่ดี มติ รแท้ 7 ประการด้วยกัน ได้แก่ 1. ปิโย: เปน็ ท่รี ัก เปน็ ท่ีพอใจ เพราะครูทาตนใหเ้ ป็นทีร่ ักของศิษย์ 2. ครุ: เปน็ ท่ีเคารพ เพราะมีความหนักแน่น น่าเคารพยาเกรง 3. ภาวนีโย: เป็นท่สี รรเสรญิ เพราะฝกึ ฝนอบรมตนให้เจริญด้วย ความรู้และเชีย่ วชาญ 4. วัตตา: เป็นผู้วา่ กลา่ ว มีความเพียรพร่าสอน พรา่ เตือนศษิ ย์ 5. วจนกั ขโม: เปน็ ผอู้ ดทนตอ่ ถ้อยคา แมจ้ ะถกู กระทบกระทง่ั เสียด สี ลองภมู ิ 6. คมั ภีรังกถงั กตั ตา: เปน็ ผู้กลา่ วถอ้ ยคาอันลกึ ซึง้ สอนให้เข้าใจได้ แจม่ แจ้งและลุ่มลึก 7. โนจฏั ฐาเน นิโยชเย: พึงนาไปในฐานะท่ีดี ในตาแหน่งท่ดี ี ไม่ ชกั ชวนในฐานะอันไม่สมควร ไม่ชักนาศิษยไ์ ปในทางเสื่อมเสีย ศาสตราจารยป์ ระภาศรี สีหอาไพ ไดก้ ล่าวถงึ พทุ ธวิธสี อน แสดงใหเ้ ห็นองค์ คุณแหง่ กัลยาณมิตรของผู้สอนที่มคี ุณสมบัตขิ องมิตรแท้ อนั เปน็ เหตใุ ห้เกดิ ความดี งาม ความเจริญ ประกอบดว้ ย 1. ปิโย ความสนมิ สนมรักใคร่ ชวนให้ประสงค์จะปรกึ ษาไตถ่ าม 2. ครุ ความนา่ เคารพในความประพฤติทห่ี นักแนน่ ดงี ามจนเกดิ ความรูส้ กึ อบอนุ่ ใจทีจ่ ะยดึ ถอื เปน็ หลักทีพ่ ่ึง 3. ภาวนโี ย การฝกึ อบรมตนจนน่ายกยอ่ ง ควรเอาอย่างในฐานะที่ มีภมู ิความรู้ 4. วัตตา จ การแนะนาว่ากลา่ ว ตกั เตือน ใหค้ าปรกึ ษาทด่ี ี 5. วจนกั ขโม ความอดทนต่อถ้อยคาทซี่ ักถามให้คาปรึกษา โดย ไม่เบื่อหนา่ ย 6. คัมภีรัญจ กถัง กตั ตา การแถลงช้แี จงเรือ่ งตา่ งๆ อยา่ งลึกซึ้ง 7. โน จฏั ฐาเน นโิ ยชเย การไมแ่ นะนาชกั จูงไปในทางเส่อื มเสยี ขอ้ เขียนตอ่ ไปน้ี ผู้เขียนเรยี บเรียงขน้ึ จากคาสมั ภาษณ์ ดร.โสภณ ธนะมัย อาจารยท์ ีป่ รึกษาของผ้เู ขยี นในคราวท่ีศกึ ษาต่อหลักสตู รดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขา วทิ ยาศาสตร์สงิ่ แวดลอ้ ม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ (2548-2552) ดงั น้ี
Search