Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore LE3 การสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้สิ่งแวดล้อม

LE3 การสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้สิ่งแวดล้อม

Published by lawanwijarn4, 2021-12-31 03:47:42

Description: LE3 การสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้สิ่งแวดล้อม

Search

Read the Text Version

44 สาหรับสถานการณ์ในกรณีที่ 1 และ 2 น้ัน จะเห็นได้ว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับสิ่งท่ี ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ผู้เรียนจึงยังไม่เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองว่า แท้จริงแล้ว “ทะเล”มลี กั ษณะอย่างไร สถานการณ์การเรียนรู้จาแนกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างข้ึนและ กิจกรรมที่ผูเ้ รยี นกระทา(ลาวัณย,์ 2559) 1. กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้น คือ กิจกรรมท่ีผู้สอนแสดงออกในเน้ือหาความรู้ที่ ต้องการให้ผู้เรียนไดเ้ รียนรู้ เช่น ผู้สอนอธบิ ายและสาธติ ข้นั ตอนการตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ให้ผเู้ รียนดู ภาพท่ี 5 ผู้สอนอธบิ ายและสาธิตขัน้ ตอนการตรวจวดั คุณภาพนา้ ใหผ้ ู้เรยี นดู ทีม่ า: ลาวัณย์ วิจารณ์.และแอนจิรา เจริญวงศ์ (2556) 2. กิจกรรมทผ่ี ู้เรยี นกระทา คือ กิจกรรมทผี่ ู้สอนกาหนดให้ผเู้ รยี นมีปฏิสมั พันธ์กับกิจกรรมท่ี ผสู้ อนสร้างขึ้น ตวั อยา่ งเชน่ ผ้สู อนกาหนดใหผ้ เู้ รยี นทาการตรวจวัดคุณภาพน้าตามข้นั ตอนท่ีผู้สอน

45 ได้สาธิต การท่ีผู้เรียนได้ลงมือทาการตรวจวัดคุณภาพน้าตามข้ันตอนท่ีผู้สอนสาธิตให้ดูนั้น ก็คือ การมปี ฏสิ ัมพันธ์ (interaction) กับสถานการณท์ ่ผี ้สู อนสร้างขนึ้ ภาพที่ 6 ผ้เู รียนลงมอื ทาการตรวจวัดคุณภาพน้าตามขน้ั ตอนทผี่ สู้ อนสาธิตให้ดู ที่มา: ลาวัณย์ วจิ ารณแ์ ละแอนจิรา เจรญิ วงศ์ (2556) สถานการณ์การเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างขึ้น ทั้งกิจกรรมการเรียนรูที่ผู้สอนสร้างขึ้นและกิจกรรมท่ี ผู้เรยี นกระทาจะต้องสอดคล้องกับ“วตั ถุประสงคก์ ารสอน”ที่ผสู้ อนได้กาหนดไว้ ดงั นี้ 1. ถ้าวัตถุประสงค์การสอนกาหนดให้เกิดพุทธิพิสัย กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้นต้อง เป็นกิจกรรมที่แสดงออกในเชิงพุทธิพิสัย คือ เป็นกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทางปัญญา เชน่ จาขั้นตอนการตรวจวัดคุณภาพนา้ ได้ เปน็ ตน้ 2. ถ้าวัตถุประสงค์การสอนกาหนดให้เกิดทักษะพิสัย กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างขึ้น ต้องเป็นกิจกรรมท่ีแสดงออกในเชิงทักษะ คือ เป็นกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง เช่น ลงมือ ตรวจวดั คณุ ภาพน้า เป็นตน้

46 3. ถ้าวัตถุประสงค์การสอนกาหนดให้เกิดเจตพิสัย กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างข้ึนต้อง เป็นกิจกรรมที่แสดงออกในเชิงเจตพิสัย คือ เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้พัฒนาความคิด จิตใจ อารมณ์ เชน่ เกดิ ความคิด ความเข้าใจ เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ (เห็นประโยชน์ของการตรวจวัด คุณภาพนา้ เป็นตน้ ) นอกจากการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ต้องคานึงถึงความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การ สอนแล้ว จากประสบการณ์การจัดสถานการณ์การเรียนรู้ของผู้เขียน พบว่า มีหลักการที่จาเป็น จะต้องคานึงถงึ ด้วย ได้แก่ 1. สถานการณก์ ารเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้นน้ัน ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมที่ ระบไุ ว้ในวตั ถุประสงคก์ ารสอน 2. สถานการณก์ ารเรียนรู้ทีผ่ ูส้ อนสรา้ งขน้ึ นัน้ จะต้องทาให้ผเู้ รียนมคี วามพงึ พอใจ 3. ผู้เรยี นจะต้องมีศักยภาพพอท่จี ะปฏบิ ตั ิตามสถานการณก์ ารเรียนร้ทู ี่ผู้สอนสร้างขึน้ 4. การกาหนดสถานการณก์ ารเรยี นรู้ ผสู้ อนต้องสร้างสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกับเรื่องจริงที่ ผ้เู รียนจะตอ้ งกระทาใหค้ ล้ายคลงึ กนั มากที่สุด 5. ผู้สอนต้องสร้างกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนกระทาสอดคล้องกับ “คากิริยาท่ีบ่งชี้พฤติกรรม”ที่ ระบเุ อาไว้ในวตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 5.1 หากในวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ระบุให้ผู้เรียนจา กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนควร สร้างข้ึน เช่น บรรยายประกอบของจริงและซักถามเป็นรายบุคคล สอบย่อยสั้นๆและเฉลยพร้อม อธิบายซักถามประกอบ ฯลฯ 5.2 หากในวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม ระบุให้ผู้เรียนนาไปใช้ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอน ควรสร้างขึ้น เช่น บทเรียนด้วยตนเอง อภิปรายซักถาม สร้างสถานการณ์จาลองให้ผู้เรียนได้ ตัดสินใจแก้ปัญหา ฯลฯ

47 5.3 หากในวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ระบุให้ผู้เรียนมีเจตคติ กิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ผู้สอนควรสร้างข้ึน เช่น อภิปรายกลุ่มย่อย ซักถาม โต้วาที ระดมพลังสมอง เล่นละคร บทบาท สมมุติ ฯลฯ 5.4 หากในวตั ถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ระบใุ ห้ผ้เู รียนได้ความคิดรวบยอด กิจกรรมการ เรียนรู้ท่ีผู้สอนควรสร้างข้ึน เช่น อธิบายประกอบของจริง อภิปราย-ซักถาม ศึกษาจากของจริง ด้วยตวั ของผูเ้ รยี นเอง สร้างสถานการณใ์ หม้ ีการจาแนก ระบุเหตุผล ยกตัวอย่าง ฯลฯ 5.5 หากในวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ระบุให้ผู้เรียนได้หลักการ/ทฤษฏี กิจกรรมการ เรยี นรู้ทผ่ี สู้ อนควรสร้างขึน้ เชน่ อธิบาย-สรุป ชีแ้ นะ การนาหลักการ/ทฤษฏีไปใช้ การอภิปราย- ซักถาม สร้างสถานการณฝ์ กึ การนาหลักการ/ทฤษฏีไปใช้แก้ไขปัญหา ฯลฯ 5.6 หากในวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ระบุให้ผู้เรียนปฏิบัติได้ กิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ผู้สอนควรสร้างข้ึน เช่น อธิบายข้ันตอนการปฏิบัติงานประกอบของจริง สาธิตให้ฝึกปฏิบัติเป็น รายบคุ คล หรอื กล่มุ เลก็ ภายใตก้ ารแนะนา ใหฝ้ กึ ปฏบิ ัตินอกชัน้ เรยี นด้วยตนเอง ฯลฯ

48 หลกั คิด: สร้างสถานการณก์ ารเรยี นรู้ “หลักคิด”เพอ่ื สรา้ งสถานการณก์ ารเรียนรู้ ได้ใชแ้ นวความคิดจากหนังสอื “ถอดรหัส คดิ :(Think: An Introductory Analysis) ”ของ ดร.โสภณ ธนะมยั ซึ่งได้นาเสนอภาพโครงรา่ ง ของการเกิดความคิด โดยมรี ายละเอียดดังนี้ F1 โยง F2 ข้อเท็จจริงเหตุใหค้ ดิ ผกู ขอ้ เทจ็ จริงที่รู้ T ความคดิ แผนภาพท่ี 9 โครงรา่ งแสดงการเกดิ ความคดิ จากโครงร่างแสดงการเกิดความคิด สามารถนามาถอดรหัสได้ว่า ความคิด (T) จะเกิดขึ้นได้ จะต้องมี...ข้อเท็จจริงท่ีรู้ F2 มาก่อน เหมือนกับต้องมีทุนความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกับความคิดท่ีจะ เกิดขึ้น แต่การท่ีจะเกิดความคิดข้ึนได้นั้น จะต้องมีสาเหตุให้คิด ซ่ึงก็คือ ข้อเท็จจริงท่ีเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับ F2 แล้วก่อให้เกิด...ความคิด (T) ขึ้นมา น่ันก็คือ...ข้อเท็จจริงเหตุให้คิด F1 น้ันเอง ดังตวั อยา่ งจากหนงั สอื ถอดรหสั คดิ

49 F1 โยง F2 อนุสำวรีย์ตง้ั อยู่ในสวนยำง สนุ ทรภชู่ อบน่ังชมทะเล ผกู ท่านสนุ ทรภชู่ อบนัง่ ชมทะเล อนสุ าวรยี ์ของ T ทา่ นกลับมาตั้งอยู่ในสวนยาง (F1) จรงิ ๆแลว้ น่าจะตัง้ อยูร่ ิมทะเลตามความรู้ทีม่ ีอยเู่ ดิมมา กอ่ นแล้วว่า ทา่ นชอบนั่งชมทะเล(F2) จากตัวอย่างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ สะท้อนให้เห็นว่า ในการจัดการเรียนการสอนนั้น ผู้เรียน จะตอ้ งมี F2 กอ่ น คอื เนอ้ื หาความร้เู ดิมของตน หรือจากการได้ความรู้จากผู้สอน จากน้ันผู้สอนมี หน้าท่ีตั้ง F1 ข้อเท็จจริงเหตุให้คิดให้กับผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนได้ใช้ F2 ข้อเท็จจริงท่ีรู้ท่ีมีอยู่เป็น ตน้ ทุนของการคดิ (T) เม่ือนา“หลักคิด”จากหนังสือ“ถอดรหัสคิด” มาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์การเรียนรู้ใน ตารางประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ ทาให้การสร้างสถานการณ์การเรียนรู้มีความเป็นเหตุเป็นผล และง่ายตอ่ การสรา้ ง โดยกาหนดให้ F2 เปน็ หน้าที่ของผู้สอนที่ตอ้ งให้เน้ือหาความรแู้ กผ่ ู้เรียน และ กาหนดให้ F1 เป็นหน้าที่ของผู้สอนท่ีต้องกาหนดให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์(interaction) กับ F2 ท่ี ผสู้ อนสร้างขน้ึ ซงึ่ จะก่อใหเ้ กดิ “ความคิด”ข้ึนในตัวผู้เรียน ผู้เขียนได้นา“หลักคิด”ข้างต้น มาใช้ในการจัดสถานการณ์การเรียนรู้ เรื่อง “แมลงในแปลง นาข้าว สาหรับนักเรียนในโครงการอาชีวศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบท(อศ.กช.) ของวิทยาลัย เกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรี กลุ่มข้าวอาเภอบ้านลาด อาเภอบ้านแหลม และอาเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี มาใชใ้ นการจดั สถานการณ์การเรียนรู้ สถานการณ์การเรยี นรู้ เร่ือง“แมลงในแปลงนาข้าว” ประกอบด้วย 4 สถานการณ์การเรียนรู้ ย่อย ดงั น้ี

50 สถานการณก์ ารเรียนรู้ ท่ี 1 1. ขอ้ เทจ็ จริงท่รี ู้ (F2) คอื แมลงในแปลงนาข้าว จังหวัดเพชรบุรี (เน่ืองจากผู้เรียนเป็นชาวนา จึงคาดว่ามี F2 อยู่แล้ว แต่ถ้าผู้เรียนไม่ใช่ชาวนา ต้องให้เนื้อหาความรู้แมลงในแปลงนาข้าวแก่ ผเู้ รียนกอ่ น ) 2. กาหนดขอ้ เท็จจรงิ เหตใุ ห้คดิ (F1) คือ ใหด้ ูภาพแมลง จานวน 21 ตัว แล้วถามว่า “ แมลง ตัวใดเปน็ แมลงในแปลงนาข้าว” 3. ความคิด (T) คอื ผู้เรียนหยิบภาพแมลงท่ีคิดวา่ เปน็ “แมลงในแปลงนาขา้ ว ใสซ่ อง” จากภาพแมลง 21 ตัวตวั ใดเปน็ แมลงในแปลงนาข้าว ? แมลงในแปลงนาขา้ ว ใน จ.เพชรบรุ ี หยบิ ภาพแมลงท่ีคิดวา่ “เป็นแมลงในแปลงนาข้าว”ใสซ่ อง ภาพที่ 7 สถานการณก์ ารเรยี นรู้ เรอ่ื ง “แมลงในปลงนาขา้ ว” สว่ นที่ 1

51 สถานการณ์การเรยี นรู้ สว่ นที่ 2 1. ขอ้ เทจ็ จริงทร่ี ู้ (F2) ภาพแมลงในแปลงนาข้าวทผี่ ู้เรียนจาไดจ้ ากสว่ นที่ 1 2. กาหนดข้อเทจ็ จรงิ เหตุใหค้ ดิ (F1) ให้ตอบคาถามว่า “จาก F2 แมลงตวั ใดเป็น“แมลงดี” และ “แมลงรา้ ย” ในแปลงนาขา้ ว? 3. ความคดิ (T) คือ ผูเ้ รยี นหยิบภาพแมลงดใี สซ่ องแมลงดี และหยิบภาพแมลงร้าย ใส่ซองแมลงรา้ ย จากภาพแมลง 21 ตัวตัวใดเปน็ “แมลงในแปลงนาข้าว” ? จาก F2 ใหเ้ ลอื ก“แมลงดี” ใส่ซองแมลงดี และเลือก “แมลงร้าย” ใส่ซองแมลงรา้ ย หยิบ“แมลงดี” ใสซ่ องแมลงดี และเลอื ก“แมลงร้าย” ใส่ซองแมลงรา้ ย ภาพที่ 8 สถานการณก์ ารเรยี นรู้ เร่ือง “แมลงในปลงนาขา้ ว” ส่วนท่ี 2

52 สถานการณ์การเรยี นรู้ สว่ นที่ 3 1. ข้อเท็จจรงิ ท่ีรู้ (F2) คือ ภาพค่กู ดั “แมลงดีกบั แมลงรา้ ย” 2. กาหนดข้อเท็จจริงเหตุให้คิด (F1) ให้ผู้เรียนดูภาพ F2 แล้วตอบคาถามว่า“แมลงดีตัวใด เปน็ คกู่ ัดกับแมลงร้าย” 3. ความคดิ (T) คอื ผเู้ รยี นดูภาพ F2 แลว้ เลอื ก “คู่กดั แมลงดีกบั แมลงร้าย”ทถี่ กู ต้อง คู่กดั “แมลงดีกับแมลงรา้ ย” จาก F2 “แมลงดตี ัวใด เป็นค่กู ัดของแมลง รา้ ย” ดภู าพแลว้ เลือก“แมลงทีเ่ ปน็ คกู่ ัด” ภาพที่ 9 สถานการณก์ ารเรียนรู้ เรอ่ื ง “แมลงในปลงนาข้าว” ส่วนท่ี 3

53 สถานการณ์การเรยี นรู้ ส่วนที่ 4 1. ขอ้ เท็จจริงทร่ี ู้(F2) คือ ผเู้ รยี นรวู้ า่ “แมลงดีตัวใดเปน็ คู่กดั ของแมลงรา้ ย” 2. กาหนดข้อเท็จจริงเหตุให้คิด (F1) ให้ผู้เรียนรวมกลุ่ม ระดมความคิดและนาเสนอ ว่า “การเรียนรู้ เรื่อง แมลงในแปลงนาข้าว”เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพการทานา อยา่ งไร 3 ความคดิ (T) คือ ผู้เรียนเขียนและนาเสนอประโยชนจ์ ากการเรียนรู้ เรื่อง “แมลงในแปลง นาข้าวต่ออาชีพการทานา” ร้วู า่ “แมลงดตี วั ใดเป็นค่กู ดั ของแมลงรา้ ย” การเรยี นรู้เร่อื ง “แมลงในแปลงนา ข้าว”เป็นประโยชนต์ อ่ อาชพี ทานาอยา่ ไร ? ผ้เู รียนเขียนและนาเสนอ ประโยชน์ของการเรียนรู้ เร่ือง“แมลงในแปลงนาข้าว”ที่มีตอ่ การประกอบอาชีพทานา” ภาพท่ี 10 สถานการณก์ ารเรียนรู้ เรอ่ื ง “แมลงในปลงนาขา้ ว” สว่ นท่ี 4

54 ส่ือชว่ ยสอน ในสถานการณ์การเรียนรู้นั้น ผู้สอนได้กาหนดส่ือช่วยสอน(instructional media) ว่าสื่อ อะไรบ้างที่จะใช้ในการช่วยสอนเนื้อหาความรู้ท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ช่วงเวลาก่อนที่ จะมีเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการส่ือสาร เคร่ืองช่วยสอนของครูหรือนักส่งเสริม การเกษตรท่ีใช้ในการสอน การเผยแพร่ความรู้ เรียกว่า “โสตทัศนูปกรณ์”หรือ“โสตทัศน อุปกรณ์”(audio-visual aids) คือ ส่ิงท่ีมองเห็นได้ ส่ิงท่ีได้ยินเสียง(บุญธรรม, 2540) เช่น ของ จริง ของจาลอง รูปภาพ สไลด์ powerpoint แผ่นใส แผ่นข้อความ บัตรข้อความ แผ่นภาพ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ เอกสารสงิ่ พมิ พ์ต่างๆ เปน็ ต้น ภาพที่ 11 ตวั อย่างสอ่ื แผนท่ี แผน่ ภาพ ส่ือช่วยสอนที่ผู้สอนจะใช้น้ัน จะต้องสอดคล้องกับประเภทของเน้ือหาความรู้ที่ต้องการให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เช่น เน้ือหาความรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนจดจาข้ันตอนการตรวจวัดค่า ออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่าย ส่ือช่วยสอนที่ต้องใช้ เช่น แผ่นภาพข้ันตอนของ การตรวจวัด หรือ powerpoint แสดงขัน้ ตอนการตรวจวัด เป็นต้น

55 ภาพท่ี 12 แผน่ ภาพขน้ั ตอนของการตรวจวดั ออกซเิ จนละลายนา้ โดยใช้ชุดทดสอบอยา่ งงา่ ย แต่ถ้าเน้ือหาความรู้ท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ ส่ือช่วยสอนจะต้องช่วยให้ ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติได้ เช่น เนื้อหาความรู้การตรวจวัด คุณภาพน้า ส่ือช่วยสอน จะต้องเป็นของจริง คือ อุปกรณ์สาหรับการตรวจวัด คุณภา พน้าใ ห้ผู้เรี ยนไ ด้ สัมผัสและฝึกใช้งานจริงและ สามารถปฏิบตั ิได้ ภาพที่ 13 ชดุ ทดสอบออกซเิ จนละลายน้าอยา่ งงา่ ย ในปัจจุบันสื่อช่วยสอนท่ีเป็นส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก เช่น หนังสือ อิเล็คทรอนิกส์ (e-book) คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (computer aided instruction) สื่อช่วยสอนที่ อยู่บนฐานของเทคโนโลยีเว็ป (web-based instruction) เช่น การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การบันทึกข้อมูลบนฐานข้อมูลเฝ้าระวังคุณภาพน้า online ให้กับยุวชนจากชุมชนวัดรังสิตและ นักเรียนโรงเรียนวัดถ่ัวทอง โดยใช้ฐานข้อมูลการเฝ้าระวังคุณภาพน้าในwww.molpid.com เป็น ส่ือชว่ ยสอน

56 การประเมนิ ผล คาภาษาอังกฤษ “evaluation”น้ีมีความสับสนของคาไทยท่ีแปลว่า “การประเมิน” เฉยๆ กับคาไทยท่ีแปลโดยมีคาว่า “ผล”ต่อท้าย คือ แปลว่า “การประเมินผล” แต่โดยทั่วไปแล้วจะชิน กับคาแปลวา่ “การประเมนิ ผล” ทั้งๆท่ผี ู้พดู หมายถึงการประเมินทุกส่วนของโครงการหรือส่วนใด สว่ นหนึง่ ของโครงการ ในอีกทางหนึง่ บางทา่ นใชค้ าว่า “การประเมินผล” ในความหมายเฉพาะผล ของโครงการเมือ่ โครงการนน้ั ๆเสรจ็ สน้ิ แล้วเทา่ นัน้ ในหนังสือเล่มนี้จะใช้คาว่า “การประเมินผลโดยให้หมายความถึง การประเมินเฉพาะ “ผล” เมื่อโครงการได้ดาเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วเท่านั้น เช่น การประเมินผลการเรียนของนักศึกษาใน รายวิชาต่างๆในแต่ละภาคการศึกษาหรือการประเมินผลของผู้เข้ารับการฝึกอบรมในเรื่องใดเร่ือง หนง่ึ เมอื่ เสรจ็ ส้ินโครงการฝึกอบรมแล้ว อันท่ีจริงแล้ว ดร.โสภณ ธนะมัย ได้ให้ความหมายที่กระชับและสื่อให้เห็นถึงวิธีการของการ ประเมินผลในการสอนวิชา“เทคนิคการวิจัยทางส่ิงแวดล้อมข้ันสูง” สาหรับนิสิตปริญญาเอก สาขาวทิ ยาศาสตร์สิ่งแวดลอ้ ม คณะสงิ่ แวดล้อม มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ เมือ่ วันท่ี 29 ธันวาคม 2558 ผเู้ ขยี นได้จดบนั ทกึ เอาไวว้ ่า.... evaluation = measurement + judgement การประเมินผล การวัดผล การตัดสิน การให้ความหมายในรูปสมการทาให้เข้าใจได้ง่ายข้ึน คือ การประเมินผล เป็นการตัดสิน ค่าที่ได้จากการวัดผลสิ่งท่ีต้องการจะประเมินน่ันเอง ผู้เขียนขอยกตัวอย่างง่ายๆท่ีพบในทาง ปฏิบัติ เช่น การจัดการเรียนการสอนน้ัน เมื่อเสร็จสิ้นแต่ละภาคการศึกษาแล้ว ผู้สอนจะต้อง ออกคะแนนหรือเกรดแก่นักศึกษาเพื่อเป็นหลักฐานรับรองว่า ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์การเรียนมาก น้อยเพียงใดน่นั เอง เช่น การวดั ผลการเรยี นวิชาชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ มของนักศึกษา ไดค้ ะแนนเท่ากับ 81 คะแนน (measurement) การตัดสินผลการเรียนของรายวิชาน้ตี ามเกณฑ์ คอื ถา้ คะแนนมากกว่า 80

57 คะแนนจะได้เกรดเอ (judgement) ดงั นนั้ ประเมนิ ผล ไดว้ ่า นกั ศึกษาคนนม้ี ีผลสมั ฤทธกิ์ ารเรยี น ในวิชาน้ใี นระดบั ดมี าก (evaluation – การตัดสนิ ค่าทีไ่ ด้จากการวดั ผลตามเกณฑ์) การประเมินผลในหนังสือเล่มนี้ เป็นการประเมินผลตามตารางการจัดประสบการณ์เพ่ือการ เรียนรู้ ซ่ึงเป็นการประเมินผลการสอนในเนื้อหาความรู้ส่ิงแวดล้อมแต่ละเร่ือง โดยวัดจาก พฤติกรรมของผู้เรียนที่เปล่ียนแปลงไปตามเกณฑ์หรือพฤติกรรมที่ผู้สอนคาดหวังให้เกิดข้ึนในตัว ผเู้ รียน ซึ่งกค็ ือวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรมนั่นเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม คือ“เพ่ือให้ผู้เรียนทุกคนสามารถตรวจวัดค่า ออกซเิ จนละลายนา้ โดยใชช้ ดุ ทดสอบอยา่ งงา่ ยได้ถูกต้องในเวลา 10 นาท”ี การประเมินผลเริ่มจากการวัดผล (measurement) การตรวจวัดค่าออกซิเจนละลายน้า โดยใชช้ ดุ ทดสอบอยา่ งง่ายของผเู้ รยี นว่า ถูกตอ้ งหรือไม่และในเวลาท่ีกาหนดหรือไม่ การตัดสิน (judgement) ก็คือ ถ้าผู้เรียนทุกคนสามารถตรวจวัดค่าออกซิเจนละลายน้าได้ ถูกต้องในเวลา 10 นาที แสดงว่า ผู้เรียนทุกคนบรรลุวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ผู้สอนกาหนดไว้ กล่าวคือ ผู้เรียนทุกคนเกิดทักษะพิสัยระดับปฏิบัติได้จนคล่องแคล่ว แต่ถ้าผู้เรียนบางคนยังทา ไมถ่ ูกต้องแมจ้ ะเสรจ็ ทันในเวลา 10 นาที หรือทาถูกต้องแต่ไม่สามารถทาได้เสร็จทันในเวลา 10 นาที แสดงว่า ยังไม่บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์อย่างสมบรู ณ์ ในกรณีท่ีไม่บรรลุวัตถุประสงค์อย่างสมบูรณ์ ผู้สอนจะต้องทาการปรับสถานการณ์การ เรียนรู้ขึ้นใหม่ และเม่ือมีการประเมินผล พบว่า ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์อย่างสมบูรณ์ก็ต้องปรับ สถานการณ์การเรียนรู้ขนึ้ ใหมอ่ กี ในกรณีท่ีมีผู้เรียนเพียง 80 % เท่านั้นท่ีสามารถตรวจวัดค่าออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ชุด ทดสอบอย่างงา่ ยได้ ดังนนั้ สถานการณก์ ารเรียนรูท้ ีป่ รบั ใหม่นัน้ ต้องนาไปใชส้ าหรบั ผู้เรยี น 20% ท่ียังไม่สามารถตรวจวัดค่าออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่ายได้อย่าง คลอ่ งแคล่ว ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ วา่ การประเมนิ ผลในหนังสือเล่มน้ี เป็นการประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องผู้เรยี น ตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีผู้สอนต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนในทันที่ท่ีผู้เรียนได้มี

58 ปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างข้ึน การประเมินผลตามประสบการณ์เพ่ือการ เรียนรู้ จึงช่วยให้ผู้สอนทราบว่า ผู้เรียนคนใดเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้เรียนคน ใดยังต้องปรับปรุง ซ่ึงเป็นหน้าที่ของผู้สอนจะต้องปรับสถานการณ์การเรียนรู้ขึ้นใหม่ สาหรับ ผู้เรียนคนน้ีหรือกลุ่มนี้ จึงถือได้ว่า เป็นโอกาสที่จะนาผู้เรียนท้ังหมด ที่ผู้สอนต้องรับผิดชอบให้ บรรลุวตั ถุประสงคไ์ ปพรอ้ มกนั ทกุ คน นอกจากน้ีวิธีการประเมินผล ตามประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้นี้ ทาได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ก็ เพียงแต่สังเกตความคิดของผู้เรียนจากการท่ีผู้สอนให้ผู้เรียน“พูด” (บอก อธิบาย) “เขียน” และ “กระทา” ว่า สอดคล้องกับ “วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม” ที่ผู้สอนกาหนดไว้หรือไม่เท่าน้ัน ซึ่ง ต่างจากวิธีการประเมินผลท่ีใช้กันอยู่ ท่ีต้องใช้วิชาการทางสถิติเข้ามาช่วยในการสร้างเครื่องมือ การวัดผลทางการเรียน เช่น การสร้างแบบทดสอบ ซ่ึงต้องใช้ความรู้ทางวิชาการเฉพาะ จึงจะ สามารถสรา้ งไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ข้อบกพร่องอีกประการหน่ึงของวิธีการประเมินผลการเรียนที่ใช้กันอยู่ คือ เป็นการจัด ประเภทของผเู้ รยี น ได้แก่ ผเู้ รยี นกลุ่มเก่ง ผู้เรยี นกลมุ่ อ่อน และผู้เรียนกลุ่มไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ที่กาหนด เหตุการณ์น้ีนับว่าสร้างความเสียหายต่อการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสาหรับ อาชีพครู เนื่องจากเม่ือครูถูกกาหนดให้ประเมินผล เมื่อสอนได้ครึ่งเทอมและเมื่อส้ินเทอม ครูจึง ไม่มีโอกาสท่ีจะปรับปรุงการสอนในระหว่างทางก่อนถึงสิ้นเทอม และเมื่อผลการประเมินออกมา วา่ ผู้เรยี น”สอบตก” ครจู งึ ไม่มีเหตุผลที่จะอธบิ ายตอ่ สังคมวา่ เพราะอะไรจงึ เป็นเชน่ นัน้ ในท้ายที่สุด ขอยกคากล่าวของนักวิชาการการศึกษา ด้านการประเมินที่ได้กล่าวเอาไว้ใน หนงั สือชื่อ“การประเมนิ ในชน้ั เรยี น”ในหนา้ “คานา” ดังน้ี ...การท่ีนักเรียนจะเรียนรู้หรือไม่ ไม่ได้อยู่ท่ีการประเมิน อยู่ที่การสอนและ กิจกรรมการเรียน การประเมินเพียงแต่เป็น การช้ีบ่งว่า นักเรียนได้เรียนรู้ในส่ิง เหลา่ น้แี ล้วหรือยัง ยังขาดตกบกพรอ่ งในสิง่ ใดบา้ ง… ( ดร.โกวทิ ประวาลพฤกษ์ และสมศกั ดิ์ สินธรุ ะเวชญ์, 2523 )

59 การสรา้ งประสบการณเ์ พอื่ การเรยี นรู้สง่ิ แวดลอ้ ม คาว่า“การสร้าง”ในที่น้ีตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า“construction” ซึ่งตามหนังสือ “Longman Dictionary of Contemporary English (1995)” ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ ่า “ the method or process of forming something from knowledge or ideas” “ วธิ ีการหรอื กระบวนการทาใหเ้ กิดบางสิง่ บางประการ เน่อื งจากความรู้ หรือจาก แนวคดิ ” ดังนั้น“การสร้างประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้” จึงหมายถึง กระบวนการท่ีเป็นข้ันตอนเพ่ือ จดั ทาประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ ไปตามลาดบั ขององคป์ ระกอบประสบการณเ์ พ่ือการเรยี นรู้ ผู้เขียนได้นาเสนอ“ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้”ในรูปของตาราง ซึ่งได้กล่าวไว้แล้วใน หนังสอื เล่มนใี้ นส่วน“ความเปน็ มาของประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้” ซ่ึงตารางน้ีประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ดังแผนภาพที่ 10 เนอ้ื หา วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถปุ ระสงค์ สถานการณ์การเรียนรู้ สื่อ ประ ความรู้ การสอน เชงิ พฤติกรรม ชว่ ย เมิน กจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมที่ สอน ผล ท่ผี สู้ อนสรา้ งขึ้น ผู้เรยี นกระทา แผนภาพท่ี 10 องค์ประกอบของตารางเพอื่ การเรียนรู้ องค์ประกอบท้ัง 6 นี้มีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกัน 5 คู่ ได้แก่ 1) เน้ือหาความรู้และ วัตถุประสงค์การสอน 2) วัตถุประสงค์การสอนและวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3) วัตถุประสงค์ เชงิ พฤติกรรมและสถานการณ์การเรียนรู้ 4) สถานการณ์การเรียนรู้และสื่อช่วยสอน และ 5) การ ประเมนิ ผลและวัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้

60 เน้อื หาความรแู้ ละวตั ถปุ ระสงค์การสอน เนื้อหาความรู้ เป็นตัวกาหนดระดับของวัตถุประสงค์การสอน และในขณะเดียวกัน วัตถุประสงคก์ ารสอน ก็เป็นตัวกาหนดลกั ษณะของการเรยี บเรยี งเน้ือหา (ดังแผนภาพที่ 11) แผนภาพท่ี 11 ความสมั พนั ธ์ของเนื้อหาความรแู้ ละวตั ถุประสงคก์ ารสอน ตัวอย่างเชน่ กรณีที่เนื้อหาความรู้เป็น“ข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง” วัตถุประสงค์การสอน ควรเป็น พุทธิ พิสยั ข้ันจา การเรียบเรียงเน้อื หา กจ็ ะเรยี บเรยี งเฉพาะข้อเทจ็ จริงที่ผเู้ รยี นจะตอ้ งจาเทา่ นน้ั แต่หากเนื้อหาความรู้เป็น“ความคิดรวบยอด” วัตถุประสงค์การสอนควรไปถึง พุทธิพิสัยข้ัน เข้าใจหรือนาไปใช้ กรณีที่ผู้สอนใช้ดุลยพินิจควรกาหนดวัตถุประสงค์การสอน ขั้น“นาไปใช้” การเรียบเรียง เนื้อหา ก็จะเรียบเรียงเขียนเฉพาะข้อเท็จจริงที่แสดงเกณฑ์/มาตรฐาน เพ่ือให้ผู้เรียนจา เม่ือจา ไดแ้ ล้ว จะสามารถนาไปเลือก/ตัดสนิ ในเน้ือหาความรู้นั้นๆได้ วัตถปุ ระสงคก์ ารสอนและวตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม วัตถุประสงค์การสอนและวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากในการกาหนดวัตถุประสงค์การสอนเน้ือหาความรู้หน่ึงน้ัน แม้ว่าจะมีการกาหนด ข้อความที่ระบุคุณลักษณะที่ต้องการให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียน ตามระดับของวัตถุประสงค์ การศึกษา ทั้ง 3 ระดับ (พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย)แล้วก็ตาม แต่ข้อความดังกล่าวยัง ขาดความชัดเจนและไม่สามารถวัดเป็นพฤติกรรมของผู้เรียนที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ดังน้ันการ กาหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมจึงเป็นการขยายความ เพื่อให้วัตถุประสงค์การสอนมีความ ชัดเจนและสามารถวดั ผลไดจ้ รงิ จึงเป็นสิ่งที่มคี วามสาคญั (ดังแผนภาพที่ 12 )

61 แผนภาพท่ี 12 ความสมั พนั ธข์ องวัตถปุ ระสงคก์ ารสอนและวตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรมและสถานการณก์ ารเรียนรู้ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เป็นตัวกาหนดสถานการณ์การเรียนรู้ ท้ังกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ผ้สู อนสร้างข้นึ และกจิ กรรมที่ผู้เรียนกระทา ผู้เขียนได้นา“ถอดรหัสคิด”มาประยุกต์ใช้กับ“สถานการณ์การเรียนรู้” โดยกาหนดให้ ข้อเท็จจริงท่ีรู้ F2 เป็นหน้าท่ีของผู้สอนที่ต้องให้เนื้อหาความรู้แก่ผู้เรียน และกาหนดให้ ขอ้ เทจ็ จรงิ เหตุให้คิด F1 เป็นหน้าท่ีของผสู้ อนที่กาหนดให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ (interaction) กับ F2 ที่ผสู้ อนสร้างขึ้น (ดังแผนภาพท่ี 13) แผนภาพท่ี 13 ความสัมพันธ์ของวตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม และสถานการณก์ ารเรียนรู้ ในตารางชอ่ ง“กิจกรรมการเรยี นรู้ทผ่ี สู้ อนสรา้ งขึ้น” กาหนดให้ผู้สอนทาหน้าที่สร้างกิจกรรม การเรียนรู้เน้ือหาความรู้ เพ่ือให้ผู้เรียนได้มี F2 พร้อมท้ังทาหน้าท่ีกาหนด F1 เพ่ือให้ผู้เรียนมี พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ ตามที่ระบไุ วใ้ นวัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ตัวอยา่ งเช่น วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ต้องการให้ผู้เรียนบอกขั้นตอนการตรวจวัดคุณภาพน้าได้อย่าง ถูกต้อง ผู้สอนก็ให้ผู้เรียนดูภาพข้ันตอนฯ รวมท้ังเล่นเกมเรียงลาดับขั้นตอนฯ ผู้เรียนก็มี

62 interaction กับกจิ กรรมดังกลา่ วของผ้สู อน ทาใหผ้ เู้ รยี นได้ F2 คือ ข้นั ตอนการตรวจวดั คุณภาพ น้า จากน้ันผู้สอนกาหนด F1 เพื่อให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมว่ามี F2 คือ สามารถบอกข้ันตอนฯ ตามทีไ่ ด้ดูภาพและเล่นเกมมาแล้ว จากตวั อยา่ งนี้ แสดงให้เห็นความสมั พนั ธข์ องวัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม คือ ให้บอกข้ันตอนฯ ได้อย่างถูกต้อง สถานการณ์การเรียนรู้ ก็ต้องจัดข้ึนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ คือ จาข้ันตอนการ ตรวจวัดฯได้ หากกาหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เป็นทักษะพิสัย ขั้นปฏิบัติได้ภายใต้คาแนะนา กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างข้ึน จะต้องเป็นกิจกรรมที่เน้นให้เกิดการปฏิบัติได้ภายใต้ คาแนะนา และเมื่อผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมน้ันๆแล้ว ทาให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติได้ ภายใต้คาแนะนา เช่น ถ้าวัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม คือ ตอ้ งการให้ผ้เู รยี นตรวจวดั คุณภาพน้าได้ - กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างข้ึน คือ กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ทดลองตรวจวัดคุณภาพน้า ตามลาดับขัน้ - กิจกรรมท่ีผู้เรียนกระทา คือ ผู้เรียนได้ทดลองตรวจวัดน้าตามลาดับข้ันได้อย่างถูกต้อง จน สามารถตรวจวดั คณุ ภาพน้าได้ ภายใตค้ าแนะนาของผู้สอน สถานการณ์การเรียนรูแ้ ละสื่อช่วยสอน สถานการณ์การเรยี นรู้ เปน็ ตวั กาหนดส่อื ชว่ ยสอน โดยสอื่ นน้ั ๆจะต้องสอดคลอ้ งกบั กจิ กรรม การเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึน้ และสอดคลอ้ งกับกจิ กรรมทีผ่ ู้เรียนกระทา (ดังแผนภาพท่ี14) แผนภาพที่ 14 ความสัมพนั ธ์ของสถานการณ์การเรยี นรู้และสอื่ ช่วยสอน

63 ตวั อยา่ ง เชน่ - ถา้ กจิ กรรมการเรยี นร้ทู ่ีผ้สู อนสร้างข้นึ คือ กจิ กรรมทใี่ หผ้ เู้ รียนไดท้ ดลองตรวจวัดคุณภาพน้า ตามลาดับขั้น สื่อช่วยสอนจะต้องประกอบด้วย สื่อที่แสดงลาดับขั้นการตรวจวัดคุณภาพน้า เช่น แผนภาพขน้ั ตอนการตรวจวดั คณุ ภาพน้า เปน็ ต้น - ถ้ากิจกรรมท่ีผู้เรียนกระทา คือ ผู้เรียนจะต้องทดลองตรวจวัดคุณภาพน้าตามลาดับข้ัน จน สามารถตรวจวัดคุณภาพน้าได้ภายใต้คาแนะนา สื่อช่วยสอน จะต้องเป็นชุดตรวจวัดคุณภาพน้า ทผี่ เู้ รยี นใชใ้ นการทดลอง การประเมินผลและวตั ถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม การประเมินผล เป็นการตัดสินค่าที่ได้จากการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรมทีไ่ ด้กาหนดไว้ (ดงั แผนภาพท่ี 15 ) แผนภาพท่ี 15 ความสัมพันธ์ของการประเมินผลและวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม ตัวอยา่ งเช่น วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในการจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เรื่อง การตรวจวัดคุณภาพ น้า กาหนดให้ผู้เรียนสามารถตรวจวัดออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่ายได้อย่าง ถูกต้องภายในเวลา 10 นาที ดังน้ันถ้าผู้เรียนสามารถตรวจวัดออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ชุด ทดสอบอย่างง่ายได้อย่างถูกต้องภายในเวลา 10 นาที ก็ตัดสินได้ว่า ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์การ สอนท่กี าหนดไว้

64 จะเห็นได้ว่า องค์ประกอบทั้ง 6 องค์ประกอบของตารางประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ จะมี ความสมั พันธเ์ ชอ่ื มโยงกนั (ดังภาพท่ี 16) ภาพที่ 16 ความสมั พนั ธ์เช่อื มโยงขององคป์ ระกอบตารางประสบการณเ์ พื่อการเรียนรู้ จากตารางประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ดังกล่าวน้ี ผู้เขียนใช้เป็นรูปแบบในการสร้าง ประสบการณ์เพือ่ การเรียนรู้สง่ิ แวดล้อม ซง่ึ สรปุ เปน็ ขน้ั ตอนการสร้าง ดังนี้ ข้ันตอนการสรา้ ง”ประสบการณ์เพือ่ การเรยี นรสู้ ่งิ แวดลอ้ ม” ขั้นตอนที่ 1: วเิ คราะห์และเรียบเรยี งเนื้อหาความรู้ส่งิ แวดลอ้ ม เปน็ การวิเคราะห์ว่า เนื้อหาความรู้สิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเน้ือหาประเภทใด เป็น knowing หรือ doing จากน้ันจึงเรียบเรียงเนื้อหา ให้สอดคล้องกับประเภทของเนื้อหานั้นๆ ซ่ึงจะได้เป็น “เนอ้ื หาความรู้” ใส่ลงในตารางช่องที่ 1 (เนื้อหาความรู้) ขน้ั ตอนที่ 2: กาหนดวัตถุประสงคก์ ารสอน การกาหนดวัตถุประสงค์การสอนน้ี จะต้องวิเคราะห์ความสัมพันธ์เน้ือหาความรู้จากช่อง ตารางที่ 1 วา่ ควรจะตรงกบั วตั ถุประสงค์การสอนด้านพุทธิพิสัย หรือทักษะพิสัย หรือเจตพิสัย ใน ระดบั ใด แลว้ ใสล่ งในตารางช่องท่ี 2 ( วตั ถุประสงค์การสอน )

65 ขนั้ ตอนที่ 3: กาหนดวตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรม การกาหนดวัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เป็นการขยายความวัตถปุ ระสงค์การสอนใหเ้ หน็ ภาพ ของพฤติกรรมท่ีผเู้ รยี นตอ้ งแสดงออกวา่ จะบรรลวุ ตั ถุประสงค์การสอนที่ต้งั ไว้หรอื ไม่ แลว้ ใสล่ งใน ตารางชอ่ งที่ 3 (วัตถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม) ขนั้ ตอนท่ี 4: กาหนดสถานการณก์ ารเรียนรู้ โดย ผู้สอนกาหนดกิจกรรมเพ่ือให้เนื้อหาความรู้แก่ผู้เรียน นั่นก็คือ เป็นกิจกรรมเพ่ือสร้าง F2 (ข้อเท็จจริงท่ีรู้) ให้แก่ผู้เรียน และกาหนดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนได้คิด น่ันก็คือ กิจกรรมเพ่ือสร้าง F1 (ขอ้ เท็จจรงิ เหตุใหค้ ิด) ใส่ลงในตารางชอ่ ง “กิจกรรมทผ่ี ู้สอนสร้างข้นึ ” ผู้สอนกาหนดให้ผู้เรยี นกระทากิจกรรมเพ่ือให้ได้รับเนื้อหาความรู้ ซึ่งก็คือ F2 (ข้อเท็จจริงท่ีรู้) และได้รับ F1(ข้อเท็จจริงเหตุให้คิด) เพ่ือให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับ F2 ใส่ลงในตารางช่อง “กิจกรรมท่ผี ู้เรยี นกระทา” ขั้นตอนที่ 5: กาหนดส่ือชว่ ยสอน ให้ระบุส่ือชว่ ยสอน ซง่ึ ต้องสอดคล้องกบั สือ่ ช่วยสอนทีก่ าหนดไวใ้ น “กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี ผู้สอนสร้างขน้ึ ” และ “กิจกรรมที่ผู้เรียนกระทา” ใส่ลงในตารางช่องท่ี 5 (สื่อช่วยสอน) ขั้นตอนที่ 6 : กาหนดการประเมนิ ผล ระบวุ ธิ กี ารประเมินผลให้สอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรมทกี่ าหนดไว้ ใสล่ งในตาราง ช่องท่ี 6 (การประเมินผล)

66 ตวั อยา่ งการสรา้ งประสบการณเ์ พ่อื การเรียนรสู้ ่งิ แวดล้อม ในที่นี้จะขอยกตวั อย่างการสร้างประสบการณ์การเรียนรูส้ ิง่ แวดล้อม จากเน้อื หา ความรู้สง่ิ แวดลอ้ ม 5 เรือ่ ง ประกอบดว้ ย 1. ประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติ 2. องค์ประกอบในระบบนเิ วศ 3. ปญั หาสง่ิ แวดล้อมจากการใชท้ รัพยากรธรรมชาติ 4. ความหมายของระบบนเิ วศ 5. การถา่ ยทอดพลังงานในระบบนเิ วศ

67 ตารางที่ 9 ตารางการสร้างประสบการณเ์ พอื่ การเรียนรู้ เนือ้ หาความรู้ วัตถุประสงค์ วัตถุประสงคเ์ ชิง การสอน พฤตกิ รรม ทรพั ยากรธรรมชาติจาแนกเปน็ 3 เพ่อื ให้ผเู้ รียนจาประเภท ผเู้ รียนทุกคน ประเภท และตัวอยา่ งของ สามารถบอก 1 ใชแ้ ลว้ ไมห่ มดไป ทรัพยากรธรรมชาติได้ ประเภทและ (อากาศ นา้ ในรูป วฏั จกั ร) ตวั อยา่ งของ 2. ทดแทนได้ (นา้ ใช้ พืช สตั ว์) ทรัพยากรธรรมชาติ 3. ใชแ้ ลว้ หมดไป(ก๊าซธรรมชาติ ถ่าน ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ทั้ง หิน นา้ มนั ปิโตรเลียม) 3 ประเภท ในเวลา ทกี่ าหนด หมายเหตุ: ** lms rsu (ซอฟตแ์ วร์ ระบบการจัดการการเรยี นรู้ผา่ นเวบ็ ของมหาวทิ ยาลยั การสรา้ งประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เรื่อง “ประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติ” เริม่ จาก 1. วิเคราะหเ์ น้ือหาความรสู้ ่ิงแวดล้อม: ข้อเทจ็ จริงเฉพาะเจาะจง ลงในตารางช่องที่ 1 2. กาหนดวตั ถุประสงค์การสอน: พทุ ธพิ ิสัย ระดับจา ลงในตารางชอ่ งท่ี 2 3. กาหนดวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม: พฤตกิ รรมบ่งชี้ “บอก” ลงในตารางชอ่ งท่ี 3 4. กาหนดสถานการณก์ ารเรียนรู้: ระบุกิจกรรมและสื่อชว่ ยสอน ลงในตารางชอ่ งที่ 4 4.1 กจิ กรรมการเรียนรูท้ ีผ่ สู้ อนสร้างขน้ึ : อธบิ ายโดยใช้ powerpoint และกาหนดให้ผเู้ รยี น ทาแบบฝกึ หัด online

68 เรื่อง ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ สถานการณ์การเรยี นรู้ สอ่ื ช่วยสอน การประเมินผล กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึน้ กจิ กรรมที่ผู้เรยี นกระทา ผู้เรยี นทกุ คน สามารถบอก F2: ผ้สู อนอธบิ ายประเภทและ ผูเ้ รยี น ฟัง ดู powerpoint ประเภทและ ตวั อย่างของ ตัวอยา่ งของ powerpoint ทรพั ยากร ธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ ได้อย่างถกู ตอ้ ง ทั้ง 3 ประเภท โดยใช้ powerpoint ในเวลาท่ี กาหนด F1: ผสู้ อนกาหนดให้ ผเู้ รียนทกุ ผ้เู รียนทกุ คนทา แบบฝกึ หัด คนทาแบบฝึกหดั online แบบฝกึ หดั online online ในระบบ lms rsu ของ ในระบบ lms rsu notebook มหาวิทยาลัย ของมหาวิทยาลยั Ipad ภายในเวลา 24.00 น ภายในเวลา ระบบ .ของวนั ร่งุ ขึ้น 24.00 น. lms rsu ของวนั รุ่งขึน้ 4.2 กจิ กรรมท่ผี ู้เรียนกระทา : ฟัง ดู ส่อื powerpoint และทาแบบฝึกหดั online 5. ระบุส่อื ช่วยสอน: powerpoint และแบบฝึกหดั online ลงในตารางช่องที่ 5 6. ระบวุ ธิ กี ารประเมนิ ผล: ตรงตามวตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ลงในตารางชอ่ งท่ี 6

69 ตาราง 10 ตารางการสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เนื้อหาความรู้ วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถปุ ระสงค์เชงิ การสอน พฤตกิ รรม ระบบนิเวศทก่ี ระจายทั่วโลก ท้ังขนาดเล็กและ เพื่อให้ผู้เรยี นนา ผู้เรยี นสามารถอธบิ าย ขนาดใหญ่ มีองคป์ ระกอบท่ีเหมอื นกัน 4 ความรู้ องค์ประกอบของ ประการ ไดแ้ ก่ “องคป์ ระกอบ สง่ิ มีชีวิต อย่างนอ้ ย 2 1. มีสารอินทรยี แ์ ละสารอนนิ ทรีย์ชนดิ ต่างๆ ของระบบนเิ วศ” องคป์ ระกอบในระบบ ทีจ่ าเป็นตอ่ การดารงอยู่ของสง่ิ มีชวี ิตในระบบ ไปอธิบาย นเิ วศคลองรังสติ ฯ ช่วง นิเวศน้ันๆ (นา้ ออกซิเจน องค์ประกอบของ ไหลผ่านตาบลหลักหก คาร์บอนไดออกไซด์ แร่ธาตุตา่ งๆ) ส่ิงมชี ีวติ ในระบบ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 2. มพี ืชเป็นผ้ผู ลติ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่เล็กมาก นิเวศอื่นได้ จนมองดว้ ยตาเปล่าไมเ่ หน็ จนถึงพืชยนื ต้น ขนาดใหญ่ พืชเหลา่ น้ี ทาหน้าทน่ี าเอา พลงั งานจากแสงแดดมาใชใ้ นการสงั เคราะห์ สารอินทรีย์ สาหรบั การเจริญเติบโตของพชื เองและเปน็ อาหารของผ้บู รโิ ภค 3. มีสัตว์ขนาดต่างๆทาหน้าท่เี ป็นผูบ้ รโิ ภค 4. มจี ุลินทรีย์ทาหนา้ ท่ยี ่อยสลายส่ิงขับถ่าย และสารอินทรีย์ทตี่ กคา้ ง ใหแ้ ปรสภาพเป็น สารอนนิ ทรยี ์กลบั คนื สพู่ ชื อีกครง้ั หนึ่ง การสร้างประสบการณ์เพอื่ การเรยี นรู้ เร่ือง “องค์ประกอบในระบบนิเวศ” เริม่ จาก 1. วิเคราะหเ์ นอ้ื หาความรสู้ ง่ิ แวดล้อม: ข้อเท็จจรงิ เกณฑ/์ มาตรฐาน ลงในตารางช่องที่ 1 2. กาหนดวตั ถปุ ระสงค์การสอน: พุทธิพิสยั ระดับนาไปใช้ ลงในตารางช่องที่ 2 3. กาหนดวตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม: พฤติกรรมบง่ ช้ี “อธิบาย” ลงในตารางชอ่ งที่ 3 4. กาหนดสถานการณก์ ารเรียนรู้: ระบกุ ิจกรรมและ ส่อื ชว่ ยสอน ลงในตารางช่องที่ 4 4.1 กิจกรรมการเรียนรู้ทผี่ ู้สอนสร้างข้นึ : อธบิ าย โดยใช้ powerpoint วีดิทศั น์ ทศั นศึกษา คลองรังสิตฯ และให้ผู้เรียนเขยี นอธิบายส่งในระบบ lms rsu ของมหาวิทยาลัย

70 เรื่อง องคป์ ระกอบในระบบนเิ วศ สถานการณ์การเรยี นรู้ ส่อื ช่วยสอน การ กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผ้สู อนสร้างข้นึ กิจกรรมที่ผู้เรียกระทา ประเมินผล F2: อธิบายองคป์ ระกอบระบบนิเวศ ฟัง ดู powerpoint powerpoint ผ้เู รยี น โดยใช้ powerpoint และวีดิทศั น์ วดี ทิ ศั น์ สามารถ ประกอบวดี ทิ ัศน์ อธบิ าย F2:นาผูเ้ รียนทศั นศึกษา ทศั นศึกษาคลองรังสติ ฯ คลองรงั สิตฯ องค์ประกอบ คลองรงั สิตฯ ช่วงไหลผา่ น ช่วงไหลผา่ น ช่วงไหลผ่าน ของสิ่งมชี ีวิต ตาบลหลักหก ตาบลหลกั หก ตาบลหลักหก อย่างน้อย 2 F1: ใหผ้ เู้ รยี นเขียนอธิบายและ เขียนอธิบายและ มอื ถอื / องคป์ ระกอบ ยกตัวอยา่ งองคป์ ระกอบของ ยกตัวอย่าง องค์ notebook ในระบบ สิง่ มีชวี ติ อย่างนอ้ ย 2 องคป์ ระกอบ ประกอบของสงิ่ มชี วี ิต Ipad นิเวศคลอง ในระบบนเิ วศคลองรงั สติ ฯ ช่วงไหล อย่างน้อย 2 รงั สติ ฯ ช่วง ผ่านตาบลหลกั หก ทาเป็นรายงาน องค์ประกอบในระบบ ระบบ ไหลผา่ น แลว้ นาส่งใน ระบบ lmsrsu ของ นเิ วศคลองรงั สิตฯ lms rsu ตาบลหลัก มหาวทิ ยาลัย ภายใน 3 วัน แล้วนาสง่ ใน ระบบ หกได้อย่าง lms rsu ของ ถูกตอ้ ง ใน มหาวทิ ยาลัย เวลากาหนด ภายใน 3 วัน 4.2 กจิ กรรมที่ผเู้ รยี นกระทา : ฟัง ดู สอ่ื powerpoint วีดิทศั น์ ทศั นศกึ ษาคลองรังสติ ฯ และ เขยี นอธบิ ายส่งในระบบ lms rsu ของมหาวิทยาลัย 5. ระบุสอ่ื ช่วยสอน: powerpoint คลองรงั สิตฯ และ ระบบ lms rsu ของมหาวิทยาลัยลงใน ตารางชอ่ งท่ี 5 6. ระบวุ ธิ ีการประเมนิ ผล: ตรงตามวตั ถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ลงในตารางช่องท่ี 6

71 ตารางท่ี 11 ตารางการสรา้ งประสบการณเ์ พอื่ การเรยี นรู้ เน้ือหาความรู้ วตั ถุประสงคก์ ารสอน วัตถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ปญั หาสงิ่ แวดลอ้ มจากการใช้ทรพั ยากรธรรมชาติ เพื่อใหผ้ ้เู รยี นเห็น ร้อยละ 80 ของผู้เรยี น 1. ปัญหาท่ีเกิดจากทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แล้วไม่หมดไป คณุ ค่าของการปอ้ งกัน สามารถสรปุ ความเหน็ ได้แก่ 1.1) เกดิ การปนเปือ้ นของของเสียในทรัพยากรกลุ่มน้ี ทา ปญั หาสิ่งแวดลอ้ มท่ี เกยี่ วกับ ความจาเปน็ ให้เกิดเป็นมลพิษทางน้า มลพิษทางอากาศและท้ัง 1.2) มลพิษ เกดิ ขึ้นจากการใช้ ทีต่ ้องปอ้ งกนั ปญั หา ส่งผลเสียต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ .2) เกิดการขาดแคลน ทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ มทเี่ กิดขึน้ ทรัพยากรกลุ่มนี้ทาให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ 2. จากการใช้ ปัญหาท่ีเกิดกับทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วทดแทนได้ การใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรประเภทนี้อยา่ งมากมายของมนษุ ย์ กอ่ ใหเ้ กิดการขาด ในเวลาท่กี าหนด แคลนทรัพยากรกลุ่มน้ี เช่น การลดลงของพื้นที่ป่าไม้และสัตว์ ป่า ทาให้มนุษย์ดาเนินชีวิตได้ยากลาบาก เน่ืองจากทรัพยากร กลุ่มนเ้ี ปน็ แหล่งปัจจัยส่ีในการดารงชีวิตของมนุษย์ 3. ปัญหาที่ เกดิ กบั ทรพั ยากรธรรมชาติท่ีใชแ้ ล้วหมดไป ได้แก่ 3.1) การขาด แคลนพลังงาน เน่ืองจากการลดลงของทรัพยากรแร่เชื้อเพลิง ฟอสซิล (น้ามัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) 3.2) การใช้แร่ เชื้อเพลิงประเภทต่างๆ ทาให้เกิดมลพิษ จะเห็นได้ว่า การใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ไม่เหมาะสม เป็นปัญหาที่ส่งผลเสียต่อ การดารงชวี ติ ของมนุษย์ การสรา้ งประสบการณเ์ พือ่ การเรียนรู้เรอื่ ง“ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ” เรม่ิ จาก 1. วิเคราะหเ์ นอ้ื หาความรูส้ ิง่ แวดลอ้ ม: ขอ้ เท็จจรงิ เจตคติ ลงในตารางช่องที่ 1 2. กาหนดวตั ถุประสงค์การสอน: เจตพิสัย ระดับเห็นคุณคา่ ลงในตารางชอ่ งท่ี 2 3. กาหนดวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม: พฤติกรรมบ่งช้ีเหน็ “ความจาเปน็ ” ลงในตารางช่องที่ 3 4. กาหนดสถานการณก์ ารเรียนรู้: ระบุกจิ กรรมและ สอื่ ชว่ ยสอน ลงในตารางช่องที่ 4 4.1 กิจกรรมการเรียนรทู้ ี่ผู้สอนสรา้ งขน้ึ : อธบิ าย โดยใช้สือ่ powerpoint วดี ทิ ัศน์ สารคดี ข่าวส่งิ แวดล้อม และให้ผู้เรียนตอบคาถามสง่ ในระบบ lms rsu ของมหาวทิ ยาลยั

72 เรอื่ ง ปญั หาส่ิงแวดลอ้ มจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สถานการณ์การเรยี นรู้ ส่ือช่วยสอน การประเมินผล กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนกระทา กิจกรรมที่ผเู้ รยี นกระทา powerpoint ร้อยละ 80 ของ วดิ ที ศั น์ ผู้เรยี น ทารายงาน F2: ผู้สอนอธิบายปญั หาสิง่ แวดล้อม ผู้เรียน ฟงั คาบรรยายและดู ทแี่ สดงความเหน็ -สารคดขี า่ ว เก่ียวกบั ความ จากการใชท้ รัพยากรธรรมชาติ โดยใช้ วดิ ีทศั น์ปัญหาสิง่ แวดล้อม ปัญหา สง่ิ แวดล้อม จาเป็นท่ีต้อง powerpoint ประกอบวดิ ที ศั น์เรอ่ื ง ป้องกนั ปัญหา โทรศพั ท์มือถอื สิง่ แวดล้อมที่ ปัญหาสิง่ แวดลอ้ มเกิดขน้ึ จากการใช้ notebook เกิดขึน้ จากการใช้ Ipad ทรพั ยากรธรรมชาติ ทรพั ยากร ระบบ ธรรมชาติ F2: ใหผ้ เู้ รยี นดู “สารคดขี า่ วปัญหา ผเู้ รียนดู “สารคดขี า่ วปัญหา lms rsu ไดส้ มเหตสุ มผล และส่งรายงาน สิง่ แวดลอ้ ม ” สง่ิ แวดลอ้ ม ภายในเวลาท่ี กาหนด F1: ให้ผเู้ รยี นทารายงานสรปุ ความเหน็ ผูเ้ รียนทารายงานสรปุ ความเห็น เกีย่ วกบั ความจาเป็นทต่ี อ้ งปอ้ งกนั เกี่ยวกับ ความจาเป็นท่ีต้อง ปัญหาส่งิ แวดลอ้ มท่ีเกดิ ขึน้ จากการใช้ ป้องกัน ปัญหาสิ่งแวดล้อมท่ี ทรพั ยากรธรรมชาติ และนาสง่ ใน เกิดขึน้ จากการใช้ ระบบ lmsrsu ของมหาวิทยาลัย ทรพั ยากรธรรมชาติ ภายใน 2 วัน ใน ระบบ lmsrsu ของ มหาวทิ ยาลยั ภายใน 2 วนั 4.2 กจิ กรรมที่ผูเ้ รียนกระทา : ฟงั ดู ส่อื powerpoint วดี ทิ ศั น์ สารคดีขา่ วสิ่งแวดลอ้ ม และ ตอบคาถามส่งในระบบ lms rsu 5. ระบสุ อื่ ช่วยสอน: powerpoint วดี ทิ ศั น์ สารคดขี า่ วสิ่งแวดล้อม และระบบ lms rsu ลงใน ตารางช่องที่ 5 6. ระบวุ ธิ กี ารประเมินผล: ตรงตามวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ลงในตารางช่องท่ี 6

73 ตารางท่ี 12 ตารางการสรา้ งประสบการณเ์ พอ่ื การเรียนรู้ เรอื่ งความหมายระบบนิเวศ เนื้อหาความรู้ วัตถุประสงค์ วตั ถุประสงค์ การสอน เชงิ พฤตกิ รรม ระบบนเิ วศ หมายถึง ระบบ เพ่ือให้ผูเ้ รียนเข้าใจ ผู้เรียน ทมี่ ีองค์ประกอบท้งั ส่ิงมชี ีวติ ความหมายของระบบนเิ วศ อธบิ ายความหมายของ และสงิ่ ไมม่ ชี ีวิตทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั ระบบนเิ วศไดถ้ กู ต้อง ในอาณาบริเวณเดียวกนั และ ดว้ ยภาษาของตนเอง มีความสมั พนั ธซ์ ึ่งกันและกนั ในเวลา 10 นาที ระหว่างสง่ิ มีชีวติ ด้วยกันเอง และสงิ่ มชี วี ิตกบั สิ่งไมม่ ีชวี ติ การสรา้ งประสบการณเ์ พือ่ การเรยี นรู้ เรอื่ ง “ความหมายของระบบนิเวศ” เริม่ จาก 1. วิเคราะหเ์ นอื้ หาความร้สู ิง่ แวดลอ้ ม: ความคิดรวบยอด ลงในตารางชอ่ งที่ 1 2. กาหนดวัตถปุ ระสงค์การสอน:พทุ ธพิ ิสยั ระดับเขา้ ใจ ลงในตารางช่องท่ี 2 3. กาหนดวตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤตกิ รรม: พฤติกรรมบง่ ชี้ “อธิบายด้วยภาษาของตนเอง” ลงใน ตารางช่องที่ 3

74 สถานการณ์การเรยี นรู้ ส่อื ชว่ ยสอน การ ประเมินผล กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ผี สู้ อนสร้างข้ึน กจิ กรรมที่ผู้เรียนกระทา กระดาษ คาตอบ ผู้เรียน F2: อธบิ าย“ระบบนเิ วศเป็นระบบทม่ี ี ฟงั คาอธบิ าย ดู powerpoint อธบิ าย infographic ความหมาย ขอบเขตชัดเจน”โดยใช้ powerpoint powerpoint ของ ระบบนิเวศ F1: ให้ผเู้ รยี นชว่ ยกันบอกขอบเขตของ บอกขอบเขตของ “ระบบ ได้ถูกต้อง ด้วยภาษา “ระบบนิเวศ” ตามท่ีสอน นิเวศ” ตามทส่ี อน ของตนเอง ในเวลา 10 F2 อธบิ าย“ระบบนิเวศ ประกอบดว้ ย ฟงั คาอธิบายพรอ้ มดูสื่อช่วย นาที สิง่ มชี วี ิตและส่งิ ไม่มชี วี ติ ” powerpoint สอน F1: ใหผ้ ้เู รียนชว่ ยกันบอก ส่ิงมชี วี ติ และ บอกช่ือ สิ่งมีชีวิตและ สง่ิ ไม่มชี ีวิต” ตามที่สอน สง่ิ ไมม่ ชี ีวติ ตามท่ีสอน F2 อธบิ าย “ความสมั พันธ์ในระบบ ฟังคาอธิบาย ดู นเิ วศ” 1)สงิ่ มีชวี ิต สมั พนั ธ์กับสงิ่ มีชวี ิต powerpoint และ 2)สิ่งมีชีวิต สมั พนั ธ์กบั ส่งิ ไม่มีชีวติ โดยใช้ infographic powerpoint และ infographic F1: ใหผ้ เู้ รยี นบอก ความสมั พันธ์ในระบบ บอกความสมั พนั ธใ์ นระบบ นเิ วศตามท่สี อน นิเวศ ตามทีส่ อน F2 สรุป “ความหมายของระบบนิเวศ” ฟังคา สรุป ดู powerpoint และ infographic F1: ให้ผู้เรยี นเขยี น“ความหมายของ เขยี น“ความหมายของ ระบบนเิ วศ” ดว้ ยภาษาของตน ภายใน ระบบนิเวศ” ด้วยภาษาของ เวลา 10 นาที ส่งในชนั้ เรยี น ตน ภายในเวลา 10 นาที สง่ ในช้ันเรียน 4. กาหนดสถานการณ์การเรียนรู้: ระบุกจิ กรรมและ สอ่ื ชว่ ยสอน ลงในตารางชอ่ งที่ 4 4.1 กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ีผสู้ อนสร้างข้นึ : อธิบายโดยใช้ส่ือ powerpoint infographic กระดาษคาตอบ 4.2 กิจกรรมท่ีผเู้ รยี นกระทา : ฟัง ดู powerpoint และตอบคาถามสง่ ในหอ้ งเรยี น 5 ระบุส่อื ชว่ ยสอน: powerpoint infographic ลงในตารางช่องที่ 5 6. ระบวุ ธิ ีการประเมินผล: ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ลงในตารางชอ่ งที่ 6

75 ตารางที่ 13 ตารางการสรา้ งประสบการณเ์ พ่อื การเรยี นรู้ เน้อื หาความรู้ วตั ถปุ ระสงค์การสอน วตั ถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม การถ่ายทอดพลงั งานในระบบ เพอ่ื ให้ผู้เรยี นสามารถจา ผเู้ รยี นทกุ คนสามารถเขยี น นิเวศ การถ่ายทอดพลงั งานใน การถ่ายทอดพลงั งานผ่าน diagram การถา่ ยทอด ระบบนเิ วศ จะถ่ายทอดไปใน หว่ งโซอ่ าหารได้ พลังงานผา่ นหว่ งโซอ่ าหาร ทิศทางเดยี วตลอด คือ เร่ิมจาก ได้อยา่ งถูกต้อง ตามการ พลงั งานแสงอาทิตย์ผ่านพืชสี สอนของผู้สอน เขยี ว เมือ่ พันธุ์พืชชนิดต่างๆทอี่ ยู่ ในระบบนเิ วศได้รบั พลงั งานแสง จะทาการสังเคราะหแ์ สง สร้าง เน้อื เย่อื และเป็นอาหารแก่ ผู้บริโภคลาดับตา่ งๆกนิ กันเปน็ ทอดๆ การสร้างประสบการณ์เพ่อื การเรยี นรู้ เร่อื ง “การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ” เริ่มจาก 1. วเิ คราะหเ์ น้ือหาความรู้สงิ่ แวดล้อม: หลกั การ ลงในตารางช่องที่ 1 2. กาหนดวตั ถปุ ระสงค์การสอน: พุทธิพสิ ยั ระดบั จา ลงในตารางช่องท่ี 2 3. กาหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม: พฤตกิ รรมบ่งชี้ “เขียน” ลงในตารางช่องที่ 3

76 เรอื่ ง การถา่ ยทอดพลังงานในระบบนิเวศ สถานการณ์การเรยี นรู้ สอ่ื ช่วยสอน การ ประเมนิ ผล กจิ กรรมการเรียนรู้ทผ่ี ูส้ อนสรา้ งขึน้ กิจกรรมท่ีผเู้ รียนกระทา powerpoint ผู้เรยี นทุก คนสามารถ F2: อธิบายการถ่ายทอดพลังงานใน ฟงั ดู powerpoint วดี ิทศั น์ เขียน powerpoint diagram ระบบนเิ วศ โดยใช้ powerpoint และวีดทิ ัศน์ วีดทิ ศั น์ การถา่ ทอด พลังงาน และวีดทิ ัศน์ กระดาษ A4 ผ่านห่วงโซ่ เขียน อาหารได้ F1: ให้ผู้เรยี นเขียน diagram การ เขียน diagram การ diagram อย่างถูตอ้ ง และส่งใน ถา่ ยทอดพลงั งานผ่านหว่ งโซ่อาหาร ถา่ ยทอดพลังงานผา่ นหว่ ง เวลา กาหนด ตามการสอนของผู้สอน และนาส่ง โซ่อาหาร ตามการสอนของ ในชัว่ โมงเรยี น ผสู้ อน และนาสง่ ในชั่วโมง เรยี น 4. กาหนดสถานการณ์การเรียนรู้: ระบุกจิ กรรมและ สอื่ ชว่ ยสอน ลงในตารางชอ่ งท่ี 4 4.1 กิจกรรมการเรียนรทู้ ่ีผสู้ อนสร้างขน้ึ : อธบิ าย โดยใช้ส่อื powerpoint วีดิทัศน์ และ กระดาษ A4 เขยี น diagram 4.2 กจิ กรรมทีผ่ ู้เรยี นกระทา: ฟงั ดู ส่อื powerpoint และเขยี น diagram 5. ระบุส่อื ชว่ ยสอน: powerpoint วดี ิทศั น์ และกระดาษ ลงในตารางชอ่ งที่ 5 6. ระบวุ ิธกี ารประเมินผล: ตรงตามวตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ลงในตารางช่องที่ 6

77 บทส่งท้าย: การสร้างประสบการณเ์ พ่อื การเรยี นรู้ ตัวอย่างการสร้างประสบการณ์เพ่อื การเรียนร้ทู ั้ง 5 ตัวอยา่ งไดแ้ ก่ การสรา้ งประสบการณเ์ พอื่ การเรียนรู้ เร่ือง 1) ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ 2) องค์ประกอบของระบบนิเวศ 3) ปัญหา ส่ิงแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ 4) ความหมายของระบบนิเวศ และ 5) การถ่ายทอด พลังงานในระบบนิเวศ เป็นการสร้างตามขั้นตอนการสร้าง 6 ข้ันตอนเพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ การสอนพทุ ธิพิสัย ทักษะพสิ ยั เจตพิสัย เพียงระดบั ใดระดับหน่ึงเทา่ นน้ั ดงั นี้ เนือ้ หาความรู้ ระดบั วัตถุประสงค์การสอน ประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติ พุทธิพสิ ัย- จา องค์ประกอบในระบบนิเวศ พุทธิพิสัย -นาไปใช้ ปัญหาส่งิ แวดล้อมจากการใช้ทรพั ยากรธรรมชาติ เจตพสิ ยั เหน็ คณุ คา่ ความหมายของระบบนเิ วศ พุทธิพสิ ยั -เขา้ ใจ การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ พทุ ธพิ ิสยั - จา ท้ัง 5 ตัวอย่างของการสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ดังกล่าวแล้ว ถ้าท่านผู้อ่านสังเกต อย่างถี่ถ้วนจะสะดุดใจว่า “การสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เรื่อง “ความหมายของระบบ นิเวศ”น้ัน ประกอบด้วยชุดของ F2 คู่ F1 ถึง 4 ชุด ในช่องกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ีผ่ สู้ อนสร้างขน้ึ โดย 1. ชุดแรกของ F2-F1 ที่ผู้สอนสร้างขึ้น ต้องการให้ผู้เรียนได้รับความรู้ (F2) ว่า “ระบบนิเวศ เป็นระบบทีม่ ขี อบเขตชัดเจน” 2. ชุดที่ 2 ของ F2-F1 ที่ผู้สอนสร้างข้ึน ต้องการให้ผู้เรียนได้รับความรู้ (F2) ว่า “ระบบนิเวศ ประกอบด้วย สงิ่ มชี วี ติ และสิง่ ไมม่ ีชวี ติ ” 3. ชดุ ที่ 3 ของ F2-F1 ที่ผู้สอนสรา้ งขนึ้ ต้องการใหผ้ ู้เรยี นได้รับความรู้(F2)ว่า“ความสมั พนั ธ์ ในระบบนเิ วศมี 2 ลกั ษณะ 1) สง่ิ มชี ีวติ สมั พันธก์ บั สงิ่ มชี ีวิต 2) ส่งิ มีชีวิตสมั พันธก์ บั สิ่งไม่มีชวี ิต”

78 4. ชุดท่ี 4 ของ F2-F1 ท่ผี ู้สอนสรา้ งขึน้ ต้องการใหผ้ เู้ รยี นได้รับความรู้ (F2) ว่า“เม่ือรวม F2 จาก 3 ชุด ของ F2-F1 แล้ว ผู้เรียนเกิดความเข้าใจความหมาย ซึ่งก็คือ เข้าใจความคิดรวบยอด ของระบบนเิ วศ ความรู้ F2 ที่ผู้เรียนได้รับจาก 4 ชุดของ F2-F1 ที่ผู้สอนได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้น้ัน สืบ เน่ืองมาจาก“ความคิดรวบยอด”น้ันต้องมี...ลกั ษณะเฉพาะที่สาคญั (critical attributes) จากตัวอย่าง ความคดิ รวบยอดของระบบนเิ วศมี 3 ลักษณะเฉพาะทีส่ าคัญ คอื 1) เปน็ ระบบที่ มีขอบเขตทีช่ ดั เจน 2) ประกอบดว้ ยส่ิงมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต 3) ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศ เป็น ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสิง่ มีชีวิตกบั สิง่ มชี วี ิตและส่งิ มีชวี ิตกับสงิ่ ไมม่ ีชวี ติ เม่ือนาท้ัง 3 critical attributes มาร้อยเรียงกันเป็นความเรียง ก็จะได้ความหมายของระบบ นิเวศว่า คือ“ท่ีมีองค์ประกอบ ทั้งสิ่งมีชีวิตและส่ิงไม่มีชีวิต ท่ีอยู่ร่วมกัน ในอาณาบริเวณเดียวกัน และมีความสมั พนั ธ์ซง่ึ กันและกัน ระหวา่ งส่งิ มีชวี ติ ดว้ ยกนั เองและส่ิงมชี ีวิตกบั ส่งิ ไมม่ ีชวี ติ ” เนื้อหาความรู้ประเภทความคิดรวบยอด มีความสาคัญอย่างย่ิง เพราะเน้ือหาความรู้ในโลกนี้ คอื “ความคดิ รวบยอด” ดังทไี่ ด้กล่าวอ้างถึงภาษิตของโสภณ ธนะมัย ไปแล้ว ผู้สอนจะต้องสกัด เนื้อหาความรู้ต่างๆให้ออกมาเป็น“เน้ือหาความคิดรวบยอด”ให้ได้ ดังน้ันในบทส่งท้ายนี้ จะใช้ ความคดิ รวบยอดเปน็ เน้อื หาความรูแ้ ละจะแสดงใหเ้ หน็ วา่ สามารถมีความสมั พนั ธ์กับวตั ถปุ ระสงค์ การสอนด้านพุทธพิ ิสยั ระดบั ต่างๆได้ ดังตวั อย่างต่อไปนี้

ตารางที่ 14 การสร้างประสบการณ์เพือ่ การเรียนรู้ เรื่อง ความหมายของระบบนิเว เนอ้ื หาความรู้ วตั ถปุ ระสงค์การสอน วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม กจิ กรรมการ เนอื้ หาความรู้ เรือ่ ง เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี น จาความหมายของ ผูเ้ รียนสามารถเขียนความหมายของ F2.1 ผสู้ อนอธิบา ความหมายของระบบ ระบบนิเวศ ระบบนเิ วศได้ถกู ต้องตามทีผ่ ู้สอนได้ ขอบเขตชัดเจนโด นิเวศ สอนในเวลา10 นาที F1.1 ผสู้ อนใหผ้ เู้ ร 1 ระบบนเิ วศเป็น เพ่ือให้ผเู้ รยี น เข้าใจ ความหมาย ระบบนเิ วศตามท ระบบท่ีมีขอบเขต ของระบบนเิ วศ ผู้เรยี นสามารถเขยี นอธิบาย F2.2 ผสู้ อนอธบิ า ชัดเจน เพื่อใหผ้ ู้เรยี นนาความรู้ ความหมาย ความหมายของระบบนิเวศไดถ้ กู ต้อง ส่ิงมีชีวติ และสิ่งไม 2. ระบบนิเวศ ของระบบนเิ วศ ใช้อธิบาย ด้วยภาษาของตนเอง ในเวลา 10 F1.2 ผู้สอนใหผ้ ู้เร ประกอบ ด้วยสิ่งมชี ีวติ ความหมายของระบบนเิ วศแปลงผกั นาที ส่ิงไมม่ ชี ีวติ ตามท และสงิ่ ไมม่ ีชวี ิต เพอ่ื ให้ผู้เรยี นวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ ผู้เรยี นสามารถเขยี นอธบิ าย F2.3 ผู้สอนอธิบา 3 ความสัมพันธ์ใน ของ“ระบบนเิ วศแปลงผัก” ความหมาย ระบบนิเวศ แปลงผักได้ มี 2 ลักษณะโดย ระบบนิเวศมี 2 ถกู ต้อง ในเวลา 30นาที F1.3 ผ้สู อนให้ผเู้ ลกั ษณะ ผเู้ รียนสามารถแยกแยะองคป์ ระกอบ ความสัมพนั ธ์ในร 3.1 สิง่ มีชวี ิตกบั ของระบบนเิ วศแปลงผกั ได้ถกู ต้อง ใน F2.4 ผสู้ อนสรปุ ค สิ่งมีชวี ติ เวลา 10 นาที F1.4 ผู้สอนให้ผเู้ ร 3.2 สง่ิ มีชวี ติ กับ ของระบบนเิ วศตา ส่งิ ไม่มชี วี ิต กระดาษคาตอบ F1.5 ผสู้ อนใหผ้ ูเ้ ร ระบบนเิ วศ คือ ระบบ ความหมายของระ ที่มีองคป์ ระกอบ ทง้ั ลงในกระดาษคาต สิ่งมชี วี ติ แลสิ่งไม่มชี ีวิต ท่ีอยูร่ ่วมกนั ในอาณา F1.6 ผู้สอนนาผู้เร บริเวณเดยี วกนั และมี อธิบายความหมา ความสมั พันธซ์ งึ่ กัน ในกระดาษคาตอบ และกนั ระหว่าง สิง่ มีชีวติ ดว้ ยกนั เอง F1.7 ผสู้ อนให้ผเู้ ร และสิ่งมชี วี ิตกับ องค์ประกอบของ ส่ิงไมม่ ีชีวติ กระดาษคาตอบ

79 วศ สถานการณก์ ารเรียนรู้ สอ่ื ช่วย การประเมนิ ผล สอน รเรยี นรู้ทผ่ี สู้ อนสรา้ งขึ้น กิจกรรมท่ผี เู้ รียนกระทา ผเู้ รียน powerpoin เขยี นความหมายของระบบนเิ วศตาม ายระบบนเิ วศ เปน็ ระบบทมี่ ี ผู้เรียน ฟังคาอธิบายพร้อมดู t ทผี่ ูส้ อนสรุปได้ถกู ตอ้ ง ดย powerpoint powerpoint Infographic ในเวลา 10 นาที รยี นชว่ ยกนั บอกขอบเขตของ ผ้เู รยี นช่วยกนั บอกขอบเขตของ กระดาษคา ท่ีสอน ระบบนิเวศ ตามทผ่ี สู้ อน สอน ตอบ ผู้เรยี นเขยี นความหมายของระบบ ายระบบนเิ วศ ประกอบดว้ ย ผู้เรยี น ฟังคาอธิบายพรอ้ มดู นเิ วศด้วยภาษาตนเองได้ในเวลา 10 มม่ ชี วี ิตโดย powerpoint powerpoint กระดาษ นาที รียนชว่ ยกนั บอก สิง่ มีชวี ิตและ ผเู้ รียนช่วยกนั บอก สง่ิ มีชวี ติ และ คาตอบ ผเู้ รยี นเขียนอธิบาความหมายของ ท่สี อน สงิ่ ไม่มีชีวติ ” ตามทผี่ สู้ อน สอน ระบบนเิ วศ แปลงผกั ไดใ้ นเวลา 30 าย ความสัมพนั ธใ์ นระบบนเิ วศ ผูเ้ รียน ฟังคาอธบิ ายพร้อมดู แปลงผัก นาที powerpoint ,infographic Powerpoint, infographic กระดาษ ผู้เรยี นเขียนแยกแยะองค์ประกอบของ เรยี นชว่ ยกนั บอก ผเู้ รยี นชว่ ยกนั บอก ความสมั พนั ธใ์ น คาตอบ “ระบบนิเวศแปลงผกั ”ได้ถกู ต้อง ใน ระบบนิเวศตามที่สอน ระบบนเิ วศตามทผ่ี ้สู อน สอน แปลงผกั เวลา 10 นาที ความหมายของระบบนเิ วศ ผเู้ รียน ฟังการสรปุ จากผู้สอน กระดาษ รยี นทกุ คนเขยี นความหมาย คาตอบ ามท่ผี สู้ อนสรปุ ให้ฟงั ลงใน ผู้เรยี นทุกคน เขียนคาตอบลงใน กระดาษ รียนทุกคนเขยี นอธิบาย คาตอบ สง่ ผู้สอน ะบบนเิ วศดว้ ยภาษาของตนเอง ผเู้ รยี นทุกคนเขยี นอธิบาย ตอบ ความหมาย ของระบบนเิ วศด้วย ภาษาของตนเองในกระดาษคาตอบ รยี นไปแปลงผกั และใหเ้ ขยี น พรอ้ มสง่ ผ้สู อน ายของระบบนิเวศแปลงผัก”ลง ผเู้ รยี นไปแปลงผกั และเขียนอธบิ าย บ ความหมายของระบบนิเวศแปลงผกั ลงในกระดาษคาตอบ รียนเขยี นแยกแยะ ผู้เรยี นเขยี นแยกแยะองค์ประกอบ ง“ระบบนิเวศแปลงผัก”ลงใน ของระบบนเิ วศแปลงผกั ลงใน กระดาษคาตอบ

80 จากตารางการสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เร่ือง“ความหมายของระบบนิเวศ” ซึ่งเป็น เนื้อหาความรู้ประเภทความคิดรวบยอดที่ได้นาเสนอในบทส่งท้ายน้ี จะเห็นได้ว่าผู้สอนสามารถ กาหนดวัตถุประสงค์การสอน เริ่มจากวัตถุประสงค์การสอนพุทธิพิสัยระดับจาโดยใช้ชุด F2-F1 จานวน 4 ชดุ ทาให้ผ้เู รียนสามารถจาความหมายของระบบนเิ วศได้ หลังจากนั้นผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของระบบนิเวศ ผู้สอนจึงกาหนด วัตถุประสงค์การสอนเป็นพุทธิพิสัยระดับเข้าใจ และกาหนด F1 ให้ผู้เรียนเขียนอธิบาย “ความหมายของระบบนิเวศ”ดว้ ยภาษาของตนเอง ตอ่ มาผู้สอนต้องการใหผ้ ูเ้ รียน นาความหมายของระบบนเิ วศไปใชใ้ นสถานการณ์ใหม่ ผู้สอน จึงกาหนดวัตถุประสงค์การสอนเป็นพุทธิพิสัยระดับนาไปใช้ และกาหนด F1 โดยนาผู้เรียนไป แปลงผัก แล้วให้ผ้เู รยี นเขยี นความหมายของ“ระบบนิเวศแปลงผัก” สุดท้ายผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนวิเคราะห์องค์ประกอบของระบบนิเวศแปลงผัก ผู้สอนจึง กาหนดวัตถุประสงค์การสอน เป็นพุทธิพิสัยระดับวิเคราะห์ และกาหนด F1 ให้ผู้เรียน เขียน แยกแยะองคป์ ระกอบของระบบนเิ วศแปลงผกั เหน็ ได้ว่าเน้อื หาความรู้ประเภทความคดิ รวบยอดนั้น สามารถทาใหผ้ ู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ การสอนได้ ตั้งแต่พุทธิพิสัยระดับจา ระดับเข้าใจ ระดับนาไปใช้ และระดับวิเคราะห์ ดังนั้นหาก ผู้สอนกาหนดวัตถุประสงค์การสอนในเน้ือหาดังกล่าวเพียงแค่ระดับจา ผู้เรียนอาจลืมได้ง่ายใน ระยะเวลาอันส้ัน แต่ถ้าผู้เรียนเข้าใจย่อมจะจาได้อย่างแน่นอน และเมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะสามารถ นาความรนู้ ั้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้ รวมทั้งสามารถวิเคราะห์แยกแยะส่ิงนั้นว่า ประกอบด้วย ส่วนย่อยๆ และส่วนย่อยๆเหล่าน้ันเก่ียวข้องกันอย่างไร ซ่ึงจะนาไปสู่วัตถุประสงค์การสอนพุทธิ พิสัยระดับสงู ขน้ึ ไป ถงึ ขน้ั สังเคราะหแ์ ละประเมินคา่ ตอ่ ไปได้

81 สว่ นที่ 2 R&D ทางการศึกษา

82 R&D คอื อะไร ตัวอกั ษร “R” เป็นคาหนา้ ของคาวา่ Research แปลเป็นภาษาไทยว่า “การวจิ ัย” ตัวอักษร “D” เป็นคาหนา้ ของคาวา่ Development แปลเปน็ ภาษาไทยว่า “การพัฒนา” เมื่อนาคา R&D มารวมเข้าด้วยกันเป็นคาว่า Research and Development ซึ่งแปล เป็นภาษาไทยได้วา่ “การวจิ ัยและพัฒนา” การวิจัยและพัฒนาจึงเป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาแก้ปัญหา เพ่ือทาให้ดีขึ้น ซ่ึงส่ือความ สะท้อนถึงการมุ่งเน้นสู่การใช้ประโยชน์จริง อันต่างจากการวิจัยท่ีมุ่งเน้นสร้างทฤษฎี สร้างองค์ ความรู้ทางวิชาการ ซึ่งไม่แน่นอนว่า จะได้นาไปใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนา เพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อ ทาใหด้ ขี ึ้นหรอื ไม่อย่างไร เห็นได้ว่า R&D เป็นรูปแบบการวิจัยประเภท Applied Research (การวิจัยประยุกต์) มใิ ช่ Basic Research หรอื Pure Research (การวจิ ยั พน้ื ฐานหรอื การวิจยั บริสุทธิ์) Basic Research เปน็ การวจิ ัยทม่ี ่งุ แสวงหาความรหู้ รอื ความจรงิ เพ่อื สร้างกฎ สูตร ทฤษฏี ในแต่ละสาขาวิชาโดยเฉพาะ เพื่อเป็นพ้ืนฐานในการศึกษาเร่ืองอื่นๆต่อไป ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อ สังคมหรอื ไม่เพียงใด ไม่ใช่จดุ ม่งุ หมายของ Basic Research ส่วน Applied Research เป็นการวิจัยที่มุ่งนาผลจากการวิจัยหรือข้อค้นพบจาก Basic Research ไปใช้ทดลองแก้ปัญหาในสภาพการณ์ใดสภาพการณ์หน่ึง เช่น การวิจัยเพื่อ ประสิทธิภาพการจัดการเรยี นการสอนของครูในชนั้ เรยี นระดับต่างๆ โดยการสรา้ งชุดการเรียนการ สอนสาหรับเนอื้ หาความรู้ในเรอื่ งใดเรอ่ื งหน่ึง เป็นตน้ ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า R&D ซึ่งเป็น Applied Research เป็นการวิจัยรูปแบบหนึ่งที่มุ่ง พัฒนานวัตกรรมในเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง โดยต้องมีการนานวัตกรรมที่สร้างข้ึนนั้น ไปทดลองใช้และ ทดสอบว่ามปี ระสิทธภิ าพ จนนาไปส่กู ารใช้ประโยชนไ์ ด้จรงิ ตวั อย่างเช่น

83 (บริษัท) ซีพี ทาการวิจัยและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมุ่งคิดค้นสูตรอาหาร เพ่ือสุขภาพที่ไม่เพียงจะต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะต่อหน่ึงหน่วยบริโภค หากแต่จะคานึงถึง รสชาตดิ ้วย ภาพท่ี 17 ข่าวบริษัทซีพี ทาการวิจัยและพัฒนาร่วมกับ มหาวทิ ยาลยั ฮารว์ าร์ดมุ่งคิดค้นสูตรอาหารเพ่ือสุขภาพ ท่มี า: http://www.cp-enews.com/news/details/cpnews/1007 ช่วง 2 ปที ่ีผ่านโดยหนึ่งในความสาเร็จของธรุ กิจอาหารซีพี คอื การแปรรูปจากข้ันพื้นฐาน ไปเพ่มิ มลู ค่า เปล่ียนจากไก่สด หมสู ด กุง้ สด และปลาสดมาเป็นอาหารปรุงสด อาหารก่ึงสาเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อาหารพรอ้ มทานโดยมี ทมี วจิ ยั และพัฒนาผลิตภัณฑอ์ าหารโดยเฉพาะ... (https://thaipublica.org/2017/05/thaipublica-advertorial-ep03/ ) นวตั กรรม คอื อะไร คาว่า “นวัตกรรม” มาจากคาภาษาอังกฤษว่า “innovation”ส่วนคากิริยามาจากคาว่า “innovate” ซ่งึ หมายถงึ “to renew” คือ ทาข้ึนมาใหม่ (โสภณ, 2552) ส่วนบุญธรรม จิตต์อนันต์ (2540) และดิเรก ฤกษ์หร่าย (2518) ได้ให้ความหมายของ นวัตกรรมโดยประมวลได้ว่า หมายถึง ความคิด การปฏิบัติหรือวัตถุท่ีบุคคลรับรู้ว่า “เป็นสิ่งใหม่ สาหรับตน” หรือ “เป็นสิ่งใหม่ที่นาเข้าไปใช้ในระบบสังคม” ดังน้ันความคิดและการปฏิบัติทุก อย่างที่เป็นสง่ิ ใหม่ของสังคม ณ ช่วงเวลาหน่งึ จึงถือได้ว่าเปน็ “นวัตกรรม” ของสังคมนนั้ ๆ จากความหมายของนวัตกรรมดังกล่าวข้างต้น เห็นได้ว่าคาว่า“ใหม่”นั้น มีบริบท หลากหลาย ไมว่ ่าจะเปน็ ใหม่สาหรับตัวบคุ คล ใหม่สาหรับชมุ ชน ใหม่สาหรับประเทศ แต่มีเงื่อนไข ท่ีสาคัญว่าต้องเป็นสิ่งใหม่ ณ ช่วงเวลาน้ัน ตัวอย่างเช่น เคร่ืองบินมิใช่ “นวัตกรรม”สาหรับ ปัจจุบันแต่อย่างใด เพราะว่าเกิดขึ้นมาจนเป็นท่ีรู้จักคุ้นเคยของทุกคนบนโลกใบนี้เป็นอย่างดี แต่ นวัตกรรมหรือใหม่ ก็ยังคงเกิดแก่เครื่องบิน เนื่องจากมีการปรับปรุงส่วนต่างๆของเคร่ืองบิน เกิด

84 สิ่งใหม่ทีละนิด มีการออกเคร่ืองบินโดยสารรุ่นใหม่ๆออกมา ดังน้ันจึงเห็นได้ว่า คาว่า“ใหม่”ใน บริบทของนวัตกรรมนั้น มี 2 ลักษณะ คือ “ใหม่”เฉพาะบางส่วนที่ปรับปรุงเปล่ียนแปลงจากตัว นวัตกรรมเดิม กับ“ใหม่”หมดทุกอย่าง เนื่องจากเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน น่ันคือ เครื่องบิน เครื่องแรกที่เกดิ ข้ึนบนโลกนี้ ประสบการณ์เพือ่ การเรียนรู้ คือ นวัตกรรม คาว่า “นวัตกรรม” ที่มีความหมายเป็น 2 นัย คือ ใหม่เฉพาะบางส่วนท่ีปรับปรุง เปลย่ี นแปลงจากเดมิ และใหมห่ มดทุกอย่าง สาหรับนัยแรกท่ีว่า“ใหม่เฉพาะบางส่วน”นั้น เน่ืองจากประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ท่ี ผสู้ อนสรา้ งข้ึนย่อมต้องมีการปรับปรุง หลังจากใช้จัดการเรียนการสอนกับกลุ่มผู้เรียนกลุ่มท่ี 1 ไป แลว้ เพ่อื นาไปใชก้ ับกล่มุ ใหม่ จึงเหน็ ได้วา่ “ประสบการณ์เพือ่ การเรยี นรู้”จงึ เป็นสง่ิ ใหม่เสมอ นัยที่สองที่ว่า“ใหม่หมดทุกอย่าง” เน่ืองจากประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ในเนื้อหา ความรู้เดียวกันแต่ผู้สอนต่างกันซ่ึงแต่ละคนย่อมสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้เฉพาะของ ตนเองข้ึนใช้จัดการเรียนการสอน ดังน้ัน ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ จึงเป็นส่ิงใหม่ของผู้สอน แตล่ ะคน “ประสบการณเ์ พอ่ื การเรียนรู้”จงึ เป็นสง่ิ ใหมเ่ สมอ R&D ทางการศกึ ษา คอื อะไร ดังได้กล่าวแล้วว่า R&D นั้นเป็นการวิจัยรูปแบบหนึ่งที่มุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมในเรื่องใด เร่ืองหน่ึง ดังนั้น R&D ทางการศึกษา ก็คือ R&D ที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา(แนวคิด วธิ กี ารใหมๆ่ )

85 คาว่า“การศึกษา”ในท่ีน้ีผู้เขียน หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ เพือ่ ให้บคุ คลเกิดการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมตามวัตถุประสงค์การศึกษาดา้ นเจตคต(ิ เจตพิสัย) ด้าน ความรู้ (พุทธิพสิ ัย) ดา้ นทักษะ(ทักษะพสิ ยั ) ที่กาหนดไว้ (ลาวัณย์, 2559) ดังนั้น R&D ทางการศึกษาจึงหมายถึง การวิจัยที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมท่ีเกี่ยวกับการจัด ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ให้กับบุคคล 3 ด้าน (เจตคติ ความรู้ และทักษะ) ตามองค์ประกอบ ของประสบการณเ์ พือ่ การเรียนรู้ ดังแผนภาพ เนอื้ หา วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถปุ ระสงค์ สถานการณ์การเรยี นรู้ สอ่ื การ ชว่ ย ประเมนิ ความรู้ การสอน เชิงพฤติกรรม กิจกรรมการเรียนรทู้ ่ี กจิ กรรมการเรยี นร้ทู ี่ สอน ผล ผู้สอนสร้างข้นึ ผเู้ รยี นกระทา เน้อื หาความรู้ หมายถึง ข้อเท็จจริงท่ีเป็นสาระความรู้ท่ีทันสมัยถูกต้องตามหลักวิชาการของศาสตร์ น้ันๆ จาแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ เนื้อหาความรู้ภาคความรู้และเน้ือหาความรู้ภาคปฏิบัติ (ตามรายละเอยี ดสว่ นที่ 1 เร่ือง “เนือ้ หาความรู้” หนา้ 8-10 ) วตั ถปุ ระสงค์การสอน หมายถึง ข้อความที่ระบุคุณลักษณะท่ีต้องการให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนตามระดับของ วัตถุประสงค์การศึกษาทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย (ตามรายละเอียด ส่วนที่ 1 เร่อื ง “วัตถปุ ระสงค์การสอน” หนา้ 28-31 ) วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤตกิ รรม หมายถึง ข้อความที่ขยายความวัตถุประสงค์การสอนให้ชัดเจน จนระบุออกมาเป็น พฤตกิ รรมของผูเ้ รียน เพอ่ื ใหส้ ามารถวัดพฤติกรรมท่ีเปล่ียนแปลงได้อย่างชัดเจน(ตามรายละเอียด ส่วนที่ 1 เรื่อง “วตั ถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม” หน้า 31-40 ) สถานการณ์การเรยี นรู้ หมายถึง การท่ีผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น ในเหตุการณ์ท่ีกาลังเป็นไปด้วยตนเอง สถานการณ์การเรียนรู้จาแนกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้น และ กจิ กรรมทผ่ี เู้ รยี นกระทา (ตามรายละเอยี ด สว่ นท่ี 1 เร่อื ง “สถานการณก์ ารเรียนรู้” หน้า 43-45 )

86 สื่อช่วยสอน หมายถึง ส่ิงที่จะใช้ในการช่วยสอนเนื้อหาความรู้ท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ (ตามรายละเอียด ส่วนที่ 1 เรอ่ื ง “ส่อื ชว่ ยสอน” หน้า 54-55 ) การประเมินผล หมายถึง การตัดสินค่าท่ีได้จากการวัดผลส่ิงท่ีต้องการจะประเมิน(ตามรายละเอียด ส่วนที่ 1 เร่ือง “การประเมนิ ผล” หนา้ 56-58 ) หลักของ R&D โสภณ ธนะมัย (2552) ได้กล่าวว่า หลัก หมายถึง เคร่ืองยึดเหน่ียว สาหรับ R&D มีหลัก สาคัญอยู่ 3 ประการด้วยกัน ได้แก่ 1) ผลผลิตของการวิจัย ( Output ) ต้องเป็นนวัตกรรมที่ถูก พัฒนาข้ึนมา 2) ผลลัพธ์ของการวิจัย (Outcome ) คือ การใช้ประโยชน์จริงของผลผลิตของการ วิจัย (Output) และ 3) การทดลองใช้และทดสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรมต้องอิงแบบการ ทดลอง หลกั ท่ี 1 ผลผลิตของการวจิ ัย (Output) ตอ้ งเปน็ นวัตกรรมท่ีถกู พัฒนาขน้ึ มา “ตารางประสบการณ์เพอ่ื การเรียนรู้สิ่งแวดล้อม” ที่ถูกสร้างขึ้นสาหรับใช้ในการจัดการ เรียนการสอนเน้ือหาความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่ผู้สอนสร้างขึ้นเพื่อใช้กับกลุ่มผู้เรียนของตนเอง เป็นการเฉพาะย่อมเป็น“ส่งิ ใหม”่ ไมเ่ หมอื นกับการจัดการเรียนการสอนของผู้สอนคนอ่ืนๆ เม่ือตารางจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมท่ีผู้สอนสร้างข้ึนเป็นการทา“สิ่ง ใหม”่ จงึ ตอ้ งมีการทดลองใช้ นั่นคือ ผูส้ อนตอ้ งทา R&D ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อม ของตนเองขึ้นนน่ั เอง หลักที่ 2 ผลลัพธ์ของงานวิจัย (Outcome) คือ การใช้ประโยชน์จริงของผลผลิตของการ วจิ ยั (Output) Output อาจถูกนาไปสู่การใช้ประโยชน์โดยตรงของผู้วิจัย เช่น ครูทา R&D เพื่อพัฒนา หรือแก้ปัญหาการเรียนการสอนของตนโดยใช้ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้เป็นนวัตกรรม หรือ ผู้บริหารสถานศึกษาทา R&D เพ่ือใช้พัฒนาหรือแก้ปัญหาในการบริหารจัดการการสอนใน สถานศึกษาของตนเอง หรือจดสิทธิบัตรนวัตกรรมการบริหารจัดการนั้นเป็นของตนเองเพ่ือ

87 ประโยชน์ทางธุรกิจ เป็นต้น หรือ Output อาจจะถูกนาไปใช้ประโยชน์ในภายหลังก็ได้ โดยที่มี โครงการวิจัยในระยะต่อไปรองรับจนนาไปสู่การใช้ประโยชน์จริง ซึ่งเป็นของตนเองหรือผู้อ่ืนเป็น ผวู้ จิ ยั ตอ่ ยอด หลักท่ี 3 การทดลองใช้และทดสอบประสทิ ธิภาพของนวตั กรรมต้องอิงแบบการทดลอง ข้อความท่ีว่า “อิงแบบการทดลอง” คือ การใช้แบบการวิจัยทดลอง สาหรับการวิจัย R&D ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ ผู้เขียนจะได้เสนอแบบทดลองท่ีคัดสรรแล้วว่า เพียงพอและ เหมาะสมและไมย่ ุ่งยากเกินไป เพื่อเปน็ แนวทางให้นักวิจัย R&D ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ได้ใช้ เพียง 2 แบบ คือ แบบกลุ่มเด่ียวมีการทดสอบครั้งเดียว (One shot case study) และแบบกลุ่ม เดียวมีการทดสอบก่อนและหลัง (One group pretest-posttest design) ใช้เป็นต้นแบบในการ ออกแบบการทดลองใชน้ วตั กรรม ซง่ึ ก็คือ “ตารางประสบการณ์เพอ่ื การเรยี นรู้” กระบวนการ R&D โสภณ ธนะมัย (2552) ได้เสนอกระบวนการ R&D ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ข้ันตอน ซง่ึ ประกอบดว้ ย ข้นั ตอนท่ี 1 การกาหนดโจทย์วจิ ยั เพอื่ สร้างนวัตกรรม ประกอบดว้ ย 4 ข้ันตอนย่อย 1.1 วเิ คราะห์สาเหตขุ องปญั หา 1.2 คดั กรองสาเหตุท่ีสามารถแกไ้ ขไดด้ ้วยนวตั กรรม 1.3 ศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั เพอ่ื เลือกนวัตกรรมท่เี หมาะสม 1.4 กาหนดโจทย์วจิ ยั ข้นั ตอนท่ี 2 การสรา้ งนวตั กรรม ผู้วิจัยศึกษาหลกั การ แนวคดิ ทฤษฏีจากวรรณกรรมและงานวิจัยท่เี ก่ียวข้องกับนวัตกรรม เพ่อื ให้ไดแ้ นวทางในการสร้างนวตั กรรม ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้เพอ่ื หาประสิทธภิ าพของนวตั กรรม การทดลองใชน้ วตั กรรมนนั้ มีรูปแบบการทดลองมาตรฐาน รูปแบบการทดลองที่นิยมใช้มี 5 รปู แบบ

88 1. แบบกลุ่มเดียว มกี ารทดสอบครง้ั เดียว (One shot case study) วิธกี าร 1) เลอื กกลมุ่ ศกึ ษามา 1 กลุ่ม 2) ทดลองใชน้ วัตกรรมกบั กลุ่มศึกษา 3) ทดสอบกลมุ่ ศกึ ษา 2. แบบกล่มุ เดยี วแตม่ ีการทดสอบก่อนและหลัง (One group pretest–posttest design) วิธกี าร 1) เลอื กกลมุ่ ศกึ ษามา 1 กลมุ่ 2) ทดสอบกลุม่ ศึกษาคร้งั ท่ี 1 3) ทดลองใชน้ วตั กรรมกบั กลุ่มศกึ ษา 4) ทดสอบกลมุ่ ศึกษาคร้ังท่ี 2 5) ตรวจสอบความแตกตา่ งระหวา่ งผลการทดสอบครง้ั ที่ 1-2 3. แบบมี 2 กลุ่ม(กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง)ทดสอบก่อนและหลัง และมีการสุ่ม ตัวอย่าง (The pretest – posttest control group design) วธิ ีการ 1) เลอื กกลุม่ ตัวอย่างจากกลุ่มศึกษาแบบสมุ่ 2) แบง่ กลุม่ ตัวอย่างเปน็ 2 กลมุ่ คอื กลุ่มทดลอง และกลมุ่ ควบคมุ แบบสมุ่ 3) ทดสอบกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคุมโดยใชแ้ บบทดสอบเดียวกัน เปรียบเทียบความแตกต่างกลุ่มทดลองและกลุม่ ควบคุม 4) ทดลองใช้นวัตกรรมกับกลมุ่ ทดลอง 5) ทดสอบกลุ่มทดลองหลังการทดลองใชน้ วัตกรรมและกลมุ่ ควบคมุ ณ เวลาเดียวกับทดสอบกลุ่มทดลองหลงั การทดลองใชน้ วตั กรรม เปรียบเทยี บความแตกต่างระหวา่ ง กลุ่มทดลองหลงั การทดลองใชน้ วตั กรรมกับ กลุ่มควบคุม ณ เวลาเดียวกบั ทดสอบกลุม่ ทดลอง

89 4. แบบมกี ารทดสอบหลังทดลองใชน้ วตั กรรมและมกี ารสมุ่ ตัวอยา่ ง (The posttest only control group design) วธิ กี าร 1) เลือกกล่มุ ตวั อย่างเป็นกลุม่ ศกึ ษาแบบสมุ่ 2) แบง่ กลมุ่ ตวั อยา่ งเป็น 2 กลุ่ม คอื กลุม่ ทดลอง และกลุ่มควบคุมแบบสมุ่ 3) ทดลองใช้นวัตกรรมกบั กลุ่มทดลอง 4) ทดสอบกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้แบบทดสอบเดียวกันเปรียบเทียบความ แตกตา่ งระหวา่ งกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ 5. แบบมีกลุ่มควบคมุ ทดสอบก่อนและหลังไม่มีการสมุ่ ตัวอย่าง (The pretest - posttest control group design) วธิ ีการ 1) เลือกกลุ่มศกึ ษามา 2 กลุม่ ให้เปน็ กลุม่ ทดลอง 1 กลุม่ และกลุ่มควบคุม 1 กลมุ่ 2) ทดลองครัง้ แรกกับท้ัง 2 กลมุ่ 3) ทดลองใช้นวัตกรรมกบั กลุ่มทดลอง 4) ทดสอบครงั้ หลงั กับทั้ง 2 กลุ่ม 5) ตรวจสอบความแตกตา่ งระหวา่ งผลความแตกต่างของผลการทดสอบ ครัง้ แรกกบั ครั้งหลงั ของกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ขนั้ ตอนที่ 4 การใชป้ ระโยชน์ ผลการทดลอง คือ นวัตกรรมที่สร้างข้ึนต้องถูกนาไปใช้ประโยชน์จริง ซึ่งเป็นเง่ือนไขสาคัญ ของการทาR&D การใชป้ ระโยชน์ แบ่งเป็น 2 ประเภท 1. การใช้ประโยชน์โดยตรง คือ ผู้วิจัยสร้างและใช้นวัตกรรมเอง ซ่ึงเป็นการทา R&D จาก งานประจาของผ้วู จิ ยั เอง เชน่ การนาไปใชแ้ กป้ ัญหาหรอื พัฒนางานประจาของผวู้ จิ ยั เอง เป็นตน้ 2. การใช้ประโยชนโ์ ดยอ้อม คือ ผู้อืน่ ใช้นวตั กรรมท่ีผู้วิจัยคิดค้นข้ึน เช่น การนาไปใช้จัดการ เรียนการสอน ตีพิมพ์เผยแพร่ในแวดวงวิชาการ เช่นในวารสารท้ังในประเทศและนานาชาติ เป็น ตน้

90 กระบวนการ R&D ประสบการณ์เพอ่ื การเรียนรู้ส่ิงแวดล้อม ผู้เขียนยึดหลักกระบวนการ R&D ของโสภณ ธนะมัยในการกาหนดขั้นตอนของ กระบวนการ R&D ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อม แต่ได้ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับ บริบทของหนังสือเล่มนี้ ที่กาหนดให้ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อมเป็นตัวนวัตกรรม ดงั นนั้ จึงไม่จาเปน็ ต้องมกี ารกาหนดโจทย์วิจยั เพ่ือหานวัตกรรมซึ่งเปน็ ข้นั ตอนแรก ข้ันตอนท่ี 1 สร้างนวัตกรรม คือ ตารางประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อมโดยมี วิธีการสร้างซ่ึงประยุกต์จากส่วนท่ี 1 “การสร้างประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้สิ่งแวดล้อม”ใน หนงั สอื เลม่ นี้ ดังน้ี วิธกี ารสรา้ ง 1. กาหนดเนื้อหาความรู้ 1.1 การสืบค้นเนือ้ หาความรู้ ซ่ึงทาได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1) สบื คน้ เนอื้ หาความรจู้ ากการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั เน้ือหา ความรนู้ นั้ เช่น สบื คน้ เนอื้ หาความรู้เร่ือง “การตรวจวัดคุณภาพน้า”จากเอกสารทางวิชาการและ งานวิจัยท่เี กย่ี วข้อง 2) สืบค้นเน้ือหาความรู้จากผู้รู้ เช่น การสืบค้นเนื้อหาความรู้ เรื่อง แมลงใน แปลงนาข้าว จังหวัดเพชรบุรี” จาก 1) ผู้เชียวชาญด้านกีฏวิทยาจาก กรมวิชาการเกษตร 2) ผู้อานวยการศูนย์บริการวิชาการการเกษตรของมูลนิธิชัยพัฒนา จังหวัดปทุมธานี 3) ประธาน คณะกรรมการศนู ยเ์ รยี นรูก้ ารเพมิ่ ประสทิ ธิภาพการผลิตสินคา้ เกษตร ระดบั อาเภอ อาเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบรุ ี และ 4) เกษตรอาเภอเขายอ้ ย จงั หวัดเพชรบรุ ี 1.2 วิเคราะห์เน้ือหาความรู้ วิเคราะห์เนื้อหาความรู้ที่ได้จากการสืบค้นว่า เป็นเน้ือหาความรู้ประเภทใด เป็น เนื้อหาความรู้ประเภท knowing หรือเนื้อหาความรู้ประเภท doing (ตามรายละเอียด ส่วนท่ี 1 เร่อื ง “เนื้อหาความรู้” หนา้ 8-10)

91 1.3 เรยี บเรยี งเนอ้ื หาความรู้ โดยเรียบเรียงเน้ือหาความรู้ให้สอดคล้องกับประเภทของเน้ือหาความรู้น้ันๆว่า เป็นเนอื้ หาภาคความร้ทู ่ีเปน็ ข้อเทจ็ จริงเฉพาะเจาะจง ขอ้ เท็จจริงเกณฑ์/มาตรฐาน ข้อเท็จจริงเจต คติ ความคิดรวบยอด หลักการ หรือเนื้อหาความรู้ภาคปฏิบัติ (ตามรายละเอียด ส่วนท่ี 1 เรื่อง “การเรยี บเรยี งเนือ้ หา” หน้า 11-27) 2. กาหนดวัตถุประสงคก์ ารสอน โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาความรู้กับระดับวัตถุประสงค์การสอนที่ ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ (ตามรายละเอียด ส่วนที่ 1 เร่ือง “ความสัมพันธ์ระหว่าง เน้อื หาความร้กู ับวตั ถปุ ระสงคก์ ารสอน” หนา้ 28-31) 3. กาหนดวัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม โดยเขียน “ข้อความท่ีขยายความวัตถุประสงค์การสอน” ให้มีความชัดเจนจนระบุ ออกมาเป็น พฤติกรรมของผู้เรียน เพ่ือให้สามารถวัดพฤติกรรมที่เปล่ียนแปลงไปได้อย่างชัดเจน (ตามรายละเอียด สว่ นที่ 1 เรอื่ ง“วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม” หนา้ 31-40) 4. จดั สถานการณเ์ พอื่ การเรยี นรู้ สถานการณ์เพื่อการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอน สรา้ งข้นึ และ 2) กิจกรรมท่ีผู้เรียนกระทา โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียดดงั นี้ 4.1 กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างข้ึน เป็นกิจกรรมที่ผู้สอนแสดงออกในเนื้อหา ความรทู้ ต่ี อ้ งการใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้ (ตามรายละเอียด สว่ นท่ี 1 เร่ือง“สถานการณ์เพื่อการเรียนรู้” หนา้ 43-47) 4.2 กิจกรรมที่ผู้เรียนกระทา เป็นกิจกรรมท่ีผู้สอนกาหนดให้ ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ (interaction)กับกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้น(ตามรายละเอียดส่วนท่ี 1 เร่ือง “สถานการณเ์ พ่อื การเรยี นรู้” หนา้ 43-47) โดยกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างข้ึนและกิจกรรมท่ีผู้เรียนกระทาใช้“หลักคิด” ตามแนวความคิดจากหนังสือ “ถอดรหัสคิด”ของ ดร.โสภณ ธนะมัย เป็นหลักในการจัดกิจกรรม (ตามรายละเอียด สว่ นท่ี 1 เรือ่ ง“หลกั คิดเพื่อสรา้ งสถานการณก์ ารเรียนรู้” หนา้ 48-53)

92 5. จดั ทาส่อื ชว่ ยสอน สอื่ ช่วยสอนทีจ่ ัดทาขึน้ นั้น จะต้องสอดคล้องกับประเภทของเน้ือหาความรู้ท่ีต้องการ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยต้องสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างข้ึนและกิจกรรมที่ ผเู้ รียนกระทา(ตามรายละเอยี ด สว่ นที่ 1 เรื่อง “สื่อช่วยสอน” หน้า 54-55) 6. ทาการประเมนิ ผล โดยเป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ผู้สอน ต้องการให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนในทันทีที่ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้าง ข้ึน (ตามรายละเอียด สว่ นที่ 1 เรอื่ ง “การประเมนิ ผล” หน้า 56-58) ข้นั ตอนท่ี 2 ทดลองใชต้ ารางประสบการณเ์ พ่อื การเรียนรู้ รูปแบบการทดลองที่เหมาะสม ซึ่งผ้เู ขียนแนะนาให้ใช้มี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ รูปแบบที่ 1 แบบกลมุ่ เดียวมีการทดสอบครงั้ เดยี ว (One shot case study) และรูปแบบที่ 2 แบบกลุ่มเดียวแต่ มกี ารทดสอบก่อนและหลัง (One group pretest-posttest design) การแนะนาใหใ้ ช้รปู แบบการทดลอง 2 รปู แบบดังกล่าว ดว้ ยเหตุผล ดงั น้ี เนื่องจากนวัตกรรม คือ “ตารางประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้” ท่ีสร้างข้ึนน้ัน เพื่อ ประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนของผู้เรียนเป็นการเฉพาะ มีการประเมินผลการเรียนรู้ของ ผู้เรียนทันทีที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้น ทาให้ผู้สอนทราบว่า มี ผู้เรียนคนใดที่ยังเรียนรู้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีผู้สอนตั้งไว้ ซึ่งผู้สอนต้องปรับ “สถานการณ์การ เรียนรู้” ในตารางประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้”ใหม่ สาหรบั ผเู้ รยี นคนน้หี รือกลมุ่ น้ี ดังน้ันจึงเห็นได้ว่า การทดลองใช้ตารางประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ เป็นการวิจัยเพื่อ หาทางแก้ปัญหาและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ไม่ใช่เป็นการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฏีทาง วิชาการ จึงไม่จาเป็นต้องเคร่งครัดใช้รูปแบบการทดลองท่ีเรียกว่า “การทดลองแท้”(True Experiment) ที่สามารถดาเนินการทดลองได้ครบถ้วนกระบวนการ ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ อย่างแทจ้ รงิ ดงั เชน่ การทดลองในห้องปฏิบตั ิการ (Laboratory Experiment) การทดลองใช้ตารางประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ จัดได้ว่าเป็นการนาการวิจัยเชิงทดลอง ประเภท “การวิจัยสนาม” (Field Experiment) ซึ่งเป็นการวิจัยในสภาพการณ์ท่ีเป็นจริงตาม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook