ถอดรหสั อศ.กช. โสภณ ธนะมยั รวบรวมและเรียบเรยี ง : ลาวณั ย์ วจิ ารณ์
ก ถอดรหสั อศ.กช. ผเู้ ขยี น โสภณ ธนะมัย ผเู้ รยี บเรียง ผศ.ดร.ลาวณั ย์ วิจารณ์ จานวนหนา้ 67 หน้า ปีที่พมิ พ์ ตลุ าคม 2562 จานวนทพ่ี ิมพ์ 150 เลม่ พิมพ์ที่ โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรังสติ ถนนพหลโยธนิ เมืองเอก ปทุมธานี 12000 โทร. 0-2997-2200-30 จดั พิมพ์และเปน็ ลิขสทิ ธิ์ของ ผศ.ดร.ลาวณั ย์ วจิ ารณ์ ถอดรหัส อศ.กช.-- ปทมุ ธานี : โรงพิมพม์ หาวิทยาลยั รังสติ , 2562.67 หน้า. 1.เกษตรกรรม—การศึกษาและการสอน. 2.เกษตรกร. I.วราพล เกษมสนั ต์, ผวู้ าดภาพประกอบ II. ช่อื เรือ่ ง. 630.92 ISBN 978-616-565-119-6
ข คำนำผู้เขยี น ก่อนอ่ืน ผู้เขียนขอใช้พื้นที่น้ีกล่าวขอบคุณ fan club อ.โส /อ.นุช ท่ี รอคอยอ่านหนังสือเล่มนี้ ถึงขนาดว่า อ.นุช ต้องทยอยส่งต้นฉบับให้อ่านเป็น ตอนๆ ก่อนที่จะพิมพ์เล่ม นับเป็นกาลังใจให้มุ่งม่ันท่ีจะเขียนให้สาเร็จโดยเร็ว เพือ่ ตอบแทนนา้ ใจของทุกท่าน....ขอขอบคุณจรงิ ๆ เน้ือหาที่เรียบเรยี งเขียนขึน้ มาจากประสบการณ์ของผเู้ ขียน หยิบยก นามาอ้างจากผู้รู้บ้าง จากหนังสือ/ตาราบ้าง ลักษณะเน้ือหาของหนังสือเป็น การบอกกล่าวเร่ืองราว ประเภทความรู้รอบตัวท่ีเกี่ยวข้องกับ อศ.กช. ไม่ใช่ เป็นหนังสือวิชาการ ส่วนเนื้อหาจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านหรือไม่ แค่ไหน เพียงไรน้ัน ผู้อ่านต้องตัดสินใจเอง หากว่าเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ก็ขอ อนุโมทนาด้วย การจะนาเรื่องราวที่มีความสัมพันธ์กับ อซ.กช.ทั้งหมดมาเขียน รวมกันไว้ในหนังสือเล่มเดยี ว คงเป็นไปไม่ได้ เพราะลักษณะของ อศ.กช.ต้องมี การปรับขยายตามภาวการณ์เปล่ียนแปลงรอบด้าน เช่น วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีทางการเกษตร เทคโนโลยีการศึกษา สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมอื ง ไม่มสี นิ้ สดุ ทา้ ยน้ีขอขอบพระคุณยิ่งต่อเจ้าของผลงานอันทรงคุณค่า ที่ผู้เขียน ได้ หยิบฉวยมาใช้เขียนเรียบเรียง โดยมิได้อ้างอิงตามรูปแบบผลงานทางวิชาการ เพราะบางข้อความอยู่ในรูปที่คัดลอกเอามาเก็บไว้โดยไม่ได้บันทึกช่ือและ หนังสือ ส่วนที่บันทึกก็มิได้อยู่ในแบบอ้างอิงทางวิชาการ อีกประการหนึ่ง หนังสือ “ถอดรหัส อศ.กช.”นี้ ต้องการเพียงนาเสนอเรื่องราวท่ีควรรู้ อย่าง กะทดั รดั และอา่ นง่ายเทา่ นนั้ ไมใ่ ชเ่ ปน็ หนงั สอื วชิ าการแต่อยา่ งใดเลย
ค ท้ายที่สุดจริงๆ ถ้าส่วนดีของเนื้อหาในหนังสือพอมีอยู่บ้าง ส่วนที่เป็น ความดีนั้นผู้เขียนขอมอบให้กับท่านเจ้าของผลงานเขียนทุกท่านที่ผู้เขียนได้ หยิบยกนามาใชเ้ ขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอมอบให้ ผศ.ดร.ลาวัณย์ วิจารณ์ ท่ี มีน้าใจอุตสาหะในการรวบรวมและเรียบเรียง จนสาเร็จเป็นหนังสือเล่มน้ี มา มอบให้ L.E. CORPS ด้วยความรักและผกู พนั ตุลาคม 2562
สำรบญั ง เกรน่ิ นำ 1 ชอ่ื นนั้ สาคญั ไฉน 3 อศ.กช.: นักส่งเสรมิ อาชีวศกึ ษาเกษตร 4 ถอดรหัส อศ.กช. 5 สง่ เสริมกำรเกษตร 6 ครอบครัวเกษตร 8 ประเภทของเกษตรกร 12 สัจธรรมจากการเกษตร 13 เกษตรกรเรยี นรู้ทางการเกษตรอย่างไร 14 การตัดสนิ ใจเกี่ยวกบั นวตั กรรม 15 กระบวนการยอมรบั นวตั กรรม 16 การตดิ ต่อสื่อสาร 17 วธิ กี ารสง่ เสรมิ 18 แผนปฏิบัตงิ าน 19 บทบาทของนักสง่ เสรมิ 20 คณุ ลกั ษณะเฉพาะทีส่ าคญั ของนกั ส่งเสรมิ 21 กำรศกึ ษำ 22 ความหมายของการศึกษา 22 วัตถปุ ระสงค์การศึกษา 23 ระบบการศกึ ษา 24 หลกั การศึกษา 27 ความหมายของอาชวี ศึกษาเกษตร 28 หลักการจัดอาชีวศึกษาเกษตร 29 การสร้างหลักสตู รฐานสมรรถนะอาชีวศึกษาเกษตร
กำรพัฒนำ จ ความหมายของการพฒั นา การพัฒนาชนบท 30 ชมุ ชนชนบท 31 ผู้นาชุมชนชนบท 33 ความหมายของความยากจน 34 พลวัตรความยากจน 36 ทฤษฎีการพัฒนากับความยากจนในชนบท 37 การแบ่งเขตเกษตรเพ่ือวิเคราะหค์ วามยากจน 38 ปัจจัยสาคัญเพื่อการพฒั นาการเกษตร 40 41 เบด็ เตลด็ แตส่ ำคญั 42 ปัจจัยเสยี่ งของงาน อศ.กช. 44 ระบบราชการไทย 45 การศกึ ษาไทย 45 ความเป็นมาของโครงการ อศ.กช. 48 หลกั การดาเนินงานโครงการ อศ.กช. 50 หลักสตู ร ปวช.สาหรบั โครงการ อศ.กช. 51 ปฏวิ ัติใจ: เพอ่ื อศ.กช.ชวี ติ ใหม่ 53 อศ.กช.ชีวติ ใหม่ 55 ปฏิวัตใิ จ 55 งานกับอาชีพ 56 มนุษยสัมพนั ธ์ 57 วญิ ญาณวิจยั : อดุ มการณ์ อศ.กช. 59 รากเหงา้ อศ.กช.: อนิจจงั -อนิจจา 63 เพลง อศ.กช.ราลึก 64 รายชือ่ L.E. CORPS 66 67
1 เกร่ินนำ ชือ่ น้ันสำคัญไฉน ชื่อ-ใครว่ำไม่สำคัญ ที่จริงแล้วสำคัญเอำมำกๆ ไม่เช่นน้ันคงไม่มี กำรเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เป็นมงคล อศ.กช. ก็มีกำรเปลี่ยนชื่อ เน่ืองจำกรังเกียจ คำว่ำ“ยำกจน” จำได้ว่ำ ผู้ปกครองของนักเรียน อศ.กช.ท่ีเล้ียงปลำใน กระชังในทะเลสำบสงขลำร้องว่ำ พวกเขำไม่ได้จน แต่ต้องกำรเรียนวิชำกำร อกี ท้ังคำว่ำ“ยำกจน”ทำให้รูส้ ึกว่ำ “อำย”อีกดว้ ย กำรเปลี่ยนชอ่ื จำก“อำชวี ศกึ ษำเพอ่ื แก้ปัญหำควำมยำกจนในชนบท” จึงเกดิ ขึ้นเป็น “ อำชวี ศกึ ษำเพอื่ กำรพฒั นำชนบท ” แต่ยงั คงใชช้ อื่ ยอ่ เดมิ “ อศ.กช.”เอำไว้ แทนท่ีจะเป็นมงคลกลับนำมำซึ่งผลเสียยิ่ง เพรำะคำว่ำ “พัฒนำ”ทำ ให้เป้ำหมำยของกำรประเมินผล อศ.กช.“พร่ำมัว”เกิดควำมสับสนขึ้นในทำง ปฏิบตั ิ ทำอะไรเกี่ยวกับ อศ.กช. กจ็ ะอ้ำงว่ำ“น่แี หล่ะ พัฒนำ” อศ.กช. ไม่ใช่ช่ือแปลกของครูอำจำรย์ วิทยำลัยเกษตรและ เทคโนโลยี และวิทยำลัยประมง เพรำะคุ้นหู เรียกชื่อได้ติดปำก แต่ อุดมกำรณ์/ปรัชญำ/ควำมหมำยของ อศ.กช.ท่ีแท้จริงจะรู้หรือไม่ ไม่แน่ใจ! จะเป็น เพรำะงำน อศ.กช.ไม่ใช่งำนที่มองเห็นได้ด้วยตำเปล่ำ ต้องซึมซับไป ในจิตใจ ด้วยเหตุนี้หรือเปล่ำ ทำให้มีปัญหำในกำรพัฒนำงำน อศ.กช.ให้ เปน็ ไปอยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพ....นก่ี เ็ พยี งคิดไป กำรเปลี่ยนช่ือ อศ.กช. ท่ีอ้ำงอิงถึงควำมไม่พอใจของคำว่ำ “ยำกจน” น้ัน เป็นเพียงข้ออ้ำง เบ้ืองหลังน่ำจะใช้คำภำษำอังกฤษว่ำ mastermind ซ่ึง เปน็ ไปได้ทง้ั verb และ noun
2 ลักษณะเป็นคำกิริยำ: หมำยถึง วำงแผนและจัดกำรในเรื่องยำกๆ กำรแก้ปัญหำควำมยำกจนเป็นเรื่องยำก สำหรับผู้บริหำรสถำนศึกษำ และ ผบู้ ริหำรระดับสูงในส่วนกลำง ทำงออก คือ หำคำที่มีควำมหมำยกว้ำงๆ และ กำกวม ทำให้มีทำงออกได้หลำยทำง ยำกต่อกำรประเมินผล ท่ีระบุว่ำทำงำน ลม้ เหลว ลักษณะเป็นคำนำม: หมำยควำมถึง คนที่เป็นต้นคิดในกำรวำงแผน มกั จะสื่อควำมในทำงผิดกฎหมำย ขอตั้งคำถำมว่ำ คนที่เป็น mastermind (noun) ทำ mastermind (verb) เปล่ียนชื่อ อศ.กช. เพื่อควำมอยู่รอดขององค์กรได้สำเร็จนี้ ท่ำนคิดว่ำ เป็นคนทสี่ มควร จะไดร้ บั กำรยกย่องหรอื ประณำม ? ลองคิดดูว่ำ จำกปีเริ่มต้น อศ.กช. 2527 ถึงปัจจุบันก็ 35 ปีแล้ว ถ้ำ วษ.ท. / วป.ทำ อศ.กช. ได้สำเร็จ สำมำรถแก้ปัญหำควำมยำกจนให้กับ ครอบครัวเกษตรกรในชนบท ขณะเดียวกันก็สร้ำงเกษตรกรในชนบทพร้อมมี วุฒิกำรศึกษำด้วย ย่อมเป็นคุโณปกำรแก่ประเทศอย่ำงแน่นอน.....จริง หรอื ไม?่ ??? อศ.กช.: นักส่งเสรมิ อำชีวศึกษำเกษตร ปกติทั่วไปแล้วผูบ้ ริหำร วษ.ท. /วป. มอบหมำยครูอำจำรย์กลุ่มหนึ่ง ขอ เรียกว่ำ“ครู อศ.กช.” ให้ปฏิบัติงำน อศ.กช. โดยแต่งตั้งคนใดคนหน่ึงเป็น ผู้รบั ผิดชอบซึง่ เรียกวำ่ “หวั หน้ำงำน อศ.กช.” งำน อศ.กช.มีลักษณะของกำรผสมผสำน“กำรศึกษำในระบบ โรงเรียน”และ“กำรศึกษำนอกระบบโรงเรียน” กำรศึกษำในระบบโรงเรียน คอื กำรจัดกำรเรียนกำรสอนที่อิงกฎระเบียบตำมหลักสูตรอำชีวศึกษำเกษตร ส่วนกำรศึกษำนอกระบบโรงเรียนนั้น มีลักษณะเป็นงำนส่งเสริม คือ บริกำร
3 วิชำกำรเกษตร โดยใหค้ วำมรูแ้ ก่ผปู้ ระกอบอำชีพและผู้สนใจทำงเกษตรกรรม ทอ่ี ยู่นอกกำรจัดกำรตำมปกติในสถำนศึกษำ ดังนั้นครู อศ.กช.จึงต้องรับบทบำทเป็น“นักส่งเสริมอำชีวศึกษำ เกษตร”ซ่ึงหมำยถึงเป็นผู้ชำนำญกำรในกำรจัดอำชีวศึกษำเกษตรให้แก่ ครอบครัวเกษตรกรและผสู้ นใจโดยท่ัวไปนอกสถำนศกึ ษำ
4 ถอดรหัส อศ.กช. กำรท่ีเรำจำเป็นจะต้องพูดถึง “ ถอดรหัส อศ.กช.” เพรำะว่ำกำรที่ จะดำเนินงำนโครงกำร อศ.กช.ให้ประสบควำมสำเร็จ มีเรื่องรำวท่ี“ครู อศ. กช.: นักส่งเสริมอำชีวศึกษำเกษตร” จะต้องทำควำมเข้ำใจก่อนที่จะลงมือ ทำ เพรำะงำน อศ.กช.จำเป็นต้องอำศัยวิทยำกำรหลำยสำขำวิชำเข้ำช่วย และทุกเร่ืองนั้น ล้วนแต่มีรำยละเอียดปลีกย่อย ซ่ึงครู อศ.กช.ควรได้ศึกษำ เพ่ิมเติม เพ่ือให้กำรทำงำนในหน้ำท่ีที่มีควำมสำคัญย่ิงนี้ประสบควำมสำเร็จ อยำ่ งเตม็ ที่ คำถำม: มเี ร่อื งอะไรบ้ำงที่ต้องมำถอดรหัสกัน??? คำตอบ: 1. กล่มุ สง่ เสริมกำรเกษตร 2. กลมุ่ กำรศกึ ษำ 3. กลุม่ กำรพัฒนำ 4. เบ็ดเตล็ดแตส่ ำคญั ในแตล่ ะกลุ่มจะมีรำยละเอียด สำมำรถดูไดใ้ น “สำรบญั ” ต่อไปนี้จะขยำยควำมแต่ละรำยละเอียด โดยสรุปเฉพำะใจควำม สำคัญเท่ำน้ัน ผู้อ่ำนซ่ึงเป็น “กองกำลัง L.E.” (L.E.CORPS) ถ้ำสนใจใน รำยละเอียดกส็ ำมำรถหำอำ่ นเพิม่ เตมิ จำกหนงั สือทัว่ ไปได้
5 สง่ เสริมกำรเกษตร 1. ครอบครัวเกษตร 2. ประเภทของเกษตรกร 3. สจั ธรรมจำกกำรเกษตร 4. เกษตรกรเรียนรวู้ ทิ ยำกำรทำงเกษตร มำได้อยำ่ งไร 5. กำรตดั สนิ ใจเก่ยี วกับนวตั กรรม 6. กระบวนกำรยอมรบั นวัตกรรม 7. กำรติดต่อส่อื สำร 8. วิธีกำรส่งเสรมิ 9. แผนปฏิบตั ิงำน 10. บทบำทของนักสง่ เสรมิ 11. คณุ ลักษณะเฉพำะที่สำคัญของนักสง่ เสรมิ
6 ครอบครวั เกษตร บ้ำน คือที่อยู่อำศัยของครอบครัว บ้ำนเกษตร คือ บ้ำนของ ครอบครัวเกษตรกร ซึง่ เป็นหน่วยของสงั คมและหน่วยของเศรษฐกิจที่มีขนำด เล็กท่ีสุดของสังคม คำว่ำครอบครัวในทำงกฎหมำย หมำยถึง กลมุ่ คนที่มสี ำยสัมพันธก์ ัน ในทำงกฎหมำย แต่ละครอบครัว ก็มีบ้ำน เป็นศูนย์กลำงของครอบครัว ควบคุมจัดระเบียบให้อยู่ร่วมกันอย่ำงสงบสุข บ้ำนยังเป็นศูนย์ควบคุมระบบ เศรษฐกิจของครอบครัว ผู้รับผิดชอบในกำรหำรำยได้จะทำหน้ำท่ีเป็นหัวหน้ำ ควบคมุ ครอบครัวเกษตร ประกอบอำชีพเกษตรกรรม ซ่ึงต้องทำงำนอย่ำง เดียวกัน มีควำมรับผิดชอบต่อผลได้ผลเสียรว่ มกัน สมำชิกทุกคนในครอบครัว เป็นแรงงำน ต้องพึ่งพำอำศัยซึ่งกันและกัน แรงงำนทุกแรงงำนจึงมีค่ำมำก หำกแรงใดแรงหนึ่งต้องขำดไปจะกระทบกระเทือนต่อต้นทุน หรือรำยได้ของ ครอบครวั ทันที่ ในบ้ำนเกษตร ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก อำจมีผู้อำศัยรวมอยู่ด้วย ในส่วนของลูกๆนั้น ผู้ท่ีพ้นวัยศึกษำ หรือผู้ที่อยู่ในวัยแรงงำน ถ้ำเป็นผู้ชำยก็ จะร่วมกับพ่อแม่ รับผิดชอบกิจกำรกำรเกษตรของครอบครัว ถ้ำเป็นผู้หญิงก็ รับหน้ำที่ทั้งกำรเกษตรและกำรบ้ำน ผู้ท่ีอยู่ในวัยเรียน เม่ือมีเวลำว่ำงก็ต้อง ชว่ ยพ่อแม่ทำงำนด้วย ส่วนผู้ที่พ้นวัยกำรศึกษำภำคบังคับแล้ว ถ้ำบ้ำนอยู่ไกล สถำนศึกษำ เป็นอันแน่นอนว่ำ หยุดเรียนโดยอตั โนมตั ิ หำกมีลูกหลำยคน พ่อแมก่ ็จะวำงแผนอำชีพโดยสังเกตถงึ ควำมสนใจ ควำมสำมำรถของลูกว่ำ ลูกคนไหนจะเป็นผู้รับช่วงอำชีพเกษตรกรรมของ ครอบครัว อย่ำงไรก็ตำม ก็จะมีลูกอีกส่วนหน่ึงต้องกำรจะหนีจำก
7 สภำพแวดล้อมของบ้ำนเกษตรไปอยู่ที่สภำพแวดล้อมใหม่ โดยทิ้งนำไร่ไป ประกอบอำชีพอื่น จึงเกิดมีกำรเคลื่อนย้ำยของประชำกรวัยแรงงำน จำก เกษตรกรรมไปสู่เมืองใหญ่ ทำให้กิจกำรหลักของอำชีพเกษตรกรรมของ ครอบครัวตอ้ งประสบปัญหำแรงงำน ตำมปกติแล้วครอบครัวจะมีกำรพัฒนำไปทำงหนึ่งทำงใด ก็ต้อง เริ่มต้นที่ครอบครัว โดยอำศัยควำมริเร่ิมของสมำชิกในครอบครัว หรือจำก เหตุกำรณ์ภำยนอกกระตุ้นให้ครอบครัวเกิดแนวควำมคิดใหม่ อำจจะเป็นว่ำ คนในครอบครัวได้พบกับข่ำวสำร จำกบุคคลภำยนอก หรืออำจจะยินดีให้ บคุ คลภำยนอกมำพบเพ่ือแจ้งขำ่ วสำรให้รู้ ขอฝำกผ้อู ำ่ น …..ท่ำนคิดวำ่ พ่อ-แม-่ ลูก จะเรียน อศ.กช.ร่วมกนั ได้ไหม?
8 ประเภทของเกษตรกร เกษตรกรเป็นคำรวมที่ใช้เรียก “ผทู้ ่ีประกอบอำชีพเกษตรกรรม” แต่ ก็มีคำเรียกเฉพำะตำมลักษณะของกิจกรรมที่ทำ เช่น ผู้ทำนำเรียกว่ำ ชำวนำ ผู้ทำสวนเรียกว่ำ ชำวสวน ผู้ทำไร่ เรียกว่ำ ชำวไร่ ผู้ทำกำรประมง ก็เรียกว่ำ ชำวประมง ผู้ทำนำเกลือก็เรียกว่ำ ชำวนำเกลือ เป็นต้น ในบรรดำชำวเกษตร ท้ังหลำยในประเทศไทยแลว้ เกษตรกรมอี ำชีพในทำงทำนำมำกที่สุด ในกำรส่งเสริมกำรเกษตร ได้มีกำรจำแนกเกษตรกร ออกเป็น ประเภทต่ำงๆเพอ่ื สะดวกต่อกำรทำควำมเขำ้ ใจในตัวเกษตรกร 1. จำแนกตำมสำเหตุของกำรท่ีบุคคลจะประกอบอ ำชีพ เกษตรกรรม 1.1 เกษตรกรอำชพี โดยกำเนิด ได้แก่ บุคคลทมี่ กี ำเนิดจำก ครอบครัวที่ประกอบอำชีพเกษตรกรรมอยู่แล้วและดำเนินกิจกำรเป็นอำชีพ ของตนตอ่ มำ 1.2 เกษตรกรอำชีพโดยควำมสมคั รใจ ไดแ้ กบ่ ุคคลทีป่ ระกอบ อำชพี อื่นอยู่แลว้ และมใี จรกั กำรเกษตร จึงหันมำประกอบอำชีพเกษตรกรรม 1.3 เกษตรกรจำเป็น ได้แก่ บคุ คลในครอบครัวเกษตร จำเป็นต้องประกอบอำชีพเกษตรกรรม แต่ไม่ได้มีใจรัก ตัวเองมักต้องท้ิง ครอบครัวไปหำกินที่อื่น เพ่ือหำรำยได้เพิ่ม หำกมีควำมม่ันคงดีกว่ำ ก็ย้ำย ครอบครัวไปตั้งหลักแหล่งใหม่ บำงคนก็ท้ิงครอบครัวเอำไว้ประกอบอำชีพ ตำมลำพัง 1.4 เกษตรกรสมคั รเลน่ หรอื เกษตรกรสุดสปั ดำห์ ไดแ้ ก่บคุ คลท่ี ประกอบอำชพี อื่นเป็นประจำอยู่แลว้ แต่มใี จรกั กำรเกษตร ทำหวังในทำงกำร พักผ่อนเสียมำกกว่ำ แต่บำงกลุ่มก็หวังจะยึดเป็นอำชีพถำวรหลังพ้นจำกงำน ประจำ
9 2. จำแนกตำมชว่ งเวลำท่ีต่ำงกันในกำรยอมรบั นวัตกรรม 2.1 พวกหัวก้ำวหน้ำ เป็นบุคคลกลุ่มแรกที่ยอมรับนวัตกรรมนั้น แล้วนำไปปฏิบัติโดยทันที ยอมเส่ียงกับควำมเสียหำยหรือควำมผิดพลำดที่ อำจจะเกิดข้ึน โดยทั่วไปคนกลุ่มนี้มีประมำณ 2.5% ของบุคคลเป้ำหมำย ทง้ั หมด คนกลุ่มนี้จะมีนิสยั ในกำรเปิดรับข้อมูลข่ำวสำร กระตือรือร้น ใน กำรแสวงหำควำมร้ใู หม่ มีกำรศึกษำและฐำนะดี 2.2 พวกรบั เรว็ เปน็ บุคคลกลุ่มท่ียอมรับนวตั กรรมตำมหลงั พวก หัวก้ำวหน้ำ เพรำะใช้เวลำในกำรพิจำรณำนวัตกรรมนำนกว่ำ คนกลุ่มนี้จะมี ประมำณ 13.5%ของกลุ่มบุคคลเป้ำหมำยทง้ั หมด คนกลุ่มน้ีเป็นผู้ท่ีมีควำมต่ืนตัว ชอบท่ีจะนำนวัตกรรมไปปรับใช้ ให้เกดิ ประโยชน์ 2.3 พวกขอให้แน่ใจ เป็นบุคคลท่ียอมรับนวัตกรรม แต่ใช้ เวลำนำนกว่ำกลุ่มที่ 2 แต่พอแน่ใจแล้ว ก็ยอมรับไปปฏิบัติ คนกลุ่มนี้จะมี ประมำณ 34%ของกล่มุ เป้ำหมำยทง้ั หมด คนกลุ่มน้ีเป็นพวกที่ให้ควำมร่วมมือและมีส่วนร่วมทำกิจกรรม รว่ มกบั ชมุ ชนเสมอๆ 2.4 พวกยอมรับช้ำ เป็นบุคคลท่ีชอบทำตำมอย่ำงท่ีคนอ่ืนได้ทำ มำก่อน จะยอมรับนวัตกรรม เม่ือคนส่วนใหญ่ในชุมชนได้ยอมรับไปก่อนแล้ว คนกลมุ่ นจ้ี ะมปี ระมำณ 34% ของกลุ่มบุคคลเป้ำหมำยทัง้ หมด คนกลุ่มน้ีจะเช่ือถือเพื่อนบ้ำนใกล้กันมำก ไม่ค่อยติดต่อส่ือสำร สัมพันธก์ ับคนอนื่ คอ่ นข้ำงจะใช้ชวี ิตอยตู่ ำมลำพัง ไม่ค่อยให้ควำมรว่ มมอื และ มีสว่ นรว่ มทำกิจกรรมกบั ชุมชน
10 2.5 พวกร้ังท้ำย เป็นบุคคลกลุ่มสุดท้ำยท่ีจะยอมรับนวัตกรรม หลังจำกผู้อ่ืนยอมรับไปหมดแล้ว คนกลุ่มน้ีมีอยู่ประมำณ 16%ของ กลุ่มเป้ำหมำยท้ังหมด คนกลุ่มน้ีไม่คอ่ ยเข้ำรว่ มกิจกรรมกับกลมุ่ ทเี่ ป็นทำงกำร มวี ิถีชวี ิต ทแี่ ยกตวั ออกมำเป็นอิสระ 3. จำแนกตำมควำมสำมำรถในกำรเรยี นรู้ ได้ มี ก ำ ร ป ร ะ ยุ ก ต์ จ ำ ก พุ ท ธ ศ ำ ส น ำ ที่ แ บ่ ง ม นุ ษ ย์ อ อ ก ต ำ ม ควำมสำมำรถในกำรเรียนรอู้ อกเป็น 4 เหลำ่ ประดุจดอกบัว ได้แก่ 3.1 พวกท่ี 1 ดอกบัวทีจ่ มอยใู่ นโคลนตม คงเรยี นไม่ได้ 3.2 พวกท่ี 2 ดอกบวั ทีข่ ึน้ มำแต่ยงั อยู่ใตน้ ำ้ พอจะเรียนได้ 3.3 พวกท่ี 3 ดอกบวั ท่ีขนึ้ มำปรม่ิ น้ำแล้ว คงเรยี นได้อย่ำงดีและ 3.4 พวกท่ี 4 ดอกบัวที่โผล่ขึ้นมำเหนือน้ำและบำนไสวแล้ว เรยี นเพยี งคร้งั เดยี วก็คงจะสำเร็จ 4. จำแนกตำมลักษณะของควำมสำมำรถ 4.1 บัวในตม ได้แก่ เกษตรกรท่ีผลิตไม่พอเล้ียงชีพ มีขีด ควำมสำมำรถต่ำ 4.2 บัวโผล่เหนือตมแต่อยู่ใต้น้ำ ได้แก่เกษตรกรที่มีขีด ควำมสำมำรถในกำรประกอบกำรสงู กว่ำพวกบวั ใต้ตม ผลติ พอเลย้ี งชีพได้ 4.3 บัวปร่ิมน้ำ ได้แก่เกษตรกรท่ีมีควำมสำมำรถในกำร ประกอบกำรดี มีรำยได้พอเลี้ยงชีพอย่ำงไม่เดือดร้อน แต่ยังต้องกำรควำม ชว่ ยเหลือเพม่ิ เตมิ 4.4 บัวตูมเหนือน้ำ ได้แก่เกษตรกรท่ีประสบควำมสำเร็จใน อำชีพเกษตรกรรมโดยอำศัยควำมช่วยเหลือเป็นส่วนน้อยหรือไม่ต้องกำรเลย มรี ำยไดด้ ี
11 4.4 บัวบำน ได้แก่เกษตรกรข้ันทำกำรเกษตรเป็นกำรค้ำหรือ เกษตรอุตสำหกรรม มรี ำยได้ มน่ั คงในอำชีพ ขอฝำกผู้อ่ำน.....ท่ำนคิดว่ำกำรจำแนกประเภทเกษตรกรมี ประโยชน์อย่ำงไร ? กบั กำรจดั อศ.กช.
12 สัจธรรมจำกกำรเกษตร ประสบกำรณ์ชีวิตโดยตรงกับกำรทำกำรเกษตร ทำให้เกษตรกรได้ เรยี นรู้ถึงควำมจริงแทข้ องชวี ิตควำมเป็นเกษตรกรวำ่ ....ตอ้ งเปน็ คนท่ีม.ี ... 1. ควำมเปน็ เหตเุ ป็นผล 1.1 เกษตรกรรู้ว่ำจะเก็บเกี่ยวข้ำวก็ต้องในนำ เก็บเก่ียวผักก็ต้อง ในแปลงผัก เก็บเกย่ี วขำ้ วโพดก็ต้องในไรข่ ำ้ วโพด ฯลฯ 1.2 เกษตรกรรู้ว่ำหว่ำนพืชอะไรก็ย่อมจะต้องได้ผลจำกพืชน้ัน ไม่ใชพ่ ืชอื่น 1.3 เกษตรกรรู้ว่ำ ผลผลิตท่ีได้ขึ้นอยู่กับกำรลงแรงและลงทุนที่ได้ ลงไป 2. ควำมซอ่ื สตั ย์ 2.1 เกษตรกรรู้ว่ำ กำรทำกำรเกษตรต้องทำเป็นข้ันเป็นตอนด้วย ควำมจริงจังและจริงใจ จะข้ำมข้ันตอนในกระบวนกำรไปไม่ได้ เช่น ปลูกผักก็ เริ่มจำกขุดหลุมปลูก ใส่ปุ๋ยคอกลงไป หยอดเมล็ดลงไป รดน้ำให้ชุ่ม ปรำบ วัชพืช จะข้ำมขั้นตอนไม่ได้...ถ้ำข้ำมก็ถือว่ำไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงจังและไม่จริงใจ นอกจำกนย้ี งั จะตอ้ งรกั พืชทีป่ ลูกและสัตวท์ เี่ ลี้ยงอยำ่ งจรงิ ใจอกี ด้วย 2.2 เกษตรกรรู้ว่ำจะหลอกต้นมะม่วงที่ให้ผลน้อยในปีน้ีว่ำ ถ้ำออก ดอกออกผลสมบูรณ์ให้แล้วในปีหน้ำ จะเอำปุ๋ยมำใส่ให้ วิธีกำรน้ีย่อมไม่ได้ผล แน่นอน 3 จิตใจตอ้ งเข้มแข็ง เกษตรกรรู้ว่ำต้องทนต่อควำมแห้งแล้ง น้ำท่วม ลม ฝน พำยุ ควำมร้อน โรค แมลงศัตรูพืช ศัตรูสัตว์ ฯลฯ จึงจะต้องมีพลังใจ พลังกำยที่ แขง็ แกร่งในกำรจะเอำชนะอุปสรรคตำ่ งๆจำกธรรมชำติ
13 4. ควำมอ่อนน้อมถ่อมตน เกษตรกรได้เห็นภำพและรู้ว่ำ รวงข้ำวท่ีอุดมสมบูรณ์นั้น เมื่อแก่สุก แล้ว จะน้อมตำ่ ลง สว่ นขำ้ วท่ีลีบจะชรู วงแข็งทอื่ นำ่ ชิงชัง 5. ตอ้ งพึ่งตนเองและรว่ มมือกนั เกษตรกรรู้ว่ำ ต้นไม้นั้นรำกจะดูดน้ำและอำหำรจำกดิน ขณะท่ีใบก็ จะปรุงอำหำรจำกอำกำศ รำกกับใบร่วมมือกัน ท้ังรำกและใบต่ำงก็ทำหน้ำท่ี ของตนเอง จงึ จะทำใหช้ วี ติ ของตน้ ไม้ดำเนินต่อไปได้ ขอฝำกผู้อ่ำน....เช่ือหรือไม่ว่ำทั้ง 5 ประกำรนั้น คือ ลักษณะของ เกษตรกรไทย? เกษตรกรเรยี นร้วู ิทยำกำรทำงกำรเกษตรได้อย่ำงไร? 1. จำกบรรพบุรุษ กรรมวิธีต่ำงๆท่ีเป็นมรดกตกทอดกันมำและ เกษตรกรกย็ ังยึดมนั่ อยู่ถึงทกุ วนั นี้ 2. ด้วยตนเอง เป็นกำรเรียนจำกกำรกระทำด้วยตนเอง (learning by doing) เช่นได้จำกควำมคิดของตนเอง ได้ทดลองโดยลองผิดลองถูก เป็น ตน้ 3. จำกเพื่อนเกษตรกร กำรถ่ำยเทควำมรู้ระหว่ำงเกษตรกรด้วยกัน ทำได้ง่ำย เพรำะมีควำมเข้ำใจและรู้ปัญหำควำมต้องกำรของกันและกันเป็น อยำ่ งดี 4. จำกกำรบริกำรของรัฐและเอกชน ได้แก่ควำมรู้เกี่ยวกับกำร จัดกำรที่มีประสิทธิภำพเพ่ือให้ผลผลิตสูงสุดด้วยกำรลงทุนน้อยท่ีสุด และ ควำมร้ทู ำงวิทยำกำรดำ้ นกำรเกษตรทง้ั ทฤษฎีและวธิ ปี ฏิบัติ ขอฝำกผู้อำ่ น....เกษตรกรจะได้อะไร? จำก อศ.กช.หรอื ?
14 กำรตดั สินใจเกี่ยวกับนวตั กรรม นวัตกรรม (innovation) หมำยถึง ควำมคิด กำรปฏิบัติหรือวัตถุที่ บุคคลรับรู้ว่ำ “เป็นสิ่งใหม่”สำหรับตนหรือนำเข้ำไปใช้ในระบบสังคม และ รวมถงึ แนวควำมคดิ แบบแผนพฤติกรรมหรือสิง่ ของใหม่ๆทีแ่ ตกต่ำงไปจำกที่มี อยู่เดิม ซึ่งควำมใหม่ในท่ีน้ีมีควำมหมำย ครอบคลุมถึงเร่ืองรำวต่ำงๆ ดังนั้น ควำมคิดและกำรปฏิบัติทุกอย่ำงที่เป็นสิ่งใหม่ของสังคม ณ ช่วงเวลำหน่ึง คือ “นวัตกรรมหรือสิง่ ใหม่”ของสงั คมน้นั ๆ ขอฝำกผอู้ ำ่ น.......โครงกำร อศ.กช. เปน็ “นวัตกรรม” หรอื ไม?่ กระบวนกำรตดั สนิ ใจเกยี่ วกบั นวัตกรรม ประกอบดว้ ย 5 ขั้นตอนตำมลำดบั ดังนี้ 1. ขัน้ รบั รู้: บคุ คลหรือหน่วยงำนเริม่ รับรวู้ ่ำมนี วัตกรรมนน้ั ๆ เกิดข้ึน 2. ขั้นชักจูง: เป็นขั้นตอนที่เกี่ยวกับควำมรู้สึกของบุคคลว่ำ “เห็น ด้วยหรอื ไม่เหน็ ดว้ ย” “ชอบหรอื ไม่ชอบ”นวัตกรรมน้ันๆ ตลอดจนเห็นคุณค่ำ ของนวัตกรรมหรือไม่? โดยบุคคลจะประเมินนวัตกรรมด้วยกำรตีควำมหมำย จำกข้อมูลข่ำวสำรที่ได้รับ กำรได้รับข่ำวสำรท่ีเพียงพอจึงเป็นปัจจัยสำคัญท่ี จะทำให้ ชอบหรือไม่ชอบนวัตกรรมน้ัน จนนำไปสู่กำรตัดสินใจยอมรับหรือ ปฏเิ สธ 3. ข้ันตัดสินใจ: เป็นขั้นตอนท่ีบุคคลตัดสินใจว่ำจะยอมรับหรือ ปฏเิ สธนวตั กรรมน้นั ๆ 4. ข้ันนำไปใช้: บุคคลจะแสวงหำส่ิงต่ำงๆเก่ียวกับนวัตกรรมน้ัน ต่อไป เพือ่ ใหเ้ กดิ ควำมเช่ือมนั่ ในคณุ คำ่ ของนวัตกรรมที่จะนำไปใช้ 5. ขั้นยืนยันกำรตัดสินใจ: ภำยหลังกำรตัดสินใจยอมรับนวัตกรรม บุคคลจะแสวงหำข้อมูลหรือแรงเสริมมำสร้ำงสถำนกำรณ์ตัดสินใจยอมรับ นวัตกรรมนั้น หำกข้อมูลและแรงเสริมท่ีได้รับยังสนับสนุนข้อมูลเดิม
15 กระบวนกำรยอมรับยังคงดำเนินต่อไป แต่หำกเป็นไปในทำงตรงข้ำม กล่ำว คือ ข้อมูลและแรงเสริมท่ีได้รับขัดแย้งกับข้อมูลเดิมที่ได้รับโดยตลอด บุคคล อำจตัดสนิ ใจปฏิเสธนวัตกรรมนั้นๆ ขอฝำกผู้อำ่ น. .....โอกำสที่โครงกำร อศ.กช. ของวิทยำลัยฯจะได้รับกำรยอมรับมี ควำมเปน็ ไปไดก้ %่ี . ....โอกำสที่โครงกำร อศ.กช. ของวิทยำลัยฯ จะถูกปฏิเสธ มีควำม เปน็ ไปได้กี่% กระบวนกำรยอมรับนวัตกรรม กระบวนกำรยอมรับนวัตกรรมที่จะนำเสนอต่อไปนี้ก็เหมือนกับ “กำรตัดสินใจเก่ียวกับนวัตกรรม”ดังกล่ำวแล้วข้ำงต้น แต่ที่จะนำเสนอนี้จะ เป็นข้อควำมกระชับแต่ชัดเจนเข้ำใจง่ำย ทั้งนี้ด้วยปรำรถนำให้ผู้อ่ำนเพ่งมอง ไตร่ตรอง โดยสมมติว่ำ “ นวัตกรรม” ในที่นี้คือ “ เน้ือหำควำมรู้ ” ท่ีครู อศ.กช. สอนนกั เรียน อศ.กช. ข้นั ตอนกระบวนกำรยอมรับนวตั กรรม 1.ขั้นรับรู้ เป็นข้ันตอนท่ีบุคคลเร่ิมรับรู้ว่ำมีนวัตกรรมเกิดขึ้น แต่ยัง ขำดรำยละเอยี ด ทำใหบ้ ุคคลยังไม่เกิดทัศนคตทิ ด่ี ีต่อนวตั กรรมน้นั ๆ 2.ขั้นสนใจ เป็นข้ันตอนที่บุคคลเร่ิมสนใจหำรำยละเอียดของควำมรู้ เกี่ยวกับนวัตกรรมเพ่ิมเติมจำกแหลง่ ข้อมลู ตำ่ งๆ 3.ขั้นประเมินหรือไตร่ตรอง เป็นข้ันตอนท่ีบุคคลนำรำยละเอียด ควำมรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมมำพิจำรณำ เพ่ือประเมินผลดีผลเสียจนมีทัศนคติท่ี ชดั เจนตอ่ นวัตกรรม 4.ขั้นทดลองทำ เป็นผลจำกกำรประเมินของบุคคล ซึ่งนำไปสู่กำร ทดลองใชน้ วตั กรรม
16 5. ข้ันตอนกำรยอมรับไปปฏิบัติ เป็นขั้นตอนที่บุคคลตัดสินใจ ยอมรบั นำนวตั กรรมดังกล่ำวมำปฏบิ ตั จิ นเป็นวัฒนธรรมหรือวถิ ชี วี ติ ของตน ขอฝำกผู้อ่ำน.....ท่ำนคิดว่ำ “เนื้อหำควำมรู้”โดยเฉพำะในหมวด วิชำชีพนั้น นักเรียน อศ.กช.จะยอมรับส่ิงที่ครู อศ.กช.สอนหรือไม่? ถ้ำครูคน นนั้ ไม่ไดค้ ำนึงถงึ กระบวนกำรน้ี? กำรติดตอ่ สือ่ สำร กำรติดตอ่ สอื่ สำร เปน็ งำนสำคัญหน่ึงของครู อศ.กช.เพรำะจะต้องทำ เก่ียวกับกำรประสำนงำนกับแผนกวิชำต่ำงๆในสถำนศึกษำ ประสำนงำน เกี่ยวกับหน่วยงำนในชุมชน เพื่อขอใช้สถำนท่ีจัดกำรเรียนกำรสอน ประสำนงำนกับฟำร์ม สถำนประกอบกำรรว่ มจดั อศ.กช. ประชำสัมพนั ธ์ อศ. กช.สูช่ ุมชน ประสำนงำนผ้ทู รงคณุ วุฒทิ ำงกำรเกษตรในชมุ ชน เปน็ ตน้ จำกตัวอย่ำงภำรกจิ ของครู อศ.กช. ดังน้ันครู อศ.กช.จำเป็นจะต้องมี ควำมรู้ควำมเข้ำใจในกำรติดต่อส่ือสำร จะขอยกเพียงบำงเร่ืองมำนำเสนอ ดงั น้ี กระบวนกำรติดตอ่ สือ่ สำร: ประกอบด้วย ผสู้ ่ง ส่งตัวขำ่ วสำร ผ่ำน ช่องทำง ไปถงึ ผู้รับขำ่ วสำร ขำ่ วสำร เช่น งำน อศ.กช. ส่ือสำร เช่น บคุ ลำกรทำงกำร เช่น เอกสำร ศึกษำ กลมุ่ เปำ้ หมำย สงิ่ พิมพ์ อศ.กช. ในชมุ ชน ฟำรม์ หนังสือพิมพ์ สถำนประกอบกำรใน ทอ้ งถนิ่ วทิ ยุ ทอ้ งถ่ิน หน่วยงำน ท้องถิน่ โทรศพั ท์ ภำครัฐ/เอกชน/ท้องถ่นิ ตัวบุคคล
17 กระบวนกำรติดต่อส่ือสำรแบบน้ีเรียกว่ำ กำรติดต่อสื่อสำรแบบทำง เดยี ว (one – way communication) มีกระบวนกำรติดต่อส่ือสำรอีกแบบหน่ึง เรียกว่ำ กำรติดต่อส่ือสำร แบบสองทำง (two-way communication ) กล่ำวคือ มีปฏิกิริยำโต้กลับ จำก “ผูร้ บั ข่ำวสำร” สอื่ สำรควำมคิดเหน็ ของตนกลบั มำยัง “ผสู้ ง่ ขำ่ วสำร” จะเห็นได้ว่ำ two-way communication จะมีประสิทธิภำพและ ประสทิ ธผิ ลสูงกว่ำ one-way communication วิธีกำรส่งเสรมิ วธิ ีกำรส่งเสริมประกอบดว้ ย 3 วิธีตอ่ ไปน้ี 1. วิธีกำรส่งเสริมเป็นรำยบุคคล เป็นวิธีกำรเข้ำถึงรำยบุคคล เช่น กำรเยี่ยมเยียนที่บ้ำนและไร่นำ กำรติดต่อทำงโทรศัพท์ กำรติดต่อทำง จดหมำย เปน็ ตน้ 2. วิธีกำรส่งเสริมแบบเป็นกลุ่มบุคคล เป็นวิธีกำรเข้ำถึงบุคคลใน ลักษณะของกลุ่มบุคคล เช่น กำรประชุม กำรบรรยำย กำรฝึกอบรม กำร สมั มนำ กำรจัดงำนวนั เกษตร กำรสำธติ วธิ ี เป็นตน้ 3. วิธีกำรส่งเสริมแบบเป็นมวลชน เป็นวิธีกำรเข้ำถึงคนกลุ่มใหญ่ หรือประชำนทั่วไป โดยเป็นกำรติดต่อผ่ำนทำงสื่อมวลชน เช่น ผ่ำนวิทยุ ส่ิง ตพี ิมพ์ หนังสือพิมพท์ ้องถน่ิ เป็นต้น จะเห็นได้ว่ำวิธีกำรส่งเสริมได้ช้ีแนะถึงช่องทำงส่ือสำรที่เหมำะสม กับผู้รับข่ำวสำรว่ำเป็นแบบใด เป็นรำยบุคคล เป็นกลุ่มบุคคล หรือเป็น มวลชนว่ำควรจะใช้แบบใด ขอฝำกผู้อ่ำน....ท่ำนเห็นหนทำงจัดทำกำรประชำสัมพันธ์โครงกำร อศ.กช.อยำ่ งไร?
18 แผนปฏิบตั ิงำน แผนปฏิบัติงำน (action plan) ถือได้ว่ำเป็นข้ันสำคัญส่วนท้ำยของ กำรจะปฏิบัติงำนตำมโครงกำรต่ำงๆ ทั้งน้ีโดยคิดวิธีกำรดำเนินงำนก่อนว่ำ งำน/กิจกรรมที่จะต้องทำคืออะไร จะทำอย่ำงไร จึงจะทำให้สำเร็จ ทำท่ีไหน ทำเมอ่ื ใด ใครเปน็ ผู้รบั ผดิ ชอบ ถ้ำจะให้จำง่ำย ก็ให้ระลึกถึงตอบคำถำมว่ำ What, How, Where, When, Who นัน่ เอง ตัวอย่ำง แบบฟอร์มแผนปฏิบัตงิ ำน ตวั อยำ่ งเช่น แผนปฏิบตั งิ ำนประชำสัมพันธ์โครงกำร อศ.กช. งำน/กิจกรรม วธิ ีกำรและ สถำนท่ี วนั /เวลำ ผู้รับผิดชอบ หมำยเหตุ อุปกรณ์ ประชำสมั พันธ์ สมำคมเกษตร 1 ต.ค. 2562 ครู อศ.กช. รว่ มมอื กับ โครงกำร ประชมุ ชี้แจง ปลอดภัย กลุ่มท่ี 1 คนท่ี 1 นำยก อศ.กช. และฉำย อ.หนองหญ้ำไซ 16.00-17.00 น คนท่ี 2 สมำคมฯ แก่สมำชกิ Powerpoint จ.สุพรรณบุรี กล่มุ ท่ี 2 คนที่ 3 เกษตร สมำคมเกษตร เผยแพร่ 17.00-18.30 น ปลอดภยั ปลอดภัย กลมุ่ ที่ 1 กลุม่ ท่ี 2 ขอฝำกผู้อ่ำน.....แผนปฏิบัติงำน ช่วยให้ครู อศ.กช.รู้งำนของตน ท่ำนคิดว่ำจะเสริมสร้ำงควำมร่วมมือระหว่ำงกนั ไดห้ รอื ไม่
19 บทบำทของนกั สง่ เสรมิ 1.ผู้ประสำนงำน เพ่ือสร้ำงควำมเข้ำใจและขอรับกำรสนับสนุนกำร ดำเนินงำนในโครงกำรต่ำงๆ 1.1 เป็นผู้ สำนงำนหนว่ ยงำนต่ำงๆในพน้ื ที่ปฏบิ ตั ิงำน 1.2 เป็นผู้ประสำนงำนบุคคลในแผนกงำนต่ำงๆของสถำนศึกษำ ท้ังดำ้ นวิชำกำรและอื่นๆ 1.3 เป็นผปู้ ระสำนงำนผู้นำท้องถ่ินทั้งทีเ่ ป็นผู้นำแบบทำงกำรและ ไม่เปน็ ทำงกำรรวมทง้ั ชำวบ้ำนทั่วไป 2. ผู้ถ่ำยทอดควำมรู้ เป็นผู้ที่ติดต่อพบปะกับบุคคลเป้ำหมำยใน พ้ืนที่เป็นประจำ จึงมักมีผู้มำขอคำแนะนำ และช่วยแก้ไขปัญหำทั้งด้ำน วชิ ำกำรและปัญหำพ้ืนฐำนท่ัวๆไป 3. ท่ปี รกึ ษำ เนื่องจำกถูกคำดหวงั วำ่ เป็นผู้รู้ทำงวิชำกำรและอ่ืนๆ จึง มักจะมำขอคำปรึกษำ นอกจำกจะให้คำปรึกษำเป็นรำยบุคคลแล้ว ก็มีเป็น กลุ่ม เช่น กลุ่มเกษตรกร คณะกรรมกำรหมู่บ้ำน สภำตำบล เป็นต้น มำขอ คำปรกึ ษำในกำรจัดทำโครงกำรพัฒนำต่ำงๆ 4. ผู้นำกำรเปลี่ยนแปลง ต้องสวมบทบำทเป็นผู้นำกำรเปลี่ยนแปลง ให้กับท้องถิ่น เพื่อให้บุคคลเป้ำหมำยได้ต่ืนตัว เพื่อกำรพัฒนำท้องถิ่นของตน เชน่ สนบั สนุนใหม้ ีกำรรวมกลมุ่ เพื่อพัฒนำอำชีพ และควำมเป็นอยู่ของตนเอง ครอบครัวและชุมชน ขอฝำกผ้อู ำ่ น......ทำ่ นคดิ ว่ำครู อศ.กช.จะทำได้หรอื ไม่?
20 คุณลักษณะเฉพำะท่สี ำคญั ของนกั ส่งเสรมิ จุดมุ่งหมำยท้ำยสุดของกำรพัฒนำชนบท ก็คือ กำรพัฒนำคุณภำพ ชีวิตของประชำชนกลุ่มเป้ำหมำย กำรจะทำให้สำเร็จได้น้ัน บทบำทของนัก ส่งเสริมในฐำนะผู้นำกำรเปล่ียนแปลงมีควำมสำคัญที่สุด ซึ่งจำเป็นต้องอำศัย นกั ส่งเสรมิ ท่ีมีคุณลกั ษณะคอื 1. เปน็ ผเู้ สียสละในกำรทำงำนและทำด้วยควำมจรงิ ใจ 2. มีควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอดและติดตอ่ ส่ือสำรข่ำวสำร 3. มคี วำมรู้ควำมชำนำญในเร่อื งทจี่ ะนำไปเผยแพร่อยำ่ งแทจ้ รงิ 4. มีควำมรับผิดชอบและรักษำคำมั่นสัญญำ ขอฝำกผู้อำ่ น....ทำ่ นเห็นด้วยหรือไม่วำ่ ครู อศ.กช.กค็ วรจะมี คุณลกั ษณะเหลำ่ น้ีเช่นกัน?
21 กำรศกึ ษำ กลมุ่ กำรศกึ ษำประกอบด้วยเรื่อง 1.ควำมหมำยของกำรศกึ ษำ 2.วตั ถุประสงค์กำรศกึ ษำ 3. ระบบกำรศกึ ษำ 4. กำรศึกษำในระบบโรงเรียน – กำรศึกษำนอกระบบโรงเรียน 5. หลกั กำรศึกษำ 6. ควำมหมำยของอำชวี ศึกษำเกษตร 7. หลกั กำรจัดอำชวี ศกึ ษำเกษตร 8. กำรสร้ำงหลกั สูตรฐำนสมรรถนะอำชีวศกึ ษำเกษตร
22 ควำมหมำยของกำรศกึ ษำ กล้วยไม้ออกดอกชำ้ ฉันใด กำรศึกษำเป็นไป ฉันนนั้ แตอ่ อกดอกครำวใด งำมเด่น งำนส่ังสอนปลูกป้นั เสรจ็ แล้ว แสนงำม (จำได้ว่ำเป็นร้อยกรองของท่ำน มล.ป่ิน มำลำกุล ปรมำจำรย์ กำรศกึ ษำของไทย) กำรศึกษำ คือ กระบวนกำรจัดประสบกำรณ์เพื่อกำรเรียนรู้ เพื่อให้ บุคคลเกิดกำรเปล่ียนแปลงพฤติกรรมตำมวัตถุประสงค์กำรศึกษำ ด้ำนเจตคติ ดำ้ นควำมรู้ และดำ้ นทกั ษะทก่ี ำหนดไว้ วตั ถปุ ระสงค์กำรศึกษำ วตั ถุประสงค์กำรศกึ ษำน้ี ไมใ่ ช่ “วตั ถปุ ระสงค์ของกำรศึกษำ” วัตถุประสงค์กำรศึกษำ จำแนกออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ เรียกว่ำ พิสัย หรือ ปรเิ ขต 1. เจตพิสัย เน้นกำรพัฒนำด้ำนควำมคิด จิตใจ อำรมณ์ จำแนก ออกเป็น 5 ระดับ 1) กำรต้ังใจ 2) กำรตอบสนอง 3) กำรเห็นคุณค่ำ 4) กำร จดั ระบบคุณค่ำ 5) กำรสรำ้ งลกั ษณะนสิ ัย 2. พทุ ธิพสิ ัย เน้นกำรพฒั นำสติปัญญำของผู้เรยี น จำแนกออกเป็น 6 ระดับ 1) จำ 2) เขำ้ ใจ 3) นำไปใช้ 4) วเิ ครำะห์ 5) สงั เครำะห์ 6) ประเมินคำ่ 3. ทักษะพิสัย เน้นกำรพัฒนำควำมสำมำรถ เกี่ยวกับกำรกระทำ (doing) อย่ำงมีทักษะในกำรทำเรื่อง/ส่ิงนั้นๆ จำแนกออกเป็น 7 ระดับ 1) เตรียมพร้อมปฏิบัติ 2) สัมผัสรู้ 3) ปฏิบัตไิ ด้ภำยใต้คำแนะนำ 4) ปฏิบัติได้จน คล่อง 5) ปฏิบตั งิ ำนที่ซับซอ้ นได้ 6) ปรับปรุงงำนได้ 7) เป็นตน้ แบบได้
23 ระบบกำรศึกษำ 1. กำรศกึ ษำในระบบโรงเรียน (in-school หรือ formal education ) สถำบันกำรศึกษำเป็นผู้จัด โดยกำหนดวัตถุประสงค์ หลักสูตร ช้ัน เรียน วิธีกำรสอน กำรวัดผลประเมินผล ที่เป็นมำตรฐำน มีระยะเวลำของ กำรศึกษำที่แน่นอน มีกำรให้ประกำศนียบัตร ปริญญำบัตร เพื่อเป็นกำร รับรองว่ำมพี นื้ ฐำนควำมร้คู วำมสำมำรถระดับใด 2.กำรศึกษำนอกระบบโรงเรยี น (out-of school หรือ non-formal education) เป็นกำรศึกษำที่มีหน่วยงำนใดๆก็ได้เป็นผู้จัด โดยวัตถุประสงค์ หลักสูตร มีท้ังชั้นเรียนหรือไม่มีช้ันเรียนก็ได้ วิธีกำรสอน กำรวัดและ ประเมินผล และระยะเวลำของกำรศึกษำเปลี่ยนแปลงไปตำมควำมต้องกำร และควำมสำมำรถของผเู้ รียนซึง่ แตกต่ำงกนั 3.กำรศกึ ษำตำมอธั ยำศัย หรือกำรศกึ ษำไมเ่ ปน็ ทำงกำร (informal education ) เป็ น ก ำ ร ศึ ก ษ ำ ต ล อ ด ชี วิ ต ที่ บุ ค ค ล เกิ ด ก ำ ร เรี ย น รู้ โ ด ย บั งเอิ ญ ใน ชวี ิตประจำวัน กับโดยควำมตง้ั ใจทีจ่ ะไปเรยี นรู้ ระบบท้ัง 3 ระบบท่ีพูดแยกกัน เพ่ือประโยชน์ในกำรอธิบำย อันท่ี จริงแล้ว ท้ัง 3 ระบบสำมำรถจัดให้เกิดข้ึนในลักษณะผสมผสำนกันได้ กำรศึกษำในระบบโรงเรียน –กำรศึกษำนอกระบบโรงเรียน –กำรศึกษำไม่ เปน็ ทำงกำร คำศัพท์ท่ีจะทำให้เข้ำใจ “กำรศึกษำในระบบ”และ “กำรศึกษำนอก ระบบ”ควรจำเป็นภำษำอังกฤษ จะทำให้ง่ำยข้ึน คือ In-school education และ out-of school education
24 เม่อื นำมำปรับเทียบกนั นำ่ จะทำให้เหน็ ควำมต่ำงชดั เจนข้ึน In-school education out-of school education ผูเ้ รยี นมวี ัยใกลเ้ คียงกนั ผ้เู รยี นอำยตุ ำ่ งๆเคลำ้ กนั ไป ผเู้ รยี นตอ้ งเรยี นอยู่ในสถำนศกึ ษำและมี สถำนทเ่ี รียนไม่จำเปน็ ต้องอยใู่ นสถำนศึกษำ เงือ่ นไขต้องมำเข้ำชั้นเรยี น ผู้เรยี นมำเรยี นตำมควำมพอใจ กำรจงู ใจกำรเรียนขึน้ อยกู่ บั ครแู ละ กำรจงู ใจกำรเรยี นมำจำกควำมตอ้ งกำรและ ระเบยี บวินยั ควำมพอใจของผู้เรียน ผู้สอนตองมวี ุฒิกำรศึกษำและสำขำวิชำ ผสู้ อนไมจ่ ำเป็นตอ้ งมวี ุฒกิ ำรศึกษำตำมท่ีถกู ตำมทถ่ี ูกกำหนดเอำไว้ กำหนด แต่เป็นผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ ก็เปน็ ผู้สอนได้ ผู้สอนมกั ติดยดึ กบั สอน “วชิ ำหนงั สอื ” ผสู้ อนสอนในลักษณะ“เทคนคิ ”(สอนใหท้ ำสงิ่ และ “เรยี นอยใู่ นห้องเรียน” น้ันสิ่งนี้โดยเฉพำะ) ขอฝำกผอู้ ่ำน... อศ.กช. เป็นกำรให้กำรศึกษำระบบใดหรือ? ระหวำ่ ง ผู้อ่ำนกำลงั คิด ขอเสนอว่ำ ...น่ำจะผสมผสำนดงั น้ี 1.ผ้เู รยี นมไิ ดจ้ ดั ขนึ้ ตำมอำยุ 2. มหี ลักสตู รเป็นมำตรฐำนเดียวกนั ซง่ึ ประกอบดว้ ยวิชำพน้ื ฐำนท่ี สอนเหมอื นกันทว่ั ประเทศ 3.มีกำรเรยี นร้โู ดยคำนึงถงึ ผเู้ รยี นเป็นศนู ยก์ ลำง 4. ครผู ู้สอนประกอบดว้ ย ครขู อง วษ.ท. /วป. และผมู้ ีคณุ วฒุ ินอก สถำนศึกษำ 5. ผเู้ รยี นไม่ตอ้ งเรยี นรใู้ นสถำบันกำรศึกษำ สถำนที่เรยี นอยใู่ นพื้นที่ อำจจะเป็นสถำนที่ของรำชกำร หรือ ไร่นำ 6. กำรจงู ใจในกำรเรียนมำจำก ควำมตอ้ งกำรที่จะปรับปรุงมำตรฐำน ควำมเปน็ อยู่ในชวี ิต
25 หลกั กำรศกึ ษำ “ไม่วำ่ จะเปน็ กำรพัฒนำอะไรกต็ ำม ก็คือ เร่อื งของคน” กำรพฒั นำคน ตอ้ งอำศยั กำรศึกษำเปน็ หลัก แต่ตอ้ งอำศัยเวลำด้วย สอดคล้องคำกล่ำวที่ว่ำ “กล้วยไม้มีดอกช้ำฉันใด กำรศึกษำก็เป็นฉันน้ัน” “กำรศึกษำคือชวี ติ ” และ “ควำมเจริญงอกงำมในตัวบุคคล” หลัก คือ ที่ม่ัน ท่ีสำหรับยึดเหน่ียว เพรำะฉะนั้น หลักของกำรศึกษำ จึงหมำยควำมถึงว่ำ ในกำรจัดกำรศึกษำนั้น จะต้องมีเครื่องยึดเหน่ียว ซ่ึง ประกอบด้วย องค์ 4 ประกำรเช่ือมโยงสัมพันธ์กัน องค์ทั้ง 4 น้ันแยกกันไม่ ออก รวมอยู่ในกระบวนกำรเดียวกัน แต่ท่ีพูดแยกกันน้ัน ก็เพื่อประโยชน์ใน กำรอธิบำยให้เข้ำใจให้ตรงกนั เทำ่ นน้ั องค์ 4 แห่งกำรจัดกำรศึกษำ ได้แก่ จริยศึกษำ พลศึกษำ พุทธิศึกษำ และหัตถศึกษำ ซ่ึงต้องจัดท้ัง 4 ส่วนให้เหมำะสมกัน จึงจะทำคนให้เจริญ ครบถว้ นสมบูรณ์ ซ่ึงสำมำรถนำมำประยุกตใ์ ชก้ ับกำรให้กำรศึกษำทำงเกษตร ไดด้ ังนี้ 1.พุทธศิ ึกษำ เปน็ กำรใหค้ วำมร้ทู ำงวชิ ำกำรเกษตร 2.หัตถศึกษำ เปน็ กำรให้ควำมรู้ในทำงกำรลงมอื ปฏิบัติ 3.พลศึกษำ เปน็ กำรให้ควำมรู้ทำงกำรบำรุงสขุ ภำพเพอื่ ใหม้ ีอนำมัยดี 4.จรยิ ศกึ ษำ เปน็ กำรให้ควำมรทู้ ำงกำรประพฤติปฏิบตั ติ นให้เป็น พลเมอื งดี ถ้ำจะจำไดง้ ำ่ ย กจ็ ำว่ำ 4-H - Education คือ 1. พทุ ธิศกึ ษำ = Head Education 2. หัตถศกึ ษำ = Hand Education 3. พลศึกษำ = Health Education 4. จรยิ ศกึ ษำ = Heart Education
26 อน่ึง 4-H นี้ กค็ อื logo (คำขวัญ) ของ “ ยุวเกษตรกร ” ซ่ึงเป็น กิจกรรมงำนหลักงำนหนงึ่ ของกรมส่งเสริมกำรเกษตร กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์กำรเกษตร ขอฝำกผู้อ่ำน… ท่ำนเหน็ ว่ำสถำนศกึ ษำทำงอำชวี ศึกษำ ได้จดั กำรศกึ ษำ เปน็ ไปตำมหลักกำรศกึ ษำหรือไม่?
27 ควำมหมำยของอำชวี ศกึ ษำเกษตร อำชีวศึกษำเกษตร เป็นกลุ่มสำขำหนึ่งของ “อำชีวศึกษำ” ซึ่ง อำชีวศึกษำนั้น เป็นกำรจัดกำรศึกษำที่มุ่งเน้นกำรจัดกำรเรียนกำรสอนทำง วิชำชพี เพือ่ ให้ผู้เรียนสำมำรถประกอบอำชพี ในวิชำชพี ทเ่ี รยี นไดจ้ รงิ ดังนั้นเมื่อนำคำว่ำ“เกษตร”ผนวกเข้ำไปเป็น“อำชีวศึกษำเกษตร” จงึ หมำยถึง กระบวนกำรศึกษำเพ่ือผลิตและพัฒนำคนดำ้ นกำรเกษตร เพ่ือให้ ผเู้ รียนสำมำรถประกอบอำชีพเกษตรไดจ้ รงิ ซึ่งปัจจุบันน้ี อำชีวศึกษำเกษตรมี หลักสูตร 3 ระดับ ประกอบ ด้วย ป ระกำศนียบั ตร วิชำชีพ (ป วช.) ประกำศนียบัตรวิชำชพี ชั้นสูง (ปวส.) และเทคโนโลยบี ัณฑติ ควำมหมำยของอำชีวศึกษำเกษตร เป็นควำมหมำยท่ีสื่อถึง In- school Education ซ่ึงหลักสูตรสูงข้ึนไปตำมระดับช้ันของวุฒิกำรศึกษำ ดังนั้นจุดเน้นจึงอยู่ท่ีวุฒิกำรศึกษำมำกกว่ำท่ีจะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเม่ือจบแล้ว สำมำรถประกอบอำชพี ได้อยำ่ งแท้จรงิ แต่สำหรับ อศ.กช.แล้ว จุดมุ่งหมำยเน้นที่กำรแก้ไขปัญหำควำม ยำกจนของครัวเรือนเกษตรกรในชนบท เป็นหลัก ส่วนวุฒิกำรศึกษำน้ันเป็น เรื่องรอง ดังนั้นกำรจัดกำรเรียนกำรสอน จึงต้องเน้นสมรรถนะวิชำชีพเกษตร โดยต้องให้เกิดรำยได้ระหว่ำงเรียน ภำยใต้หลักสูตรอำชีวศึกษำเกษตรใน ระบบปกติ ขอฝำกผู้อ่ำน... ท่ำนเห็นด้วยหรือไม่ว่ำ อศ.กช.น้ัน เน้นอำชีพเป็น พระเอก วฒุ ิกำรศกึ ษำเป็นพระรอง
28 หลักกำรจัดอำชีวศึกษำเกษตร หลักกำรจัดกำรอำชีวศึกษำเกษตรในที่น้ี ผู้อ่ำนท่ี มิได้เป็น L.E.CORPS อำจจะเกิดปัญหำในกำรทำควำมเข้ำใจควำมคิดรวบยอด (concept) ของคำศัพท์บำงคำ อย่ำงไรก็ตำมท่ำนสำมำรถขอคำแนะนำได้ จำก “L.E.CORPS”ตำมรำยช่อื ปรำกฏในทำ้ ยหนังสือเล่มนี้ ดังได้กล่ำวแล้วว่ำ “หลัก” คือ เคร่ืองยึดเหนี่ยว เพรำะฉะนั้นกำรจะ จดั อำชวี ศึกษำเกษตร ตอ้ งยึดหลักต่อไปนี้ 1. จดั รูปแบบแผนกำรสอนเป็นแบบ Learning Experience (L.E.- ประสบกำรณ์เพ่ือกำรเรียนรู้) (รำยละเอียดอยู่ในหนังสือ “กำรสร้ำง ประสบกำรณ์เพ่ือกำรเรียนรู้ สำหรับอำชีวศึกษำเกษตร (2562) โดย L.E. CORPS) 2. จัดรูปแบบแผนกำรเรียนเป็น block release และ semi- block release (รำยละเอียดอยู่ในหนังสือ “กำรพัฒนำหลักสูตรฐำน สมรรถนะ อำชีวศึกษำเกษตร” (2562) โดย ลำวัณ ย์ วิจำรณ์ และ L.E.CORPS) ขอฝำกผู้อำ่ น...ถ้ำจัดกำรเรียนกำรสอนโดยึดหลักท้ัง 2 ขอ้ แล้ว ทำ่ น คิดว่ำ อำชีวศึกษำเกษตรรูปแบบน้ี เป็นกำรสร้ำงแผนกำรเรียนรู้ที่เป็น รำยบคุ คลไดห้ รือไม?่
29 กำรสร้ำงหลักสูตรฐำนสมรรถนะอำชวี ศึกษำเกษตร หลักสตู รอำชีวศกึ ษำเกษตรในระบบปกติ มลี กั ษณะเปน็ content –based curriculum เนื่องจำกหลักสูตรเน้นกำรเรียนกำรสอนเป็นรำยวิชำ จำกหมวดวิชำต่ำงๆ และแผนกำรเรียนในหลักสูตรมีกำรกำหนดเวลำเรียนของ ทุกรำยวิชำ เป็นจำนวนช่วั โมงต่อสัปดำห์ กำรจัดกำรเรียนกำรสอนให้ผู้เรียนมี ทักษะด้ำนกำรปฏิบัติได้อย่ำงคล่องแคล่วจนสำมำรถประกอบอำชีพได้ จึง ประสบควำมสำเร็จได้ยำก (รำยละเอียดพร้อมทั้งตัวอย่ำงกำรสร้ำงหลักสูตร ฐำนสมรรถนะ ศึกษำดูเพิ่มเติมได้จำกหนังสือ “กำรสร้ำงหลักสูตรฐำน สมรรถนะอำชีวศึกษ ำเกษ ตรฯ(2562) โดยเพ็ญ ศรี เศรษฐชัย และ L.E.CORPS) วธิ ีกำรสรำ้ งหลกั สตู รฐำนสมรรถนะดำเนินตำม 3 ขั้นตอน ข้ันตอนท่ี 1 สำรวจและรวบรวมเน้ือหำควำมรู้เก่ียวกับอำชีพนั้นๆ โดยตรงจำกผู้ประกอบกำรในอำชีพนั้น แล้วนำมำจัดทำเป็นหน่วยกำรเรียนรู้ รำยวิชำ ข้ันตอนท่ี 2 ผู้สร้ำงหลักสูตรจำเป็นจะต้องมีควำมรู้ในกำรสร้ำง ตำรำงL.E. เป็นพน้ื ฐำนกอ่ น ในกำรใช้ L.E.เปน็ รูปแบบแผนกำรสอนนน้ั ทำได้ โดยนำรำยละเอียดของหน่วยกำรเรียนรู้แต่ละรำยวิชำมำกำหนดเป็นเนื้อหำ ควำมรูใ้ นกำรสรำ้ งตำรำงL.E. ขั้นตอนที่ 3 จดั รูปแบบแผนกำรเรียน block release และ semi – block release ขอฝำกผู้อ่ำน ...ท่ำนคิดว่ำวิธีกำรสร้ำงหลักสูตรแบบน้ีเป็น “นวัตกรรม” เพรำะว่ำเป็นส่ิงใหม่ต่ำงจำกหลักสูตรที่ สอศ.ใช้กันอยู่จริง หรือไม่ ?
30 กำรพฒั นำ 1. ควำมหมำยของกำรพฒั นำ 2. กำรพัฒนำชนบท 3. ชมุ ชนชนบท 4. ผนู้ ำชุมชนชนบท 5. ควำมหมำยของควำมยำกจน 6. พลวัตรควำมยำกจน 7. ทฤษฎีกำรพฒั นำกบั ควำมยำกจนในชนบท 8. กำรแบ่งเขตเกษตรเพื่อวเิ ครำะหค์ วำมยำกจน 9. ปัจจยั สำคัญเพื่อกำรพัฒนำกำรเกษตร
31 ควำมหมำยของกำรพฒั นำ “กำรพัฒนำ” เป็นคำไทยใช้สื่อควำมหมำยคำภำษำอังกฤษว่ำ “Development” คำว่ำ “กำรพัฒนำ” ตำมควำมหมำยจำกพจนำนุกรม ซึ่ง ได้ใหค้ วำมหมำยวำ่ “ทำให้เจริญ” “ กำรพัฒนำ” เป็นคำที่คนไทยคุ้นเคยมำกที่สุดคำหน่ึง เข้ำใจว่ำเร่ิม ใชก้ นั ในวงรำชกำรในแผนพัฒนำเศรษฐกจิ และสังคมประมำณปี 2506 หำกจะให้ควำมหมำยตรงกับควำมหมำยของภำษำอังกฤษแล้ว ควำมหมำยจะต้องกินควำมกว้ำงกว่ำ “ทำให้เจริญ” ควำมหมำยที่เห็นพ้อง ต้องกนั เด็ดขำดนน้ั ยงั ไมม่ ี ได้มีผู้รู้ให้คำนิยำมหรือให้ควำมหมำยไว้ต่ำงๆกัน ท้ังในแวดวง วิชำกำรและสังคมท่ัวไป ควำมหมำยของกำรพัฒนำ จึงเป็นประเด็นสำคัญ อย่ำงย่ิง หำกเข้ำใจควำมหมำยของกำรพัฒนำแตกต่ำงกันแล้ว แนวควำมคิด ในกำรทำงำนกจ็ ะแตกตำ่ งกันออกไป ดังน้ันกำรเสนอแนะแนวควำมคิดเกี่ยวกับกำรพัฒนำในด้ำนต่ำงๆ จำเป็นต้องอำศัยรำกฐำนมำจำกควำมเข้ำใจควำมหมำยของกำรพัฒนำที่ ตรงกัน เป็นหนึ่งเดียวเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วจะทำให้เกิดควำมขัดแย้งซึ่งกัน และกัน และยำกตอ่ กำรทำควำมเข้ำใจกบั ผู้เก่ียวข้อง คำว่ำ “กำรพฒั นำ” เป็นคำท่ีสร้ำง”วำทกรรม” ว่ำ ใครเป็นผู้กำหนด ว่ำ อะไรคือ กำรพัฒนำและอะไรไม่ใช่กำรพัฒนำ นอกจำกนี้ยังเป็นคำที่มี ภำพลักษณ์ท่ีมี “เสน่ห์”อีกด้วย ที่ถูกนำมำใช้เป็นเหตุผลที่มีพลังและ ควำมชอบธรรมในกำรอ้ำง คือ เป็นอุบำยหรือกำรอำพรำงในกำรปฏิบัติของ หน่วยงำนวำ่ ส่งิ ทจี่ ะทำน้ัน ก็เพ่อื “ทำให้เจริญ” นั่นเอง ที่จริงแล้ว กำรพัฒนำก็เป็นเพียงกำรเปลี่ยนค่ำสมมติเท่ำนั้นเอง ที่ เคยสมมติแล้วยึดถือใช้กันมำ เมื่อมำถึงจุดๆหน่ึงเห็นว่ำไม่ดีพอ ต้องสมมติกัน ใหม่จะดีกว่ำ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงกันไป พัฒนำกันเรื่อยไป จนไปไม่รอด ก็
32 ยกเลิก ก็ยุติกันไป กำรพัฒนำและปัญหำอันเกิดจำกกำรพัฒนำ จึงเป็นของ คกู่ นั สำหรบั ประเทศไทย ถึงแม้ว่ำมีผู้ให้ควำมหมำยของคำว่ำ “กำรพัฒนำ”ไว้ในทัศนะที่ แตกต่ำงกัน แต่เม่ือประมวลแล้วจะพบว่ำ ควำมหมำยของกำรพัฒนำน้ัน สำมำรถจำแนก ออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ มีลักษณะเป็นจุดมุ่งหมำย (End) และมีลักษณะเป็นวิธีกำร (Means) ท่ีจะทำให้บรรลุจุดมุ่งหมำย (End) ของ กำรพัฒนำ ขอยกตัวอย่ำงโครงกำรอำชวี ศึกษำเพื่อกำรพฒั นำชนบท (อศ.กช.) End ของ อศ.กช.หรือผลลัพธ์ของกำรพัฒนำ คือ ชนบทได้รับกำร พัฒนำจนเจรญิ ขึ้นมำกกว่ำเดิม Means ของกำรพัฒนำ คือ โครงกำรอำชีวศึกษำเพ่ือกำรพัฒนำ ชนบท ดำเนินกำรโดยวิทยำลยั เกษตรและเทคโนโลยแี ละวิทยำลยั ประมง คำว่ำ “กำรพัฒนำ” ได้ถูกนำมำผนวกกับคำที่บ่งบอกถึงเนื้อหำของ กำรพฒั นำ ซึ่งให้ควำมสำคัญกับปญั หำและเปำ้ หมำยของกำรพฒั นำ เช่น กำร พัฒนำเศรษฐกิจ กำรพัฒนำสังคม กำรพัฒนำกำรเกษตร กำรพัฒนำ อุตสำหกรรม กำรพัฒนำชนบท ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องกว้ำงๆ จนถึงเรื่องจำเพำะ เจำะจง เชน่ กำรพฒั นำบคุ ลกิ ภำพ กำรพฒั นำจิต กำรพัฒนำบคุ ลำกร ฯ ล ฯ นอกจำกนี้ คำว่ำ “กำรพัฒนำ” ยังใช้เป็นคำบ่งช้ีในกำรแบ่งประเทศต่ำงๆใน โลกน้ี ออกเป็นประเทศท่ีพัฒนำแล้ว ประเทศด้อยพัฒนำ ประเทศกึ่งพัฒนำ เป็นต้น กำรพัฒนำของหน่วยงำนรำชกำรของไทย มีลักษณะเป็นเร่ืองของ กำรสั่งกำร จำกส่วนกลำงไปสู่ส่วนภูมิภำคและท้องถ่ิน กำรดำเนินงำนจึงเป็น เรื่องของกำรทำตำม ทำให้เนื้อหำของกำรพัฒนำมีลักษณะของ “พิมพ์เขียว” ท่ีแต่ละระดับจำต้องนำไปปฏิบัติเหมือนกันทั่วประเทศ นโยบำย “กำร พัฒนำ” ท่ีต้นสังกัดส่ังให้ข้ำรำชกำรปฏิบัติน้ัน เน้นแผนแม่บทมำกกว่ำกำร
33 ประยุกต์ให้สอดคล้องกับปัญหำและกำรแก้ไขปัญหำ จึงเกดิ ลักษณะท่ีเรียกว่ำ “นโยบำยไปทำงปฏบิ ตั ไิ ปทำง” เกิดเปน็ ชอ่ งวำ่ งระหวำ่ ง “นโยบำย” กบั “กำรปฏิบัติ” ของกำรพฒั นำ....เป็นท่ียอมรับกันจนเป็นท่ีสน้ิ สุดแล้ววำ่ “กำร พัฒนำทีด่ ที ่ีสุด ตอ้ งใช้วธิ ีกำรพฒั นำคน เพ่ือใหค้ นไปพัฒนำท้องถน่ิ ” กำรพัฒนำชนบท คำว่ำ “ชนบท” เป็นที่รับรู้กันว่ำ เป็นพ้ืนที่ของอำณำบริเวณนอกเขต เมือง เรียกว่ำ”หมู่บ้ำน” “ตำบล”แต่คำว่ำ ชนบท เมื่อเติมคำว่ำ “พัฒนำ” เข้ำไปเป็น “พัฒนำชนบท” ก็จะปรำกฏภำพของควำมล้ำหลัง ไม่ทันสมัย ลอยขนึ้ มำ กำรพัฒนำชนบทไม่ใช่งำนง่ำย เพรำะเป็นเรื่องที่กว้ำงขวำงมำก ซ่ึง พอจะประมวลได้ 4 สำขำทส่ี ำคญั 1. ด้ำนสำธำรณูปโภค เช่น ไฟฟ้ำ ถนนหนทำง น้ำประปำ แหล่งน้ำ อุปโภคบรโิ ภค รวมท้งั กำรเกษตร ฯลฯ 2. ด้ำนเศรษฐกิจ เช่น กำรเกษตร กำรค้ำขำย อุตสำหกรรมขนำด ยอ่ มในครัวเรือน ฯลฯ 3. ด้ำนสิ่งแวดล้อม เช่น สถำนที่พักผ่อน เล่นกีฬำ กำรกำจัดขยะ ฯลฯ 4. ด้ำนสังคม เช่น กำรศึกษำ กำรอนำมัย กิจกรรมทำงวัฒนธรรม ฯลฯ ประชำชนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดในชนบท มีอำชีพทำง กำรเกษตรหรือเกี่ยวขอ้ งกับกำรเกษตร หำกย้อนไปศึกษำ “แผนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติแล้ว” พบว่ำ กำรพัฒนำชนบทในแผนพัฒนำฯ ฉบับที่ 1-5 ผลของกำรพัฒนำยังไม่ กระจำยไปสู่ประชำชนในชนบทอย่ำงท่ัวถึง โดยที่แผนพัฒนำฯฉบับที่ 5 เป็น
34 จุดเริ่มต้นของกำรพัฒนำชนบทที่ชัดเจนข้ึน โดยเน้นกำรดำเนินกำรในเขต ชนบทล้ำหลัง ขณะท่ีแผนพัฒนำฯฉบับที่ 6 มีเป้ำหมำยกำรพัฒนำชนบท เพ่ือให้ประชำชนในชนบทมีรำยได้และคุณภำพชีวิตที่ดีตำมควำมจำเป็นข้ัน พื้นฐำน (จปฐ.) ส่วนแผนพัฒนำฯฉบับท่ี 7-12 ยังคงมีกำรพัฒนำชนบทอย่ำง ต่อเนือ่ ง แตไ่ ม่มคี วำมชดั เจนเทำ่ ในแผนพัฒนำฯฉบับที่ 5และ 6 ขอฝำกผ้อู ่ำน…ท่ำนคดิ ว่ำ โครงกำร อศ.กช.สำมำรถทำได้ครอบคลุม ทั้ง 4 สำขำที่สำคญั หรือไม่? ชมุ ชนชนบท ลักษณะของสังคมไทยโดยภำพรวมท่ัวไป อำจแบ่งออกได้เป็น สังคม เมือง สังคมชนบท โดยประชำชนส่วนใหญ่อยู่ในชนบท คือ ในหมู่บ้ำน ตำบล และมอี ำชพี เกษตรกรรม ชุมชน คือ ชนกลุ่มหนึ่ง (โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชำติหรือศำสนำ) ที่ อำศัยอยู่ในท้องถิ่นที่มีสภำพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน มีควำม สนใจหรือควำมต้องกำรในกำรดำรงชีวิตที่คล้ำยคลึงกัน ตลอดจนอยู่ใน ข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์เดียวกัน จำกควำมหมำยน้ี สำมำรถขยำยควำมให้ ชัดเจนมำกข้ึนว่ำ....ชุมชนเป็นกลุ่มชนซ่ึงรวมตัวกันอยู่ภำยในขอบเขตท่ีมี ลักษณะทำงภูมิศำสตร์เหมือนกัน อยู่ในกรอบของสังคมเดียวกัน สมำชิกใน กลมุ่ นั้น จะมคี วำมสัมพันธร์ ะหว่ำงกันในดำ้ นวัฒนธรรม กิจกำรงำนประจำวัน ตลอดจนมีควำมรู้สึกต่อผลกระทบทำงใจใดๆ เชน่ กำรป้องกนั อันตรำย ควำม เจ็บ ควำมตำย และรบั เอำควำมร้สู ึกของหมคู่ ณะมำเป็นเสมือนของตนดว้ ย... จะขอยกตัวอย่ำง เช่น ชำวนำ ก. ซ่ึงตำมปกติเมื่อถึงฤดูไถ หว่ำนทำนำ ทุกๆเช้ำจะนำควำย ออกไปไถนำ พร้อมๆกับเพ่ือนบ้ำนตำมที่ได้ปฏิบัติกันมำ แต่เช้ำวันหน่ึง
35 ชำวนำได้ยินเสียงเคร่ืองยนต์และเห็นชำวนำ ก. ขับรถแทร็กเตอร์ขนำดเล็ก ออกมำใช้ไถแทนควำย กำรทำตนแหวกแนวของชำวนำ ก.น้ัน คนในชุมชน ย่อมจะวิพำกย์ วิจำรณ์ และมีกำรเคลื่อนไหวมำถำม มำดู และถ้ำเห็นดี เห็นชอบไปกับชำวนำ ก. ก็หมำยควำมว่ำ ชุมชนก็จะเกิดอำกำรเคล่ือนไหว ตำมไปด้วย ชุมชนเป็นภำพของสังคม ชุมชนไม่ใช่หน่วยงำนรำชกำร กำรพัฒนำ ใดๆจะเกดิ ขน้ึ ท่ีชุมชน โครงกำรพฒั นำใดๆทสี่ ำมำรถดำเนนิ กำรต่อเนอ่ื งได้เอง โดยอิสระ ก็เพรำะชุมชนเป็นเจ้ำของ โดยเฉพำะชุมชนในชนบทในระดับ หมู่บ้ำน และในระดบั ตำบล ลักษณะท่ีตัง้ ของชมุ ชนชนบท แบ่งตำมรูปร่ำงได้ 3 แบบ 1. รวมกันเป็นกระจุกหรือเป็นกลุ่ม เป็นลักษณะที่พบเห็นโดยทั่วไป ของชุมชนชนบท โดยเฉพำะในภำคอีสำน ชุมชนจะต้ังอยู่บนเนินท่ีสูงหรือ โดยรอบๆแหล่งน้ำธรรมชำติ ชำยป่ำ ชำยเขำ บ้ำนเรือนตั้งอยใู่ กลก้ นั เป็นกลุ่ม อย่ำงหนำแน่นนี้ มีผลดีด้ำนสวัสดิภำพเม่ือมีภัยจำกโจรผู้ร้ำย มีกำรใช้ ประโยชน์จำกทรัพยำกรธรรมชำติร่วมกัน เช่น หนองน้ำ บึงร่วมกัน ควำมสัมพันธ์ของคนในชุมชนจะมีควำมใกล้ชิดสนิทสนม มีกำรรับรู้ข่ำวสำร และติดต่อกันโดยทั่วไป กำรเคลื่อนไหวของแต่ละครอบครัว ย่อมมีผลถึงกำร เคล่ือนไหวของชุมชน สังคมแบบน้ีจะมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตควำมเป็นอยู่ของ สมำชกิ 2. ชุมชนที่อยู่เรียงรำยเป็นแนวยำว ลกั ษณะของกำรตงั้ บำ้ นเรอื น เรียงรำยกันไปตำมเส้นทำงคมนำคม เช่น เรียงรำยกันไปตำมแนวของแม่น้ำ ลำคลอง พ้นื ท่ีดนิ สำหรับประกอบอำชพี อยดู่ ำ้ นหลัง รูปร่ำงของพน้ื ท่ีส่วนมำก ด้ำนหนำ้ จะแคบแลว้ ยำวลึกเข้ำไปทำงด้ำนหลงั บำ้ น ชือ่ ของชมุ ชนมักจะเกยี่ วกับลกั ษณะของทำเลท่ตี ั้ง “หนอง” หมำยถงึ ชุมชนทต่ี ั้งอย่บู รเิ วณริมหนองหรอื ริมน้ำ
36 “ดอน”หรอื “โนน” หรือ”ควน”หรือ”โคก” หมำยถึง ชุมชนท่ีต้งั อยู่ ในบริเวณพนื้ ท่ที ่เี ปน็ ทส่ี งู “ทุ่ง” หมำยถึง ชุมชนท่ีตั้งอยู่ในพ้ืนที่รำบ ขอบป่ำที่เป็นพื้นที่รำบ หรือบริเวณชำยทงุ่ “แม่” หรือ “ท่ำ” หรือ “กุด” หรือ “ห้วย” หมำยถึง ชุมชนที่ตั้ง เรียงรำยไปตำมเส้นทำงของแมน่ ำ้ ลำคลอง 3. ชุมชนท่อี ยกู่ ระจดั กระจำย ลกั ษณะของกำรตงั้ บำ้ นเรือน อยู่ กระจัดกระจำยออกไป โดยแต่ละครัวเรือนประกอบอำชีพ โดยใช้ทรัพยำกร ของตนเอง ชุมชนแบบนี้จะต้ังอยู่ในบริเวณท่ีมีทรัพยำกรธรรมชำติอุดม สมบูรณ์ แต่ละครัวเรือนสำมำรถพ่ึงพำตนเองได้อย่ำงดี ชุมชนลักษณะนี้ พบ เห็นได้ทั่วไปในภำคใต้ และภำคกลำงที่มีคู คลอง ซอยเข้ำไปในพื้นท่ีนั้นๆ ทำ ใหแ้ ต่ละครวั เรอื นมีแหลง่ น้ำใชข้ องตนเอง ผู้นำชมุ ชนชนบท โดยทั่วไปในชุมชนชนบทจะประกอบด้วย ผู้นำ 2 ประเภท คือ ผู้นำ อย่ำงเป็นทำงกำรของทำงรำชกำร ไดแก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้ำน เรียกย่อว่ำ ผู้นำ ทำงกำร และผู้นำชุมชนทำงสำขำเกษตรที่ขำวบ้ำนยกย่องขึ้นมำ รวมทั้งผู้นำ ชุมชนทำงดำ้ นอนื่ ๆด้วย ซงึ่ เรียกวำ่ “ผ้นู ำไม่เปน็ ทำงกำร” ถงึ แม้ในชุมชนจะมีผูน้ ำหลำกหลำยดำ้ น แต่ในภำพรวมแลว้ จะเหน็ ได้ ว่ำ “ผ้นู ำ”เป็นผู้ทส่ี ำมำรถกระต้นุ ใหบ้ คุ คลอืน่ หรอื สมำชกิ ในกลมุ่ ของผู้นำนั้น ร่วมมอื กนั ทำงำนไดอ้ ยำ่ งดี เพ่ือทำงำนให้สำเรจ็ ตำมควำมมงุ่ หมำยของกลุ่ม ผู้นำจะมอี ิทธพิ ลต่อกำรเลยี่ นแปลงทเ่ี กิดขึน้ ในกลุ่มชุมชนนั้นๆ ดงั น้ัน หำกมีนวัตกรรม (ควำมคดิ ใหม่ วิธีกำรใหมๆ่ ) แพร่เข้ำมำในกลุ่ม ถำ้ หำกได้รับ กำรยอมรับจำกผู้นำ ก็จะทำให้แพร่กระจำยไปยังคนในกลุ่มขยำยออกไป
37 อย่ำงท่ัวถึง แต่ถ้ำหำกว่ำไม่ได้รับกำรยอมรับจำกผู้นำ กำรเผยแพร่นวัตกรรม นัน้ จะมีปญั หำมำกพอสมควรท่ีเดียว ขอฝำกผู้อ่ำน...ท่ำนคิดวำ่ ผู้นำชุมชนจะเก่ียวข้อง สำคัญอย่ำงไรกับ โครงกำร อศ.กช. ควำมหมำยของควำมยำกจน ควำมหมำยของควำมยำกจน มีลักษณะเป็นชุดของควำมหมำย เนือ่ งจำกมุมมองทีม่ ตี ่อควำมยำกจนมหี ลำกหลำยมติ ิ ควำมยำกจนเรม่ิ ต้นจำก ควำมหมำยท่ีแคบ โดยพิจำรณำท่ีระดับรำยได้ของบุคคลท่ีไม่เพียงพอกับกำร ดำรงชีพตำมมำตรฐำนข้ันต่ำ โดยสร้ำงเส้นควำมยำกจนขึ้นมำ ผู้ที่มีรำยได้ต่ำ กวำ่ เส้นควำมยำกจน ถอื วำ่ เป็นผตู้ กอยใู่ นควำมยำกจน… เส้นควำมยำกจนนี้ได้มีกำรพยำยำมที่จะวัดออกมำเป็นตัวเลข ว่ำ รำยจ่ำยที่จำเปน็ แกก่ ำรดำรงชีวิตตอ่ ปตี ่อคน นอกจำกน้ีอีกแนวทำงหน่ึง ก็คือ คำนวณรำยได้ซึ่งเพียงพอแก่กำรดำรงชีวิต สำหรับกำหนดอัตรำค่ำจ้ำงขั้นต่ำ บุคคลหรือครอบครัวท่ีมีรำยได้ต่ำกว่ำตัวเลขเส้นวัดควำมยำกจน ก็ถือว่ำ “มี ควำมยำกจน” ตอ่ มำควำมยำกจนถกู ตคี วำมใหม้ ีควำมหมำยกวำ้ งข้ึน เป็นควำมขำด แคลนสิ่งท่ีเป็นควำมจำเป็นพื้นฐำน ซึ่งรวมถึงเครื่องนุ่งห่ม สุขภำพอนำมัย และท่ีอยู่อำศัย รวมท้ังที่ดินทำกิน...ต่อมำก็ได้มีกำรเสนอแนวคิดเรื่องควำม ยำกจนในกรอบท่ีกว้ำงข้ึนอีก ครอบคลุมองค์ประกอบต่ำงๆมำกขึ้นเพื่อ สะท้อนให้เห็นถึงควำมขัดสนของบุคคลในแต่ละสังคมในมิติท่ีแตกต่ำงกัน ออกไป สรุปว่ำ คนจน ก็คือ คนที่ทีรำยได้ไม่เพียงพอที่จะใช้จ่ำยเพื่อซื้อ อำหำรและสินค้ำจำเปน็ พ้นื ฐำนข้ันต่ำ
38 ถึงแม้ว่ำจะมีกำรถกเถียงของนักวิช ำกำรถึงข้อจำกัดของ แนวควำมคิดกำรให้ควำมหมำยควำมยำกจนแบบแคบที่ให้ควำมสำคัญต่อ ควำมยำกจนในรูปของตัวเงินหรือรำยได้ ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงควำมเห็นของ พวกนักวิชำกำรเท่ำนั้น ท่ีจริงแล้วควรจะมำจำกตำมควำมจริงของวิถีชีวิต ควำมเปน็ อยู่ของชุมชน และควำมแตกตำ่ งของวัฒนธรรมในแตล่ ะพ้ืนท่ี ดง้ั นั้นจึงหลีกเล่ียงไมไ่ ด้ท่ีจะต้องคน้ หำควำมหมำยและทำควำมเข้ำใจ ควำมหมำยอย่ำงแท้จรงิ จำกผูอ้ ำศัยอยู่ในชมุ ชนและวฒั นธรรมในแต่ละพนื้ ที่ ขอฝำกผู้อ่ำน...ท่ำนคิดว่ำ ตัวบ่งช้ีควำมยำกจนที่คนทั่วไปสังเกตได้ ง่ำย คอื อะไร? พลวตั รควำมยำกจน ควำมยำกจนไม่ได้มีลักษณะเสถียรหรืออยู่น่ิงกับที่ กล่ำวคือ บุคคล หรือครอบครัวไม่ไดก้ ้ำวออกจำกควำมยำกจนได้เพียงอยำ่ งเดียวเท่ำนั้น แต่ยัง สำมำรถท่ีจะหันกลับเข้ำสู่ควำมยำกจนได้อีกในขณะเดียวกัน ขณะท่ีบำงคน หรือบำงครอบครัวสำมำรถหลุดพ้นจำกควำมยำกจนได้ แต่ทำไมอีกหลำยๆ ครอบครัวก็ยังประสบปัญหำและตกอยู่ในควำมยำกจน ผู้ที่ตกอยู่ในภำวะ ยำกจนในปีน้ี อำจจะสำมำรถทำให้ตัวเองหลุดจำกควำมยำกจนในปีถัดไป ขณะเดยี วกันหลำยคนหลำยครอบครวั ก็ยังอยใู่ นควำมยำกจนตอ่ ไป น่ี คือ ลักษณะพื้นฐำนที่สำคัญของควำมยำกจน คือ ควำมยำกจนมี ควำมเปน็ พลวัตร ( dynamics) ควำมพยำยำมในกำรลดควำมยำกจน ถือเป็นเป้ำหมำย “กำร พัฒนำ”ที่สำคัญของประเทศด้อยพัฒนำ สำหรับประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน แต่ควำมยำกจน ก็ยังคงเป็นประเด็นปัญหำท่ีสำคัญ และท้ำทำย “ทฤษฏีของ กำรพฒั นำ”อยจู่ นทกุ วันนี้
39 ประเทศไทยมีปัญหำควำมยำกจนอยู่มำกในชนบท โดยเฉพำะอย่ำง ย่ิ ง ใน ค ร อ บ ค รั ว ที่ ป ร ะ ก อ บ อ ำ ชี พ ท ำ น ำ แ ล ะ เก ษ ต ร ก ร ร ม ใน ช น บ ท ภ ำ ค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จำได้ว่ำ มีผลกำรศึกษ ำเกี่ยวกับ พ ลวัตรควำมยำกจ น คือ ควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงตัวแปรปัจจยั บำงประกำรกับควำมยำกจน เช่น ควำมสมั พันธ์ระหวำ่ งควำมยำกจนและขนำดของครอบครัวเปน็ ไป ในทศิ ทำงเชิงบวก ควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงควำมยำกจนและระดับกำรศกึ ษำมแี นวโนม้ ไปทิศทำงตรงกนั ข้ำม ควำมสมั พนั ธร์ ะหว่ำงควำมยำกจนและขนำดทด่ี ินทถ่ี ือครองมี แนวโน้มไปในทศิ ทำงตรงกนั ข้ำม จำได้อีกเหมือนกันว่ำ มีข้อมูลในระดับมหภำค ระบุว่ำ ครัวเรือน ยำกจนในภำคอีสำนส่วนใหญ่มี่รำยได้สุทธิจำกภำคกำรเกษตรและเงินรำยได้ ที่ส่งกลับมำจำกสมำชิกท่ีไปทำงำนต่ำงถิ่น ครัวเรือนยำกจนทำงำนในภำค เกษตรบนพื้นที่นำของตัวเอง สมำชิกในวัยแรงงำนจะย้ำยถิ่นฐำนไปทำงำน เป็นแรงงำนรับจ้ำงในนอกภำคเกษตรกรรมในจังหวัดใหญ่อื่นๆ และส่งเงิน กลับมำให้ครอบครัว ท้ังนี้ส่วนใหญ่เป็นเพรำะกำรพ่ึงพำรำยได้จำกกำรปลูก ข้ำวเพียงอย่ำงเดียว จำกกำรทำนำได้เพยี งครง้ั เดียวต่อปี แมใ้ นขณะปัจจุบันน้ี สิ่งที่พบเห็นได้ท่ัวไปว่ำ ครัวเรือนในภำคอีสำนโดยเฉพำะในชนบท จะพบเด็ก และผู้สูงอำยอุ ยู่บำ้ น ดูแลท่ดี ินทำกนิ ในขณะที่วยั แรงงำนไปทำงำนต่ำงถ่นิ ปัญหำควำมยำกจนกระจุกตัวหนำอยู่ในเขตชนบท ซึ่งประชำกร ประกอบอำชีพหลักด้ำนกำรเกษตร มกี ำรศึกษำในระดับต่ำ ซึง่ ส่งผลให้โอกำส ในกำรมีงำนทำหรือกำรประกอบอำชีพต่ำตำมไปด้วย ขนำดของที่ดินถือครอง น้อยกว่ำ 5 ไร่ มคี วำมเส่ียงตอ่ ควำมยำกจนสงู สดุ
40 ขอฝำกผู้อ่ำน...ท่ำนเห็นดว้ ยหรือไม่ว่ำ ควำมยำกจนมีลักษณะของ พลวตั ร ? ทฤษฎกี ำรพฒั นำกบั ควำมยำกจนในชนบท ที่ผ่ำนมำในสำยตำของรัฐและนักวิชำกำร เม่ือเห็นชุมชนไม่ว่ำท่ีใด ภำคใดของประเทศไทย ก็จะเดำเอำเองว่ำ ชนบทที่ไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น กำรมองชนบทเช่นนี้จึงทำให้มีกำรใช้แนวคิดทฤษฎีท่ีไม่สอดคล้องกับกำร แก้ไขปญั หำควำมยำกจนในชนบทไทย ตัวอยำ่ งเช่น 1. ทฤษฏีควำมเจริญทำงเศรษฐกิจ: ทฤษฎีน้ีเห็นว่ำกำรเร่งควำม เจริญเติบโตทำงเศรษฐกิจเป็นวิธีเดียวท่ีจะแก้ไขปัญหำควำมยำกจนในชนบท อย่ำงได้ผลในระยะยำว (ข้อเท็จจริงก็คือ ประมำณ 30 กว่ำปีที่ผ่ำนมำได้ พสิ จู นใ์ ห้เห็นอย่ำงชัดเจนวำ่ ไมไ่ ด้ผล) 2. ทฤษฎีจัดหำปัจจัยให้กับชนบท: เช่น มองว่ำกำรปฏิรูปท่ีดิน ร ะ บ บ ช ล ป ร ะ ท ำ น ท่ี รั ฐ จั ด ให้ จ ะ แ ก้ ไข ปั ญ ห ำ ค ว ำ ม ย ำ ก จ น ใน ช น บ ท ได้ (ขอ้ เทจ็ จรงิ ก็คือ ไม่ไดผ้ ล) 3. ทฤษฎีว่ำด้วยต้องมสี ูตรสำเรจ็ ซึ่งดำเนินกำร จำกสว่ นกลำงไปสู่ ท้องถิ่น: เช่น สหกรณ์กำรเกษตร ธนำคำรเพ่ือกำรเกษตรและสหกรณ์ กำรเกษตร (ผลปรำกฏว่ำ เหมำะสมกับเขตเกษตรก้ำวหน้ำ แต่ไม่มีประโยชน์ ตอ่ กำรแก้ปญั หำควำมยำกจนในชนบท) 4. ทฤษฎีลอกเลียนแบบจำกต่ำงประเทศ: เช่น เลียนแบบกำร พัฒนำชนบทระบบของไต้หวัน เกำหลี อิสรำเอล ซึ่งประสบควำมสำเร็จใน ประเทศของเขำ (ขอ้ เทจ็ จริง กค็ ือ ไมไ่ ด้ผล) จึงน่ำจะถึงเวลำท่ีคนไทยต้องมำทบทวนกันว่ำ “แนวทำงกำร แก้ปัญหำควำมยำกจนในชนบท”ท่ีเหมำะสมกับบริบทของสภำพเศรษฐกิจ สังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี ฯลฯ ของไทยควรมีหนำ้ ตำอยำ่ งไร?
41 ขอฝำกผู้อ่ำน… จินตนำกำรถงึ อศ.กช. ว่ำน่ำจะเป็นแนวทำงหน่ึงได้ หรอื ไม?่ กำรแบ่งเขตเกษตรเพื่อวิเครำะหค์ วำมยำกจน กำรช้ีสำเหตุของควำมยำกจนในชนบท จำเป็นจะต้องวิเครำะห์จำก ทำงด้ำนกำรเกษตรเป็นหลัก ท้ังนี้ โดยเช่ือมโยงควำมยำกจนเข้ำกับลักษณะ พนื้ ที่กำรเกษตร พ้ืนที่กำรเกษตรสำมำรถแบ่งออกเป็น 3 เขตใหญ่ ได้แก่ 1)เขต เกษตรก้ำวหน้ำสูง 2)เขตเกษตรก้ำวหน้ำปำนกลำง 3) เขตเกษตรล้ำหลัง ยำกจน 1. เขตเกษตรกำ้ วหนำ้ สงู : มลี กั ษณะสำคญั 2 ประกำร 1.1 อยู่ในเขตท่ีมีกำรชลประทำน และมีโอกำสที่จะใช้วิธีกำร เกษตรกรรมแผนใหม่ได้ ซึ่งมีโอกำสจะปรับปรุงฐำนะควำมเป็นอยู่ของ ครอบครวั ไดม้ ำก 1.2 อยูใ่ นเขตพื้นที่สำมำรถปลูกพชื อื่นให้ผลตอบแทนสงู กว่ำกำร ทำนำ 2. เขตเกษตรกำ้ วหนำ้ ปำนกลำง: มลี กั ษณะที่สำคญั 2 ประกำร 2.1 อยู่ในเขตพ้ืนที่ต้องพ่ึงฝนธรรมชำติแต่อย่ำงเดียว มีระบบ ชลประทำน ซึ่งสำมำรถป้องกันน้ำท่วม และเสริมปริมำณน้ำเพ่ือกำร เพำะปลูกในฤดูฝน ทำให้มีโอกำสที่จะปลูกพืชอำยุส้ันหลังจำกกำรเก็บเก่ียว ขำ้ วไดบ้ ้ำง 2.2 อยู่ในเขตพื้นท่ีสำมำรถเพำะปลูกพืชไร่ เพ่ิมเติมจำกกำรปลูก ขำ้ ว หรือสำมำรถที่จะปลูกพชื ไร่ในที่นำก่อนและหลังจำกกำรปลกู ขำ้ ว
42 3. เขตเกษตรล้ำหลังยำกจน: มีลักษณะท่ีสำคัญอยู่ในเขตพ้ืนท่ีทำ นำครั้งเดียวหรือปลูกพืชคร้ังเดียวโดยอำศัยน้ำฝน เช่น ทำนำในหน้ำนำ นอก หน้ำนำก็หำปลำ เก็บผกั เล้ยี งสัตว์ ตัดฟนื รบั จำ้ ง ฯลฯ กรอบกำรวิเครำะห์เขตเกษตรเป็นจุดเร่ิมต้นในกำรเช่ือมโยง “ควำม ยำกจน” เข้ำกับ “สำเหตุของควำมยำกจน” ทำให้พอจะเห็นปัญหำควำม ยำกจนในชนบทได้ชัดเจน เช่น นำนมำแล้ว จำได้ว่ำมีกรณีศึกษำพบว่ำ ภำค อีสำนใช้กำรทำนำครั้งเดียวเป็นเคร่ืองวัด เพรำะมีหลักฐำนชัดว่ำ พ้ืนท่ีใดใช้ พื้นที่ปลูกข้ำวคร้ังเดียวในหน้ำฝน มีขนำดพื้นที่เล็ก ได้ผลผลิต / ไร่ต่ำ พ้ืนที่ เหล่ำน้ี จะมีปัญหำควำมยำกจนหนำแน่นกว่ำเมื่อเทียบกับพ้ืนท่ีอื่น ส่วน ภำคใต้ ไดแ้ ก่ สวนยำงขนำดเล็กเนอื้ ท่ีต่ำกว่ำ 10 ไร่ ทย่ี งั ปลกู ยำงพันธ์ุเกำ่ อยู่ ขอฝำกผู้อ่ำน ...วิเครำะห์ว่ำพื้นท่ีที่วิทยำลัยฯ ทำ อศ.กช.ในแต่ละ พืน้ ท่นี ้ันเป็นเขตเกษตรใด? ปจั จัยสำคญั เพื่อกำรพฒั นำกำรเกษตร เกษตรกรรมเป็นเศรษฐกิจ อันแรกท่ีคนไทยรู้จักทำ ถึงแม้จะมีกำร พัฒนำเศรษฐกิจด้ำนอ่ืนๆ โดยเฉพำะด้ำนอุตสำหกรรมเป็นอย่ำงมำก แต่ เกษตรกรรมก็ยังมีควำมสำคัญอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนไปถึงอนำคตด้วยอย่ำง แน่นอน เช่น สมมติว่ำถ้ำเรำจะมีโรงงำนสับปะรดกระป๋อง เรำก็จะต้องมีกำร ขยำยเกษตรกรรมปลูกสับปะรด เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ เกษตรกรรมจึงยังจะมี ควำมสำคัญอยำ่ งยิ่งใหญ่อยูต่ ลอดไป ปัจจัยสำคัญที่จะพัฒนำกำรเกษตรที่ต้องพิจำรณำพอประมวลได้ ดังนี้ 1. ตลำดสำหรับผลติ ผลทำงกำรเกษตร: ต้องศึกษำด้ำนกำรตลำด ของสนิ ค้ำแตล่ ะอย่ำง แลว้ ผลติ ให้ตรงกับควำมต้องกำรของตลำด
43 2. กำรใช้เทคโนโลยีทำงกำรเกษตรท่เี หมำะสมกับกำรผลิต 3. กำรซ้อื หำวัสดแุ ละอปุ กรณ์กำรเกษตรได้สะดวกในท้องถิน่ 4. สงิ่ จงู ใจในกำรผลติ สำหรบั เกษตรกร 5. ควำมสะดวกในกำรขนส่งเพ่ือนำผลผลติ ไปสู่ตลำดและซือ้ หำวัสดุ อุปกรณ์ 6. สนิ เช่ือเพ่ือกำรเกษตร 7. กำรทำงำนเป็นกลมุ่ ของเกษตรกร 8.กำรศกึ ษำเพ่ือกำรพัฒนำกำรประกอบอำชพี ขอฝำกผู้อ่ำน... ทำ่ นคดิ ว่ำ 1. (ในหลักสูตร) รำยวิชำชีพในสำขำงำนจำเป็นต้องเลือกให้ สอดคลอ้ งกบั ตลำดสำหรับผลิตผลทำงกำรเกษตรในทอ้ งถน่ิ หรือไม่ ? 2. ปจั จยั ตำมขอ้ 8 คือ อศ.กช. หรอื ไม่ ?
Search