Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือวิชา Research Methodology (Pre-Final) (1)

หนังสือวิชา Research Methodology (Pre-Final) (1)

Description: หนังสือวิชา Research Methodology (Pre-Final) (1)

Search

Read the Text Version

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     วธิ ีการสมั ภาษณ์แบบ Focus Group Interviewing • มนั เป็นหน่ึงในเครื่องมือสาํ หรับการวิจยั เพื่อใหเ้ ขา้ ใจความคิดและความรู้สึกของ ประชาชน • โดยปกติจะเป็ นการเชิญประชาชนจาํ นวน 6-10 คนมารวมกลุ่มกนั เป็ นเวลา 2-3 ชว่ั โมงมาทาํ การฝึ กหัดอบรมของผูจ้ ดั การรวมกลุ่มเพื่อท่ีจะพูดคุยเก่ียวกบั เร่ือง ผลิตภณั ฑ์ บริการหรือการจดั การองคก์ ร • การประชุมถูกจดั ข้ึนในสถานที่น่าพอใจ และถูกจดั ทาํ ให้สดช่ืนเพ่ือสร้าง สภาพแวดลอ้ มแบบผอ่ นคลาย • ผจู้ ดั การประชุมจาํ เป็นตอ้ งมีเป้ าหมาย ความรู้เรื่องหวั ขอ้ และอุตสาหกรรมและมี ความเขา้ ใจบา้ งของกลุ่มและพฤติกรรมของผบู้ ริโภค • ผูจ้ ัดการประชุมเร่ิมต้นด้วยคาํ ถามกวา้ งๆ ก่อน แล้วจึงไปสู่ประเด็นที่พิเศษ เฉพาะเจาะจงมากข้ึน สนบั สนุนให้มีการเปิ ดกวา้ ง และง่ายในการสนทนาหรือ โตเ้ ถียงเพ่อื ที่จะนาํ มนั ออกมาดว้ ยความรู้สึกหรือความคิดจริงๆ • ในขณะเวลาน้นั ผสู้ มั ภาษณ์ตอ้ งมีจุดสนใจเรื่องการสนทนา ซ่ึงเรียกช่ือวา่   focus group interviewing บ่อยคร้ังมนั จะช่วยในการกาํ หนดหัวข้อซ่ึงเป็นคาํ ถามที่จะใช้ ถามในเวลาต่อมา มีขนาดใหญ่ สัมภาษณ์ทางตรง • คาํ วิจารณ์ถูกบนั ทึกผ่านการจดโน้ตหรือวีดีโอเทปและศึกษาในเวลาต่อมาได้ เพอ่ื ท่ีจะไดเ้ ขา้ ใจขบวนการซ้ือสินคา้ ของผบู้ ริโภค • โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงวิธีการน้ีเหมาะสําหรับผจู้ ดั การโรงแรมหรือร้านอาหาร ผูซ้ ่ึง ง่ายต่อการเขา้ ถึงผบู้ ริโภคของพวกเขา • ยกตวั อยา่ งเช่น ผจู้ ดั การโรงแรมบางคนเชิญกลุ่มลูกคา้ ของโรงแรมจากส่วนของ การตลาดเพื่อท่ีจะจดั อาหารเชา้ ฟรีให้แก่พวกเขา ผจู้ ดั การขอโอกาสเขา้ พบลูกคา้ และพดู คุยวา่ อะไรที่พวกเขาชอบเกี่ยวกบั โรงแรม และอะไรที่โรงแรมควรจะทาํ ใหก้ ารพกั ของพวกเขามีความสุขหรือความสบายมากข้ึน 37   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     • ลูกคา้ มีความชื่นชอบในความทรงจาํ คร้ังน้ี และผจู้ ดั การจะไดข้ อ้ มูลที่มีค่าอนั น้ี ผูจ้ ดั การร้านอาหารจะใช้แนวทางคลา้ ยๆ กนั น้ีในการถือโอกาสพูดคุยพบปะ ในช่วงตลอดระหวา่ งอาหารกลางวนั หรืออาหารเยน็ ข้อเสี ยหรื อข้อด้ อย • ตน้ ทุนอาจจะสูงกวา่ การสมั ภาษณ์ทางโทรศพั ท์ • การสุ่มตวั อยา่ ง ศึกษาการสัมภาษณ์เป็ นกลุ่มจะรักษาขนาดของกลุ่มตวั อย่างท่ีมี ขนาดเล็กเพื่อที่จะรักษาเวลาและตน้ ทุนต่าํ ดงั น้นั มนั อาจะยากที่จะพูดทว่ั ๆ ไป จากผลลพั ธ์ • ความมีอคติของผสู้ มั ภาษณ์ 5.2.4 วธิ ีการแบบผลการทดลอง (Experimental Method) • อาศยั หลกั การสังเกตหรือความชาํ นาญ เรียกวา่ Empirical Research หรือ Cause and Effect Method มนั เป็นการวจิ ยั เชิงขอ้ มลู ผลที่ตามมาคือการสรุปซ่ึงสามารถ พสิ ูจนด์ ว้ ยการสงั เกตหรือทดลอง • การวิจยั เชิงผลการทดลองคือความเหมาะสมเมื่อการพิสูจน์ถูกคน้ หาวา่ ตวั แปรที่ แน่นอนมีผลกระทบต่อตวั แปรอื่นๆในบางทิศทาง • ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์บดเนือ้ (เป็ นตัวแปรอิสระ) ส่งผลกระทบต่อเวลาในการ ทาํ อาหารและความละเอียดของเนือ้ (เป็นตัวแปรตาม) • ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการแทนที่ส่วนประกอบท้ังหมดหรือในส่วนประกอบ ของอีกอันหน่ึง เช่น การใช้แป้ งถ่ัวเหลืองเพื่อจะป่ นสําหรับทาํ ให้ขนมปังมี โปรตีนสูงขึน้ • การพฒั นาตาํ รับอาหารเพื่อที่จะใช้ในการผลิตอาหาร 38   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     • การวจิ ยั ดงั กล่าวเป็นคุณลกั ษณะของการควบคุมจากนกั ทดลองซ่ึงควบคุมตวั แปร ภายใตก้ ารศึกษาและการจบั ผสมกนั โดยสนใจในหน่ึงส่วนจากท้งั หมดเพ่ือท่ีจะ ศึกษาผลกระทบของมนั • ในการวิจยั น้ี มนั จาํ เป็นที่จะไดร้ ับความจริงในดา้ นหน่ึง ที่เป็ นแหล่งขอ้ มูลของ พวกเขา และเดินอย่างคล่องแคล่วว่องไวเกี่ยวกับการกระทาํ ในสิ่งท่ีแน่นอน เพ่ือท่ีจะกระตุน้ การผลิตใหไ้ ดต้ ามความตอ้ งการจากขอ้ มลู • นกั วจิ ยั ตอ้ งเตรียมตวั เองดว้ ยการทาํ งานต้ังสมมติฐาน หรือคาดการณ์ในเร่ืองของ ผลลพั ธ์ที่เป็นไปได้ • ดงั น้นั การทาํ งานเพื่อท่ีจะให้ไดข้ อ้ มูลท่ีจริงในการพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริงของ การต้งั สมมติฐาน • พวกเขาตอ้ งต้งั การออกแบบการทดลองซ่ึงความคิดควรจะจดั การกบั บุคคลหรือ วตั ถุท่ีเก่ียวขอ้ งเพอ่ื ท่ีจะนาํ ขอ้ มูลที่ตอ้ งการออกมา • หลกั ฐานการรวบรวมขอ้ มลู ผา่ นการทดลองหรือการศึกษาจากการสงั เกตทุกวนั น้ี ถูกพิจารณาเป็ นการสนับสนุนที่เป็ นไปได้ซ่ึงมีพลังมากท่ีสุดสําหรับการ ต้งั สมมติฐานท่ีไดร้ ับ • Lowe,Belle;1958,Experimental Cookery, John Willey & Sons, New York, pp. 34-46 5.2.5 วธิ ีการกาํ หนดออกแบบกลุ่มตวั อย่าง • ปกตินกั วิจยั วางกรอบขอ้ สรุปเก่ียวกบั กลุ่มของขอ้ มูลที่มีขนาดใหญ่ดว้ ยการสุ่ม ตวั อย่าง หนึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็ นหนึ่งส่วนของประชากรท่ีถูกเลือกมาแทน ประชากรท้ังหมด 39   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     • ในเชิงอุดมคติ กลุ่มตวั อย่างควรจะเป็ นตวั แทนและให้นักวิจยั ทาํ การประมาณ ดว้ ยความถูกตอ้ งแม่นยาํ ของความคิดและพฤติกรรมจากกลุ่มประชากรที่มีขนาด ใหญ่ • การออกแบบกลุ่มตวั อยา่ งเรียกวา่ การตดั สินใจ 3 แบบ • ใครท่ีจะตอ้ งถกู สาํ รวจ (กล่มุ ตวั อย่าง)  นกั วิจยั ตอ้ งหาวา่ ขอ้ มูลชนิดไหนท่ีจาํ เป็นและใครคือผทู้ ี่น่าจะตอ้ งถูก ทาํ มากท่ีสุด • จาํ นวนประชากรเท่าไรที่จะตอ้ งไปสาํ รวจ (ขนาดกล่มุ ตัวอย่าง)  กลุ่มตวั อย่างขนาดใหญ่ให้ความน่าเช่ือถือของผลลพั ธ์มากกว่ากลุ่ม ตวั อยา่ งขนาดเลก็ อยา่ งไรกต็ ามมนั ไม่จาํ เป็นท่ีจะใชก้ ลุ่มตวั อยา่ งของ ประชากรท้งั หมดท่ีเป็นเป้ าหมาย • ควรจะเลือกกลุ่มตวั อยา่ งอยา่ งไร (สุ่มตวั อย่าง)  สมาชิกอาจจะเลือก การสุ่ม จากประชากรท้งั หมด (กลุ่มตัวอย่างที่มี ความน่ าจะเป็ น)  นกั วิจยั อาจจะเลือกจากประชากรซ่ึงง่ายกวา่ ท่ีจะไดข้ อ้ มูลจากการสุ่ม (กล่มุ ตวั อย่างท่ีไม่มีความน่าจะเป็น) - ความจาํ เป็นของโครงการวิจัยจะต้องหาวิธีการซ่ึงมีประสิทธิภาพที่สุด ชนิดของกล่มุ ตวั อย่าง ตวั อย่างทม่ี ีความน่าจะเป็ น • การสุ่มตวั อยา่ งแบบง่าย : ทุกๆ สมาชิกของประชากรที่รู้ก่อนหรือมีโอกาสใน การถูกเลือก • การสุ่มตวั อยา่ งแบบเป็นช้นั : ประชากรถูกแบ่งแยกกนั อยา่ งชดั เจน เช่น กลุ่มอายุ และการสุ่มตวั อยา่ งจะถกู เลือกมาในแต่ละกลุ่ม 40   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     • ตวั อยา่ งเป็นกลุ่มพ้ืนที่ : ประชากรถูกแบ่งแยกกนั อยา่ งชดั เจน เช่น เป็นกลุ่มเป็น กอ้ น และนกั วจิ ยั เลือกตวั อยา่ งในกลุ่มเพ่อื ท่ีจะสมั ภาษณ์ ตวั อย่างทไี่ ม่มีความน่าจะเป็ น • ตวั อยา่ งแบบสะดวกสบาย (Convenience) : นกั วิจยั เลือกสมาชิกของประชากรที่ ง่ายท่ีสุดจากขอ้ มูลท่ีไดร้ ับมา • ตวั อย่างแบบตดั สินใจ (Judgment): นกั วิจยั ใชก้ ารตดั สินใจของเขาหรือเธอ เพอื่ ท่ีจะเลือกสมาชิกของประชากรผซู้ ่ึงมีโอกาสดีสาํ หรับขอ้ มลู ที่ถกู ตอ้ ง • ตวั อยา่ งแบบส่วนแบ่ง (Quota) : นกั วจิ ยั คน้ หาและสัมภาษณ์จาํ นวนเงื่อนไขของ ประชากรในแต่ละหลายๆ ลาํ ดบั ช้นั 5.3 เคร่ืองมอื สําหรับการเกบ็ ข้อมูล (เครื่องมือในการวจิ ยั ) การสร้างเครื่องมือในการวิจยั หรือเครื่องสาํ หรับเก็บขอ้ มูลมีความสาํ คญั ที่สุดในแง่มุม ของโครงการวิจยั เน่ืองจากสิ่งใดๆ ก็ตามท่ีคุณพูดในทิศทางที่หามาได้หรือสรุปได้จะเป็ น พ้ืนฐาน ข้ึนอยกู่ บั ชนิดของขอ้ มูลท่ีคุณเก็บ และขอ้ มูลที่คุณเก็บท้งั หมด อีกท้งั ข้ึนอยกู่ บั คาํ ถาม ซ่ึงคุณถามผตู้ อบคาํ ถาม เช่น ความนิยมในพดู เกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ “ขยะเขา้ ขยะออก” สามารถ ประยกุ ตใ์ ชก้ บั การเกบ็ ขอ้ มูลได้ เครื่องมือในการวิจัยเตรียมการนาํ เข้า (input) ข้อมูลในการศึกษา ดังน้ันคณุ ภาพและความมีเหตมุ ีผลของส่ิงท่ีได้รับออกมา (output ) จะขึน้ อย่กู ับสิ่งนีอ้ ย่างเดียว แนวทางในการสร้างเคร่ืองมอื ในการวจิ ยั ภายใต้หลักการจากแนวทางท่ีได้เสนอข้างล่างนี้เพื่อความมั่นใจอย่างมีเหตุมีผลของ เครื่องมือด้วยการทาํ ให้มนั่ ใจว่าคาํ ถามของคุณสัมพันธ์กับวตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษาหรือไม่ ขน้ั ตอนท่ี 1 ความชัดเจนในการกาํ หนดและดูรายการวัตถปุ ระสงค์ทั้งหมดในแต่ละข้อ แบบเฉพาะเจาะจงหรือคาํ ถามวิจัยสาํ หรับการศึกษาของคุณ 41   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ขนั้ ตอนท่ี 2 สาํ หรับในแต่ละวตั ถปุ ระสงค์หรือคาํ ถามวิจัย เรียกดูรายการคาํ ถามทั้งหมด ที่เก่ียวข้องกับวตั ถปุ ระสงค์ ซ่ึงคุณต้องการท่ีจะตอบคาํ ถามผ่านการศึกษาของคณุ ขนั้ ตอนที่ 3 นาํ แต่ละคาํ ถามวิจัยมาเรียกดูจากขน้ั ตอนท่ี 2 และเรียกดูข้อมลู ท่ีต้องการ เพ่ือที่จะตอบคาํ ถาม ขนั้ ตอนท่ี 4 ประมวลผลของคาํ ถามท่ีได้รับจากข้อมลู นี้ แนวทางของรายการคาํ ถาม (Questionnaire) โครงสร้างการสาํ รวจและสัมภาษณ์ไดใ้ ชร้ ายการคาํ ถาม ซึ่งรายการคาํ ถามประกอบด้วย ชุดของคาํ ถามซึ่งเป็นตัวแทนในการตอบสาํ หรับผู้ตอบคาํ ถาม โดยผ้ตู อบคาํ ถามอ่านคาํ ถาม แปล ความหมายอะไรเป็นส่ิงที่คาดหวังและเขียนคาํ ตอบลงไปในน้ัน มันเรียกว่า ตารางสัมภาษณ์ เม่ือ นักวิจัยถามคาํ ถาม (และถ้าจาํ เป็ นก็อธิบายท้ังหมด) และบันทึกคาํ ตอบจากผู้ถูกสัมภาษณ์ตาม ตาราง เนื่องจากมีหลายแนวทางท่ีจะถามคาํ ถาม รายการคาํ ถามตอ้ งมีความยืดหยนุ่ มนั ควรจะมี การพฒั นาและทดสอบอย่างระมดั ระวงั ก่อนที่จะใช้มาตรฐานที่ใหญ่ มีแนวทางพ้ืนฐานของ รายการคาํ ถาม 3 แนวทาง คือ แบบปิ ด (Closed-ended) แบบเปิ ด (Open-ended) และแบบรวมกนั ท้งั สองแบบ (Combination of both) ก) รายการคาํ ถามแบบปิ ด (Closed-ended Questionnaire) • คาํ ถามแบบปิ ดรวมคาํ ตอบท่ีเป็ นไปไดท้ ้งั หมด/การจาํ แนกคาํ ตอบก่อนที่จะเขียน และผตู้ อบคาํ ถามถูกถามที่จะเลือกคาํ ถามเหล่าน้ัน ยกตวั อย่างเช่น คาํ ถามแบบ เลือกหลายตวั เลือก คาํ ถามแบบช่วง • ชนิดของคาํ ถามใชเ้ พอ่ื ท่ีจะก่อใหเ้ กิดสถิติในเชิงปริมาณการวจิ ยั • ขณะท่ีคาํ ถามเหล่าน้ีเป็นไปตามรูปแบบท่ีเกิดข้ึน และการตอบส่วนใหญ่สามารถ นาํ เขา้ ง่ายสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อง่ายต่อการวิเคราะห์ จาํ นวนตวั เลขที่มากข้ึน สามารถแจกจ่ายได้ ข) รายการคาํ ถามแบบเปิ ด (Opened-ended Questionnaire) • คาํ ถามแบบเปิ ดอนุญาตใหผ้ ตู้ อบคาํ ถามมีการตอบในคาํ พดู ของตวั เขาเอง 42   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     • รายการคาํ ถามไม่ไดบ้ รรจุกล่องเพื่อที่จะขีดเขียนลงไป แต่มีลกั ษณะเป็ นแบบ ช่องวา่ งใหผ้ ตู้ อบคาํ ถามไดเ้ ขียนคาํ ตอบ • ขณะที่รายการคาํ ถามแบบปิ ดอาจจะใชใ้ นการหาวา่ จาํ นวนประชากรที่สนบั สนุน การใช้รายการคาํ ถามแบบเปิ ด หรืออาจจะใช้ในการหาว่าประชากรคิดอะไร เกี่ยวกบั การใหบ้ ริการ • ขณะที่ไม่มีมาตรฐานของคาํ ตอบต่อคาํ ถามเหล่าน้ี การวิเคราะห์ขอ้ มูลจะซบั ซอ้ น มากข้ึน • ขณะท่ีมนั เป็นความคิดเห็นซ่ึงถูกคน้ หามากกวา่ จาํ นวนตวั เลข รายการคาํ ถาม 2-3 คาํ ถามจาํ เป็นต่อการแจกจ่าย ค) การรวมกนั ของ 2 วธิ ี (Combination of both) • แนวทางน้ีมนั เป็นไปไดท้ ี่จะหาจาํ นวนประชากรเท่าไรที่ใชก้ ารบริการและอะไร คือท่ีพวกเขาคิดเกี่ยวกบั การบริการในทิศทางรูปแบบเดียวกนั • การเร่ิมตน้ กบั ชุดคาํ ถามแบบปิ ด ดว้ ยกล่องที่จะขีดเขียนหรือช่วงสําหรับลาํ ดบั และจบดว้ ยส่วนของคาํ ถามแบบเปิ ดหรือการตอบรายละเอียดท่ีมากข้ึน สร้างรายการคาํ ถามได้อย่างไร • การตดั สินใจกบั รายการคาํ ถามอนั ไหนท่ีใช้ - แบบปิ ดหรือแบบเปิ ด - ดาํ เนินการด้วยตวั ผ้สู ัมภาษณ์เอง • การใชค้ าํ และโครงสร้างของคาํ ถาม - คาํ ถามควรจะรักษาความส้นั และเรียบง่าย --หลีกเล่ียงการใช้ 2 คาํ ถามอยู่ ในคาํ ถามเดียวกนั --ใชก้ ารถาม 2 คาํ ถามมากกวา่ หน่ึงคาํ ถาม - หลีกเลี่ยงคาํ ถามเชิงลบซ่ึงไม่ควรมีอยู่ในน้ัน เน่ืองจากมันจะสับสน สาํ หรับผตู้ อบคาํ ถามที่จะตกลงหรือไม่ตกลง 43   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     - คาํ ถามไม่ควรจะบรรจุ อคติของชื่อเสียง ทาํ ใหเ้ กิดการขดั ขวางหรือบงั คบั ต่อผตู้ อบคาํ ถามใหค้ าํ ตอบท่ีผิด เพื่อท่ีจะไดด้ ูดี คาํ ถามเกี่ยวกบั คุณสมบตั ิ การศึกษาหรือรายไดอ้ าจจะลว้ งเอาความจริงจากผตู้ อบคาํ ถามได้ - ใชค้ าํ ถามทางออ้ มสาํ หรับประเดน็ ที่อ่อนไหว - ผตู้ อบคาํ ถามในทางออ้ ม สามารถเช่ือมความสมั พนั ธ์คาํ ตอบของเขาต่อประชาชนคนอ่ืนๆ ได้ - ใชค้ าํ ถามแบบปิ ด- ทดลองให้แน่ใจว่าคาํ ตอบท่ีเป็ นไปไดท้ ้งั หมดจะ ครอบคลุมเพ่ือให้ผู้ตอบคําถามไม่ถูกบังคับในคาํ ตอบของพวกเขา สาํ หรับตวั เลือกคาํ ตอบ “ไม่รู้” ควรจะถูกเพ่มิ เขา้ ไปดว้ ย - หลีกเลี่ยงคาํ ถามนาํ ไม่ตอ้ งถามคาํ ถามนาํ กบั ผตู้ อบคาํ ถามเพื่อที่จะใหเ้ ขา ตอบในทางที่แน่นอน เช่น “บ่อยคร้ังเท่าไรที่คุณล้างรถยนต์ของคุณ” สันนิษฐานไดว้ า่ ผตู้ อบคาํ ถามมีรถยนตแ์ ละเขาลา้ งรถของเขาเอง ซ่ึงแทน ดว้ ยการถามแบบกรองคาํ ถามเพ่ือถามวา่ ถา้ เขามีรถยนตแ์ ลว้ ดว้ ยการถาม “ถา้ คุณลา้ งรถยนตข์ องคุณดว้ ยจาํ นวนก่ีคร้ังต่อปี ” • ความยาวและลาํ ดบั ของคาํ ถาม - รักษารายการคาํ ถามใหส้ ้นั เท่าที่จะเป็นไปได้ - ถามคาํ ถามอยา่ งง่ายซ่ึงผตู้ อบคาํ ถามจะสนุกกบั การตอบคาํ ถาม - ถา้ รวมรายการคาํ ถาม รักษาคาํ ถามแบบเปิ ดไวต้ อนสุดทา้ ย - สร้างคาํ ถามให้น่าสนใจเท่าที่เป็ นไปได้ และง่ายต่อการติดตามดว้ ยการ เปลี่ยนชนิดและความยาวของคาํ ถาม - กลุ่มของคาํ ถามท่ีเป็ นหัวขอ้ เฉพาะเจาะจงเช่นน้ีมนั จะทาํ ให้ง่ายต่อการ เขา้ ใจและติดตาม - การจดั หนา้ และการแบ่งช่องวา่ งมนั มีความสาํ คญั เน่ืองจากรายการคาํ ถาม ที่ถกู แบ่งเป็นกลุ่มมีแนวโนม้ นอ้ ยมากที่จะถกู ตอบ 44   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     รายการคาํ ถามแบบนําทาง (Piloting the Questionnaire) คุณตอ้ งสร้างรายการคาํ ถามของคุณและคุณตอ้ งนาํ ทางมนั หมายถึงว่าคุณตอ้ งทดสอบ มนั ออกมาให้เห็นว่ามนั จะไดร้ ับผลลพั ธ์ท่ีคุณตอ้ งการ ดว้ ยการกระทาํ จากการถามประชาชนท่ี อ่านมนั ผ่านและเห็น ถ้ามีความคลุ่มเครือใดๆ ซ่ึงคุณไม่ได้แจ้งให้ทราบก่อน ผูต้ อบคาํ ถาม ท้งั หลายอาจจะถามถึงเพื่อจะออกความเห็นเกี่ยวกบั ความยาว โครงสร้างและคาํ พดู ของรายการ คาํ ถาม เพอื่ ท่ีจะมีการเปลี่ยนแปลงแกไ้ ขคาํ ถามตามน้นั 5.4 จริยธรรมในการเกบ็ ข้อมูล การประมวลผลปัญหาของการวิจยั การพฒั นาออกแบบการศึกษา การสร้างเคร่ืองมือ สาํ หรับการวิจยั และการเลือกตวั อยา่ ง แลว้ คุณเก็บขอ้ มูลจากท่ีซ่ึงคุณเขียนลงความเห็นและสรุป สาํ หรับการศึกษาของคุณ ข้ึนอยกู่ บั การวางแผนของคุณ คุณอาจจะต้งั ตน้ การสัมภาษณ์ ส่งออก ไปรษณียร์ ายการคาํ ถาม ดาํ เนินการทดลอง และ/หรือ สร้างการสงั เกตการณ์ การเก็บข้อมูลผ่านด้วยวิธีการใดๆ อาจจะนําไปสู่บางประเด็นของจริ ยธรรมต่อ ความสมั พนั ธ์ของผมู้ ีส่วนร่วมวจิ ยั และผวู้ จิ ยั : - ขอ้ มูลของผูซ้ ่ึงถูกเก็บหรือผูซ้ ่ึงถูกศึกษาดว้ ยนักวิจยั จะถือว่าเป็ น ผูม้ ีส่วนร่วม  (participants) ในการศึกษา - ใครก็ตามผู้ซ่ึงเก็บข้อมูลสําหรับจุดมุ่งหมายแบบเฉพาะเจาะจง แล้วต้อง ประมวลผลและดาํ เนินการซ่ึงคือ นกั วจิ ยั (researcher) ก) ประเด็นจริยธรรมเก่ียวข้องกับผู้มีส่วนร่วมกับการวิจัย มีหลายประเด็นเร่ืองจริยธรรม ของความสมั พนั ธ์ต่อผมู้ ีส่วนร่วมของกิจกรรมการวจิ ยั 1) การเกบ็ ขอ้ มูล : - การร้องขอของคุณสาํ หรับขอ้ มูลอาจจะทาํ ให้กดดนั หรือสร้างความรําคาญต่อผู้ ที่ใหค้ าํ ตอบ มนั เป็นเรื่องจริยธรรมไหม 45   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     - การทาํ วิจยั ตอ้ งการการปรับปรุงเง่ือนไข การเตรียมชิ้นส่วนใดๆ ของการวิจยั มี แนวโน้มเพ่ือท่ีจะช่วยสังคมท้งั ทางตรงหรือทางออ้ ม มนั จะยอมรับไดต้ ่อการ ถามคาํ ถาม ถ้าคร้ังแรกคณุ ได้รับความยินยอมจากการบอกของผ้ตู อบคาํ ถาม - ถ้าคุณไม่สามารถตัดสินใจความสัมพนั ธ์เก่ียวข้องจากงานวิจัยท่ีคุณกําลัง ดาํ เนินการอยู่ คุณจะเสียเวลาจากผตู้ อบคาํ ถามของคุณ ซ่ึงมนั จะไม่มีจริยธรรม 2) การคน้ ควา้ หาความยนิ ยอม : - ทุกสาขาวิชามันมีการพิจารณาเรื่ องไม่มีจริ ยธรรมเพ่ือท่ีจะเก็บข้อมูล นอกเหนือจากความรู้ของผมู้ ีส่วนร่วมและการแสดงความต้งั ใจของพวกเขาและ ความยนิ ยอมที่บอกใหท้ ราบ - ความยินยอมท่ีบอกให้ทราบ (Informed consent) บอกเป็นนยั วา่ เน้ือหาควรมี ความเหมาะสมระมดั ระวงั ต่อชนิดขอ้ มูลท่ีคุณตอ้ งการจากพวกเขา, ทาํ ไมขอ้ มูล ถึงถูกสืบคน้ หา, ความมุ่งหมายอะไรที่จะใส่เขา้ ไป, พวกเขามีความคาดหวงั อยา่ งไรต่อผมู้ ีส่วนร่วมในการศึกษา และมนั มีผลกระทบอยา่ งไรท้งั ทางตรงและ ทางออ้ มต่อพวกเขา มนั มีความสาํ คญั ท่ีวา่ ความยนิ ยอมควรจะมาจากความสมคั ร ใจและปราศจากความกดดนั ใดๆ 3) การเตรียมการส่งเสริม : - ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ไดม้ ีส่วนร่วมในการศึกษาเนื่องจากแรงจูงใจ แต่พวกเขา ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ในการศึกษา - มนั จะเป็ นจริยธรรมหรือไม่ท่ีจะเตรียมการส่งเสริมต่อผตู้ อบคาํ ถามท่ีจะแบ่งบนั ขอ้ มลู กบั คุณเนื่องจากพวกเขากาํ ลงั ใหเ้ วลาพวกเขาเอง - ตอ้ งมีการนาํ เสนอก่อนท่ีจะมีการเกบ็ ขอ้ มลู ที่ไม่มีจริยธรรม 4) การคน้ ควา้ หาขอ้ มูลที่ออ่ นไหว : - ชนิดของขอ้ มูลที่แน่นอนสามารถถูกพิจารณาไดว้ า่ เป็ นความอ่อนไหวหรือเป็ น ความลบั โดยประชาชนบางคน และกระน้นั การบุกรุกความเป็นส่วนตวั ของพวก เขา และการถามดงั เช่นขอ้ มลู อาจจะผดิ หวงั หรือขดั ขวางแก่ผตู้ อบคาํ ถาม - สาํ หรับคาํ ถามของประชาชนส่วนใหญ่เกี่ยวกบั การใชย้ า, การฉกฉวย, รายได,้ อายุ, สถานการณ์สมรส เป็ นตน้ เหมือนจะถูกบุกรุก โดยการเก็บขอ้ มูลคุณ จาํ เป็นตอ้ งระวงั เก่ียวกบั ความออ่ นไหวของผตู้ อบคาํ ถามของคุณ 46   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     - มนั ตอ้ งมีจริยธรรมท่ีจะถามคาํ ถามดงั กล่าวเพื่อเตรียมไวว้ ่า คุณถามคาํ ถามกบั ผู้ต อ บ ค ํา ถ า ม ข อ ง คุ ณ ด้ว ย ช นิ ด ข้อ มู ล ท่ี คุ ณ กํา ลัง จ ะ ถ า ม อ ย่ า ง ชัด เ จ น แ ล ะ ตรงไปตรงมา และให้เวลาพวกเขาอย่างเพียงพอท่ีจะตัดสินใจ ถ้าพวกเขา ตอ้ งการมีส่วนร่วม ปราศจากการชกั ชวนส่วนใหญ่ใดๆ 5) ความเป็นไปไดท้ าํ ใหเ้ กิดอนั ตรายต่อผมู้ ีส่วนร่วม : - เมื่อคุณเก็บขอ้ มูลจากผูต้ อบคาํ ถามหรือเก่ียวข้องเน้ือหาในการทดลอง คุณ จาํ เป็ นตอ้ งตรวจสอบอย่างระมดั ระวงั ในเรื่องว่ามนั จะเก่ียวขอ้ งกบั พวกเขาท่ีมี แนวโนม้ อนั ตรายต่อพวกเขาท้งั หมดในทางใดๆ หรือไม่ - อันตรายรวมถึงการวิจัยท่ีซึ่งอาจจะรวมการทดลองที่อันตราย, ไม่สะดวกสบาย, ความทุกข์ร้ อนใจ, ทาํ ให้เบ่ือหน่าย, การบุกรุกส่วนตัว, หรือการปฏิบัติตัว หรือ กระบวนการท่ีทาํ ให้มนษุ ย์อันตราย - ถ้ามันมีแนวโน้มที่คุณต้องทําให้แน่ใจว่ามีความเสี่ยงน้อยที่สุด ซ่ึงพูดได้ ขอบเขตของอนั ตรายหรือความไม่สบายมนั จะไม่มากเกินกว่าธรรมดาที่พบเจอ ในดาํ รงชีวิตอยทู่ ุกวนั ถา้ ทิศทางขอ้ มูลถูกคน้ หาสร้างความทุกขร์ ้อนใจหรือทาํ ใหเ้ บ่ือหน่าย คุณจาํ เป็นตอ้ งนาํ เสนอข้นั ตอนมาเพื่อที่จะป้ องกนั กบั สิ่งเหล่าน้ี 6) การรักษาความลบั เฉพาะ : - การแบ่งปันของขอ้ มูลเก่ียวกับผูต้ อบคาํ ถามกับสิ่งอื่นเพ่ือวตั ถุประสงค์อื่นๆ มากกว่าการวิจัยที่ไม่มีจริ ยธรรม บางคร้ังคุณจําเป็ นต้องพิสูจน์การศึกษา ประชากรของคุณเพื่อที่จะวางการค้นหาของคุณในบริบท ในสถานการณ์ ดงั กล่าวคุณจาํ เป็ นต้องทาํ ให้แน่ใจว่าอย่างน้อยขอ้ มูลที่ถูกเตรียมไวส้ ําหรับ ผตู้ อบคาํ ถามจะถูกรักษาปิ ดบงั ไว้ มนั ไม่มีจริยธรรมที่จะพิสูจน์จากการตอบ โดยส่วนบุคคล ดงั น้นั คุณจาํ เป็ นตอ้ งแน่ใจว่าหลงั จากที่ขอ้ มูลไดถ้ ูกเก็บ โดยท่ี แหล่งขอ้ มูลไม่สามารถจะทราบได้ ข) ประเดน็ จริยธรรมเกย่ี วข้องกบั ผู้วจิ ยั : 1) หลีกเล่ียงความมีอคติ : - ความมีอคติต่อในส่วนของการวิจัยท่ีไม่มีจริยธรรม ความมีอคติคือเจตนา พยายามที่จะท้งั ซ่อนอะไรท่ีคุณคน้ หาในการศึกษาของคุณหรือจุดเด่นบางส่ิงท่ี ไม่ไดช้ ดั เจนต่อความจริงที่มีอยู่ 47   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     2) การเตรียมการหรือการถอนการปฏิบตั ิ : - ท้งั การเตรียมการและการถอนการปฏิบัติ/การเข้าแทรก อาจจะทาํ ให้งงกับ จริยธรรมสําหรับคุณท่ีเป็ นผูว้ ิจยั มนั มีจริยธรรมหรือไม่ท่ีจะเตรียมการศึกษา ประชากรด้วยการเข้าแทรก/การปฏิบัติ ที่ไม่ได้พิสูจน์ลงความเห็นอย่างมี ประสิทธิภาพหรือประโยชน์ แต่ถา้ คุณไม่ไดท้ ดสอบ คุณสามารถพิสูจน์ได้ อยา่ งไรวา่ มนั มีประสิทธิภาพหรือประโยชน์ - ไม่มีคาํ ตอบท่ีง่ายกบั สิ่งเหล่าน้ี แน่ใจว่าจะยินยอมให้มี “ความเส่ียงนอ้ ยท่ีสุด” และพดู คุยกนั อยา่ งตรงไปตรงมาในเร่ืองการแสดงความเป็นนยั ของผมู้ ีส่วนร่วม ในการศึกษาซ่ึงจะตอ้ งช่วยทาํ ใหม้ ีขอ้ ตกลงเร่ืองประเดน็ จริยธรรม 3) การใชค้ วามไม่เหมาะสมระเบียบวธิ ีการวจิ ยั : - มนั ไม่มีจริยธรรมที่ใช้วิธีหรือกระบวนการซ่ึงคุณรู้ถึงความไม่เหมาะสม เช่น การเลือกตวั อยา่ งที่มีอคติสูง การใชเ้ คร่ืองมือที่ใชไ้ ม่ได้ หรือการร่างขอ้ สรุปท่ีผดิ 4) ความไม่ถูกตอ้ งของรายงาน : - การรายงานการคน้ หาทิศทางซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลงหรือบิดเบือนท้งั หมดที่จะ ช่วยใหต้ วั ของคุณเองหรือใครกต็ ามที่สนใจ คือความไม่มีจริยธรรม 5) ความไม่เหมาะสมในการใชข้ อ้ มูล : - การใชข้ อ้ มูลท้งั ทางตรงหรือทางออ้ มส่งผลกระทบตรงกนั ขา้ มแก่ผตู้ อบคาํ ถาม คือไม่มีจริยธรรมดงั น้นั ถา้ ประชากรท่ีศึกษาจาํ เป็นตอ้ งถกู ปกป้ อง - บางคร้ังมนั เป็ นไปไดท้ ี่อนั ตรายเฉพาะบุคคลในขบวนการของผลประโยชน์ท่ี ไดร้ ับสาํ หรับองคก์ ร ตวั อย่างเช่น ควรจะศึกษาการตรวจสอบความเป็ นไปได้ ของการสร้างองค์กรกลับคืนมา ขบวนการการสร้างคืนกลับมาอาจจะเป็ น ประโยชน์ต่อองคก์ รท้งั หมดแต่อาจจะเป็นอนั ตรายกบั เฉพาะบุคคลบางคน - คุณควรจะถามผูต้ อบคาํ ถามหรือไม่สําหรับขอ้ มูลท่ีมีแนวโน้มในการใช้เพ่ือ ต่อตา้ นพวกเขาท้งั หมด มนั คือจริยธรรมท่ีจะถามคาํ ถามที่ถูกเตรียมไวใ้ ห้คุณ บอกกบั ผตู้ อบคาํ ถามในการใชศ้ กั ยภาพของขอ้ มูล รวมถึงความเป็ นไปไดข้ อง การใชต้ ่อตา้ นพวกเขาบางคน และคุณอนุญาตใหพ้ วกเขาตดั สินใจไดถ้ า้ พวกเขา ตอ้ งการมีส่วนร่วม 48   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     แบบฝึ กหัดบทท่ี 5 1. อธิบายข้นั ตอนวธิ ีการอออกแบบงานวจิ ยั จากบทความวิจยั ที่เลือกมาอ่าน 2. อธิบายข้นั ตอนในการเกบ็ ขอ้ มลู จากบทความวจิ ยั ที่เลือกมาอ่าน และสรุปขอ้ มูลท่ีถูก เกบ็ มาเป็นขอ้ มลู ชนิดใดหรือรูปแบบใด 3. สรุปประเดน็ เร่ืองจริยธรรมในการเกบ็ ขอ้ มลู จากบทความวจิ ยั ที่เลือกมาอา่ น 49   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     บทที่ 6 การประมวลผลและวเิ คราะห์ขอ้ มลู วตั ถุประสงค์ 1. เพือ่ ศึกษาการประมวลผลและวเิ คราะห์ขอ้ มลู 2. เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจวธิ ีการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ 6.1 การประมวลผลและวเิ คราะห์ข้อมูล การประมวลผลและการวิเคราะห์ขอ้ มูลเกี่ยวขอ้ งกบั จาํ นวนการปฏิบตั ิหรือดาํ เนินการที่ สัมพนั ธ์ใกลเ้ คียงกนั ซ่ึงถูกแสดงดว้ ยวตั ถุประสงคข์ องการสรุปการเก็บขอ้ มูลและการจดั การ ท้ังหมดน้ี โดยเป็ นวิธีการที่ผูว้ ิจัยสามารถตอบคาํ ถามของการวิจัยได้ (วตั ถุประสงค์หรือ เป้ าหมาย) การดาํ เนินการประมวลผลข้อมูลมีดงั นี้ 1) การแก้ไข(Editing) เป็ นกระบวนการในการตรวจสอบขอ้ มูลดิบเพ่ือที่จะคน้ หา ขอ้ ผดิ พลาดและขอ้ ละเลย และทาํ ใหส้ ิ่งเหล่าน้ีถกู ตอ้ งที่เป็นไปได้ 2) การแบ่งจาํ แนก (Classification) เป็นกระบวนการในการจดั เรียงขอ้ มูลใหอ้ ยใู่ นกลุ่มหรือ พวกเดียวกันบนพ้ืนฐานของคุณลักษณะที่เป็ นปกติทั่วไป ข้ันอยู่กับธรรมชาติของ ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวขอ้ งสมั พนั ธ์กนั ก) การแบ่งจาํ แนกตามคุณลักษณะประจาํ (attribute): ขอ้ มูลถูกวิเคราะห์บนพ้ืนฐาน ของคุณลกั ษณะที่เป็นปกติทว่ั ไปซ่ึงสามารถเป็นไดด้ งั น้ี  เชิงพรรณนา (descriptive) เช่น ความรู้ข้นั พ้นื ฐาน, เพศ, ศาสนา เป็นตน้  ตัวเลข (numerical) เช่น น้าํ หนกั , ความสูง, รายได้ เป็นตน้ 50   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     การแบ่งจาํ แนกดงั กล่าวสามารถเป็นไดด้ งั น้ี  การแบ่งจาํ แนกอย่างง่าย (Simple Classification) พวกเราพิจารณาเพียงหน่ึง คุณลกั ษณะประจาํ และแบ่งทุกสิ่งทุกอยา่ งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกประกอบดว้ ย รายการหรือหัวขอ้ ที่สามารถเขา้ ถึงคุณลกั ษณะได้ และกลุ่มสองประกอบดว้ ย รายการหรือหวั ขอ้ ที่ไม่สามารถเขา้ ถึงคุณลกั ษณะได้ แสดงดงั ตารางที่ 6.1 ตารางที่ 6.1 ลูกจา้ งของโรงแรมที่จบการศึกษาระดบั ปริญญาโท MBA Yes No Total MBA Degree 21 9 30  การแบ่งจาํ แนกหลายแบบ (Manifold Classification) พวกเราพิจารณาสองหรือ มากกวา่ ของคุณลกั ษณะประจาํ พร้อมกนั ในเวลาเดียวกนั และแบ่งกลุ่มขอ้ มูลเป็น จาํ นวน 2 กลุ่ม แสดงดงั ตารางท่ี 6.2 ตารางที่ 6.2 ลกู จา้ งของโรงแรมท่ีจบการศึกษาระดบั ปริญญาโท MBA Yes No Total Male Female Male Female Male Female MBA Degree 12 9 3 6 15 15 B.Sc. H&HA 15 15 0 0 15 15 ข) การแบ่งจาํ แนกตามภายในกล่มุ หรือพวก (class-intervals): ขอ้ มูลสมั พนั ธ์กบั รายได้ , อายุ, นา้ํ หนัก, อัตราภาษี, ผลผลิต, ระหว่างเวลาครอบครอง เป็ นต้น ขอ้ มูลของ ปริมาณดงั กล่าวรู้จกั กนั ในนาม ตวั แปรทางสถิติ และแบ่งไปตามพ้ืนฐานภายในกลุ่ม ยกตวั อยา่ งเช่น นาย ก ผซู้ ่ึงไดร้ ายไดอ้ ยใู่ นช่วง 2,001 ถึง 4,000 บาท สามารถจดั ให้ อยใู่ นกลุ่มหน่ึงได้ หรือกลุ่มที่มีรายไดอ้ ยใู่ นช่วง 4,001 ถึง 6,000 บาท สามารถจดั ให้ 51   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     อยใู่ นอีกกลุ่มหน่ึงได้ จาํ นวนภายในหวั ขอ้ ซ่ึงจะตกอยใู่ นกลุ่มมีลกั ษณะเป็ นความถ่ี ของกลุ่มน้นั แสดงดงั ตารางท่ี 6.3 ตารางท่ี 6.3 รายไดท้ ี่ไดร้ ับของนกั ศึกษา ช่วงของรายได้ (บาท) จาํ นวน (คน) เปอร์เซ็นต์ (%) 1,000-2,000 2,001-4,000 10 50 4,001-6,000 8 40 รวม 2 10 20 100 3) การสร้างเป็นรูปตาราง (Tabulation) เป็นกระบวนการในการสรุปขอ้ มูลดิบและแสดงใน ความคล้ายในรูปแบบกระชับรัดกุมสําหรับการวิเคราะห์ในอนาคต มนั เป็ นการจัด เรียงลาํ ดบั ขอ้ มูลในแนวสดมภ์ (Column) และแนวแถว (Row) การทาํ ตารางมีความ จาํ เป็นเนื่องจากดงั น้ี ก) รักษาพ้นื ท่ีและลดคาํ อธิบายและการพรรณนาขอ้ ความใหน้ อ้ ยท่ีสุด ข) มีความสะดวกในขบวนการเปรียบเทียบ ค) มีความสะดวกในการสรุปชุดของหวั ขอ้ และตรวจสอบความผดิ พลาดหรือท่ีลืมได้ ง) จดั เตรียมรากฐานสาํ คญั สาํ หรับการคาํ นวณทางสถิติต่างๆ ได้ การสร้างตารางอาจจะถกู แบ่งเป็นตารางแบบง่ายและตารางแบบซบั ซอ้ น  ตารางแบบง่ายโดยทว่ั ไปมีผลลพั ธ์เป็นตารางแบบทางเดียว (one-way table) ซ่ึง สนบั สนุนคาํ ตอบกบั คาํ ถามท่ีเก่ียวกบั หน่ึงลกั ษณะขอ้ มูลเท่าน้นั ตารางแบบทาง เดียว หมายถึง ตารางท่ีมีการจาํ แนกเพียงลกั ษณะเดียวเท่าน้นั เช่น จาํ นวนของ ลกู จา้ งภาคเอกชนและภาครัฐบาลท่ีไดร้ ับผลประโยชน์เพ่มิ เติม ไตรมาส 3 พ.ศ. 2551 แสดงดงั ตารางท่ี 6.4 52   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ตารางท่ี 6.4 จาํ นวนของลกู จา้ งภาคเอกชนและภาครัฐบาลท่ีไดร้ ับผลประโยชนเ์ พ่มิ เติม ไตรมาส 3 พ.ศ. 2551 (หน่วย : คน) ผลประโยชน์เพ่มิ เติม จาํ นวน ยอดรวม 5,423,500 โบนสั 144,400 ค่าล่วงเวลา 1,879,900 เงินสดอื่นๆ 2,566,000 อาหาร 1,472,100 เส้ือผา้ 139,600 ที่อยอู่ าศยั 737,600 อ่ืนๆ 652,800 แหล่งท่ีมา : การสาํ รวจภาวะการทาํ งานของประชากร ไตรมาส 3 พ.ศ. 2551 สาํ นกั งานสถิติแห่งชาติ  ขณะที่ตารางแบบซบั ซอ้ นโดยปกติมีผลลพั ธ์เป็นตารางสองทาง (two-way table) ให้รายละเอียดเก่ียวกบั ความสัมพนั ธ์กนั ของสองลกั ษณะขอ้ มูล โดยตารางแบบ สองทาง หมายถึง ตารางที่มีการจาํ แนกลกั ษณะสองลกั ษณะ เช่น จาํ นวนผยู้ า้ ยถ่ิน เขา้ มาในกรุงเทพมหานคร จาํ แนกตามสถานที่อยู่ก่อนยา้ ย และภาคท่ีอยู่ใน ปัจจุบนั พ.ศ. 2549 แสดงดงั ตารางที่ 6.5 53   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ตารางที่ 6.5 จาํ นวนผยู้ า้ ยถ่ินเขา้ มาในกรุงเทพมหานคร จาํ แนกตามสถานที่อยกู่ ่อนยา้ ยและ ภาคที่อยใู่ นปัจจุบนั พ.ศ. 2549 (หน่วย : คน) สถานทอี่ ยู่ก่อนย้าย ภาคทอ่ี ยู่ปัจจุบัน รวม กรุงเทพ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาค ภาคใต้ ต่าง มหานคร ตะวนั ออก ประเทศ เฉียงเหนือ ยอดรวม 1,062,155 440,641 234,754 95,179 183,474 50,031 58,077 กรุงเทพมหานคร 93,241 - 20,200 19,124 46,933 5,617 1,367 กลาง 249,931 80,736 - 43,311 111,676 8,677 5,531 เหนือ 181,595 77,873 70,141 - 12,413 6,447 14,721 ตะวนั ออกเฉียงเหนือ 474,883 256,754 130,095 24,986 - 29,290 33,758 ใต้ 62,505 25,278 14,318 7,758 12,451 - 2,699 แหล่งที่มา : การสาํ รวจการยา้ ยถิ่นของประชากร พ.ศ. 2549 สาํ นกั งานสถิติแห่งชาติ  ส่วนตารางแบบสามทิศทางหรือมีลาํ ดบั ท่ีสูงข้ึนมนั จะเรียกว่าเป็ นตารางแบบ หลายทาง (multi-way table) หมายถึง ตารางที่มีการจาํ แนกต้งั แต่สามลกั ษณะ (three-way table) ข้ึนไปนนั่ เอง เช่น อตั ราการมีส่วนร่วมในกาํ ลงั แรงงานของ ประชากร จาํ แนกตามเพศ ภาค และเขตการปกครอง ไตรมาสที่ 3 พ.ศ. 2551 แสดงดงั ตารางที่ 6.6 54   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ตารางที่ 6.6 อตั ราการมีส่วนร่วมในกาํ ลงั แรงงานของประชากร จาํ แนกตามเพศ ภาค และเขต การปกครองไตรมาสท่ี 3 พ.ศ. 2551 (หน่วย : ร้อยละ) ภาค เพศ/เขตการปกครอง รวม กรุงเทพ กลาง เหนือ ตะวนั ออก ใต้ มหานคร เฉียงเหนือ ยอดรวม 73.5 70.7 73.8 73.0 73.7 74.9 ชาย 81.5 79.0 81.7 80.0 82.3 83.2 หญิง 65.8 63.6 66.4 66.2 65.3 66.9 ในเขตเทศบาล 70.8 70.7 72.5 69.5 69.5 70.6 ชาย 78.6 79.0 80.0 76.3 77.2 78.8 หญิง 63.8 63.6 65.7 63.3 62.2 63.0 นอกเขตเทศบาล 74.6 - 74.4 73.9 74.5 76.3 ชาย 82.8 - 82.5 80.9 83.2 84.6 หญิง 62.8 - 66.7 67.0 65.9 68.2 แหล่งท่ีมา : การสาํ รวจภาวะการมีงานทาํ ของประชากรไตรมาสที่ 3 พ.ศ. 2551 สาํ นกั งานสถิติแห่งชาติ 6.2 วธิ ีการวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงคุณภาพคือขบวนการค่อนขา้ งเฉพาะตวั เก่ียวกบั กฎสองสามขอ้ และ กระบวนการที่ไม่ยืดหยุ่น สําหรับวตั ถุประสงค์ในท่ีน้ีผูว้ ิจยั จาํ เป็ นตอ้ งเดินผ่านขบวนการที่ เรียกวา่ การวิเคราะห์เนือ้ หา (Content Analysis) การวิเคราะห์เน้ือหาหมายถึงการวิเคราะห์เน้ือหาในการสัมภาษณ์เพ่ือท่ีจะพิสูจน์หวั ขอ้ หลกั ซ่ึงปรากฏมาจากคาํ ตอบที่ไดจ้ ากผตู้ อบคาํ ถาม กระบวนการน้ีมีจาํ นวนข้นั ตอนดงั น้ี 55   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ข้นั ตอนท่ี 1 การพิสูจน์หัวข้อหลกั (Identify the main themes) ผวู้ จิ ยั จาํ เป็นตอ้ งระมดั ระวงั ใน การเดินขา้ มผ่านคาํ ตอบเชิงพรรณนาท่ีได้จากผูต้ อบคาํ ถามในแต่ละคาํ ถามเพ่ือท่ีจะเข้าใจ ความหมายของการสื่อสารเหล่าน้นั จากคาํ ตอบเหล่าน้นั ผวู้ จิ ยั สามารถพฒั นาหวั ขอ้ ใหเ้ พิ่มข้ึนได้ ซ่ึงจะสะทอ้ นกลบั ไปยงั ความหมายเหล่าน้นั ประชาชนใชค้ าํ พดู และภาษาที่แตกต่างในการ แสดงความหมายท้งั หมดดว้ ยตวั มนั เอง มนั มีความสาํ คญั ท่ีวา่ ผวู้ ิจยั เลือกคาํ พดู ของหวั ขอ้ หลกั ไป เป็ นตวั แทนความหมายของคาํ ตอบในทิศทางที่ถูกตอ้ งซ่ึงถูกจดั ให้อยู่ภายใตห้ ัวขอ้ น้นั หัวขอ้ เหล่าน้นั จะเป็นพ้นื ฐานสาํ หรับการวเิ คราะห์ขอ้ ความในการสมั ภาษณ์แบบ Unstructured ข้นั ตอนท่ี 2 กาํ หนดการประมวลผลต่อหัวข้อหลัก (Assign codes to the main themes) ถา้ ผวู้ ิจยั ตอ้ งการที่จะนบั เป็ นจาํ นวนคร้ังของหวั ขอ้ ท่ีเกิดจากการสัมภาษณ์ เขาหรือเธอจาํ เป็ นตอ้ ง เลือกสองสามคาํ ตอบจากการคาํ ถามแบบเปิ ดและพิสูจน์หัวขอ้ หลกั เขาหรือเธอดาํ เนินการต่อ เพ่ือพิสูจน์หัวขอ้ เหล่าน้ีจากคาํ ถามเดียวกนั จนกระทง่ั ถึงมาถึงจุดอ่ิมตวั เขียนหัวขอ้ เหล่าน้ีและ กาํ หนดประมวลผลในแต่ละขอ้ ของท้งั หมด โดยใชจ้ าํ นวนของคาํ สาํ คญั (keywords) ข้นั ตอนที่ 3 การแบ่งจาํ แนกคาํ ตอบภายใต้หัวข้อหลัก (Classify responses under the main themes) ต้องมีการพิสูจน์หัวข้อน้ัน ข้ันตอนต่อไปก็คือการดําเนินการผ่านใบรายงานผล การศึกษาของผสู้ มั ภาษณ์ท้งั หมดและแบ่งจาํ แนกคาํ ตอบภายใตห้ วั ขอ้ ท่ีแตกต่างกนั ข้นั ตอนที่ 4 การรวบรวมหัวข้อและคาํ ตอบเข้าไปในข้อความในรายงานของคุณ (Integrate themes and responses into the text of your report) ตอ้ งพิสูจน์วา่ คาํ ตอบตกอยภู่ ายในหวั ขอ้ ที่ แตกต่างกนั ข้นั ตอนต่อไปก็คือการรวบรวมใหเ้ ขา้ ไปอยใู่ นขอ้ ความในรายงานของคุณ ขณะท่ีมี การพิจารณาโตเ้ ถียงกนั ในหวั ขอ้ หลกั ซ่ึงจะปรากฏออกมาใหเ้ ห็นจาการศึกษาของคุณ ผวู้ ิจยั บาง คนใช้การอา้ งถอ้ ยคาํ ของคาํ ตอบเพื่อรักษาความรู้สึกของผูต้ อบคาํ ถาม ผูว้ ิจยั อื่นก็มีการนับ ความถี่เท่าไรของหวั ขอ้ หลกั ท่ีเกิดข้ึนแลว้ พวกเขาก็เตรียมตวั อยา่ งของคาํ ตอบไว้ ท้งั หมดน้ีมนั ข้ึนอยกู่ บั ทิศทางของผวู้ จิ ยั ท่ีตอ้ งการสื่อสารผลของการสืบคน้ ต่อผอู้ ่านงานวิจยั 56   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงปริมาณ วิธีการน้ีส่วนใหญ่เหมาะสําหรับการสาํ รวจออกแบบและดาํ เนินการกบั ตวั อย่างขนาดใหญ่ โดยใชก้ ารสร้างคาํ ถามหรือคาํ พดู ท่ีเหมาะสม ขอ้ มลู สามารถถกู วเิ คราะห์ไดท้ ้งั ด้วยมือ (manual) หรือช่วย ด้วยคอมพิวเตอร์ (computer) การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยมือ  (Manual Data Analysis) สามารถทาํ ไดถ้ า้ จาํ นวนของผตู้ อบ คาํ ถามนอ้ ยท่ีเป็นเหตุผล และไม่มีตวั แปรมากในการวเิ คราะห์ อย่างไรก็ตาม มนั ใช้ประโยชน์เพียงการคาํ นวณความถี่และรูปแบบตารางอย่างง่าย การ วิเคราะห์ขอ้ มูลด้วยมือใช้เวลาค่อนขา้ งนาน ทางที่ง่ายที่สุดท่ีจะทาํ คือการประมวลผลไปใน ทิศทางตามแนวสดมภ์ (columns) ของกระดาษกราฟ รายละเอียดหัวขอ้ สามารถถูกใช้ หรือ จาํ นวนคาํ ถามสามารถถกู เขียนในแต่ละสดมภต์ ่อการประมวลผลของขอ้ มูลเก่ียวกบั คาํ ถาม การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดว้ ยมือ (การกระจายความถี่) ดว้ ยการนบั ประมวลผลต่างๆ ในแนวสดมภ์ และพวกมนั จะถูกประมวลผลออกมา นอกจากน้ี ถา้ คุณตอ้ งการนาํ มาทดสอบดว้ ยสถิติ พวกมนั จะถูกคาํ นวณดว้ ยมือ อย่างไรกต็ าม การใช้สถิติขึน้ อยู่กับความชาํ นาญของคุณและความต้องการหรือจาํ เป็ นท่ีจะส่ือสารเพ่ือสืบค้น ในทิศทางท่ีแน่ชัด การวิเคราะห์ข้อมลู ด้วยคอมพิวเตอร์  (Data Analysis Using a Computer) ถ้าคุณต้องการวิเคราะห์ข้อมูล คุณควรจะคุ้นเคยกับความเหมาะสมของโปรแกรม ใน ขอบเขตท่ีน้ี ความรู้ทางดา้ นคอมพวิ เตอร์และสถิติแสดงบทบาทที่สาํ คญั มาก โปรแกรมที่คนทวั่ ไปนิยมมากสุดคือ SPSS สาํ หรับ Windows อยา่ งไรก็ตาม นาํ เขา้ ขอ้ มูล สามารถมีความยาวและมีขบวนการทาํ งานท่ีหนกั ได้ และถา้ ขอ้ มูลที่นาํ เขา้ ไม่ถูกตอ้ งมนั จะส่งผล กระทบต่อผลการทดลองสุดทา้ ย 57   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     แบบฝึ กหัดบทท่ี 6 1. สรุปการประมวลผลและวิเคราะห์ขอ้ มูลว่าใชว้ ิธีการอะไรบา้ งจากบทความวิจยั ท่ี เลือกมาอ่าน 2. จากบทความวจิ ยั ที่เลือกมาอ่านให้อธิบายการวดั ผลและประเมินผลลพั ธ์ของงานวจิ ยั วา่ ใชแ้ นวคิดหรือหลกั การอะไรในการพสิ ูจนว์ า่ ถูกตอ้ งหรือไม่ 58   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     บทที่ 7 การเตรียมรายงานวจิ ยั หรือการเขียนสรุปรายงานวจิ ยั วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการเตรียมรายงานวจิ ยั หรือการเขียนสรุปรายงานวจิ ยั 2. เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจวธิ ีการเตรียมรายงานวจิ ยั หรือการเขียนสรุปรายงานวจิ ยั 7.1 เป้ าหมายการเตรียมรายงานวจิ ยั หรือการเขยี นสรุปรายงานวจิ ยั การเขียนรายงานวิจยั เป็ นลาํ ดบั สุดทา้ ยซ่ึงข้นั ตอนที่ยากท่ีสุดของกระบวนการวิจยั รายงาน วิจยั ฉบบั น้ีจะบอกให้โลกรู้ว่าอะไรที่คุณทาํ อะไรท่ีคุณคน้ พบและไดข้ อ้ สรุปอะไรจากท่ีคุณได้ ออกแบบกระบวนการวิจยั กบั สิ่งที่คุณคน้ หาหรือสืบคน้ รายงานฉบบั น้ีควรจะเขียนให้อยู่ใน รูปแบบทางวชิ าการ ภาษาที่ใชค้ วรจะเป็นทางการและมนั ไม่ใช่หนงั สือพิมพ์ 7.2 วธิ ีการและรูปแบบการเขยี นรายงานวจิ ยั โดยปกติทว่ั ไปจะมีรูปแบบในการเขียนรายงานวจิ ยั ดงั ต่อไปน้ี  ช่ือหวั ขอ้ ของรายงานการวจิ ยั (Title Page) - ชื่อหวั ขอ้ โครงการวจิ ยั - ช่ือของผวู้ จิ ยั - ความมุ่งหมายของโครงการวิจยั ยกตวั อยา่ งเช่น “A research project submitted in partial fulfillment of the requirements of National Council for Hotel Management and Catering Technology, New Delhi for the degree of B.Sc Hospitality and Hotel Administration” 59   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     - วนั ท่ีของการตีพมิ พ์  ตารางเน้ือหาของรายงานการวจิ ยั (Table of Contents) - ในส่วนน้ีเป็ นเน้ือหาท้งั หมดของรายงานการวิจยั ซ่ึงประกอบดว้ ยบทหรือหวั ขอ้ ยอ่ ย ของรายงานการวจิ ยั Chapter 1 Contents Page No. Introduction 1 Chapter 2 Theoretical Framework and Review of 3 Chapter 3 Related Literature 30 Research Design (or Proposed Methodology) Chapter 4 Data Analysis and Interpretation 35 (or Experimental/Simulation Results and Discussions) Chapter 5 Conclusion and Suggestions for Further 70 Research 75 References/ Bibliography 76 Appendices Appendix I Questionnaire for Employees Appendix II Questionnaire for Managers  รายช่ือหวั ขอ้ ตาราง (List of Tables) - ในหวั ขอ้ น้ีประกอบดว้ ยชื่อหวั ขอ้ และเลขหนา้ ของตารางท้งั หมด Table No. Titles Page No. 1 Income levels of Respondents 31 2 Age distribution of Respondents 35 60   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)      รายชื่อหวั ขอ้ รูปภาพ (List of Figures) - ในหวั ขอ้ น้ีประกอบดว้ ยช่ือหวั ขอ้ และเลขหนา้ ของรูปภาพหรือกราฟต่างๆ Figure No. Titles Page No. 1 Pie Chart showing age distribution of 33 respondents 2 Bar Graph showing popularity of menu 37 Items  กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) - ในส่วนน้ีผูว้ ิจยั อาจจะขอบคุณ สถาบนั คณะวิชา ผูใ้ ห้คาํ แนะนําแนวทางในการ ทาํ งานวจิ ยั ผมู้ ีส่วนร่วมในงานวจิ ยั หรือเพ่อื น เป็นตน้  บทนาํ (Introduction) - ในส่วนน้ีจะอธิบายการนําทางไปสู่งานวิจัยโดยจะกล่าวถึง เป้ าหมายและ วตั ถุประสงค์ ของงานวิจัย จะรวมไปถึงการอธิบายความเป็ นเหตุและผลของ งานวจิ ยั  กรอบทฤษฎีและการทบทวนวรรณกรรม (Theoretical Framework and Review of Literature) - ในส่วนน้ีจะรวมพ้ืนฐานการวิจยั ท้งั หมดของคุณซ่ึงอาจจะไดร้ ับจากการทบทวน วรรณกรรม คุณตอ้ งช้ีแจง้ ไดว้ า่ ขอ้ มูลท้งั หมดมาจากท่ีไหน ดงั น้นั ตอ้ งจดจาํ เพ่ือที่จะ รักษาขอ้ มูลให้สมบูรณ์ของทุกส่ิงท่ีคุณอ่านมา ถา้ คุณไม่ไดท้ าํ ตามน้ี คุณควรจะถูก 61   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     กล่าวหาวา่ ขโมยคัดลอก (Plagiarism) ซ่ึงคือการขโมยทรัพยส์ ินทางปัญญา ขณะที่ คุณกาํ ลงั อา้ งถึงในการเขียนรายงานวิจยั โดยเฉพาะหนังสือหรือวารสาร (Journal) ควรจะใชร้ ะบบตามรูปแบบที่กาํ หนดจากสถาบนั เช่น Harvard System เป็นตน้  การออกแบบงานวจิ ยั (Research Design) - ในส่วนน้ีจะรวมรายละเอียดปฏิบตั ิการท้งั หมดเป็ นไปตามการวิจยั ส่ิงอนั ใดก็ตามท่ี น่าสนใจควรจะมีการจาํ ลองศึกษาการวิจยั โดยวิธีการที่ใชย้ กตวั อยา่ งเช่นคือ การเกบ็ ข้อมูล จาํ นวนประชากรเท่าไรท่ีนํามาเป็ นกลุ่มตัวอย่าง เลือกกลุ่มตัวอย่างของ ประชากรมาอย่างไร อะไรเป็ นเครื่องมือที่ใชใ้ นการเก็บขอ้ มูล ขอ้ มูลถูกวิเคราะห์ อยา่ งไร เป็นตน้  การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและการแปรความหมาย (Data Analysis and Interpretation) - ถา้ คุณดาํ เนินการสํารวจเชิงปริมาณเป็ นจาํ นวนมากในส่วนน้ีอาจจะบรรจุตาราง รูปกราฟ กราฟพายชาร์จ (pie Chart) และสถิติที่สัมพนั ธ์กนั แต่ถา้ คุณดาํ เนินการใน ส่วนเชิงคุณภาพของงานวจิ ยั ในส่วนน้ีอาจจะร้อยเรียงเป็นเชิงพรรณนา  การรวบยอ่ และสรุป (Summary and Conclusion) - ในส่วนน้ีคุณรวบรวมส่ิงท่ีคุณค้นหาและร่างเป็ นข้อสรุปจากท้ังหมด บางทีมัน สมั พนั ธ์กบั งานวจิ ยั อ่ืนๆ หรือทบทวนวรรณกรรม 62   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)      คาํ แนะนาํ (Recommendations) - ถา้ คุณดาํ เนินการในส่วนของการวิจัยสําหรับโรงแรมหรือหน่วยงานองค์กรการ ใหบ้ ริการอื่นๆ ส่วนน้ีควรจะเป็นส่วนท่ีสาํ คญั ท่ีสุดของรายงาน หวั ขอ้ ของรายการท่ี มีคาํ แนะนําอย่างชัดเจนซ่ึงถูกพฒั นาจากการวิจัยจะถูกรวบรวมเขา้ ไปด้วย หรือ บางคร้ังในส่วนน้ีถูกรวบรวมไวท้ ่ีจุดเร่ิมตน้ ของรายงาน  ขอ้ เสนอแนะสาํ หรับงานวจิ ยั ในอนาคต (Suggestion for Further Research) - มันมีประโยชน์ท้ังสองแบบคือ ทางด้านรายงานการศึกษา และรายงานวิจัยท่ี เก่ียวขอ้ งโดยจะรวมเขา้ ไปในส่วนน้ีซ่ึงแสดงออกมาว่างานวิจยั ควรจะดาํ เนินการ หรือพฒั นาต่อไปอย่างไร บางทีผลลัพธ์บางคร้ังไม่สามารถสรุปได้ หรือบางที งานวิจยั ไม่สามารถตอบคาํ ถามวิจยั หลายคาํ ถามได้ ซ่ึงจาํ เป็ นตอ้ งถูกนาํ มากล่าวถึง ดว้ ย มนั จะเป็ นประโยชน์ในอนาคตการดว้ ยการเพ่ิมเขา้ ไปในส่วนน้ีเน่ืองจากมนั แสดงว่าคุณตระหนักต่ืนตวั ในมองภาพกวา้ งและคุณไม่ไดท้ ดลองเพื่อที่จะปกปิ ด อะไรบางสิ่งบางอยา่ งซ่ึงคุณรู้สึกอาจจะขาดอะไรไปในงานวจิ ยั ของคุณเอง  รายชื่อเอกสารอา้ งอิง/บรรณานุกรม (List of References /Bibliography) - รายชื่อเอกสารอ้างอิงมีรายละเอียดสาํ หรับใช้ในการอ้างอิงงานวิจัยเหล่านั้นในเนือ้ หา ของรายงานวิจัยของคณุ - บรรณานุกรมรวมเอาแหล่งเอกสารข้อมูลที่ไม่ได้อ้างอิงในรายงานการวิจัยแต่ เกี่ยวข้องกับชื่อหัวข้อวิจัย (มากกว่า dissertations หรือ thesis) - สาํ หรับโครงการวิจยั ขนาดเลก็ ตอ้ งการส่วนสาํ หรับการอา้ งอิง โดยจะรวมเอาการ ทบทวนวรรณกรรมท้งั หมดซ่ึงคุณอา้ งอิงในรายงานการวิจยั ของคุณ โดยระบบการ อา้ งอิงที่นิยม คือ Harvard System รายช่ือหนงั สือหรือวารสารมีตวั อยา่ งดงั น้ี 63   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)      หนงั สือ o Authors surname ( alphabetically), followed by their initials, o Date of publication o Title of book in italics o Place of publication, Publisher. e.g. Example: Philip, T.E.; 1986, Modern Cookery for Teaching and Trade, Mumbai, Orient Longman.  วารสาร (Journal Article) o The title of the article appears in inverted commas o Name of the journal comes in italics, followed by volume number and pages of the article. e.g. Example : Philip, T.E.; “Influence of British Raj on Indian Cuisine”; Journal of Hospitality Education; 5:5-11  ภาคผนวก (Appendices) - ถา้ คุณดาํ เนินการทาํ แบบสอบถามหรือมีตารางเวลาในการสัมภาษณ์สาํ หรับงานวิจยั ของคุณ มนั อาจจะมีประโยชน์ในการรวบรวมมนั ท้งั หมดเขา้ ไปในรายงานวิจยั ของ คุณซ่ึงมนั คือภาคผนวก - ภาคผนวกมีประโยชน์สําหรับการรวมเอาเน้ือหาที่เก่ียวขอ้ งกับงานวิจัยของคุณ เพ่ือให้ผตู้ รวจสอบสามารถไดร้ ับรู้ขอ้ มูลท่ีเขา้ ใจลึกข้ึนจากงานวิจยั ของคุณ ดว้ ยการ ที่พวกเขาได้อ่านมัน ดังน้ันจํานวนหน้าหรื อคําพูดไม่ได้เป็ นสาระสําคัญของ ภาคผนวก 64   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     แบบฝึ กหัดบทที่ 7 1. จากบทความวจิ ยั ที่เลือกมาอ่านใหแ้ ยกหวั ขอ้ ตามสรุปรายงานวจิ ยั ในบทน้ี โดยให้ หวั ขอ้ สอดคลอ้ งกบั สรุปรายงานวจิ ยั ในบทน้ี 65   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     บทท่ี 8 ตวั อยา่ งกรณีศึกษาสาํ หรับการวเิ คราะห์ขอ้ มลู วตั ถุประสงค์ 1. เพอื่ ศึกษาความรู้เบ้ืองตน้ ทางสถิติสาํ หรับการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 2. เพื่อศึกษาวธิ ีการใชโ้ ปรแกรมทางสถิติเบ้ืองตน้ สาํ หรับการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 8.1 ความรู้เบือ้ งต้นทางสถติ สิ ําหรับการวเิ คราะห์ข้อมูล  ความหมายของสถติ ิ คาํ วา่ สถิติ (Statistics) มาจากภาษาเยอรมนั วา่ Statistik มีรากศพั ทม์ าจาก Stat หมายถึง ขอ้ มูล หรือ สารสนเทศ ซ่ึงจะอาํ นวยประโยชน์ต่อการบริหารประเทศในดา้ นต่าง ๆ เช่น การทาํ สามะโนครัว เพื่อทราบพลเมืองในประเทศท้งั หมด ต่อมา สถิติ หมายถึงตวั เลขหรือขอ้ มูลที่ได้ จากการเก็บรวบรวม เช่น จาํ นวนผูป้ ระสบอุบตั ิเหตุบนทอ้ งถนน อตั ราการเกิดของเด็กทารก ปริมาณน้าํ ฝนในแต่ละปี สถิติในความหมายน้ี เรียกวา่ ขอ้ มูลทางสถิติ (Statistical data) อีกความหมายหน่ึง สถิติ หมายถึงวิธีการท่ีว่าดว้ ยการเก็บรวบรวมขอ้ มูล การนาํ เสนอ ขอ้ มูล การวเิ คราะห์ขอ้ มลู และการตีความหมายขอ้ มูล  ประเภทของสถติ ิ สถิติแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1) สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) เป็ นสถิติท่ีใชอ้ ธิบายคุณลกั ษณะของส่ิงที่ ตอ้ งการศึกษากลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ไม่สามารถอา้ งอิงไปยงั กลุ่มอ่ืน ๆ ได้ สถิติที่อยใู่ นประเภทน้ี เช่น ค่าเฉล่ีย ค่ามธั ยฐาน ค่าฐานนิยม ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน พสิ ยั ฯลฯ 66   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     2) สถติ อิ ้างองิ (Inferential Statistics) เป็นสถิติท่ีใชอ้ ธิบายคุณลกั ษณะของส่ิงที่ตอ้ งการ ศึกษากลุ่มใดกลุ่มหน่ึงหรือหลายกลุ่มแลว้ สามารถอา้ งอิงไปยงั กลุ่มประชากรได้ โดยกลุ่มท่ี นาํ มาศึกษาจะตอ้ งเป็ นตวั แทนที่ดีของประชากร ตวั แทนที่ดีของประชากรไดม้ าโดยวิธีการสุ่ม ตวั อยา่ ง และตวั แทนท่ีดีของประชากรเรียกวา่ กลุ่มตวั อยา่ ง สถิติอา้ งอิงสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 2.1) สถติ มิ ีพารามเิ ตอร์ (Parametric Statistics) เป็นวธิ ีการทางสถิติท่ีจะตอ้ งเป็นไป ตามขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ดงั น้ี 2.1.1) ขอ้ มูลตอ้ งอยใู่ นระดบั ช่วงข้ึนไป 2.1.2) ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากกลุ่มตวั อยา่ งจะตอ้ งมีการแจกแจงเป็นโคง้ ปกติ 2.1.3) กลุ่มประชากรแต่ละกลุ่มท่ีนามาศึกษาตอ้ งมีความแปรปรวนเท่ากนั สถิติ ประเภทน้ีเช่น t-test, Z-test, ANOVA, Regression ฯลฯ 2.2) สถิติไร้พารามิเตอร์ (Nonparametric Statistics) เป็ นวิธีการทางสถิติที่สามารถ นาํ มาใชไ้ ดโ้ ดยปราศจากขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ สถิติท่ีอยใู่ นประเภทน้ี เช่น ไคสแควร์, Median test, Sign test ฯลฯ โดยปกติแลว้ นกั วิจยั นิยมใชส้ ถิติมีพารามิเตอร์ท้งั น้ีเพราะผลลพั ธ์ที่ไดจ้ ากการใชส้ ถิติมี พารามิเตอร์มีอาํ นาจการทดสอบ (Power of Test) สูงกวา่ การใชส้ ถิติไร้พารามิเตอร์ สถิติมี พารามิเตอร์เป็ นการทดสอบท่ีไดม้ าตรฐาน มีข้นั ตอนต่าง ๆ ที่สมบูรณ์ ดงั น้ันเมื่อขอ้ มูลมี คุณสมบตั ิที่สอดคลอ้ งกบั ขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ในการใชส้ ถิติมีพารามิเตอร์จึงไม่มีผใู้ ดคิดท่ีจะหัน กลบั ไปใชส้ ถิติไร้พารามิเตอร์ในการทดสอบสมมติฐาน 67   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)      ประเภทของสถติ ิ การวดั เป็ นการกาํ หนดตวั เลขให้กบั สิ่งที่ตอ้ งการศึกษาภายใตก้ ฎเกณฑท์ ี่แน่นอนการวดั แบ่งออกเป็น 4 ระดบั คือ ระดบั ที่ 1 ระดบั นามบญั ญตั ิ (Nominal Scale) เป็นระดบั ท่ีใชแ้ ยกความแตกต่างของส่ิงท่ี ตอ้ งการวดั ออกเป็นกลุ่ม เช่น เพศ แบ่งออกเป็นกลุ่มเพศชาย และกลุ่มเพศหญิง โดยใหเ้ ลข 1 แทน เพศชายและเลข 2 แทนเพศหญิง หรือระดบั การศึกษาแบ่งออกเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาต่าํ กวา่ ปริญญาตรี ใหแ้ ทนดว้ ยเลข 1 กลุ่มท่ีมีการศึกษาระดบั ปริญญาตรีใหแ้ ทนดว้ ยเลข 2 และกลุ่มที่มี การศึกษาสูงกวา่ ระดบั ปริญญาตรีใหแ้ ทนดว้ ยเลข 3 เป็นตน้ ซ่ึงตวั เลข 1,2,3 ท่ีใชแ้ ทนกลุ่มต่างๆ ถือเป็นตวั เลขในระดบั นามบญั ญตั ิไม่สามารถนามาบวก ลบ คูณ หาร หรือหาสดั ส่วนได้ ระดบั ท่ี 2 ระดับอนั ดับที่ (Ordinal Scales) เป็ นระดบั ที่ใชส้ าหรับจดั อนั ดบั ที่หรือ ตาํ แหน่งของส่ิงของท่ีตอ้ งการวดั เช่น ดาํ สอบไดท้ ี่ 1 แดงสอบไดท้ ่ี 2 เขียวสอบไดท้ ่ี 3 ซ่ึงตวั เลข 1, 2, 3 เป็นตวั เลขในระดบั อนั ดบั ที่สามารถนามาบวก ลบกนั ได้ ระดบั ที่ 3 ระดบั ช่วง (Interval Scales) เป็นระดบั ท่ีสามารถกาํ หนดค่าตวั เลขโดยมีช่วง ห่างระหวา่ งตวั เลขเท่าๆ กนั แต่ไม่มี 0 (ศูนย)์ แท้ มีแต่ 0 (ศูนย)์ สมมติ เช่น นายวิชยั สอบได้ 0 คะแนน มิไดห้ มายความวา่ เขาไม่มีความรู้ เพียงแต่เขาไม่สามารถทาํ ขอ้ สอบซ่ึงเป็นตวั แทนของ ความรู้ท้งั หมดได้ ระดบั น้ีสามารถนาตวั เลขมาบวก ลบ คณู หาร กนั ได้ ระดบั ที่ 4 ระดบั อตั ราส่วน (Ratio Scales) เป็นระดบั ท่ีสามารถกาํ หนดค่าตวั เลขใหก้ บั สิ่งที่ตอ้ งการวดั มี 0 (ศูนย)์ แท้ เช่น นา้ หนกั ความสูง อายุ เป็นตน้ ระดบั น้ีสามารถนาํ ตวั เลขมา บวก ลบ คูณ หาร หรือหาอตั ราส่วนกนั ได้  ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ประชากร คือ กลุ่มของการวดั ท้งั หมดที่สนใจศึกษา ตวั อยา่ ง คือ สบั เซตของการวดั ท่ีมาจากประชากรที่สนใจศึกษา 68   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     พารามิเตอร์ คือ คา่ จริงหรือคา่ ประชากร ซ่ึงโดยทวั่ ไปไม่ทราบค่า  ตวั แปร ตวั แปร คือ คุณลกั ษณะท่ีเปล่ียนแปลงได้ ข้ึนอยกู่ บั ความแตกต่างเฉพาะบุคคลหรือกลุ่ม ตวั อยา่ ง เช่น อุณหภูมิของร่างกายคือตวั แปรที่เปล่ียนแปลงไปในแต่ละบุคคล การนบั ถือศาสนา รายได้ อายุ ความสูง ตวั แปรคุณลกั ษณะเหล่าน้ีข้ึนอยกู่ บั แต่ละบุคคล ชนิดของตวั แปร 1) ตวั แปรเชิงคุณภาพ เป็นตวั แปรท่ีขอ้ มูลไม่ใช่ตวั เลขแต่เป็นขอ้ มูลท่ีมีลกั ษณะเป็นการ แบ่งประเภทใหเ้ ห็นถึงความแตกต่างของกลุ่มตวั อยา่ งแต่ละกลุ่ม เช่น ศาสนา อาชีพ สถานภาพ สมรส ระดบั การศึกษา 2) ตวั แปรเชิงปริมาณ เป็นตวั แปรที่ถูกวดั มามีค่าเป็นตวั เลข เช่น จานวนบุตร รายได้ คะแนนสอบ ราคาสิ่งของ  การเกบ็ รวบรวมข้อมูลและการสุ่มตวั อย่าง งานวิจยั ในสาขาวิชาต่างๆ เป็ นกระบวนการเชิงวิทยาศาสตร์ มีการวางแผนหรือการ กาํ หนดแนวความคิด สมมติฐานของการวิจยั ตวั แบบท่ีทาํ วิจยั ขอ้ มูลท่ีตอ้ งการเก็บรวบรวม วิธีการทดลองหรือเทคนิคการสาํ รวจ ขนาดตวั อยา่ ง และวธิ ีวิเคราะห์ขอ้ มูล ตลอดจนวธิ ีรายงาน ผล เพือ่ ประเมินผลลพั ธ์และตอบปัญหาของการวจิ ยั ต่อไป - ข้อมูล คือความจริงที่ใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจในเรื่องที่วจิ ยั ได้ ขอ้ มูลอาจเป็นตวั เลขหรือไม่ เป็นตวั เลขที่เก่ียวกบั เรื่องที่สนใจศึกษา ขอ้ มลู จาเป็นตอ้ งมีคุณภาพ เพือ่ นาไปวิเคราะห์หา สารสนเทศที่ใหค้ วามรู้หรือช่วยในการตดั สินใจใหถ้ ูกตอ้ ง - วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูล ก่อนอ่ืนผวู้ ิจยั ควรศึกษาและกาํ หนดขอ้ มูลที่ใชห้ รือที่สนใจ เก็บรวบรวมว่ามีอะไรบา้ ง ซ่ึงอาจกาํ หนดในรูปของแบบบนั ทึกขอ้ มูลหรือการสร้าง แบบสอบถามไวก้ ่อนแลว้ จึงเลือกวิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยวิธีการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลมี 4 วธิ ีดงั น้ี 1) วธิ ีสาํ มะโนครัว คือ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากทุกหน่วยของประชากร 69   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     2) วธิ ีสาํ รวจตวั อยา่ ง คือ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากหน่วยตวั อยา่ ง ซ่ึงโดยทว่ั ไปควรอาศยั เทคนิคการสุ่มตวั อยา่ ง เพือ่ เลือกหน่วยตวั อยา่ งท่ีเป็นตวั แทนท่ีดีของประชากร 3) วธิ ีการทดลอง คือ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลหรือสงั เกตการณ์จากงานทดลองดา้ นต่าง ๆ ท่ี อาจทาในหอ้ งปฏิบตั ิการหรือนอกหอ้ งปฏิบตั ิการของการทดลอง 4) วิธีเก็บรวบรวมจากทะเบียน คือ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลที่มีผบู้ นั ทึกรวบรวมขอ้ มูลไว้ เสร็จแลว้ ผใู้ ชไ้ ปศึกษาคน้ ควา้ และนามาใชอ้ ีกต่อหน่ึง - การสุ่มตวั อย่าง คือ การเลือกตวั อยา่ งและเทคนิคการประมาณค่าพารามิเตอร์ที่สนใจ เช่น ค่าเฉล่ีย ค่าสดั ส่วน เป็นตน้ ภายใตท้ ฤษฎีการสุ่มตวั อยา่ ง และนิยมใชใ้ นกรณีท่ีประชากร มีขนาดใหญ่ ซ่ึงการเลือกตวั อยา่ งแบ่งเป็น 2 วธิ ีหลกั ๆ คือ 1) การเลือกตวั อยา่ งที่ใชค้ วามน่าจะเป็ น เป็ นเทคนิคการหาขอ้ มูลท่ีเป็ นตวั อยา่ งเชิงความ น่าจะเป็น ซ่ึงมีคุณสมบตั ิวา่ แต่ละหน่วยประชากรมีค่าความน่าจะเป็ นท่ีไม่เท่ากบั ศูนยท์ ี่ จะถูกเลือกมาเป็นตวั อยา่ ง เช่น  การเลือกตวั อยา่ งสุ่มแบบง่าย เช่น จบั ฉลาก ตารางเลขสุ่ม ใชค้ อมพิวเตอร์  การเลือกตวั อยา่ งแบบมีระบบ เช่น เส้นตรง วงกลม  การเลือกตวั อยา่ งแบบเป็นช้นั ภมู ิ เช่น อยา่ งง่าย แบบกลุ่ม หลายข้นั 2) การเลือกตวั อย่างท่ีไม่ใชค้ วามน่าจะเป็ น เป็ นการเลือกตวั อย่างท่ีไม่คาํ นึงถึงโอกาสที่ หน่วยต่าง ๆ ในประชากรจะถูกเลือกข้ึนมาอยา่ งไร วธิ ีการน้ีบางหน่วยของประชากรอาจ ไม่มีโอกาสจะถูกเลือกเลย จะไม่สามารถนาํ ผลสรุปจากระดบั ตวั อยา่ งไปอนุมานเพ่ือหา ขอ้ สรุปถึงระดบั ประชากรได้ เช่น การเลือกตวั อยา่ งแบบบงั เอิญ การเลือกตวั อยา่ งแบบ สโนวบ์ อล การเลือกตวั อยา่ งแบบโควตา  การวางแผนการสํารวจ ควรมีการกาํ หนดข้นั ตอนการทาํ งานตามลาํ ดบั ประกอบดว้ ยข้นั ตอนต่าง ๆ โดยสรุป ดงั น้ี 1) วตั ถุประสงคแ์ ละทรัพยากร 2) ประชากรเป้ าหมายและประชากรของการสาํ รวจ 70   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     3) หน่วยประชากรและหน่วยตวั อยา่ ง 4) แผนแบบการสุ่มตวั อยา่ งและวธิ ีการเลือกตวั อยา่ ง 5) วธิ ีการประมาณคา่ พารามิเตอร์และตวั ประมาณท่ีใช้ 6) วธิ ีวเิ คราะห์และการอนุมานผลลพั ธ์ 7) การสร้างเครื่องมือของการวจิ ยั หรือแบบบนั ทึกขอ้ มลู แบบสอบถาม แบบทดสอบ 8) การทาการมทดลองเคร่ืองมือและการสาํ รวจทดลอง 9) ขนาดตวั อยา่ ง 10) วธิ ีเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 11) งานสนามและงานเอกสาร 12) การประมวลผลและการวเิ คราะห์ 13) การประเมินผล 14) การรายงานผล 15) การสรุปผล  การเตรียมข้อมูลเพอื่ การวเิ คราะห์ การจะให้ SPSS วิเคราะห์ขอ้ มูลให้จาํ เป็ นตอ้ งเตรียมขอ้ มูลให้อยู่ในรูปแบบท่ี คอมพวิ เตอร์สามารถอ่านไดก้ ่อน  Case Variables และ Value Case คือหน่วยสงั เกตหรือหน่วยวเิ คราะห์ เช่น ในการสมั ภาษณ์ความคิดเห็นของ ผใู้ ชย้ าสีฟันยห่ี อ้ งามฟัน ผถู้ กู สมั ภาษณ์แต่ละคนคือหน่วยสงั เกต หรือ Case Variable คือลกั ษณะต่าง ๆ ของหน่วยสงั เกตที่วดั หรือสอบถามมา คือตวั แปร Value คือค่าของลกั ษณะที่วดั มาได้ คือ ค่าของตัวแปร 71   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)      การบนั ทึกขอ้ มลู เมื่อตดั สินใจวา่ จะเกบ็ ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ตวั แปรใดแลว้ สิ่งสาํ คญั ประการหน่ึงคือ ตอ้ งตดั สินใจวา่ จะบนั ทึกขอ้ มูลอยา่ งไร เช่น อายุ จะบนั ทึกเป็น วนั เดือน ปี ที่เกิด หรือบนั ทึก เป็นปี หรือบนั ทึกเป็นช่วงอายุ  การลงรหสั ขอ้ มลู (Coding) เป็นการเปล่ียนรูปแบบขอ้ มูลโดยใหร้ หสั แทนขอ้ มลู เพื่อสามารถจาํ แนกลกั ษณะ ของขอ้ มูล รหสั ที่ใชแ้ ทนอาจจะอยใู่ นรูปตวั เลข ตวั อกั ษร หรือขอ้ ความ เช่น อาชีพ อาจใหร้ หสั “1” แทนอาชีพรับราชการ รหสั “2” แทนพนกั งานเอกชน รหสั “3” แทนอาชีพเกษตรกรรม รหสั “4” แทนอาชีพอ่ืน ๆ เป็นตน้ หมายเหตุ ผวู้ ิจยั ควรทาํ สมุดคู่มือกาํ หนดรหสั ใหต้ วั แปร โดยในคู่มือจะตอ้ งกาํ หนดช่ือตวั แปร ชนิดและขนาดของตวั แปร และกาหนดรหสั ตวั แปรไวด้ ว้ ย 72   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     73   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     74   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     75   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     76   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     77   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     78   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     8.2 วธิ ีการใช้โปรแกรม SPSS ทางสถติ เิ บือ้ งต้น SPSS เป็นโปรแกรมสาํ เร็จรูปทางสถิติ เพ่ือการวิเคราะห์ขอ้ มูลทางสถิติโดย SPSS ยอ่ มา จาก Statistical Package for the Social Sciences ซ่ึงเป็นลิขสิทธ์ิของบริษทั SPSS จาํ กดั แห่ง ประเทศสหรัฐอเมริกา SPSS เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ท่ีสามารถใชก้ บั เคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์ (Personal Computer) หรือเคร่ืองขนาดใหญ่ก็ได้ โดย SPSS เป็นโปรแกรมท่ีมีการพฒั นาและเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงมาโดยตลอด 1) SPSS* เป็นโปรแกรมท่ีใชก้ บั เคร่ืองขนาดใหญ่ที่เป็นประเภท Main frame computer 2) SPSS/PC เป็นโปรแกรมที่ใชก้ บั เคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์ (Personal Computer) ท่ี ทาํ งานบนระบบ Dos 3) SPSS for Windows เป็นโปรแกรมประเภทเดียวกบั SPSS/PC เพียงแต่ทาํ งานบน ระบบ Windows โปรแกรม SPSS for Windows ไดถ้ กู พฒั นาใหส้ ามารถทาํ งานบนโปรแกรมควบคุม ระบบ Microsoft Windows โดยมีการปรับปรุงรูปแบบการใชง้ านใหด้ ูง่ายสาหรับผใู้ ชแ้ ละมี ประสิทธิภาพสูง สะดวกในการทางานและวเิ คราะห์ขอ้ มูลทางสถิติไดอ้ ยา่ งละเอียด พร้อมกนั น้ี สามารถนาํ เสนอขอ้ มูลในรูปกราฟและตารางที่หลากหลาย และสามารถรับขอ้ มูลท่ีสร้างจาก โปรแกรมประเภทอื่นไดด้ ว้ ย เช่น Microsoft Excel , LOTUS ฯลฯ  โปรแกรม SPSS for Windows ปัจจุบนั โปรแกรม SPSS มีการพฒั นาโปรแกรมรุ่นใหม่ออกมาอยเู่ ป็ นประจาํ และมี ขอบเขตงานวิเคราะห์ทางสถิติที่ครอบคลุมกวา้ งขวางมากข้ึน ไม่ว่าจะเป็ นงานการวิเคราะห์ ขอ้ มูลทางดา้ นธุรกิจ การตลาด การควบคุมการผลิต ตลอดจนการวิเคราะห์ขอ้ มูลทางดา้ น วทิ ยาศาสตร์ ทางอตุ สาหกรรม เป็นตน้ 1) หลกั การใช้งาน SPSS for Windows ในการใชง้ าน SPSS ผใู้ ชจ้ ะตอ้ งทราบก่อนวา่ จะทาํ การวเิ คราะห์อะไร นนั่ คือตวั แปรท่ี จะทาํ การวิเคราะห์มีตวั แปรอะไรบา้ ง ค่าท่ีเป็นไปไดแ้ ต่ละตวั แปรคืออะไร ขอ้ มูลของแต่ละตวั แปรเกบ็ ไวท้ ่ีใด และระเบียบวธิ ีสถิติท่ีจะใชเ้ ป็นอะไร เมื่อทราบส่ิงเหล่าน้ีแลว้ ข้นั ตอนการใชง้ าน SPSS ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูลกส็ ามารถทาํ ไดง้ ่าย 79   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ข้นั ตอนของการวเิ คราะห์ขอ้ มูลดว้ ย SPSS โดยทว่ั ไปจะเป็นดงั น้ี 1.1) ข้นั การอา่ นขอ้ มลู เขา้ ระบบ เป็ นการนิยามตวั แปรว่าจะมีตวั แปรอะไรบา้ งที่ตอ้ งการวิเคราะห์ รูปแบบของขอ้ มูล สาํ หรับตวั แปรน้นั เป็นแบบใด ขอ้ มูลจะอา่ นเขา้ SPSS โดยตรงหรืออา่ นจากไฟลข์ อ้ มลู ทเ่ี กบ็ ไว้ 1.2) ข้นั การคาํ นวณทางสถิติ เป็ นการนาํ ขอ้ มูลที่อ่านเก็บไวใ้ นระบบแลว้ มาวิเคราะหด์ ว้ ยระเบียบวิธีทางสถิติโดยใช้ คาํ สง่ั ใน SPSS เช่น Descriptive Statistics สาหรับคาํ นวณคา่ สถิตพิ รรณนา 1.3) ข้นั การอ่านผลลพั ธ์ SPSS จะแสดงผลลพั ธ์ของการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ในหนา้ ต่างแสดงผลลัพธ์ ซ่ึงผใู้ ชส้ ามารถ สั่งพิมพอ์ อกมาหรือนาไปใชใ้ นการนาํ เสนอร่วมกบั รายงานอื่น ๆ หรือบนั ทึกเก็บไวใ้ นไฟลเ์ พื่อ ใชใ้ นภายหลงั กไ็ ด้ 2) การเร่ิมเข้าสู่โปรแกรม SPSS for Windows จากหนา้ จอ Microsoft Windows เลือก : เริ่มใชโ้ ปรแกรม โดยไปท่ี Start => Programs => SPSS for Windows ดงั รูป  Run the tutorial หมายถึง การเปิ ดบทเรียน ช่วยสอนเร่ือง SPSS for Windows  Type in data หมายถึง การเริ่มตน้ กาํ หนด ตวั แปรและใหค้ า่ ตวั แก่แปร  Run an existing หมายถึง การทาํ งาน SPSS ร่วมกบั ระบบฐานขอ้ มูล  Create new query using Database Wizard หมายถึง การสร้างส่วนทาํ งานร่วมกบั ระบบ ฐานขอ้ มลู 80   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)      Open an existing data source หมายถึง การนาํ ขอ้ มลู โปรแกรม SPSS มาทาํ การแกไ้ ข เพ่ิมให้ ค่าตวั แปร และ วเิ คราะห์ผล  Open another type of file หมายถึง การนาํ ขอ้ มลู โปรแกรมอ่ืนๆ มาทาํ งานร่วมกบั โปรแกรม SPSS ใหค้ ลิกเลือก “Type in data” และคลิกป่ ุม “OK” เพ่ือเลือกหนา้ ต่างวา่ ง ๆ สาหรับป้ อนขอ้ มูล จะไดห้ นา้ ต่างดงั รูป เป็ นหนา้ ต่างของ Data Editor ซ่ึงเป็นหนา้ ต่างสาหรับการสร้างไฟลข์ อ้ มูลจากรูปที่ ปรากฏบนจอ จะมีส่วนประกอบท่ีสาํ คญั คือ - Title Bar แสดงส่วนของช่ือโปรแกรมและช่ือไฟล์ - Menu Bar เมนูคาํ สงั่ - Icon Bar สญั ลกั ษณ์คาํ สงั่ - Status Bar แถบแสดงสถานะ - SPSS Data Editor ตารางสาํ หรับการป้ อนขอ้ มูล ซ่ึงประกอบดว้ ยตารางสาํ หรับ การ กาํ หนดเก่ียวกบั ขอ้ มูล 2 ส่วน คือ 81   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)      Data View สาํ หรับการป้ อนขอ้ มลู  Variable View สาํ หรับการกาํ หนดตวั แปรขอ้ มูล (การป้ อนไฟลค์ ร้ังแรก) เมนูบนหน้าต่างของ SPSS โปรแกรม SPSS มีเมนูใหผ้ ใู้ ชเ้ ลือกใชต้ ามวตั ถุประสงคก์ ารใชง้ าน ดงั น้ี File เป็นเมนูคาํ สั่งที่ใชเ้ ปิ ดแฟ้ ม สร้างแฟ้ ม บนั ทึกแฟ้ มขอ้ มูล อ่านแฟ้ มขอ้ มูล ที่สร้างโดยโปรแกรมอ่ืน ๆ เช่น excel พิมพข์ อ้ มูลออกทางเครื่องพิมพ์ และจบการใชโ้ ปรแกรม Edit เป็นเมนูท่ีใชแ้ กไ้ ข คดั ลอก ตดั คน้ หาขอ้ มูลภายในหนา้ ต่าง View เป็นเมนูท่ีใชจ้ ดั แบบตวั อกั ษร และรูปแบบต่าง ๆ Data เป็นเมนูคาํ สงั่ ที่ใชใ้ นการเปลี่ยนแปลงแฟ้ มขอ้ มลู เช่น การรวมแฟ้ ม การสร้างเซตยอ่ ยของแฟ้ มเพ่ือวเิ คราะห์ขอ้ มูล การเพ่ิมตวั แปร การเพิ่ม ขอ้ มลู การเรียงลาํ ดบั Transform เป็นเมนูท่ีใชใ้ นการเปล่ียนแปลงตวั แปรของแฟ้ มขอ้ มูล คาํ นวณหาคา่ ตวั แปรใหม่โดยใชฟ้ ังกช์ นั ของตวั แปรเดิม การเปล่ียนแปลงน้ีจะไม่มีผล ต่อแฟ้ มเดิม Analyze ใชเ้ รียกคาํ สง่ั ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ทางสถิติเช่น การหาคา่ สถิติเบ้ืองตน้ การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย หาความสัมพนั ธ์ อนุกรมเวลา การทดสอบท่ีไม่ ใชพ้ ารามิเตอร์ เป็นตน้ Graphs ใชใ้ นการสร้างกราฟ หรือชาร์ทรูปแบบต่าง ๆ Utilities ใชใ้ นการกาํ หนดตวั แปร กลุ่มตวั แปร หรือเรียกใชก้ ลุ่มตวั แปรเหล่าน้นั Window ใชใ้ นการจดั เรียงหนา้ ต่างในรูปแบบต่าง ๆ การเลือกแสดงสถานะและ การเลือกหนา้ ต่างใชง้ านปัจจุบนั Help เป็นคาํ อธิบายช่วยเหลือในการใชโ้ ปรแกรมหรือรูปแบบคาํ สงั่ 82   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     มุมมอง (Overview) วตั ถุประสงคข์ องมุมมอง คือ เป็นการแบ่งงานออกเป็นสองส่วนใหญ่ คือ ส่วนออกแบบ กาํ หนดโครงสร้างตวั แปรและส่วนกาํ หนดค่าชุดตวั แปรมาใน SPSS โดยแบ่งเป็น 2 มุมมอง ดว้ ยกนั คือ 1) Variable view และ 2) Data view ดงั รูป  Variable view เป็นส่วนกาํ หนดคุณสมบตั ิของตวั แปร Variable โดยการสร้างและแกไ้ ข โครงสร้างตวั แปร ดงั รูป Name = กาํ หนดชื่อตวั แปร Type = กาํ หนดชนิดของตวั แปร Width = กาํ หนดจาํ นวนของค่าตวั แปรหรือจานวนความกวา้ งของคา่ ตวั แปร Decimals= กาํ หนดจาํ นวนของจุดทศนิยม Label= กาํ หนดช่ือของตวั แปรจะมีผลเมื่อเราออกแบบรายงานเป็นกราฟ Value= กาํ หนดค่าตวั แปรโดยมิตอ้ งไปกาํ หนดท่ี Variable view Missing = กาํ หนดเม่ือไม่พบคา่ ตวั แปรของชุดตวั แปรน้นั Columns = กาํ หนดความกวา้ งของช่อง Columns สาํ หรับกรอกขอ้ มลู Align = จดั ค่าของชุดตวั แปรใหช้ ิดซา้ ย กลาง หรือ ขวา Measure = กาํ หนดมาตราวดั ของตวั แปร 83   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)      Data view เป็นส่วนกาํ หนดคา่ ชุดของตวั แปรในแต่ละชุดหรือ Data entry ดงั รูป 3) การใช้ภาษาไทยในโปรแกรม SPSS for Windows SPSS ในรุ่นน้ีสามารถเขา้ กนั ไดด้ ีกบั ภาษาไทย โดยเราสามารถเลือกรูปแบบอกั ษรและ ขนาดไดต้ ามตอ้ งการ วธิ ีการเลือก : View ------> Font…จะปรากฏหนา้ ต่างดงั รูป เลือกรูปแบบอกั ษรที่เป็นภาษาไทย และเลือกขนาดตามตอ้ งการ แลว้ คลิกป่ ุม “OK” ให้ กระทาํ การต้งั รูปแบบภาษาไทยท้งั 2 หนา้ ต่าง คือหนา้ ต่าง “Data View” และหนา้ ต่าง “Variable View” 84   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     4) การนิยามตวั แปร จากขอ้ มูลท่ียกตวั อยา่ งมาขา้ งตน้ มีตวั แปร ID, SEX, AGE, YEAR และ STATUS เราจะ ดาํ เนินการป้ อนขอ้ มูลในตวั แปรต่าง ๆ ภายในหนา้ ต่าง SPSS Data Editor จะมีลกั ษณะเป็นเซลลค์ ลา้ ยโปรแกรม Excel ในแต่ละ แถวแทนจาํ นวนขอ้ มูล ในแต่ละสดมภแ์ ทนจาํ นวนตวั แปร ในเบ้ืองตน้ เราตอ้ งนิยามขอ้ มูล เสียก่อน โดยดาํ เนินการดงั น้ี  คลิกที่ “Variable View” โดยจะอยูบ่ ริเวณดา้ นซา้ ยล่างของโปรแกรม จะปรากฏหนา้ ต่าง ดงั รูป สาํ หรับหนา้ ต่างน้ีจะใชใ้ นการนิยามตวั แปร โดยในแนวแถวน้นั จะเป็ นจาํ นวนตวั แปร ในแนวสดมภจ์ ะเป็นรายละเอยี ดของตวั แปร  จากตวั อยา่ งขา้ งตน้ เราจะนิยามเพียง 4 ตวั แปรคือ SEX, AGE, YEAR และ STATUS โดยในแถวท่ี 1 ใหพ้ มิ พด์ งั น้ี - พมิ พ์ “เพศ” ในช่อง Name - คลิกช่อง Type จะปรากฏหนา้ ต่าง 85   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     สาํ หรับใชใ้ นการเลือกชนิดของตวั แปร มีใหเ้ ลือกอยู่ 8 ชนิด ดงั น้ี 1) Numeric สาํ หรับตวั แปรท่ีขอ้ มูลเป็นตวั เลขเชิงจาํ นวน สามารถกาํ หนดตาํ แหน่ง ที่ตอ้ งการป้ อนตวั เลข (Width :) และจาํ นวนตาํ แหน่งทศนิยมได้ (Decimal Places:) 2) Comma สาํ หรับตวั แปรที่ขอ้ มูลเป็นจาํ นวนเงิน โดยจะมีเครื่องหมายจุลภาค ทุก ๆ 3 ตาํ แหน่ง 3) Dot สาํ หรับคา่ ที่เป็นไปไดค้ ือ ตวั เลข รวมท้งั เคร่ืองหมาย +,- comma 1 ตวั สาํ หรับเป็นตวั บอกตาํ แหน่งทศนิยม และจุดสาํ หรับใชเ้ ป็นตวั บอกหลกั พนั 4) Scientific notation สาํ หรับใหแ้ สดงคา่ ขอ้ มลู ดว้ ยสญั ลกั ษณ์คณิตศาสตร์ 5) Date สาํ หรับป้ อนขอ้ มลู ในรูปของวนั ท่ี ซ่ึงมีรูปแบบการแสดงวนั ที่ใหเ้ ลอื ก 6) Dolla สาหรับป้ อนขอ้ มลู ในรูปของจาํ นวนเงินดอลลาร์ 7) Custom currency สาํ หรับสร้างหน่วยเงินตราของประเทศตวั เอง สามารถกาํ หนด ข้ึนมาเป็นรูปแบบสาํ หรับแสดงผลได้ 8) String สาํ หรับขอ้ มูลแบบตวั อกั ษร หรือขอ้ มูลจดั กลุ่ม ขอ้ มูลชนิดน้ีไมส่ ามารถ นาํ มาใชใ้ นการคาํ นวณได้ แต่สามารถหาความถี่ได้  ช่อง Width และ Decimal จะแปรเปลี่ยนไปตามชนิดของ Type  ช่อง Label ใชส้ าํ หรับอธิบายตวั แปร เช่น “เพศของกลุ่มตวั อยา่ ง”  ช่อง Value ใชส้ าํ หรับอธิบายค่าของตวั แปร ช่องน้ีมกั นิยมใชก้ บั ตวั แปรจดั กลุ่ม เช่น ใชต้ วั เลข “1” แทนเพศชาย และ “2” แทนเพศหญิง จะต้งั คา่ ไดด้ งั น้ี 86   


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook