544454 วศิ วกรรมส่องสว่าง (Illumination Engineering) แหลงกาํ เนิดแสง แสงละสี ควงโคม การสอ ง สวางมูลฐาน การคํานวณวิธลี ูเมน และวิธจี ดุ -จดุ เทคนิคการใหแสงสวา งภายในอาคาร เชน ท่ีพัก อาศัย สาํ นกั งานโรงงาน เปนตน เทคนิคการให แสงสวางนอกอาศยั เชน การใหแสงสวางถนน ไฟสาดสอ งเปนตน 1
หัวข้อ (Topic) 2 1. แหลงกาํ เนิดแสง 2.แสงและสี 3.ดวงโคม 4.การสอ งสวางมลู ฐาน 5.การคาํ นวณวิธลี ูเมน 6.การคํานวณวธิ จี ดุ -จุด
หัวข้อ (Topic) 7.เทคนิคการใหแสงสวางภายในอาคาร A.ทพี่ กั อาศยั B.อาคารสาํ นกั งาน C.อาคารพานชิ ย D.อาคารโรงงาน 3
หัวข้อ (Topic) 8.เทคนิคการใหแ สงสวา งนอกท่ีอาศยั หรอื นอกอาคาร A. การใหแสงสวา งถนน B. การใหแ สงสวา งสนามกีฬา C. การใหแ สงสวางไฟสาดสอง a)ปา ยโฆษณา b)บริเวณการทํางานกลางแจง c)แนวบริเวณการปอ งกนั ความปลอดภยั 4
Illumination engineering For energy efficient luminous environments • Ronald N.Helms – University of Colorado Boulder,Colorado – Prentice-Hall Inc. Englewood Ciffs,NJ 07632 – Copyrights 1980 5
พื้นฐานความรูดา นแสงสวาง ธีระยทุ ธ นุยนนุ 6
การศึกษาด้านแสงสว่างเพอื่ การออกแบบระบบแสงสว่างทม่ี ี ประสิทธิภาพ จาํ เป็ นต้องมคี วามรู้พนื้ ฐานทส่ี ําคญั 1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) 2. สี (Color) 3. ศัพท์เฉพาะด้านแสงสว่าง (Terminology) 4. หลอดไฟ (Light Source) 5. ดวงโคม (Luminaire) 7
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) แสงเปนพลังงานทท่ี าํ ใหเ กดิ การมองเห็น 8 ทางฟส ิกสถือวาแสงเปน คล่นื แมเ หลก็ ไฟฟา ชนิดหนง่ึ เคล่ือนทีด่ วยความเร็ว ประมาณ 300,000 กม./วนิ าที มคี ณุ สมบัตใิ นการกระจายพลงั งานออกมาทีค่ วามยาวคล่นื ตา งๆกนั แหลง กําเนิดแสงธรรมชาติ ท่รี จู กั กันดคี อื ดวงอาทติ ยซ ง่ึ ให พลงั งานออกมาทค่ี วามยาวคลน่ื ตา งๆ กวา งมากตง้ั แตรงั สี คอสมกิ จนถึงคลน่ื วิทยุ
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) 9
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) • แตแ ถบพลังงานทมี่ ีอทิ ธพิ ลตอ ตาคนเราและทําใหเ กิดการมองเหน็ เปน เพยี งชว ง แคบๆ ระหวาง 380 - 780 นาโนเมตร เราเรียกชว งของการกระจายนี้วา Visible spectrum 10
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) ชว งความยาวคลนื่ เหลานีเ้ ราสามารถแยกใหเห็นแถบของ การกระจายพลังงานอยา งกวางๆได 7 แถบ แตละแถบของ การกระจาย พลงั งานเรียกวา Spectrum ชวงการ กระจายที่ตา งกันทําใหเรามองเหน็ สีตา งกันดังตารางขา งลาง 11
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) แสงสี ความยาวคลนื่ (nM.) แดง 780 - 630 ส้ม 630 - 590 เหลอื ง 590 - 560 เขยี ว 560 - 490 นํา้ เงนิ 490 - 440 คราม 440 - 420 ม่วง 420 - 380 12
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) แถบสีแตล ะแถบในชวง Visible Spectrum ซ่ึงใหแ สงสี ตา งกันเราไมส ามารถแยกใหเหน็ สวนประกอบของแตล ะแถบสไี ด ไมว า ดว ยวิธีใดๆและเราเรยี กแถบสนี ว้ี า แสงเอกพันธ (Homogeneous Light) แตเมอ่ื นําแสงเหลา น้มี ารวมกนั จะทําใหเ กดิ แสงสีใหมเราเรียกแสงสีท่ี เกดิ ข้ึนใหมนว้ี า แสงววิ ธิ พนั ธ (Non-Homogeneous Light) เชน แสงจากดวงอาทิตยเกิดจาก การรวมกนั ของแสงทัง้ 7 สีในชว ง Visible Spectrum เปน ตน 13
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) • ตา และองคประกอบของตา 14
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) ตาคนเราแต่ละข้างจะมโี ครงสร้างดงั รูปซ่ึงประกอบด้วย 1. Sclera เป็ นส่วนของตาขาวท้งั หมดทาํ หน้าทหี่ ่อหุ้มลูกตาเอาไว้ 2. Cornea กระจกตา เป็ นเยอื่ บางใส อยู่ด้านนอกของลกู ตา ทาํ หน้าทห่ี ักเหแสงให้ตกลงบน Retina โดยแสงจะส่องผ่านรูม่าน ตา (Pupil) ซึ่งจะรับแสงมากน้อยเพยี งใดขนึ้ อยู่กบั การบีบรัดตวั ของม่านตา (Iris) ท้งั นีแ้ สงส่วนใหญ่จะถูกหักเหด้วย Cornea ส่วนทเี่ หลอื จะถูกปรับละเอยี ดอกี คร้ังด้วยเลนซ์ 15
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) ตาคนเราแต่ละข้างจะมโี ครงสร้างดงั รูปซึ่งประกอบด้วย 3. Choroid ประกอบด้วยเส้นเลอื ดต่างๆ มากมายเพอ่ื หล่อเลยี้ ง ดวงตา 4. Iris ม่านตา ทาํ หน้าทป่ี รับปริมาณแสงให้เข้าสู่ retina อย่าง เหมาะสม 5. Ciliary Body หรือ Ciliary Muscle เป็ นกล้ามเนือ้ ทท่ี าํ หน้าทบี่ บี บังคบั เลนซ์ให้พองหรือแฟบเข้า เพอื่ รับภาพเข้าสู่จุดโฟกสั 16
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) 6. CCiilliiaarryyZBoonduyleกsบั หเลรนือซC์ iliary Fibers เป็ นเอน็ ยดึ ระหว่าง เมอื่ Zตoาnไuดl้รeัsบภาพวตั ถุ กล้ามเนือ้ ของ Ciliary Body จะกระทาํ ต่อ เป็ นทเาํหงตานุใหส้เัมลนพซนั ์ขธ์ยกาบั ยมต่าวั นขตนึ้ าและรับภาพน้ันเข้าสู่จุดโฟกสั โดย และใหข้เณลนะทซวี่์แตัฟถบุเคลลงอื่ กนระหบ่างวจนากกาดรวทงเี่ ตกดาิ ขกนึล้ ้าเรมียเนกืวอ้ ่าจะAคcลcoายmตmวั oอdอaกtทioาํ n 17
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) ค่า Magnitude ของ Accommodation จะลดลงตามอายุทเ่ี พม่ิ ขนึ้ ทาํ ให้การมองเห็นไม่ชัดเจน การลดลงของค่า Magnitude เชื่อว่าเป็ นเพราะการแขง็ ตวั ของเลนซ์ ภาวะอย่างนีเ้ รียกว่า Presbyopia ซึ่งจะเริ่มเป็ นเมอ่ื อายุราว 40 ปี ขนึ้ ไป 18
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) 7. Fovea เป็ นจุดเลก็ ๆ บนเรตนิ า ซ่ึงเป็ นจุดทม่ี องเห็นชัดทสี่ ุด 8. Oจําpนtiวcนnนerับvลe้าsนปเรสะ้นสาทตาซ่ึงต่อเช่ือมกบั เซลรับแสงบนเรตนิ ามี 19
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) 9. RCeotinneas เกปบั็ นRส่วodนsของเซลรับแสง ประกอบด้วยเซลไวแสง 2 ชนิดคอื 20
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) • Cones เซลรับแสงท่ีมีลกั ษณะเปนแทงทูๆ รวมกันอยอู ยางหนาแนนบริเวณ รอบๆ Fovea มีจาํ นวน 6-7 ลา นอันแบงเปน 3 กลมุ มคี วามไวตอแสงสตี างกนั คอื ไวตอ แสงสแี ดง, เขียวและนาํ้ เงิน 21
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) Cones จะมีผลตอการมองเห็นแบบ daylight เทา น้ัน จะเรมิ่ ทาํ งานเมือ่ ไดรับแสงประมาณ 1 fl. (foot-Lambert)ขน้ึ ไป การมองเห็นสตี า งๆ ขึ้นอยูกับการทํางานของ Cones ถา Cones ทัง้ 3 กลมุ ทาํ งานพรอมกนั เทา ๆ กนั จะมองเหน็ เปน แสงสขี าว หรือไมมสี ี ถา Cones ตัวใดตวั หนงึ่ เสียไปจะทําใหเกิดตาบอดสี 22
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) Rods เซลรบั แสงท่มี ลี กั ษณะเปน แทงยาวๆ ไวแสงมาก กระจายอยบู รเิ วณรอบนอก Fovea มจี ํานวนประมาณ 100 ลานอัน rods จาํ นวนหลายพนั ตวั ถกู ตออยูกบั เสนประสาท 1 เสนจงึ ทําใหความ คมชัดของการมองเหน็ ตา่ํ มาก จะไมปรากฏสตี า งๆ ในระบบของ rods จะ เหน็ เปนเพยี งขาว-ดําเทาน้ัน 23
1. แสง, ตาและการมองเห็น (Light , eye & Vision) rods จะทํางานเมื่อไดร ับแสงสวางนอยๆ คือระหวา ง - 1 fl. การกระจายตัวของเซลรับแสงบนเรตินาแสดงดังรูป 24
จากการทาํ งานของ Cones และ Rods กพ็ อจะแบ่งระดบั การมองเห็นออกเป็ น 3 ระดบั คอื 1. Scotopic Vision เป็ นช่วงท่ี Rods ทาํ งานเพยี งอย่างเดยี วจะมองเห็นวตั ถุ ต่างๆเป็ นสีขาว-ดาํ เท่าน้ัน โดยแสงทไ่ี ด้รับมคี ่าระหว่าง – fl. 2. Mesopic Vision เป็ นช่วงที่ Rods และCones ทาํ งานร่วมกนั ทาํ ให้มองเห็น วตั ถุเป็ นสีปนขาว-ดาํ แต่ไม่สามารถระบุให้แน่ชัดได้ว่าเป็ นสีใด เป็ นภาวะแสง สลวั ทม่ี คี วามสว่างประมาณ - 1 fl. 3. Photopic Vision เป็ นช่วงที่ Cones ทาํ งานเพยี งอย่างเดยี วจะมองเห็นวตั ถุ ต่างๆ เป็ นสีถูกต้องและบอกรายละเอยี ดของวตั ถุได้ชัดเจน เมอื่ ได้รับแสงสว่าง ต้งั แต่ 1 fl. ขนึ้ ไป 25
การมองเห็นทั้ง 3 ระดับเมอ่ื ทําการทดสอบกับตาคนปกตโิ ดย การวดั จุดเริ่มตอบสนองตอ สง่ิ เราท่ีความยาวคลนื่ ตา งๆ ในยาน Scotopic และ Photopic พบวา ตาคนเรามี ความไวตอ แสงสที คี่ วามยาวคล่นื 510 nM. (ในยาน Scotopic) และ 555 nM. (ในยาน Photopic) มากที่สดุ ซ่งึ เปน ประโยชนในการเลอื กใช แหลงกาํ เนดิ แสงท่ใี หแสงสเี หมาะสมกับการนาํ ไปใชง าน 26
ความชัดเจนแมน ยาํ ของการมองเหน็ (Visual Acuity) ขน้ึ อยูกบั องคป ระกอบหลกั 4 ตวั คือ 1.ขนาดของวัตถุ (Size) เปน ขนาดที่ตกกระทบบนเรตินาซ่งึ วัดอยู ในรปู ของมุมแหงการมอง (Visual angle) ทถี่ ูกกําหนดดว ย ระยะทางกบั ขนาดทางกายภาพของวัตถุ และพบวาคนเราจะมองเห็นภาพ ชดั เจนที่สุดที่มมุ ประมาณ 1.4 – 2 องศา 2. ความสวาง (Luminance) ขน้ึ อยกู ับปรมิ าณแสงทต่ี ก 27 กระทบ พนื้ ผิวใดๆ แลว สะทอ นเขาสูตาเราในปรมิ าณทเ่ี หมาะสม
3. ความแตกตา งของสวี ตั ถุกับพื้นผิวโดยรอบ (Contrast) เปน ความแตกตางระหวา งวัตถกุ บั ฉากหลงั เกิดขึ้นโดยการสะทอ นแสงจาก พืน้ ผิววตั ถุนัน้ ๆ เขาตาเรา โดยพื้นผิวเหลาน้นั อาจมสี หี รือความสวาง แตกตา งกนั ถาความแตกตา งย่งิ มากกจ็ ะยง่ิ มองเห็นวัตถชุ ัดเจนขนึ้ 4. เวลา (Time) เวลาที่ใชมองตอ งมากพอทีจ่ ะระบรุ ายละเอยี ดของ วัตถนุ ้ันๆ ได 28
2. สี (Color) สีเปน ผลตอบสนองทางใจของคนเราตอ ความยาวคล่ืนในยานตางๆ ของ พลังงานแสงทต่ี กกระทบบนชน้ั เรตนิ าในลกู ตา ซง่ึ คุณสมบตั ิการกระจาย ทางสเปกตรัมของวัตถุ จะทาํ ใหเกดิ สเี ฉพาะของวตั ถุขน้ึ มาเชน แดง , เขยี ว ฯลฯ ถาวตั ถุถกู สอ งดวย แหลงกาํ เนดิ แสงท่ีมคี ุณสมบตั ติ า งกันก็จะทําใหเรา มองเห็นสีวัตถุตางกนั ดว ยดงั รูป 29
30
ทฤษฎีสี ในศตวรรษที่ 17 นวิ ตันพบวาลําแสงสีขาวของแสงแดดประกอบดว ย รังสีแสงสวางทมี่ สี ีตางกันหลายสี เพราะเม่อื ใหแสงแดด สองผา นแทง ปริซมึ แสงจะกระจายออกเปนสรี ุง (เรียกวาสเปกตรมั ) แตเ ม่อื นําเอา สเปกตรมั เหลาน้ันมาผานแทง ปรซิ ึมอนั ท่ี 2 แสงทไ่ี ดจะกลายเปน สีขาว เหมือนเดมิ เขาจงึ สรุปวา สีรงุ ท้งั 7 ในสเปกตรัมเปน สปี ฐมภมู ิ 31
ถา ปลอยแสงทม่ี ีความยาวคล่ืนเดียวเชน 650 nM. ท่ีมี ปรมิ าณมากพอ กระทบเรตนิ าในลกู ตาความรสู กึ ถึงสที ต่ี างจากสี อ่ืน จะเกิดขึน้ และสง่ิ เรา นัน้ จะบอกวาเรากําลงั มองเหน็ เปนสี \"แดง\" ดงั นนั้ สีจงึ แสดงออกมาในรูปของความรูสึกหรือเรอ่ื งราว ของ การมองเหน็ ซึง่ เกดิ จากการกระทําของพลังงานที่ความยาวคลน่ื ใดๆ ท่ีกระทําตอ เรตนิ าของตาคนปกติ 32
ความแตกตา งของความยาวคล่ืน จะทําใหเ กิดความรูสึกที่ ตางกนั ของการมองเห็นสี วตั ถจุ ะมองดแู ตกตา งกนั เม่ืออยภู ายใตแ สงสี ท่ีตางกนั สีของ วัตถุจะขึ้นอยกู ับธรรมชาตขิ องแสงท่ตี กกระทบวัตถุนั้น การสะทอ นแสงของวัตถแุ ละคุณสมบัติในการตอบสนอง ของ ตาผสู ังเกต สีของวตั ถุจงึ ขึน้ อยกู บั ปรากฏารณท่เี รียกวา การ ดูดกลนื แบบเลอื ก (Selective absorbtion) ดงั รูป 33
34
การดูดกลนื แบบเลือกเปน ผลของสวี ัตถุทแี่ ยกอนุภาคของแสงที่ สอ งสวางวตั ถนุ ้นั สวนหน่ึงของรังสจี ะถูกดดู กลนื ไว แลว สะทอ น สว นที่เหลือออกไป เชน วตั ถทุ ี่มีสเี ขียวเมอ่ื ถกู สอ งดว ยแสงแดด วัตถนุ ้ันจะดดู กลืน พลงั งานในชว งอ่นื ไวย กเวนสเี ขยี วและสะทอน แสงสเี ขียวเขา ตา เรา จึงมองเห็นวตั ถนุ น้ั เปน สเี ขียวเปน ตน 35
ทฤษฎีการผสมสีแบบลบ บรวิ สเตอรไดทดลองเกย่ี วกับสตี างๆ และพบวามสี ีหลักอยู 3 สี ท่ี สามารถนํามาผสมกันเพื่อทําใหเ กิดสรี ุงท้ัง 7 ทีน่ วิ ตันไดพ บ ในสเปกตรมั ของแสงแดด สที ้งั 3 ทบ่ี ริวสเตอรเรียกวา สีปฐมภูมิหรอื แมส ขี องวัตถุคือ สีแดงเขม (Magenta) , สีเหลอื ง (Yellow) และสนี ้ํา เงิน เขยี ว (Cyan) สเี หลา นี้เรียกวา สีปฐมภูมแิ บบลบ 36
37
ถาเอาสีปฐมภูมิแบบลบคูใดคหู นง่ึ มาผสมกัน จะเกดิ สที ตุ ยิ ภมู ิ แบบลบข้ึนมาอีก 3 สี คือสีแดง (Red) , เขียว (Green) และน้ําเงิน (Blue) ดังรูป แตเมอ่ื เอาสี ปฐมภูมทิ ง้ั 3 มาผสมรวมกนั ในสดั สว นท่เี ทา กันจะไดส ดี าํ การ ผสมสีแบบนพี้ บไดใ นสนี าํ้ -สียอ มทัว่ ไป 38
ทฤษฎกี ารผสมสีแบบบวก ในศตวรรษที่ 19 โธมสั ยัง ไดบัญญตั ิทฤษฎที ี่วาแสงสี ขาวประกอบดวยสปี ฐมภมู ิ 3 สคี ือ สแี ดง , เขยี วและนํา้ เงนิ กลาววา สปี ฐมภมู เิ หลา นีส้ ามารถผสมกันเพือ่ ทําใหเ กดิ สรี งุ ท้งั 7 ในสเปกตรัมได ทฤษฎนี ี้ไดรับการยนื ยนั จากเฮลมโอซ และ แมกซเวล 39
เฮลมโฮลซไดข ยายงานทดลองของยัง โดยระบวุ า ภายในลกู ตาคนเรามี ใยประสาทเกี่ยวกับการมองเห็น 3 กลุม แตละกลมุ จะมคี วามรูสึกไวตอ แสงปฐมภูมใิ นแตละชว งตางกันคอื กลุม ท่ี 1 ไวตอ แสงสีแดง กลุมที่ 2 ไวตอ แสงสีเขียว กลุม ท่ี 3 ไวตอแสงสีนํา้ เงิน โดยคดิ วาแสงท่ีมีสีอยูระหวางสีปฐมภูมเิ หลานี้สมองจะตคี วามหมาย ออกมาวาเปน สอี ะไร ตามทฤษฎนี ้ีแสงสีขาวจะเกิดจากการเรา ความรูสกึ ของใยประสาททงั้ 3 กลุม เทา ๆ กนั ในเวลาเดยี วกัน ซึ่งสามารถใชอ ธบิ าย การรวมกนั ของสที างสเปกตรัมไดอ ีกดว ย การรวมกันของสีของแสง เรียกวา ขบวนการผสมสีแบบบวก ซึง่ ตรงขามกบั ทฤษฎีสี ของบริว สเตอร 40
โดยคิดวา แสงท่มี ีสอี ยรู ะหวา งสปี ฐมภูมิเหลานสี้ มองจะ ตีความหมายออกมาวา เปน สอี ะไร ตามทฤษฎีนแ้ี สงสขี าวจะเกดิ จากการเรา ความรูสึกของใยประสาทท้ัง 3 กลุมเทาๆ กนั ในเวลา เดยี วกัน สามารถใชอธิบายการรวมกันของสที างสเปกตรมั ไดอ ีกดว ย การรวมกนั ของสีของแสงเรียกวา ขบวนการผสมสีแบบบวก ซ่ึง ตรงขา มกบั ทฤษฎสี ี ของบรวิ สเตอร 41
42
ระบบการเรียกชอ่ื สี แบง ออกเปน 2 กลมุ ใหญๆ คอื 1. ระบบการจดั สีแบบ Monochromatic 2. ระบบการจดั สแี บบ Trichromatic 43
กลุมแรกเปน ระบบการจดั สีที่มีตัวแปรที่ใชกําหนดสีอยู 3 ตวั คอื ความยาวคล่นื เดน (Dominant wavelength) หรอื ชอ่ื สี (hue) ความอิม่ ตวั หรอื ความบรสิ ุทธิ์ (Saturation) ความสวาง (Brightness) 44
ระบบนี้จะมีแผน ตวั อยา งสมี าตรฐาน ทมี่ กี ารจดั ระเบียบและตง้ั ช่ือ เพือ่ ใหง ายตอ การระบุสี การเลอื กสีก็ทําไดโดยการเทยี บกับตวั อยางสมี าตรฐานทม่ี ีให ระบบท่ี มชี ื่อเสียงมากคอื ระบบสขี องมุนเซล (Munsell color system) ซึ่งใชส ําหรบั เรียกชื่อสขี องวัตถุจําพวกสีนํ้า , สยี อม , สหี มึกตา งๆ ภายใตเงื่อนไขการสองสวา งมาตรฐาน 45
กล่มุ หลงั เป็ นระบบการจดั สีทเ่ี กย่ี วกบั งานวจิ ัยการผลติ และจาํ หน่าย มี ข้อดคี อื ได้รวมเอาผลของคุณสมบตั กิ ารสะท้อนแสง หรือการส่งผ่านแสง (สีของวตั ถุ) คุณสมบตั ทิ างสเปกตรัมของแหล่งกาํ เนิดแสง (สีของแสง) คุณสมบัตกิ ารมองเห็น เพอ่ื ใช้สังเกตเห็นสีอนั แท้จริงภายใต้เงอ่ื นไขท่ี กาํ หนด ระบบทม่ี ชี ื่อเสียงมากคอื ระบบสี CIE (CIE color system) โดย CIE ได้ สร้างสามเหลยี่ มสีขนึ้ มาเพอ่ื ใช้กาํ หนดสีได้อย่างแม่นยาํ โดยอาศัยผลการ คาํ นวณทางคณติ ศาสตร์ 46
3. ศพั ทเ ฉพาะดานแสงสวาง (Terminology) 1. มุมตัน (Solid angle) หมายถึงมุมยอดที่ถกู รองรบั ดวยพน้ื ผวิ ใดๆ แทนดว ยสญั ญลักษณ มีหนว ยเปน สเตอเรเดียน (steradian) ใชอ กั ษรยอ Sr. และสามารถหาไดจ าก สูตร เมอื่ A = พน้ื ท่ีที่รองรับมุม r = รศั มี หรือระยะทางจากจุดยอดมมุ ถงึ พ้นื ทท่ี ีร่ องรับมุม 47
แสดงทรงกลมทม่ี ีรัศมี 1 เมตร หากเราเจาะพ้นื ทที่ รงกลมลงไป ดงั รูป โดยใหผ ิวทรงกลมมพี นื้ ที่ขนาด 1 ตารางเมตรก็จะได มมุ ตนั 1 Sr. พอดี ถาพิจารณาพื้นท่ผี วิ ทรงกลมท้ังหมด ซึ่งมคี าเทา กับ กอ็ าจกลาวไดว า มุมตนั รอบทรงกลม มีคา เทา กับ หรอื เทากับ สเตอเรเดยี น 48
2. ปรมิ าณแสงหรือฟลกั ซส องสวาง (Luminous Flux) หมายถงึ ฟลกั ซก ารสองสวา งของแหลง กาํ เนดิ แสงในมมุ solid angle ใดๆ แทนดวยสญั ลักษณ มหี นวยเปน lumen หรือ ใชอ กั ษรยอ lm. ปริมาณแสง 1 ลเู มน หมายถงึ ปรมิ าณแสงทเี่ ปลงออกไปในมมุ solid angle 1 Sr. ดวย Point source ท่ีมี ความเขม แหง การสอ งสวา ง 1 candela หรอื หมายถงึ ปรมิ าณแสงทีเ่ ปลงจาก Point source 1 candela ไปตกบนพนื้ ท่ี 1 ตารางฟุตบนพ้นื ผิววตั ถซุ ่งึ วางหาง 1 ฟุต 49
Point source คือแหลง กําเนดิ แสง ท่เี ปน จดุ มี ความจา มาก เชน ดวงอาทิตย เทยี นไข หลอดอนิ แคนเดสเซนต เปนตน 50
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144