big data
บิ๊กดาต้า (Big Data) คือคำนิยามของข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ทุกชนิดที่อยู่ในองค์กรของเราไม่ว่า จะเป็น ข้อมูลบริษัท ข้อมูลลูกค้า Suppliers พฤติกรรมผู้บริโภค Transaction ไฟล์เอกสารต่างๆที่ เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมไปจนถึง รูปภาพ URLs ลิงค์ต่างๆที่คุณเก็บไว้ ฯลฯ ที่มีปริมาณมากจนกระทั่ง ซอฟต์แวร์ปกติทั่วไปไม่สามารถรองรับการเก็บข้อมูลหรือประมวลผลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
Big Data มี คุณลักษณะสำคัญ อยู่ 4 อย่าง คือ
Volume 1. มีปริมาณมาก (Volume) ปัจจัยข้อแรกแน่นอนว่า คำว่า Big Data มีคำว่า “Big” นั่นก็คือข้อมูลที่มี ขนาด ใหญ่ ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งรูปแบบ Online และ Offline ซึ่งส่วนมากแล้วจะมีปริมาณมากกว่าหน่วย TB (Terabyte) ขึ้นไป หรือ ปริมาณของข้อมูล ที่ต้องมี คุณค่า และมีมากพอ
Velocity 2. มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Velocity) ส่ง ผ่านข้อมูล Update กันอย่างต่อเนื่อง (Real-time) จนทำ ให้การวิเคราะห์ง่ายๆแบบ Manual เกิดข้อจำกัด หรือ ไม่สามารถจับรูปแบบหรือทิศทางของข้อมูลได้ หรือ ความเร็วของข้อมูลที่เข้ามา และการค้นหาข้อมูล แต่ ถ้าเข้ามาแล้วค้นหาไม่เร็วไม่ถือว่าเร็ว
Variety 3. หลากหลายประเภทหรือแหล่ง ที่มา (Variety) หมายถึงรูปแบบ ของข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป ทั้ง ใน รูปแบบ ตัวอักษร วิดีโอ รูปภาพ ไฟล์ต่างๆ ฯลฯ และหลากหลาย แหล่งที่มาเช่น Social Network หรือ Platform E- Commerce ต่างๆ
Veracity 4. ยังไม่ผ่านการประมวลผล (Veracity) ยังไม่ผ่านการ Process ให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลดิบ (Raw Data) ที่สามารถใช้สร้างประโยชน์ต่อองค์กรได้ หรือ คุณภาพ ของข้อมูล ต้องเชื่อถือได้
ทำไมต้อง Big Data? คุณเป็นลูกค้าของธุรกิจเหล่านี้หรือไม่ Netflix, Youtube, Facebook, Twitter, Google, Walmart, Starbucks หนึ่งในเทคโนโลยีที่ทำให้บริษัทเหล่านี้ประสบความสำเร็จคือ Big Data พวกเขามีข้อมูลในมือจำนวม หาศาล สามารถนำมาใช้วิเคราะห์เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจ และตัดสินใจในเรื่อง สำคัญๆจากผลประมวลจากข้อมูล เหล่านั้น
กระบวนการจาก Big Data สู่ความสัมพันธ์ของข้อมูล 1. Storage: การรวบรวมข้อมูลมาจัดเก็บ 2. Processing: การประมวลผล 3. Analyst: การวิเคราะห์และนำเสนอ
ทำความรู้จักเกี่ยว กับ คุกกี้ และ แคช
คุกกี้ (Cookie) คุกกี้ (Cookie) หมายถึง ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในรูปแบบของไฟล์ชนิดหนึ่ง เป็น ไฟล์ที่จะบรรจุข้อมูลการใช้งานของเราอยู่ เช่น ข้อมูลที่ บอกว่าเราเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ไหนมาแล้วบ้าง ดูลักษณะว่าเราจะมีความสนใจเรื่อง ใดบ้าง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งกลับไปยัง เว็บไซต์ที่เราไปเยี่ยมชม เพื่อติดตามดูพฤติกรรมของเรา ด้วยจุดประสงค์ทางการ ตลาด หรือจุดประสงค์อื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น เพื่อ วิเคราะก์ว่าเราสนใจอะไรเป็นพิเศษ หรือเพื่อส่งโฆษณามาให้เราได้อย่างตรงความ ต้องการของเรา อันที่จริงแล้ว สำหรับการเข้าชม บางเว็บไซต์ เราสามารถที่จะปฏิเสธไม่รับคุกกี้ได้ แต่ถ้าปฏิเสธ ก็อาจส่งผลให้เราไม่ สามารถใช้เว็บไซต์นั้น ๆ ได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน ส่วนมากคนจึงเลือกที่จะรับคุกกี้ และเข้าชมเว็บไซต์ตาม ปกติ แล้วจึงค่อยมาลบคุกกี้ออกภายหลังนั่นเอง
แคช (Cache) แคช (Cache) เป็นข้อมูลที่มาจากการที่เราเข้าชมเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น เดียวกัน และเป็นข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในรูปแบบของไฟล์ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่คล้ายตัวช่วยอำนวยความสะดวก เพราะเมื่อเรากลับเข้าไปที่ เว็บไซต์ที่เคยเข้าไปชมแล้วก่อนหน้านี้ มันจะทำหน้าที่ค้นหา ภายในเครื่องให้ก่อนเป็นลำดับแรก ช่วยให้เราสามารถเข้าเว็บไซต์ที่เคย เข้าแล้ว หรือเข้าชมเป็นประจำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น แต่ ในทางกลับกัน หากเราสะสมเจ้าแคชนี้ไว้มาก ๆ ก็อาจไม่เป็นผลดีต่อ การทำงาน เนื่องจากเปรียบเสมือนไฟล์ขยะที่ทำให้สิ้นเปลือง เนื้อที่ในเครื่อง ส่งผลให้การทำงานช้าลง
ถ้าสนใจจะเริ่มทำ Big Data สำหรับธุรกิจ องค์กร ต้อง ทำอย่างไร?
ตัวอย่างของการใช้ Big Data ขอยกตัวอย่าง Netflix ย้อนกลับไปราวๆปี 2008 ลูกค้าผู้ใช้บริการ Video on demand กลุ่มใหญ่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาจอดำ ในขณะที่ลูกค้า Streaming ที่ใช้บริการผ่านคลาวด์บาง รายสามารถใช้งานได้เป็นปกติ ผลกระทบครั้งใหญ่ในครั้งนี้ กดดันให้ Netflix ต้องเร่งหาทางแก้ไข ก่อนที่คิดจะให้ขยายการให้บริการออกไปยังต่างประเทศ Big Data คือกุญแจสำคัญในการ แก้ปัญหา ทีมงานนำข้อมูลในทุกด้าน ทั้งส่วนที่มีความหนาแน่นในการใช้บริการ เครื่องข่าย ความเร็วเน็ต จุดเชื่อมต่อระหว่างการให้บริการด้านข้อมูล ฯลฯ ถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อหาทาง ป้องกันปัญหา Down-time ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต และนี่คือคำอธิบายของคำว่า Big Data คำจำกัดความของข้อมูลต่างๆมากมายที่มา รวมตัวกันเพื่อรอการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆที่แตกต่างกันโดยผ่านการใช้เครื่องมือ เฉพาะทางในการวิเคราะห์
ให้รู้ว่าฉันจะอยู่ ข้างคุณเสมอ ดูแลตัวเอง และฉันตั้งตารอเวลาที่ เราจะได้ถอดมาส์ก และพบกันอีกครั้ง
ประโยชน์ที่จะนำ Big Data ไปใช้ มี 3 เรื่องใหญ่
1. ลดค่าใช้จ่าย ช่วยตัดสินใจ สร้างโอกาสให้ธุรกิจ 2.การออกโปรดักส์หรือบริการใหม่ มีข้อมูลทำให้ออกผลิตภัณฑ์ได้ถูกใจลูกค้า แม้อาจไม่ได้ดีที่สุด ก็ตาม ซึ่งองค์กรขนาดใหญ่จะใช้ big data มาวิเคราะห์ตลาด แม้แต่วิเคราะห์คู่แข่ง และ ดูพฤติกรรมลูกค้า สนใจอะไร ใช้วัดเสียงสะท้อนผู้บริโภค 3. การมีข้อมูลทำให้ออกผลิตภัณฑ์ได้รวดเร็วกว่า และถูกใจลูกค้ากว่า แม้อาจไม่ได้ดีที่สุดก็ตาม “หลายๆ ผู้ประกอบการนำ Big data มาวิเคราะห์ตลาด และดูข้อมูลคู่แข่งว่า ทำอะไรบ้าง ไปถึง ไหนแล้ว และดูพฤติกรรมลูกค้าว่าสนใจอะไร ชอบอะไร โดยดูจาก consumer voice ดู keyword อะไรที่จะโดนใจผู้บริโภคทำให้ปีเดียวอาหารเสริมยี่ห้อหนึ่งทำยอดขายได้ 600 ล้านบาท”
IOT INTERNET OF THINGS
INTERNET OF THINGS INTERNET OF THINGS (IOT) INTERNET OF THINGS (IOT) คือ การที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูล ถจึงนกทันำไใดห้้ดเ้รวายสอาินมเาทรอถรส์ัเ่งน็กตารโดคยวบไคมุ่มต ้กอางรป้ใอช้นงขา้นออมุูปลกกราณร์เอชิืเ่อล็มกโทยรงอนีน้งิ่กาสย์ ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ ไป จนถึงการเชื่อมโยงการใช้ งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเข้า กับการใช้งานอื่นๆ จนเกิดเป็นบรรดา SMART ต่างๆ ได้แก่ SMART DEVICE, SMART GRID, SMART HOME, SMART NETWORK, SMART INTELLIGENT TRANSPORTATION
ประโยชน์และความเสี่ยง ของ IOT
ประโยชน์และความเสี่ยงของ IOT เทคโนโลยี INTERNET OF THINGS มีประโยชน์ในหลายด้าน ทั้งเรื่องการเก็บข้อมูลที่แม่นยำและเป็นปัจจุบัน ช่วยลดต้นทุน แถมยังช่วยเพิ่มผลผลิตของ พนักงานหรือผู้ใช้งานได้ แม้ว่าแนวโน้มของ IOT มีแต่จะเพิ่มขึ้นด้วยคุณาประโยชน์ ตามที่ได้กล่าว มาแล้ว แต่ประโยชน์ใดๆนั้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะความท้าทายในการรักษาความ ปลอดภัยของ เครือข่ายใหม่ที่เกิดขึ้นนั้น จะผลักดันให้ผู้เชี่ยวชาญมีการรับมือทางด้านความ ปลอดภัยมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามแฮกเกอร์ หรือผู้ไม่หวังดีก็ทำงานหนักเพื่อที่จะเข้าควบคุม โจมตีเครือข่าย หรือเรียกค่าไถ่ในช่องโหว่ที่ IOT มีอยู่ ฉะนั้นผู้เชี่ยวชาญ ด้านความปลอดภัยทาง IOT จึงจำเป็นต้องพัฒนามาตรการ และระบบรักษาความปลอดภัยไอทีควบคู่กันไป เพื่อให้ธุรกิจ และการใช้งาน IOT
วิวัฒนาการ ยุค 5
วิวัฒนาการยุค 5G สรุป ระบบ 5G เป็นพื้นฐานของแนวคิด INTERNET OF THING และ MACHINE TO MACHINE ซึ่งเป็นการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่า จะเป็น เครื่องมือ ยานพาหนะ หรือ อาคารสิ่งก่อสร้างที่มีการติดตั้งวงจรอิเลค ทรอนิกส์ ซอฟแวร์ เซ็นเซอร์ และเครือข่ายการเชื่อมต่อต่างๆ ที่ทำให้ อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งผ่านข้อมูลถึงกัน โดยมีความ ล่าช้าของเวลา (TIME LAG) น้อยมาก ทำให้สามารถใช้เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่เคยทำ ไม่ได้ในอดีต เช่น การ ผ่าตัดทางไกลที่แพทย์สามารถทำการผ่าตัดให้คนไข้ที่อยู่ในอีกซีกโลกได้ ดังนั้น หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนจึงต้อง เร่งพัฒนา เทคโนโลยีให้รองรับกับระบบนี้ ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จะเปลี่ยนวิถีชีวิตในอนาคตของผู้คนโดยสิ้นเชิง เครือข่าย แบบไร้สายในยุค 5G ซึ่งมีความสามารถในการ ส่งข้อมูลในปริมาณที่มากกว่าระบบ 4G ถึง 1,000 เท่า โดยผิวเผินระบบ 5G ถูกมองว่า เป็นเพียงระบบใหม่ที่ถูกนำมาใช้ทดแทนระบบเดิมด้วย ประสิทธิภาพที่สูงกว่า ดังเช่นที่ระบบ 4G มาทดแทน ระบบ 3G แต่ในความจริงแล้ว 5G เป็นเทคโนโลยีที่มีความเร็วสูง และความสามารถในการส่งข้อมูล ปริมาณมาก จึงทำให้ อุปกรณ์ที่รองรับระบบนี้
ประโยชน์ของ INTERNET OF THING ในยุคดิจิทัล 1.ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 2.ไร้ข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ 3.ช่วยลดต้นทุนในหลาย ๆ ด้าน 4.อำนวยความสะดวก มีเวลาเหลือในการสรรค์สร้างนวัตกรรม 5.ยกระดับกิจการให้ SMART ในสายตานักลงทุน
ข้อดี - ข้อเสีย INTERNET OF THINGS
ข้อดี ข้อดี INTERNET OF THINGS - เพิ่มความสะดวกสบายใน การทำงานและการดำเนินชีวิต เช่น หลอดไฟที่เปิดหรือปิดเอง ได้เตามเวลาที่ตั้งไว้ผ่านมือถือ เป็นต้น - เพิ่มความรวดเร็วและ ประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้สามารถทำงานได้อย่าง รวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำขึ้นได้ - ช่วยลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ ลงได้จากการใช้ IOT เช่น แผงเกษตรกรรมที่มีการใช้ IOT ให้รดน้ำตามเวลาและระดับความชื้นที่กำหนด เป็นต้น
ข้อเสีย ข้อเสีย INTERNET OF THINGS - เพิ่งพาระบบอินเทอร์เน็ต หากไม่ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ไม่ สามารถสั่งงานอุปกรณ์ได้ เป็นต้น - ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากอุปกรณ์ถูกเชื่อมโยงกันด้วยเครือข่ายเดียวกัน ทำให้ต้องการ บำรุงและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลกับซอฟต์แวร์ของ อุปกรณ์อยู่ เสมอ - ความผิดพลาดที่เกิดจากการประมวลผลผิดพลาด อุปกรณ์ IOT อาจเกิดปัญหาประมวลผลผิดพลาดได้ เนื่องจากการเขียนโปรแกรมที่ไม่ รัดกุม และ พอมีอุปกณ์ ตัวไหนตัวหนึ่งประมวลผลผิดพลาดจะส่งผล ทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่เชื่อมต่ออยู่ด้วยประมวลผลผิดพลาดไปตาม
SMART HOME SMART HOME ( SMART BUILDING ) หรือเรียกอย่างนั่นคือ “บ้านอัจฉริยะ” เป็นการนำเอาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย หรือ ระบบอัตโนมัติต่างๆ เข้ามาใช้ทั้ง ภายนอก และภายในบ้าน โดยเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบ รักษาความปลอดภัย และ อื่นๆ โดยผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุม (CONTROL) อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ได้ผ่านทางสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทำให้ได้รับความ สะดวกสบาย (CONVENIENCE) แถมยังช่วยประหยัด (SAVINGS) ค่าใช้จ่ายด้าน พลังงาน รวมไปถึงความปลอดภัย (SAFETY) ที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้บ้าน อัจฉริยะ ยังรวมถึงการใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างอันล้ำสมัย เช่นการใช้โครงสร้างแบบโมดูลาร์ ป้องกันแผ่นดินไหว และนวัตกรรมแห่งการพักอาศัย อื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ กับทุกคนที่อยู่ในบ้าน
คุณสมบัติ SMART HOME
คุณสมบัติSMART HOME 1. มี SMART HOME NETWORK ระบบเครือข่ายพื้นฐานของ SMART HOME คืออาจเป็นการเดิน สายหรือไร้สายก็ได้ ประกอบด้วย 1.1 POWER LINE SYSTEM(X10) 1.2 BUS LINE(EIB,CEBUS) 1.3 RADIO FREQUENCY(RF) และ INFRARED(IR) SYSTEM 2. มี INTELLIGENT CONTROL SYSTEMคือ ระบบการควบคุมระบบบ้านอัจฉริยะที่มีความชาญฉลาด 3. มี HOME AUTOMATION DEVICE คือ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่สามารถเชื่อมโยงกันได้
BLOCK CHAIN
BLOCKCHAIN เป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ที่คิดค้นขึ้น มาเพื่อความปลอดภัยสำหรับข้อมูลที่เปิดเผยได้ โดยมีแนวคิดว่า การสร้างข้อมูลที่ทุกฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกัน จากนั้น นำข้อมูล บันทึกลงในกล่องสี่เหลี่ยมโดยมีข้อมูลเหมือนกันทุกกล่อง (BLOCK) และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันแบบห่วงโซ่ (CHAIN) ทำให้บล็อกเชนไม่ต้องผ่านตัวกลางในการส่งข้อมูลอีกต่อไป ยก ตัวอย่างเช่นปัจจุบัน เครื่องมือสื่อสารต้องเดินทางผ่านโอเปอเร เตอร์เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างกัน ตอนนี้ก็เริ่มมีการพัฒนาการ ส่งข้อความตัวอักษรระหว่างเครื่องต่อเครื่อง (P2P : PEER TO PEER) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเครือข่ายใหม่ขึ้นในอนาคต แม้ว่า ตอนนี้ยังทำได้แค่ตัวอักษรเท่านั้นก็ตาม
Blockchain จึงกล่าวได้ว่า; การทำงานของ Blockchainคือ เมื่อเกิดการทำธุรกรรมต่างๆ ขึ้น ในระบบ ข้อมูลจะถูกบันทึกแบบเข้ารหัสไว้เป็นบล็อกๆ และจะถูกเชื่อมโยงต่อๆ กัน โดยที่จะไม่มี ใครคนใดคนหนึ่งสามารถเข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกใดๆ ได้เลย สาเหตุก็เพราะทุก คนต่างก็มีสำเนาหรือประวัติการทำธุรกรรมทั้งหมดอยู่กับตัว จึงเป็นเรื่องที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้ หากจะมีใครซักคนเข้ามาแก้ไขหรือปลอมแปลงข้อมูลโดยปราศจากการรับรู้จากคนส่วนใหญ่ใน ระบบ โดยระบบที่สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับได้ทั้งหมดนี้ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้าง ความน่าเชื่อถือให้กับเทคโนโลยี Blockchainนั่นเอง
BทำLคOวCาKม รCู้จHักAกัIบN
ที่มาที่ไปของการมาเป็น Blockchain ก่อน อื่นเราต้องขอย้อนกลับไปทำความรู้จักกับ Bitcoinกันก่อนซึ่งเชื่อว่าหลายท่านพอทราบกันแล้วว่าเป็นระบบสกุลเงินใหม่ A Peer- to-Peer Electronic Cash System หรือทุกวันนี้ก็เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “Cryptocurrency(or crypto currency)” หรือสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นผล งานการออกแบบของบุรุษที่ไม่เปิดเผยตัวตนชื่อ Satoshi Nakamotoที่เผยแพร่เอกสาร การทำงานของ Bitcoinออกมาในเดือนพฤศจิกายนปี 2008 และเอกสารอันลึกลับว่าเป็น ของใครนั้นเองก็ได้เปลี่ยนโลกเทคโนโลยีครั้งใหญ่เลยทีเดียว ในเอาสารฉบับนั้น ของSatoshi มีการพูดถึงหลักการของส่งเงินระหว่างกันเอาไว้โดยอาศัยการทำงานของ Blockchainอยู่ด้วย นั่นจึงเป็นที่มาของการเกิดเทคโนโลยี Blockchainขึ้นมาในเดือน มกราคมในปี 2009 ซึ่งขณะนั้นทำขึ้นมาเพื่อใช้งานกับการส่งเงินสกุล Bitcoinนั่นเอง
ลักษณะเด่นๆของ BLOCKCHAIN 1. ทุกๆ ข้อมูลที่มีการบันทึกลงไปใน Blockchain นั้นจะไม่สามารถถูกลบออกไปได้ และ สามารถติดตามลำดับการบันทึกข้อมูลย้อนหลังทั้งหมดได้อย่างโปร่งใส 2. ข้อมูลภายใน Blockchainนี้จะถูกกระจายไปจัดเก็บบน Hardware หลายๆ เครื่องซึ่งเรา จะเรียก Hardware แต่ละชุดนี้ว่า Node โดยจะมีการรับประกันว่าข้อมูลเหล่านั้นจะเหมือนกัน ทั้งหมด ซึ่ง Node เหล่านี้จะเก็บเอาไว้ในองค์กรเดียวกัน หรือกระจายช่วยกันเก็บในหลาย องค์กรก็ได้เช่นกัน
3. การบันทึกข้อมูลใดๆ ลงไปใน Blockchainนั้นจะต้องได้รับการตรวจสอบ และยืนยันจาก Node อื่นๆ ตามเงื่อนไขการตรวจสอบที่กำหนด ก่อนที่จะมีการบันทึกข้อมูลเหล่านั้นเข้าระบบ และกระจายให้ Node ต่างๆ บันทึกข้อมูลชุดเดียวกันลงไป เพื่อให้สามารถปรับใช้งานได้ตาม ความต้องการ 4. รองรับการเข้ารหัสสำหรับข้อมูลแต่ละชุดได้ ดังนั้นถึงแม้ข้อมูลของเราจะถูกกระจายไปยัง Node อื่นๆ และอาจถูกบางคนมองเห็น แต่คนอื่นๆ ก็จะไม่สามารถถอดรหัสข้อความของเรา ได้ นอกจากตัวเราเอง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเหล่านี้ที่เราอนุญาตให้เข้าถึงได้เท่านั้น
5 อันดับ Currency อันดับที่ 5 Dash Dash เป็นสกุลเงินดิจิตอลตัวใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วด้วย แนวคิดส่งเงินกันได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องรอนานเหมือนอย่าง Bitcoinจึงได้รับความนิยม อย่างมากกับร้านค้าออนไลน์ อันดับที่ 4 LiteCoin LiteCoinนี้ได้รับการตั้งชื่อเล่นว่าเป็น “เงิน” ในโลกของ Digital Currency และกำลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางมากขึ้นๆ อันดับที่ 3 Ripple Ripple นี้เป็น Platform สำหรับการทำ Digital Asset และ สามารถส่งข้ามโลกกันได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งเป็นแนวคิดที่สามารถมาเปลี่ยนโลก การเงินได้อย่างกว้างขวาง ทำให้สถาบันการเงินทั่วโลกตื่นตัวกันอย่างมาก
อันดับที่2 Ethereum Ethereumหรือชื่อเล่นว่า World Computer เป็นแนวคิดที่นำเอา Blockchainมาและใส่ Business Logic ใดๆก็ได้ตามต้องการเข้าไปและทำงานอัตโมมัติได้ บน Blockchainซึ่งทำให้โลกเราหันมาสนใจในเทคโนโลยี Blockchainนี้กันอย่างกว้างขวาง และเป็นผู้ที่ทำให้เกิดแนวคิด Smart Contract ขึ้นในโลกเรา อันดับที่1 Bitcoin พระเอกของเรา Bitcoinที่ทำให้โลกของเรารู้จักในเทคโนโลยี Blockchainและปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม สามารถนำมาซื้อของในโลก Physical ได้แล้วจริงๆด้วย ในต่างประเทศหลายๆที่ ได้รับการตั้งชื่อเล่นให้เป็น “ทอง” ในโลก ดิจิตอลนั้นเอง
ประเภท Blockchain 1 .Public Blockchain 2 .Private Blockchain 3 .ConsortiumBlockchain
1.Public Blockchain Blockchainประเภทนี้ เรามักรู้จักกันดีในชื่อ Bitcoinกับ Ethereumซึ่งเป็น Blockchainที่ใช้งานจริงกับคนทั่วโลก ข้อดีของ Public Blockchainประเภทนี้คือ ทางองค์กรไม่จำเป็นต้อง ลงทุนตอนเริ่มต้นในราคาสูง เช่น การนำเอา Ethereumมาใช้เป็น แพลตฟอร์มสำหรับการรับและส่งข้อมูล ท่านสามารถใช้เพื่อเก็บข้อมูลและ เรียกขึ้นมาดูได้แบบออนไลน์ โดยที่ท่านไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่อง Server มา ติดตั้งระบบเอง ท่านเพียงแค่จ่ายค่าการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลตามการ ใช้งานจริงเท่านั้นคล้ายๆ จ่ายค่าบริการแบบค่ามือถือชนิดเติมเงิน ใช้ เท่าไรก็จ่ายเท่านั้น
2 .Private Blockchain Blockchain ประเภทนี้เป็นการสร้างระบบ Blockchainเพื่อมา ใช้กันภายในองค์กร หรือเป็นระบบปิด บล็อกเชน ประเภทนี้จะมีการจำกัดการเข้าถึงข้อมูล ทำให้จะมี เพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นซึ่งเป็นคนที่ได้ยืนยันตัว ตนและตรวจสอบข้อมูลในระบบบล็อกเชนแล้ว เท่านั้น จึงจะสามารถใช้งานระบบได้
3.ConsortiumBlockchain Blockchainประเภท คือการรวมเอา 2 แนวคิดแรกเข้าด้วยกันเป็นการผสม ผสานระหว่างข้อดีของ Public Blockchainและ Private Blockchainเข้าด้วยกัน ซึ่งแนวคิด Consortium Blockchainนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูง สำหรับการนำมาประยุกต์ใช้กับองค์กรด้านการเงินใน ปัจจุบัน
ธุรกรรมในธุรกิจดิจดิทัล
ความหมายของธุรกรรมในธุรกิจในธุรกิจดิจิทัล ธุรกรรม ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า transaction หมายถึง กาประกอบ กอบกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะด้าธุรกิจและการเงิน ธุรกิจดิจิทัล หมายถึง การนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาพัฒนาธุรกิจที่ทำอยู่เพื่อเพิ่มความสะดวก สบายให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ
การทำธุรกิจแบบเเพลตฟอร์ม (Platform Business การทำธุรกิจแพลตฟอร์ม (Platfrom Business) ได้ Geoffrey Parker, Marshall Van Alstyne และSangee Choudary ซึ่งเป็นผู้แต่ง หนังสือที่มีชื่อว่า Platfrom Revolution ได้นิยามคำว่า Platfrom Business คือ โมเดลทางธุรกิจที่สร้างคุณค่าจากการอำนวยความสะดวกให้เกิด การแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มคนหรือผู้ใช้งานตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป โดยทั่วไปก็คือ กลุ่มหนึ่งเป็นผู้บิโภคและอีกกลุ่มเป็นผู้ผลิต
นวัตกรรมกับธุรกิจดิจิทัล เป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ การให้บริการ หรือกระบวนการรูปแบบ ใหม่ อาศัยข้อมูลขาวสารและการดำเนินการทางด้านเทคโนโลยีโดยมี เครื่องมือ (Tools) หรือแอปพลิเคชันโปรแกรม (Application Program) เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ จัดเก็บ รวบรวม วิเคราะห์ พยากรณ์ข้อมูล เพื่อช่วยให้การดำเนินธุรกิจหรือการค้าของตนเองได้ เปรียบเชิงการเเข่งขัน สร้างผลกำไรและตอบสนองต่อความต้องการให้ กับลูกค้าเป็นหลัก
การเปรียบเทียบรหว่างธุรกิจแบบดั้งเดิม กับธุรกิจแบบแพลตฟอร์ม ธุรกิจดั้งเดิมในกลุ่มผลิตจะดำเนินการ การจัดหาวัตถุดิบ การประกอบ การ ผลิต การจัดจำหน่ายทำการส่งต่อกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งธุรกิจแบบดั้งเดิมจะมีลักษณะ เป็นเจ้าของสินทรัพย์และทรัพยากรเน้นกระบวนการทางอุปทาน (Supply) การ ผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของห่วงโซ่อุปทานส่วน แพลตฟอร์มจะเน้นกระบวนการภายนอกของห่วงโซ่อุปทานการสร้างและครอบ ครองกระบวนการในทางอุปสงค์ (Demand)
แพลตฟอร์มโมเดลธุรกิจ ระบบนิเวศใหม่ของธุรกิจแบบเเพลตฟอร์มรูปแบบในการ หารายได้มีหลากหลายรูปแบบส่วนมากจะเป็นการเก็บเกี่ยวผล ประโยชน์จากคุณค่าท่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มลูกค้า หรือผู้ใช้งานตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป รูปแบบการหาการได้จะไม่มีผล ต่อการลดจำนวนของการปฏิสัมพันธ์และจำนวนกลุ่มลูกค้าหรือ ผู้ใช้งาน โดยมีรูปแบบของแพลตฟอร์มดังนี้
รูปแบบแพลตฟอร์ม มีดังนี้ โมเดลการแลกเปลี่ยน หรือ Marketplace การโฆษณา ค่าธรรมเนียมจากการใช้บริการ โมเดลทางระบบนิเวศ ระบบการเก็บค่าสมาชิก (Subscription) ฟรีเมียม (Freemium)
Search