Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชื่อโครงการการศึกษาประสิทธิภาพของปุ๋ยหมักกับพืชเศรษฐกิจ

ชื่อโครงการการศึกษาประสิทธิภาพของปุ๋ยหมักกับพืชเศรษฐกิจ

Published by ทศวรรษ คงกะบิน, 2023-08-05 06:22:19

Description: ชื่อโครงการการศึกษาประสิทธิภาพของปุ๋ยหมักกับพืชเศรษฐกิจ

Search

Read the Text Version

ชอ่ื โครงการการศึกษาประสิทธิภาพของปุ๋ยหมกั กับพืชเศรษฐกิจ ประเภท (ศึกษาวจิ ัย/ทดสอบสาธิต) - ระยะเวลาดาเนนิ การ (ปี) ปีท่ีเร่ิมตน้ / สิน้ สดุ - งบประมาณ (บาท) - คณะผ้วู ิจัย (เรยี งช่อื ตามลาดับ หัวหนา้ โครงการ ผู้รว่ มวิจยั และท่ีปรึกษา) - บทคัดยอ่ ฝ่ ายศึกษาและพฒั นาที่ดินของศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาหว้ ยฮอ่ งไคร้อนั เน่ืองมาจากพระราชดาริ อาเภอดอยสะเก็ด จงั หวดั เชียงใหม่ ไดท้ ดสอบประสิทธิภาพของป๋ ุยหมกั กบั พืชเศรษฐกิจโดยการทาป๋ ุยหมกั สูตรต่าง ๆ จากวสั ดุนานาชนิด แลว้ นาไปทดสอบกบั การปลูกพชื ผกั หลายชนิด พบวา่ ป๋ ุยหมกั สูตรต่าง ๆ มีส่วนในการเพ่ิมผลผลิตใหก้ บั ผกั เหลา่ น้นั และ เมื่อใชป้ ๋ ุยหมกั ร่วมกบั มูลสตั วพ์ บวา่ ใหผ้ ลในการเพิ่มผลผลิตในทิศทางเดียวกนั ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ระบบการปลูกพืช การเพ าะป ลู ก พื ช ในปั จจุ บันมี หล ายลักษ ณ ะนับ ต้ ังแต่ก ารป ลู กพื ช เพื่ อการบ ริ โภคใน ครัวเรือนไปจนถึงการเพาะปลูกพืชเพ่ือผลิตเป็ นการคา้ สาหรับเกษตรกรหรือประชาชนทวั่ ไปที่ปลูกเพ่ือ การบริโภคเฉพาะในครัวเรือนน้ันการเพาะปลูกจะเป็ นแบบง่าย ๆ ในลกั ษณะของการปลูกพืชสวนครัว ในขณะท่ีเกษตรกรหรือผูผ้ ลิตพืชเพ่ือการคา้ น้ันจะตอ้ งผลิตพืชในปริมาณมาก และพืชผลที่ไดจ้ ะตอ้ งมี คุณภาพที่ตรงตามความตอ้ งการของตลาด ซ่ึงการท่ีจะเพาะปลูกพืชให้ไดต้ ามปริมาณและคุณภาพดงั กล่าว น้นั สามารถทาได้หลายระบบ ท้งั ระบบเพาะปลูกเชิงเดี่ยวซ่ึงปลูกพืชเพียงชนิดเดียวในแต่ละพ้ืนท่ีหรือ ระบบเพาะปลูกพืชเชิงซ้อนซ่ึงปลูกพืชหลายชนิดในพ้ืนที่เดียวกนั การเพาะปลูกพืชท้งั 2 ระบบดงั กล่าว สามารถจะกระทาไดโ้ ดยวธิ ีเกษตรกรรมแบบพ้นื บา้ นหรือโดยวธิ ีเกษตรกรรมแบบที่ใชเ้ ทคโนโลยเี ขา้ มาช่วย เทคโนโลยีการเกษตรที่กล่าวถึงน้ีมีต้งั แต่เทคโนโลยีระดบั ต่าไปจนถึงเทคโนโลยีระดับสูง ท้งั น้ีการที่ เกษตรกรหรือผูผ้ ลิตพืชจะเลือกใช้ระบบของการเพาะปลูกแบบใดน้นั ข้ึนอยู่กบั ปัจจยั หลายประการ โดยมี ปัจจยั ท่ีเกี่ยวกบั ศกั ยภาพในการผลิตเป็ นหลกั ปัจจยั เหล่าน้ีมีส่วนทาให้เกษตรกรหรือผูผ้ ลิตจาตอ้ งเลือก ระบบการเพาะปลูกใหส้ อดคลอ้ งกบั ขอ้ จากดั ที่มีอยู่

ระบบการเพาะปลูกพืชที่กล่าวถึงขา้ งตน้ ไม่วา่ จะเป็ นระบบใดลว้ นแลว้ แต่มีผลต่อเน่ืองถึง สภาพและสมบตั ิของดินที่ใชใ้ นการเพาะปลูกน้นั ๆ การเพาะปลูกพืชเพ่ือการคา้ มกั จะหลีกเลี่ยงไม่ไดใ้ นการ ที่จะตอ้ งใช้พ้ืนที่เพ่ือการเพาะปลูกแบบซ้าซากต่อเนื่องโดยไม่มีการพกั การใช้ดิน (ภาพท่ี 1) และวิธีการ เพาะปลูกมกั จะเป็ นการเกษตรแบบใชส้ ารเคมีในการเพิ่มธาตุอาหารพืชลงไปในดิน ในการควบคุมศตั รูพืช และในการควบคุมวชั พืชเพื่อที่จะไดผ้ ลผลิตท่ีมีคุณภาพตามความตอ้ งการของตลาด โดยมีจุดประสงค์ใน การใช้สารเคมีเพ่ือเร่งให้ได้ผลผลิตในระยะเวลาอนั ส้ัน (ภาพที่ 2) การเกษตรแบบอนินทรีย์ซ่ึงพ่ึงพา สารเคมีเช่นน้ีเมื่อทาตอ่ เนื่องกนั เป็ นเวลานานในแตล่ ะพ้นื ท่ีจะทาใหส้ ภาพทางกายภาพของดินเลวลง ส่งผล ให้เกิดการสะสมของธาตุอาหารพืชในดินในรูปที่ไม่เป็ นประโยชน์ต่อพืช และ ในบางสภาวะธาตุอาหาร พืชเหล่าน้นั จะอยูใ่ นสภาพท่ีเป็ นพิษ จากน้ันเมื่อธาตุอาหารดงั กล่าวเขา้ ไปอยู่ในตน้ พืชจะเกิดเป็ นพิษต่อ ร่างกายมนุษยไ์ ม่มากกน็ อ้ ยเมื่อมนุษยบ์ ริโภคผลผลิตจากพืชตน้ น้นั เขา้ ไป เมื่อผลิตพืชเป็ นการคา้ ชนิดของพืชเป็ นปัจจยั หน่ึงที่เป็ นตวั กาหนดระบบของการปลูกพืช น้นั ๆ เช่น ในการปลูกพืชไร่ส่วนใหญ่จะปลูกในระบบเชิงเด่ียวและใช้พ้ืนท่ีซ้าอยูเ่ รื่อย ๆ เนื่องจากตอ้ ง ปลูกพืชในปริมาณมากในแต่ละฤดูปลูก จึงทาให้ยากต่อการจดั การถ้าจะเลือกปลูกในระบบเชิงซ้อน ในขณะที่การปลูกพืชสวนสามารถกระทาไดท้ ้งั ในระบบเชิงเดี่ยว เช่น สวนผลไม้ หรือใชร้ ะบบปลูกพืช เชิงซอ้ น เช่น การทาสวนผกั สวนสมุนไพร และ สวนไมด้ อกไมป้ ระดบั ซ่ึงสามารถปลูกพืชเฉพาะกลุ่ม ใดกลุ่มหน่ึงหรือปลูกพืชหลายกลุ่มในพ้ืนที่เดียวกนั แบบการเกษตรผสมผสานโดยท่ีสามารถจะใชร้ ะบบการ ปลูกพืชหมุนเวียนมาปฏิบตั ิร่วมกนั ได้ นอกจากน้ียงั เลือกพืชในกลุ่มไมผ้ ลมาปลูกร่วมกบั พืชอายุส้ันใน ระบบปลูกพชื ผสมผสานไดด้ ว้ ยเช่นกนั ภาพท่ี 4 ภาพท่ี 1 การปลกู พืชเชิงเดย่ี ว

ผลกระทบของระบบการปลูกพืชต่อการรบกวนสภาพของดิน ในเมื่อชนิดของพืชกาหนดระบบการปลูกพืชและระบบการปลูกพืชมีผลต่อการรบกวน สภาพของดินท้งั สภาพทางกายภาพ สภาพทางเคมี และ สภาพทางชีวภาพ ดงั ท่ีกล่าวมาแลว้ น้นั การแกไ้ ข และปรับปรุงเพื่อปรับสภาพของดินให้มีสมบตั ิท่ีเหมาะสมสาหรับการเจริญเติบโตของพืชน้ันจาตอ้ งใช้ วธิ ีการท่ีแตกต่างกนั โดยท่ีแต่ละวธิ ีจะเหมาะสมเฉพาะกบั สภาพแต่ละสภาพของพ้ืนที่และระดบั ของการ รบ ก ว น ส ภ าพ ดิ น เช่ น ใน ก ารป ลู ก พื ช ไ ร่ เศ รษ ฐ กิ จ ไ ด้แ ก่ ข้าว ข้าว โพ ด อ้อ ย ฝ้ าย ภาพที่ 2 การปลกู ผกั ในระบบเกษตรอนนิ ทรีย์ ถวั่ เหลือง ถวั่ เขียว ยาสูบ เป็ นตน้ พืชพวกน้ีใชร้ ะบบการเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยว ใชพ้ ้ืนที่มากในการปลูก อีกท้งั เป็นพืชอายุส้นั จึงปลูกไดห้ ลายรุ่นในแต่ละปี เกษตรกรนิยมใชป้ ๋ ุยเคมีในการเพิ่มธาตุอาหารในดินเพ่ือ การเจริญเติบโตของพืช มีการใชป้ ๋ ุยอินทรียน์ อ้ ยมากจึงเกิดปัญหาใหญ่ในดา้ นการสูญเสียสภาพทางกายภาพ ของดิน และเกิดปัญหาการสะสมธาตุอาหารบางชนิดในดินในรูปท่ีไม่เป็ นประโยชน์ต่อพืช วิธีการแก้ไข ปัญหาน้ีจึงอยทู่ ี่การเพิ่มอินทรียวตั ถุลงไปในดินเพื่อให้ดินคืนความร่วนซุย อุม้ น้าดีข้ึน และลดการสะสมธาตุ อาหารช่วยใหธ้ าตุอาหารในดินอยูใ่ นรูปท่ีเป็นประโยชนต์ ่อตน้ พืช ในขณะที่เกษตรกรในบางพ้ืนท่ีใชว้ ธิ ีการ ปลูกพืชบารุงดินเพื่อให้เป็ นป๋ ุยพืชสดสลับกับการปลูกพืชไร่เศรษฐกิจซ่ึงนับได้ว่าเป็ นวิธีการท่ีมี ประสิทธิภาพในการเพมิ่ อินทรียวตั ถุลงไปในดินอีกวธิ ีหน่ึง สาหรับการปลูกพชื เศรษฐกิจในกลุ่มพืชสวนน้นั การปลูกในระบบเชิงเดี่ยวในพ้ืนที่ผนื ใหญ่ เช่น การปลูกไมผ้ ลเศรษฐกิจชนิดตา่ ง ๆ มีความแตกต่างในรายละเอียดของการเพาะปลูก เช่น ขนาด และ ทรงตน้ ของไมผ้ ล เป็ นตวั กาหนดระยะปลูกและวธิ ีการจดั การในการปฏิบตั ิและดูแลตน้ พืช เช่น ถา้ เป็ นไม้ ผลที่เป็ นพุ่มเต้ีย ตน้ ไม่มีทรงพุ่มหรือทรงพุ่มขนาดเล็ก เช่น สับปะรด จะมีวิธีการปลูกเล้ียงในลกั ษณะ เดียวกบั พืชไร่ และใชว้ ิธีการปรับปรุงบารุงดินวิธีเดียวกนั ส่วนไมผ้ ลท่ีมีทรงพุ่มเล็กหรือมีลาตน้ ก่ิงกา้ นแบบ เล้ือยเกาะข้ึนคา้ งจะสามารถปลูกโดยใช้ระยะห่างไดบ้ า้ ง ทาให้การเพ่ิมอินทรียวตั ถุโดยการใช้ป๋ ุยอินทรีย์

สะดวกและเป็ นท่ีถือปฏิบตั ิไดม้ ากกวา่ เช่นเดียวกบั การปลูกเล้ียงไมผ้ ลขนาดใหญ่ มีผลให้สภาพของดินใน พ้ืนท่ีของสวนเศรษฐกิจเหล่าน้ีถูกรบกวนน้อยกวา่ ดินในพ้ืนที่ท่ีปลูกพืชเศรษฐกิจที่เป็ นพืชไร่หรือพืชสวน ขนาดเล็ก ในส่วนของการปลูกพืชในระบบเกษตรผสมผสานน้นั เนื่องจากระบบน้ีมีการปลูกพืชหลาย ชนิดหลายขนาดอยใู่ นพ้ืนท่ีเดียวกนั นอกจากน้ียงั มีการเล้ียงสัตวค์ วบคู่ไปดว้ ย ทาใหเ้ กษตรกรเจา้ ของสวนมี วสั ดุอินทรียห์ ลากหลายในการนามาใชท้ าป๋ ุยอินทรียจ์ ึงมีโอกาสที่จะเพิ่มอินทรียวตั ถุในดินท่ีปลูกพชื มากกวา่ ส่งผลใหเ้ ป็นสวนท่ีสภาพของดินถูกรบกวนนอ้ ยกวา่ ดินในพ้ืนที่เกษตรแบบอ่ืน ๆ การปลูกพืชเศรษฐกิจประเภทพืชผกั หรือการทาสวนผกั ในปัจจุบนั มีวิธีการปลูกหลาย รูปแบบ ดว้ ยเหตุท่ีพืชผกั เป็ นพืชท่ีมีอายุส้ันดงั น้นั การปลูกผกั ส่วนใหญ่ยงั คงเป็ นการปลูกผกั แบบพ่ึงพา สารเคมีซ่ึงใหผ้ ลผลิตสูงและผลผลิตมีคุณภาพ สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไดเ้ ร็ว แตก่ ารเพาะปลูกแบบน้ีจะทาให้ เกิดพิษตกคา้ งในผลผลิตค่อนขา้ งสูง (ภาพท่ี 3-6) และก่อมลภาวะให้กบั สิ่งแวดลอ้ ม รวมท้งั เกิดการรบกวน คุณสมบตั ิของดินไดม้ ากอีกดว้ ย สาหรับการปลูกผกั แบบเกษตรอินทรีย(์ ภาพท่ี 7) หรือก่ึงอินทรียน์ ้นั มีปฏิบตั ิ กนั มานานแลว้ แต่ไม่กวา้ งขวางท้งั ๆ ที่เป็ นระบบการเพาะปลูกพืชท่ีเป็ นมิตรกบั ส่ิงแวดลอ้ มและช่วยอนุรักษ์ สมบตั ิของดิน ท้งั น้ีเน่ืองจากวา่ การผลิตผกั แบบเกษตรอินทรียห์ รือก่ึงอินทรียด์ งั กล่าวให้ผลผลิตต่ากวา่ การ ผลิตแบบเกษตรนินทรียห์ รือเกษตรเคมี ลกั ษณะภายนอกของผลผลิตก็ดูจะมีคุณภาพต่ากวา่ (ภาพที่ 8) อีก ท้งั ตน้ พืชเจริญเติบโตและให้ผลผลิตชา้ กวา่ (ภาพที่ 9) แตอ่ ยา่ งไรก็ตามสถานการณ์การปลูกผกั เพ่ือการคา้ ได้ เริ่มเปล่ียนแปลงไปจากเดิมซ่ึงเป็ นการปลูกผกั แบบเกษตรอนินทรีย์ เน่ืองจากผูบ้ ริโภคผกั บางส่วนซ่ึงเป็ นผู้ ไดร้ ับขอ้ มูลข่าวสารเก่ียวกบั ผลเสียทางสุขภาพที่เกิดจากการบริโภคผลผลิตทางการเกษตรที่มีการแปดเป้ื อน ของสารเคมีจากการผลิตในระบบเกษตรอนินทรียไ์ ดห้ ันมาบริโภคพืชผกั จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ เพ่ิมมากข้ึนแมว้ ่าราคาของพืชผลจากเกษตรอินทรียจ์ ะสูงกว่าก็ตาม จึงทาให้การปลูกผกั เศรษฐกิจแบบ เกษตรอินทรียห์ รือก่ึงอินทรียม์ ีการปฏิบตั ิใชม้ ากข้ึนในกลุ่มเกษตรกรผปู้ ลูกผกั เป็นการคา้ ภาพที่ 3 การเกษตรทใ่ี ช้เทคโนโลยี

ภาพท่ี 4 การปลูกผกั ทพ่ี ง่ึ พาสารเคมใี นการกาจดั ศัตรูพืช ภาพท่ี 5 การปลูกพืชในโรงเรือนและใช้สารเคมใี นการปรับปรุงผลผลติ

ภาพท่ี 6 มะเขือเทศทปี่ ลูกโดยระบบเกษตรอนนิ ทรีย์ ภาพท่ี 7 การปลูกพืชแบบเกษตรอนิ ทรีย์

ภาพท่ี 8 พืชผกั อนิ ทรีย์ ภาพที่ 9 การปลูกพืชผสมผสานระบบเกษตรอนิ ทรีย์

พืชผกั เศรษฐกิจชนิดต่าง ๆ ท่ีเกษตรกรปลูกกันในปัจจุบนั มกั จะเป็ นผกั ที่เป็ นสายพนั ธุ์ การคา้ ซ่ึงไดร้ ับการคดั เลือกและปรับปรุงพนั ธุ์ใหเ้ ป็ นพนั ธุ์ท่ีเจริญเติบโตเร็วและตอบสนองดีต่อการให้ธาตุ อาหารในรูปของป๋ ุยเคมี ดงั น้นั ในการปลูกผกั แต่ละชนิดเกษตรกรจึงตอ้ งใส่ป๋ ุยให้กบั ผกั ท่ีปลูกเป็ นระยะ ๆ เริ่มต้งั แต่ระยะตน้ กลา้ ระยะหลงั จากการยา้ ยปลูก ไปจนถึงระยะที่เก็บเก่ียว ยง่ิ ตน้ พืชผกั ท่ีปลูกเป็ นชนิดที่ ใช้เวลายาวนานกว่าจะถึงระยะเก็บเก่ียว เช่น ผกั ที่ใช้รับประทานดอก ผล หรือ หัว ตัวอย่างเช่น กระหล่าดอก บล็อกโคล่ี มะเขือเทศ แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว หอมหัวใหญ่ มนั ฝรั่ง เป็ นตน้ จะใช้ เวลานานกวา่ ผกั ที่ใชใ้ บ เช่น ผกั กาดต่าง ๆ คะนา้ ค่ืนช่าย เป็ นตน้ ดงั น้นั ในการเร่งใหต้ น้ ผกั เจริญเติบโต เร็วข้ึนจึงตอ้ งมีการใส่ป๋ ุยเคมีในปริมาณที่มากและบ่อยคร้ังตามชนิดของพืชไปดว้ ย ทาให้การรบกวนสภาพ และสมบตั ิของดินในสวนผกั เป็ นปัญหาท่ีหลีกเลี่ยงไดย้ าก ถึงแมว้ า่ เกษตรกรบางกลุ่มจะมีการใชป้ ๋ ุยอินทรีย์ เป็ นคร้ังคราวหรือร่วมไปกบั การใชป้ ๋ ุยเคมีก็ตาม แต่ในที่สุดเม่ือมีความจาเป็ นในการเร่งผลผลิตให้เก็บเกี่ยว ไดเ้ ร็วข้ึนกจ็ ะมีการใชป้ ๋ ุยเคมีนาป๋ ุยอินทรียอ์ ยเู่ สมอ การใช้ป๋ ยุ อนิ ทรีย์ในการเกษตรและข้อได้เปรียบของการใช้ อยา่ งไรก็ตามปัจจุบนั มีเกษตรกรสวนผกั รายยอ่ ยที่ไดป้ รับวิธีการและระบบการปลูกผกั มา เป็ นระบบเกษตรผสมผสานและใชป้ ๋ ุยเคมีนอ้ ยลง และท่ีเกษตรกรบางรายไดเ้ ปล่ียนระบบการปลูกมาเป็ น การปลูกผกั แบบเกษตรอินทรียโ์ ดยสิ้นเชิง (ภาพที่ 10 และ 11) หลงั จากท่ีพบวา่ มีรายไดเ้ พ่ิมข้ึนในแต่ละปี เม่ือเปล่ียนระบบการปลูก ซ่ึงรายไดท้ ่ีเพิ่มข้ึนน้นั ไม่ไดเ้ กิดจากการเพ่ิมผลผลิตหรือการใช้เวลาในการผลิต น้อยลง แต่เป็ นการเพ่ิมที่เกิดข้ึนจากการขายผลผลิตต่อหน่วยไดร้ าคาดีกว่าผลผลิตของผกั จากการปลูกใน ระบบเกษตรอนินทรีย์ และนอกเหนือจากน้นั คือมีการลดค่าใช้จ่ายที่ตอ้ งซ้ือป๋ ุยเคมีราคาแพงมาใส่ให้กบั พืชผกั เนื่องจากป๋ ุยอินทรียท์ ี่ใชใ้ ส่ใหก้ บั ตน้ ผกั น้นั เป็ นป๋ ุยอินทรียท์ ี่เกษตรกรสามารถจะหามาหรือผลิตข้ึนใชเ้ อง โดยเป็ นป๋ ุยอินทรียช์ นิดป๋ ุยคอกซ่ึงไดจ้ ากมูลของสัตวเ์ ล้ียงของเกษตรกร หรือไดม้ าจากป๋ ุยหมกั ที่เกษตรกร ทาข้ึนมาเองจากเศษวสั ดุอินทรียอ์ นั ไดแ้ ก่เศษซากของตน้ พืชผกั หรือจากเศษซากหลงั การเก็บเก่ียวผลผลิต ตลอดจนจากเศษวชั พืชที่กาจดั มาจากแปลงปลูกผกั หากแต่วา่ ปัญหาท่ีเกษตรกรมกั จะพบเมื่อเปลี่ยนระบบการปลูกผกั และเปล่ียนวธิ ีการใส่ป๋ ุย ผกั จากการใชป้ ๋ ุยเคมีเป็ นการใส่ป๋ ุยอินทรียก์ ็คือผลผลิตของผกั ลดลง ซ่ึงเป็ นเพราะวา่ ป๋ ุยอินทรียป์ ลดปล่อยธาตุ อาหารพืชออกมาชา้ ๆ จึงทาให้พืชผกั เจริญเติบโตช้าและให้ผลผลิตต่าในปี แรก ๆ ของการใชป้ ๋ ุย ดว้ ยเหตุน้ี จึงทาให้เกษตรกรลงั เลที่จะเปลี่ยนวธิ ีการปลูกผกั เป็ นแบบผกั อินทรีย์ แต่ถา้ เกษตรกรมีความอดทนเพียงพอ เกษตรกรก็จะเห็นผลในระยะยาวที่เกิดจากขอ้ ไดเ้ ปรียบของการเพาะปลูกพืชแบบเกษตรอินทรียแ์ ละผลดีท่ี เกิดข้ึนน้นั จะเป็นผลดีท่ีมนั่ คง

ภาพที่ 10 ปลูกผกั อนิ ทรีย์ให้ผลผลติ ดเี มื่อปฏบิ ตั เิ ป็ นเวลานาน ภาพที่ 11 เกษตรกรเร่ิมสนใจมาเรียนรู้การปลกู ผกั อนิ ทรีย์

การใชป้ ๋ ุยอินทรียถ์ า้ ใชใ้ นรูปของป๋ ุยหมกั แลว้ นอกจากจะใหผ้ ลดีในการช่วยปรับปรุงสภาพ ทางกายภาพของดิน ยงั เป็ นการเพ่ิมธาตุอาหารให้กบั ดินโดยตรง ถึงแมจ้ ะไดใ้ นปริมาณท่ีมากไม่เท่ากบั ป๋ ุยเคมีแต่ก็จะปลดปล่อยธาตุอาหารให้เป็ นประโยชน์ต่อพืชปลูกไดเ้ ป็ นระยะยาว ดว้ ยเหตุท่ีป๋ ุยหมกั เป็ นป๋ ุย อินทรียท์ ี่ทาข้ึนจากวสั ดุเศษพืชและมูลสัตว์ ดงั น้นั จึงมีธาตุอาหารหลกั และธาตุอาหารรองค่อนขา้ งครบถว้ น ท่ีพืชจะนาไปใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงธาตุอาหารสาคญั ที่พืชตอ้ งการในปริมาณน้อย เช่น เหล็ก ทองแดง สังกะสี โมสิบดินัม และ อ่ืนๆ นอกจากน้ียงั เป็ นท่ีทราบกนั ดีว่าป๋ ุยหมกั เป็ นวสั ดุอินทรียท์ ่ีมี ความสามารถในการแลกเปล่ียนประจุบวก (CEC) ค่อนขา้ งสูง ดงั น้นั ถา้ หากในดินปลูกมีการใส่ป๋ ุยเคมีและ ป๋ ุยหมกั รวมกนั ป๋ ุยหมกั จะมีส่วนช่วยให้ป๋ ุยเคมีบางชนิดที่อยู่ในรูปของประจุบวกไม่สูญเสียไปกบั การ ชะลา้ งของน้า โดยการดูดยึดธาตุอาหารประจุบวกที่มีจากป๋ ุยเคมีน้ันไวใ้ ห้เป็ นประโยชน์แก่พืชไดเ้ ต็มท่ี ทาใหไ้ ม่ตอ้ งใชป้ ๋ ุยเคมีในปริมาณที่มากจนเกินความจาเป็ น ทาใหเ้ ป็ นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของป๋ ุยเคมี ในการให้ธาตุอาหารในรูปท่ีเป็ นประโยชน์กบั พืช นอกจากน้ีในบางกรณีป๋ ุยหมกั ยงั ช่วยลดความเป็ นพิษที่เกิด จากการมีธาตุอาหารบางชนิดในดินในปริมาณมาก เช่น การใส่ป๋ ุยหมกั ในดินกรดสามารถช่วยลดความเป็นพิษ ของอะลูมินมั และแมงกานีส โดยการดูดยดึ ธาตุท้งั 2 ชนิดน้ีไวท้ าใหล้ ะลายในดินไดน้ ้อยลง อีกประการหน่ึง การใชป้ ูนร่วมกบั ป๋ ุยอินทรียจ์ ะสามารถลดความเป็ นพษิ ของอะลูมินมั และแมงกานีสไดด้ ีท่ีสุด ทาใหพ้ ืชที่ปลูก มีผลผลิตสูงข้ึน และดว้ ยเหตุน้ีอีกเช่นกนั ท่ีป๋ ุยหมกั มีส่วนในการทาใหเ้ พม่ิ ความตา้ นทานการเปลี่ยนแปลงความ เป็นกรดเป็นด่างของดินทาใหก้ ารเปลี่ยนแปลง ph ในดินไม่รวดเร็วจนเกินไปจนเป็ นอนั ตรายต่อพืชปลูก ในการปลูกผกั เพื่อการคา้ น้นั เกษตรกรผปู้ ลูกผกั จะทราบดีวา่ พืชผกั ส่วนใหญ่เป็นพืชท่ีมีอายสุ ้ัน แต่ตอ้ งการการดูแลเอาใจใส่อยา่ งใกลช้ ิด ตน้ ทุนในการปลูกผกั ค่อนขา้ งสูงโดยเฉพาะตน้ ทุนในส่วนที่เป็ นป๋ ุย เพราะพืชผกั แต่ละชนิดลว้ นแต่ดูดธาตุอาหารไปจากดินในฤดูปลูกหน่ึง ๆ ในอตั ราที่ค่อนขา้ งสูง ถา้ หากไม่มี การใส่ป๋ ุยหรือการเพ่ิมธาตุอาหารให้กบั ดินแลว้ พืชผกั ที่ปลูกลงไปในดินในแต่ละรุ่นจะทาให้ดินเส่ือมความ อุดมสมบูรณ์ได้โดยรวดเร็ว พืชผกั ส่วนใหญ่มีระบบรากต้ืน สามารถเจริญเติบโตได้ในดินเกือบทุกชนิด ต้งั แต่ดินทราย ดินร่วน ไปจนถึงดินเหนียว แต่ดินท่ีเหมาะสมกบั การปลูกผกั คือดินร่วนที่มีการะบายน้าและ การถ่ายเทอากาศดี มีความอุดมสมบูรณ์คอ่ นขา้ งสูง และมี ph เป็นกรดเล็กนอ้ ยจนถึงเป็ นกลาง (ตารางที่ 1) ตารางท่ี 1 ความเป็ นกรดเป็ นด่าง (ph) ของดนิ ทเี่ หมาะสมกบั การเจริญเตบิ โตของพืชผกั ชนดิ ต่าง ๆ ชนิดของผกั ph หน่อไมฝ้ ร่ัง 6.0-8.0 กระหล่าปลี ถวั่ ลนั เตา แตงเทศ ปวยเลง้ ฟัก 6.0-7.5 กระหล่าดอก กยุ ช่าย ค่ืนช่าย ผกั กาดหวั ผกั สลดั หอมตน้ หอมหวั ใหญ่ 6.0-7.0 5.5-7.5 ขา้ วโพดหวาน ฟักทอง มะเขือเทศ 5.5-7.0 แครอท แตงกวา ถวั่ แขก พริก 5.5-6.5 มะเขือ แตงโม 4.5-6.5 มนั ฝรั่ง

การใช้ธาตอุ าหารในดนิ ของพืชผกั การดูดใชธ้ าตุอาหารของพืชผกั แต่ละชนิดแตกต่างกนั ไป แมแ้ ต่พชื ผกั ในกลุ่มเดียวกนั ก็ยงั ดูด ใชธ้ าตุอาหารในดินในปริมาณท่ีแตกต่างกนั นอกจากน้ีการดูดใช้ธาตุอาหารในฤดูกาลต่าง ๆ ก็ยงั แตกต่างกนั อีกด้วย ดงั ท่ีได้มีการศึกษาเกี่ยวกบั ปริมาณธาตุอาหารท่ีพืชผกั แต่ละชนิดดูดไปจากดินในฤดูปลูกฤดูหน่ึง เพื่อที่จะไดเ้ ป็ นขอ้ มูลซ่ึงสามารถนาไปใชเ้ พ่ือเป็ นแนวทางในการพิจารณาเก่ียวกบั การเพ่ิมธาตุอาหารลงไปใน ดินใหเ้ พียงพอ เพ่ือเป็ นการทดแทนธาตุอาหารที่สูญเสียไปจากการนาไปใชข้ องตน้ พืชผกั เหล่าน้นั ซ่ึงขอ้ มูลที่ มีการศึกษาและเผยแพร่มาน้ันสามารถนามาใช้เป็ นขอ้ มูลตวั อย่างได้ เช่น พืชผกั ที่เป็ นใบบางชนิดได้แก่ กระหล่าปลีพนั ธุ์หนกั ดูดใชธ้ าตุอาหารหลกั คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โปแตสเซียม ในฤดูปลูกหน่ึง ๆ ในปริมาณค่อนขา้ งสูง คือประมาณ 11, 2 และ 24 กิโลกรัม/ไร่ ตามลาดบั ในขณะที่ผกั บุง้ จีนดูดใช้ธาตุอาหาร ดงั กล่าวน้อยกวา่ มากคือดูดใช้เพียง 2, 0.5 และ 6 กิโลกรัม/ไร่ ตามลาดบั โดยประมาณ (ตารางท่ี 2) และ ใน พืชผกั ท่ีเป็ นรากหรือลาตน้ แปรรูปและผลจะดูดใช้ธาตุอาหารหลักท้งั 3 ชนิดค่อนข้างต่าเมื่อเปรียบเทียบกบั พืชผกั ท่ีใชล้ าตน้ และใบเป็ นอาหารอีกหลายชนิด (ตารางที่ 3) ส่วนผกั กาดหวั น้นั แมว้ ่าจะเป็ นพืชผกั ที่เป็ นรากก็ ตามแต่ก็เป็ นพืชผกั ที่ดูดใชธ้ าตุอาหารค่อนขา้ งมาก คือ 33, 7 และ 67 กิโลกรัม/ไร่ ตามลาดบั ท้งั น้ีเป็ นเพราะวา่ ผกั กาดหวั เป็นพืชผกั ที่อยูใ่ นวงศก์ ระหล่าซ่ึงพืชในวงศน์ ้ีส่วนใหญ่ดูดใชธ้ าตุอาหารในดินเป็ นจานวนมากอยแู่ ลว้ ในการปลูกแต่ละคร้ัง ดงั เห็นไดจ้ ากการดูดใชธ้ าตุอาหารของกระหล่าปลี กระหล่าดอก คะนา้ และ ผกั กาดขาว เป็ นตน้ ตารางท่ี 2 ผลผลติ นา้ หนกั สดนา้ หนักแห้งและปริมาณธาตุอาหารทพี่ ืชผกั บางชนดิ ดูดไปจากดนิ ในการปลูกหนง่ึ ฤดูปลูก ชนิดพืช ส่วนของพชื ผลผลิตเฉลี่ย (กก/ไร่) ไนโตรเจน ปริมาณธาตุอาหารท่ีตน้ พืชดูดไปใช้ (กก/ไร่) กามะถนั กระเทยี มใบ พืชท้งั ตน้ น้าหนกั สด น้าหนกั แหง้ 5.61 ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม 1.30 กระหล่าดอกพนั ธุ์เบา ส่วนเหนือดิน 1,300 148.88 11.27 2.13 กระหล่าดอกพนั ธุ์ ส่วนเหนือดิน 1,200 352.10 15.75 1.03 6.67 1.63 0.59 3.36 ส่วนเหนือดิน 1,700 394.93 8.10 2.00 21.40 5.98 1.31 2.62 หนกั ส่วนเหนือดิน 2,200 262.90 10.95 2.45 24.83 4.71 2.35 0.75 กระหล่าปลีพนั ธุเ์ บา ส่วนเหนือดิน 3,000 355.15 3.95 1.55 15.40 3.95 1.52 0.51 กระหล่าปลีพนั ธุ์หนกั ส่วนเหนือดิน 600 89.27 8.81 2.23 23.98 2.66 1.51 1.73 1,500 188.60 3.81 0.73 6.11 0.99 0.40 1.30 กุยชา่ ย พืชท้งั ตน้ 1,200 128.56 6.27 1.04 12.36 1.97 0.98 1.33 คะนา้ ใบ ส่วนเหนือดิน 2,200 186.59 1.15 0.88 9.26 2.99 0.63 0.28 ค่ืนชา่ ย ส่วนเหนือดิน 600 29.12 2.57 1.35 19.10 2.68 0.82 0.29 ชุนช่าย 900 58.34 8.17 0.22 3.28 0.19 0.11 1.20 ต้งั โอ๋ พืชท้งั ตน้ 1,700 167.09 7.24 0.47 6.13 0.76 0.41 1.16 ปวยเลง้ ส่วนเหนือดิน 2,000 140.15 9.10 1.60 15.53 3.17 0.65 3.35 ผกั กาดขาว ส่วนเหนือดิน 3,000 190.24 2.86 1.21 12.55 2.40 1.08 0.29 ผกั กาดขาวปลี สวนเหนือดิน 900 62.36 2.88 1.67 22.00 7.50 1.44 0.31 ผกั กาดเขียวปลี 800 70.41 2.22 0.49 4.97 0.90 0.42 0.32 ผกั กาดหอม พืชท้งั ตน้ 1,100 88.63 2.36 0.40 6.91 0.49 0.31 0.35 พืชท้งั ตน้ 900 74.78 2.88 0.50 5.83 1.47 0.28 0.18 ผกั ชี พืชท้งั ตน้ 950 70.14 0.25 4.22 1.27 1.11 ผกั บงุ้ จีน พืชท้งั ตน้ 0.54 2.34 0.50 0.20 หอมกินตน้ ส่วนเหนือดิน หอมแดง

ตารางที่ 3 ผลผลติ นา้ หนักแห้งและปริมาณธาตอุ าหารทพี่ ืชผกั รับประทานรากหรือผลบางชนิดดูดไปจาก ดนิ ในหนงึ่ ฤดูปลูก ชนิดพชื ส่วนของพชื ผลผลิตเฉล่ีย (กก/ไร่) ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ปริมาณธาตุอาหาร (กก/ไร่) แมกนีเซียม กามะถนั แตงกวา ผล น้าหนกั สด น้าหนกั แห้ง 2.40 0.50 โปแตสเซียม แคลเซียม 0.27 0.37 ถว่ั แขก ฝัก 1,600 64.80 2.88 0.54 0.20 0.18 ถวั่ ฝักยาว ฝัก 850 70.14 5.17 0.72 4.55 0.47 0.43 0.30 ถวั่ ลนั เตา ฝัก 1,200 111.32 3.72 0.22 2.34 0.50 0.17 0.29 ผกั กาดหวั พืชท้งั ตน้ 650 87.23 33.44 6.70 4.06 0.59 3.25 6.40 บวบเหล่ียม ผล 1.10 0.24 0.42 0.64 0.10 0.09 พริกข้ีหนู ผลและกา้ นผล 3,500 ** 3.26 0.52 66.61 25.37 0.25 0.31 พริกช้ีฟ้า ผลและกา้ นผล 2.18 0.41 2.19 0.03 0.31 0.25 พริกยกั ษ์ ผลและกา้ นผล 800 40.62 3.19 0.64 4.62 0.34 0.20 0.26 พริกหยวก ผลและกา้ นผล 1,000 101.30 2.15 0.29 2.77 0.19 0.11 0.16 ฟักเขียว ผลและกา้ นผล 450 95.87 1.83 0.33 6.34 0.16 0.81 0.21 ฟักทอง ผลและกา้ นผล 600 109.22 3.57 1.10 3.02 0.10 0.42 0.38 มะเขือเจา้ พระยา ผลและกา้ นผล 650 53.97 5.52 1.17 2.43 0.15 0.45 0.51 มะเขือเทศผลเลก็ ผลและกา้ นผล 500 60.16 2.94 0.50 10.50 0.56 0.27 0.23 มะเขือเทศผลใหญ่ ผลและกา้ นผล 2,000 138.12 2.31 0.42 11.38 1.54 0.17 0.19 มะเขือเปราะ ผลและกา้ นผล 2,000 246.20 4.13 1.13 5.02 0.33 0.32 0.44 มะเขือพวง ผลและกา้ นผล 900 91.79 3.22 0.77 5.36 0.11 0.42 0.31 มะเขือยาว ผลและกา้ นผล 1,350 81.62 1.85 0.34 10.69 0.27 0.12 0.17 มะระ ผลและกา้ นผล 2,500 178.13 2.40 0.53 5.71 1.11 0.27 0.23 700 158.25 3.46 0.19 750 63.79 5.03 0.27 1,200 70.43 การตอบสนองต่อธาตอุ าหารหลกั ของพืชผกั การตอบสนองตอ่ ธาตุอาหารหลกั ในดินของตน้ พืชผกั แตกต่างกนั ไปตามชนิดของพืช การ ทราบถึงการตอบสนองต่อธาตุอาหารของพืชชนิดต่าง ๆ จะช่วยในการวางแผนการใส่ป๋ ุยในปริมาณที่พอเหมาะ ลงไปในดินที่ปลูกพืชแต่ละชนิดได้ซ่ึงการตอบสนองที่กล่าวถึงน้ีก็ตอ้ งมีการศึกษาเป็ นอยา่ ง ๆ ไป สาหรับ พืชผกั ประเภทที่ใชร้ ับประทานตน้ และใบ ส่วนใหญ่แลว้ จะเป็ นพืชกลุ่มใหญ่และอยใู่ นวงศก์ ระหล่าเสียหลาย ชนิด เช่น กระหล่าต่าง ๆ บร็อคโคลี่ คะนา้ และ ผกั กาดขาวเป็นตน้ พืชผกั ประเภทน้ีจะตอ้ งไดร้ ับการปลูก เล้ียงในลกั ษณะท่ีให้ตน้ และใบเจริญเติบโตเต็มท่ีเพื่อจะไดผ้ ลผลิตสูงมีใบและ/หรือตน้ ที่มีคุณภาพดี ซ่ึงธาตุ อาหารหลกั ที่จาเป็ นสาหรับการเจริญเติบโตดงั กล่าวคือธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โปแตสเซียม ผกั ท่ีใช้ ใบเหล่าน้นั เม่ือไดร้ ับป๋ ุยซ่ึงให้ไนโตรเจนแก่ตน้ พืชในปริมาณท่ีมากเพียงพอจะทาใหใ้ บของผกั เหล่าน้นั มีขนาด ใหญ่และมีสีเขียวเขม้ แต่ความตอ้ งการในโตรเจนของพืชก็มีเพียงระดบั หน่ึงเท่าน้ัน ซ่ึงถา้ ได้รับมากกว่า ระดบั น้นั ก็จะไมท่ าใหผ้ ลผลิตเพมิ่ มากข้ึน และในบางคร้ังอาจจะทาใหผ้ ลผลิตลดลงกวา่ เดิมก็เป็นได้ พืชผกั ใชใ้ บหรือตน้ จะตอบสนองต่อธาตุไนโตรเจนมากกวา่ ฟอสฟอรัสและโปแตสเซียม เนื่องจากวา่ พชื ผกั พวกน้ี ตอ้ งการไนโตรเจนค่อนขา้ งสูงประกอบกบั พ้ืนท่ีท่ีใช้ปลูกพืชผกั ส่วนใหญ่น้ันปริมาณอินทรียวตั ถุในดิน มกั จะลดลงเร่ือย ๆ เม่ือใชพ้ ้นื ท่ีน้นั ซ้าแลว้ ซ้าเล่า โดยไม่มีการปรับปรุงใหด้ ินมีอินทรียวตั ถุเพ่ิมข้ึน

สาหรับพืชผกั ท่ีปลูกเพ่ือรับประทานผลหรือใชผ้ ล เช่น มะเขือต่าง ๆ มะเขือเทศ แตงต่าง ๆ และ พริก น้นั การตอบสนองต่อธาตุอาหารหลัก 3 ธาตุไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก แต่โดยท่ัวไปก็ยงั ต้องการธาตุ ไนโตรเจนในระดบั หน่ึงเช่นกนั โดยเฉพาะในระยะแรกของการเจริญเติบโตจนกระทง่ั ระยะเร่ิมออกดอก ส่วนธาตุฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมน้นั พืชผกั ในกลุ่มน้ีก็ตอ้ งการมากเช่นกนั โดยเฉพาะถา้ ปลูกในดิน ทราย นอกจากน้ีโปแตสเซียมจะมีส่วนช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของผลผลิตให้ดีข้ึนไดด้ ว้ ย ในขณะท่ี พืชผกั ท่ีปลูกเพื่อรับประทานหัว เช่น กระเทียม มนั เทศ มนั ฝรั่ง หอมแดง และ หอมหัวใหญ่ น้ันก็ ต้องการในโตรเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะในระยะแรก ๆ ของการเจริญเติบโตของต้นพืช ส่วนการ ตอบสนองต่อฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมไม่ค่อยเด่นชดั นัก ยกเวน้ เมื่อปลูกในดินท่ีมีธาตุท้งั 2 ชนิดใน ระดบั ต่า จากที่กล่าวมาขา้ งตน้ จะเห็นวา่ ในการปลูกพืชผกั น้นั ธาตุอาหารหลกั ท่ีพืชผกั ตอ้ งการใน ปริมาณมาก คือ ธาตุไนโตรเจน ซ่ึงการเพ่ิมปริมาณธาตุอาหารชนิดน้ีลงไปในดินถา้ เพิ่มในปริมาณมาก เกินไปพืชก็ไม่ไดน้ าไปใชเ้ กินกวา่ ระดบั ท่ีพืชตอ้ งการ ทาให้เกิดการสิ้นเปลืองในการใชป้ ๋ ุยไนโตรเจนใน ระดบั ที่มากเกินความจาเป็ น กรณีน้ีเกิดข้ึนไดบ้ ่อยคร้ังถา้ หากเกษตรกรใช้ป๋ ุยไนโตรเจนในรูปของป๋ ุยเคมี ซ่ึงนอกจากจะทาให้การลงทุนในการซ้ือป๋ ุยมาใส่ให้กบั พืชผกั ในปริมาณท่ีมากเกินพอแลว้ ไนโตรเจนในดิน จากป๋ ุยเคมีเม่ือเกิดมีการสะสมมากเกินไปในระดบั หน่ึงไนโตรเจนที่พืชดูดไปจากดินจะอยใู่ นรูปท่ีเป็นภยั ต่อ ร่างกายมนุษยเ์ มื่อบริโภคผกั เหล่าน้นั เขา้ ไป โดยเฉพาะผกั ที่ใช้ใบมารับประทาน ดงั น้นั ถา้ หากเกษตรกรผู้ ปลูกผกั เปล่ียนมาใช้ป๋ ุยอินทรีย์ในแปลงผกั แทนก็จะช่วยให้ลดปัญหาดังกล่าวไดแ้ ละนอกจากน้ียงั ช่วย ปรับปรุงบารุงดินใหม้ ีสภาพทางกายภาพและชีวภาพดีข้ึนอีกดว้ ย อีกประการหน่ึงการปลดปล่อยธาตุอาหาร จากป๋ ุยอินทรียโ์ ดยเฉพาะในประเภทป๋ ุยหมกั น้นั เป็ นการปลดปล่อยออกมาอยา่ งชา้ ๆ แต่ปลดปล่อยออกมา เรื่อย ๆ ทาให้ดินมีธาตุอาหารพืชท่ีอยู่ในรูปที่เป็ นประโยชน์ต่อพืชได้เป็ นเวลายาวนาน ไม่ต้องใส่ป๋ ุย บอ่ ยคร้ัง การกาหนดปริมาณการใส่ป๋ ยุ อนิ ทรีย์ การกาหนดปริมาณของป๋ ุยหมกั ท่ีใส่ลงไปในดินตอ้ งใชข้ อ้ มูลเก่ียวกบั ปริมาณธาตุอาหารหลกั ที่ มีอยูใ่ นดินน้นั ๆ รวมถึงความตอ้ งการธาตุอาหารของพืชมาพิจารณาดว้ ย โดยทวั่ ไปแลว้ ป๋ ุยหมกั ควรมีธาตุอาหาร หลกั ของพืช ไดแ้ ก่ ไนโตรเจนระหวา่ ง 1.0-1.5% ฟอสฟอรัสประมาณ 0.44% และ โปแตสเซียมประมาณ 1.25% โดยน้าหนกั นนั่ คือถา้ ป๋ ุยหมกั หนกั 1 ตนั (น้าหนกั แห้ง) จะมีปริมาณไนโตรเจน 10-15 กิโลกรัม ฟอสฟอรัส 4.4 กิโลกรัม และ โปแตสเซียม 12.5 กิโลกรัม โดยประมาณ แต่โดยมากป๋ ุยหมกั ที่ใช้กันทัว่ ไปจะมีความช้ืน แตกต่างกนั มกั จะอยู่ในช่วง 35-40 % (โดยน้าหนัก) ดงั น้นั ปริมาณธาตุอาหารพืชดงั กล่าวจึงตอ้ งลดลงตาม ส่วน คือ ถ้าป๋ ุยหมกั มีความช้ืน 35% (โดยน้าหนัก) จะมีไนโตรเจน 6.5-9.75 กิโลกรัม ฟอสฟอรัส 2.80 กิโลกรัม และ โปแตสเซียม 8.13 กิโลกรัม ตามลาดบั ปริมาณธาตุอาหารหลกั ของพืชที่มีอยูใ่ นป๋ ุยหมกั ตามที่กล่าวถึงน้ีไม่ไดเ้ ป็ นประโยชน์ต่อพืชทนั ทีท้งั หมด บางส่วนพืชสามารถนาไปใช้ในการเจริญเติบโต

โดยตรง แต่ส่วนที่เหลือจะค่อย ๆ ถูกปลดปล่อยออกมา จากรายงานการประเมินปริมาณของธาตุอาหารท่ี เป็ นประโยชน์ต่อพืชจากป๋ ุยหมกั ในฤดูแรกของการเพาะปลูกพืช พบว่าปริมาณไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โปแตสเซียม ท่ีพืชสามารถนาไปใชใ้ นการเจริญเติบโตมีปริมาณน้อยกวา่ 30%, 60-70%, และ 75% ของปริมาณท่ีมีอยทู่ ้งั หมดตามลาดบั ส่วนท่ีเหลือจะถูกปลดปล่อยใหเ้ ป็ นประโยชนต์ ่อพืชในฤดูปลูกต่อ ๆ ไป แนวคดิ ในการทดลองและส่งเสริมการใช้ป๋ ุยหมกั ในการปลกู พืชเศรษฐกจิ จากการติดตามการผลิตผกั ของเกษตรกรส่วนหน่ึงในหมู่บา้ นรอบศูนยศ์ ึกษาการพฒั นา ห้วยฮ่องไคร้อนั เนื่องมาจากพระราชดาริ ถึงแมจ้ ะเป็ นเกษตรกรเพียงส่วนน้อยแต่ก็สามารถกล่าวไดว้ ่า เกษตรกรผูผ้ ลิตผกั เหล่าน้นั ตระหนกั ถึงขอ้ ไดเ้ ปรียบและเสียเปรียบในการเพาะปลูกผกั โดยใช้ป๋ ุยเคมีจาก ประสพการณ์ของเกษตรกรเองวา่ เมื่อใชป้ ๋ ุยเคมีติดตอ่ กนั เป็นเวลานานในการปลูกผกั ในพ้นื ที่ของตนสิ่งท่ีพบ คือดินท่ีใชป้ ลูกผกั เสียคุณสมบตั ิทางกายภาพ โดยดินเกาะตวั เป็ นกอ้ นแขง็ ไม่ร่วนซุยเหมือนเดิม การอุม้ น้า ของดินนอ้ ยลงและตอ้ งใส่ป๋ ุยเคมีในปริมาณที่เพิ่มข้ึนเร่ือย ๆ ในขณะที่ผลผลิตท่ีไดไ้ ม่เพิ่มข้ึนมากเท่าท่ีควร นอกจากน้ีผลผลิตยงั ถูกรบกวนจากศตั รูพืชเพ่ิมข้ึนอีกดว้ ย และเม่ือปัญหาเช่นน้ีเกิดรุนแรงข้ึน เกษตรกร เหล่าน้ันจึงเปล่ียนระบบการปลูกผกั ในพ้ืนที่เดิมมาเป็ นการปลูกผกั ในระบบเกษตรอินทรีย์ โดยมีการ ปรับปรุงบารุงดินและเพิ่มอินทรียวตั ถุในดินดว้ ยการใส่ป๋ ุยอินทรีย์ มีการทาป๋ ุยหมกั ไวใ้ ชใ้ นแปลงผกั โดย ได้รับการแนะนาและแนวทางในการปฏิบัติจากศูนย์ฯ ในปี แรก ๆ ของการเปล่ียนระบบการปลูกผกั เกษตรกรใชว้ ิธีการใส่ป๋ ุยหมกั ร่วมกบั ป๋ ุยเคมีและในปี ต่อ ๆ มามีการลดปริมาณป๋ ุยเคมีลงเร่ือย ๆ จนกระทง่ั ไม่ใช้เลย ผลผลิตผกั ท่ีไดจ้ ากการเปลี่ยนระบบการเพาะปลูกเป็ นไปดงั ที่กล่าวไวข้ า้ งตน้ คือ ผลผลิตในปี แรก ๆ ค่อนขา้ งต่าแต่ผลผลิตค่อย ๆเพ่ิมข้ึนในแต่ละปี แต่การที่ไดผ้ ลผลิตต่าลงไม่ไดห้ มายความวา่ รายได้ จากการขายผกั จะลดลงไปมาก แต่ตรงกนั ขา้ มเนื่องจากผลผลิตขายไดร้ าคาดีเพราะเป็ นผกั ท่ีปลอดจากการ ปนเป้ื อนของสารเคมี สิ่งเหล่าน้ีทาให้ผลกระทบท่ีเกิดจากรายไดต้ ่อปี ลดลงน้นั เกิดข้ึนไม่มากเท่าท่ีคาดไว้ การท่ีเกษตรกรมีความพงึ พอใจในการที่การปฏิบตั ิกิจกรรมการเกษตรโดยใชป้ ๋ ุยหมกั แทนป๋ ุยเคมีน้นั ช่วยให้ ดินที่ปลูกผกั ซ้าซากกลบั คืนสู่สภาพทางกายภาพที่ดีข้ึนเรื่อย ๆ ดงั น้ีจึงสามารถกล่าวไดว้ ่าการปฏิบตั ิเช่นน้ี จดั เป็ นวิธีการจดั การดินวิธีการหน่ึงในการช่วยอนุรักษ์ดินท่ีใช้ในการเกษตรให้คงสภาพท่ีมีความอุดม สมบูรณ์และมีสมบตั ิของดินดีข้ึนท้งั ในดา้ นกายภาพ ดา้ นเคมี และ ดา้ นชีวภาพ อยา่ งยง่ั ยนื วตั ถปุ ระสงค์ของโครงการ -

วธิ ีดาเนินการ ฝ่ ายพฒั นาที่ดินของศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาหว้ ยฮ่องไคร้อนั เน่ืองมาจากพระราชดาริไดด้ าเนินการ อย่างต่อเน่ืองในการสนับสนุนให้มีการอนุรักษ์ดินในพ้ืนท่ีการเกษตรในเขตตน้ น้าลาธารคือการศึกษา ทดลองในด้านต่าง ๆ ของการปฏิบตั ิเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้า แล้วถ่ายทอดผลของการศึกษาทดลอง ออกมาเป็ นขอ้ มูลท่ีให้ความรู้ ตลอดจนวธิ ีการและแนวทางเพื่อส่งเสริมใหเ้ กษตรกรและประชาชนทว่ั ไปถือ ปฏิบตั ิ โดยท่ีนอกจากจะพฒั นาวธิ ีการต่าง ๆ ในการผลิตป๋ ุยอินทรียโ์ ดยเฉพาะป๋ ุยหมกั เผยแพร่สู่เกษตรกร แล้วยงั ไดด้ าเนินการทดลองเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของวิธีการปฏิบตั ิเหล่าน้ันให้เป็ นกรณีศึกษาท่ีได้ ประโยชน์ในการนาไปดดั แปลงและปฏิบตั ิให้เหมาะสมยิง่ ข้ึนอีกดว้ ยในส่วนของการทาป๋ ุยหมกั น้นั นอกจาก จะได้พัฒนาวิธีการผลิตแบบต่าง ๆ และได้สูตรการทาป๋ ุยหมักสูตรต่าง ๆ ข้ึนมาแล้ว ยงั ได้ทดสอบ ประสิทธิภาพของป๋ ุยหมกั ซ่ึงทาจากเศษวสั ดุท่ีหาไดจ้ ากแปลงปลูกพชื และคอกสัตวอ์ ีกดว้ ย ผลการศึกษาทดลองวจิ ัย การศึกษาประสิทธิภาพของป๋ ุยหมกั ในการเพาะปลูกผกั น้นั ฝ่ ายศึกษาและพฒั นาที่ดินของ ศูนยฯ์ ไดท้ าป๋ ุยหมกั จากเปลือกถวั่ ลิสง ฟางขา้ ว เศษใบไม้ เศษวชั พืช และ จอกหูหนู แลว้ นาป๋ ุยหมกั สูตร ต่าง ๆ เหล่าน้นั มาใชก้ บั การปลูกฟักทอง พบวา่ สูตรของป๋ ุยหมกั ที่แตกต่างกนั ให้ผลกบั ฟักทองในทิศทาง เดียวกนั คือ ไม่วา่ จะใชป้ ๋ ุยสูตรใดก็จะไดผ้ ลผลิตของผลฟักทองอยรู่ ะหวา่ ง 2.5 ถึง 3.0 กิโลกรัมต่อตน้ โดย เฉล่ีย และเมื่อทดสอบการใชป้ ๋ ุยหมกั ฟางขา้ วร่วมกบั มูลไก่ มูลสุกร มูลววั หรือ มูลกระบือ ใส่ใหก้ บั ตน้ แตงกวา ก็พบว่าป๋ ุยหมกั สูตรต่าง ๆ ให้ผลโดยเฉลี่ยไม่แตกต่างกนั โดยไดผ้ ลผลิตแตงกวาระหว่าง 45.8 ถึง 56.5 กิโลกรัมต่อแปลงปลูกขนาด 10 ตารางเมตร ส่วนการทดสอบการใส่ป๋ ุยหมกั ท่ีทาจากจอกหูหนู การใส่ ป๋ ุยคอก และ การใส่ป๋ ุยคอกผสมกบั ป๋ ุยหมกั ให้กบั ตน้ ค่ืนช่ายเปรียบเทียบกบั การไม่ใส่ป๋ ุยเลยพบวา่ ผลผลิต ของค่ืนช่ายเพิ่มข้ึน 27%, 18% และ 36% ตามลาดบั จากกรรมวธิ ีควบคุม จากขอ้ มูลท่ีกล่าวถึงขา้ งตน้ รวมท้งั ผลการทดลองท่ีได้ในการทดสอบประสิทธิภาพของป๋ ุย หมกั ท่ีทาจากวสั ดุเศษพืชต่างชนิดหรือมูลสัตวต์ ่างชนิดจะเห็นว่าในการทาป๋ ุยหมกั น้ันการตอบสนองของ พืชผกั ชนิดใดชนิดหน่ึงท่ีมีต่อป๋ ุยหมกั ต่างสูตรกนั น้นั แสดงออกมานอ้ ยมากจนเกือบจะไม่แตกต่างกนั จึงน่าจะ สรุปเป็ นแนวทางปฏิบตั ิไดว้ า่ เกษตรกรไม่ควรจะกงั วลกบั ส่วนผสมของวสั ดุที่ใชป้ ระกอบกองป๋ ุยหมกั ใหม้ าก นักเนื่องจากผลที่ได้ในการเพิ่มผลผลิตน้ันไม่แตกต่างกันจนเห็นได้ชัด แต่ผลของการทดลองที่ทดสอบ กบั ค่ืนช่ายให้ผลว่าการใช้ป๋ ุยหมกั ให้ผลผลิตของต้นคื่นช่ายสูงกว่าการใช้ป๋ ุยคอก และถ้าใช้ป๋ ุยท้งั 2 ชนิด ร่วมกนั จะให้ผลผลิตสูงกวา่ ใชป้ ๋ ุยแต่ละชนิดแบบเดี่ยว ดงั น้นั ในการใชป้ ๋ ุยอินทรียไ์ ม่วา่ จะอยใู่ นรูปของป๋ ุยคอก ป๋ ุยหมัก หรือใช้ผสมกันก็ให้ผลในการเพ่ิมผลผลิตของพืชได้เหมือนกันแต่จะมากหรือน้อยอย่างไรน้ัน เกษตรกรสามารถจะปรับใช้โดยสังเกตจากผลที่เกิดข้ึนและสามารถดดั แปลงการใช้ป๋ ุยอินทรียเ์ พ่ือปรับปรุง วธิ ีการใหป้ ระสิทธิภาพมากข้ึนได้

สรุป อภปิ ราย และขอ้ เสนอแนะ การศึกษาทดลองการใช้ป๋ ุยอินทรียเ์ พ่ือการปลูกผกั เศรษฐกิจน้ันเน้นหนักไปท่ีการทดสอบ ประสิทธิภาพของป๋ ุยหมกั โดยการทาป๋ ุยหมกั สูตรต่าง ๆ จากเปลือกถวั่ ลิสง ฟางขา้ ว เศษใบไม้ เศษวชั พืช และ จอกหูหนู แลว้ นาไปทดสอบกบั ผกั หลายชนิด ผลของการทดลองการใชป้ ๋ ุยหมกั เหล่าน้นั กบั การปลูก ฟักทองพบวา่ ป๋ ุยหมกั สูตรต่าง ๆ ให้ผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของฟักทองในทิศทางเดียวกนั และ เม่ือทดสอบการใชม้ ูลสัตวร์ ่วมกบั ป๋ ุยหมกั ก็พบวา่ ป๋ ุยหมกั แต่ละสูตรให้ผลไม่แตกต่างกนั แตเ่ ม่ือใชป้ ๋ ุยหมกั ที่ทาจากจอกหูหนูพบวา่ การใส่ป๋ ุยคอกช่วยเพมิ่ ประสิทธิภาพของป๋ ุยหมกั จอกหูหนูได้