Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนรายวิชา หลักการถ่ายภาพ

หนังสือเรียนรายวิชา หลักการถ่ายภาพ

Published by workrinpho, 2020-07-19 20:54:37

Description: หนังสือเรียนรายวิชา หลักการถ่ายภาพ

Search

Read the Text Version

บทที่ 1 หลักการถา่ ยภาพ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. เพอ่ื ให้ผเู้ รียนทราบความหมายของการถ่ายภาพ 2. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนเข้าใจหลกั การทางานของกล้องถ่ายภาพได้ 3. เพ่ือให้ผเู้ รียนบอกถงึ ประโยชนข์ องการถา่ ยภาพได้ 4. เพื่อใหผ้ ู้เรียนรูจ้ ักอุปกรณ์ทใ่ี ชก้ ับกล้องถ่ายภาพ และสามารถนาไปใช้ได้อยา่ งถกู ต้อง 5. เพื่อให้ผ้เู รียนอธบิ ายสว่ นประกอบของกล้องถ่ายภาพได้

2 บทท่ี 1 หลักการถา่ ยภาพ มนุษยต์ ้องการเกบ็ ความทรงจาจากการมองเหน็ จึงได้คิดค้นอปุ กรณ์ในการเกบ็ ภาพขนึ้ มา ซง่ึ ปจั จุบนั เรียกว่ากล้องถา่ ยภาพนน่ั เอง กลอ้ งถ่ายภาพได้มีวิวัฒนาการเรอ่ื ยมาจากกลอ้ งฟิล์ม จนถึง กลอ้ งดิจิตอล ท่มี รี ะบบการใชง้ านงา่ ย ช่วยอานวยความสะดวกใหก้ บั ผูใ้ ช้มากขึน้ แต่การถ่ายภาพให้ออกมา มีองคป์ ระกอบดีและสวยงาม เราควรเรยี นรู้เทคนิคต่างๆ เช่น การจดั องคป์ ระกอบภาพ การคานึงถึง ลายเสน้ ที่อย่ใู นภาพ เพ่ือให้ภาพออกมาสมบูรณ์ สวยงาม และมคี วามหมาย กอ่ นท่ีเราจะเรียนรู้เทคนิคสาหรบั การถา่ ยภาพ เราตอ้ งศกึ ษาการถ่ายภาพขน้ั พืน้ ฐาน เพ่ือตอ่ ยอด ความคดิ สร้างสรรค์ของตนเองต่อไป ความหมายของการถา่ ยภาพ การถ่ายภาพ มาจากภาษาอังกฤษ คาว่า “Photography” มรี ากศัพท์จากภาษากรีก 2 คา คอื “Phos” และ “Graphein” Phos หมายถึง แสงสวา่ ง Graphein หมายถึง การเขียน เม่ือรวมคาสองคาเข้าด้วยกนั จะได้ความหมายว่า “การเขยี นด้วยแสงสวา่ ง” ความหมายของวชิ าถ่ายภาพในการเรียนการสอนปจั จบุ นั คือ ความรูใ้ นการเกดิ ภาพทีส่ ร้างจาก กระบวนการใช้แสงสว่างกระทบกบั อปุ กรณ์และวสั ดุไวแสง (ฟลิ ์ม) เพอ่ื บนั ทกึ เหตุการณ์ ณ จุดเวลาใด เวลาหน่งึ โดยการเกบ็ สภาพแสง ณ เวลาน้ันไว้ การถ่ายภาพเป็นการศึกษาเกี่ยวกบั กระบวนการผลิตภาพ โดยอาศัยส่วนประกอบพนื้ ฐาน 3 ประการ คือ กล้องถ่ายภาพ วัสดไุ วแสง และแสงสวา่ ง ดังนน้ั ในการถ่ายภาพจะต้องมีความรู้ ทักษะ ในการใช้อุปกรณ์และกล้องถ่ายภาพ การจดั องคป์ ระกอบภาพ แสง สี ความรู้ทางศลิ ปะ ฯลฯ เพือ่ ใหเ้ กิด ความสมบูรณ์ในการนาไปใชง้ านต่อไป

3 หลกั การทางานของกลอ้ งถ่ายภาพ หลักการทางานของกล้องถา่ ยภาพ คือ การที่แสงสะท้อนจากวัตถุเดินทางเป็นเส้นตรงผา่ นชอ่ ง เลก็ ๆ ของกล่องสี่เหล่ยี ม โดยเกดิ ภาพของวตั ถุบนฉากรองรับด้านตรงกนั ข้าม มองเห็นเป็นภาพหัวกลับ ซ่งึ เป็นหลักการของการสร้างกลอ้ งรเู ข็มในสมัยโบราณ รปู ท่ี 1 หลกั การทางานของกลอ้ งถ่ายภาพ ปัจจุบนั กลอ้ งถ่ายภาพได้พัฒนา โดยใช้เลนส์ชว่ ยรวมแสงให้เขา้ ไปในตัวกลอ้ งมากข้นึ ด้านตรงข้าม ของเลนสจ์ ะเปน็ ตาแหน่งของวสั ดไุ วแสง สาหรับใช้ในการบันทึกภาพ ตวั เลนสส์ ามารถปรับการรับภาพให้ เกิดความชัดเจนของภาพได้ มไี ดอะแฟรม เพอื่ ปรบั ให้เกดิ ช่องรบั แสงขนาดตา่ งๆ มีชัตเตอร์ควบคุมเวลา ในการเปิด – ปดิ ม่าน เพอื่ ให้ปริมาณทีแ่ สงตกกระทบกับสาหรับภาพบันทึกตามความเหมาะสม และยงั มี ชอ่ งเลง็ ภาพเพอื่ ช่วยในการจัดองค์ประกอบภาพถา่ ยให้เกิดความสวยงาม ประโยชน์ของการถ่ายภาพ ภาพถา่ ยไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทในชวี ติ ประจาวนั มากขึน้ การพัฒนาเทคโนโลยีในปจั จบุ ันไดเ้ จรญิ รดุ หน้าอย่างรวดเร็ว เราจงึ เห็นภาพถา่ ยเกิดข้ึนได้ตลอดเวลา ท้งั จากการแชร์ภาพบนอินเทอรเ์ นต็ ทางโทรศัพท์มือถือ การโฆษณาประชาสัมพนั ธ์ ส่อื การเรียนการสอน การถ่ายภาพมีประโยชน์ ดงั นี้ 1. ภาพถ่ายเพื่อส่ือความหมาย เป็นการถา่ ยทอดขา่ วสารไปยังผู้รบั โดยใช้ภาพเป็นสือ่ กลางในการ นาเสนอเรอื่ งราว เช่น ภาพเหตกุ ารณ์ทางหน้าหนงั สือพิมพ์ อินเทอร์เนต๊ โปสเตอร์ เปน็ ต้น

4 รปู ที่ 2 ภาพถ่ายเพือ่ ส่ือความหมาย 2. ภาพถา่ ยดา้ นการศกึ ษาและงานวชิ าการ เป็นการใชใ้ นการเรยี นการสอน เพ่ือดึงดดู ความสนใจ โดยใช้ภาพประกอบการสอนแทนทีจ่ ะใช้การบรรยายอย่างเดยี ว ทาใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจถึงเรื่องราวตา่ งๆ และ สามารถเห็นในสิ่งที่ไม่อาจเห็นได้ในชวี ิตประจาวัน การใชภ้ าพถา่ ยเขามาช่วยจะช่วยเปลี่ยนแปลงเนอ้ื หาให้ อย่ใู นรปู ของรูปธรรม เชน่ ภาพสตั ว์ใต้ทะเล ภาพกลมุ่ ดาว ฯลฯ รปู ที่ 3 ภาพถ่าย ดา้ น การศกึ ษาและงานวชิ าการ

5 3. ภาพถา่ ยในการศกึ ษาค้นควา้ วิจัย เช่น นักวทิ ยาศาสตร์ใช้ภาพถา่ ยขยายสว่ น และภาพถา่ ยจาก กลอ้ งจลุ ทรรศน์มาศึกษาและวจิ ยั ไดแ้ ก่ การศึกษาเซลล์ และเนอื้ เยื่อของพชื และสตั ว์ รวมถึงการเอ็กซเรย์ เพื่อตรวจสุขภาพของผปู้ ่วย ฯลฯ ปัจจบุ ันนี้ เทคโนโลยกี ารถ่ายภาพได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเรว็ ในการ สารวจสภาพตา่ งๆ บนพื้นผิวโลก นกั วิทยาศาสตร์ใช้ฟลิ ม์ อินฟราเรดถา่ ยภาพพืน้ ผิวโลก เพื่อศกึ ษาปริมาณ และความหนาแน่นของป่าไม้ การถ่ายภาพทางดาราศาสตร์ชว่ ยศึกษาความเปล่ยี นแปลงของกล่มุ ดวงดาว ตา่ งๆ ฯลฯ ซึ่งการถ่ายภาพช่วยให้นกั วทิ ยาศาสตร์สามารถทาการศึกษาคน้ คว้าได้ถกู ต้องแมน่ ยา กว้างขวาง และประหยัดเวลาได้อีกดว้ ย รูปที่ 4 ภาพถ่ายใน การศึกษา คน้ ควา้ วจิ ัย

6 4. ภาพถา่ ยเพือ่ การประกอบอาชีพ ผูม้ คี วามรู้ด้านการถา่ ยภาพ สามารถนาไปประกอบอาชีพ หารายได้ เพ่ือมาจุนเจือครอบครัวได้ ท้ังยงั สามารถรับจ้างบริษทั หรอื ประกอบอาชีพส่วนตวั ได้ รปู ท่ี 5 ภาพถ่ายเพ่ือการประกอบอาชพี 5. ภาพถ่ายใชเ้ ป็นหลกั ฐานในเอกสารสาคญั หลายชนิด เชน่ บตั รประจาตวั ประชาชน ใบขบั ขี่ ใบสทุ ธิ ใบรับรอง เป็นต้น เพราะรปู ถ่ายสามารถอธิบายรปู พรรณสณั ฐานของบุคคลไดอ้ ยา่ งดี และยากตอ่ การปลอมแปลง รปู ที่ 6 ภาพถา่ ยใช้เป็นหลกั ฐานในเอกสารสาคญั

7 6. ภาพถา่ ยเปน็ การแสดงออกทางศิลปะ เปน็ การสรา้ งสรรค์ให้เกิดความสวยงาม และจรรโลงใจ แก่ผชู้ ม รปู ท่ี 7 ภาพถ่ายเปน็ การแสดงออกทางศลิ ปะ 7. ภาพถ่ายชว่ ยบนั ทึกภาพในอดตี ทผ่ี า่ นมาได้ดี ทาให้คนรนุ่ หลังสามารถเรียนรู้ เห็นเหตกุ ารณ์ ต่างๆ ทเ่ี กิดข้นึ ในอดีต ภาพถ่ายถอื เป็นหลกั ฐานสาคญั ทางประวตั ศิ าสตร์ท่สี าคญั ยิ่ง รูปที่ 8 ภาพถ่ายชว่ ยบันทึกภาพในอดีตที่ผ่านมาได้ดี

8 8. ภาพถ่ายเป็นประโยชน์ทางดา้ นการคา้ และการโฆษณา เพอื่ เผยแพรส่ นิ ค้าของบริษัทใหเ้ ปน็ ท่ี แพรห่ ลาย และโน้มนา้ วจิตใจผู้ซอ้ื รูปท่ี 9 ภาพถา่ ยเป็นประโยชน์ทางด้านการคา้ และการโฆษณา 9. ภาพถา่ ยเปน็ ประโยชน์ดา้ นความเพลิดเพลนิ มผี ู้ถา่ ยภาพเปน็ งานอดิเรก เพื่อความสนุกสนาน เพลดิ เพลิน เขาจะรู้สึกพอใจต่อภาพถ่ายท่ีออกมา และมีความสขุ ตอ่ การที่ไดท้ ่องเทย่ี วในที่ตา่ งๆ พร้อมกบั บนั ทกึ ภาพส่ิงต่างๆ ที่อยากเก็บไวใ้ นความจา โดยสามารถแบง่ ปนั ภาพถา่ ยใหก้ ับผอู้ นื่ ได้ รูปที่ 10 ภาพถ่ายเปน็ ประโยชนด์ ้านความเพลดิ เพลนิ

9 อุปกรณ์ที่ใชก้ บั กล้องถ่ายรูป มีดงั นี้ 1. ที่บังแสง (Lens hood or Lens shade) เป็นอปุ กรณท์ ่ใี ชส้ วมหนา้ เลนส์ ท้งั แบบเป็นถ้วย และกลบี ดอกไม้ มีทั้งชนดิ โลหะ และพลาสติกท่ี ขนาดแตกตา่ งกันไปตามขนาดเสน้ ผา่ ศนู ย์กลางของเลนส์ ทาหน้าทปี่ ้องกันแสงทีไ่ มต่ อ้ งการจากภายนอกท่ี อาจผ่านเข้าไปในกลอ้ ง จนทาให้เกิดแสงแฟร์ เปน็ จดุ หรอื เสน้ และยังช่วยปอ้ งกนั เลนส์จากการ กระแทกดว้ ย หากถ่ายภาพด้วยกล้องสะท้อนภาพเลนส์เดย่ี ว ตอ้ งแน่ใจว่าเม่ือสวมทบี่ งั แสงแล้วจะไม่ บังบางส่วนของช่องมองภาพ แตส่ าหรบั เลนสม์ ุมกวา้ งอาจบังมุมภาพบางส่วน รูปที่ 11 ท่ีบงั แสง 2. แว่นกรองแสง หรือฟลิ เตอร์ (Filter) ใช้สวมหนา้ เลนส์ เป็นวัสดุโปรง่ แสง ทาดว้ ยกระจก หรอื พลาสติกสีตา่ งๆ มีคณุ สมบตั ิเปลี่ยนแปลง แสง ก่อนที่แสงจะกระทบถงึ หน้าเลนส์ แต่การเปลย่ี นแปลงนัน้ ขึน้ อยู่กบั คุณสมบตั ิของ filter แตล่ ะชนดิ เช่น filter UV ลดรังสตี า่ งๆ, filter close up ถา่ ยภาพมาโครไดใ้ กล้ขึ้น, Filter CPL ลดแสงสะท้อนท่ี ไม่ต้องการ และช่วยเติมสฟี ้าให้เข้มขึ้น เป็นตน้ นอกจากนมี้ ีคณุ สมบตั ิ คือปกปอ้ งผิวเลนส์ด้วย ฟลิ เตอร์ มหี ลายชนิดหลายขนาดใหเ้ ลือกใชต้ ามความต้องการ และตามชนิดของกล้องแตล่ ะแบบ ดงั น้นั ก่อนซ้ือ ฟลิ เตอร์มาใช้ จึงควรตรวจดูขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์กอ่ น

10 รปู ที่ 12 แว่นกรองแสง หรือฟลิ เตอร์ 3. สายลัน่ ไกชัตเตอร์ (Shutter cable release) เป็นอปุ กรณ์ทใี่ ช้ควบคู่ไปกับขาตั้งกล้อง มลี ักษณะเปน็ สายเคเบิลยาว มีเกลียวขนั ตอ่ กบั ปุ่ม กดชัตเตอร์ ทาหน้าท่ีกดชตั เตอรแ์ ทนน้ิวมือของผู้ถ่ายภาพ เพ่ือให้การกดชัตเตอร์เป็นไปอยา่ งนุ่มนวล กล้องไม่สั่นไหว โดยเฉพาะเม่ือใชก้ บั ความเร็วชัตเตอรต์ ่ามากๆ หรือเมื่อตง้ั ชัตเตอรท์ ่ี “B” ซึ่งต้องกดชัต เตอรใ์ ห้เปดิ คา้ งไวน้ านๆ ขณะที่กลอ้ งอยนู่ งิ่ กบั ท่ี สายลัน่ ไกมีอยหู่ ลายแบบ เช่น แบบสายเดี่ยว แบบสายคู่ และแบบบบี ลมเป็นลายยาง สามารถถ่ายจากทส่ี ูง หรือท่ีอยู่ไกลจากกล้องได้ รปู ที่ 13 สายล่ันไกชตั เตอร์

11 4. แฟลชถา่ ยรูป (Flash) เป็นอุปกรณท์ ใ่ี ห้แสงสว่างช่วยในการถ่ายภาพในเวลากลางคนื หรือในท่ีมีแสงสว่างนอ้ ย มีหลาย แบบหลายขนาดให้เลือกใช้ตามชนดิ ของกล้อง และตามความต้องการของผ้ใู ช้ นอกจากแฟลชจะเพิ่มแสง สวา่ งใหแ้ กว่ ตั ถแุ ล้ว ยังใช้ลบเงาและปรงุ แต่แสงให้ดนู ุ่มนวลข้ึน แฟลชแตล่ ะชนิดจะให้ความเร็วในการส่อง สวา่ ง และชนิดของแสงตา่ งกันไป แต่ทน่ี ิยมกันก็คืออเิ ลค็ ทรอนกิ ส์แฟลช ซ่ึงใหอ้ ุณหภมู ขิ องแสงใกล้เคยี งกบั แสงแดด อีกชนิดหน่งึ เป็นแฟลชหลอด ซง่ึ มอี ุณหภูมสิ ตี า่ กว่าอิเล็คทรอนกิ สแ์ ฟลช รูปที่ 14 แฟลชถ่ายรูป 5. ขาตง้ั กล้อง (Tripod) เปน็ อุปกรณ์ทใ่ี ช้ติดต้ังกล้อง เพ่ือให้กล้องยึดกบั ขาตั้งให้อยู่น่งิ ไม่สัน่ ไหว จาเปน็ สาหรบั การ ถ่ายภาพในสภาพแสงสวา่ งน้อย ทีช่ ัตเตอร์ต่าๆ เพอื่ ให้รบั แสงไดน้ านๆ หรอื การถ่ายระยะไกลโดยใชเ้ ลนส์ ถา่ ยไกลท่มี ีความยาวโฟกสั สูง ภาพจะมีชว่ งความชดั ตา่ รูปท่ี 15 ขาต้ังกลอ้ ง

12 6. กระเปา๋ ใสก่ ล้อง (Camera Bags and cases) กระเป๋าใสก่ ล้องใชส้ าหรับเก็บอปุ กรณ์ทจ่ี าเป็นในการถ่ายภาพ เช่น ตัวกลอ้ ง เลนส์ แผน่ กรองแสง ฯลฯ ทาใหส้ ะดวกต่อการนาไปใช้ในท่ีตา่ งๆ และยังชว่ ยปอ้ งกันฝุน่ ละออง การกระแทก รอยขดี ขว่ น ขณะ เคลือ่ นย้าย กระเป๋าใส่กล้องมีทัง้ ชนิดทเี่ ป็นหนงั มีขนาดแตกตา่ งกัน สามารถถือ หว้ิ หรอื สะพายได้ และ ชนดิ ทีเ่ ป็นโลหะแข็ง ขา้ งในมีช่องแบ่ง แยกวางอุปกรณ์แต่ละชนดิ อย่างเปน็ สดั สว่ น รูปที่ 16 กระเป๋าใสก่ ล้อง 7. อุปกรณ์ทาความสะอาดกล้อง (Cleaning accessories) อปุ กรณ์ทาความสะอาดกล้องมีหลายชนดิ เช่น ลกู ยางเปา่ ลมทีม่ ีแปรงขนน่มิ สาหรับปดั ฝุ่นละออง ทจี่ ับอยู่ตามซอกเลนส์ หรอื ตัวกล้อง นา้ ยาล้างเลนส์ และกระดาษสาหรับเช็ดเลนส์ เป็นต้น รูปที่ 17 อปุ กรณ์ทาความสะอาดกล้อง

13 ส่วนประกอบของกลอ้ งถา่ ยภาพ สว่ นประกอบสาคัญของกล้องถา่ ยภาพที่นยิ มใช้มากในปจั จบุ นั จะมีความสามารถ และคุณลักษณะ แตกตา่ งกนั ไป แตส่ ่วนใหญ่จะมสี ่วนประกอบคลา้ ยคลึงกนั คือ 1. ตวั กล้อง (Body) ทาหน้าทีเ่ ป็นหอ้ งมืด ป้องกนั แสงจากภายนอกเขา้ ไปภายใน และเปน็ ทย่ี ึด สว่ นประกอบ ตลอดจนอุปกรณต์ า่ งๆ ทใี่ ช้ในการถ่ายภาพเขา้ ดว้ ยกนั รูปท่ี 18 ตวั กล้อง 2. เลนส์ (Lens) ทาหน้าทร่ี ับแสงสะท้อนจากวตั ถุ ส่งไปยังอมิ เมจเซน็ เซอร์ กล้องบางชนิดสามารถ ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ตามความต้องการ เช่น กล้องประเภท SLR (Single len Reflex) หรือเรยี กว่ากล้อง สะทอ้ นเลนส์เดี่ยว เลนสจ์ ะผนึกอย่ขู ้างหนา้ ตัวกล้อง ซงึ่ มีขนาด ความยาวโฟกสั แตกตา่ งกัน เช่น 50 มม . 35 มม . 105 มม . เป็นต้น รูปที่ 19 เลนส์

14 3. ช่องมองภาพ (View Finder) ปกตชิ ่องมองภาพจะอยู่ด้านหลงั ของตวั กลอ้ งเปน็ จอมองภาพ เพอ่ื ชว่ ยในการประกอบ และจัดองค์ประกอบของภาพ ใหม้ ีความสวยงามตามหลักของศิลปะการถ่ายรปู รูปท่ี 20 ช่องมองภาพ 4. ชตั เตอร์ (Shutter) ทาหนา้ ทค่ี วบคมุ เวลาฉายแสง หรือความไวของชดั เตอร์ (Shutter Speed) รูปที่ 21 ชัตเตอร์ 5. แผน่ ไดอะแฟรม (Diaphragm) ทาหน้าที่ควบคุมปรมิ าณความเข้มของการสอ่ งสวา่ งของแสงท่ี ตกลงบนอิมเมจเซน็ เซอร์ มลี ักษณะเปน็ แผ่นโลหะบางๆ หลายๆ แผ่นซ้อนเหล่ีอมกันอยู่

15 รูปท่ี 22 แผ่นไดอะแฟรม 6. รรู ับแสง (Aperture) เป็นรเู ปิดของแผน่ ไดอะแฟรมให้มีขนาดตา่ งๆ ตามต้องการ ซึ่งมลี ักษณะ เป็นแผ่นโลหะสดี าบางๆ หลายๆ แผน่ เรยี งซ้อนกันเปน็ กลีบ มชี อ่ งตรงกลาง เชน่ เมื่อต้องการให้แสงเข้ามาก ก็เปดิ รูรับแสงให้มขี นาดใหญ่ และหากต้องการปริมาณแสงเข้าไปถกู อิมเมจเซ็นเซอร์ น้อยก็เปิดรใู หเ้ ล็กลง การเปิดขนาดของรรู บั แสงแตกต่างกนั มตี วั เลขกาหนดเอาไว้ ซง่ึ ตัวเลขน้จี ะเปน็ วงแหวน ติดอยู่ทีต่ ัวเลนส์ เรยี กตัวเลขตา่ งๆ ว่าเอฟสตอป (F-Stop) หรือ เอฟนมั เบอร์ (F-Number) รูปท่ี 23 รรู ับแสง

16 บทท่ี 2 ความสมั พนั ธช์ ัตเตอร์ และรูรับแสง จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. เพื่อให้ผเู้ รยี นรจู้ กั การโฟกัสภาพ 2. เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นมีความรคู้ วามเข้าใจเร่ืองความเร็วชตั เตอร์ และรรู บั แสง 3. เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นทราบถึงความสมั พันธ์ของชัตเตอรก์ บั ขนาดรรู บั แสง และนาไปประยุกต์ใชใ้ นการ ถ่ายภาพได้ 4. เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจในหลกั การวดั แสงประเภทต่างๆ ได้ 5. เพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นอธบิ ายการชดเชยแสง และการปรบั ตั้งค่าความไวแสง โดยนาหลกั การไปใช้ในการ ถ่ายภาพใหส้ วยงามได้

17 บทที่ 2 ความสมั พนั ธ์ชตั เตอร์ และรูรบั แสง ระบบการทางานของกล้องจะมีส่วนสาคัญอยู่ 3 ส่วน คือ การโฟกัสภาพ รูรับแสงและความเร็ว ชัตเตอร์ ซึ่งระบบการโฟกัสภาพ เปน็ ลักษณะการทางานที่แยกเปน็ อสิ ระ ไม่เกีย่ วข้องกบั ระบบอ่ืน เพอ่ื ให้ ภาพมีความคมชัดในจดุ หรือตาแหน่งท่ีต้องการ แตร่ ูรบั แสงและความเร็วชตั เตอร์ มสี ่วนสมั พันธก์ ัน ในการ ควบคุมปริมาณของแสงที่ผา่ นเขา้ ไป เพ่อื ให้การถ่ายภาพเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ สวยงาม ผเู้ รียนจึงควรต้องศึกษาสว่ นสาคัญ ดงั กล่าวข้างต้น การโฟกัสภาพ การโฟกสั ภาพ คอื การวางตาแหน่งโฟกสั ของภาพให้อยู่ในจุดท่เี ราต้องการ ไมว่ ่าจะต้องการให้ภาพ มคี วามคมชดั ทีด่ า้ นหน้า หรอื ดา้ นหลัง ดา้ นซ้าย หรือด้านขวา ในการปรับโฟกัสอาจทาด้วยระบบอตั โนมตั ิ หรือการใชม้ ือหมนุ ปรบั ท่เี ลนสโ์ ดยตรง ซงึ่ เราสามารถกาหนดได้วา่ จะให้มันคมชัดขนาดไหน โดยการปรบั ขนาดของ รรู ับแสง ความเรว็ ชัตเตอร์ (Shutter speed) ความเรว็ ชัตเตอร์ หมายถึง ระยะเวลาทีย่ อมให้แสงผา่ นเขา้ ไปยังอิมเมจเซ็นเซอร์ เป็นประตูควบคุม เวลาในการเปดิ -ปดิ เพือ่ กน้ั แสงทจ่ี ะเดนิ ทางต่อไปยงั เซนเซอร์รบั ภาพที่อยดู่ า้ นหลัง ประตูควบคมุ น้ีเรยี กวา่ “ชุดชัตเตอร์” หรอื มา่ นชตั เตอร์ มีลักษณะเป็นไดอะเฟรมหรือกลีบม่าน ท่ีสามารถยกตวั ข้ึนลงได้ จะเปดิ - ปิดดว้ ยความเร็วตามทีผ่ ูใ้ ชก้ าหนด หรอื ตามระบบอัตโนมตั ิท่กี ล้องควบคมุ เอาไว้ มหี น่วยวัดเปน็ วนิ าทีและ นาที ย่งิ เปดิ ปดิ เรว็ มากแสงก็จะยงิ่ เข้าไดน้ ้อย ยง่ิ เปดิ ปิดชา้ มากแสงก็จะย่ิงเขา้ ไดม้ าก ความเรว็ ชตั เตอรท์ ่ี ใชส้ ว่ นใหญ่แสดงคา่ เปน็ เศษส่วนของวินาที ดงั น้ี 1/1, 1/2, 1/4, 1/8, 1/15, 1/30, 1/60, 1/125, 1/250,1/500, 1/1000, 1/2000 แตต่ วั เลขทปี่ รากฏในวงแหวนท่ีขอบนอกของเลนส์ จะบอกคา่ ความเรว็ ของชัตเตอรไ์ ว้เฉพาะตวั เลขที่เป็นส่วนคอื 1, 2, 4, 8, 16, 30, 60, 125, 250, 500, 1000, 2000

18 รูปที่ 24 ความเร็วชตั เตอร์ รรู ับแสง (Aperture) รปู ที่ 25 รรู บั แสง รูรับแสง หรือช่องรับแสง คือช่องสาหรับใหแ้ สงผ่านเข้าไปกระทบอิมเมจเซนเซอรข์ องกล้องดิจติ อล เลนส์ทกุ ตวั จะมรี ูรับแสง เพอื่ ปรับใหแ้ สงสามารถผา่ นเข้าไปได้กว้าง หรอื แคบตามต้องการ โดยกล้องร่นุ เก่า ปรับทแ่ี หวนทข่ี อบเลนส์ หรอื กลอ้ งร่นุ ใหม่ จะมีแปน้ ปรับจากตวั กล้อง ซึ่งควรจะปรบั ขนาดรรู บั แสงทแี่ หวน ปรบั ใหม้ ีขนาดเล็ก ท่สี ุดเสมอ

19 รูปท่ี 26 รรู ับแสงระหวา่ งกลอ้ งรุ่นเก่ากับกล้องรนุ่ ใหม่ แสงจะผ่านเข้าไปไดม้ ากน้อยเพียงใด ขนึ้ อยู่กับความกว้าง หรือแคบของรรู บั แสง ถา้ ปรบั รรู ับแสง กวา้ ง แสงจะผา่ นเขา้ ไปไดม้ าก หากเปิดรับแสงนาน ภาพทไี่ ด้ก็จะสว่างเกินไป ถ้าปรับรูรับแสงแคบ โดยใช้ เวลานอ้ ยๆ แสงจะผ่านเข้าไปไดน้ อ้ ย ภาพท่ไี ด้จะมืดเกนิ ไป ดงั นน้ั การใชข้ นาดรรู บั แสงและความเร็วชตั เตอร์จะตอ้ งให้สมั พนั ธ์กัน เม่ือเปิดรูรบั แสงกวา้ ง ก็จะต้องใช้ความเร็วชัตเตอรส์ งู คือเปดิ แลว้ ปดิ เร็ว แตถ่ า้ ใช้ขนาดรรู บั แสงแคบ กต็ ้องเปดิ รับแสงนานขึน้ เพ่ือให้ภาพท่ีถา่ ยมามคี วามสว่างพอดี รปู ที่ 27 ช่องรูรบั แสงขนาดต่างๆ ขนาดของรูรับแสงจะบอกเปน็ ตวั เลขตา่ งๆ เรยี กวา่ factor คอื เป็นผลลพั ธ์จากการนาเอาขนาด เส้นผ่าศนู ย์กลางของรูรับแสง ไปหารขนาดความยาวโฟกัสของเลนส์ ผลที่ได้จะเรียกวา่ เป็นค่า f stop ตัวอยา่ งเชน่ ความยาวโฟกัสของเลนส์เท่ากับ 50 mm เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางของรูรับแสงเทา่ กบั 30 mm เมือ่ นาขนาดเสน้ ผ่าศูนย์กลางของรรู บั แสงไปหารความยาวโฟกัส จะได้เทา่ กบั ประมาณ 1.7 กจ็ ะเขยี นวา่ f/1.7 ถา้ ขนาดรรู ับแสงเล็กลงไป ผลลพั ธจ์ ะได้ตวั เลขมากขึ้น เช่น เสน้ ผ่าศนู ย์กลางของรูรบั แสง 10 mm หารแลว้ จะไดป้ ระมาณ f/5 เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง 5 mm จะได้เทา่ กบั f/10 หรือ เสน้ ผา่ ศูนย์กลาง 3 mm

20 จะไดเ้ ท่ากบั ประมาณ f/17 เป็นตน้ จะเห็นวา่ เมอื่ ตวั เลขมาก หมายถึงขนาดรูรับแสงเล็กลง ถ้าตวั เลขนอ้ ย คอื รูรับแสงกวา้ ง รูปที่ 28 ความสัมพนั ธข์ องรูรบั แสงกบั ปริมาณแสง รปู ท่ี 29 รูรับแสงขนาดตา่ งๆ

21 ความสัมพนั ธ์ของชตั เตอรก์ บั ขนาดรรู ับแสง การควบคุมแสง เป็นส่วนสาคญั ในการควบคมุ ให้แสงผ่านเลนสเ์ ข้าไปบนั ทึกภาพในปรมิ าณที่ พอเหมาะ น่นั คือ การควบคุมรรู บั แสงและความเร็วชตั เตอร์ใหม้ ีความสัมพนั ธ์กัน โดยทาหนา้ ที่ควบคุม ปรมิ าณของแสงท่ผี ่านเขา้ ไป เพื่อบันทกึ ภาพ การเลือกปรับตั้งรูรบั แสงและความเรว็ ชัตเตอรข์ นึ้ อยกู่ บั จดุ มงุ่ หมายของการถา่ ยภาพ และตอ้ งใหส้ ัมพนั ธก์ นั ภาพที่ไดแ้ สงพอดี จะต้องไดร้ ับแสงในปรมิ าณท่ี เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไปภายใต้สภาพแสงปกติ การเลอื กค่าบนั ทึกภาพ เมื่อมีการปรบั รรู ับแสง หรอื ความเร็วชตั เตอร์ ปรมิ าณของแสงทเ่ี ข้าไปใน กลอ้ งก็จะเปล่ยี นไปด้วย เช่น ถ้าปรมิ าณแสงทีเ่ หมาะสมในการถ่ายภาพอยู่ที่ 100% หากเปดิ รรู บั แสงกว้าง เพ่อื ปล่อยใหป้ รมิ าณของแสงผ่านเขา้ ไป 30% ตอ้ งใชค้ วามเรว็ ชัตเตอร์ เพ่อื ควบคุมเวลาในการฉายแสงใน ปริมาณสว่ นที่เหลอื อกี 70% เพ่อื ใหค้ รบปริมาณแสงท่ีต้องการคือ 100% หรอื ถา้ เปดิ ชว่ งรบั แสงกว้างให้ ความเขม้ ของแสงเขา้ ไปมากเป็นปริมาณ 70% ต้องใชค้ วามเรว็ ชัตเตอร์ เพื่อใช้เวลาในการฉายแสงทีส่ น้ั เพือ่ ฉายส่ิงที่เหลืออีก 30% ในทง้ั สองกรณจี ะไดร้ ับปริมาณของแสงทีเ่ ท่ากนั จะแตกต่างกนั ทกี่ ารใช้สัดส่วน ของขนาดรรู บั แสง และเวลาการฉายแสงท่ีไมเ่ ท่ากนั ผู้ถา่ ยภาพสามารถเลือกผลที่เกดิ ข้ึนจากการใช้รรู ับแสง หรือความเร็วชตั เตอร์ได้อย่างใดอย่างหนึง่ ตามต้องการ โดยที่การบันทึกภาพไดร้ ับแสงพอดี เช่น ภาพที่ ตอ้ งการบนั ทึกวัดแสงไดท้ ี่ 1/60 วนิ าที f 8 แตอ่ าจไม่ตอ้ งการใชค้ วามเร็วชัตเตอร์หรือรรู ับแสงตามที่วดั ค่า ได้ ก็อาจเลอื กใช้ค่าอ่ืนได้ เช่น 1/30 วนิ าที f 11 หรือ 1/90 วนิ าที f5.6 ซ่ึงคา่ เหล่านจี้ ะให้ปรมิ าณแสงที่ เทา่ กนั แตภ่ าพที่บนั ทกึ ได้ จะมคี วามแตกตา่ งกัน (1) (2) (3) รูปที่ 30 (1) แสดงรูปท่แี สงเข้าปกติ (2) แสงเข้าน้อย (3) แสงเข้ามาก

22 รูปที่ 31 แสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งรรู ับแสงและความเร็วชัตเตอร์ หลกั การวัดแสง การวัดแสงเปน็ พ้นื ฐานการถ่ายภาพท่ีจาเป็นต้องเรียนรู้ เพราะเปน็ เร่ืองของการสรา้ งสรรค์ภาพ ทไี่ ม่มกี ฎเกณฑ์ตายตัว ขึ้นอยู่กับสภาพแสง และความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ระบบการวดั แสง มีดงั น้ี 1. แบบเฉลี่ยทัง้ ภาพ เป็นการตรวจสอบปริมาณแสงทั้งหมดในพื้นที่กรอบภาพ แลว้ นามาหา คา่ เฉลี่ยกลางทจ่ี ะให้ค่าการเปิดรับแสงทเ่ี หมาะสมท่ีสุด ซึ่งมีความสะดวก และคล่องตวั สูง ใชง้ านได้งา่ ย ไมซ่ บั ซ้อน เนน้ ในเรื่องของการได้ภาพมากกว่าเรื่องของความสวยงาม เหมาะสาหรับการถา่ ยภาพตามแสง และภาพต้องไมม่ ีสว่ นมดื สว่ นสว่างมากเกนิ ไป ใช้ไดด้ ีกับการถ่ายภาพทวิ ทัศน์, งานเลยี้ งสังสรรค์ ฯลฯ รปู ท่ี 32 แสดงการวดั แสงแบบเฉลย่ี ท้งั ภาพ

23 2. แบบเฉลีย่ หนกั กลางภาพ สัญลกั ษณส์ ่วนใหญ่มักจะมีวงกลมซอ้ นกนั อย่สู องวงบรเิ วณส่วนกลาง โดยมากกล้องจะพยายามให้ความสนใจกบั พื้นที่ราว 60% ทบ่ี ริเวณกลางกรอบภาพจงึ ถือเปน็ พืน้ ทีส่ ว่ นใหญ่ ในภาพ ส่วนรอบนอกจะมีพ้นื ท่เี หลืออีก 40% บางรุ่นอาจแบง่ แตกตา่ งกนั ไป ทัง้ น้ีขึน้ อยู่กับความแตกต่าง ของกล้องถ่ายภาพ เหมาะสาหรับการถ่ายภาพทีเ่ น้นวัตถุ หรอื ตวั แบบอยู่กลางภาพ หรือมขี นาดเตม็ เฟรม เชน่ การถา่ ยภาพบุคคล, ภาพสัตว์เลี้ยง, วตั ถุต่างๆ, ภาพมาโคร ซ่ึงใหค้ วามสาคัญกับตัวแบบหรอื โซนที่แบบอยู่มากกว่าพนื้ หลัง รปู ท่ี 33 แสดงการวัดแสงแบบเฉลยี่ หนกั กลางภาพ 3. แบบเฉพาะจดุ จดุ ตรงกลางจะเป็นการวัดแสงจากพน้ื ที่กงึ่ กลาง หรอื เฉพาะส่วนของภาพ เทา่ น้ัน เป็นการถ่ายภาพทต่ี ้องการความแม่นยาสูง ผู้ถ่ายภาพควรมคี วามชานาญถ่ายภาพ และเข้าใจเรอื่ ง ของการวัดแสงเป็นอย่างดี เพราะกล้องจะเน้นน้าหนกั ไปยงั ตาแหนง่ น้ีถึง 90% และบริเวณรอบๆเพียง 10% เหมาะสาหรบั การถา่ ยท่ีตวั แบบมฉี ากหลังท่สี วา่ งมาก หรือมืดมากกว่าปกติ และยอ้ นแสง โดยให้เลือกวัด แสงในส่วนทีต่ ้องการใหแ้ สงพอดี ท้ังนี้ขน้ึ อยู่กบั ประสทิ ธภิ าพของกล้องแต่ละรนุ่ อีกดว้ ย

24 รูปท่ี 33 แสดงการวัดแสงแบบเฉพาะจุด การชดเชยแสง ในการวดั แสงอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เราจงึ ต้องชดเชยแสง เพอื่ ให้ภาพออกมาสวยงาม ตามต้องการ เช่น การวดั แสงสขี าวในกลอ้ ง ซ่ึงเปน็ ระบบอัตโนมัติ กล้องจะคานวณค่าแสงผดิ เพย้ี น ทาให้ แสงลดลง ภาพที่ไดจ้ ึงมืด ไม่เหมือนจริง (Under) เราจึงควรชดเชยแสงโดยการปรับชดเชยแสงท่กี ลอ้ งไป ทาง +1 หรอื +2 เพ่ือชว่ ยใหจ้ ุดสนใจสวา่ งสดใสขนึ้ ในทางตรงกันขา้ มหากวัดแสงสดี า ภาพที่ถ่ายไดจ้ ะ สวา่ งเกินจริง (Over) เราจงึ ควรชดเชยแสงโดยการปรบั ชดเชยแสงที่กล้องไปทาง -1 หรอื -2 เพ่อื ช่วยใหจ้ ดุ สนใจเดน่ ชัดตัดกบั ฉากหลังสเี ขม้ ตามความเปน็ จรงิ รปู ท่ี 34 การชดเชยแสง การปรับต้ังคา่ ความไวแสง

25 ความไวแสง หรอื ISO (International Standards Organization) คือ คา่ มาตรฐานที่บอกความ ไวแสงของเซน็ เซอรข์ องกล้องถ่ายภาพ เปน็ การปรบั แสงให้เหมาะสม ความไวแสงของตัวรบั ภาพจงึ มผี ลทีจ่ ะ กาหนดปรมิ าณของแสงที่ตอ้ งการในการทาให้เกดิ ภาพๆ หนึง่ ยิ่งมีค่าความไวแสงมากข้ึนเทา่ ไหร่ กจ็ ะย่งิ ใช้ แสงนอ้ ยเทา่ น้ัน ตัวเลขค่า ISO มีอยู่หลายค่าดว้ ยกัน ที่ใชก้ ันอยทู่ ่วั ไปคอื ISO 100 ISO 200 ISO 400 ISO 800 ซง่ึ แตล่ ะคา่ นั้นความไวต่อแสงจะเพมิ่ ข้นึ หนงึ่ เท่า (หน่งึ สต็อป) คา่ ตวั เลขยิ่งมาก จะทาใหก้ ารรบั แสง มากขน้ึ เปน็ ลาดับ รปู ท่ี 35 การปรับต้งั คา่ ความไวแสง

26 บทท่ี 3 การจัดองค์ประกอบของภาพ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจและอธิบายความหมายของการจัดองคป์ ระกอบของภาพได้ 2. เพื่อให้ผูเ้ รียนทราบถึงประเภทการจัดองคป์ ระกอบของภาพ 3. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจหลกั การจดั องค์ประกอบของภาพ และสามารถนาไปจดั องค์ประกอบให้ภาพ มีความสวยงามได้

27 บทท่ี 3 การจัดองคป์ ระกอบของภาพ การถ่ายภาพ ไดเ้ ข้ามาเกี่ยวพันกบั ชวี ติ ประจาวนั ของมนษุ ย์มากย่ิงขนึ้ กลอ้ งถา่ ยภาพทีม่ รี าคาสงู ไม่ใช่เคร่ืองบง่ บอกถึงความสวยงาม หรอื คุณภาพของภาพถ่ายนัน้ ๆ แต่ขึน้ อย่กู ับเทคนิคการจดั องคป์ ระกอบ และการเลือกมุมถ่ายภาพทเ่ี หมาะสม เพือ่ เปน็ สื่อสาคญั ในการถา่ ยทอดข้อมลู ข่าวสาร หรือโนม้ น้าวจิตใจ ของผูช้ มให้เกดิ อารมณ์และความรสู้ ึกคลอ้ ยตาม การจดั องคป์ ระกอบของการถ่ายภาพ เปรียบได้กบั การสรา้ งงานศิลปะของจิตรกร ซ่งึ เทคนิคการ จัดองค์ประกอบ ไมใ่ ช่หลักเกณฑ์ตายตวั เป็นเพยี งแนวทาง / หลกั เกณฑ์พื้นฐานให้ชา่ งภาพยดึ ถือปฏบิ ตั ิ เพอื่ นาไปประยุกต์ใชใ้ นการสื่อความหมายของภาพให้เหมาะสมและมปี ระสิทธิภาพ ความหมายของการจดั องค์ประกอบของภาพ การจัดองคป์ ระกอบของภาพ (Composition) หมายถึง การจดั วางองค์ประกอบตา่ งๆ ภายในภาพ ไม่วา่ จะเปน็ ลกั ษณะเส้น รปู ร่าง รูปทรง ทว่ี า่ ง ความกลมกลนื ความแตกตา่ ง สี แสงและเงา ฯลฯ หรือจะ กล่าวอกี นัยนึงก็คือ การจดั ทุกสงิ่ ทกุ อยา่ งท่ีปรากฏทางช่องมองภาพ (view finder) ให้มีความสมดุล โดย การเลือกจัดวัตถทุ ีเ่ ปน็ จุดเด่น น่าสนใจ ผสมผสานกบั การจดั บรรยากาศโดยรอบใหอ้ ยู่ในพื้นท่ขี องภาพอย่าง งดงาม มีคณุ ค่าทางสนุ ทรยี ภาพ ดงึ ดูดใจของผูช้ มใหค้ ลอ้ ยตามอารมณ์ภาพท่ีแสดงออกมา การจดั องคป์ ระกอบของภาพ การจัดองค์ประกอบของภาพ มีอยดู่ ้วยกัน 2 ประเภท คือ 1. การจดั องค์ประกอบต่างๆ ของวัตถุในภาพน้นั ให้อยู่ในตาแหนง่ ใดๆ ก็ได้ ส่วนใหญจ่ ะเปน็ การถา่ ยสง่ิ ที่อยนู่ ิ่ง และสงิ่ ท่ีไมม่ ชี ีวิต เช่น การถ่ายภาพคน (Portrait) ดอกไม้ เคร่ืองเล่น เคร่อื งกีฬา การถา่ ยภาพโฆษณาสินค้า ฯลฯเพราะสามารถควบคุมองค์ประกอบต่างๆ ให้อยูใ่ นตาแหนง่ ตามทเ่ี รา ต้องการได้ 2. การจัดองค์ประกอบต่างๆ ทเ่ี ราไม่สามารถควบคมุ ได้ตามต้องการ เชน่ ทิวทศั นต์ ามธรรมชาติ หรอื เหตุการณเ์ คล่ือนไหวต่างๆ ตกึ รามบ้านชอ่ ง ฯลฯ

28 หลกั การจัดองคป์ ระกอบของภาพ หลกั การจดั องคป์ ระกอบของภาพ ท่ผี ูเ้ รียนควรรู้ มีดงั น้ี รปู ทรง เป็นการจดั องค์ประกอบภาพทใ่ี ห้ความรสู้ ึก สงา่ งาม มน่ั คง โดยต้องเลอื กทิศทางของแสง และมุมมองให้เหมาะสม เพื่อเน้นให้เห็นความกวา้ ง ความสูง ความลึก ทงั้ ด้านหน้าและดา้ นขา้ ง ซ่ึงส่วนใหญ่ เรียกว่า Perspective หรอื ภาพ 3 มติ ิ เหมาะสาหรบั การถ่ายภาพทางสถาปัตยกรรม อาคารสถานท่ี วัตถุ หรอื เครือ่ งมือเคร่ืองใช้ต่างๆ รูปที่ 36 ภาพถา่ ยรปู ทรง รูปร่างลกั ษณะ เป็นการจัดองคป์ ระกอบภาพทเ่ี น้นเฉพาะความกว้างกบั ความยาว โดยไม่แสดง รายละเอียดของภาพ สว่ นใหญ่เรียกภาพ 2 มติ ิ การถ่ายภาพลกั ษณะน้ีจะใช้แสงและนา้ หนักสที ีแ่ ตกต่างกนั เช่น ภาพเงาดา (Silhouette) ซ่ึงเปน็ การถ่ายภาพยอ้ นแสง ใหค้ วามรสู้ กึ ลึกลบั น่าสนใจ ใหอ้ ารมณแ์ ละ สร้างจินตนาการ ขอ้ ควรระวังในการถา่ ยภาพลักษณะนคี้ ือ วตั ถทุ ี่ถ่ายต้องมีความเรียบง่าย เด่นชดั สื่อความหมาย ไดช้ ดั เจน ฉากหลังต้องไมม่ ารบกวน ทาใหภ้ าพนน้ั หมดความงามไป

29 รปู ที่ 37 ภาพถ่ายรปู รา่ งลกั ษณะ ความสมดุลท่เี ทา่ กนั เปน็ การจดั องคป์ ระกอบภาพใหด้ ้านซ้าย และด้านขวามนี า้ หนักเท่ากันทั้ง สองดา้ น ไม่เอยี งไปดา้ นใดด้านหนึ่ง เพ่ือใหภ้ าพดูนงิ่ ม่ันคง สง่างาม รปู ท่ี 38 ภาพถ่ายความสมดลุ ท่เี ท่ากัน ความสมดุลท่ีไมเ่ ท่ากนั การจัดภาพแบบนจ้ี ะตา่ งกนั อยทู่ ี่วัตถุดา้ นซ้ายและดา้ นขวา มขี นาดและ รูปรา่ งทแี่ ตกตา่ งกัน แต่เราสามารถทาใหส้ มดุลไดด้ ว้ ยปจั จัยต่างๆ เชน่ สี รปู ทรง ทา่ ทาง ฉากหน้า ฉากหลงั ฯลฯ ภาพในลกั ษณะนี้ จะให้ความรสู้ กึ สวยงาม แปลกตาดี

30 รูปท่ี 39 ภาพถ่ายความสมดลุ ทไี่ มเ่ ท่ากัน ฉากหน้า เปน็ การจัดองค์ประกอบภาพทช่ี ่วยใหเ้ กดิ ระยะใกล้ กลาง ไกล หรือท่มี ีมติ ขิ ึ้น เป็นการ เตมิ เตม็ ในสว่ นที่มกั จะเป็นพื้นท่โี ล่งๆ ในภาพ เมือ่ ใช้เลนสม์ มุ กว้าง จะทาให้วัตถใุ นภาพดูไกลออกไปเกนิ จรงิ แต่ฉากหน้าจะทาให้รูส้ กึ วา่ พื้นท่ีนัน้ ๆ ไม่ไดไ้ กลจนเกนิ ไป ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ ตัวชว่ ยบอกระยะในภาพและดงึ ดูด สายตาของผ้ชู มใหเ้ ขา้ ไปสูจ่ ุดเด่นในภาพได้ ดังนน้ั ควรเลือกวางตาแหน่งและปริมาณของฉากหนา้ อย่าง เหมาะสม เพื่อให้ภาพนา่ สนใจ มีชีวติ ชีวา และชว่ ยใหภ้ าพดมู ีเร่ืองราวมากยงิ่ ขน้ึ อาจใช้ก่งิ ไม้ วัตถุ หรอื สง่ิ ต่างๆ ทอี่ ยู่ใกลก้ ับกลอ้ ง เพื่อชว่ ยเนน้ ใหจ้ ดุ สนใจทตี่ ้องการเนน้ มีความเดน่ ยง่ิ ข้ึน และไม่ให้ภาพมีชอ่ งวา่ ง เกินไป ขอ้ ควรระวงั อยา่ ให้ฉากหนา้ เด่นจนแยง่ ความสนใจจากส่ิงที่ตอ้ งการเนน้ หรือมสี ีสันท่ีรบกวนแบบ ในภาพมากเกนิ ไป และหลีกเล่ยี งฉากหน้าท่ีมกี ารสะท้อนแสงใหเ้ กดิ จุดเดน่ ของภาพ เพราะจะทาให้ภาพมี ความสวยงามลดลงไปด้วย

31 รูปท่ี 40 (1) ภาพถ่ายท่ีไม่มีฉากหน้า (2) ภาพถา่ ยทมี่ ีฉากหน้า ฉากหลัง เปน็ การจัดองคป์ ระกอบภาพส่ิงทอี่ ยู่ด้านหลังจุดสนใจ หรือวัตถทุ ่ตี ้องการเนน้ ใหเ้ ดน่ ขึน้ มา ควรเลือกฉากหลงั ทก่ี ลมกลนื ไม่ทาใหจ้ ุดเด่นของภาพด้อยลง หรือมารบกวนทาให้ภาพนนั้ ขาดความ ความสวยงามลดลงไปดว้ ย รูปท่ี 41 ภาพถา่ ยฉากหลัง กฏสามสว่ น เป็น การจดั องคป์ ระกอบภาพ ตามแนวตง้ั หรอื แนวนอน โดยใชเ้ สน้ ตรง 4 เสน้ ตัดกนั จนเกดิ จดุ ตดั 4 จดุ หรือ แบ่งเปน็ 3 สว่ น ซ่งึ เปน็ ตาแหนง่ ท่เี หมาะสมสาหรบั จัดวางวตั ถุท่ตี ้องการเน้นให้ เปน็ จุดเด่นหลกั

32 รปู ท่ี 42 ภาพถา่ ยกฎสามส่วนตามแนวต้ัง รูปท่ี 43 ภาพถ่ายกฎสามส่วนตามแนวนอน นักถ่ายภาพท้ังมืออาชีพ และมือสมัครเล่นนยิ มใชก้ ฎสามส่วนในการถา่ ยภาพ เพราะทาใหภ้ าพดมู ี ชีวติ ชวี า ภาพดเู ดน่ ไม่แนน่ หรือหลวมจนเกนิ ไป กฎสามส่วนนใ้ี ช้หลีกเลี่ยงการวางตาแหนง่ ของวตั ถุหลักท่ี เราจะถา่ ยไมใ่ ห้อยู่ตรงจุดกง่ึ กลางภาพ หรือจะจัดในตาแหน่งที่ใกลเ้ คียงก็ได้ ไมจ่ าเป็นต้องวางอยู่บนจดุ ตดั พอดี นอกจากน้ีเรายงั สามารถใชแ้ นวเสน้ แบ่ง 3 เสน้ เป็นแนวในการจัดสัดส่วนภาพก็ไดอ้ ยา่ งการจดั วาง เสน้ ขอบฟ้าให้อยูใ่ นแนวเสน้ แบง่ โดยใหส้ ่วนพืน้ ดินและท้องฟ้าอยู่ในอัตราส่วน 3:1 หรอื 1:3 แต่ไม่ควรแบ่ง 1: 1 ซง่ึ จะทาให้ภาพน้ันแข็งท่ือ ไม่ชวนมอง

33 รูปท่ี 44 ภาพถา่ ยอตั ราส่วน 3:1 รูปที่ 45 ภาพถ่ายอตั ราส่วน 1:1

34 เส้นนาสายตา เปน็ การจดั องค์ประกอบภาพท่ีใช้เสน้ ที่เกิดจากวัตถุ หรือส่งิ อ่นื ๆ ทมี่ ีรปู ร่างลักษณะ ใกลเ้ คียงกัน เรียงตวั กันเป็นทิศทางไปสู่จุดสนใจ เราสามารถใช้ถนน ลาธาร ทอ่ นไม้ นว้ิ มือ หรือสง่ิ ที่มอี ยู่ใน ขณะนน้ั เป็นเสน้ นาสายตา ให้ความลกึ เสมือนกับทีต่ าเห็น เมอ่ื วางเส้นนาสายตาไปสู่จุดเด่น จะทาใหภ้ าพมี ความชดั เจน น่าสนใจ มคี วามเด่นชัดย่ิงข้ึน รปู ที่ 46 ภาพถ่ายเส้นนาสายตา เสน้ เปน็ เรือ่ งทมี่ หัศจรรย์ โดยแตล่ ะเส้นสามารถส่ือความหมายไดแ้ ตกต่างกัน เช่น - เส้นตรง ใหค้ วามรู้สกึ มัน่ คงแข็งแรง รปู ท่ี 47 ภาพถ่ายเสน้ ตรง

35 - เสน้ ทะแยง ให้ความรสู้ ึกเคลื่อนไหว ไม่มน่ั คง รปู ที่ 48 ภาพถ่ายเส้นทะแยง - เสน้ นอน ใหค้ วามรู้สกึ นง่ิ ราบเรยี บ ผอ่ นคลาย รปู ท่ี 49 ภาพถ่ายเส้นนอน

36 - เสน้ โคง้ ให้ความรสู้ ึกเคล่ือนไหว ชา้ ๆ นุ่มนวล รปู ที่ 50 ภาพถ่ายเสน้ โคง้ - เส้นหยัก ใหค้ วามรู้สึกขดั แย้ง นา่ กลัวรนุ แรง และเป็นจังหวะ รูปที่ 51 ภาพถ่ายเส้นหยกั

37 - เสน้ ประ ให้ความร้สู ึกไม่ตอ่ เนอื่ ง ขาดหาย รปู ท่ี 52 ภาพถ่ายเสน้ ประ เนน้ ด้วยกรอบภาพ เป็นการจัดองค์ประกอบภาพเพ่ือเพิ่มมติ ิด้านความลึก ลดพน้ื ท่วี ่าง และเนน้ วัตถุภายใน โดยใชก้ รอบประตู หน้าตา่ ง กาแพง กง่ิ ไม้ หรือสิ่งอื่นใดท่มี ีอยู่ในธรรมชาติ ผชู้ มจะถกู บีบด้วย กรอบที่ซ้อนอยูใ่ นภาพให้มองไปยังจุดสนใจทเ่ี ราวางไว้ ซง่ึ จะทาใหภ้ าพดูน่าสนใจ กระชับมากข้ึน รปู ท่ี 53 ภาพถ่ายเน้นด้วยกรอบภาพ เนน้ รปู แบบซ้าซ้อน เปน็ การจัดองค์ประกอบภาพโดยใหว้ ัตถุทมี่ ีลกั ษณะเหมือนกันอยใู่ นตาแหน่ง เดยี วกัน หรืออาจวางเป็นกลุ่ม เช่น ภาพรถทจี่ อดเรียงกันหลายคัน ภาพจักรยานเรียงกันเปน็ แถว จะทาให้ ภาพดูสนุก มีเสน่ห์ และแปลกตา

38 รปู ท่ี 54 ภาพถ่ายเนน้ รูปแบบซ้าซอ้ น การเหลือพ้นื ที่ เป็นการจดั องค์ประกอบภาพเพื่อให้คนดภู าพไม่รสู้ ึกอึดอดั และยังเหลือพ้ืนท่วี า่ งให้ คดิ หรอื จนิ ตนาการตอ่ ไปได้ เช่น คนหนั หนา้ ไปทางทิศเหนือ เราก็ควรเว้นว่างในทิศเหนือไว้ หรือรถกาลงั มุ่ง ไปข้างหนา้ เรากค็ วรเหลือพน้ื ทไี่ ว้ในทิศทางทีร่ ถจะไป รูปท่ี 55 ภาพถ่ายการเหลือพื้นท่ี

39 สี เปน็ การจัดองคป์ ระกอบภาพประเภทหน่ึง ถา้ จดั สใี หถ้ ูกต้อง เหมาะสมแล้ว จะเป็นการสง่ เสริม ให้เกิดอารมณ์ ความรสู้ ึก และเกดิ ไอเดยี ของภาพนน้ั ๆ ซึ่งสแี ตล่ ะสีมอี ิทธพิ ลต่อความรู้สึกนึกคิดของ แตล่ ะคนไม่เหมือนกัน บางสีทาใหเ้ กดิ ความรู้สกึ สงบ ม่ันคง บางสีทาให้เกิดความต่ืนเตน้ เรา้ ใจ หรือทาให้ เกิดความนุ่มนวล ออ่ นหวาน เปน็ ต้น ในการจดั สขี องวัตถนุ น้ั ควรคานึงถงึ คุณภาพของแสงหรือสีของแสงด้วย เพอื่ เนน้ จุดเด่น ใหม้ ี ความกลมกลนื กนั หรือตัดกัน เชน่ สีขาว ทาใหเ้ กดิ ความรสู้ ึกบริสทุ ธิ์ สดใส ใหมส่ ะอาด สดี า สีเทา ทาใหเ้ กิดความรสู้ กึ หดหู่ เคร่งขรมึ สีแดง หรือสม้ ทาให้เกดิ ความรู้สกึ ตน่ื เตน้ ร้อนแรง เร้าใจ สีเขยี ว ทาให้เกิดความรู้สึกสบายตา สดช่นื ร่มเยน็ สนี า้ เงิน ทาให้เกิดความรูส้ ึกสงบ เงยี บขรมึ เอาการเอางาน สีชมพู ทาให้เกดิ ความรสู้ ึกนุ่มนวล อ่อนโยน ออ่ นหวาน สเี หลอื ง หรือสีทอง ทาให้เกิดความรู้สกึ สดชน่ื รน่ื เรงิ มีคณุ ค่า มีราคา หรหู รา สมี ่วง ทาให้เกดิ ความรูส้ ึกเศรา้ ลกึ ลับ รูปที่ 56 ตัวอย่างภาพถ่ายสีต่างๆ

40 ลกั ษณะพื้นผิว เป็นการจัดองคป์ ระกอบภาพทแ่ี สดงให้เห็นลักษณะภายนอกของวัตถุ ซง่ึ สามารถ สัมผัสจบั ต้อง หรอื มองเหน็ แล้วเกิดความรสู้ ึกได้ ลักษณะพ้นื ผวิ มหี ลายรปู แบบ และให้ความรู้สึกทแ่ี ตกตา่ ง กนั เชน่ ผิวละเอยี ด ให้ความรสู้ กึ นุม่ นวล เบา สุภาพ, ผวิ เรยี บมนั วาว ให้ความรู้สกึ ล่นื หรูหรา มรี าคา, ผิวหยาบ ใหค้ วามรู้สกึ เข้มแข็ง หนกั แนน่ กระดา้ ง น่ากลัว ฯลฯ ซึ่งลกั ษณะพน้ื ผวิ จะชว่ ยขับเน้น ความเด่น ใหก้ ับองคป์ ระกอบสาคัญ และสรา้ งอารมณใ์ ห้เกดิ ขนึ้ ในภาพได้ เราสามารถจดั องค์ประกอบของลกั ษณะ พืน้ ผิว และทิศทางของแสงให้เหมาะสมได้ เช่น การจดั วัตถุผิวเรียบบนพนื้ ผวิ ท่ขี รุขระ จะทาใหภ้ าพมี ลักษณะทต่ี ดั กนั มองเหน็ วัตถุทีผ่ ิวเรยี บได้เด่นชัดขึน้ แสงสวา่ งแรงจะทาให้เหน็ ลายของผิวพ้ืนได้ชัดเจนกว่า แสงท่ีนมุ่ นวล แตแ่ สงนุ่มนวลจะทาให้เกดิ ความกลมกลนื ของ รปู ทรงและลายผิวพืน้ ได้ดีกว่า เป็นตน้ รูปที่ 57 ภาพถ่ายลักษณะพืน้ ผิว ความเป็นเอกภาพ เป็นการจัดองคป์ ระกอบภาพให้มคี วามเชื่อมโยงกนั ขององคป์ ระกอบภาพ เป็นอนั หนึง่ อันเดยี วกัน กลมกลนื กนั เพือ่ ใหเ้ กดิ ความเปน็ ระเบียบ มีสมดุล สามารถสือ่ ความหมายของภาพ ใหเ้ ป็นเรื่องราวไดม้ ากย่งิ ขน้ึ รูปที่ 58 ภาพถ่ายความเป็นเอกภาพ

41 ความกลมกลืน เป็นการจดั องคป์ ระกอบภาพทมี่ ีความคล้ายคลึงกัน เหมือนกัน หรอื ขัดแยง้ กันมา จดั วางอยา่ งสัมพนั ธก์ นั เกิดการประสานกนั อยา่ งเหมาะสม ลงตวั จะทาใหภ้ าพงดงาม และนาไปสู่เน้ือหา เร่ืองราวทนี่ าเสนอ เช่น ถา้ มวี ัตถุหลายๆ อยา่ งในทิวทศั น์ วัตถุแตล่ ะอันควรจะมคี วามเก่ียวพนั กับวัตถุอนื่ ๆ เช่น ถ่ายภาพท่งุ นา ให้มีพระอาทิตย์ กระท่อมปลายนา นก หรือถ่ายภาพทะเล ให้มนี กนางนวล พระอาทิตย์ บานานา่ โบ๊ต เป็นตน้ ความกลมกลนื มี 2 แบบ คอื รปู ที่ 59 ภาพถ่ายความกลมกลนื 1. ความกลมกลืนแบบคลอ้ ยตามกนั หมายถึง การนาเอาองค์ประกอบชนิดเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น รปู รา่ ง รูปทรง เส้น หรือสี ทม่ี ลี ักษณะเดียวกัน แต่ขนาดแตกตา่ งกนั มาจัดวางดว้ ยกัน ซึ่งจะทาใหภ้ าพ ความรู้สึกกลมกลนื กัน รูปท่ี 60 ภาพถ่ายความกลมกลืนแบบคล้อยตามกนั 2. ความกลมกลืนแบบขดั แย้ง หมายถึง การนาเอาองค์ประกอบตา่ งชนิดกัน ต่างรปู ร่าง รูปทรง ตา่ งเสน้ ตา่ งสี มาจัดวางในภาพเดยี วกนั ซง่ึ จะทาให้ภาพเกิดความขัดแย้งกัน แต่ภาพยังให้ความรู้สกึ กลมกลนื กนั

42 รปู ท่ี 61 ภาพถ่ายความกลมกลนื แบบขัดแยง้ นอกจากการจดั องค์ประกอบที่กล่าวมาข้างตน้ แลว้ ยังมีสว่ นสาคญั ท่ตี ้องคานึงถงึ อีก คือ มุมกลอ้ ง การถ่ายภาพวตั ถุเดียวกนั โดยใช้มมุ กล้องที่ต่างกัน จะมผี ลตอ่ ความรสู้ กึ ความคดิ การสือ่ ความหมายได้ มมุ กล้องแบง่ ออกเปน็ 3 ระดบั คือ ภาพระดับสายตา คือ การถา่ ยภาพในตาแหนง่ ทกี่ ล้องขนานกับพื้นดนิ ระดับเดยี วกันกับสายตา เช่นเดียวกับทสี่ ายตามองเหน็ จะใหค้ วามรู้สกึ เปน็ ปกติ ธรรมดากบั ภาพนนั้ ๆ รูปที่ 62 ภาพถ่ายระดบั สายตา

43 ภาพมุมตา่ คือ การถ่ายภาพในตาแหน่งทกี่ ล้องอยูต่ า่ กว่าวัตถุ จะใหค้ วามรสู้ กึ ถึงความสูงใหญ่ ความสง่าเผยของวตั ถุ มีอานาจ ทรงพลงั เป็นต้น รปู ท่ี 62 ภาพถ่ายมมุ ต่า ภาพมุมสูง คือ การถา่ ยภาพในตาแหน่งที่กล้องอยสู่ ูงกว่าวัตถุ จะใหค้ วามร้สู กึ ถงึ ความเล็ก ความตอ้ ยต่า ไม่มีความสาคัญ นอกจากนีย้ ังสามารถเกบ็ รายละเอียดตา่ งๆ ไว้ไดม้ ากอีกด้วย รปู ท่ี 63 ภาพถ่ายมุมสูง

44 การเปลี่ยนมุมภาพแตล่ ะครงั้ ควรพิจารณาถึงผลดี ผลเสียกอ่ นการถา่ ยภาพ เช่น ถา้ ถ่ายภาพคน ด้วย มุมต่า หรือมุมสงู เกินไป จะทาให้รปู ทรงของใบหน้าผดิ ส่วน ไม่สวยงาม เช่น เห็นคอส้ัน คางใหญ่ จมกู บาน หัวลา้ น เต้ยี ส้ัน เปน็ ตน้ จากหลักการจดั องคป์ ระกอบภาพท่ีกล่าวมาท้ังหมด เปน็ เพียงหลกั พ้ืนฐานในการถ่ายภาพท่คี วร นาไปประยุกต์ใช้ ผูถ้ า่ ยภาพไมจ่ าเป็นที่จะตอ้ งใชเ้ พียงหลกั การอย่างเดียวในการจัดองค์ประกอบภาพ แตค่ วรใช้จนิ ตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ผนวกกบั แสง และสี ในการสรา้ งสรรค์ผลงาน นอกจากน้ี ยงั ควรฝึกฝนถ่ายภาพบ่อยๆ เพ่ือให้เกดิ ความชานาญยิง่ ขึ้น

45 บทท่ี 4 เทคนคิ การจดั แสงเพอ่ื ถา่ ยภาพ และการใช้งานแฟลช จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ผ้เู รียนมคี วามร้คู วามเขา้ ใจเกี่ยวกบั ลกั ษณะของแหล่งแสง ประเภทของแสง และทิศทางของแสง 2. ผเู้ รยี นมคี วามร้คู วามเข้าใจเก่ียวกบั การจัดแสงเบื้องต้น ข้ันตอนของการจดั แสง การวดั แสงเพ่ือ การถา่ ยภาพ และสามารถนาไประยุกตใ์ ช้ในการถ่ายภาพได้ 3. ผเู้ รียนมคี วามรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การใช้ไฟแฟลชในการถ่ายภาพ และเทคนิคการใช้แสงแฟลช

46 บทท่ี 4 เทคนิคการจดั แสงเพ่อื ถา่ ยภาพ และการใชง้ านแฟลช “แสง” นบั เป็นองคป์ ระกอบพนื้ ฐานสาคญั อยา่ งหน่ึงที่ทาให้ภาพถ่ายดมู ชี ีวิตชีวา ไดอ้ ารมณ์สมจริง ดังนั้น ผู้ถ่ายภาพจงึ ต้องมีความรูค้ วามเขา้ ใจเบอ้ื งต้นท่ถี ูกต้องเก่ยี วกับเรือ่ งแสง เพื่อทจ่ี ะไดค้ วบคุมคุณภาพ ของแสง (light quality) ไดก้ ่อนทจี่ ะยอมใหแ้ สงผา่ นเลนส์เขา้ ไปบันทกึ ลงบนอมิ เมจเซ็นเซอรซ์ ง่ึ ถูกควบคุม โดยแวน่ กรองแสง (filter) ความรู้พ้นื ฐานเกี่ยวกับแสงและสีของการถา่ ยภาพ แสงนับเปน็ ปจั จยั พ้ืนฐานในการถ่ายภาพ แสงสามารถทจ่ี ะสรา้ งอารมณ์ให้ภาพถ่ายมีคุณคา่ และ ความงามเชิงศิลปะ มีผลถงึ ความรสู้ กึ ชว่ ยถา่ ยทอดใหเ้ กิดความประทบั ใจขึน้ ได้ การมีความเข้าใจเร่ืองแสง อย่างละเอียดลึกซ้งึ นอกจากเพิ่มมติ ิของภาพถ่ายข้ึนแล้ว ยังทาใหช้ ้นิ งานได้รบั ความโดดเดน่ สวยงามมีความ สมบรู ณ์ สะดดุ ตา สามารถทจ่ี ะสรา้ งบรรยากาศของภาพถ่ายใหส้ มจริง หรือแม้แตส่ ร้างความมชี ีวติ ชวี า ใหเ้ กิดข้นึ ได้ ลกั ษณะของแหล่งแสง การจัดแสงเราจาเป็นท่ีจะต้องรเู้ กย่ี วกบั ช่วงเวลา และทศิ ทางของแสง ไมว่ า่ จะเป็นแสงจาก ธรรมชาติ เชน่ แสงแดดท่สี อ่ งเขา้ มาในห้องจากทางหนา้ ตา่ ง หรอื แสงประดิษฐ์ เช่น จากหลอดไฟถนน จากแฟลช เปน็ ตน้ แหลง่ แสง หรือตน้ กาเนิดแสง โดยทวั่ ไปจะมีอยู่ 2 ลักษณะ ดงั น้ี 1. แหลง่ แสงทใ่ี หแ้ สงกระดา้ ง (hard light source) เป็นแสงทอ่ี อกมาจากแหล่งกาเนิดแสงโดยตรง ไม่ผา่ นวตั ถุกรองแสงใดๆ ทงั้ ส้ิน แสงในลักษณะนจี้ ะทาใหเ้ กิดความสวา่ ง ในบรเิ วณทแี่ สงมาตก กระทบ ส่วนพ้ืนที่ท่แี สงสอ่ งเข้าไปไมถ่ ึงจะเกดิ เงาดาท่ีตดั กนั อยา่ งรนุ แรง แสงกระดา้ งนจ้ี ะเน้นใหเ้ ห็นถงึ ความคมชดั ของเงา มเี ส้นขอบชัดเจน แหลง่ แสงทเี่ ปน็ แสงกระด้าง ไดแ้ ก่ แสงจากดวงอาทติ ย์ในวันฟ้าใส เพราะเปน็ แหล่งแสงท่เี ลก็ เมื่อเปรยี บเทียบกับระยะหา่ งจากโลกถึงดวงอาทติ ย์ ดังนั้นทาให้รงั สีของแสงทสี่ ่องมายงั พ้ืน โลกเกอื บจะเปน็ เสน้ ตรง, แสงสปอตไลท์ทส่ี อ่ งตรงมายังวัตถุ หรือแสงจากเทยี นไข เปน็ ต้น 2. แหลง่ แสงท่ีใหแ้ สงนมุ่ นวล (soft light source) เป็นแสงทอ่ี อกมาจากแหล่งกาเนิดแสง โดยผา่ น วตั ถกุ รองแสง เชน่ กระดาษไข หรอื กระจกฝ้า หรือสะท้อนไปยงั พ้นื ผิวของสง่ิ ใดสง่ิ หน่งึ ก่อนแลว้ จงึ คอ่ ย สะท้อนกลับมายังวตั ถุ มีความฟุ้งกระจายของแสงมากกว่า หรอื เรียกวา่ แสงไร้ทิศทาง (directionless) แสงในลกั ษณะนี้ จะทาให้เกดิ ความนุ่มนวลไม่แขง็ กระด้าง และในส่วนสวา่ งทีแ่ สงมาตกกระทบก็ให้ความ นุ่มนวล อีกท้งั ลักษณะเงาท่ไี ด้ ก็ไม่คอ่ ยคมชดั มเี ส้นขอบไม่ชดั เจน แหลง่ แสงท่ีให้แสงนุม่ นวล ได้แก่ แสงใน วันฟา้ ครึม้ เมฆมาก หรือแสงสะท้อนจากวสั ดุผวิ ไมเ่ รียบ เป็นตน้

47 ท้งั นี้ ขนาดและระยะห่างจากแหล่งแสง มีสว่ นทาให้แสงน้นั กระดา้ ง หรือนุ่มนวลได้เชน่ กัน โดย แหลง่ แสงทมี่ ีขนาดใหญ่ จะให้แสงทีน่ ุ่มนวลกว่าแหล่งแสงท่ีมีขนาดเลก็ และแหล่งกาเนดิ แสงท่ีอยู่ไกลจะให้ แสงที่กระด้างกว่าแหลง่ แสงที่อยู่ใกล้อกี ดว้ ย นอกจากน้ี ทอ้ งฟา้ ยังชว่ ยทาหนา้ ทีเ่ ป็นแผน่ สะท้อนแสงขนาดใหญท่ ี่ชว่ ยสะท้อนแสงกลบั มาลบเงา ทีเ่ กิดจาก ดวงอาทิตยเ์ องดว้ ย ในการถา่ ยภาพความสมั พันธ์ระหวา่ งแสงกระด้างและแสงนุ่มนวล จะช่วยทา ใหว้ ัตถดุ ูมมี ิติ สมจริงและสวยงามมากย่งิ ข้นึ และยงั สามารถควบคมุ ความหนาแน่นและความชัดเจนของเงา ได้ รปู ท่ี 64 เปรยี บเทียบภาพระหวา่ งแสงกระดา้ งและแสงนุ่ม ชว่ งของแสงทีเ่ รียงลาดบั จากกระดา้ งทส่ี ุดไปจนอ่อนน่มุ ทส่ี ุด มีดังนี้ 1. แสงจากดวงอาทิตย์ยามอากาศแจ่มใส 2. แสงจากหลอด Carbon arcs 3. แสงจากโคมสปอตไลท์ (Ellipsoidal spotlights) 4. แสงจากโคมไปแบบเฟรชเนล (Fresnel lights - HMI and Quartz) 5. แสงจากหลอดพาราโบลกิ (PAR bulbs)

48 6. แสงจากโคมเปดิ ด้านหนา้ ทุกชนดิ มกั จะเปน็ ชนดิ Quartz, Broads, Floods, Scoops, Lowel DP และแสงทถี่ ูกทาให้ฟุ้งกระจาย โดยการใส่ฟิลเตอร์เข้าไประหวา่ งโคมไฟกบั ตัวแบบ เชน่ ฟิลเตอร์ Tough Silk หรืออาจเป็นกระดาษไข, ผ้ามัสลนิ , ไหม หรือผา้ ชนดิ อื่นๆ เป็นต้น 7. แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนท์, Photofloods, ดวงไฟที่ใช้ในบา้ น 8. แสงที่ไดจ้ ากการสะทอ้ นวสั ดผุ วิ ไม่เรียบ เช่น โคมเฟรชเนลสะทอ้ นกับแผ่นโฟม หรือกาแพงสีขาว 9. แสงในวนั เมฆมากฟา้ ครึ้มหรอื มีหมอก 10. แสงขมุกขมวั จากในปา่ ทึบหรอื ทางเขา้ ถ้า ประเภทของแสง ในการถา่ ยภาพ ผ้ถู า่ ยภาพควรรู้เกย่ี วกบั เร่ืองแสงประเภทต่างๆ เพ่อื ทีจ่ ะเลือกสรร สรา้ ง จนิ ตนาการ และบรรยากาศใหภ้ าพถ่ายให้มีความสวยงาม และมีคุณคา่ มากย่ิงข้ึน ซึง่ สามารถแยกประเภท ของแสงได้ ดงั น้ี 1. แสงธรรมชาติ คือแสงทไี่ ด้จากดวงอาทติ ย์ หรอื แสงในเวลากลางวัน ซ่ึงเป็นแหลง่ กาเนดิ แสงท่ีให้ สีถกู ตอ้ งสวยงามตามธรรมชาติมากทสี่ ดุ การใชแ้ สงธรรมชาตใิ นการถ่ายภาพเปน็ แสงทคี่ วบคุมยาก เพราะ ไม่สามารถกาหนดหรือบังคับแสงใหไ้ ปในทิศทางท่ีเราต้องการหรอื ไม่อาจจะควบคุมปรมิ าณความเข้มของ สภาพแสงได้ ดงั นั้น จึงควรมีความรู้เกยี่ วกับแสงในช่วงเวลาที่ต่างกัน เชน่ ในเวลาเชา้ และเยน็ แสงอาทิตย์จะ นุ่มนวล ส่วนในเวลาเทยี่ งและบ่ายจะให้แสงทีส่ ว่างจา้ ดังนั้นผู้ถ่ายภาพควรมีการวางแผนเพราะสภาพแสงมี การเปลยี่ นแปลง ตลอดเวลา ในการถ่ายภาพนิยมหนั วตั ถุที่จะถา่ ยเขา้ หาดวงอาทิตย์ เพ่ือให้รบั แสงโดยตรง และหากต้องการ ให้เกดิ เงาในสว่ นท่แี สงสอ่ งไปไมถ่ งึ ต้องใชแ้ สงสะท้อนจากแผน่ สะท้อนแสง เขา้ ไปช่วยให้เหน็ รายละเอียด ในส่วนทเ่ี ปน็ เงา โดยแสงธรรมชาติท่ีเหมาะกบั การถ่ายภาพ คอื ชว่ งเชา้ ต้ังแตเ่ วลา 6.00 - 9.00 น. และ ช่วงเยน็ ตัง้ แตเ่ วลา 16.00 - 18.30 น. ซง่ึ จะให้แสงสีทเ่ี หมือนจรงิ สดใส และน่มุ สว่ นในเวลาเที่ยงและบ่าย ควร หลีกเล่ยี ง การ ถา่ ยภาพ เพราะ แสงอาทิตย์ ส่องตรง แรง และจัด เกนิ ไป ทา ใหภ้ าพทไ่ี ด้ จะสว่าง มาก

49 รปู ที่ 65 เปรียบเทียบภาพระหว่างตอนเช้าและตอนกลางวัน การถา่ ยภาพด้วยแสงธรรมชาตติ ามระยะเวลาสามารถทจ่ี ะจัดแบง่ ได้ ดังน้ี การถา่ ยภาพในตอนเชา้ ตรู่ (Early Morning) แสงในช่วงเวลาน้ีมีความเหมาะสมที่สดุ ในการ ถ่ายภาพ ซง่ึ ความเข้มของแสง จะค่อยๆ แปรผนั ไปตามลักษณะของบรรยากาศ เพราะจะใหค้ วามสดช่นื และนมุ่ นวล รปู ท่ี 66 การถ่ายภาพตอนเช้าตรู่ การถ่ายภาพในตอนเท่ยี งวัน (Midday) แสงของดวงอาทิตยใ์ นตอนเทย่ี งวนั จะมีสีขาวและ ความสวา่ งมากกวา่ เวลาอ่ืนๆ ประกอบกับทิศทาง หรือตาแหนง่ ของแหล่งกาเนิดแสงจะอยคู่ ่อนข้างตรง ศีรษะ หรือทามุม 90 องศา กับวัตถุ ภาพท่ีได้ในลกั ษณะน้ีจะมคี วามกระด้าง และมเี งาดาตดั กับสว่ นสว่าง ชัดเจน ทั้งนี้ขนึ้ อยู่กับฤดูกาลดว้ ยเชน่ กัน สาหรบั การถา่ ยภาพบคุ คลกจ็ ะต้องยุ่งยากและลาบาก เนอ่ื งจาก ใบหนา้ คนจะถูกบังดว้ ยเงา หรอื นัยนต์ ากจ็ ะลกึ หายลงไป แตถ่ า้ วันไหนท้องฟา้ มเี มฆมาก แสงทไ่ี ด้ก็จะลด ความกระด้างลง เน่ืองจากมเี มฆมากรองแสงไว้

50 รูปท่ี 67 การถ่ายภาพตอนเที่ยงวัน การถ่ายภาพตอนโพลเ้ พล้ (Dusk) เปน็ ช่วงเวลาท่ีแสงอาทิตยเ์ บาบางลง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เมฆจะกระจายแสง ใหส้ เี ร่อื ๆ ปนทอง อยู่ใกลข้ อบฟา้ ขณะทด่ี วงอาทิตยใ์ กล้จะลบั ขอบฟ้าดวงอาทติ ย์ จะดดู วงใหญ่ และสจี ดั จ้าน ภาพที่ถ่ายออกมาจะให้ความรู้สึกอบอุ่น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook