Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนรายวิชา ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.ปลาย

หนังสือเรียนรายวิชา ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.ปลาย

Published by workrinpho, 2020-07-19 02:34:20

Description: หนังสือเรียนรายวิชา ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.ปลาย

Search

Read the Text Version

7.4) รีพีตเตอร์ (Repeater) เป็นอุปกรณ์ทวนสัญญาณเพ่ือให้สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้ระยะไกลข้ึน คือ รีพีตเตอร์จะปรับปรุงสัญญาณที่อ่อนตัวให้กลับมาเป็นรูปแบบเดิม เพื่อให้สัญญาณสามารถส่งต่อไปได้อีก เช่น การเชื่อมต่อเครือข่ายแลนหลายๆ เซกเมนต์ ซึ่งความยาวของแต่ละเซกเมนต์น้ันจะมีระยะทางที่จากัด ดงั นนั้ อุปกรณอ์ ย่างรพี ตี เตอรก์ จ็ ะชว่ ยแก้ปัญหาเหลา่ นไ้ี ด้ รปู ที่ 8.4 รีพีตเตอร์ 7.5) โมเด็ม (Modem) เป็นอุปกรณ์ท่ีทาหน้าท่ีแปลงสัญญาณคอมพิวเตอร์ให้สามารถเช่ือม คอมพิวเตอรท์ ีอ่ ยู่ระยะไกลเขา้ หากันได้ดว้ ยการผ่านสายโทรศพั ท์ โดยโมเด็มจะทาหน้าที่แปลงสัญญาณ ซ่ึงแบ่ง ออกเป็นท้ังภาคส่งและภาครับ โดยภาคส่งจะทาการแปลงสัญญาณคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณโทรศัพท์ (Digital to Analog) ในขณะที่ภาครับนั้นจะทาการแปลงสัญญาณโทรศัพท์กลับมาเป็นสัญญาณคอมพิวเตอร์ (Analog to Digital) ดังน้ันในการเชื่อมต่อเครือข่ายระยะไกลๆ เช่น อินเทอร์เน็ต จึงจาเป็นต้องใช้โมเด็ม โดย โมเด็มมีท้ังแบบภายใน (Internal Modem) ท่ีมีลักษณะเป็นการ์ด โมเด็มภายนอก(External Modem) ท่ีมี ลักษณะเปน็ กลอ่ งแยกออกต่างหาก และรวมถึงโมเดม็ ท่ีเปน็ PCMCIA ท่มี กั ใชก้ บั เคร่ืองคอมพิวเตอรโ์ นต้ บคุ๊ รปู ท่ี 8.5 โมเดม็ 7.6) เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์เช่ือมระหว่างเครือข่ายย่อยสาหรับเครือข่ายย่อยท่ีต่าง มาตรฐานหรอื ต่างโปรโตคอลกัน ซึ่งเกตเวยจ์ ะทาหนา้ ที่แปลงโปรโตคอลให้ 100

รปู ที่ 8.6 เกตเวย์ 7.7) เราเตอร์ (Router) เป็นอุปกรณ์จัดเส้นทางการสื่อสารระหว่างระบบเครือข่ายย่อย โดยจะจัด เส้นทางของสัญญาณการสื่อสารระหว่างเครือข่ายท่ีใช้มาตรฐานหรือโพรโตคอลเดียวกัน อุปกรณ์เราเตอร์ตัว หนึ่งมีความสามารถรองรบั โพรโตคอลต่างๆ ได้หลายโพรโตคอล ซึ่งวิศวกรเครือข่ายสามารถกาหนดได้ว่าจะให้ เครือข่าย่อยใดสามารถส่งผ่านโพรโตคอลใดไปยังเครือข่ายย่อยอื่นๆ ได้ ในการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จะตอ้ งมีการเช่อื มโยงหลายๆ เครือข่าย หรืออุปกรณ์หลายอย่างเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงมีเส้นทางการเข้าออกของ ข้อมูลได้หลายเส้นทาง และแต่ละเส้นทางอาจใช้เทคโนโลยีเครือข่ายท่ีต่างกัน อุปกรณ์จัดเส้นทางจะทาหน้าท่ี หาเสน้ ทางทเี่ หมาะสมเพือ่ ใหก้ ารส่งข้อมลู เป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ การท่ีอุปกรณ์จัดหาเส้นทางเลือกเส้นทาง ไดถ้ ูกตอ้ งเพราะแตล่ ะสถานภี ายในเครอื ข่ายมีแอดเดรสกากับ อุปกรณ์จัดเสน้ ทางต้องรับรู้ตาแหน่งและสามารถ นาข้อมลู ออกทางเส้นทางไดถ้ ูกตอ้ งตามตาแหนง่ แอดเดรสท่ีกากบั อยูใ่ นเส้นทางนน้ั รปู ที่ 8.7 เราเตอร์ 101

7.5) การ์ดเครือข่าย (Network Interface Card) หรือการ์ดแลน หรืออีเธอร์เน็ตการ์ด ทาหน้าท่ีใน การเชอื่ มคอมพิวเตอร์ท่ีใช้งานอยู่น้ันเข้ากับระบบเครือข่ายได้ เช่น ในระบบแลน เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ือง ในเครอื ขา่ ยจะต้องมกี ารด์ เครอื ขา่ ยท่ีเชื่อมโยงด้วยสายเคเบิลจึงสามารถทาให้เคร่ืองติดต่อกับเครือข่ายได้ ส่วน ในกรณีเปน็ ระบบแลนไร้สาย ก็จะต้องใช้การด์ แลนแบบไรส้ าย (Wireless PCI/PCMCIA Card) ร่วมกับอปุ กรณ์ ท่เี รยี กวา่ แอกเซสพอยต์ (Wireless Access Point) รูปที่ 8.8 การด์ เครือขา่ ย 8.2 ผบู้ รหิ ารระบบเครอื ขา่ ย บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารระบบเครือข่ายมีบุคคล 2 หน้าที่ได้แก่ ผู้ดูแลระบบ และวิศวกร เครอื ขา่ ย ซง่ึ ทาหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกนั ดังนี้ 1) ผู้ดูแลระบบ (System Administrator) เป็นผู้ที่จัดการบริหารระบบโดยเฉพาะแม่ข่าย เชน่ เดียวกับระบบคอมพวิ เตอรข์ นาดใหญ่เช่นเคร่ืองเมนเฟรมและมินิ แม่ข่ายในระบบเครือข่ายสามารถรองรับ ผู้ใช้งานได้หลายคนและทางานพร้อมกันหลายงาน จึงต้องมีผู้ทาหน้าที่ดูแลการปฏิบัติงานของแม่ข่าย หน้าท่ี ของผู้ดแู ลระบบครอบคลุมหน้าทด่ี ้านตา่ งๆ ได้แก่ 1.1) บัญชีและสิทธิของผู้ใช้ระบบ เช่น การเพิ่มผู้ใช้ใหม่ ระงับการใช้งานสาหรับผู้ใช้ กาหนด สิทธขิ องผใู้ ชใ้ ห้ใช้ทรัพยากรใดไดบ้ ้าง กาหนดสทิ ธกิ ารใชไ้ ฟลต์ ่างๆ ฯลฯ ความปลอดภัยของระบบ เชน่ การกาหนดสิทธิ การเปิด-ปิดระบบ การสารองขอ้ มลู และนาคืนขอ้ มูล ฯลฯ 1.2) กาหนดการจัดแบ่งและการใช้งานทรัพยากร เช่น หน่วยบันทึกข้อมูลโครงสร้างของการ จัดเก็บข้อมลู การใช้เครอ่ื งพิมพ์ตา่ งๆ 1.3) ตดิ ตง้ั -ปรับปรุงระบบปฏิบัติการ เช่น การปรับรุ่นของระบบปฏิบัติการ การเพิ่มดิสก์ใหม่ การเพิ่มอปุ กรณ์หรอื ทรพั ยากรของระบบ ฯลฯ 1.4) ติดต้ังโปรแกรมประยุกต์และโปรแกรมระบบลงในแม่ข่าย และดูแลสิทธิการใช้งาน โปรแกรมตา่ งๆ ของผใู้ ชแ้ ละกลมุ่ ผูใ้ ช้ 102

1.5) การปรับปรุงประสิทธภิ าพของแม่ขา่ ยให้สามารถรองรบั การใชง้ านของผใู้ ช้ในระบบได้ 1.6) ดแู ลระบบเครือข่ายแลน ทง้ั อุปกรณแ์ ละขา่ ยสายสญั ญาณสาหรบั เครอื ขา่ ยยอ่ ย 1.7) เป็นท่ปี รึกษาให้แกผ่ ู้ใช้ระบบเครือข่าย 1.8) ผู้ท่ีจะทาหน้าที่เป็นผู้ดูแลระบบ เป็นผู้ที่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์เป็น อย่างดีทั้งด้านฮาร์ดแวร์ ระบบปฏิบัติการ โปรแกรมระบบ ระบบเครือข่าย อาจเป็นผู้ท่ีจบการศึกษาด้าน วิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือเป็นผู้ที่สนใจศึกษาระบบคอมพิวเตอร์จนมีความ เช่ียวชาญในเร่ืองดังกล่าวข้างต้น และยังควรจะผ่านการศึกษาหรือฝึกอบรมด้านระบบเครือข่ายและ ระบบปฏิบัติการเครอื ขา่ ยเพอื่ ใหม้ คี วามสามารถในการปฏบิ ตั งิ านได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2) วิศวกรเครือข่าย (Network Engineer) ทาหน้าท่ีดูแลเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์เครือข่าย และข่ายสายสัญญาณ จานวนมาก เช่น เครือข่ายระดับองค์กร วิศวกรเครือข่ายจะทาหน้าที่ในการดูแลและ บริหารเครือข่ายโดยเฉพาะอุปกรณ์เครือข่าย เช่น เราเตอร์ อีเธอร์เน็ตสวิทซ์ เอทีเอ็มสวิทซ์ เนื่องจากอุปกรณ์ ดังกล่าวต้องมีการกาหนดคาสั่งหรือตั้งค่าข้อมูลสาหรับการทางาน โดยใช้คาสั่งเฉพาะของอุปกรณ์เครือข่าย ตามสภาวะแวดลอ้ มของเครือข่ายนนั้ ๆ วิศวกรเครือข่ายเป็นผู้ท่ีสาเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือวิศวกรรมโทรคมนาคม มี ความรู้ความเข้าใจในระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ ระบบเครือข่ายระดับองค์กร ระบบเครือข่ายกระดูกสันหลัง และไดร้ บั การศึกษาอบรมเกยี่ วกับอปุ กรณเ์ ครือข่ายท่ีติดตง้ั เพ่ือทาหน้าท่ตี า่ งๆ ได้แก่ 2.1) ออกแบบระบบเครอื ขา่ ย 2.2) ดูแล-บริหารอปุ กรณร์ ะบบเครอื ข่ายใหส้ ามารถทางานไดเ้ ป็นปกติ 2.3) ตรวจสอบประสิทธิภาพของการใช้ระบบเครือข่าย ปรับปรุงประสิทธิภาพระบบ เครอื ข่ายให้รองรบั การใชง้ านระหว่างเครอื ขา่ ยย่อยต่างๆ 2.4) ประสานงานกับผู้ดูแลเครือข่ายย่อย เกี่ยวกับการเช่ือมต่อและประสิทธิภาพการใช้ เครือข่ายหลัก 2.5) กาหนดมาตรฐานเก่ียวกับเครือข่ายขององค์กรที่ต้องใช้ร่วมกันในเครือข่ายย่อยต่างๆ และมาตรฐานในการใช้เครือข่ายหลักหรือเครือข่ายกระดูกสันหลัง วิธีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายย่อยกับ เครอื ขา่ ยหลัก ฯลฯ 103

บรรณานกุ รม กฤตศลิ ป์ บุรมั ยากร. (2547). ระบบเครือขา่ ย LAN. กรุงเทพฯ : เพยี ร์สัน เอ็ดดูเคชนั่ อนิ โดไชน่า จากัด เครือข่ายคอมพิวเตอร์. สืบคน้ เมือ่ วนั ท่ี 22 พฤษภาคม 2557, จากเว็บไซต์ : http://www.wpm.ac.th/ จักกริช พฤษการ, การส่ือสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ท้อป. 2548, แปล จาก Forouzan Behrouz A., Data Communications and Networking. ฉัตรชัย สุมามาลย์. (2545). การสื่อสารข้อมูลคอมพวิเตอร์และระบบเครือข่าย. กรุงเทพ ฯ : ไทยเจริญการ พมิ พ์. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, การสื่อสารข้อมูลระดับพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: ทอมสัน, 2544, เรียบเรียงจาก Gary B. Shelly, Thomas J. Cashman and Judy A. Serwatka, Business data communications. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, เครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น อินโดไชน่า, 2542, แปลจาก Andrew S.Tanenbaum, Computer Network, Pentice-Hall, 1996. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ. การส่ือสารข้อมูลระดับพื้นฐาน Business Data Communications. กรุงเทพฯ : UNIVERSAL GRAPHIC & TRADING L.P., 2544. Behrouz A. Forouzan and Sophia Chung Fegan. (2007). Data Communications and Networking Fourth Edition. McGraw-Hill. David A. Stamper. (2000). Local Are Network 3rd edition. USA: Prentice Hall. William Stallings, Data & Computer Communications, 6th Edition, USA: Prentice Hall International, 2000. 104

บทที่ 9 โพรโตคอลในระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ หัวขอ้ บทเรียน 9.1 โพรโตคอล (Protocol) 9.2 โพรโตคอล TCP/IP 9.3 โพรโตคอล TCP/IP พ้ืนฐาน 9.4 โพรโตคอล จุดต่อจดุ (Point–to-Point Protocol) 9.5 สลิป (Serial Line Inter Protocol : SLIP) 9.6 พีพพี ี (Point-to-Point Protocol : PPP) 9.7 โพรโตคอลสแต็ก (Protocol Stack) 9.8 โพรโตคอล IPX / SPX 9.9 โพรโตคอล NetBIOS 9.10 โพรโตคอล NetBEUI 9.11 Hypertext Transfer Protocol (HTTP) และ Hypertext Markup Language (HTML) 9.12 TCP/IP กับเครือขา่ ยอินเตอรเ์ นต็ 9.13 IP Address 9.14 Domain Name System (DNS) วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจถึงประเภทของโพรโตคอล และลกั ษณะการใช้งาน 2. เพือ่ ให้ผู้เรยี นเขา้ ใจถึงการใชง้ าน TCP/IP กับเครือขา่ ยอินเตอรเ์ น็ต 3. เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นทราบถึงการจดั การด้าน IP Address 4. เพ่ือให้ผู้เรยี นทราบถึงการแบง่ กลุม่ Domain Name System (DNS) 9.1 โพรโตคอล (Protocol) โพรโตคอล (Protocol) คือ ข้อตกลงในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่าย ดังน้ัน คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครือข่ายจะติดต่อส่ือสารกันได้ก็ต้องใช้โพรโตคอลตัวเดียวกัน โพรโตคอลเป็นได้ทั้ง ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ซ่ึงจะสอดคล้องกับโมเดล OSI โพรโตคอลอาจจะเป็นเพียงส่วนเดียวหรือประกอบ ขึ้นมาเป็นชุดก็ได้ โพรโตคอลท่ีสาคัญท่ีพบได้บ่อยในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จะอธิบายในหัวข้อต่อไป ซ่ึง ในบทเรยี นนไี้ ดใ้ ชข้ ้อมูลจาก http://docs.com/OIRE เป็นหลัก และขอ้ มลู ตามหนังสอื อา้ งอิงตอนท้ายบท 105

9.2 โพรโตคอล TCP/IP โพรโตคอล TCP/IP เป็นโพรโตคอลทนี่ ยิ มใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครือข่ายและเป็นโพรโตคอล หลกั ของเครือขา่ ยอนิ เตอรเ์ น็ต จดุ กาเนดิ ตน้ แบบของโพรโตคอล TCP/IP ถูกพัฒนามาต้ังแต่ปี ค.ศ.1960 เพื่อ ใช้ในกิจการทางการทหารของสหรัฐอเมริกา หลังจากน้ันโพรโตคอล TCP/IP ก็ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นในหลายปี ตอ่ มา จนในปจั จบุ นั โพรโตคอลนี้เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ถึงจะมีอายุเก่าแก่ถึง 30 กว่าปีก็ตาม TCP/IP เริ่ม ได้รับความนิยมอยา่ งสงู จากการทีโ่ พรโตคอลน้ีถูกใช้ในกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา และผู้ผลิตอุปกรณ์ ต่างๆ ก็สนับสนุนโพรโตคอลนี้ ต่อมาความนิยมเริ่มพุ่งอย่างก้าวกระโดด ซ่ึงมาจากความนิยมในเครือข่าย อินเตอรเ์ นต็ เปลีย่ นเส้นทางใหม่ ยุคแรกๆ TCP/IP เป็นโพรโตคอลที่ออกแบบมาเพ่ือใช้เป็นโพรโตคอลสาหรับเครือข่ายทางทหาร ซึ่ง ต้องมีคุณสมบัติท่ียากต่อการถูกทาลาย กล่าวคือ ถึงแม้ว่าบางส่วนของเครือข่ายจะเสียหาย เครือข่ายจ ะต้อง ทางานต่อไปได้ โดยโพรโตคอล TCP/IP จะหาเส้นทางใหม่เพื่อส่งข้อมูลถึงจุหมายปลายทาง และเมื่อมีการนา โพรโตคอลน้ีมรใช้ทั่วไป คุณสมบัติท่ีติดมาด้วยน้ีได้ช่วยสนับสนุนเครือข่ายหลายประเภท TCP/IP เป็นโพรโค คอลทสี่ ามารถใช้กับเครอื ข่ายประเภทต่างๆ ได้ ไมว่ ่าจะเปน็ โทเค็นรงิ อินเตอร์เนต็ หรือการเชือ่ มตอ่ โดยใช้โมเดม็ มาตรฐานเปิด จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของโพรโตคอล TCP/IP ก็คือ ตัวมันเป็นมาตรฐานเปิดน่ันก็หมายความว่า บริษัทหรือบุคคลใดก็ตามสามารถออกแบบอุปกรณ์หรือโปรแกรมที่ใช้ TCP/IP ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าสิทธิบัตร แตอ่ ย่างใด โพรโตคอล TCP/IP พื้นฐาน ประกอบขึ้นด้วยโพรโตคอลย่อยหลายตวั ซงึ่ แต่ละตัวก็ทางานในแต่ล่ะ วันแตกตา่ งกันไป 9.3 โพรโตคอล TCP/IP พืน้ ฐาน TCP/IP ประกอบขึ้นดว้ ยโพรโตคอลย่อยหลายตวั ซ่งึ แต่ละตวั ก็ทางานในแตล่ ะส่วนแตกต่างกนั ไปดังนี้ 1. โพรโตคอล TCP (Transmission Control Protocol) เป็นโพรโตคอลที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่าง อุปกรณ์สองตัวในเครือข่าย TCP/IP โดย TCP จะใช้พอร์ตเสมือน (Virtual Port) ในการเชื่อมต่อและคอย ตรวจสอบการสง่ ขอ้ มูล 2. โพรโตคอล IP (Internet Protocol) ทาหน้าที่จัดการเกี่ยวกับท่ีอยู่ของข้อมูลและ ส่งไปยัง ปลายทางที่ถูกต้องในเครือข่าย TCP/IP โพรโตคอล FTP (File Transfer Protocol) เป็นโพรโตคอลที่ใช้ใน การเคลื่อนย้ายไฟล์ข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ต่างประเภทต่างระบบในเครือข่าย TCP/IP โพรโตคอล HTTP (Hyper Text Transfer Protocol) เป็นโพรโตคอลท่ีในการส่งข้อมูลในบริการเวิลด์ไวด์เว็บ โดยส่งจากเว็บ เซิรฟ์ เวอรไ์ ปยังเวบ็ บราวเซอร์ของผใู้ ช้ 3. โพรโตคอล UDP (User Datagram Protocol) ใช้พอร์ตเสมือนในการส่งข้อมูลระหว่างสองแอ็ป พลิเคชั่นในเครือขาย TCP/IP โพรโตคอล UDP ทางานได้เร็วกว่า TCP แต่ไมค่ อ่ ยมเี สถยี รภาพมากนัก 106

4. โพรโตคอล DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) ใช้ในการติดต่อส่ือสารระหว่าง อุปกรณ์เครือขา่ ยโดยทาหน้าทบี่ ริหารตวั เลข IP 5. โพรโตคอล DNS (Domain Name System) ใช้เป็นหลักฐานข้อมูลแปลงโดเมนเนมไปเป็นตัวเลข IP เช่น เมื่อผู้ใช้พิมพ์โดเมนเนม www.company.com ลงไปในเว็บบราวเซอร์โปรแกรมก็จะว่ิงไปถาม เซริ ์ฟเวอร์ DNS ว่า ตาแหนง่ ของโดเมนเนมนอ้ี ยทู่ ใี่ ด ตัว DNS ก็จะบอกตัวเลข IP เช่น 192.168.53.3 มาให้ 6. WINS (Windows Internet Name Service) เป็นโพรโตคอลท่ีใช้ในเครือข่าย TCP/IP ของ ไมโครซอฟต์ เครอ่ื งเซริ ์ฟเวอร์ท่ีรนั WINS สามารถเปลีย่ นระบบช่ือคอมพิวเตอรใ์ นเครอื ขา่ ยไมโครซอฟต์ไปเป็น ตัวเลข IP ซึ่งทาให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายของไมโครซอฟต์สามารถติดต่อส่ือสารกับเครือข่ายอ่ืนท่ีใช้ โพรโตคอล TCP/IP ได้ สาหรับฮาร์ดแวร์ของเครือข่าย การที่จะนาเอาคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายน้ัน จะต้องมี อุปกรณ์เฉพาะของเครือข่ายดว้ ยกัน 9.4 โพรโตคอล จดุ ต่อจดุ (Point–to-Point Protocol) การเชือ่ มโยงเปน็ เครอื ขา่ ยบางคร้งั มคี วามจาเป็นตอ้ งใช้การสื่อสารอนุกรมแบบอะซิงโครนัส เนื่องจาก สาเหตุหลายประการ เช่น ข้อจากัดทางด้านการลงทุน หรือต้องการใช้เครือข่ายผ่านโมเด็ม หรือการใช้สาย สอื่ สารเช่ือมโดยตรงระหว่างเคร่อื งคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ TCP/IP สามารถรองรับการทางานในลักษณะ น้ีโดยใช้โพรโตคอลระดับดาตาลิงค์แบบจุดต่อจุดที่ออกแบบมาเพื่อการส่ือสารแบบอนุกรม โพรโตคอลแบบจุด ต่อจดุ ท่ีใชแ้ พรห่ ลายในปัจจุบัน ได้แก่ สลิป (Serial Line Inter Protocol : SLIP) และพีพีพี (Point-to-Point Protocol) 9.5 สลปิ (Serial Line Inter Protocol : SLIP) โพรโตคอล SLIP ท่ีใช้สาหรับส่งข้อมูล TCP/IP ผ่านพอร์ตอนุกรมเกิดข้ึนในปี ค.ศ.1980 โดยบริษัท 3Com ได้พัฒนาขึ้นให้งานกับเครือข่ายท่ีเรียกว่า UNET เพ่ือรับส่งข้อมูล TCP/IP ผ่านพอร์ตอนุกรม แต่ ในขณะนั้นยังไม่มีการใช้งานกันมากนัก จนกระท่ังปี ค.ศ.1984 ได้มีการใช้งานแพร่หลายมากข้ึน เม่ือบริษัท Sun Microsystems นา SLP มาเป็นอีกโพรโตคอลหน่ึงในการเน่ืองต่อกับเวิร์กสเตช่ันกับ Berkeley UNIX เวอร์ชน่ั 4.2 และได้รับการยอมรบั จากผใู้ ชว้ ่าเปน็ วิธีการรับส่งข้อมูล TCP/IP ผ่านทางพอร์ตอนุกรมที่ง่าย และ ได้ผลดมี ากจึงทาให้ทาง Internet Engineering Task Force (IETF) ประกาศมาตรฐานโพรโตคอล SLIP ออก ใช้งานโดยเรียกว่า Request For Comments 1005 (RFC 1055) ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1988 ซึ่ง SLIP น้ี สามารถใช้ไดท้ ้งั การติดตอ่ ทางพอร์ตอนุกรมระหว่างคอมพิวเตอร์สองระบบโดยตรงหรือจะใช้โมเด็มติดต่อผ่าน สายโทรศัพท์ก็ได้ โดยความเร็วติดต่อจะอยู่ระหว่าง 1,200 บิต ต่อวินาที ไปจนถึง 19,200 บิต ต่อวินาทีใน สมัยแรกๆ และพัฒนาข้ึนมารถจนถึง 56,000 บิต ต่อวินาที ตามความเร็วของโมเด็มในปัจจุบัน ซึ่งความเร็วท่ี เพิ่มขน้ึ นีท้ าให้การใชง้ าน SLIP ไดผ้ ลดยี ง่ิ ข้ึนตามไปดว้ ย 107

ก่อนท่ีจะมี SLIP ใช้งานให้เราติดต่อระหว่างคอมพิวเตอร์สองระบบด้วย TCP/IP น้ันการเช่ือมต่อ คอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านโมเด็มและสายโทรศัพท์จะใช้ Telnet เป็นโปรแกรมติดต่อกับคอมพิวเตอร์ ปลายทาง ซึง่ จะมคี วามแตกต่างกันอย่างมากกับการใช้ SLIP เน่ืองจากการใช้โปรแกรม Telnet จะเป็นการใช้ งานในลักษณะRemote Terminal คือคาส่ังต่างๆ ท่ีพิมพ์จากแปูนพิมพ์ของเราจะถูกส่งไปให้คอมพิวเตอร์ ปลายทางทางานแทน และส่งขอความแสดงผลบนจอภาพกลับมาให้เราเท่านั้น ดังนั้น การทางานต่างๆ จึง เกิดขึ้นที่เคร่ืองปลายทางทั้งสิ้น ส่วนการเชื่อมต่อโดยใช้ SLIP นั้น คอมพิวเตอร์ของเราจะติดต่อรับส่งข้อมูล และทางานตามคาส่ังต่างๆ กับคอมพิวเตอร์ปลายทางโดยตรง ซ่ึงการทางานจะเกิดข้ึนที่เคร่ืองของเรา เหมือนกบั เราเช่ือมตอ่ ผ่าน LAN ตามปกตนิ ัน่ เอง โพรโตคอล SLIP มีคุณสมบัติเพียงทาหน้าที่ผนึกข้อมูลของเฟรม IP ทั้งหมด โดยกาหนดตัวอักษร พเิ ศษขึ้นมาเพ่ือรับส่งผ่านการเชื่อมต่อแบบอนุกรม ซึ่ง SLIP จะไม่มีการตรวจสอบแอดเดรสของผู้รับ ไม่มีการ ตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่ง ไม่มีการย่อขนาดข้อมูลในขณะรับส่งและไม่มีการระบุชนิดของโพรโตคอลท่ี รับส่งผ่าน SLIP คือ รับส่งได้เฉพาะข้อมูล TCP/IP เพียงอย่างเดียว ทาให้ SLIP ไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ใน ขณะเดียวกันก็ทาให้มีข้อจากัดในการใช้งานอยู่ในตัว เช่น SLIP จะรับส่งข้อมูลของโพรโตคอลอื่นๆ เช่น DEC Net หรอื IPX ไมไ่ ด้ เพราะรปู แบบข้อมลู (Format) ไม่ตรงกนั เมื่อมกี ารสง่ ข้อมูลไปยังผู้รับปลายทาง SLIP จะ ไม่มีตัวอักษรพิเศษนาหน้าข้อความ คือจะส่งข้อมูลออกไปตรงๆ แต่จะปิดท้ายข้อมูลด้วยตัวอักษรพิเศษ คือ End (ตัวอักษรท่ี Decimal 192 ของตาราง ASCII) เพ่ือให้ผู้รับทราบว่าส้ินสุดการส่งข้อมูลแล้วถ้าหากว่าใน ส่วนขอ้ มลู มขี ้อมูลรหัสท่ีตรงกับ End ก็จะส่งข้อมูล ESC (ตัวอักษรที่ Decimal 219) ตามด้วย End แทน เพื่อ ไม่ให้ซ้ากับ End ที่ใช้ในการจบข้อมูลของ SLIP ท้ังตัวอักษรพิเศษ End และ ESC ของ SLIP ตามที่กาหนด ข้างต้น เราจะเห็นว่าหน้าที่ของ SLIP ในการรับส่งเฟรม IP ผ่านพอร์ตอนุกรมนั้นเป็นข้ันตอนง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก อะไร โพรโตคอล SLIP ไม่มีมาตรฐานกาหนดตายตัวในรายละเอียดเหมือนกับโพรโตคอลตัวอื่นๆ ดังน้ัน SLIP จึงไมไ่ ด้กาหนดความยาวสูงสดุ ของเฟรมขอ้ มลู เอาไว้ แต่เน่ืองจาก Berkeley UNIX ซ่ึงเป็นระบบแรกท่ีใช้ SLIP อยา่ งแพรห่ ลาย ได้กาหนดขนาดของเฟรมข้อมูลเอาไว้มีความยาวสูงสุดไม่เกิน 1006 ไบต์ จึงได้ถือความ ยาวของเฟรมข้อมูลที่มีการรับส่งผ่าน SLIP อันน้ีเป็นมาตรฐาน ซ่ึงความยาวของเฟรมข้อมูล 1006 ไบต์น้ีรวม เอาส่วนของ IP Header และ Transport Protocol Header เอาไวด้ ้วย แต่ไมร่ วมตัวอักษรพิเศษของ SLIP ท่ี ใชผ้ นึกข้อมูล ดังน้ัน การรับส่งข้อมูลโดยใช้ SLIP จึงมีความยาวของเฟรมข้อมูลสูงสุดท่ี 1006 ไบต์ และใช้งาน กนั มาจนถงึ ปจั จุบันน้ี อย่างไรก็ตาม การที่โพรโตคอล SLIP ไม่ซับซ้อนและถูกออกแบบมานานแล้ว ทาให้ SLIP ขาด ความสามารถหลายอย่างท่ีจาเป็นต้องใช้ในปัจจุบัน สิ่งท่ีขาดไปก็คือ ในการเชื่อมต่อผ่าน SLIP นั้น จะต้อง กาหนด IP Address ให้กับคอมพิวเตอร์ทั้งฝ่ังผู้รับและผู้ส่งให้เรียบร้อยเสียก่อน เนื่องจาก SLIP จะไม่มีกลไก ในการกาหนด IP Address ขณะเปดิ การเชือ่ มต่อทั้งสองฝั่ง และการท่ี SLIP ไม่มีตัวบอกชนิดของโพรโตคอลที่ รับส่งข้อมูล จึงทาให้ SLIP ไม่สามารถรับส่ง Protocol อ่ืนๆ ในระบบเครือข่ายนอกจาก TCP/IP ได้ ส่วนการ ตรวจสอบข้อผิดขณะรับส่งข้อมูล และส่งข้อมูลที่ผิดพลาดใหม่นั้น ก็ไม่มีใน SLIP เช่นกัน ทาให้ขาดคุณสมบัติ 108

การตรวจสอบนี้ในระดับฮาร์ดแวร์ไปด้วย ซ่ึงก็ได้มีการแก้ไขข้อบกพร่องเหล่าน้ีแล้วในโพรโตคอลแบบ PPP หรอื Point-to-Point Protocol ในเวลาตอ่ มา 9.6 พพี ีพี (Point-to-Point Protocol : PPP) โพรโตคอล PPP มีการทางานคล้ายกับ SLIP คือ มีหน้าที่ผนึกข้อมูลของเฟรม IP แล้วส่งออกไปทาง พอร์ตอนุกรม เพ่ือให้คอมพิวเตอร์สองระบบสามารถส่ือสารกันโดยใช้ TCP/IP หรือโพรโตคอลอื่นๆ ก็ได้ โดย ในชั้นที่ 1 และ 2 เม่ือเทียบเท่ากับ OSI 7-Layer Model จะเป็นการติดต่อโดยใช้พอร์ตอนุกรมต่อตรงหรือจะ ต่อผ่านโมเด็มก็ได้ ซึ่งมี PPP เป็นโพรโตคอลท่ีควบคุมการรับส่งข้อมูล ซ่ึงทาง Internet Engineering Task Force (IETF) ได้ประกาศใช้ PPP เป็นมาตรฐานในการรับส่งข้อมูลต้ังแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1990 โดย เรียกว่า Request For Comments 1171 (RFC 117) และจากการที่ PPP ถูกพัฒนาข้ึนมาในภายหลัง SLIP จึงทาให้การรับส่งข้อมูลผ่าน PPP มีฟังก์ชันต่างๆ เพ่ิมขึ้นมา เพ่ือแก้ไขส่วนที่เป็นจุดอ่อนของ SLIP ในหลายๆ ดา้ น จนทาให้ได้รับความนยิ มแทน SLIP PPP มฟี ังก์ชันทีแ่ ตกต่างจาก SLIP คือ โพรโตคอล PPP มีคามสามารถในการผนึกโพรโตคอลระดับสูง ไดห้ ลายชนดิ เช่น DECNet, IPX และ AppleTalk นอกเหนือไปจาก TCP/IP ซง่ึ PPP สามารถผนึกโพรโตคอล ตา่ งๆ เหลา่ นส้ี ง่ ไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทางพร้อมๆ กันในคราวเดียวกัน แต่จากการที่เราใช้ PPP ติดต่อรับส่ง ข้อมูล TCP/IP กับ Internet น้ัน คุณสมบัติการผนึกโพรโตคอลหลายๆ ชนิดจึงไม่จาเป็นในการใช้งานเท่าใด นัก นอกจากนี้ PPP ยังสามารถปรับพารามิเตอร์ต่างๆ ในการส่ือสารพอร์ตอนุกรมได้อีกด้วย ส่วนฟังก์ชันการ ตรวจสอบความผิดพลาดในการรับส่งข้อมูลก็เพิ่มเข้ามาใน PPP เช่นกัน ในส่วนของการติดต่อเข้าใช้งาน หรือ Login ถา้ เราใช้ SLIP ในการตดิ ต่อก็จะต้องใช้ชุดคาสงั่ ที่เรียกวา่ Login Script เขา้ ช่วยในการรับส่งช่ือผู้ใช้และ รหัสผ่านของเราใหก้ บั คอมพวิ เตอร์ปลายทางอีกด้วย แต่ถ้าใช้ PPP การติดต่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ปลายทาง จะทาได้อย่างอัตโนมัติ โดยใช้โพรโตคอลที่มีการตรวจสอบผู้ใช้ท่ีเรียกว่า PAP หรือ CHAP ทาให้การใช้งาน CHAP สะดวกกว่าการใช้ SLIP มาก 9.7 โพรโตคอลสแต็ก (Protocol Stack) การทางานตามโปรแกรมประยุกต์หน่ึงมักไม่ได้ใช้ทุกโพรโตคอลพร้อมกันท้ังหมด หากแต่จะใช้เพียง โพรโตคอลท่สี ัมพันธ์กันไปในแต่ละระดับชั้นของแบบอ้างอิง และเรียกเฉพาะส่วนที่สาพันธ์กันน้ีว่า โพรโตคอล สแต็ก (Protocol Stack) หมายถึง ชุดของโพรโตคอลซึ่งใช้ในการติดต่อส่ือสารระหว่างคอมพิวเตอร์ใน เครือข่าย เช่น โพรโตคอลตัวหนึ่งอาจจะทาหน้าที่กาหนดการติดต่อส่ือสารระหว่างการ์ดเช่ือมต่อเครือข่าย ขณะที่โพรโตคอลอีกตัวหน่ึงทาหน้าที่กาหนดการอ่านข้อมูลจากการ์ดเช่ือมต่อเครือข่าย เป็นต้น เลเยอร์ในที่น้ี หมายถึงส่วนหน่ึงของโพรโตคอลสแต็กซึ่งทาหน้าท่ีในการรับ-ส่งข้อมูล แต่ก็มีโพรโตคอลบางตัวที่สามารถ ทางานได้มากกว่าหน่ึงฟังก์ชัน ดังนั้น หนึ่งเลเยอร์ในโพรโตคอลสแต็กอาจจะไม่เท่ากับหน่ึงเลเยอร์ในโมเดล 109

OSI ความเขา้ กันได้ คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะต้องใช้โพรโตคอลเดียวกันในการแลกเปล่ียนข้อมูล เลเยอร์ใน โพรโตคอลสแต็กของคอมพิวเตอร์เคร่ืองหนึ่งจะต้องสามารถติดต่อสื่อสารกับ เลเยอร์เดียวกันกับโพรโตคอล สแตก็ ของเคร่ืองอนื่ ได้ มาตรฐานอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่ายสามารถติดต่อกันได้โดยใช้โพรโตคอลเดียวกันในในการส่ือสาร โมเดล OSI และโพรโตคอลจะช่วยให้อุปกรณ์เครือข่ายสามารถทางานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะเป็น อุปกรณ์คนละรุ่นคนละย่ีห้อก็ตาม ถ้าไม่มีการกาหนดมาตรฐานเหล่าน้ีข้ึนมาจะทาให้ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่าย กาหนดรปู แบบสอื่ สารของตัวเอง ซึ่งจะทาใหก้ ารเซก็ ตอปั การส่ือสารเปน็ ไปดว้ ยความยากลาบาก 9.8 โพรโตคอล IPX / SPX โพรโตคอล IPX / SPX เป็นการรวมสองโพรโตคอลเข้าด้วยกันเพ่ือให้เป็นโพรโตคอลหลักในการ ตดิ ต่อสอ่ื สารในเครือข่ายทีใ่ ช้ระบบปฏบิ ตั กิ ารเครอื ขา่ ย NetWare 1. IPX (InterNetwork Packet Exchange) เป็นโพรโตคอลทมี่ าจากการพัฒนาโพรโตคอลของบริษัท ซีร๊อกซ์ (Xerox) โพรโตคอล IPX ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ท่ีอยู่ในเครือข่ายต่างกัน เม่ือโพรโตคอล IPX สง่ ข้อมลู โพรโตคอลนจี้ ะไมม่ ีการตรวจสอบความผิดพลาดในการสง่ ข้อมลู 2. SPX (Sequenced Packet Exchange) เป็นโพรโตคอลท่ีขยายความสามารถของโพรโตคอล IPX เมอื่ โพรโตคอล SPX ส่งขอ้ มลู มนั จะเชอ่ื มต่อระหว่างอุปกรณส์ องเครอื ขา่ ยและคอยตรวจสอบการส่งข้อมูล จะ ว่าไปแล้วโพรโตคอล SPX ก็เหมือนกับการรับประกันว่าการส่งข้อมูลไม่มีการผิดพลาด เป็นที่นิยมเน่ืองจาก NetWare ได้รับความนิยมเป็นระบบปฏิบัติการเครือข่ายท่ัวโลกโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ ทาให้โพรโตคอล IPX/SPX ได้รบั ความนิยมตามไปดว้ ย เนอื่ งจาก IPX/SPX นเ้ี ป็นโพรโตคอลหลกั ทใ่ี ช้ใน NetWare 3. Tunneling จะอธิบายถึงข้ันตอนการใช้โพรโตคอลในการเคลื่อนย้ายข้อมูลผ่านเครือข่ายที่ต่างกัน โพรโตคอล IPX/SPX สนับสนุน IP Tunneling ดังน้ัน ข้อมูลจากเครือข่าย NetWare สามารถส่งผ่านไปยัง เครือข่ายท่ีใช้โพรโตคอล ICP/IP เม่ือข้อมูลว่ิงไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว โพรโตคอล TCP/IP จะถูกตัด ออกไป พอร์ตเป็นตาแหน่งหน่ึงในหน่วยความจาที่โปรแกรมกาหนดข้ึนมาเพื่อใช้ติดต่อ สื่อสาร ดังน้ัน จึงเป็น เพยี งแค่ตาแหนง่ เสมือนท่ถี กู กาหนดขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ทางาน โพรโตคอล IPX/SPX ใช้พอร์ตเป็นตาแหน่งใน การรับ-สง่ ข้อมลู ของโปรแกรม 4. พอร์ต เป็นตาแหน่งหนึ่งในหน่วยความจาที่โปรแกรมกาหนดข้ึนมาเพ่ือใช้ติดต่อส่ือสาร ดังนั้น จึง เป็นเพียงแค่ตาแหนง่ เสมือนท่ถี ูกกาหนดขน้ึ เมอื คอมพิวเตอรท์ างานโพรโตคอล IPX/SPX ใช้พอร์ตเป็นตาแหน่ง ในการรับ-ส่งข้อมูลของโปรแกรม 9.9 โพรโตคอล NetBIOS โพรโตคอล NetBIOS (Network Basic input/output System) ซ่งึ พัฒนาโดยบริษัทไอบเี อม็ เปน็ วธิ กี ารท่ีทาให้คอมพวิ เตอร์สามารถติดต่อสื่อสารกับคอมพวิ เตอรเ์ คร่ืองอน่ื ในเครือข่ายได้ 110

9.10 โพรโตคอล NetBEUI โพรโตคอล NetBEUI เป็นโพรโตคอลท่ีใช้เครือข่ายเล็กๆ ท่ีใช้ระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟต์ สาหรบั NetBEUI (NetBios Extended User Interface) เป็นโพรโตคอลท่ถี ูกพฒั นาขึน้ มาปรับปรุง NetBIOS ให้มีประสิทธภิ าพเพิม่ ขนึ้ สมรรถนะ NetBEUI เป็นโพรโตคอลขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง เน่ืองจากไม่ ต้องการหน่วยความจาและพลังการประมวลในการทางานมาก จุดนี้ทาให้ NetBEUI สามารถส่งข้อมูลได้เร็ว กว่าโพรโตคอลอน่ื ๆ แตอ่ ย่างไรก็ตาม โพรโตคอลนไ้ี ม่สามารถใชใ้ นเครือขา่ ยบรเิ วณกวา้ งได้ NetBEUI มักจะพบในเครือข่ายที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากไมโครซอฟต์ เน่ืองจากผลิตภัณฑ์ไมโครซอฟต์ เช่ือมต่อกันกับเครือข่ายจึงทาให้ NetBEUI ปรับแต่งได้ง่าย NetBEUI เป็นโพรโตคอลท่ีเซ็ตอัปได้ง่ายมาก ผู้บริหารเครือข่ายเพียงแต่กาหนดชื่อของคอมพิวเตอร์ท่ีไม่ซ้า (Unique Name) และกาหนดเวิร์กกรุ๊ปใน เครอื ขา่ ยเพราะโพรโตคอลไมส่ ามารถหาเส้นทางวิ่งได้เอง จุดด้อยท่ีเห็นได้ชัดของโพรโตคอล NetBEUI ก็คือไม่ สามารถใช้เป็นโพรโตคอลของเครือข่ายขนาดใหญ่ได้ เน่ืองจากเครือข่ายขนาดใหญ่จานวนมากจะใช้อุปกรณ์ที่ เรียกว่า “เราท์เตอร์ ” ในการเชื่อมเครือข่ายย่อยเข้าด้วยกัน และโพรโตคอล NetBEUI ไม่ใช่โพรโตคอลที่หา เสน้ ทางว่ิงไดเ้ อง (Non-Ropable Protocol) ทาให้ไมส่ ามารถวง่ิ ผ่านเราท์เตอร์ได้ 9.11 Hypertext Transfer Protocol (HTTP) และ Hypertext Markup Language (HTML) จะว่าไปแล้ว HTTP กับ HTML น้ัน ก็เหมือนกาแฟกับคอฟฟีเมต โดย HTTP คือโพรโตคอลท่ีส่ือสาร ระหว่าง Client Computer กับ Server Computer ทาให้ท้ังสองเครื่องรู้ว่าจะจัดการส่งข้อมูลไปอย่างไร ส่วน HTML คือ ส่ือภาษาที่ทาให้เอกสารหรือ Contents ที่อยู่บนเคร่ือง Server Computer เมื่อถูกส่งมาที่ Client Computer แลว้ จะนาไปแสดงไดอ้ ยา่ งไร เราเรยี กซอฟต์แวร์ทใี่ ชแ้ สดงนี้วา่ Browser ข้อดขี องการแยกชัน้ ระหวา่ งการทางานระหวา่ ง HTTP กบั HTML 1. Contents พัฒนาบนเคร่ืองแบบใดก็ได้ เช่น PC, Macintosh, IBM, DEC, SUN, HP, SGI, Cray เปน็ ตน้ และมเี คร่อื งมือชว่ ยในการพฒั นามากมาย 2. web server เคร่ืองที่ใช้เป็น Web Server เป็นเคร่ืองใดๆ ก็ได้ เช่น PC, Macintosh, IBM, DEC, SUN, HP, SGI, Cray และในแตล่ ะ Platform มีโปรแกรม Web Server ให้เลือกมากมาย 3. Client Computer เคร่อื งทใี่ ช้เป็น Client Computer เป็นเครื่องใดๆ ก็ได้ เช่น PC, Macintosh, IBM, DEC, SUN, HP, SGI, Cray, TV with Set-Top Box, Pen Computer เปน็ ต้น 4. Browser โปรแกรม Browser มีให้เลือกใช้มากมายบน PC, Macintosh, IBM, DEC, SUN, HP, SGI, Cray, TV with Set-Top Box, Pen Computer เปน็ ต้น 111

9.12 TCP/IP กับเครือข่ายอินเตอร์เนต็ เครื่องคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สื่อสารระหว่างกันโดยใช้ Transmission Control Protocol (TCP) และ Internet protocol (IP) รวมเรียกว่า TCP/IP ข้อมูลที่ส่งจะถูกตัดออกเป็นส่วนๆ เรยี กว่า Packet แลว้ จา่ หน้าไปยังผู้รับด้วยการกาหนด IP Address เช่น สมมุติเราส่ง E-mail ไปหาใครสักคน E-mail ของเราจะถูกตัดออกเป็น Packet ขนาดเล็กๆ หลายๆ อัน ซึ่งแต่ละอันจะจ่าหน้าถึงผู้รับคนเดียวกัน Packets พวกน้กี ็จะว่งิ ไปรวมกบั Packets ของคนอนื่ ๆ ด้วย ทาให้ในสายของข้อมูล Packets ของเราจะไม่ได้ เรียงติดกัน Packets พวกนี้จะว่ิงผ่านชุมทาง (Gateway) ต่างๆ โดยตัว Gateway (อาจเรียกว่า Router) จะ อ่านที่อย่ทู ่ีจ่าหน้าแล้วจะบอกทิศทางท่ีไปของแต่ละ Packets ว่า จะว่ิงไปทิศทางไหน Packets ก็จะว่ิงไปตาม ทศิ ทางน้นั เมือ่ ไปถึง Gateway ใหมก่ ็จะถูกกาหนดเส้นทางให้วิ่งไปยัง Gateway ใหม่ที่อยู่ถัดไป จนกว่าจะถึง เคร่ืองปลายทาง เช่น เราติดต่อกับเคร่ืองในอเมริกา อาจจะต้องผ่าน Gateway ถึง 10 แห่ง เมื่อ Packets ว่ิง มาถึงปลายทางแล้ว เคร่ืองปลายทางก็จะเอา Packets เหล่านั้นมาเก็บสะสมจนกว่าจะครบจึงจะกลับคืนให้ เป็น E-mail การท่ีข้อมูลมีลักษณะเป็น Packets ทาให้ในสายส่ือสารสามารถที่จะขนส่งข้อมูลโดยไม่ต้องจอง (Occupies) สายไว้ สายจึงสามารถใช้ร่วมกันกับข้อมูลที่ส่งจากเครื่องอ่ืนได้ ต่างจากโทรศัพท์ท่ีขณะใช้งานจะ ไม่มีใครใช้สายได้ ดังตัวอย่างในรูปด้านบนน้ี เคร่ืองคอมพิวเตอร์ A และ C ส่ือสารกันด้วย Packet สีดา ซึ่งใช้ สายรว่ มกับเครื่องคอมพวิ เตอร์อืน่ ๆ ซง่ึ Packet ดังกล่าวอาจจะเป็นสัญญาณเสียง (เช่น Internet Phone) ซึ่ง เม่ือ Packet เดินทางมาถึงก็จะถูกจับรวมกันให้เป็นเสียงของการพูดคุย ไม่เหมือนโทรศัพท์แบบปกติท่ีขณะใช้ งานสายจะไม่สามารถนาไปทางานอน่ื ๆ ได้อีก 9.13 IP Address เคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ติดอยู่บนอินเตอร์เน็ตก็เปรียบคล้ายๆ กับเคร่ืองโทรศัพท์ที่มีเบอร์เฉพาะตัว ซ่ึงก็ จะมเี พยี งเบอร์เดียวในโลก IP Address เปน็ ตวั เลขขนาด 32 บิต แบ่งออกเป็น 4 ชุดๆ ละ 8 บิต ดังนั้นตัวเลข 1 ชุดท่ีเราเห็นค่นั ด้วยจุดน้นั จึงแทนได้ด้วยตัวเลขจาก 0 ถึง 255 ตวั เลข 4 ชุดนี้จะถูกแบง่ ออกเป็น 2 ส่วน คือ Network Number และส่วนของ Host Number โดยขนาดของแต่ละส่วนจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับว่าเครื่อง คอมพิวเตอรน์ ้นั อยู่ในเนต็ เวิร์ค Class ใด ซึ่ง Class ของเน็ตเวริ ค์ แบง่ ออกเป็น 4 Classes ดังน้ี 1. Class A เป็นเน็ตเวิร์คขนาดใหญ่ มี Network Number ต้ังแต่ 1.0.0.0 ถึง 127.0.0.0 น่ันคือใน Class น้ีจะมีส่วนของ Host Number ถึง 24 บิต ซึ่งอนุญาตให้มีจานวนเครื่องได้ 1.6 ล้านเครื่องใน 1 เน็ตเวริ ค์ ซ่งึ จะมีเน็ตเวิรค์ ขนาดใหญแ่ บบนไ้ี ดเ้ พียง 127 เน็ตเวิรค์ เท่านัน้ 2. Class B เป็นเน็ตเวิร์คขนาดกลาง มี Network number ตั้งแต่ 128.0.0.0 ถึง 191.255.0.0 น่ัน คอื ใน Class นีม้ สี ่วนของ Network Number 16 บติ และสว่ นของ Host Number ได้ 16 บติ ทาให้มีจานวน เนต็ เวิรค์ ไดถ้ งึ 16320 เนต็ เวิรค์ และ 65024 Host 112

3. Class C เป็นเน็ตเวิร์คขนาดเล็ก มี Network Number ตั้งแต่ 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.0 นั่น คือใน Class น้ีมีส่วนของ Network Number 24 บิต และ ส่วนของ Host Number 8 บิต ทาให้มีจานวน ของเน็ตเวริ ค์ ไดถ้ งึ 2 ล้านเน็ตเวริ ค์ และมีจานวน Host ในแต่ละเนต็ เวิร์คเทา่ กบั 254 Hosts 4. Class D เป็นส่วนที่เก็บรักษาไว้สาหรับใช้ในอนาคต มี IP Address ต้ังแต่ 244.0.0.0 ถึง 254.0.0.0 หมายเลข IP Address เป็นตัวเลขท่ีใช้ไม่ค่อยสะดวกและจายาก ด้วยเหตุนี้จึงมีการคิดระบบตั้งชื่อ แบบทเี่ ปน็ ตวั อักษร ใหม้ คี วามหมายเพ่ือการจดจาได้งา่ ยกว่ามาก เวลาเราอ้างถึงเคร่ืองใดบนอินเตอร์เน็ต เราก็ จะใช้ชื่อ DNS เช่น www.nectec.or.th แต่ในการใช้งานจริงน้ัน เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้อยู่เม่ือรับคาส่ัง จากเราแล้ว ก็จะขอ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ทาหน้าที่บริการบอกเลขหมาย IP Address ซ่ึงเรียกกันว่าเป็น DNS Server หรือ Name Server ตัว Name Server เม่ือได้รับ Request ก็จะตอบเลขหมาย IP Address กลับมา ให้บางทีเราจะพบกรณีที่คอมพิวเตอร์ท่ีเป็น Name Server ไม่ทางาน เราจะไม่สามารถติดต่อเครื่องอ่ืนบน อินเตอร์เน็ตโดยใช้ช่ือ DNS ได้อีกต่อไปหากเราทราบ IP Address เราสามารถใช้ IP Address ได้โดยตรง ไว้ ในสมุดโทรศัพท์ของ Name Server ด้วยเหตุนี้เราจึงทาการเก็บชื่อและ IP Address ไว้ในสมุดโทรศัพท์ ส่วนตวั ประจาเครือ่ ง เช่น บนระบบยูนิกซ์มีไฟล์ /etc/Hosts เอาไวเ้ กบ็ ช่ือ DNS ที่ใชบ้ ่อยๆ 9.14 Domain Name System (DNS) การแบง่ กลมุ่ โดเมนอนิ เตอรเ์ น็ตเรม่ิ มีขน้ึ ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ชื่อโดเมนระดับบนสุดจึงแบ่งกลุ่มไว้ 6 กลมุ่ แต่เม่ือมีการขยายอินเตอร์เน็ตออกไปทั่วโลก จึงต้องจัดสรรชื่อโดเมนให้แต่ละประเภท การกาหนดช่ือ โดเมนมาตรฐาน ISO 3166 จัดการแบง่ กล่มุ โดเมน มีดงั น้ี ตารางที่ 9.1 การแบง่ กล่มุ โดเมนของสหรฐั อเมริกา โดเมน กลุ่ม ตวั อย่าง com Commercial Organizations : กลมุ่ ธุรกจิ การค้า yahoo.com edu Educational Organizations : สถาบนั การศึกษา ucla.edu gov Government Organizations : หน่วยงานรฐั บาล whitehouse.gov mit Militery Organizations : หน่วยงานทหาร navy.mit net Network Organizations : หน่วยงานท่เี กย่ี วกบั เครือขา่ ย nyser.net org Non-commercial Organizations : หนว่ ยงานไม่หวังผลกาไร ngo.org 113

ตารางที่ 9.2 การแบง่ กลุม่ โดเมนของประเทศอื่นๆ โดเมน กลมุ่ ตัวอย่าง ac Academic : สถาบนั การศกึ ษา kmitnb.ac.th co Commercial : ภาคเอกชน bigc.co.th go Government : หนว่ ยงานราชการ mfa.go.th or Organization : องคก์ รทไ่ี ม่หวังผลกาไร nectec.or.th net Network : องคก์ รท่ีให้บริการเครอื ขา่ ย ksc.net.th ตารางที่ 9.3 ชอื่ โดเมนของประเทศต่างๆ โดเมน ประเทศ โดเมน ประเทศ โดเมน ประเทศ ar อาร์เจนตนิ า fi ฟินแลนด์ no นอรเ์ วย์ at ออสเตรยี fr ฝร่ังเศส nz นวิ ซีแลนด์ au ออสเตรเลยี gr กรีซ pl โปแลนด์ be เบลเยยี ม ie ไอรแ์ ลนด์ pt โปรตุเกส br บราซลิ il อิสราเอล ru รัสเซีย ca แคนาดา in อินเดีย se สวเี ดน ch สวติ เซอรแ์ ลนด์ it อิตาลี sg สิงหโปร์ cn จนี jp ญี่ปุน th ไทย de เยอรมนั kr เกาหลี tw ไตห้ วนั dk เดนมารก์ mx เม็กซิโก uk สหราชอาณาจักร eg อียปิ ต์ my มาเลเซยี us สหรฐั อเมรกิ า es สเปน nl เนเธอร์แลนด์ ในสหรฐั อเมริกาซง่ึ มกี ารใช้โดเมนระดบั ประเทศของตัวเองนอกเหนือจากกลุ่มโดเมนท้ัง 6 กลุ่ม มลรัฐ เวอร์จิเนีย และ InterNIC หรือ NIC (Network Information Center) ทาหน้าที่เป็นผู้จัดการและควบคุม เกี่ยวกับการต้ังชอ่ื โดเมนในอินเตอรเ์ น็ต โดยจะตอ้ งไม่ซา้ กนั เช่นเดียวกับ IP Address ทไี่ มซ่ า้ กัน 114

บรรณานุกรม จักกริช พฤษการ, การส่ือสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ท้อป. 2548, แปล จาก Forouzan Behrouz A., Data Communications and Networking. ฉัตรชัย สุมามาลย์. (2545). การส่ือสารข้อมูลคอมพวิเตอร์และระบบเครือข่าย. กรุงเทพ ฯ : ไทยเจริญการ พมิ พ์. โพรโตคอลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Protocol). สืบค้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557, จากเว็บไซต์ : http://docs.com/OIRE สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, การสื่อสารข้อมูลระดับพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: ทอมสัน, 2544, เรียบเรียงจาก Gary B. Shelly, Thomas J. Cashman and Judy A. Serwatka, Business data communications. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, เครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น อินโดไชน่า, 2542, แปลจาก Andrew S.Tanenbaum, Computer Network, Pentice-Hall, 1996. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ. การส่ือสารข้อมูลระดับพ้ืนฐาน Business Data Communications. กรุงเทพฯ : UNIVERSAL GRAPHIC & TRADING L.P., 2544. สุรศักดิ์ สงวนพงษ์, สถาปัตยกรรมและโปรโตคอลทีซพี ี/ไอพี, พิมพ์คร้ังท่ี 2, กรงุ เทพฯ : ซีเอ็ดยเู คช่ัน, 2545. สุวัฒน์ ปุณณชัยยะ และคณะ, เปิดโลก TCP/IP และโปรโตคอลของอินเตอร์เน็ต, พิมพ์คร้ังที่ 2, กรุงเทพฯ: โปรวชิ ่นั , 2545. Behrouz A. Forouzan and Sophia Chung Fegan. (2007). Data Communications and Networking Fourth Edition. McGraw-Hill. David A. Stamper. (2000). Local Are Network 3rd edition. USA: Prentice Hall. William Stallings, Data & Computer Communications, 6th Edition, USA: Prentice Hall International, 2000. 115

บทท่ี 10 การประยกุ ตใ์ ชร้ ะบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ หัวข้อบทเรียน 10.1 การพฒั นาเทคโนโลยีและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 10.2 ประโยชนข์ องระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ วตั ถุประสงค์ 6. เพือ่ ใหผ้ ูเ้ รยี นเข้าใจถึงแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ 7. เพอ่ื ใหผ้ ้เู รียนทราบถึงประโยชน์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 10.1 การพัฒนาเทคโนโลยีและระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ปัจจบุ ันเทคโนโลยสี ารสนเทศและระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ ได้บูรณาการเข้าสู่ระบบธุรกิจ องค์การ ท่ีจะอยู่รอดและมีพัฒนาการต้องสามารถปรับตัวและจัดการกับเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม เทคโนโลยี สารสนเทศและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จะมีความสาคัญต่อการดาเนินด้านต่างๆ อย่างมาก แต่เน่ืองจาก การเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ อาจทาให้เทคโนโลยีท่ีกล่าวถึงในท่ีน้ีล้าสมัยได้ใน ระยะเวลาอันรวดเร็ว ผู้เรียนควรศึกษาติดตามความเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ สาคญั ในปัจจุบนั และอนาคตมดี งั ต่อไปน้ี 1) คอมพวิ เตอร์ (computer) ปัจจุบนั คอมพวิ เตอรไ์ ดพ้ ัฒนาไปจากยุคแรกที่เคร่ืองมีขนาดใหญ่ทางาน ได้ช้า ความสามารถต่า และใช้พลังงานสูง เป็นการใช้เทคโนโลยีวงจรรวมขนาดใหญ่ (very large scale integrated circuit : VLSI) ในการผลิตไมโครโปรเซสเซอร์ (microprocessor) ทาให้ประสิทธิภาพของส่วน ประมวลผลของเคร่ืองพัฒนาข้ึนอย่างเห็นได้ชัด นอกจากน้ียังได้มีการพัฒนาหน่วยความจาให้มี ประสิทธิภาพ สูงข้ึน แต่มีราคาถูกลง ซ่ึงช่วยเพิ่มศักยภาพในการทางานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปัจจุบัน โดยท่ี คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในขณะที่มีความสามารถเท่าเทียมหรือมากกว่าเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ใน สมัยก่อน ตลอดจนการนาคอมพิวเตอร์ชนิดลดชุดคาสั่ง (reduced instruction set computer) หรือ RISC มาใช้ในการออกแบบหน่วยประเมินผล ทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้เร็วข้ึนโดยใช้คาส่ังพ้ืนฐาน งา่ ยๆ นอกจากนี้พัฒนาการและการประยุกต์ความรู้ในสาขาวิชาต่างๆ ทั้งสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ ทสี่ ง่ ผลให้เครื่องคอมพวิ เตอรม์ กี ารประมวลผลตามหลักเหตุผลของมนุษย์หรือระบบ ปัญญาประดิษฐ์ ซึง่ จะกลา่ วถึงในหวั ขอ้ ตอ่ ไป 2) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) หรือ AI เป็นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้มี ความสามารถที่จะคิดแก้ปัญหาและให้เหตุผลได้เหมือนอย่างการใช้ภูมิปัญญาของมนุษ ย์จริง ปัจจุบัน 116

นักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขาวิชาได้ศึกษาและทดลองที่จะพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถทางานที่มี เหตุผล โดยการเลียนแบบการทางานของสมองมนุษย์ ซึ่งความรู้ทางด้านนี้ถ้าได้รับการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองจะ สามารถนามาประยกุ ตใ์ ช้งานตา่ งๆ อยา่ งมากมาย เช่น ระบบผ้เู ช่ียวชาญเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อให้ความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างผู้เช่ียวชาญ และหุ่นยนต์ (robotics) เป็นการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ ใหส้ ามารถปฏบิ ัตงิ านและใชท้ ักษะการเคลอ่ื นไหวไดใ้ กลเ้ คยี งกบั การทางานของมนุษย์ เป็นต้น 3) ระบบสารสนเทศสาหรับผู้บริหาร (executive information system) หรือ EIS เป็นการพัฒนา ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนผู้บริหารในงานระดับวางแผนนโยบายและกลยุทธ์ขององค์การโดยท่ี EIS จะถูก นามาใหค้ าแนะนาผู้บรหิ ารในการตัดสินใจเมอ่ื ประสบปัญหาแบบไมม่ ีโครงสรา้ งหรือกึง่ โครงสร้าง โดย EIS เป็น ระบบที่พัฒนาข้ึนเพ่ือตอบสนองความต้องการที่พิเศษของผู้บริหารในด้านต่างๆ เช่น สถานการณ์ต่างๆ ทั้ง ภายในและภายนอกองค์การ รวมทงั้ สถานะของคู่แข่งขันด้วย โดยท่ีระบบจะต้องมีความละเอียดอ่อนตลอดจน ง่ายต่อการใช้งาน เน่ืองจากผู้บริหารระดับสูงจานวนมากไม่เคยชินกับการติดต่อและสั่งงานโดยตรงกับระบบ คอมพวิ เตอร์ 4) การจดจาเสียง (voice recognition) เป็นความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ที่จะทาให้ คอมพิวเตอร์จดจาเสียงของผู้ใช้ ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีสาขานี้ยังไม่ประสบความสาเร็จตามท่ี นักวิทยาศาสตร์ต้องการ ถ้าในอนาคตนักวิทยาศาสตร์ประสบความสาเร็จในการนาความรู้ต่างๆ มาใช้สร้าง ระบบการจดจาเสียง ก็จะสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาศาลแก่การใช้งานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศ โดยท่ผี ู้ใช้จะสามารถออกคาสัง่ และตอบโต้กับคอมพิวเตอร์แทนการกดแปูนพิมพ์ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่ ไม่เคยชินกับการใช้คอมพิวเตอร์ให้สามารถปรับตัวเข้ากับระบบได้ง่าย เช่น ระบบสารสนเทศสาหรับผู้บริหาร ระดับสูง การส่ังงานระบบฐานข้อมูลต่างๆ และระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เป็นต้น ซ่ึงจะช่วยเพิ่ม ประสทิ ธภิ าพในการทางานและขยายคุณค่าเพม่ิ ของเทคโนโลยสี ารสนเทศท่มี ตี ่อธรุ กจิ 5) การแลกเปล่ียนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics data interchange) หรือ EDI เป็นการส่ง ข้อมูลหรือข่าวสารจากระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งไปสู่ระบบคอมพิวเตอร์อื่นโดยผ่านทางระบบสื่อสารข้อมูล อิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น การสง่ คาส่ังซ้ือจากผซู้ ้อื ไปยังผู้ขายโดยตรง ปัจจุบันระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ กาลังได้รับความนิยมเพิ่มมากข้ึนเร่ือยๆ เพราะช่วงลดระยะเวลาในการทางานของแต่ละองค์การลง โดย องค์การจะสามารถส่งและรับสารสนเทศในการดาเนินธุรกิจ เช่น ใบสั่งซ้ือและใบตอบรับผ่านระบบส่ือสาร โทรคมนาคมทีม่ ีอยู่ ทาใหท้ ัง้ ผสู้ ง่ และผรู้ ับไม่ต้องเสยี เวลาเดนิ ทาง 6) เส้นใยแก้วนาแสง (Fiber optics) เปน็ ตวั กลางทสี่ ามารถส่งขอ้ มูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัย การส่งสัญญาณแสงผ่านเส้นใยแก้วนาแสงที่มัดรวมกัน การนาเส้นใยแก้วนาแสงมาใช้ในการส่ือสารก่อให้เกิด แนวความคิดเก่ียวกับ “ ทางด่วนข้อมูล (Information superhighway) ” ที่จะเช่ือมโยงระบบเครือข่าย คอมพวิ เตอรเ์ ข้าด้วยกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศต่างๆ ได้ง่ายและรวดเร็ว ขึ้น ปัจจุบันเทคโนโลยีเส้นใยแก้วนาแสงได้ส่งผลกระทบต่อวงการส่ือสารมวลชนและการค้าขายสินค้าผ่าน ระบบเครอื ข่ายอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 117

7) อนิ เทอรเ์ นต็ (Internet) เป็นเครอื ข่ายคอมพิวเตอรข์ นาดใหญ่ที่เช่ือมโยงไปท่ัวโลก มีผู้ใช้งานหลาย ล้านคน และกาลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่สมาชิกสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปล่ียนข้อมูล ข่าวสาร ตลอดจนคน้ หาข้อมูลจากห้องสมุดต่างๆ ได้ ในปัจจุบันได้มีหลายสถาบันในประเทศไทยที่เช่ือมระบบ คอมพิวเตอร์กับเครือข่ายนี้ เช่น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (Nectec) จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั และสถาบันเทคโนโลยแี ห่งเอเชีย เป็นต้น 8) ระบบเครือข่าย (Networking system) โดยเฉพาะระบบเครือข่ายเฉพาะพื้นที่ (Local area network : LAN) เป็นระบบส่ือสารเครือข่ายที่ใช้ในระยะทางท่ีกาหนด ส่วนใหญ่จะภายในอาคารหรือใน หน่วยงาน LAN จะมีส่วนช่วยเพ่ิมศักยภาพในการทางานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้สูงขึ้น รวมทั้งการเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทางาน การใช้ข้อมูลร่วมกัน และการเพิ่มความเร็วในการติดต่อสื่อสาร นอกจากน้ีระบบ เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลยังผลักดันให้เกิดการกระจายความรับผิดชอบในการจัดการเทคโนโลยี สารสนเทศไปยังผใู้ ช้มากกว่าในอดตี 9) การประชุมทางไกล (Teleconference) เป็นการนาเทคโนโลยีสาขาต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายโทรทัศน์ และระบบส่ือสารโทรคมนาคมผสมผสาน เพ่ือให้สนับสนุนในการประชุมมีประสิทธิภาพ โดยผู้นาเข้าร่วมประชุมไม่จาเปน็ ท่จี ะต้องอยใู่ นหอ้ งประชมุ และพนื้ ทีเ่ ดยี วกัน ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาในการ เดินทาง โดยเฉพาะในสภาวะการจราจรที่ติดขัด ตลอดจนผู้เข้าประชุมอยู่ในเขตท่ีห่างไกลกันมาก การประชุม ทางไกล (Tele Conference) เป็นการประชุมของบุคคลท่ีอยู่คนละสถานที่และห่างไกลกันอาจเป็นคนละตึก คนละจังหวัด คนละประเทศ หรือคนละทวีป โดยอาศัยอุปกรณ์โทรคมนาคมสื่อสารกันข่าวสารที่รับส่งได้ทั้ง ตัวอักษร เสียง และภาพพร้อมๆ กัน จึงให้ความสะดวกแก่ผู้เก่ียวข้องเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปการประชุมทาง ไหลจะแบง่ เปน็ 2 ลกั ษณะไดแ้ ก่ 9.1) การประชุมทางไกลเฉพาะเสียง (Audio Conference) อาศัยระบบโทรศัพท์ หรือวงจร เชา่ จากองคก์ ารโทรศพั ท์ หรอื การสื่อสารแห่งประเทศ เมื่อผู้เข้าประชุมพร้อม ทุกคนจึงเริ่มประชุม ทุกๆ คน ไดย้ ินเสยี วพูดพร้อมๆ กนั เสมอื นประชมุ อยใู่ นทเ่ี ดียวกนั โดยมีผู้ดาเนินการประชุมเปน็ ผจู้ ดั ระเบยี บในหารพดู 9.2) การประชุมทางไกลทั้งเสียงและภาพ (Video Conference) เป็นการประชุมที่ใช้ สายโทรศัพท์ หรือวงจรพิเศษเป็นส่ือนาภาพ เสียง และข้อมูล สู่ผู้เข้าร่วมประชุม การใช้บริการสื่อสารรวม ระบบดิจิตอล (ISDN – Integrated Service Digital Network) จะช่วยรวมบริการด้านเสียง ภาพและข้อมูล ไวใ้ นเครือขา่ ยเดียวกนั โดยใชเ้ คเบิลใยแก้วนาแสงต่อเขา้ กับค่สู ายเพียงคู่เดยี วก็ทางานได้ท้ังเสียงและภาพ 10) โทรทัศน์ดิจิตอล โทรทัสน์ตามสาย และผ่านดาวเทียม (Cable and sattleite TV) การส่ง สัญญาณโทรทัศน์ผ่านสื่อต่างๆ ไปยังผู้ชม จะมีผลทาให้ข้อมูลข่าวสารสามารถแพร่ไปได้อย่างรวดเร็วและ ครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น โดยที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงข้อมูลจากสื่อต่างๆ ได้มากขึ้น ส่งผลให้ผู้ชมรายการมี ทางเลือกมากขึ้นและสามารถตัดสินใจในทางเลือกต่างๆ ได้เหมาะสมขึ้น และในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการ เผยแพร่สัญญาณโทรทัศน์ดิจิตอลผ่านหลากหลายส่ือสัญญาณเครือข่ายให้ผู้ชมได้เลือกชมกัน ทาให้ภาพและ เสียงคมชัดมากกวา่ เดิมหลายเทา่ ตัว 118

11) เทคโนโลยีมัลติมีเดีย (multimedia technology) เป็นการนาเอาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เก็บ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาจัดเก็บข้อมูลหรือข่าวสารในลักษณะท่ีแตกต่างกันท้ังรูปภาพ ข้อความ เสียง โดย สามารถเรียกกลับมาใช้เป็นภาพเคล่ือนไหวได้ และยังสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ด้วยการประยุกต์เข้ากับความรู้ ทางดา้ นคอมพวิ เตอร์ เชน่ หนว่ ยความจาแบบอ่านอยา่ งเดยี วท่บี นั ทกึ ในแผ่นดสิ ก์ (CD-ROM) จอภาพท่ีมีความ ละเอียดสูง (high resolution) เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อจัดเก็บและนาเสนอข้อมูล ภาพ และเสียงท่ีสามารถ โต้ตอบกับผูใ้ ช้ได้ ปจั จบุ นั เทคโนโลยีมลั ตมิ เี ดยี เป็นเทคโนโลยที ่ีตื่นตัวและได้รบั ความสนใจจากบุคคลหลายกลุ่ม เนือ่ งจากเลง็ เหน็ ความสาคญั วา่ จะเป็นประโยชน์ตอ่ วงการศกึ ษา โฆษณา และบนั เทิงเป็นอยา่ งมาก 12) การใช้คอมพิวเตอร์ในการฝึกอบรม (computer base training) เป็นการนาเอาระบบ คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการฝึกอบรมในด้านต่างๆ หรือการนาเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในด้านการเรียนการ สอนท่ีเรียกว่า “ คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน (computer assisted instruction) หรือ CAI” การใช้ คอมพิวเตอร์ช่วยในการสอนเปิดช่องทางใหม่ในการเรียนรู้ โดยส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้ ตลอดจน ปรชั ญาการเรียนรดู้ ้วยตนเอง 13) การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ (computer aided design) หรือ CAD เป็นการนาเอา เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบข้อมูลเข้ามาช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมท้ังรูปแบบหีบห่อของ ผลิตภัณฑ์หรือการนาคอมพิวเตอร์มาช่วยทางด้านการออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมให้มีความ เหมาะสมกับความต้องการและความเป็นจริง ตลอดจนช่วยลดต้นทุนการดาเนินงานในการออกแบบ โดยเฉพาะในเรือ่ งของเวลา การแกไ้ ข และการจัดเกบ็ แบบ 14) การใช้คอมพิวเตอรช์ ่วยในการผลิต (computer aided manufacturing) หรือ CAM เป็นการนา คอมพิวเตอร์มาช่วยในการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์จะมีความเที่ยงตรง และนา่ เชื่อถอื ได้ในการทางานที่ซ้ากัน ตลอดจนสามารถตรวจสอบรายละเอียดและข้อผิดพลาดของผลิตภัณฑ์ ได้ตามมาตรฐานที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยประหยัดระยะเวลาและแรงงาน ประการสาคัญ ช่วยให้คุณภาพของ ผลติ ภณั ฑม์ คี วามสม่าเสมอตามทก่ี าหนด 15) ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (geographic information system) หรือ GIS เป็นการนาเอา ระบบคอมพิวเตอร์ทางด้านรูปภาพ (graphics) และข้อมูลทางภูมิศาสตร์มาจัดทาแผนที่ในบริเวณที่สนใจ GIS สามารถนามาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์ในการดาเนินกิจการต่างๆ เช่น การวางแผนยุทธศาสตร์ การบริหาร การขนสง่ การสารวจและวางแผนปูองกนั ภยั ธรรมชาติ การช่วยเหลือและก้ภู ยั เป็นต้น ท่ีกล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหน่ึงของเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีถูกพัฒนาข้ึนในปัจจุบัน และกาลัง ทาการศึกษาและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมต่อการใช้งานในอนาคต โครงการพัฒนาความรู้ต่างๆ เหล่าน้ีจะมีผลไม่เพียงต้องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสารสนเทศเท่าน้ัน แต่ยังจะส่งผลกระทบต่อการ ดาเนินงานขององค์การและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสังคมส่วนรวมอีกด้วย เราจะเห็นว่าปัจจุบันเทคโนโลยี สารสนเทศจะเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราต้องพยายามติดตาม ศึกษา และทา ความเข้าใจแนวทางและพัฒนาการที่เกิดขึ้น เพ่ือที่จะนาเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการดารงชวี ติ อยา่ งเหมาะสม 119

นอกจากการประยุกต์ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์สนับสนุนกิจกรรมดังกล่าวท่ีผ่านมาแล้ว เทคโนโลยี เครือข่ายยังสามารถสนับสนุนด้านการศึกษา ด้านการแพทย์ทางไกล (Tele Medicine) ด้านความม่ันคง ปลอดภยั ของประเทศ ด้านการสื่อสา ด้านธรุ กจิ และด้านอ่ืนๆ ดังน้ี 1) ด้านการศึกษา เกิดส่ิงท่ีเรียกว่า การศึกษาทางไหล (Tele Education) ทาให้ผู้ท่ีอยู่ห่างไกลแหล่ง การศึกษา และไม่มโี อกาสเดนิ ทางไปยังแกล่งความรู้ ได้เรียนรู้ หรือศึกษาวิชาการท่ีสนใจ ณ เป็นการให้ความรู้ เดินทางไปสู่ผู้เรียน ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ มาเลเชีย ฯลฯ ต่างมีแผนระดับชาติท่ีจะ พัฒนาประชากรของตน โดยส่งผ่านความรู้ทางอินเทอร์เน็ตเข้าสู่บ้านประชากรทุกหลังภายในไม่เกิน 10 ปี ข้างหน้าสาหรับประเทศไทย ศูนย์เทคโนโลยีอีเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้พัฒนา โครงข่ายงานมหาวิทยาลัย ที่วางเปูาหมายเพ่ือเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในส่วนกลาง เข้า กับมหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาค ซ่ึงจะส่งผลให้ สามารถค้นหาความรู้ในสาขาวิชาต่างๆ ได้รวดเร็ว ส่งเสริมให้ งานวิจยั มีความเจรญิ กา้ วหนา้ และมมี าตรฐานสงู ขึ้น ผลพลอยได้ท่ีตามมาก็คือ ช่วยให้เกิดความสนใจย่างจริงจังในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มากย่ิงข้ึน การศึกษาในระดับปริญญาตรี โท หรือเอก ผ่านอินเทอร์เน็ต ก็เป็นทางเลือกใหม่ท่ีจะเกิดขึ้นใน เร็วๆ นี้นักศึกษาจะเดินทางไปมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เฉพาะเม่ือจะสอบเท่าน้ัน การศึกษาทางไกลเช่นน้ี จึงเป็นแนวทางใหม่ที่เกิดข้ึนในสังคมมนุษย์ และน่าจะเป็นประโยชน์ เพราะประหยัดท้ังเวลาและค่าใช้จ่าย ได้มาก ต่อไปคาว่า “ครูเท้าเปล่า” หรือ”ครูเดินสอน” คงจะค่อยๆ เลือนไปจากความคิดของคนไทย เพราะ ประโยชนจ์ ากอนิ เตอร์เนต็ นั้นเอง 2) ด้านการแพทย์ทางไกล (Tele Medicine) ในก้านการแพทย์ ได้มีการนาระบบเครือข่ายมาใช้ใน การเก็บทะเบียนประวัติคนไข้ โดยใชฐ้ านขอ้ มลู ร่วมกนั มีการปรกึ ษาวนิ ิจฉัยโรค และรักษาโรคผ่านเครือข่าย คอมพิวเตอร์ ซ่ึงน่าจะเป็นผลดีแก่ผู้อยู่อาศัยในท้องถ่ินทุรกันดาร หากทาให้การใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มี ประสิทธภิ าพจรงิ ๆ ต่อไปสขุ ภาพเฉลยี่ ของประชากรน่าจะดขี ึ้นอย่างต่อเนอ่ื ง 3) ด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หากได้มีหารเก็บประวัติอาชญากรด้วยฐานข้อมูลเดียวกัน โดยทุกสถานีตารวจมีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่จะสามารถเรียกและตรวจสอบข้อมูลได้ ก็จะทาให้การ ปราบปรามอาชญากรรมกระทาได้รวดเร็วทันเหตุการณ์ในเร่ืองการจราจรท่ีติดขัด สามารถใช้ระบบเครือข่าย ช่วยรายงานสภาพการจราจร ในการสื่อสาร ทหาร การถ่ายทอดข้อมูลการทหารด้วยลาแสงเลเซอร์ก็ให้ผล ลัพธ์ทแี่ ม่นยา และปลอดภัย 4) ด้านธรุ กิจ ระบบเครือขา่ ยมีประโยชนม์ ากมายหลายอยา่ งต่อธุรกิจ ซ่ึงกลา่ วพอสงั เขป ได้แก่ 4.1) ด้านการเงินและธนาคาร ระบบออนไลน์บนเครือข่ายช่วยให้ธุรกิจสามารถสอบถาม ยอดเงนิ หรือโอนเงนิ ไดร้ วดเร็วทนั ใจ การติดต่อข่าวสารระหว่างสานักงานใหญ่และสาขา หรือสาขากับสาขา สะดวกรวดเร็ว ฉับไว 4.2) โฮมเพจ (Homepage) กับการโฆษณา เกิดธุรกิจใหม่แก่วงการโฆษณา น้ันคือการ ออกแบบโฮมเพจสาหรับฝากไว้บนอินเตอรเ์ นต็ โอมเพ็จ คอื หนา้ จอทปี่ รากฏบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ธุรกิจ 120

ต่างๆ ใช้โฮมเพจโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์หน่วยงานหรือสินค้าของตน โดยฝากโฮมเพจไว้บนเครือข่าย การสร้างโฮมเพจให้สวยงาม ดึงดูดใจ ต้องใช้ความรู้ทางการออกแบบโฆษณา จึงเท่ากับเป็นการสร้างงาน ให้แก่ฝาุ ยรีเอทีฟ (Creative) ของงานโฆษณา ขณะเดยี วกนั โปรแกรมเมอร์ก็มีงานเขียนโฮมเพจตามลักษณะที่ ออกแบบมา จึงทาให้เกิดการสร้างงานแก่โปรแกรมเมอร์ในอีกแบบหนึ่ง ธุรกิจบริการบนอินเตอร์เน็ตท่ี เรียกว่า Internet Service Provider (ISP) ก็เป็นธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังการมีอินเตอร์เน็ต ผู้สนใจใช้ บริการของเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออื่นๆ จะต้องเช่าช่องทาง หรือเช่าเวลาการ เชื่อมโยงเครอื ข่ายจาก ISP 4.3) การทาธุรกิจค้าขายบนเครือข่าย หรือ e-Commerce ปัจจุบันมีการซ้ือขายสินค้า หรือ บรกิ ารผา่ นเครือขา่ ย การจ่ายเงินชาระคา่ สินคา้ หรอื บริการ อาจใชเ้ งินอเิ ล็กทรอนิกส์ (Electronic Money) หรือผ่านบัตรเครดิตของผู้ซ้ือ ปัญหาที่ยังมีอยู่บ้าง ก็คือ การรักษาความปลอดภัยบนเครือข่าย เช่น การ หาทางปอู งกนั การถอดรหัสบัตรเครดิตของผูซ้ ้ือ เป็นต้น 5) ด้านการส่ือสาร การใช้ประโยชน์พื้นฐานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต คือ การส่งจอหมาย อิเล็กทรอนิกส์ท่ีเรียกกันว่า E-Mail (Electronic Mail) E-Mail ช่วยให้การสื่อสารทางไกลสะดวกและรวดเร็ว เพราะสามารถสื่อสารกนั ได้ท้ังรูปข้อความ จดหมาย ภาพ หรือเสียง ทาให้สะดวก คล่องตัว และประหยัดกว่า การพูดคุยผ่านโทรศัพท์ทางไกล นอกจากน้ียังมีบริการอีกหลายชนิดบนเครือข่าย (ซ่ึงมักจะได้แก่ เครือข่าย อนิ เตอรเ์ น็ต) ได้แก่ จดหมายขา่ ว จดหมายเวียน (Mail) การใชค้ อมพิวเตอร์บนเครื่องอ่ืน (Telnet) และการขน ถ่านแฟูม (FTP-File Transfer) เปน็ ตน้ 6) ด้านอ่ืนๆ ยังมีการใช้งานด้านอื่นๆ อีกมากมายบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ งานต่างๆ บนเครือข่าย ล้วนเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ช่วยยกระบบคุณภาพชีวิตให้ดีข้ึน การติดตามพัฒนาการและความ เจรญิ ก้าวหน้าของวิทยาการด้านน้ี จะชว่ ยให้สามารถใช้ประโยชน์การสือ่ สารข้อมูลบนเครือข่ายได้สูงสุด อน่ึง ความปลอดภยั นับเป็นหัวใจของระบบเครือข่าย ทุกคนควรท่ีจะช่วยกันสอดส่องดูแลเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ระบบมีเสถียรภาพ และเช่ือถือได้ โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตน้ันเป็นสังคมใหญ่ที่มีสมาชิกมากมาย มีความ หลากหลาย ทง้ั ความรู้ และความคิด รวมทั้งวัฒนธรรม เพราะฉะน้ันจึงต้องช่วยกันรักษาระบบ เพ่ือจะได้ใช้ ประโยชน์ไดน้ านเท่านาน ปัจจุบันพัฒนาการและการนาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในองค์การ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงท้ัง โดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งกอ่ ให้เกิดความทา้ ทายแก่ผ้บู ริหารในอนาคตให้นาเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สูงสุดแก่ธุรกิจ โดยผู้บริหารต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และวิสัยทัศน์ต่อแนวโน้มของเทคโนโลยี เพ่ือให้สามารถ ตัดสนิ ใจนาเทคโนโลยมี าใช้งานอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ซึ่งเราสามารถจาแนกผลกระทบของเทคโนโลยีท่ีมีต่อการ ทางานขององค์การออกเปน็ 5 ลกั ษณะ ดังตอ่ ไปน้ี 1) การปรับปรุงรูปแบบการทางานขององค์การ เทคโนโลยีหลายอย่างได้ถูกนาเข้ามาใช้ภายใน องค์การ และส่งผลให้กระบวนการทางานได้เปล่ียนรูปแบบไป ตัวอย่างเช่น การนาเอาเทคโนโลยีไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics mail) เข้ามาใช้ภายในองค์การ ทาให้การส่งข่าวสารไม่ต้องใช้พนักงานเดิน 121

หนังสืออีกต่อไป ตลอดจนลดการใช้กระดาษท่ีต้องพิมพ์ข่าวสารและสามารถส่งข่าวสารไปถึงบุคคลที่ต้องการ ไดเ้ ป็นจานวนมากและรวดเรว็ หรอื เทคโนโลยสี านักงานอัตโนมัติ (Office Automation) ท่ีเปลี่ยนรูปแบบของ กระบวนการทางานและประสานงานในองค์การให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และเป็นเคร่ืองมือที่มีประสิทธิภาพ ในการบรหิ ารงานของผูบ้ ริหารในระดับตา่ งๆ ขององค์การ 2) การสนบั สนุนการดาเนนิ งานเชงิ กลยุทธ์ โดยเทคโนโลยสี ารสนเทศจะผลิตสารสนเทศท่ีสาคัญให้แก่ ผู้บริหารที่จะใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจและการสร้างความได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่งขัน ในอนาคตการ แข่งขันในแต่ละอุตสาหกรรมจะมีความรุนแรงมากข้ึน การบริหารงานของผู้บริหารที่อาศัยเพียงประสบการณ์ และโชคชะตาอาจจะไม่เพียงพอ แต่ถ้าผู้บริหารมีสารสนเทศท่ีมีประสิทธิภาพมาประกอบในการตัดสินใจ ก็จะ สามารถแก้ไขปัญหาและบริหารงานได้มีประสิทธิภาพข้ึน ดังนั้นผู้บริหารในอนาคตจะต้องสามารถประยุกต์ใช้ เทคโนโลยกี ารสรา้ งสารสนเทศทดี่ ีให้กับตนเองและองคก์ าร 3) เครือ่ งมือในการทางาน เทคโนโลยีถูกนาเข้ามาใช้ภายในองค์การ เพ่ือให้การทางานคล่องตัวและมี ประสิทธิภาพ เช่น การออกเอกสารต่างๆ โดยใช้คอมพิวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบช้ินส่วน ของเครื่องจักร และการควบคุมการผลิต เป็นต้น เราจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีสามารถที่จะนามาประยุกต์ใน หลายๆ ด้าน โดยเทคโนโลยีจะช่วยเปล่ียนแปลงและปรับปรุงคุณภาพของการท่ีจะนามาประยุกต์ในหลายๆ ด้าน โดยเทคโนโลยีจะช่วยเปล่ียนแปลงและปรับปรุงคุณภาพของการทางานให้ดีขึ้น หรือแม้กระทั่งช่วยลด ค่าใช้จ่ายในเรื่องของแรงงานและวัสดสุ ิน้ เปลอื งตา่ งๆ ลง แตย่ งั คงรักษาหรือเพ่ิมคุณภาพในการทางานหรือการ ให้บริการลูกค้าท่ีดีข้ึน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเทคโนโลยีจะถูกนาเข้ามาใช้ในการเปล่ียนแปลงและปรับปรุง กระบวนการในการดาเนนิ งานขององค์การมากขึ้นในอนาคต 4) การเพิม่ ผลผลติ ของงานโดยเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์สว่ นบุคคล ปจั จบุ ันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือ PC ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากข้ึน ตลอดจนการใช้งานสะดวกและไม่ซับซ้อนเหมือนอย่างคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ในท้องตลาดยังมีชุดคาส่ังประยุกต์ (Application Software) อีกมากมายที่สามารถใช้ งานกบั เครือ่ งคอมพิวเตอรส์ ่วนบุคคล และสามารถช่วยเพม่ิ ประสิทธิภาพและผลผลิตของงานได้อย่างมาก และ เมอ่ื ต่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเข้ากับระบบเครือข่าย ก็จะทาให้องค์การสามารถรับ-ส่งข้อมูลและข่าวสารจาก ท้ังภายในและภายนอกองค์การได้อีกด้วย ดังนั้นในอนาคตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะกลายเป็นเครื่องมือหลัก ของพนักงานและผู้บรหิ ารขององค์การ 5) เทคโนโลยีในการตดิ ต่อส่ือสาร ในช่วงแรกของการนาคอมพิวเตอร์มาใช้งานทางธุรกิจคอมพิวเตอร์ จะถูกใช้เป็นเพียงอุปกรณ์หลักที่ช่วยในการเก็บและคานวณข้อมูลต่างๆ เท่าน้ัน ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้ถูก พัฒนาให้มีศกั ยภาพมากข้ึน โดยสามารถท่จี ะต่อเปน็ ระบบเครือขา่ ยเพ่ือแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันผู้ใช้สามารถติดต่อเพ่ือท่ีจะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันได้จากทุกหนทุกแห่งทั่วโลก คอมพิวเตอร์จึงมีบทบาทที่สาคัญมากกว่าการเป็นเคร่ืองมือท่ีเก็บและประมวลผลข้อมูลเหมือนอย่างในอดีต ตอ่ ไป แนวโน้มของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศขององค์การ แสดงให้เราเห็นได้ว่าในอนาคต ผู้ที่จะเป็นนัก บริหารและนักวิชาชีพท่ีประสบความสาเร็จจะต้องไม่เพียงแค่รู้จักคอมพิวเตอร์ แต่จะต้องสามารถใช้ 122

คอมพวิ เตอรอ์ ย่างมีประสิทธภิ าพ และรจู้ ักการจดั การเทคโนโลยสี ารสนเทศ โดยผู้บริหารในอนาคตจะต้องรู้จัก การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับงานของตน มีความคิดในการที่จะสร้างระบบสารสนเทศท่ีตนเองต้องการ เพื่อ ช่วยในการตัดสินใจในภาวะท่ีมีการแข่งขันสูง ทาให้การบริหารของตนเองมีประสิทธิภาพและประสบ ความสาเร็จอย่างสูง ขณะที่นักวิชาชีพจะใช้ระบบสารสนเทศในการรวบรวมประมวลผล และจัดการข้อมูล อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ตลอดจนการคน้ หาและตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ผ่านระบบเครือข่ายอย่างถูกต้อง และรวดเร็ว 10.2 ประโยชนข์ องระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ อาศยั ช่องทางในการสอ่ื สารขอ้ มลู ระหวา่ งเครอื่ งคอมพิวเตอร์สร้างการทางานที่ เป็นชุมชนประสานสัมพันธ์ระหว่างคอมพิวเตอร์และทรัพยากรของระบบคอมพิวเตอร์ เช่นอุปกรณ์ประกอบ ตา่ งๆ นอกเหนือจากการสร้างเครอื ข่ายคอมพิวเตอรจ์ ะก่อใหเ้ กิดประโยชน์เช่นเดยี วกับการสือ่ สารข้อมลู ได้แก่ 1) ลดขนาดของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ (Downsizing) การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในกิจการขนาดใหญ่และ ขนาดกลางในยุคที่ผ่านมา มักจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ระดับเมนเฟรมหรือมินิคอมพิวเตอร์ ซึ่งโฮสคอมพิวเตอร์ เพยี งเคร่ืองเดียวสามารถทาการประมวลผลงานต่างๆ ในกิจการได้หลายด้าน แต่ระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เช่นนั้นมีราคาในการลงทนุ และคา่ ใช้จา่ ยในการบารงุ รกั ษาเป็นเงินสูง และยังต้องใช้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการ ดแู ลรักษาระบบและอานวยความสะดวกในการใช้งานต่อผ้ใู ชข้ องหน่วยงานตา่ งๆ ในยุคท่ีคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่มีราคาถูกเข้ามามีบทบาทในช่วงแรกจะทาได้เพียงงานเล็กๆ บางงาน เท่านั้น แต่เม่ือมีการนาเทคโนโลยีระบบเครือข่ายเข้ามาใช้ทาให้สามารถต่อเช่ือมคอมพิวเตอร์จานวนหลายๆ เครื่องเข้าด้วยกันแม้จะมีการทางานท่ีแยกกัน แต่จากความสามารถด้านเครือข่ายทาให้คอมพิวเตอร์เหล่านี้ สามารถทางานประสานกันได้ กระจายหน้าทกี่ ารทางานไปยงั เคร่ืองต่างๆ ที่ถกู จดั ไวอ้ ย่างเหมาะสม ด้วยเทคโนโลยีการผลิตไมโครโปรเซสเซอร์ท่ีสามารถทาได้ซับซ้อนมากข้ึน ยิ่งทาให้ความสามารถของ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแต่ละเคร่ืองมีความสามารถสูงเทียบเท่ากับเคร่ืองใหญ่ๆ ในบางด้านได้ ดังน้ันการใช้ คอมพวิ เตอร์ขนาดใหญ่จึงลดบทบาทลงและถูกแทนที่ด้วยการนาคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เช่นพีซี และสถานีงาน วิศวกรรมที่มีราคาต่ากว่าระบบเมนเฟรมและมินิมาก มาทางานในระบบเครือข่ายแทน ซึ่งข้อดีในการใช้ คอมพิวเตอร์เล็กๆ หลายๆ เครือ่ งมาทางานรว่ มกนั ในระบบเครือขา่ ยได้แก่ 2) การจัดสร้างระบบเครือข่ายทาได้ง่ายกว่า และเป็นระบบเปิด (open system) ท่ีมีผู้ผลิต ส่วนประกอบต่างๆ อยู่มากมายหลายย่ีห้อ รุ่น ซ่ึงสามารถนามาใช้งานร่วมกันได้และอุปกรณ์ต่างๆ ยังมีราคา ถกู สามารถเร่มิ ตน้ สร้างจากระบบขนาดเล็ก และขยายความสามารถของระบบได้ในภายหลงั 3) ในระบบโฮสคอมพิวเตอร์หากเพ่ิมจานวนเทอร์มินอลมากขึ้นประสิทธิภาพของระบบจะลดต่าลง เน่ืองจากต้องแบ่งกันใช้เวลาสาหรับการประมวลผล แต่เม่ือถูกแทนท่ีด้วยการใช้เคร่ืองลูกข่ายที่เป็น คอมพวิ เตอรข์ นาดเล็ก เมอ่ื มีจานวนเครื่องลกู ขา่ ย (อาจเป็นพีซี แมกอินทอชหรือสถานีงานวิศวกรรม) มากข้ึน ประสิทธิภาพรวมไม่ได้ตกลง เน่ืองจากการประมวลผลแยกทาบนเคร่ืองลูกข่ายแต่ละเครื่องไม่ได้รวมกันอยู่ท่ี 123

เดยี ว ดงั น้ันย่งิ จานวนลกู ข่ายมากขึ้นประสิทธิภาพรวมของระบบจะยิง่ สงู ข้นึ จากประสทิ ธิภาพของลูกข่ายแต่ละ ตวั มารวมกัน 4) การขยายระบบทาได้ง่ายในราคาไม่สูงนัก เน่ืองจากเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบมี ราคาถูกกว่าการเพิ่มเติมส่วนประกอบในคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ดังนั้นในระบบเครือข่ายสามารถซ้ือ คอมพิวเตอร์เพมิ่ และนามาเช่ือมย่อเขา้ กบั เครือขา่ ยได้อยา่ งง่ายดาย 5) หากเกิดความเสียหายข้ึนในบางจุดไม่กระทบกับระบบท้ังหมด เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ทั้งลูก ข่ายและแม่ข่ายจะทางานแยกโดยอิสระจากกัน หากจุดใดเสียก็สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ที่จุดน้ัน แต่ หากเปน็ ระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่หากเกิดความเสียหายจะทาให้ระบบทง้ั หมดไม่สามารถทางานได้ 6) บารงุ รักษาได้ง่าย เนื่องจากเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เกิดจากคอมพิวเตอร์ท่ีใช้งานเฉพาะบุคคล จึงมีความซับซ้อนน้อยและเข้าใจการทางานได้ง่ายกว่า รวมถึงมีผู้ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเหล่าน้ีอยู่ เป็นจานวนมากไม่จากดั เฉพาะกลมุ่ บุคคล มกี ารเผยแพร่ความรู้และเทคโนโลยอี ย่างแพร่หลาย 7) ผู้ใช้ระบบสามารถเข้าใจในวิธีใช้งานได้ง่าย รวดเร็ว เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กใน ปัจจุบันไม่ว่าจะใช้งานเพียงเคร่ืองเดียวหรือการต่อรวมกันเป็นเครือข่าย ก็จะมีการใช้งานท่ีเหมือนกัน เป็น ระบบกราฟฟกิ ทไี่ มม่ คี วามซับซ้อนมากนักเขา้ ใจไดง้ ่าย นอกเหนือจากการใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กทางานร่วมกันในเครือข่ายแล้ว คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น เทมนเฟรมและมินิก็ได้ปรับเปล่ียนลักษณะการใช้งานมาเป็นการเชื่อมต่อเข้าเป็นส่วนหน่ึงในระบบ เครอื ข่าย เพื่อทางานรว่ มกันกับระบบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กได้ หากเป็นงานที่ต้องการคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ มาทางานประกอบดว้ ย ดังนั้นการนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ประโยชน์จึงสามารถสร้างให้เกิด ระบบประมวลผลขนาดใหญจ่ ากคอมพวิ เตอรเ์ ครื่องเลก็ ย่อยๆ ท่ีทางานประสานกนั ตามหนา้ ท่ที ี่เหมาะสม 8) ใช้ทรัพยากรร่วมกัน ในสานักงานท่ีมีพนักงานเป็นจานวนมากที่เคยใช้คอมพิวเตอร์พีซีแยกแต่ละ เคร่อื ง มกั จะตอ้ งมอี ปุ กรณ์ประกอบเฉพาะสาหรับคอมพิวเตอร์แยกกันไป เช่น จะต้องมีเครื่องพิมพ์คู่กับเครื่อง คอมพิวเตอร์ จะต้องมีหน่วยบันทึกเช่นฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่แยกสาหรับติดตั้งในคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง บันทึกข้อมูลในชุดของตนเอง การใช้ทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ร่วมกันเช่นจะแบ่งเคร่ืองพิมพ์เคร่ืองหนึ่งให้ คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องได้ใช้ หรือจะใช้ข้อมูลร่วมกันทาได้ด้วยความยากลาบากและต้องวุ่นวาย เช่น เครอื่ งพิมพห์ ากไมม่ ีกลอ่ งสวิทซ์สาหรบั ตอ่ คอมพิวเตอร์ได้หลายๆ เคร่ืองและเลือกพิมพ์จากคอมพิวเตอร์เคร่ือง ใดเคร่อื งหนึ่งแลว้ กต็ ้องใชว้ ธิ กี ารทาสาเนาข้อมูลผ่านแผ่นฟลอปปี้ดิสก์จากเคร่ืองท่ีทางาน ถ่ายเข้าไปในเคร่ือง ทีต่ ดิ ตั้งเครอื่ งพิมพแ์ ละสั่งพิมพ์ออกจากเครื่องน้ัน ซ่ึงจะต้องไปแย่งเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์จากผู้ท่ีใช้เคร่ือง น้นั เปน็ ประจา การมีระบบเครือข่าย จะทาให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีอยู่ในระบบเครือข่ายสามารถใช้ทรัพยากรเช่น อุปกรณ์ประกอบ หรือข้อมูลร่วมกันได้โดยทรัพยากรนั้นอาจจะติดต้ังอยู่ท่ีคอมพิวเตอร์เคร่ืองใดๆ ในระบบ เครือข่ายก็ได้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแม่ข่าย หรือเครื่องลูกข่ายท่ีในปัจจุบันสามารถทาหน้าที่ให้บริการไปพร้อมกัน ได้โดยไม่ขัดจังหวะการทางานตามปกติ ไม่ต้องทาสาเนาผ่านแผ่นดิสก์ให้เกิดความวุ่นวาย หากมีทรัพยากรที่ ตอ้ งใช้โดยส่วนรวมแต่มรี าคาแพง เชน่ เครอ่ื งพมิ พเ์ ลเซอร์ ซ่ึงมคี ุณภาพในการพิมพ์ดีและมีความเร็วในการพิมพ์ 124

สูงกว่าเครื่องพิมพ์ชนิดอื่นๆ ก็อาจมีเคร่ืองพิมพ์น้ันเพียงเคร่ืองเดียวและคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายสามารถส่ง งานมาพิมพท์ เี่ ครอ่ื งพิมพน์ ้นั ไดโ้ ดยอตั โนมัติ รวมถงึ การใชร้ ะบบคอมพวิ เตอร์ร่วมกันเนื่องจากการที่เราสามารถ ใช้ข้อมูลร่วมกนั ไดไ้ มว่ ่านงั่ หน้าคอมพวิ เตอร์เครื่องใดๆ 9) ประสานการทางานบนเครือข่าย การทางานในสานักงานต่างๆ มีข้ันตอนของงานที่แบ่งแยกเป็น หายขั้น อาจจะผ่านการดาเนินงานของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าท่ีหลายฝุายหลายคน การใช้ประโยชน์จาก คอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมกันเป็นเครือข่ายจะทาให้ข้อมูลจากการทางานในแต่ละข้ันตอนถูกนาไปใช้เช่ือมโยงให้ เป็นประโยชน์ต่องานในขั้นตอนอ่ืนๆ ได้อย่างครบวงจร ทาให้ไม่จาเป็นที่แต่ละงานจะต้องสร้าง-ปูอนข้อมูล เฉพาะของตนเองซึง่ จะเกิดความซา้ ซ้อน ล่าช้าและอาจเกิดขอ้ ผดิ พลาดคลาดเคล่ือนมขี ้อมลู ไม่ตรงกนั ไดด้ ้วย ตัวอย่างของการทางานท่ีประสานกันด้วยเครือข่าย เช่น ในระบบโรงพยาบาลเม่ือคนไข้ลงทะเบียน เป็นคนไข้ใหม่ พนักงานปูอนประวัติคนไข้เข้าไปในฐานข้อมูลแล้วแพทย์สามารถดูประวัตินั้นประกอบกับการ ตรวจรักษาในหอ้ งตรวจ เม่ือมีการสั่งยาพนักงานจะปูอนข้อมูลยาท่ีจ่ายให้แก่คนไข้บันทึกเป็นประวัติการตรวจ รกั ษาของคนไข้แตล่ ะราย ขอ้ มลู การจ่ายยานีส้ ามารถนาไปพมิ พ์ใบเสรจ็ รับเงนิ ให้แก่คนไข้ และนาข้อมูลไปตัดส ต๊อกยา รวมถึงข้อมูลที่การคิดค่ารักษาและค่ายายังถูกถ่ายโอนไปเข้าในระบบบัญชีของโรงพยาบาลนั้นโดยท่ี พนักงานบัญชีไม่ต้องเสียเวลาในการปูอนเข้าไปใหม่ ซ่ึงข้อมูลต่างๆ จะถูกนามาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่าง ตอ่ เน่อื งผา่ นการประมวลผลบนเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ 125

บรรณานุกรม จักกรชิ พฤษการ, การสือ่ สารขอ้ มลู และเครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ท้อป. 2548, แปลจาก Forouzan Behrouz A., Data Communications and Networking. ฉัตรชัย สุมามาลย์. (2545) . การส่ือสารข้อมูลคอมพวิเตอร์และระบบเครือข่าย. กรุงเทพ ฯ : ไทยเจริญการ พิมพ.์ ชนวัฒน์ ศรีสอ้าน และสุทธิชัย มณีรัตนรุ่งโรจน์. (2542) . เอกสารประกอบการบรราย : การส่ือสารทางไกล และเครอื ข่าย. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยสี ุรนารี. นครราชสมี า. ถวิล ก่ิงทอง. (2535) เทคโนโลยีการส่งสัญญาณดิจิตอล. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง. กรงุ เทพฯ. แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต. สืบค้นเมื่อวันท่ี 25 มิถุนายน 2557, จากเว็บไซต์ : http://elearning.northcm.ac.th/it/lesson12-1.asp สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, การสื่อสารข้อมูลระดับพ้ืนฐาน. กรุงเทพฯ: ทอมสัน, 2544, เรียบเรียงจาก Gary B. Shelly, Thomas J. Cashman and Judy A. Serwatka, Business data communications. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, เครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอ็ดดูเคช่ัน อินโดไชน่า, 2542, แปลจาก Andrew S.Tanenbaum, Computer Network, Pentice-Hall, 1996. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ. การสื่อสารข้อมูลระดับพื้นฐาน Business Data Communications. กรุงเทพฯ : UNIVERSAL GRAPHIC & TRADING L.P., 2544. Behrouz A. Forouzan and Sophia Chung Fegan. (2007) . Data Communications and Networking Fourth Edition. McGraw-Hill. David A. Stamper. (2000) . Local Are Network 3rd edition. USA: Prentice Hall. William Stallings, Data & Computer Communications, 6th Edition, USA: Prentice Hall International, 2000. 126