ประเทศท่มี ปี ระสบการณ์การใช้งานระบบเครอื ข่ายจะจัดต้ังระบบเครือข่ายย่อยข้ันใช้งานมากมาย ทาให้วิธีการ ต้งั ชือ่ โฮสตแ์ ละโหนดต่างๆ ตอ้ งไดร้ บั การปรบั ปรุงใหม่ ทางด้าน TCP/IP น้ันกลับอยู่ในสถานการณ์ตรงข้าม นั้นคือโพรโตคอลต่างๆ ได้รับการพัฒนามาเป็น อย่างดีก่อนท่ีรูปแบบเครือข่าย TCP/IP จะได้รับการพัฒนาขึ้นมาใช้งาน ดังน้ันการผสมผสานโพรโตคอลต่างๆ เข้ากับรูปแบบ TCP/IP จึงทาได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามความอ่อนตัวท่ีมีอยู่น้ีทาให้รูปแบบ TCP/IP ไม่มี การกาหนดโครงสรา้ งท่ีชดั เจน การเปรยี บเทยี บ TCP/IP กับรูปแบบเครือข่ายอ่ืนๆ จงึ เปน็ เรือ่ งทีเ่ ปน็ ไปไม่ได้ ข้อแตกต่างท่ีเป็นรูปธรรมของทั้งสองรูปแบบนี้คือ รูปแบบ OSI ประกอบด้วยชั้นส่ือสารเจ็ดชั้นใน ขณะท่ี TCP/IP มเี พียงสชี่ น้ั นอกจากนนั้ รปู แบบ OSI ใหบ้ รกิ ารส่งขอ้ มลู แบบไม่ต่อเนื่องและแบบต่อเนื่องในชั้น ควบคุมเครือข่าย แต่ให้บริการเฉพาะแบบต่อเนื่องในช้ันนาส่งข้อมูล ส่วนรูปแบบ TCP/IP ให้บริการแบบไม่ ต่อเนื่องในชั้นควบคุมเครือข่าย แต่ให้บริการท้ังสองชนิดในช้ันนาส่งข้อมูล เน่ืองจากการให้บริการในชั้นนาส่ง ขอ้ มลู เปน็ บริการทผี่ ใู้ ชส้ ามารถนาไปใช้ได้ รูปแบบ TCP/IP จึงเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเลือกวิธีการติดต่อเพื่อ สง่ ขอ้ มูลทตี่ อ้ งการได้ ในขณะที่ผ้ใู ช้ OSI ไมม่ ที างเลือก ซึ่งวธิ ีการติดต่อน้ีมีส่วนสาคัญต่อ การใช้โพรโตคอลแบบ รอ้ งขอ และตอบสนอง (request-response) เป็นอย่างมาก 50
บรรณานกุ รม จักกริช พฤษการ, การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ท้อป. 2548, แปล จาก Forouzan Behrouz A., Data Communications and Networking. ฉัตรชัย สุมามาลย์. (2545). การส่ือสารข้อมูลคอมพวิเตอร์และระบบเครือข่าย. กรุงเทพ ฯ : ไทยเจริญการ พิมพ์. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, การสื่อสารข้อมูลระดับพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: ทอมสัน, 2544, เรียบเรียงจาก Gary B. Shelly, Thomas J. Cashman and Judy A. Serwatka, Business data communications. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, เครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น อินโดไชน่า, 2542, แปลจาก Andrew S.Tanenbaum, Computer Network, Pentice-Hall, 1996. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ. การส่ือสารข้อมูลระดับพ้ืนฐาน Business Data Communications. กรุงเทพฯ : UNIVERSAL GRAPHIC & TRADING L.P., 2544. สุวัฒน์ ปุณณชัยยะ และคณะ, เปิดโลก TCP/IP และโปรโตคอลของอินเตอร์เน็ต, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: โปรวิช่นั , 2545. Behrouz A. Forouzan and Sophia Chung Fegan. (2007). Data Communications and Networking Fourth Edition. McGraw-Hill. David A. Stamper. (2000). Local Are Network 3rd edition. USA: Prentice Hall. William Stallings, Data & Computer Communications, 6th Edition, USA: Prentice Hall International, 2000. 51
บทท่ี 5 ระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ หัวข้อบทเรียน 5.5 ความหมายของระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ 5.6 ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 5.7 โครงสร้างเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ 5.8 ประโยชนข์ องระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ วตั ถุประสงค์ 5. เพื่อให้ผ้เู รยี นเข้าใจถึงความหมายของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ 6. เพ่อื ใหผ้ ้เู รยี นทราบถึงประเภทของระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 7. เพื่อให้ผเู้ รียนทราบถึงโครงสร้างเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ 8. เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นทราบถงึ ประโยชน์ของระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 5.1 ความหมายของระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือการเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์จานวนมากกว่า 1 เคร่ืองขึ้นไปเข้าด้วยกันเป็นประชาคมของเคร่ืองคอมพิวเตอร์โดยใช้ช่องทางในการส่ือสารข้อมูล การเช่ือมต่อ ระบบคอมพิวเตอร์จะให้เกิดประโยชน์ต่างๆ มากมายทั้งการใช้ทรัพยากรร่วม การทางานร่วมกัน การนา ความสามารถของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ ที่ต่ออยู่ในเครือข่ายมาร่วมกันทาให้เสมือนเป็น ระบบเดียวกัน ในระบบเครือข่ายผู้ใช้งานจะนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าสถานีงาน (workstation) หรืออาจ เรียกว่าลกู ข่าย (client) ซง่ึ การประมวลผลอาจจะเกิดขึ้นบนเครื่องลกู ข่ายหรือส่งคาสั่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ แม่ข่ายหรือเคร่ืองให้บริการ (Server) ท่ีทาหน้าที่บริการการประมวลผลหรือช่วยจัดสรรทรัพยากรร่วมของ ระบบเครือข่าย ผ่านอุปกรณ์เครือข่ายและสายสัญญาณเครือข่ายหรือช่องทางสื่อสารข้อมูล โดยมีวิธีการ เช่ือมต่อระหวา่ งจดุ ตา่ งๆ ดว้ ยรปู แบบทเ่ี รียกว่าโทโปโลยีท่ตี า่ งกัน มีการกาหนดมาตรฐานของโพรโตคอลในการ ส่ือสารทีส่ อดคล้องสมั พันธก์ นั ทงั้ ระบบ 52
5.2 ประเภทของระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 1) เครือขา่ ยสาหรับองคก์ ร ปัจจบุ นั องค์กรต่างๆ ได้นาเอาระบบคอมพิวเตอร์มาใช้อย่างกว้างขวางและเป็นจานวนมากส่วนใหญ่ จะจัดไว้เป็นกลุ่มตามลักษณะกลุ่มผู้ทางานขององค์น้ันๆ แต่ละกลุ่มก็จะอยู่แยกจากกันตามลักษณะโครงสร้าง ของอาคาร เช่น ในห้องทางานขนาดใหญ่อาจประกอบด้วยหลายแผนกงานแยกกันอยู่เป็นสัดส่วน หรืออาจ แยกให้แต่แผนกอยู่ในห้องทางานขนาดเล็ก ในองค์กรขนาดกลางอาจจัดให้แต่ละช้ันของอาคารรวมกันเป็น บริษัทหรือองค์กรนั้น ส่วนในองค์กรขนาดใหญ่อาจประกอบด้วยหลายสาขา แต่ละสาขาต้ังอยู่ในอาคารของ ตนเองทาหน้าท่ีต่างกันออกไป แต่ละอาคารอาจต้ังอยู่ติดกันหรืออยู่ห่างกันคนละภูมิภาคก็ได้ แรกทีเดียวแต่ ละสาขาอาจแยกกันบริหารแต่ในท่ีสุดบริษัทแม่ก็จะต้องตัดสินใจเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์ของสาขาทั้งหมด เข้าด้วยดันเพื่อประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการบริหารข้อมูล โดยองค์กรมีวัตถุประสงค์ในการใช้ระบบ เครือขา่ ยดังน้ี 1.1) การใช้ข้อมูล โปรแกรม และอุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกัน ทาให้เกิดประโยชน์มหาศาล ดังเช่น พนักงานแต่ละคนอาจมีโต๊ะทางานอยู่ท่ีหนึ่ง แต่จะสามารถเลือกใช้โปรแกรมและข้อมูลจากที่ใดก็ได้ในระบบ ซึ่งสถานท่ีท่ีเก็บโปรแกรมหรือข้อมูลนั้นอาจจะอยู่ห่างกันตั้งแต่หลายเมตรไปจนถึงอยู่ห่างกันคนละซีกโลก พนักงานคนเดิมจะสามารถเดินทางไปตามสาขาต่างๆและใช้โปรแกรมและข้อมูลเดิมท่ีเคร่ืองคอมพิวเตอร์ใน สาขาน้นั ๆ ในระบบจะไม่มีความสาคญั อกี ต่อไป 1.2) ผู้ใช้จะมคี วามเช่อื ถือขอ้ มลู จากระบบ และความไว้วางใจได้ของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น แหล่ง เก็บข้อมูลหลักและแหล่งข้อมูลสารอง หากแหล่งข้อมูลหลักเกิดเสียกายจนใช้การไม่ได้จะด้วยเหตุใดๆก็ตาม ระบบจะยังคงมีขอ้ มลู สารอง หากแหล่งข้อมูลหลักเกิดเสียกายจนใช้การไม่ได้จะด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม ระบบ จะยังคงมีข้อมูลใช้งานได้เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยนาข้อมูลสารองมาใช้จากแหล่งเก็บข้อมูลแห่งอื่นๆ ระบบน้ีจึงมีความไว้วางใจได้ของข้อมูลอยู่ในระดับสูงกว่าปกติหรือในบางองค์กร เช่น องค์กรทางทหาร ธนาคาร โรงงานนิวเคลียร์ 1.3) การประหยัดงบประมาณ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal computer) แม้จะมี ความสามารถน้อยกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (mainframe computer) หลายสิบเท่าแต่ก็มีราคาต่า กว่าหลายพันเท่าเชน่ กัน ปัจจุบนั องคก์ รบางส่วนทีไ่ มม่ คี วามจาเปน็ ตอ้ งใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (แม้ว่า จะมีราคาถูกลงมากเม่ือเปรียบเทียบกับราคาในหลายทศวรรษที่ผ่านมาแต่ก็ยังคงมี ราคาแพงมากเม่ือ เปรียบเทียบกับราคาของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและยังมีค่าบารุงรักษาในการใช้งานแพงด้วย) จึงหันมา ใช้ระบบทีป่ ระกอบดว้ ยเคร่อื งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหลายสบิ หรอื หลายรอ้ ยเครื่องที่เชือ่ มต่อถึงกันท้ังหมด ซ่ึง สามารถตอบสนองความต้องการไดใ้ นระดบั ที่น่าพอใจแตม่ ีราคารวมทง้ั ระบบอยูใ่ นระดับตา่ และมีความคล่องตัว สูงมาก อย่างไรก็ตาม เพ่ือชดเชยความสามารถหลักหลายๆอย่างท่ีขาดหายไป คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล บางส่วนจึงถูกกาหนดให้ทาหน้าท่ีเป็นผู้ให้บริการเฉพาะอย่าง เช่น ให้บริการเป็นแหล่งเก็บแฟูมข้อมูล ( file 53
server) หรือเป็นแหล่งบริการฐานข้อมูล (database server) เป็นต้น ส่วนที่เหลือก็จะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ สาหรบั พนักงานแตล่ ะคนซง่ึ มีบทบาทเปน็ เพยี งผใู้ ชบ้ ริการ (client) ดังแสดงในรูป รปู ที่ 5.1 แบบจาลองระบบ client /server ระบบคอมพวิ เตอร์ท่แี สดงรูปนเี้ รยี กวา่ “ระบบผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ (client/server model)” การสื่อสารในระบบน้ี “ผู้ใช้บริการ” จะส่งความต้องการในลักษณะของ “การร้องขอ (request)” ไปยัง “ผู้ ให้บริการ” ซึ่งเม่ือผู้ให้บริการทางานตามความองการนั้นๆ เสร็จแล้วก็จะส่งผลท่ีได้กลับมายังผู้ใช้บริการใน ลักษณะของ “การตอบสนอง (reply)” สัดส่วนของผู้ให้บริการนี้ข้ึนอยู่กับลักษณะของงานและประสิทธิภาพที่ ตอ้ งการเป็นหลกั โดยปกตจิ านวนผ้ใู หบ้ รกิ ารจะนอ้ ยกว่าผูใ้ ช้บรกิ าร 1.4) ความสามารถในการขยายตัว (scalability) ระบบท่ีใช้งานอยู่เป็นปกตินั้นจะต้องมีเหตุการณ์ เกิดข้ึนสองอย่างเสมอคือ หนึ่งต้องหาอุปกรณ์มาทดแทนเนื่องจากอุปกรณ์เดิมท่ีใช้งานอยู่ชารุดหรือล้าสมัย และสองต้องหาอุปกรณ์มาเพ่ิมเติมเนื่องจากุปกรณ์ท่ีใช้งานอยู่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้อีกต่อไป หากเป็นระบบที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ การหาเครื่องใหม่มาทดแทนน้ีนอกจากจะใช้เงินเป็นจานวน มากแล้วยังทาให้งานท้ังระบบหยุดชะงักไม่สามารถทาอะไรได้ในระหว่างการติดตั้ง แต่ถ้าเป็นระบบขนาดเล็ก เช่นระบบผู้ให้-ผู้ใชบ้ รกิ ารแล้ว การติดต้งั อปุ กรณเ์ พ่ือทดแทนหรือเพิ่มเตมิ จะมีผลกระทบเฉพาะในส่วนน้อยมาก อีกประการหน่ึงคืองบประมาณค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าระบบที่ใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่มากยอกจากนี้การ เพม่ิ จานวนผูใ้ หบ้ ริการและผู้ใช้บริการกส็ ามารถทาไดต้ ลอดเวลา 1.5) ความสามารถในการติดต่อส่ือสารซ่ึงทาให้พนักงานกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้นั่งในสถานท่ีเดียวกัน สามารถทางานร่วมกันได้ คณะทางานกลุ่มหน่ึงอาจมีหัวหน้างานประจาอยู่ท่ีแห่งหนึ่งโดยมีผู้ร่วมงานกระจาย อยู่ในสถานท่ีต่างๆแต่ละคนอาจมีธุรกิจอื่นท่ีจาเป็นจะต้องเดินทางไปยังสถานท่ีต่างๆรวมทั้งเดินทางไป ตา่ งประเทศเปน็ ประจา การเดนิ ทางแตล่ ะคร้งั อาจใช้เวลาตั้งแตห่ ลายช่วั โมงไปจนถงึ หลายเดือน 54
2) เครอื ข่ายสาหรับคนทัว่ ไป ต้ังแต่ทศวรรษท่ี 90 เป็นต้นมา ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้เร่ิมเข้ามามีบทบาทในการให้บริการ แก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลท่ีบ้าน ซึ่งบริการเหล่านี้รวมทั้งแรงจูงใจในการใช้งานน้ันแตกต่างไปจากสิ่งท่ีได้ เคยเกิดขึ้นภายในเครือข่ายขององค์กรตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น การนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มา ประยกุ ตใ์ ช้สาหรับผู้ใชต้ ามบา้ นอาจแยกประเภทได้ 3 ประการคือ 1. การรับบรกิ ารข้อมูลข่าวสารจากระยะไกล 2. การสอื่ สารระหวา่ ง บุคคล-ตอ่ -บุคคล 3. ความบันเทงิ ส่วนบคุ คลแบบโตต้ อบกันได้ การรับบริการข้อมูลข่าวสารจากระยะไกลสามารถทาได้หลายรูปแบบ หนทางหน่ึงท่ีกระทากันอยู่ แล้วคือการตดิ ตอ่ ขอข้อมูลจากสถาบนั ทางการเงนิ ต่างๆ ผคู้ นจ่ายคา่ สาธารณูปโภค, บริหารเงินในบัญชีธนาคาร และบริหารการลงทุนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การซื้อสินค้าโดยไม่ต้องออกจากบ้านก็กาลังได้รับความนิยม มากขึน้ เนอ่ื งจากความสามารถในการเลอื กดูสนิ ค้านานาชนิดจากหลายๆ บรษิ ัทรายการสนิ ค้าต่างๆ เหล่าน้ีผู้ซื้อ จะสามารถดูภาพยนตร์โฆษณาได้ตลอดเวลาโดยใช้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ตัวอย่างการใช้บริการสาหรับบุคคล ทัว่ ไป เช่น หนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้อ่านแต่ละคนสามารถแจ้งความต้องการของตนเองได้ เช่นต้องการ ข่าวการเมอื ง เศรษฐกิจ สงั คม และเรอ่ื งท่วั ไป แต่ไมต่ อ้ งการ ข่าวกีฬา เป็นต้น ทางสานักพิมพ์ก็จะรวบรวมข่าว ตา่ งๆไว้ตามความตอ้ งการของแตล่ ะคน การค้นหาข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า World Wide Web ใน เครอื ขา่ ยน้ีมขี ้อมูลอยมู่ ากมายมหาศาลในทุกแขนงความรู้จากแหลง่ ข้อมูลหลายสบิ ล้านแหง่ ทั่วโลก บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail or electronic mail) เป็นการส่ือสารโดยตรงระหว่าง บุคคลต่อบุคคล โดยมีขีดความสามารถให้รับ-ส่งได้ท้ังเอกสาร รูปภาพ เสียง ตลอดจนภาพเคลื่อนไหวต่างๆได้ แนวความคิดในการใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสามารถสูงข้ึนตามเทคโนโลยี สมัยใหม่ ทาให้เกิดเป็นการประชุมทางอิเล็กทรอนิกส์ (video conference or virtual meeting) ซ่ึงจะส่ง ข้อมูลทั้งภาพและเสียงไปยังผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคนได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถรองรับการโต้ตอบ ระหว่างผใู้ ช้ในทันทไี ด้ด้วย การประยุกต์ทางด้านความบันเทิงแบบโต้ตอบได้ ผู้คนท่ัวไปจะสามารถเลือกชมวีดิโอของภาพยนตร์ ตลอดจนรายการโทรทัศน์จากท่ีใดๆ ในโลกได้ตามต้องการ (Video on demand) ภาพยนตร์ใหม่ไม่มีความ จาเป็นจะต้องใช้สื่ออ่ืนใดนอกเหนือไปจากการติดต่อทางอิเล็กทรอนิกส์ ผู้คนทั่วไปจะสามารถชมรายการ ถ่ายทอดสดไดท้ างเคร่อื งคอมพิวเตอร์ท่บี า้ น สรุปการนาระบบเครือข่ายมาประยุกต์ใช้สาหรับผู้ใช้ตามบ้านท่ีกล่าวถึงเหล่านี้คือความสามารถใน การรวม (Integration) ข้อมูลข่าวสาร การส่ือสาร และความบันเทิงเข้าด้วยดันอย่างกลมกลืนและมี ประสิทธภิ าพ ซงึ่ ท้งั หมดน้ีคือธรุ กิจยุคใหม่ทม่ี ีรากฐานอย่รู ะบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ 55
5.3 โครงสร้างเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ โครงสรา้ งการเชอื่ มตอ่ เครือข่ายคอมพวิ เตอร์ เป็นการเชือ่ มต่อระหว่างจุดต่างๆ ของเครือขา่ ยมี วิธีการท่ีเรยี กวา่ โทโปโลยี (Network Topology) มวี ิธีเชอ่ื มตอ่ ถงึ กนั 4 วธิ ี ไดแ้ ก่ 1) โทโปโลยีแบบบัส (Bus topology) 2) โทโปโลยแี บบดาว (Star topology) 3) โทโปโลยีแบบวงแหวน (Ring topology) 4) โทโปโลยแี บบรา่ งแห (Mesh topology) 5) โทโปโลยแี บบผสม (Hybrid topology) 1) โทโปโลยีแบบบัส (Bus topology) โทโปโลยีบัสเป็นการต่อเช่ือมสายสัญญาณของคอมพิวเตอร์ทุกจุดลงเข้ากับสายสัญญาณชุดเดียวกัน เครอื่ งคอมพิวเตอร์ทุกจุดบนระบบเครือข่ายจะสามารถส่งและรับข้อมูลลงในสายสัญญาณน้ันร่วมกัน ข้อดีของ การเชอ่ื มตอ่ ด้วยระบบบัสคือ ไม่จาเป็นต้องมคี อมพวิ เตอร์กลางทาหน้าที่ควบคุมการเชื่อมต่อ หากคอมพิวเตอร์ เครอ่ื งใดเครอื่ งหนึ่งในระบบบสั เสียจะไมเ่ กิดผลกระทบใดต่อเครื่องอ่ืนๆ รวมท้ังในระหว่างการใช้งานก็สามารถ ถอดคอมพิวเตอรบ์ างจดุ ออกจากระบบได้ดว้ ย สัญญาณจากคอมพวิ เตอร์แต่ละจดุ ท่ีถกู ส่งลงมาในสายสัญญาณเพ่อื ตดิ ต่อกับคอมพิวเตอร์เคร่ืองอื่นๆ ในโพรโตคอลของการสง่ จะกาหนดหมายเลขเครือขา่ ยของเคร่อื งต้นทางและปลายทางท่ีต้องการส่งข้อมูล ส่งไป พร้อมกับข้อมูลด้วยซ่ึงคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองจะได้รับสัญญาณและนาสัญญาณน้ันเ ข้ามาตรวจสอบว่าตรงกับ หมายเลขเครือขา่ ยของตนเองหรอื ไมห่ ากไม่ตรงจะไม่นาขอ้ มูลไปใช้ แตห่ ากตรงจึงจะดึงข้อมูลจากสายสัญญาณ เครือขา่ ยเข้าไปประมวลผล เทคนิคในการเชื่อมโยงสายสัญญาณแบบบัสท่ีนิยมใช้ในเครือข่ายแลน ทาได้สองวิธีคือการพ่วงต่อ และการแทปออก การพ่วงต่อจะพ่วงสายสัญญาณจากคอมพิวเตอร์เคร่ืองหน่ึงไปยังเครื่องที่สอง จากเคร่ืองท่ี สองเชื่อมไปยังเคร่ืองท่ีสาม จากเครื่องที่สามไปยังสี่ ห้า หก … ตามลาดับ และท่ีจุดปลายของสายสัญญาณ เครือข่ายทั้งสองด้านจะต้องมีตัวดูดซับสัญญาณที่เรียกว่าเทอร์มิเนเตอร์ (terminator) การเชื่อมต่อแบบน้ีมี ข้อดีคือใช้สายสัญญาณน้อยกว่าแบบอ่ืนเม่ืออยู่ในพ้ืนที่จากัด แต่ก็มีข้อเสียคือหากสายสัญญาณขาดท่ีจุดใดจุด หน่ึงขาดไปนอกจากจะทาให้เครือข่ายแยกออกเป็นสองทางแล้วตัวดูดซับสัญญาณท่ีจุดปลายยังไม่ครบวงรอบ ดว้ ยซง่ึ มผี ลให้เครอื ขา่ ยลม่ ไม่สามารถติดต่อกันได้ ในยุคต้นของระบบเครือข่าย ในทศวรรษ 1970-1980 นิยมใช้สายเคเบ้ิลชนิดโคแอกเชียลที่เป็น สายสัญญาณมีลักษณะเหมือนสายอากาศของเคร่ืองรับโทรทศั นห์ รอื เคเบิ้ลทีวีมีสายสัญญาณชั้นใน 1 เส้นและมี สายถักห้มุ ช้ันนอกอกี ชัน้ หน่งึ เพื่อเชอ่ื มแบบพ่วงตอ่ กนั 56
วิธีที่สองคือการแทปโดยใช้สายสัญญาณบัสที่อาจเป็นสายยาวและมีจุดต่อเชื่อมท่ีทาการแทปสาย สัญญาณออกไปยังเคร่ืองคอมพิวเตอร์แต่ละจุด หรืออาจใช้อุปกรณ์เช่ือมต่อท่ีเป็นกล่องและมีปล๊ักอยู่บนกล่อง นั้นเพื่อแทปสายออกไปยังเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ลักษณะการเช่ือมต่อโดยใช้กล่องแทปสัญญาณเช่นน้ีในรูปแบบ การตอ่ จะดูคล้ายกับโทโปโลยแี บบดาวแต่สัญญาณยงั มลี ักษณะทีเ่ ป็นสญั ญาณท่ีเช่อื มต่อร่วมกนั รูปท่ี 5.2 โครงสร้างเครือขา่ ยแบบบสั (bus topology) รูปท่ี 5.3 โทโปโลยแี บบบัส (bus topology) 2) โทโปโลยแี บบดาว (Star topology) การตอ่ เช่อื มแบบดาวคือการต่อเชอ่ื มสถานีตา่ งๆ ในระบบเครือข่าย จะเช่ือมเข้ากับคอมพิวเตอร์ท่ีจุด ศูนย์กลางเพียงแห่งเดียวอาจเรียกได้ว่าเป็นชุมสายเครือข่าย ซึ่งคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ควบคุมเครือข่ายท่ี ศูนย์กลางจะทาหน้าท่ีควบคุมการส่ือสารไปยังลูกข่ายท้ังหมด ดังนั้นหากเคร่ืองคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ 57
ควบคุมเครอื ขา่ ยท่ีจดุ ศนู ย์กลางเสยี ลูกขา่ ยท้ังหมดจะไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้เลย แต่หากลูกข่ายตัวใดตัว หน่งึ เสยี หรือไมท่ างานหรือสายสัญญาณจดุ ใดจดุ หนึ่งขาดไป จะไม่กระทบกบั จดุ อนื่ ๆ ในช่วงทศวรรษ 1990 จนถึงปัจจุบันการต่อเชื่อมระบบเครือข่ายแลนท่ีได้รับความนิยมคือระบบ มาตรฐานที่เรียกว่า เท็นเบสที (10Base-T) ใช้สายสัญญาณยูทีพี (unshielded twisted pair - UTP.) ที่มี ลักษณะคล้ายสายสัญญาณโทรศัพท์แต่เป็นสายท่ีมีจานวนสัญญาณภายในมากกว่าโทรศัพท์เป็นสายสัญญาณ เช่ือมต่อ โดยมีอุปกรณ์ฮับ (wiring hub) โดยจุดต่อไปยังคอมพิวเตอร์หรือสถานีเครือข่ายทุกเครื่องจะต่อสาย ออกมาจากอุปกรณ์ฮับหรืออาจใช้อุปกรณ์อีกประเภทหน่ึงคืออีเธอร์เน็ตสวิทซ์ (ethernet switch) ท่ีมีราคา แพงกว่าแตม่ ีการทางานท่ีมปี ระสทิ ธิภาพดกี ว่า รูปที่ 5.4 โครงสร้างเครือขา่ ยแบบดาว (Star topology) รูปท่ี 5.5 โทโปโลยแี บบดาว (Star topology) 3) โทโปโลยีแบบวงแหวน (Ring topology) 58
การเช่ือมต่อแบบวงแหวนมวี ธิ กี ารเช่อื มต่อคอื จากจุดหน่ึงโยงไปยังจุดต่อไป จุดสุดท้ายของสถานีงาน บนเครอื ขา่ ยจะเชอ่ื มโยงกลับมายงั จุดแรกสุดด้วย ซึ่งจะทาให้การเชื่อมโยงสายสญั ญาณวนเป็นวงกลม สัญญาณ ข้อมูลท่ีถูกส่งออกจากคอมพิวเตอร์เครื่องหน่ึงจะถูกส่งผ่านไปยังเคร่ืองถัดไปพร้อมกับหมายเลขเครือข่ายต้น ทางและปลายทาง ซง่ึ เครือ่ งที่ได้รับจะตรวจสอบว่าปลายทางท่ีต้องการตรงกับหมายเลขของตนเองหรือไม่หาก ตรงจะรับชุดข้อมูลนั้นไว้ แต่หากไม่ตรงจะส่งชุดข้อมูลต่อไปยังเคร่ืองถัดไป หากชุดข้อมูลน้ันถูกส่งต่อจนกลับ มาถงึ เคร่ืองตน้ ทางแสดงวา่ ไมม่ ีสถานปี ลายทางทต่ี ้องการสง่ ข้อมลู ไปหาอยู่ในเครือข่าย ขอ้ ดีของการเช่ือมต่อแบบวงแหวนคือไม่จาเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง และการส่งสัญญาณจะ ไม่มีการชนกันของสัญญาณที่เกิดข้ึนในระบบบัส เนื่องจากการส่งสัญญาณออกไปส่งไปในทางเดียวและแยก ระบบสายสัญญาณออกเป็นตอนไม่ได้ใช้สัญญาณร่วมเส้นเดียวกันทั้งหมด ส่วนข้อเสียก็คือหากมีคอมพิวเตอร์ เครอื่ งใดเครอื่ งหน่งึ ในระบบเสยี หายไปหรือสายสัญญาณขาดจะทาให้การสง่ ต่อสญั ญาณไม่ครบวงจร การเช่ือมต่อเครือข่ายแบบวงแหวนถูกนามาใช้กับระบบเครือข่ายแลนเพ่ือเชื่อมโยงระหว่าง คอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม ร่วมกับโพรโตคอลโตเก็นริง (token ring) โดยไอบีเอ็มได้สร้างอุปกรณ์การเช่ือมต่อ เครือข่ายแบบวงแหวนให้มีอุปกรณ์ฮับเช่นเดียวกันกับแบบบัส และการต่อเช่ือมสายออกจากฮับมีลักษณะ เหมือนกับการเชื่อมตอ่ แบบดาว จึงถกู เรยี กกนั ว่าสตาร์รงิ (Star ring) รปู ท่ี 5.6 โครงสร้างเครือข่ายแบบวงแหวน (Ring topology) 59
รูปท่ี 5.7 โทโปโลยแี บบวงแหวน (Ring topology) 4) โทโปโลยแี บบรา่ งแห (Mesh Topology) เคร่ืองคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายจะมีช่องสัญญาณจานวนมากเพื่อเช่ือมต่อกับคอมพิวเตอร์เคร่ือง อ่ืนๆ ทุกเคร่ือง การส่งข้อมูลสามารถทาได้อย่างอิสระไม่ต้องรอให้เครื่องอ่ืนทางานให้เสร็จก่อน ข้อดี คือการ ทางานไดเ้ รว็ สว่ นขอ้ เสีย คือคา่ ใชจ้ ่ายสงู สาหรับสายเคเบิล้ รปู ที่ 5.8 โครงสร้างเครอื ข่ายแบบร่างแห (Mesh topology) 5) โทโปโลยีแบบผสม (Hybrid topology) ระบบเครือขา่ ยย่อยแต่ละเครือขา่ ยอาจจะใชว้ ธิ ีการตอ่ เช่อื มหรอื โทโปโลยีแบบใดๆ ทีก่ ลา่ วมาแล้วใน สามแบบแรก ในระบบเครอื ข่ายทีม่ ีเครือข่ายย่อยหลายระบบที่อาจจะใช้โทโปโลยีเหมอื นกันหรอื แตกตา่ งกนั ก็ ได้ การเช่ือมตอ่ กันในแตล่ ะระบบยอ่ ยจะต้องใชอ้ ปุ กรณเ์ ครอื ขา่ ยชว่ ยในการเช่ือมต่อที่เหมาะสม ไดแ้ ก่ บรดิ จ์ (Bridge) หากใชโ้ พรโตคอลเหมอื นกัน ใชเ้ กตเวย์หากมีการเปล่ยี นโพรโตคอล 60
รปู ท่ี 5.9 โครงสรา้ งเครือขา่ ยแบบผสม (Hybrid topology) 5.4 ประโยชน์ของระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ 1) ลดขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์ (Downsizing) การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในกิจการขนาดใหญ่ และขนาดกลางในยุคท่ีผ่านมา มักจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ระดับเมนเฟรมหรือมินิคอมพิวเตอร์ ซึ่งโฮส คอมพิวเตอร์เพียงเคร่ืองเดียวสามารถทาการประมวลผลงานต่างๆ ในกิจการได้หลายด้าน แต่ระบบ คอมพวิ เตอร์ขนาดใหญ่เช่นนั้นมีราคาในการลงทุนและค่าใช้จ่ายในการบารุงรักษาเป็นเงินสูง และยังต้องใช้ผู้ ทมี่ คี วามเชี่ยวชาญในการดแู ลรักษาระบบและอานวยความสะดวกในการใช้งานตอ่ ผใู้ ช้ของหน่วยงานตา่ งๆ ในยุคท่ีคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่มีราคาถูกเข้ามามีบทบาทในช่วงแรกจะทาได้เพียงงานเล็กๆ บาง งานเท่าน้ัน แต่เมื่อมีการนาเทคโนโลยีระบบเครือข่ายเข้ามาใช้ทาให้สามารถต่อเช่ือมคอมพิวเตอร์จานวน หลายๆ เครื่องเข้าด้วยกันแม้จะมีการทางานท่ีแยกกัน แต่จากความสามารถด้านเครือข่ายทาให้คอมพิวเตอร์ เหล่านี้สามารถทางานประสานกนั ได้ กระจายหนา้ ท่ีการทางานไปยงั เครือ่ งตา่ งๆ ท่ีถูกจัดไวอ้ ยา่ งเหมาะสม ด้วยเทคโนโลยีการผลิตไมโครโปรเซสเซอร์ที่สามารถทาได้ซับซ้อนมากข้ึน ยิ่งทาให้ความสามารถ ของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแต่ละเครื่องมีความสามารถสูงเทียบเท่ากับเครื่องใหญ่ๆ ในบางด้านได้ ดังน้ันการ ใช้คอมพวิ เตอรข์ นาดใหญ่จงึ ลดบทบาทลงและถกู แทนท่ีด้วยการนาคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เช่นพีซี และสถานี งานวิศวกรรมท่ีมีราคาต่ากว่าระบบเมนเฟรมและมินิมาก มาทางานในระบบเครือข่ายแทน ซึ่งข้อดีในการใช้ คอมพวิ เตอร์เลก็ ๆ หลายๆ เคร่ืองมาทางานร่วมกันในระบบเครือขา่ ยได้แก่ 2) การจัดสร้างระบบเครือข่ายทาได้ง่ายกว่า และเป็นระบบเปิด (open system) ที่มีผู้ผลิต สว่ นประกอบต่างๆ อยู่มากมายหลายย่ีห้อ รุ่น ซ่ึงสามารถนามาใช้งานร่วมกันได้และอุปกรณ์ต่างๆ ยังมีราคา ถกู สามารถเริม่ ตน้ สร้างจากระบบขนาดเล็ก และขยายความสามารถของระบบได้ในภายหลงั 3) ในระบบโฮสคอมพิวเตอร์หากเพิ่มจานวนเทอร์มินอลมากขึ้นประสิทธิภาพของระบบจะลดต่าลง เน่ืองจากต้องแบ่งกันใช้เวลาสาหรับการประมวลผล แต่เมื่อถูกแทนท่ีด้วยการใช้เคร่ืองลูกข่ายที่เป็น 61
คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เมื่อมีจานวนเคร่ืองลูกข่าย (อาจเป็นพีซี, แมกอินทอชหรือสถานีงานวิศวกรรม) มาก ขึน้ ประสทิ ธภิ าพรวมไม่ไดต้ กลง เนอ่ื งจากการประมวลผลแยกทาบนเคร่อื งลูกข่ายแต่ละเคร่ืองไม่ได้รวมกันอยู่ ทีเ่ ดยี ว ดังน้ันยง่ิ จานวนลูกขา่ ยมากขน้ึ ประสิทธิภาพรวมของระบบจะยง่ิ สูงขน้ึ จากประสิทธิภาพของลูกข่ายแต่ ละตวั มารวมกนั 4) การขยายระบบทาได้ง่ายในราคาไม่สูงนัก เน่ืองจากเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบมี ราคาถูกกว่าการเพ่ิมเติมส่วนประกอบในคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ดังนั้นในระบบเครือข่ายสามารถซื้อ คอมพวิ เตอร์เพม่ิ และนามาเชื่อมย่อเข้ากบั เครือข่ายได้อย่างง่ายดาย 5) หากเกิดความเสียหายขึ้นในบางจุดไม่กระทบกับระบบท้ังหมด เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ทั้ง ลูกข่ายและแม่ข่ายจะทางานแยกโดยอิสระจากกัน หากจุดใดเสียก็สามารถแก้ไขหรือเปล่ียนอุปกรณ์ที่จุดนั้น แต่หากเป็นระบบคอมพวิ เตอรข์ นาดใหญ่หากเกดิ ความเสยี หายจะทาให้ระบบทั้งหมดไมส่ ามารถทางานได้ 6) บารุงรักษาได้ง่าย เน่ืองจากเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เกิดจากคอมพิวเตอร์ท่ีใช้งานเฉพาะ บุคคล จึงมีความซับซ้อนน้อยและเข้าใจการทางานได้ง่ายกว่า รวมถึงมีผู้ท่ีใช้ระบบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เหลา่ นอ้ี ยเู่ ปน็ จานวนมากไม่จากดั เฉพาะกลุ่มบุคคล มีการเผยแพร่ความรูแ้ ละเทคโนโลยอี ยา่ งแพรห่ ลาย 7) ผู้ใช้ระบบสามารถเข้าใจในวิธีใช้งานได้ง่าย รวดเร็ว เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กใน ปัจจุบันไม่ว่าจะใช้งานเพียงเครื่องเดียวหรือการต่อรวมกันเป็นเครือข่าย ก็จะมีการใช้งานท่ีเหมือนกัน เป็น ระบบกราฟฟกิ ที่ไมม่ คี วามซบั ซ้อนมากนกั เข้าใจไดง้ า่ ย นอกเหนือจากการใช้คอมพวิ เตอรข์ นาดเล็กทางานร่วมกันในเครือข่ายแล้ว คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น เทมนเฟรมและมินิก็ได้ปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้งานมาเป็นการเชื่อมต่อเข้าเป็นส่วนหน่ึงในระบบ เครือข่าย เพอื่ ทางานรว่ มกนั กับระบบคอมพวิ เตอรข์ นาดเลก็ ได้ หากเปน็ งานทต่ี ้องการคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ มาทางานประกอบดว้ ย ดังน้ันการนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ประโยชน์จึงสามารถสร้างให้เกิดระบบ ประมวลผลขนาดใหญจ่ ากคอมพิวเตอรเ์ ครือ่ งเล็กย่อยๆ ท่ีทางานประสานกนั ตามหน้าท่ที ีเ่ หมาะสม 8) ใชท้ รพั ยากรร่วมกัน ในสานกั งานท่ีมพี นักงานเป็นจานวนมากที่เคยใช้คอมพิวเตอร์พีซีแยกแต่ละ เครื่อง มักจะต้องมีอุปกรณ์ประกอบเฉพาะสาหรับคอมพิวเตอร์แยกกันไป เช่น จะต้องมีเคร่ืองพิมพ์คู่กับ เครื่องคอมพิวเตอร์ จะต้องมีหน่วยบันทึกเช่นฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่แยกสาหรับติดต้ังในคอมพิวเตอร์แต่ละ เคร่ืองบนั ทึกข้อมลู ในชุดของตนเอง การใช้ทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ร่วมกันเช่นจะแบ่งเครื่องพิมพ์เครื่องหนึ่งให้คอมพิวเตอร์หลายๆ เครอ่ื งได้ใช้ หรอื จะใชข้ ้อมูลร่วมกนั ทาได้ด้วยความยากลาบากและต้องวุ่นวาย เช่น เคร่ืองพิมพ์หากไม่มีกล่อง สวิทซ์สาหรบั ต่อคอมพวิ เตอรไ์ ด้หลายๆ เครื่องและเลือกพิมพ์จากคอมพิวเตอร์เครื่องใดเคร่ืองหนึ่งแล้ว ก็ต้อง ใชว้ ิธีการทาสาเนาขอ้ มูลผา่ นแผ่นฟลอปป้ดี สิ ก์จากเครื่องท่ีทางาน ถ่ายเข้าไปในเครื่องที่ติดตั้งเครื่องพิมพ์และ สง่ั พมิ พ์ออกจากเคร่อื งน้นั ซง่ึ จะต้องไปแย่งเวลาในการใช้คอมพวิ เตอรจ์ ากผทู้ ี่ใช้เคร่ืองนัน้ เป็นประจา การมีระบบเครือข่าย จะทาให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีอยู่ในระบบเครือข่ายสามารถใช้ทรัพยากรเช่น อุปกรณ์ประกอบ หรือข้อมูลร่วมกันได้โดยทรัพยากรน้ันอาจจะติดตั้งอยู่ที่คอมพิวเตอร์เคร่ืองใดๆ ในระบบ 62
เครือขา่ ยกไ็ ดไ้ มว่ ่าจะเป็นเครอ่ื งแม่ขา่ ย หรอื เคร่อื งลกู ข่ายที่ในปัจจุบันสามารถทาหน้าท่ีให้บริการไปพร้อมกัน ไดโ้ ดยไม่ขัดจังหวะการทางานตามปกติ ไมต่ ้องทาสาเนาผา่ นแผน่ ดิสกใ์ ห้เกิดความว่นุ วาย หากมีทรัพยากรที่ต้องใช้โดยส่วนรวมแต่มีราคาแพง เช่นเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ซึ่งมีคุณภาพในการ พิมพ์ดีและมีความเร็วในการพิมพ์สูงกว่าเคร่ืองพิมพ์ชนิดอื่นๆ ก็อาจมีเคร่ืองพิมพ์น้ันเพียงเครื่องเดียวและ คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายสามารถส่งงานมาพิมพ์ที่เครื่องพิมพ์นั้นได้โดยอัตโนมัติ รวมถึงการใช้ระบบ คอมพวิ เตอร์รว่ มกันเนื่องจากการท่ีเราสามารถใชข้ ้อมูลรว่ มกนั ไดไ้ ม่วา่ นงั่ หน้าคอมพวิ เตอรเ์ ครือ่ งใดๆ 9) ประสานการทางานบนเครือขา่ ย การทางานในสานักงานต่างๆ มีขั้นตอนของงานที่แบ่งแยกเป็น หายขั้น อาจจะผ่านการดาเนินงานของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าท่ีหลายฝุายหลายคน การใช้ประโยชน์จาก คอมพิวเตอร์ทตี่ อ่ เช่ือมกันเป็นเครือข่ายจะทาให้ข้อมูลจากการทางานในแต่ละข้ันตอนถูกนาไปใช้เช่ือมโยงให้ เป็นประโยชน์ต่องานในข้ันตอนอ่ืนๆ ได้อย่างครบวงจร ทาให้ไม่จาเป็นท่ีแต่ละงานจะต้องสร้าง-ปูอนข้อมูล เฉพาะของตนเองซง่ึ จะเกิดความซา้ ซอ้ น ล่าชา้ และอาจเกิดข้อผิดพลาดคลาดเคลอื่ นมีข้อมูลไมต่ รงกันได้ดว้ ย ตัวอย่างของการทางานท่ีประสานกันด้วยเครือข่ายเช่น ในระบบโรงพยาบาลเมื่อคนไข้ลงทะเบียน เป็นคนไข้ใหม่ พนักงานปูอนประวัติคนไข้เข้าไปในฐานข้อมูลแล้วแพทย์สามารถดูประวัตินั้นประกอบกับการ ตรวจรกั ษาในห้องตรวจ เมื่อมกี ารส่งั ยาพนักงานจะปูอนข้อมลู ยาที่จา่ ยให้แก่คนไข้บนั ทกึ เป็นประวัติการตรวจ รักษาของคนไข้แต่ละราย ข้อมูลการจ่ายยาน้ีสามารถนาไปพิมพ์ใบเสร็จรับเงินให้แก่คนไข้ และนาข้อมูลไป ตัดสต๊อกยา รวมถึงข้อมูลที่การคิดค่ารักษาและค่ายายังถูกถ่ายโอนไปเข้าในระบบบัญชีของโรงพยาบาลน้ัน โดยที่พนักงานบัญชีไม่ต้องเสียเวลาในการปูอนเข้าไปใหม่ ซึ่งข้อมูลต่างๆ จะถูกนามาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ อยา่ งตอ่ เน่อื งผ่านการประมวลผลบนเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ 63
บรรณานกุ รม จักกริช พฤษการ, การส่ือสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ท้อป. 2548, แปล จาก Forouzan Behrouz A., Data Communications and Networking. ฉัตรชัย สุมามาลย์. (2545). การสื่อสารข้อมูลคอมพวิเตอร์และระบบเครือข่าย. กรุงเทพ ฯ : ไทยเจริญการ พิมพ.์ ชนวัฒน์ ศรีสอ้าน และสุทธิชัย มณีรัตนรุ่งโรจน์. (2542). เอกสารประกอบการบรราย : การส่ือสารทางไกล และเครือข่าย. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสุรนารี. นครราชสมี า. ถวิล ก่ิงทอง. (2535) เทคโนโลยีการส่งสัญญาณดิจิตอล. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบงั . กรงุ เทพฯ. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, การส่ือสารข้อมูลระดับพ้ืนฐาน. กรุงเทพฯ: ทอมสัน, 2544, เรียบเรียงจาก Gary B. Shelly, Thomas J. Cashman and Judy A. Serwatka, Business data communications. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, เครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น อินโดไชน่า, 2542, แปลจาก Andrew S.Tanenbaum, Computer Network, Pentice-Hall, 1996. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ. การสื่อสารข้อมูลระดับพื้นฐาน Business Data Communications. กรุงเทพฯ : UNIVERSAL GRAPHIC & TRADING L.P., 2544. สรุ ศักดิ์ สงวนพงษ,์ สถาปตั ยกรรมและโปรโตคอลทีซีพี/ไอพ,ี พมิ พค์ ร้ังที่ 2, กรุงเทพฯ : ซเี อ็ดยเู คชน่ั , 2545. สุวัฒน์ ปุณณชัยยะ และคณะ, เปิดโลก TCP/IP และโปรโตคอลของอินเตอร์เน็ต, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: โปรวิช่นั , 2545. 64
บทที่ 6 เทคโนโลยีการเชื่อมต่อเครอื ข่าย หวั ขอ้ บทเรยี น 6.1 ประเภทการเช่อื มตอ่ ระบบเครอื ข่าย 6.2 เครอื ข่ายบรเิ วณเฉพาะท่ี (Local Area Network : LAN) 6.3 เครอื ข่ายในเขตเมือง (Metropolitan Area Network, MAN) 6.4 เครือข่ายวงกวา้ ง (Wide Area Network, WAN) 6.5 เครอื ข่ายไรส้ าย 6.6 เครอื ขา่ ยสากล วตั ถุประสงค์ 1. เพ่อื ให้ผเู้ รยี นทราบถงึ ประเภทการเชอื่ มต่อระบบเครือขา่ ย 2. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจถึงการเช่ือมต่อเครอื ข่ายบรเิ วณเฉพาะท่ี เครือขา่ ยในเขตเมอื ง เครือข่ายวง กวา้ ง เครอื ขา่ ยไร้สาย เครือข่ายสากล 6.1 ประเภทการเช่อื มต่อระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอรแ์ บ่งออกเป็น 5 ประเภท ประกอบด้วย 1) เครอื ขา่ ยบริเวณเฉพาะท่ี (Local Area Network : LAN) 2) เครือข่ายในเขตเมือง (Metropolitan Area Network, MAN) 3) เครือข่ายวงกวา้ ง (Wide Area Network, WAN) 4) เครอื ข่ายไรส้ าย 5) เครอื ข่ายสากล 6.2 เครือข่ายบรเิ วณเฉพาะที่ (Local Area Network : LAN) เครือข่ายเฉพาะบริเวณ (Local Area Network : LAN) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ที่เปน็ ของผู้ใช้กลุ่มเล็กๆ กลุม่ หนง่ึ ปกตจิ ะเปน็ เครอื ข่ายทีม่ ขี อบเขตอยภู่ ายในอาคารเดียวกัน หรือกลุ่มอาคาร ที่อยู่ติดกัน มีระยะทางไม่เกิน 2-3 กิโลเมตร เหมาะสาหรับการเข่ือมต่อเคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กของพนักงานในองค์กรเข้าด้วยกันโดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การใช้อุปกรณ์ ส่วนกลางร่วมกัน (เช่น เคร่ืองพิมพ์เลเซอร์สีขนาดใหญ่) การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน และการรับ-ส่ง 65
ขอ้ มูลอิเล็กทรอนิกสร์ ะหวา่ งกนั เครือขา่ ยเฉพาะบรเิ วณมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากระบบอ่ืนๆ 3 ประการ คอื 1) ขนาด 2) เทคโนโลยีทใ่ี ชใ้ นการรบั -สง่ ข้อมลู 3) รูปแบบการจดั โครงสร้างของระบบ เครือข่ายเฉพาะบริเวณถูกจากัดด้วยขนาด ซ่ึงหมายถึงจานวนเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่เช่ือมต่อเข้ากัน ระบบท่ีมีการวางแผนอย่างดีนั้น เวลาท่ีใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลสามารถคานวณได้ล่วงหน้าซ่ึงจะใกล้เคียงกับ ความจริงมาก ความสามารถในการคานวณได้ล่วงหน้าน้ีเป็นส่วนประกอบที่สาคัญส่วนหนึ่งที่นามาใช้ในการ ออกแบบระบบงานให้มปี ระสทิ ธภิ าพ นอกจากนี้ยงั ทาให้การบรหิ ารเครอื ขา่ ยงา่ ยข้ึนด้วย รูปที่ 6.1 แสดงรปู แบบการจดั โครงสรา้ งระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณแบบบัส รูปที่ 6.2 แสดงรูปแบบการจัดโครงสร้างระบบเครือข่ายเฉพาะบรเิ วณแบบวงแหวน 66
เทคโนโลยีที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลบนเครือข่ายเฉพาะบริเวณโดยปกติจะเป็นเพียงสายเคเบิ้ลเส้น เดียวซ่ึงจะเชื่อมต่อทั้งระบบเข้าด้วยกัน มีความเร็วในการถ่ายทอดข้อมูล 10 Mbps (ล้านบิตต่อวินาที) หรือ 100 Mbps มีระยะเวลาในการรอคอยเฉล่ียเพ่ือส่งข้อมูลไม่เกิน 100 ไมโครวินาที และมีโอกาสท่ีจะเกิด ขอ้ ผดิ พลาดนอ้ ยมาก รปู แบบการจัดโครงสรา้ งสาหรบั ระบบเครอื ขา่ ยนั้นมหี ลายแบบ ในรูปแสดงให้เห็นโครงสร้างแบบที่ นิยมใช้สองแบบคือ แบบบัส (Bus) และแบบวงแหวน (Ring) โครงสร้างแบบบัสนั้นยอมให้ผู้ใช้ส่งข้อมูลได้ คราวละ 1 คนเท่าน้ัน ผู้ใช้คนอื่นๆท่ีต้องการส่งข้อมูลจะต้องรอจนกว่าสายเคเบ้ิล (บัส) จะว่างคือไม่มีการส่ง สญั ญาณเกิดขนึ้ จึงจะสามารถสง่ ข้อมลู ได้ ในกรณีที่ผู้ใช้ตั้งแต่สองคนขึ้นไปทาการส่งข้อมูลพร้อมๆกัน เรียกว่า เกิดการชนกันของขอ้ มูล (collision) สญั ญาณในเคเบ้ิลจะเกิดการรบกวนกันเองจนใชง้ านไม่ได้ เมื่อผู้ส่งข้อมูล ทง้ั สองคน (หรือทั้งหมด) ตรวจพบความปกตินี้ก็จะหยุดส่งข้อมูลแล้วรอเป็นระยะเวลาต่างๆกัน จากน้ันจึงจะ เร่ิมพยายามส่งข้อมูลใหม่ การกาหนดระยะเวลาในการรอคอยสาหรับกรณีเช่นนี้จะใช้วิธีการแบบรวมศูนย์ หรือแบบกระจายก็ได้ ตามมาตรฐาน IEEE 802.3 ซ่ึงมีช่ือเรียกท่ัวไปว่า Ethernet น้ันมีการจัดโครงสร้าง แบบบัสซึ่งจะยอมให้ผู้ใช้ทุกคนส่งข้อมูลได้ตลอดเวลา เมื่อเกิดการชนกันของข้อมูลผู้ส่งข้อมูลทุกคนจะต้อง หยุดการสง่ ข้อมลู ทนั ทแี ล้วใหร้ อสกั พกั หน่ึงจึงจะสามาระเริ่มต้นส่งข้อมูลใหม่ได้ ระยะเวลาที่แต่ละคนรอนั้นก็ ไม่เท่ากันสามารถกาหนดได้จากการสุ่ม (random) ตัวเลขขึ้นมาจากระยะเวลาช่วงหนึ่งซ่ึงได้มีการกาหนดไว้ ลว่ งหน้าแลว้ วิธีน้สี ามารถรับประกนั ได้วา่ จะไม่เกิดการชนกนั ของข้อมูลจากผสู้ ่งชุดเดิม 6.3 เครอื ข่ายในเขตเมอื ง (Metropolitan Area Network : MAN) ระบบเครือขา่ ยในเขตเมอื งมลี ักษณะคล้ายกันกับระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณเพียงแต่มีขนาดใหญ่ กว่าเท่านั้น หรืออาจเช่ือมต่อการส่ือสารของสาขาหลายๆ แห่งที่อยู่ภายในเขตเมืองเดียวกัน หรืออาจ ครอบคลุมหลายเขตเมืองท่ีอยู่ใกล้กันซึ่งอาจเป็นบริการของเอกชนหรือของรัฐก็ได้ และเป็นบริการเฉพาะ ภายในหนว่ ยงาน หรือบรกิ ารสาธารณะก็ได้ระบบเครอื ข่ายในเขตเมืองมีขีดความสามารถในการให้บริการทั้ง การรับ-ส่งข้อมูลและโทรศัพท์ไปพร้อมกันได้ในปัจจุบันยังครอบคลุมการให้บริการไปถึงระบบโทรทัศน์ทาง สาย (cable television, เชน่ บรษิ ัท UBC ในประเทศไทย) ด้วยระบบน้จี ะมีสายเคเบ้ลิ เพียงหนึ่งหรอื สองเส้น โดยไมม่ ีอปุ กรณ์สลับชอ่ งสอื่ สาร (switching element) ซงึ่ ทาหน้าที่คอยเก็บกักสัญญาณไว้ภายในหรือปล่อย สญั ญาณออกไปสรู่ ะบบอื่น ระบบเครือข่ายในเขตเมืองได้รับการพัฒนาถึงขั้นที่มีการกาหนดมาตรฐานข้ึนไว้ใช้งาน อัน ได้แก่ IEEE 802.6 หรือเรียกว่า DQDB (Distributed Queue Dual Bus) ระบบ DQDB ประกอบด้วยสาย เคเบิ้ลหรือบัสจานวนสองเส้น บัสแต่ละเส้นจะทาหน้าท่ีรับ-ส่งข้อมูลไปทิศทางเดียว เช่น บัสเส้นหน่ึงรับ-ส่ง ขอ้ มูลจากซ้ายไปขวา บัสอีกเส้นหนึง่ ก็จะรับ-ส่งขอ้ มลู จากขวามาซา้ ย เปน็ ต้น 67
รูปท่ี 6.3 โครงสร้างของระบบเครอื ข่ายในเขตเมอื งแบบ DQDB จากรูป แสดงให้เหน็ ส่วนประกอบหลักของระบบ DQDB เคร่ืองคอมพิวเตอร์เคร่ืองหน่ึงที่ต้องการส่ง ข้อมลู ไปยงั เครือ่ งคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหน่ึงท่ีอยู่ทางขวาของตนจะต้องส่งข้อมูลผ่านบัสเส้นบน หากต้องการ สง่ ขอ้ มูลในทิศทางตรงกันข้ามจะต้องใช้บสั เสน้ ล่าง 6.4 เครอื ข่ายวงกว้าง (Wide Area Network : WAN) ระบบเครอื ขา่ ยวงกว้าง ขยายเขตการเชื่อมต่อครอบคลุมไปเป็นพ้ืนที่ระดับภูมิภาค เช่น ครอบคลุม พนื้ ที่ภาคอสี านของประเทศไทย แตส่ าหรับบริษัทท่ีดาเนินกิจการระหว่างชาติอาจหมายถึงบริเวณท่ีกว้างกว่า น้ีเช่น ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ท้ังหมดก็ได้ระบบน้ีประกอบด้วยเคร่ืองคอมพิวเตอร์หลีกเรียกว่าโฮสต์ คอมพิวเตอร์ (Host computer) ทาหน้าท่ีคอยให้บริการแก่ผู้ใช้ท้ังหมดที่เป็นสมาชิกในกลุ่มของตนเอง (subnet) ซึ่งมีหน้าท่ีให้บริการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างโฮสต์ต่างๆ หลักการนี้เปรียบเทียบได้กันการส่งจดหมาย (ไปรษณีย์) ระหว่างประเทศ โฮศต์ในท่ีน้ีคือกรมไปรษณีย์โทรเลขของประเทศต่างๆซึ่งมีหน้าที่ในการรับ-ส่ง จดหมายให้แก่ผู้ใชบ้ ริการภายในประเทศนั้นๆระบบเครือข่ายย่อยจะเปรียบเทียบได้กับเครื่องบินหรือพาหนะ ใดๆ ท่ีทาหน้าที่รับ-ส่งจดหมายระหว่างกรมไปรษณีย์ของประเทศต่างๆส่วนจดหมาย ก็คือข้อมูลท่ีรับ-ส่งบน ระบบเครอื ข่ายนั่นเอง ระบบเครือข่ายย่อยในเครือข่ายวงกว้างประกอบด้วยอุปกรณ์สาคัญสองอย่าง คือ สายส่ือสาร (transmission lines) และอุปกรณส์ ลับช่องส่ือสาร (switching elements) สายสื่อสาร (มีช่ือเรียกหลายขื่อ เช่น circuits, channels, trunks) เป็นส่ือที่ใช้ในการส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากเครื่องหนึ่งไปยังอีก เครื่องหน่ึง ส่วนอุปกรณ์สลับช่องสื่อสารทาหน้าท่ีเหมือนกับอุปกรณ์สลับช่องสื่อสารท่ีใช้ระบบโทรศัพท์ ธรรมดานั่นคือการเช่ือมต่อสายส่ือสารหลายๆ สายเจ้าด้วยกันเพ่ือให้การส่งสัญญาณจากผู้ส่งไปถึงยังผู้รับได้ ถูกตอ้ ง 68
อย่างไรก็ตาม อุปกรณส์ ลบั ชอ่ งสือ่ สาร ไม่เคยไดร้ บั การตกลงอยา่ งเปน็ ทางการในการเรียกชื่อดังนั้น จึงมีช่ือเรียกต่างๆกันออกไป ได้แก่ packet switching nodes, intermediate systems, data switching exchanges, และ อน่ื ๆ ในหนังสอื เลม่ นีจ้ ะใชค้ าวา่ อปุ กรณส์ ลบั ช่องสื่อสาร หรือ เราเตอร์ (router) รูปถัดไป เป็นการแสดงความสัมพันธ์ของอุปกรณ์ต่างๆได้แก่ เครื่องโฮสต์จะทาหน้าท่ีในการให้บริการแก่ผู้ใช้ใน เครอื ข่ายเฉพาะบริเวณ ซ่งึ จะต้องมีอุปกรณ์สลับช่องสื่อสารอย่างน้อยหนึ่งเครื่องไว้สาหรับติดต่อกับเครือข่าย อน่ื ๆ ในระบบสว่ นใหญ่อุปกรณ์สลบั ชอ่ งส่อื สารจะตดิ ตอ่ ไวท้ ี่โฮสตโ์ ดยตรง ในสว่ นของสายสื่อสารและอุปกรณ์ สลับชอ่ งสื่อสารทัง้ หมดจะรวมกันเปน็ ส่วนทีเ่ รียกวา่ เครือขา่ ยย่อย รปู ท่ี 6.4 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างโฮสตก์ ับเครือข่ายย่อย คาว่าเครอื ขา่ ยย่อย หรือ subnet เป็นคาท่ีถูกใช้ในสองความหมาย แรกทีเดียวคาว่าเครือข่ายย่อย ถูกใช้ในความหมายตามที่กล่าวข้างต้นเพื่อเป็นการเน้นให้เห็นว่ากาลังกล่าวถึง เครือข่ายเล็กๆส่วนหนึ่งท่ี ประกอบอยู่ในระบบเครือข่ายท้ังหมด สายสื่อสารและอุปกรณ์สลับช่องส่ือสารของเครือข่ายย่อยจึงทาหน้าที่ ในการรับแพ็กเก็ต (packet) ข้อมูลจากโฮสต์ของผู้ส่งแล้วส่งไปให้โฮสต์ของผู้รับเท่านั้นต่อมาคาคานี้ได้ถูก นาไปใช้ในความหมายท่ีสองซ่ึงเก่ียวข้องกับการกาหนดท่ีอยู่ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันยังไม่มี หนว่ ยงานใดท่ีจะบญั ญตั คิ าใหม่ขน้ึ มาใช้ ดังน้ัน คานจี้ งึ ยงั คงถูกใชท้ ั้งสองความหมายอยู่อย่างเดิม โดยปกติแล้ว ระบบเครือข่ายวงกว้างประกอบด้วยสารสื่อสายและอุปกรณ์สลับช่องสื่อสารเป็น จานวนมาก สายส่ือสารแต่ละเส้นจะเชื่อมต่ออุปกรณ์สลับช่องส่ือสารสองตัวเข้าด้วยกัน การส่งแพ็กเก็ต ข้อมลู จากโฮสต์ของผสู้ ง่ ไปยงั โฮสตข์ องผู้รบั ทีไ่ ม่มีสายสื่อสารเชื่อมต่อโดยตรงน้ัน จะต้องมีการฝากแพ็กเก็ตไป ยงั อปุ กรณส์ บั ชอ่ งสอ่ื สารตัวกลาง (intermediate router) ซ่ึงอาจมีเพียงตัวเดียวหรือต้องมีการฝากต่อกันไป หลายตัวก็ได้ การฝากแพ็กเก็ตแต่ละคร้ังตัวกลางฯ จะทาหน้าที่เสมือนว่าเป็นผู้รับตัวจริงคือจะรับแพ็กเก็ต ทั้งหมดมาเก็บไว้ก่อนและจะส่งแพ็กเก็ตน้ันไปยังตัวกลางฯ ตัวต่อไปเมื่อสายส่ือสารที่เชื่อต่อว่าง เครือข่าย 69
ย่อยท่ีรับ-ส่งข้อมูลในลักษณะนี้เรียกว่าแบบจุด-ต่อ-จุด (point-to-point), แบบรับ-แล้ว-ส่งต่อ (store-and- forward), หรือ แบบสลับแพ็กเก็ต (packet-switched) การจัดเครือข่ายแบบวงกว้างนิยมใช้หลักการน้ีใน การรบั -สง่ ข้อมลู ยกเวน้ เครอื ข่ายท่ีใชส้ ญั ญาณดาวเทียม หากว่าแพ็กเก็ตข้อมูลมีขนาดเล็กและมีขนาดเท่ากัน ทัง้ หมด นิยมใช้คาวา่ เซลล์ (cell) แทน รปู ท่ี 6.5 รปู แบบโครงสรา้ งสาหรับการเชอ่ื มต่อแบบจุดต่อจุดแบบดาว รูปท่ี 6.6 รปู แบบโครงสร้างสาหรับการเชือ่ มต่อแบบจุดตอ่ จดุ แบบวงแหวน 70
รูปที่ 6.7 รูปแบบโครงสร้างสาหรับการเชือ่ มต่อแบบจุดตอ่ จดุ แบบต้นไม้ รปู ท่ี 6.8 รูปแบบโครงสรา้ งสาหรับการเช่ือมต่อแบบจุดตอ่ จุดแบบสมบรณู ์ รูปที่ 6.9 รูปแบบโครงสรา้ งสาหรับการเชื่อมต่อแบบจุดต่อจดุ แบบวงแหวนสมั ผสั 71
รูปท่ี 6.10 รปู แบบโครงสร้างสาหรบั การเชอื่ มต่อแบบจดุ ต่อจุดแบบไมม่ รี ูปทรง จากรปู แสดงใหเ้ ห็นโครงสรา้ งการเชือ่ มตอ่ เครือข่ายแบบต่างๆ ท่เี หมาะสมกับการใช้เทคนิคการรับ- ส่งข้อมูลแบบจุด-ต่อ-จุด อันได้แก่ แบบดาว แบบวงแหวน แบบต้นไม้ แบบสมบรูณ์ แบบวงแหวน สัมผัสกัน และ แบบไม่มีรูปทรง เครือข่ายแบบเฉพาะบริเวณมักจะมีโครงสร้างแบบสมดุล ส่วนเครือข่าย แบบวงกว้างมักจะมีโครงสร้างแบบไม่สมดุล สายสื่อสารสาหรับเครือข่ายวงกว้างอาจหมายถึงสัญญาณวิทยุ หรอื สญั ญาณผา่ นดาวเทียมก็ได้ ในกรณีน้ี อุปกรณ์สลับช่องส่ือสารจะได้รับการติดต่ออุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณ และสายอากาศแทนสายเคเบ้ิล และเทคนิคการรับ-ส่งข้อมูลจะเปล่ียนไปเป็นแบบแพร่กระจาย (broadcasting) 6.5 เครือข่ายไรส้ าย เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กไม่ว่าจะเป็นเคร่ืองแล็ปท็อป (laptop computers) เคร่ืองโน้ตบุ๊ก (notebook computers) หรือเครื่องเลขานะการอิเล็กทรอนิกส์ (Personal Digital Assistant, PDA) กาลัง ได้รับความนิยมสูงมาก ผู้ใช้ส่วนใหญ่ในกลุ่มน้ีมักจะมีเคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (หรือเคร่ืองที่ดีกว่า) อยู่ ในท่ีทางานซึ่งเช่ือมต่อกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อ่ืนๆ จึงเกิดความจาเป็นในการติดต่อระหว่างเครื่องที่ นาติดตวั ไปยงั สถานทต่ี ่างๆกับเคร่ืองในที่ทางาน การติดต่อผ่านสายโทรศัพท์หรือสานเคเบ้ิลอ่ืนๆ สามารถทา ได้แต่ก็ไม่มีความคล่องตัวเพียงพอ การสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless communication) จึงมีความจาเป็น และทวีความสาคัญมากข้ึนเนื่องจากทาให้การสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทาได้เกือบทุก สถานท่แี ละทกุ โอกาส 72
แม้ว่าการสื่อสารไร้สายโดยเฉพาะการสื่อสายไร้สารแบบดิจิตอลจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดใน ปัจจุบัน แต่แนวความคิดนี้ได้เกิดข้ึนเม่ือประมาณหน่ึงร้อยปีมาแล้ว กล่าวคือในปี ค.ศ. 1901 นักฟิสิกส์ชาว อิตาลีได้ทาการสาธิตการส่ือสารระหว่างเรือกับฝ่ังโดยการใช้โคมไฟ เปิด – ปิด เป็นสัญญาณแทน ความหมายต่างๆ ในรหัสที่เรียกว่า Morse code ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วจะพบว่ามีพ้ืนฐาน แนวความคดิ เชน่ เดียวกันกบั ข้อมลู แบบดิจิตอลทใี่ ชใ้ นเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ในปจั จบุ นั นน้ี ่ันเอง การประยุกต์ใช้งานของระบบส่ือสารไร้สายแบบดิจิตอลน้ีแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีขอบเขตจากัดเลย ตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่การใช้งานของเคร่ืองโน้ตบุ๊กในปัจจุบัน คนกลุ่มท่ีใช้เคร่ืองชนิดน้ีจะต้องเดินทางอยู่ ตลอดเวลา ห้องทางานจึงมที ้ังห้องทางานถาวรท่ีประจาอยู่กับบริษัทและห้องทางานเคลื่อนท่ี หมายถึงการท่ี คนกลุ่มนบี้ างครั้งตอ้ งทางานขณะนงั่ อยู่ในรถยนต์ บางครงั้ อยูใ่ นรถไฟ บางครั้งอยู่บนเคร่ืองบิน และสุดท้ายก็ ต้องทางานในหอ้ งพกั ของโรงแรมทไ่ี หนสกั แห่งหน่ึง บุคคลกลุ่มนี้จึงต้องอาศัยความคล่องตัวของการสื่อสารไร้ สายเพ่ือจะได้สามารถทางานได้ในทุกที่และทุกโอกาส ดังน้ันเขาจึงสามารถรับทราบข้อมูลข่าวสารที่อยู่ใน เคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่บริษัทได้ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันข้อมูลข่าวสารที่ได้รับเพิ่มเติมขณะทางานอยู่นอก บรษิ ทั ก็จะได้รบั การถ่ายทอดไปเก็บไวท้ บ่ี รษิ ทั เสมอ กล่มุ คนพวกนีจ้ งึ สามารถทางานได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ ณ สถานท่ีใดๆ ในโลกก็ตาม ความคล่องตัวอันน้ีนอกจากจะให้ประโยชน์มหาศาลแก่วงการธุรกิจแล้ว ระบบสอื่ สารบนเครอื ข่ายไรส้ ายยงั ได้เขา้ ไปมบี ทบาทในวงการทหารเปน็ อย่างมากด้วย แม้ว่าระบบเครอื ข่ายไร้สายและระบบหอ้ งทางานเคลื่อนที่ (mobile computing) จะมีความคล้อย คลึงกันมาก แต่ระบบทั้งสองถูกสร้างข้ึนมาโดยใช้แนวความคิดที่แตกต่างกันดังจะเห็นได้จากตาราง เปรียบเทยี บ ทงั้ สองระบบไม่ไดอ้ อกแบบมาสาหรบั เครอื่ งคอมพิวเตอรท์ ีต่ ดิ ตั้งในหอ้ งทางานอย่างถาวร แต่ได้ คานึงถึงความคล่องตัวในการใช้งานเป็นวัตถุประสงค์หลัก เช่น การนาเครื่องโน้ตบุ๊กไปใช้ในการเดินตรวจ จานวนของคงคลังตามโรงเก็บของต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ระบบเครือข่ายไร้สายอาจนามาใช้สาหรับการ ติดตั้งเชิงถาวร เช่น สามารถนามาใช้สร้างระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณในอาคารรุ่นเก่าท่ี ไม่ได้มีการ เตรียมการเดินสายเคเบ้ิลไว้ตั้งแต่แรกสร้าง หรือในทางกลับกัน ห้องทางานเคล่ือนท่ีเน้นความคล่องตัวใน การเปลี่ยนสถานที่ทางานอยู่ประจา แต่ก็อาจไม่มีความจาเป็นต้องพึ่งพาระบบเครือข่ายไร้สาย เช่น ย้ายที่ ทางานไปตามบริษัทสาขาต่างๆ หรือนั่งทางานอยู่ในโรงแรมก็สามารถใช้เครือข่ายโทรศัพท์หรือเครือข่ายที่ใช้ สายเคเบล้ิ แทนได้ ตารางท่ี 6.1 ตารางเปรียบเทียบระบบเครือข่ายไรส้ ายและหอ้ งทางานเคลอ่ื นท่ี การประยุกต์ใช้งาน เครือข่ายไร้สาย ห้องทางานเคลอื่ นที่ เคร่ืองคอมพวิ เตอรใ์ นห้องทางานถาวร ไมใ่ ช่ ไม่ใช่ การเดินตรวจเชค็ ของคงคลังตามโรงเกบ็ ของ ใช่ ใช่ ใช้แทนเครอื ขา่ ยสายเคเบลิ้ ในอาคารเกา่ ใช่ ใช่ การใชเ้ ครือ่ งโนต้ บุก๊ ในสถานท่ีตา่ งๆ ไม่ใช่ ไมใ่ ช่ 73
แม้ว่าระบบส่ือสารไร้สายจะให้ความคล่องตัวอย่างมาก แต่ก็ยังคงมีจุดอ่อนท่ียังไม่ได้รับการแก้ไข 3 ประการคอื 1) อัตราการการถ่ายทอดข้อมูลอยู่ท่ีประมาณ 1-2 Mbps ซึ่งเท่ากับ 10-20 % ของอัตราที่ใช้ใน สายเคเบิ้ลแบบทแ่ี ยท่ ี่สดุ 2) อตั ราการเกิดขอ้ ผิดพลาดยังอยู่ในเกณฑ์ทส่ี ูง 3) การส่งขอ้ มลู แบบไรส้ ายของเครอื่ งที่อยใู่ กล้กนั มักจะเกิดการรบกวนซง่ึ กันและกนั อย่างไรก็ตาม ได้มีการพัฒนาระบบห้องทางานเคล่ือนที่โดยใช้เครือข่ายไร้สายข้ึนมาใช้งานอย่าง จรงิ จงั มากมาย ตวั อยา่ งทีช่ ัดเจนไดแ้ กก่ ารใช้เครือ่ งไวเลสเคล่อื นท่ี (Mobile wireless) ในการตรวจเช็คสินค้า คงคลังในโรงเก็บของ ข้อมูลที่ได้รับในขณะทาการตรวจเช็คจะถูกส่งไปเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูลของเคร่ือง คอมพิวเตอร์หลักในทันที ในเวลาเดียวกันผู้ท่ีจะใช้ข้อมูลสินค้าก็จะสามารถค้นหาข้อมูลรายละเอียดของ สินคา้ ไดต้ ลอดเวลา การให้บริการเครอื ข่ายไร้สายและห้องทางานเคลื่อนท่ีนับได้ว่าเป็นบริการท่ีทันสมัยและกาลังได้รับ ความนยิ มอย่างรวดเร็ว อย่างไรกต็ าม ยังเป็นการเร็วเกินไปท่ีจะบอกว่าบริการเหล่าน้ีจะเติบโตต่อไป หรือจะ ถกู ลืมไปในที่สุด การพฒั นาระบบสอื่ สารไรส้ ายไดก้ า้ วขึ้นไปถงึ การให้บริการแก่ผโู้ ดยสารเคร่ืองบินขณะทาการบินดัง ปรากฏในรูป แนวความคดิ ได้แตกออกเปน็ สองลักษณะ คือ 1) การให้บรกิ ารเครอื ข่ายไรส้ ายโดยตรงแก่ผใู้ ชแ้ ต่ละคน 2) การสร้างเครือข่ายเฉพาะบริเวณข้ึนบนเคร่ืองบิน โดยให้ผู้ใช้ทั้งหมดต่อเช่ือมกับเครือข่ายน้ีและ ใช้อปุ กรณส์ ลับชอ่ งสัญญาณแบบไร้สายเพยี งจดุ เดียวตอ่ เชือ่ มกับภาคพนื้ ดิน รูปที่ 6.11 การเชอ่ื มตอ่ เครือข่ายแบบไรส้ าย ท่มี า : http://www.sys2u.com/ 74
6.6 เครือข่ายสากล ในโลกปัจจุบันมีระบบเครือข่ายอยู่มากมายท่ีพัฒนาขึ้นมาใช้สาหรับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ภายใต้ ระบบปฏิบัตกิ ารต่างๆ กันซึ่งสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีย่ิง ตามธรรมชาติของมนุษย์ท่ีอยู่รวมกันเป็นสังคม ย่อมจะต้องมีการติดต่อระหว่างกันอยู่เสมอ ผู้ใช้ระบบเครือข่ายก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้น จึงมีความต้องการท่ีจะ ติดต่อกับผู้ใช้อ่ืนๆ ท่ีอาจอยู่ในระบบเครือข่ายเดียวกันหรืออยู่ในระบบเครือข่ายอ่ืน ปัญหาการสื่อสาร ระหว่างเครือข่ายภายใต้ระบบต่างชนิดกันจึงเกิดขึ้น ในบางระบบได้แก้ไขปัญหาน้ีโดยการกาหนดให้ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งทาหน้าท่ีเป็นตัวกลางในการติดต่อส่ือสารกับระบบเครือข่ายอ่ืนโดยเฉพาะเรียกว่า ประตูสื่อสาร (gate ways) และเรียกระบบเครือข่ายท่ีมีการสื่อสารระหว่างกันนี้ว่าเครือข่ายที่มีการส่ือสาร ระหว่างกันนว้ี ่าเครอื ขา่ ยสากล (internet work) โครงสร้างของระบบเครือข่ายสากลประกอบด้วยเครือข่ายวงกว้างจานวนมากท่ีเช่ือมต่อถึงกัน ท้ังหมด แต่ละเครือข่ายวงกว้างประกอบด้วย เครือข่ายเฉพาะบริเวณจานวนหนึ่งท่ีเช่ือมต่อเข้าด้วยกัน ถ้า เปลยี่ นคาว่า “subnet” ไปเป็นคาว่า “เครือข่ายวงกว้าง” แล้วจะทาให้เห็นส่วนประกอบของเครือข่ายสากล ได้ในทันที อย่างไรก็ตาม ถ้าภายในขอบเขตของระบบท่ีกาลังพิจารณาประกอบด้วยเคร่ืองโฮสต์ อุปกรณ์ เลอื กทางเดินขอ้ มลู เพ่ือใหเ้ ห็นภาพที่ชดั เจนของความหมายของคาต่างๆ ทก่ี ลา่ วถงึ นี้ ให้พจิ ารณาระบบโทรศัพท์ท่ีใช้ใน ประเทศไทยซ่งึ ประกอบดว้ ย (1) เครื่องโทรศัพท์ตามบา้ นและสถานที่ทางานต่างๆ (2) ชมุ สายโทรศพั ท์ (3) สายโทรศพั ท์ทีเ่ ชอ่ื มต่อชุมสายโทรศพั ท์เขา้ ด้วยกัน (4) สายโทรศพั ทท์ ่เี ชอ่ื มต่อระหวา่ งเคร่ืองโทรศัพทเ์ ข้ากับชุมสายโทรศัพท์ เครือข่ายย่อยจะหมายความถึงชุมสายโทรศัพท์และสายโทรศัพท์ฯ แต่ถ้าใช้คาว่าระบบเครือข่าย จะมีความหมายรวมไปถึงเคร่ืองโทรศัพท์ด้วย ส่วนการเชื่อมต่อระบบโทรศัพท์ในประเทศไทยเข้ากับระบบ โทรศัพท์ของประเทศอื่น (ซึ่งอาจใช้เทคโนโลยีชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกันก็ได้) เปรียบเทียบได้กับระบบ เครือขา่ ยสากล 75
รปู ท่ี 6.12 การเชือ่ มต่อเครอื ข่ายแบบสากล ท่ีมา : http://uni.net.th 76
บรรณานุกรม กฤตศลิ ป์ บุรัมยากร. (2547). ระบบเครือข่าย LAN. กรงุ เทพฯ : เพยี ร์สัน เอด็ ดูเคชนั่ อนิ โดไชนา่ จากดั จักกริช พฤษการ, การส่ือสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ท้อป. 2548, แปลจาก Forouzan Behrouz A., Data Communications and Networking. ฉตั รชยั สุมามาลย.์ (2545). การส่ือสารข้อมูลคอมพวิเตอรแ์ ละระบบเครือขา่ ย. กรุงเทพ ฯ : ไทยเจริญการพมิ พ.์ ชนวัฒน์ ศรีสอ้าน และสุทธิชัย มณีรัตนรุ่งโรจน์. (2542). เอกสารประกอบการบรราย : การสื่อสารทางไกลและ เครือขา่ ย. มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีสุรนาร.ี นครราชสมี า. ถวิล ก่ิงทอง. (2535) เทคโนโลยีการส่งสัญญาณดิจิตอล. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบงั . กรงุ เทพฯ. วิธีการเซ็ตอับและใช้งาน . สืบค้นเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2557, จากเว็บไซต์: Multi SSID http://www.sys2u.com/xpert/viewtopic.php?f=3&t=332 สมรรถนะเชิงเปรียบเทียบของชุมสายเอทีเอ็ม. สืบค้นเม่ือวันที่ 3 มิถุนายน 2557, จากเว็บไซต์: http://www.thaigoodview.com/node/2024 สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, การส่ือสารข้อมูลระดับพ้ืนฐาน. กรุงเทพฯ: ทอมสัน, 2544, เรียบเรียงจาก Gary B. Shelly, Thomas J. Cashman and Judy A. Serwatka, Business data communications. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, เครือข่ายคอมพิวเตอร์, กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอ็ดดูเคช่ัน อินโดไชน่า, 2542, แปลจาก Andrew S.Tanenbaum, Computer Network, Pentice-Hall, 1996. สัลยุทธ์ สว่างวรรณ. การส่ือสารข้อมูลระดับพื้นฐาน Business Data Communications. กรุงเทพฯ : UNIVERSAL GRAPHIC & TRADING L.P., 2544. สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. Application on UniNet. สืบค้นเม่ือวันท่ี 3 มิถุนายน 2557, จาก เวบ็ ไซต์: http://uni.net.th สุรศกั ดิ์ สงวนพงษ,์ สถาปัตยกรรมและโปรโตคอลทซี ีพี/ไอพี, พมิ พ์ครง้ั ที่ 2, กรงุ เทพฯ : ซีเอ็ดยเู คชัน่ , 2545. สุวัฒน์ ปุณณชัยยะ และคณะ, เปิดโลก TCP/IP และโปรโตคอลของอินเตอร์เน็ต, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: โป รวิชนั่ , 2545. Behrouz A. Forouzan and Sophia Chung Fegan. (2007). Data Communications and Networking Fourth Edition. McGraw-Hill. David A. Stamper. (2000). Local Are Network 3rd edition. USA: Prentice Hall. William Stallings, Data & Computer Communications, 6th Edition, USA: Prentice Hall International, 2000. 77
บทท่ี 7 สอื่ และอุปกรณก์ ารเช่อื มต่อระบบเครือขา่ ย หัวข้อบทเรยี น 7.12 สือ่ อปุ กรณ์ชนิดแม่เหล็ก 7.13 สายคตู่ ีเกลยี ว 7.14 สายโคแอกเชยี ล 7.15 สายโคแอกซช์ ว่ งสัญญาณกวา้ ง 7.16 สายใยแก้วนาแสง 7.17 การส่งข้อมูลแบบไร้สาย 7.18 คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟาู 7.19 การสง่ สัญญาณคล่นื วิทยุ 7.20 สื่อสัญญาณไมโครเวฟ 7.21 คลื่นอนิ ฟราเรดและคลนื่ สนั้ 7.22 การสอื่ สารผา่ นคลนื่ แสง วตั ถุประสงค์ 4. เพ่ือใหผ้ ้เู รยี นเขา้ ใจถงึ สื่อและอปุ กรณ์การเชอื่ มต่อระบบเครือข่ายประเภทตา่ งๆ 5. เพื่อให้ผ้เู รยี นเขา้ ใจถึงลักษณะการใชง้ านของอุปกรณแ์ ละสื่อการเชื่อมต่อและสามารถเลือกใช้ได้ ตามความเหมาะสม 7.1 สือ่ อปุ กรณ์ชนิดแมเ่ หลก็ เทปแมเ่ หล็กมหี ลักการทางานคล้ายเทปบันทึกเสียง ยุคแรกเทปที่ใช้จะเป็นแบบม้วนเทปวงล้อขนาด ใหญ่ ต่อมามีการผลิตเป็นตลับเรียกว่า เทปคาร์ทริดจ์ (cartridge tape) ซ่ึงมีลักษณะเหมือนเทป เพลง หลักการทางานของเทปแม่เหลก็ คือจะอ่านข้อมูลตามลาดับก่อนหลัง เรียกหลักการนี้ว่าการเข้าถึงข้อมูล ตามลาดับ (Sequential access) การทางานลักษณะน้ีทาให้อ่านข้อมูลได้ช้า เนื่องจากต้องอ่านข้อมูลในม้วน เทปไปเร่ือยๆ จนถึงตาแหน่งท่ีต้องการ ดังน้ันจึงนิยมนาเทปแม่เหล็กมาสารองข้อมูล เพ่ือปูองกันการสูญหาย ของข้อมูล ข้อดีของเทปแม่เหล็กคือสามารถบันทึก อ่าน และลบก่ีครั้งก็ได้และมีราคาต่า ความจุของเทป แม่เหล็กจะมีหน่วยเป็น ไบต์ต่อนิ้ว ความสามารถในการเก็บบันทึกข้อมูลของเทปแม่เหล็กขึ้นอยู่กับความ หนาแน่นของเทปแม่เหล็ก เทปแม่เหล็กที่มีความหนาแน่นต่า จะเก็บข้อมูลได้น้อยกว่าท่ีมีความหนาแน่น 78
สูง เทปแม่เหล็กรุ่นใหม่ๆ มีขนาดใหญ่กว่าเครดิตการ์ดเล็กน้อย แต่สามารถจุข้อมูลได้มากระดับจิกะไบต์ การ ใชเ้ ทปแม่เหลก็ จะใช้กันในด้านการเปน็ สื่อทเ่ี กบ็ สารองขอ้ มลู รูปท่ี 7.1 เทปแม่เหลก็ ทม่ี า : http://www.thaigoodview.com วิธีที่ง่ายท่ีสุดในการส่ือสารข้อมูลจากเคร่ืองคอมพิวเตอร์เคร่ืองหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งคือ การบันทึก ข้อมูลลงในเทปแม่เหล็กหรือดิสก์ (Magnetic disk) แล้วจัดการส่งเทปหรือดิสก์น้ันไปยังเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ ต้องการเพื่อทาการอ่านข้อมูลจากสื่ออุปกรณ์นั้น แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ง่ายมากและไม่มีขั้นตอนสลับซับซ้อนแต่ อยา่ งใดโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกบั การส่งขอ้ มลู ผ่านดาวเทียม วิธีการนี้กลับมีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยข้อมูลที่ถูก มาก ซ่ึงเป็นทางเลือกที่ดีสาหรับโปรแกรมท่ีต้องการความกว้างของช่องสัญญาณในการส่งข้อมูลสูง หรือมี คา่ ใช้จ่ายต่อหน่วยข้อมูลเปน็ ปจั จยั สาคญั ในการพจิ ารณา ตัวอย่างของหน่วยงานทุกแห่งจะต้องบันทึกข้อมูลขนาดหลายพันล้านไบต์ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ สารองอีกเคร่ืองหน่ึงโดยอาศัยเทปแม่เหล็กเป็นประจาทุกๆ วัน เพ่ือท่ีจะได้มีข้อมูลไว้ใช้งานในกรณีที่เครื่อง คอมพิวเตอร์หลักเกิดการเสียหาย จึงเห็นได้ว่าการเก็บข้อมูลขนาดหลายพันล้านไบต์โดยใช้เทปแม่เหล็กยังคง เป็นวิธีท่ีมปี ระสทิ ธิภาพและมีความเหมาะสมที่สุดในยุคหน่ึง เม่ือพิจารณาทางด้านค่าใช้จ่ายเทปมีราคาม้วนละ ประมาณ 5,000 บาท สามารถนากลับมาใช้ได้อีกอย่างน้อย 10 คร้ังทาให้ราคาเหลือ 500 บาทต่อม้วน เพ่ิม คา่ สง่ ประมาณ 200 บาท รวมเป็น 700 บาท เมื่อนามาส่งข้อมูล 7 ล้านล้านไบต์จะมีราคาเฉลี่ย 0.1 บาทต่อ พนั ลา้ นไบต์ ซึ่งเปน็ ราคาที่ถกู ทส่ี ุดเมื่อเทยี บกบั ระบบอน่ื ๆ ทุกระบบ 79
7.2 สายคู่ตเี กลียว ความรวดเร็วในการส่งข้อมูลจะใช้การเช่ือมต่อโดยตรงด้วยสายคู่ตีเกลียว (Twisted pair) ภายใน สายชนิดน้ีจะมีทองแดง 2 เส้นหุ้มด้วยฉนวนไฟฟูาหนา 1 มม. สายท้ังสองจะถูกตีเกลียวเข้าด้วยกันเพื่อลด ผลกระทบจากการรบกวนทางไฟฟูาท่ีเกิดขึ้นจากสายคู่อื่นที่อาจถูกนามาวางไว้ติดกัน ระบบงานท่ีใช้สายคู่ เกลียวได้แก่ระบบโทรศัพท์ซึ่งมีการต่อเช่ือมระหว่างตัวโทรศัพท์ (ตามบ้านหรือสถานท่ีประกอบธุรกิจ)กับ องค์การโทรศัพท์ สายประเภทน้ีสามารถต่อไปได้เป็นระยะทางหลายกิโลเมตรโดยท่ีไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ขาย สัญญาณมาชว่ ยเลย แตถ่ า้ ส่งไปในระยะไกลมากวา่ นี้ จะใช้ตวั สง่ ต่อสัญญาณ (Repeater) มาชว่ ย สายคู่เกลยี วหรอื ทเ่ี รียกกันท่ัวไปว่า สายยูทพี ี (UTP; Unshiielded Twisted Pair) สามารถนามาใช้ ในการส่งสัญญาณได้ท้ังแบบอะนาล็อก และดิจิตอล โดยความกว้างของช่องสัญญาณจะขึ้นอยู่กับขนาดของ สายและระยะทางในการส่ง บางครั้งในระยะทางไม่กี่กิโลเมตรอาจส่งได้ด้วยความเร็วหลายล้านบิตต่อวินาที สายยูทีพีเป็นที่เป็นท่ีนิยมอย่างมากและยังจะนามาใช้ต่อไปอีกนานเน่ืองจากมีราคา ต่าและมีประสิทธิภาพใน ระดับท่ีดพี อควร สายยูทีพีได้รับการผลิตข้ึนมาใช้หลายแบบ ในที่น้ีจะกล่าวถึง 2 ชนิดที่นามาใช้อย่างแพร่หลายใน ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์คือ สายประเภท 3 (category 3) และสายประเภท 5 (category 5) สายยูทีพี ประเภท 3 แตล่ ะเสน้ ประกอบดว้ ยสายทองแดง 2 เส้นหุ้มด้วยฉนวน และพันเกลียวหลวมๆ นาสาย 4 เส้นมา รวมเข้าด้วยกันแล้วหุ้มด้วยพลาสติกอีกช้ันหน่ึง ช่วงก่อนปี ค.ศ. 1988 แต่ละช้ันของอาคารสานักงานส่วนมาก จะมอี ุปกรณช์ นดิ หนึ่งเรียกว่า “ตู้ชุมสาย (wiring closet)” เป็นตัวกลางในการติดต่อโดยใช้สายสัญญาณแบบ น้ีไปตามห้องทางานต่างๆ ซึ่งสามารถเชื่อมโทรศัพท์แบบธรรมดา 4 เคร่ืองหรือโทรศัพท์แบบหลายคู่สาย 2 เครอ่ื งตอ่ เขา้ กับตูช้ มุ สายขององค์การโทรศัพท์ได้ ตั้งแต่ ค.ศ. 1988 เป็นต้นมา สายยูทีพีประเภทท่ี 5 ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใช้งานซ่ึงมีลักษณะคล้าย แบบเดมิ แตไ่ ด้เพม่ิ การพันเกลียวให้มีความถี่มากข้ึน และเปลี่ยนมาใช้หุ้มฉนวนด้วยวัสดุเทฟลอน (Teflon) ซึ่ง จะลดการกวนของสัญญาณลง จึงทาให้ส่งข้อมูลได้ไกลข้ึน และคุณภาพสัญญาณก็ดีขึ้นด้วยสายประเภทนี้จึง เหมาะทจ่ี ะใชก้ ับระบบเครอื ขา่ ยความเรว็ สงู รูปที่ 7.2 สายค่ตู ีเกลียว (Twisted pair) 80
7.3 สายโคแอกเชียล สายส่ือสารประเภททีส่ องเรียกว่า “Coaxial Cable” หรือเรียกส้ันๆ ว่า”สายโคแอกซ์ (coax)” เป็น สายสื่อสารขนาดกลางที่มีฉนวนหุ้มห่อท่ีดีกว่าสายยูทีพี จึงส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วที่สูงกว่าและส่งไปได้ไกล กว่า โดยปกติมีใช้อยู่ 2 ชนิดคือชนิดท่ีมีความต้านทาน 50 โอห์ม (ohms) เรียกว่าเป็นแบบช่วงสัญญาณแคบ (baseband) ใช้สาหรบั ส่งข้อมูลแบบดิจิตอล ความแตกต่างของสายท้ังสองชนิดนี้สืบเน่ืองมาจากการพัฒนาใน ตอนเริ่มแรก ซึ่งไม่เกี่ยวพันกับคุณสมบัติของสัญญาณดิจิตอลหรืออนาล็อกแต่อย่างใด สายโคแอกซ์ ประกอบดว้ ยเสน้ ลวดทองแดงแข็ง 1 เส้นเปน็ แกนกลาง หุ้มดว้ ยฉนวน 1 ช้ัน จากน้ันหุ้มด้วยลวดตัวนาไฟฟูาที่ ถักเป็นตาขา่ ยรา่ งแหรปู ทรงกระบอกและหุ้มช้นั นอกสุดด้วยฉนวนพลาสตกิ ดงั รปู รูป 7.3 สายโคแอกซ์ โครงสร้างของสายโคแอกซ์ทาให้สายชนิดน้ีสามารถใช้ในการส่งข้อมูลที่มีช่วงความกว้า งของ สัญญาณสูง และปูองกนั สัญญาณรบกวนไดเ้ ป็นอย่างดี แต่ความกว้างของช่วงสัญญาณก็ยังขึ้นอยู่กับความยาว ของสายด้วย เช่น สายโคแอกซ์ยาว 1 กม. สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็ว 1-2 พันล้านบิตต่อวินาที สายท่ี ยาวกวา่ นจี้ ะมีอัตราความเรว็ ในการสง่ ขอ้ มลู ลดลงไปหรืออาจจะต้องใช้อุปกรณ์ขยายสัญญาณ (Amplifier) เข้า มาช่วยสายโคแอกซ์ถูกนามาใช้ในการส่งสัญญาณประเภทต่างๆ เช่น เคเบ้ิลทีวี ระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ บางแห่ง และระบบโทรศพั ท์ และในปัจจบุ ันไดห้ ันมาใช้สายใยแก้วแทน เปน็ ตน้ 7.4 สายโคแอกซ์ช่วงสญั ญาณกวา้ ง สายโคแอกซ์ช่วงสัญญาณกว้าง ใช้สาหรับส่งข้อมูลคอมพิเตอร์ที่ถูกแปลงให้มาอยู่ในรูปสัญญาณอะ นาล็อก คาว่า broadband เป็นคาที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ หมายถึงสัญญาณท่ีมีความกว้างมากกว่า 4 กิโลเฮิรตซ์ แต่ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะใช้ในความหมายว่าเป็นการส่งสัญญาณอะนาล็อกเท่าน้ัน 81
ระบบเครือข่ายช่วงสัญญาณกว้างได้นาเทคโนโลยีที่ใช้ในเคเบิลทีวีมาใช้ในการส่งข้อมูล โดยส่ง สัญญาณอะนาล็อกได้ในความถ่ีสูงถึง 300 เมกะเฮิรตซ์ บางคร้ังอาจมากถึง 450 เมกะเฮิรตซ์ ได้เป็นระยะ ทางไกลประมาณ 100 กิโลเมตร ท้งั นี้ผู้ส่งข้อมูลจะต้องมีอปุ กรณ์แปลงสญั ญาณดจิ ิตอลให้เป็นอะนาล็อกก่อนที่ จะส่งข้อมูลออกไป ทางฝุายผู้รับข้อมูลก็จะต้องมีอุปกรณ์แปลงสัญญาณอะนาล็อกท่ีรับเข้ามาให้กลับเป็น สัญญาณดิจิตอลตามเดิม วิธีการในการแปลงสัญญาณข้ึนอยู่กับความซับซ้อนของอุปกรณ์ท่ีนามาใช้ เช่น ข้อมูล 1 บิตต่อวินาที อาจถูกแปลงให้เป็นสัญญาณในช่วงความถี่ 1 Hz แต่ถ้าใช้ความถี่สูงกว่าน้ีอาจนามาใช้ แทนข้อมูลหลายบิตก็ได้ การส่งสัญญาณช่วงความถ่ีกว้างสามารถนามาใช้ได้ในหลายรูปแบบ การเชื่อมต่อระหว่าง คอมพิวเตอร์คู่หนึ่งอาจกาหนดให้มีช่วงสัญญาณเป็นการถาวร ในขณะที่คอมพิวเตอร์เคร่ืองอ่ืนต้องขอใช้ช่วง สัญญาณสว่ นกลางในการติดต่อแบบชว่ั คราว หรอื เครื่องคอมพิวเตอรท์ ุกเครอื่ งทีต่ อ้ งการส่งข้อมูลอาจต้องมีการ แย่งชิงช่องสื่อสารก็ได้ เทคโนโลยีท่ีนามาใช้ในการส่งสัญญาณช่วงความถ่ีแคบจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบ ความถก่ี วา้ ง รูป 7.4 สายโคแอกซช์ ว่ งสัญญาณกว้าง 7.5 สายใยแก้วนาแสง เส้นใยแก้วนาแสงท่ีเป็นแท่งแก้วขนาดเล็ก มีการโค้งงอได้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใช้กันมากคือ 62.5/125 ไมโครเมตร เส้นใยแก้วนาแสงขนาดน้ีเป็นสายท่ีนามาใช้ภายใน อาคารท่ัวไป เมื่อใช้กับคลื่นแสง ความยาวคล่ืน 850 นาโนเมตร จะส่งสัญญาณได้มากกว่า 160 เมกะเฮิรตซ์ ที่ความยาว 1 กิโลเมตร และถ้าใช้ ความยาวคลื่น 1,300 นาโนเมตร จะส่งสัญญาณได้กว่า 500 นาโนเมตร ที่ความยาว 1 กิโลเมตร และถ้าลด ความยาวลงเหลือ 100 เมตร จะใช้กับความถ่ีของสัญญาณมากกว่า 1 กิกะเฮิรตซ์ได้ ดังนั้นจึงดีกว่า สายยูทีพี แบบแคต 5 ทใี่ ช้กบั สญั ญาณได้ 100 เมกะเฮิรตซ์ เส้นใยแก้วนาแสงมีคุณสมบัติในเชิงการให้แสงว่ิงผ่านได้ การ บั่นทอนแสงมีค่าค่อนข้างต่า ตามมาตรฐานของเส้นใยแก้วนาแสง การใช้เส้นสัญญาณนาแสงน้ีใช้ได้ยาวถึง 82
2,000 เมตร หากระยะทางเกินกว่า 2,000 เมตร ต้องใช้รีพีตเตอร์ทุกๆ 2,000 เมตร การสูญเสียในเรื่อง สญั ญาณจึงต่ากว่าสายตัวนาทองแดงมาก ท่ีสายตัวนาทองแดงมีข้อ กาหนดระยะทางเพียง 100 เมตร หากพิจารณาในแง่ความถี่ที่ใช้ ผลตอบสนองทางความถ่ีมีผลต่อกาลังสูญเสียโดยเฉพาะในลวดตัวนาทองแดง เมอ่ื ใชเ้ ป็นสายสัญญาณ คุณสมบัติของสายตัวนาทองแดงจะ เปลี่ยนแปลงเม่ือใช้ความถี่ต่างกัน โดยเฉพาะเมื่อ ใชค้ วามถขี่ องสัญญาณท่ีสง่ ในตวั นาทองแดงสูงขึ้น อัตราการสูญเสียก็จะมากตามแต่กรณีของเส้นใยแก้วนาแสง เราใช้สญั ญาณ รับส่งขอ้ มูล จงึ ไม่มผี ลกบั กาลังสญู เสยี ทางแสง เส้นใยแก้วนาแสงมีน้าหนักเบากว่าเส้นลวดตัวนาทองแดง น้าหนักของเส้นใยแก้วนาแสงขนาด 2 แกนท่ีใช้ท่ัวไปมีน้าหนักเพียงประมาณ 20 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของสายยูทีพี แบบแคต 5 มีขนาดทาง ภาคตัดขวางแล้วเล็กกว่าลวดทองแดงมาก ขนาดของเส้นใยแก้วนาแสงเมื่อรวมวัสดุหุ้มแล้วมีขนาดเล็กกว่า สายยูทีพี โดยขนาดของสายใยแก้วน้ีใช้ พื้นที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของเส้นลวดยูทีพีแบบแคต 5 มีลักษณะ ใช้แสงเดินทางในข่าย จึงยากท่ีจะทาการแท๊ปหรือทาการดักฟังข้อมูล และการท่ีเส้นใยแก้วนาแสงเป็นฉนวน ทั้งหมด จึงไม่นากระแสไฟฟาู การลัดวงจร การเกดิ อันตรายจากกระแสไฟฟูาจงึ ไมเ่ กิดขึน้ แนวโน้มทางด้านราคา มีการเปล่ียนแปลงราคาของเส้นใยแก้วนาแสงลดลง จนในขณะนี้ยังแพงกว่า สายยูทีพีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก นอกจากน้ีหลายคนยังเข้าใจว่า การติดตั้ง เส้นใยแก้วนาแสงมีข้อยุ่งยาก และ ต้องใช้คนท่ีมีความรู้ความชานาญ เสียค่าติดต้ังแพง ความคิดน้ีก็คงไม่จริง เพราะการติดตั้งทาได้ไม่ยากนัก เน่ืองจากมีเครื่องมือพิเศษ ช่วยได้มาก เคร่ืองมือพิเศษน้ีสามารถเข้าหัวสายได้โดยง่ายกว่าแต่เดิมมาก อีกท้ัง ราคาเครอ่ื งมือกถ็ ูกลงจนมผี ู้รับตดิ ตงั้ ได้ท่ัวไป รูปท่ี 7.5 สายใยแก้วนาแสง คุณสมบัติของเส้นใยแก้วนาแสงแบ่งแยกได้ตามลักษณะคุณสมบัติของตัวนาแสง ท่ีมีลักษณะการใช้ แสงส่องทะลุในลักษณะอย่างไร คุณสมบัติของเนื้อแก้วนี้จะกระจายแสงออก ซ่ึงในกรณีนี้การสะท้อนของแสง กลับต้องเกิดข้ึนโดยผนังแก้วด้านข้างต้องมีดัชนีหักเหของแสงที่ทาให้แสงสะท้อนกลับ เพ่ือลดการสูญเสียของ พลงั งานแสง วธิ กี ารนเ้ี ราแบ่งแยก ออกเป็นสองแบบคือ แบบซงิ เกลิ โหมด และมลั ตโิ หมด 1) ซิงเกลิ โหมด เปน็ การใชต้ วั นาแสงที่บีบลาแสงให้พุ่งตรงไปตามท่อแก้ว โดยมีการกระจายแสงออก ทางดา้ นข้างนอ้ ยท่ีสุด ซิงเกิลโหมดจึงเปน็ เส้นใยแก้วนาแสงท่ีมีกาลังสูญเสียทางแสงน้อยที่สุด เหมาะสาหรับใน การใช้กับระยะทางไกลๆ การเดินสายใยแก้วนาแสงกับระยะทางไกลมาก เช่น เดินทางระหว่างประเทศ ระหว่างเมือง มกั ใชแ้ บบซงิ เกลิ โหมด 83
รูปท่ี 7.6 สายใยแกว้ นาแสงแบบซิงเกลิ โหมด 2) มัลติโหมด เปน็ เสน้ ใยแกว้ นาแสงท่ีมลี กั ษณะการกระจายแสงออกดา้ นข้างได้ ดังนั้นจึงต้องสร้างให้ มดี ัชนีหักเหของแสงกบั อปุ กรณฉ์ าบผิวทส่ี มั ผสั กบั แคล็ดดิง ให้สะท้อนกลับหมด หาก การให้ดัชนีหักเหของแสง มีลักษณะทาให้แสงเลี้ยวเบนทีละน้อย เราเรียกว่าแบบเกรดอินเด็กซ์ หากใช้แสงสะท้อนโดยไม่ปรับคุณสมบัติ ของแท่งแก้วใหแ้ สงค่อยเลยี้ วเบนกเ็ รียกว่า แบบ สเต็ปอนิ เดก็ ซ์ รปู ท่ี 7.7 สายใยแกว้ นาแสงแบบมลั ติโหมด เส้นใยแก้วนาแสงท่ีใช้ในเครือข่ายแลนส่วนใหญ่ใช้แบบมัลติโหมด โดยเป็นขนาด 62.5/125 ไมโครเมตร หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อแก้ว 62.5 ไมโครเมตร และของ แคล็ดดิงรวมท่อแก้ว 125 ไมโครเมตร คุณสมบตั ิของเสน้ ใยแก้วนาแสงแบบสเตป็ อินเด็กซ์มีการสูญเสียสงู กวา่ แบบเกรดอินเด็กซ์ การเชอื่ มต่อสายเคเบิล้ ใยแก้วทาได้ 3 วิธี วิธีแรกคอื 1) ให้ปลายสายต่อเข้ากับขั้วต่อเพื่อเสียบเข้ากับช็อคเก็ต (socket) ท่ีอุปกรณ์รับหรือส่งข้อมูล ปลายทาง วธิ นี จ้ี ะทาให้สูญเสียสัญญาณไปประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงระบบทา ได้โดยสะดวก 2) ตัดปลายสายใยแก้วท้ังสองเส้นท่ีจะนามาต่อกันให้เรียบด้วยความประณีต แล้วนามาวางบนซอง พิเศษ (sleeve) สาหรับการต่อสาย จากนั้นใช้เคร่ืองมือบีบให้สายทั้งสองเส้นและซองติดเป็นเส้นตรงเดียวกัน 84
การปรบั มมุ ของสายท้ังสองเส้น (alignment) ให้ตรงกันจะช่วยให้สูญเสียสัญญาณน้อยลง พนักงานท่ีผ่านการ อบรมมาเป็นอย่างดีจะสามารถปฏิบัติตามวิธีการน้ีได้ภายในเวลาประมาณ 5 นาที โดยมีอัตราการสูญเสีย สญั ญาณเพยี งประมาณ 10 เปอรเ์ ซ็นต์ 3) ใช้ความรอ้ นในการหลอมให้ปลายสายใยแก้ว 2 เส้นละลายติดเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งจะทาให้สายใย แกว้ ทมี่ ีรอยต่อมคี ุณสมบตั เิ กอื บจะเหมือนกับสายทไี่ มม่ รี อยตอ่ คอื สายท่ีมีรอยต่อจะมีการสูญเสียข้อมูลเพิ่มข้ึน เล็กน้อย อย่างไรก็ตามการเช่ือมต่อทั้งสามวิธีทาให้เกิดการสะท้อนของสัญญาณท่ีจุดรอยต่ออันจะมีผลแทรก ซอ้ นกบั สัญญาณข้อมลู จรงิ อุปกรณ์รับสัญญาณที่ปลายสายใยแก้วคือ โฟโต้โดโอด (photodiode) ซึ่งจะปล่อยพลังงานไฟฟูา ออกมาเมอื่ มีแสงมากระทบ ความเร็วในการตอบสนองน้อี ยปู่ ระมาณ 1 สว่ นพันล้านวินาที จงึ จากัดความเร็วใน การสง่ ข้อมูลไว้ที่ 1 พันล้านบิตต่อวินาที ปัญหาสัญญาณรบกวน (thermal noise) ที่เกิดขึ้นในสายไฟฟูาก็เกิด ได้ในสายใยแก้วเช่นกัน การส่งสัญญาณแสงให้มีความแรงพบเหมาะจะช่วยลดการเสียหายของสัญญาณข้อมูล ได้มาก 7.6 การส่งขอ้ มลู แบบไรส้ าย (Wireless Transmission) การส่ือสารผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทกับผู้ใช้ในทุกระดับ ตั้งแต่ผู้เริ่มหัดใช้ เป็นคร้ังแรกไปจนถึงผู้ใช้คอมพิวเตอร์มานานนับสิบปี ระบบเครือข่ายท่ีเช่ือมโยงผู้ใช้ผ่านสายเคเบิลน้ันมี แนวโน้มค่อนข้างชัดเจนท่ีจะใช้สายใยแก้ว อย่างไรก็ตาม การเดินสายเคเบิ้ลไปยังสถานท่ีต่างๆ น้ันบางครั้งก็ ไม่สามารถทาได้หรือไม่คุ้มค่าโดยเฉพาะถ้าเป็นการใช้งานช่ัวคราว งานประเภทนี้จึงต้องใช้การส่ือสารแบบไร้ สายซ่ึงมีความอ่อนตัวมากกว่า สิ่งหน่ึงที่ผู้เกี่ยวข้องกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไม่ควรลืมก็คือ ระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์เร่ิมต้นมาจากการเช่ือมต่อการสื่อสารระหว่างเกาะฮาวายกับผืนแผ่นดินใหญ่ประเทศ สหรัฐอเมริกาซง่ึ เป็นระบบเครือขา่ ยชนิดแรกในโลก รูปท่ี 7.8 การสง่ ข้อมลู แบบไร้สาย ทีม่ า : http://www.dol.go.th/it/ 85
ระบบเครือข่ายไร้สาย เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ไม่มาก นัก และมักจากัดอยูใ่ นอาคารหลังเดียวหรอื อาคารในละแวกเดียวกัน การใช้งานท่ีน่าสนใจที่สุดของเครือข่ายไร้ สายก็คือ ความสะดวกสบายท่ีไม่ต้องติดอยู่กับท่ี ผู้ใช้สามารถเคลื่อนท่ีไปมาได้โดยที่ยังส่ือสารอยู่ในระบบ เครอื ข่าย รปู แบบการเช่อื มต่อของระบบเครือขา่ ยไรส้ ายและอปุ กรณ์การเชือ่ มตอ่ มีดงั ตอ่ ไปน้ี 1) Peer-to-peer (Ad hoc mode) รูปแบบการเชื่อมต่อระบบแลนไร้สายแบบ Peer to Peer เปน็ ลกั ษณะ การเชื่อมตอ่ แบบโครงขา่ ยโดยตรงระหวา่ งเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ จานวน 2 เครื่องหรือมากกว่า นั้น เป็นการใช้งานร่วมกันของ wireless adapter cards โดยไม่ได้มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายแบบใช้สายเลย โดยท่ีเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีความเท่าเทียมกัน สามารถทางานของตนเองได้และขอใช้บริการ เคร่ืองอื่นได้ เหมาะสาหรับการนามาใช้งานเพ่ือจุดประสงค์ในด้านความรวดเร็วหรือติดตั้งได้โดยง่ายเมื่อไม่มี โครงสร้างพ้ืนฐานทจ่ี ะรองรับ ยกตวั อย่างเชน่ ในศนู ยป์ ระชุม หรือการประชุมท่จี ดั ข้ึนนอกสถานท่ี รปู ที่ 7.9 การเช่ือมต่อระบบแลนไร้สายแบบ Peer to Peer 2) Client/server (Infrastructure mode) ระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Client/Server หรือ Infrastructure mode เป็นลักษณะการรับส่งข้อมูลโดยอาศัยAccess Point (AP) หรือเรียกว่า “Hot spot” ทาหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่ายแบบใช้สายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูก ข่าย (client) โดยจะกระจายสัญญาณคล่ืนวิทยุเพื่อ รับ-ส่งข้อมูลเป็นรัศมีโดยรอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีอยู่ใน รัศมีของ AP จะกลายเป็น เครือขา่ ยกลมุ่ เดยี วกันทนั ที โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ จะสามารถติดต่อกัน หรือติดต่อ กับ Server เพื่อแลกเปล่ียนและค้นหาข้อมูลได้ โดยต้องติดต่อผ่านAP เท่านั้น ซ่ึง AP 1 จุด สามารถให้บริการ เคร่ืองลูกข่ายได้ถึง 15-50อุปกรณ์ ของเคร่ืองลูกข่าย เหมาะสาหรับการนาไปขยายเครือข่ายหรือใช้ร่วมกับ 86
ระบบเครือข่ายแบบใช้สายเดิมในออฟฟิต,ห้องสมุด หรือในห้องประชุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทางานให้ มากข้ึน รปู ท่ี 7.10 การเชอื่ มตอ่ ระบบแลนไร้สายแบบ Client/server 3) การเช่ือมต่อระบบแลนไร้สายแบบเชื่อมต่อหลายจุด (Multiple access points and roaming) โดยท่ัวไปแล้ว การเช่ือมต่อสัญญาณระหว่างเคร่ืองคอมพิวเตอร์ กับ Access Point ของเครือข่าย ไร้สายจะอยู่ในรัศมีประมาณ 500 ฟุต ภายในอาคาร และ 1000 ฟุต ภายนอกอาคาร หากสถานท่ีที่ติดต้ังมี ขนาดกว้าง มากๆ เช่นคลังสินค้า บริเวณภายในมหาวิทยาลัย สนามบิน จะต้องมีการเพิ่มจุดการติดต้ัง AP ให้ มากขึน้ เพ่อื ให้การรับส่งสัญญาณในบริเวณของเครอื ขา่ ยขนาดใหญ่ เป็นไปอยา่ งครอบคลุมทั่วถงึ รปู ท่ี 7.11 การเช่อื มต่อระบบแลนไร้สายแบบ Multiple access points and roaming ทีม่ า : http://www.dol.go.th/it/ 87
4) การเช่อื มตอ่ ระบบแลนไร้สายแบบใชส้ ่วนขยาย (Use of an Extension Point) กรณีท่ีโครงสร้าง ของสถานท่ีติดต้ังเครือข่ายแบบไร้สายมีปัญหาผู้ออกแบบระบบอาจจะใช้ Extension Points ที่มีคุณสมบัติ เหมอื นกับ Access Point แต่ไม่ต้องผกู ติดไว้กบั เครือข่ายไร้สาย เปน็ สว่ นท่ีใช้เพิม่ เติมในการรบั ส่งสญั ญาณ รูปที่ 7.12 การเชอ่ื มตอ่ ระบบแลนไร้สายแบบใช้ส่วนขยาย ทม่ี า : http://www.dol.go.th/it/ 5) การเช่ือมตอ่ ระบบแลนไรส้ ายแบบใช้เสาอากาศ ระบบแลนไร้สายแบบน้ีเป็นแบบใช้เสาอากาศใน การรับส่งสัญญาณระหว่างอาคารที่อยู่ห่างกัน โดยการติดตั้งเสาอากาศท่ีแต่ละอาคาร เพ่ือส่งและรับสัญญาณ ระหว่างกัน รปู ท่ี 7.13 การเชื่อมตอ่ ระบบแลนไร้สายแบบใช้เสาอากาศ ทีม่ า : http://www.dol.go.th/it/ 7.7 คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ทฤษฎีเก่ียวกับแม่เหล็กไฟฟูาได้กล่าวไว้ว่า เมื่ออิเล็กตรอนเกิดการเคล่ือนท่ีจะทาให้เกิดคลื่นแม่ เหลก็ ไฟฟาู ซ่งึ สามารถเดนิ ทางไปได้อยา่ งอสิ ระแมก้ ระท่งั ในอวกาศ ก็เดินทางผ่าน จานวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟูาที่ 88
เกิดข้ึนต่อวินาที เรียกว่า ความถี่คล่ืน (Frequency) ซึ่งมีหน่วยวัดเป็น เฮิร์ต (Hertz) และระยะห่างระหว่าง ยอดคลนื่ สองลูกทอ่ี ยูต่ ดิ กนั เรยี กว่า ความยาวคลน่ื คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟูาทุกความถ่ีเดินทางด้วยความเร็วแลง (ประมาณ 3 ร้อยล้านเมตรต่อวินาที หรือ 1 ฟุตต่อหนึ่งส่วนพันล้านวินาที) เท่ากันหมดเม่ือผ่านตัวกลางท่ีเป็นอากาศหรืออวกาศ แต่เมื่อบังคับให้คล่ืนเดิน ทางผ่านสายทองแดงหรือสายใยแก้ว จะมีความเร็วลดลงเหลือประมาณ 2 ใน 3 เท่านั้นและคล่ืนความถี่ต่าง ชนิดกันก็จะเดินทางด้วยความเร็วต่างกัน เพื่อเป็นการปูองกันความสับสนท่ีอาจเกิดข้ึน จึงได้มีองค์กร ระดับชาติและระดับนานาชาติมากมายร่วมทาความตกลงในการแบ่งช่วงความถี่ในการใช้งาน ในประเทศ สหรัฐอเมรกิ ามอี งคช์ ือ่ ว่า FCC (Feder Communication committee) เป็นผู้กาหนดความถ่ีที่ใช้งานสาหรับ คลื่นวิทยุ AM และ FM คลื่นโทรศัพท์มือถือ คลื่นสาหรับทหารเป็นต้น ในระดับนานาชาติองค์กร WARC (World Administrative Radio Conference) มี่รากฐานมาจากองค์กร ITU (International Telecommunication Union) ซ่ึงเร่ิมก่อต้ังในทวีปยุโรปมาตั้งแต่ ค.ศ. 1865 ได้ร่วมประชุมชาติสมาชิก ประเทศสเปนเมอ่ื ค.ศ. 1991 เพือ่ กาหนดขอบเขตการใชง้ าน การส่งสัญญาณทวั่ ไปมักจะกระทาในชว่ งความถี่แคบๆ เพอื่ ส่งสัญญาณให้มปี ระสิทธิภาพสูงสุดในบาง กรณีเคร่ืองส่งสัญญาณจะส่งสัญญาณคลื่นออกไปหลาย ช่วงความถ่ีกระจาย (spread spectrum)ซึ่งนาไปใช้ ในทางทหารเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากทาให้ข้าศึกตรวจสอบการส่งสัญญาณได้ยากและทาให้ไม่สามารถส่ง สัญญาณมารบกวนการสือ่ สารได้ 7.8 การสง่ สัญญาณคลื่นวิทยุ คุณสมบัติท่ีเด่นชัดของสัญญาณวิทยุ (Radio Transmission) คือ เป็นช่วงคล่ืนท่ีสามารถสร้างข้ึนใช้ งานได้ง่าย ส่งออกไปได้ระยะไกล สามารถเดินทางผ่านวัตถุกีดขวางต่างๆ ได้ดี และยังเดินทางออกจาก แหลง่ กาเนิด ไปทกุ ทศิ ทาง ดว้ ยเหตนุ ส้ี ญั ญาณวิทยุจึงเป็นท่นี ิยมใชอ้ ย่างแพรห่ ลาย อย่างไรก็ตามคลื่นวิทยุก็มีข้อเสียในตัวเอง ท่ีคล่ืนความถ่ีต่า สัญญาณคล่ืนจะสามารถเดินทางผ่าน วัตถุกีดขวางได้เป็นอย่างดีแต่กาลังสัญญาณจะลดลงอย่างรวดเร็วเม่ือเดินทางไกลออกไป ท่ีความถ่ีสูงคลื่ นจะ เดนิ ทางในแนวเดยี วเกอื บตรง แต่จะเกิดการสะท้อนเม่ือถูกกดี ขวางกนั้ และจะถกู ดูดซึมเม่ือเดินทางผ่านสายฝน สดุ ท้าย คล่ืนทกุ ความถจี่ ะถกู รบกวนโดยการทางานของมอเตอร์และอปุ กรณไ์ ฟฟูา คล่ืนในช่วง VLF, LF และ MF จะเดินทางไปตามพ้ืนดิน ดังแสดงในรูป (a) ซึ่งจะสามารถไปได้ไกล ถงึ 1,000 กโิ ลเมตร ทช่ี ว่ งความถ่ตี า่ และได้ไกลนอ้ ยกวา่ นีท้ ีช่ ว่ งความถ่สี ูง วิทยุคล่ืน AM จะใช้คลื่นย่าน MF จึง สามารถรับฟังได้ง่ายแม้จะอยู่ภายในตัวอาคารก็ตาม ปัญหาสาหรับคล่ืนในย่านน้ีคือมีช่วงความกว้างของ สญั ญาณตา่ ทาใหส้ ่งข้อมูลคอมพวิ เตอร์ไดน้ ้อย คลน่ื ในยา่ น HF และ VHF มักจะถูกดดู ซึมลงสู่พืน้ แตเ่ มอ่ื ส่งขน้ึ ไปบนท้องฟาู คลื่นส่วนทีเ่ ดินทางไปถึง ช้ันบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ (สูงประมาณ 100 ถึง 500 กิโลเมตรจากพ้ืนผิวโลก) จะสามารถสะท้อนกลับลง มายังพ้ืน ดนิ ได้ ดังแสดงในรปู (b) แมใ้ นช้ันบรรยากาศปกติ คลนื่ ในย่านนกี้ ็อาจเกดิ การสะทอ้ นไดเ้ ช่นกัน 89
รปู ที่ 7.14 (a) คล่นื ในยา่ น VLF, LF และMFสามารถเดินทางไปตามพ้นื ผวิ โลกได้ รปู ที่ 7.15 (b) คลืน่ ในย่าน HF จะสะท้อนในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟยี ร์ 9.9 ส่ือสัญญาณไมโครเวฟ สัญญาณคล่ืนท่ีความถ่ีประมาณ 100 เมกะเฮิรตซ์จะเดินทางเป็นเส้นตรงจึงสามารถปรับทิศ ทางการสง่ ไดแ้ น่นนอน เมอื่ มีการบบี สัญญาณให้ส่งออกไปเป็นลาแคบๆ จะทาให้มีพลังงานสูง สัญญาณรบกวน ต่า และถ้าปรับจานรับและจานส่งสัญญาณให้ตรงกันพอดีแล้ว จะสามารถส่งสัญญาณหลายความถ่ีในทิศทาง เดียวกันไดโ้ ดยไมร่ บกวนกันเอง ด้วยคุณลักษณะท่ีดีเด่นนี้ การส่งสัญญาณด้วยไมโครเวฟจึงเป็นวิธีการหลักใน การสง่ ข้อมูลระยะทางไกลก่อนท่ีสายใยแก้วจะถูกนามาใช้งาน คลื่นไมโครเวฟไม่สามารถเดินทางผ่านวัตถุที่กีด ขวางได้ยิ่งกว่าน้ันแม้ว่าจะสามารถปรับทิศทางการส่งได้อย่างเที่ยงตรงที่จานส่งสัญญาณแล้วก็ตาม สัญญาณ ไมโครเวฟอาจเกิดการหักเหในระหว่างทางได้ สัญญาณบางส่วนสัญญาณบางส่วนท่ีเกิดการหักเหอาจเดินทาง 90
มาถึงจานรับสัญญาณช้ากว่าปกติและอาจเกิดการลบล้างกับสัญญาณปกติทาให้สัญญาณในช่วงนั้นสูญหายไป ลักษณะเช่นน้ีเรียกว่า “multipath fading” ซ่ึงมีสภาพภูมิอากาศและความถ่ีของสัญญาณเป็นองค์ประกอบ หลกั ความต้องการใช้งานคลื่นไมโครเวฟทาให้มีการพัฒนาคล่ืนความถี่ท่ีใช้ข้ึนไปจนถึงระดับ 10 กิกะ เฮริ ตซ์ อยา่ งไรก็ตามคลืน่ ความถต่ี ัง้ แต่ 8 กิกะเฮิรตซข์ ึน้ ไปจะถูกดูดซมึ โดยพ้ืนน้า คลื่นขนาดน้ีมีความยาวเพียง ไม่ก่ีเซนติเมตรจะถูกดูดกลืนไปทั้งหมดเม่ือผ่านพายุฝน แม้ว่าจะมีปัญหาอยู่บ้างก็ตาม ไมโครเวฟได้ถูกนามาใช้ งานอย่างมากมายในทางธรุ กิจ เช่น การให้ บรกิ ารโทรศพั ท์ทางไกล บรกิ ารโทรโทรศัพทม์ ือถือ และอ่ืนๆ การที่ สถานกี ลางในการรบั -ส่งสญั ญาณไมโครเวฟ (relay station) สามารถต้ังอยู่ห่างกันได้ถึง 50 กิโลเมตรทาให้การ วางเส้นทางเดินสัญญาณไมโครเวฟมีความอ่อนตัวสูงมาก สามารถหลีกเล่ียงอุปสรรคต่างๆ เช่น หลีกเหล่ียง พืน้ ทท่ี ่ีมรี าคาทดี่ นิ สงู มากได้ ดว้ ยคุณสมบัติข้อนี้ ระบบไมโครเวฟจึงมีราคาถูกกว่าระบบอื่นๆ รวมทั้งระบบสาย เคเบล้ิ ใยแก้วด้วย 7.10 คล่ืนอนิ ฟราเรดและคลื่นสน้ั คล่ืนฟราเรด (infrared) และคล่ืนส้ัน (millmeter wave) ถูกนาไปใช้อย่างกว้างขวางสาหรับการ ส่ือสารระยะใกล้ เชน่ รโี มทสาหรบั ควบคุมวิทยุ โทรทัศน์ วีดีโอ หรอื ใช้บังคบั เคร่ืองเล่นต่างๆล้วนใช้สัญญาณ คลื่นอินฟราเรดมาใช้ในห้องทางานที่อยู่ติดกันได้แม้ว่าอุปกรณ์ท้ังสองช้ินนั้นจะใช้คล่ืนอินฟราเรดที่ความถี่ เดียวกันย่ิงกว่าน้ันอุปกรณ์ที่ใช้คล่ืนอินฟราเรดยังปลอดภัยจากการถูกลักลอบดักสัญญาณด้วย การที่คลื่น อินฟราเรดไม่สามารถเดินทางผ่านสิ่งกีดขวางได้ทาให้เกิดผลดีคือสามารถนาอุปกรณ์ที่ใช้คล่ืนอินฟราเรดมาใช้ ในหอ้ งทางานท่ีอย่ตู ิดกันได้แม้วา่ อปุ กรณ์ทั้งสองชนิดนั้นใช้คลื่นอินฟราเรดที่ความถ่ีเดียวกันยิ่ง กว่าน้ันอุปกรณ์ ท่ีใชค้ ลืน่ อินฟราเรดยงั ปลอดภยั จากการถูกลักลอบดักสญั ญาณดว้ ย คุณสมบตั เิ หล่านท้ี าให้คลื่นอนิ ฟราเรดสามารถนามาใช้ในการส่ือสารในระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ ได้เป็นอย่างดี เช่นภายในห้องทางานขนาดใหญ่แห่งหนึ่งอาจมีอุปกรณ์ที่ใช้คล่ืนอินฟราเรดในการรับและส่ง สัญญาณแบบทิศทางติดตั้งอยู่ พนักงานที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบนาพาได้ (portable computer) ที่มี อุปกรณ์รับ-ส่งด้วยคลื่นอินฟราเรดสามารถติดต่อกับระบบเครือข่ายในสานักงานได้โดยไม่ต้องมีการ “เสียบ ปลก๊ั ” ใดๆ เลย หรอื ในระหว่างการประชุม ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนสามารถให้เครื่องคอมพิวเตอร์สื่อสารถึงกัน ได้ทั้งหมดผา่ นทางอุปกรณ์ส่อื สารคล่นื อินฟราเรดโดยไม่ต้องเตรยี มการวางสายสื่อสารให้วุ่นวาย 7.11 การสื่อสารผ่านคลื่นแสง การสื่อสารด้วยแสง (Light wave Transmission) ไดถ้ กู นามาใชน้ านหลายศตวรรษมาแล้ว เช่น การ ส่งสัญญาณระหว่างเรือเดินสมุทร แสงไฟประภาคาร และการส่งสัญญาณต่างๆ โดยใช้วัตถุสะท้อนแสงในยุค หน่ึง ได้มกี ารสง่ ขอ้ มูลระหวา่ งระบบเครือข่ายเฉพาะบรเิ วณสองแห่งที่อยู่ห่างจากกันโดยใช้สัญญาณแสงเลเซอร์ 91
(Laser beams) เนอื่ งจากเปน็ การสือ่ สารแบบทางเดียว ท้งั ผู้รับและผู้ส่งข้อมลู จาเปน็ จะตอ้ งมีอุปกรณ์ในการส่ง อุปกรณ์ในการรับขอ้ มลู ดว้ ยจึงจะเปน็ การส่อื สารแบบสองทาง นอกจากนั้น การส่งข้อมูลโดยใช้แสงเลเซอร์ยัง มีราคาถูกและมชี ว่ งความกวา้ งของชอ่ งสัญญาณสูงมากเม่ือเปรียบเทยี บกับการใช้สญั ญาณไมโครเวฟ เน่ืองจากลาแสงเลเซอร์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1 มิลลิเมตร อุปกรณ์รับสัญญาณก็มีขนาด โตกว่าน้ีเพียงเล็กน้อย การติดตั้งอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณเลเซอร์จึงต้องอาศัยผู้ท่ีมีความละเอียดพอสมควรอีก ประการ หน่ึงลาแสงเลเซอร์ไม่สามารถส่องผ่านสายฝน หรือหมอกหนาๆ ได้ คล่ืนความร้อนก็อาจสร้างปัญหา ได้ ตวั สญั ญาณจากหลังคาตึกดา้ นซ้ายมือไดต้ ิดต้งั เครอ่ื งสง่ ลาแสงเลเซอร์ไวเ้ รียบร้อย แต่เม่ือแสง อาทิตย์ทาให้ หลังคาตึกร้อนและเกิดคล่ืนความร้อนน้ีจะทาให้ลาแสงเลเซอร์เกิดการหักเหได้ดังนั้นผู้รับท่ีหลังคาตึกทางด้าน ขวาจึงไม่สามารถรับสัญญาณได้ ลักษณะเช่นนี้เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ทาให้แสงจากดวงดาวกระพริบได้ หรอื ทาใหเ้ กิดเงา (mirage) บนถนนที่ร้อนจดั ยามเท่ยี งวัน 92
บรรณานกุ รม กฤตศิลป์ บรุ ัมยากร. (2547). ระบบเครอื ข่าย LAN. กรุงเทพฯ : เพียร์สัน เอด็ ดูเคชน่ั อินโดไชนา่ จากดั จกั กรชิ พฤษการ, การสอื่ สารขอ้ มูลและเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์, กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพท์ ้อป. 2548, แปลจาก Forouzan Behrouz A., Data Communications and Networking. ฉตั รชัย สุมามาลย์. (2545). การส่ือสารข้อมูลคอมพวเิ ตอร์และระบบเครอื ข่าย. กรุงเทพ ฯ : ไทยเจริญการ พมิ พ.์ ชนวัฒน์ ศรีสอา้ น และสุทธิชัย มณีรัตนร่งุ โรจน.์ (2542). เอกสารประกอบการบรราย : การส่ือสารทางไกลและ เครือข่าย. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสรุ นารี. นครราชสีมา. พ้นื ฐานสายสง่ สญั ญาณสาหรับการสอื่ สาร. สืบค้นเม่ือวนั ที่ 10 มถิ นุ ายน 2557. จากเวบ็ ไซต์ : http://thaitelecomkm.org/TTE/topic/attach/Principle_of_Transmission_Lines_for_Co mmunications/TTE_36_5_b.png ระบบเครือขา่ ยไรส้ าย (Wireless LAN Technology). สบื ค้นเมอ่ื วนั ที่ 10 มิถนุ ายน 2557. จากเว็บไซต์ : http://www.dol.go.th/it/ สว่ นประกอบของคอมพิวเตอร์. สืบคน้ เม่อื วนั ท่ี 10 มิถุนายน 2557. จากเวบ็ ไซต์ : http://www.thaigoodview.com/library/ สลั ยทุ ธ์ สว่างวรรณ, การสื่อสารข้อมลู ระดบั พ้นื ฐาน. กรุงเทพฯ: ทอมสนั , 2544, เรยี บเรยี งจาก Gary B. Shelly, Thomas J. Cashman and Judy A. Serwatka, Business data communications. สลั ยทุ ธ์ สวา่ งวรรณ, เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร,์ กรุงเทพฯ: เพียรส์ ัน เอ็ดดูเคช่นั อนิ โดไชนา่ , 2542, แปลจาก Andrew S.Tanenbaum, Computer Network, Pentice-Hall, 1996. สลั ยุทธ์ สว่างวรรณ. การส่อื สารข้อมูลระดับพ้นื ฐาน Business Data Communications. กรงุ เทพฯ : UNIVERSAL GRAPHIC & TRADING L.P., 2544. สายใยแกว้ นาแสง. สืบค้นเม่ือวันที่ 10 มิถนุ ายน 2557. จากเวบ็ ไซต์ : http://www.atom.rmutphysics.com/ สรุ ศกั ดิ์ สงวนพงษ,์ สถาปัตยกรรมและโปรโตคอลทซี ีพี/ไอพ,ี พิมพค์ รงั้ ท่ี 2, กรุงเทพฯ : ซเี อด็ ยเู คช่นั , 2545. สุวัฒน์ ปณุ ณชัยยะ และคณะ, เปิดโลก TCP/IP และโปรโตคอลของอนิ เตอร์เน็ต, พิมพ์คร้ังที่ 2, กรงุ เทพฯ: โป รวิช่ัน, 2545. Wireless transmission. สืบค้นเมอื่ วนั ที่ 10 มถิ นุ ายน 2557. จากเวบ็ ไซต์ : http://ibillkishen.blogspot.com/2011/02/wired-and-wireless-transmission-media.html Behrouz A. Forouzan and Sophia Chung Fegan. (2007). Data Communications and Networking Fourth Edition. McGraw-Hill. David A. Stamper. (2000). Local Are Network 3rd edition. USA: Prentice Hall. William Stallings, Data & Computer Communications, 6th Edition, USA: Prentice Hall International, 2000. 93
บทที่ 8 อปุ กรณส์ าหรับระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ หวั ขอ้ บทเรยี น 8.3 อปุ กรณส์ าหรับเครอื ขา่ ย 8.4 ผบู้ ริหารระบบเครอื ข่าย วตั ถปุ ระสงค์ 9. เพือ่ ให้ผเู้ รยี นทราบถงึ ประเภทและลกั ษณะของอุปกรณ์สาหรบั เครือข่าย 10. เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นทราบถงึ บทบาทหน้าท่ีของบุคคลท่เี ก่ียวข้องกับการบรหิ ารระบบเครือข่าย 8.1 อุปกรณ์สาหรบั เครือขา่ ย ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีใช้กับองค์กรทั้งขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ต้องมีส่วนประกอบหรือ อปุ กรณ์สาหรบั การเชื่อมตอ่ ระบบเครอื ข่ายหลักๆ ดังน้ี 1) คอมพิวเตอรฮ์ ารด์ แวร์ คอมพวิ เตอรท์ ใ่ี ช้ในเครือข่ายมีคอมพิวเตอร์ที่ทาหน้าที่ 2 ประการคือทาหน้าท่ีเป็นลูกข่ายหรือสถานี งาน คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้จะใช้ทางานต่างๆ และแม่ข่ายคือคอมพิวเตอร์ท่ีทาหน้าท่ีให้บริการด้านต่างๆ ซง่ึ คอมพิวเตอรใ์ นปัจจบุ นั มคี วามสามารถท่ีจะทาหน้าท่ีท้ังสองอย่างได้ในเคร่ืองเดียวหากเป็นงานที่ไม่ใหญ่หรือ มภี าระสงู นกั แตห่ ากเปน็ ระบบงานทป่ี ริมาณการใหบ้ ริการสูงก็ควรจะแยกแมข่ ่ายใหบ้ ริการออกตา่ งหาก ระบบปฏบิ ตั ิการสาหรบั คอมพิวเตอร์ท่ีจะใช้กับเครือข่ายจะต้องเป็นระบบปฏิบัติการที่รองรับเครือข่าย ซึ่งจะมี ท้งั ระบบปฏิบัติการท่ที าหน้าท่ีลูกข่ายและแม่ขา่ ยซึง่ มหี น้าท่ีเหมอื นระบบปฏบิ ัตกิ ารทั่วไป แต่เพ่ิมความสามารถ ในการส่ือสารกับเครอื ข่ายและใชท้ รัพยากรรว่ มท้ังการให้บริการและการใช้บริการ การเช่ือมต่อกันในระบบเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยวงจร-อุปกรณ์ต่อเชื่อมเครือข่าย สื่อส่ง สัญญาณเช่น สายสัญญาณ และมีการกาหนดโพรโตคอลในระบบเครือข่ายนั้น คืออาศัยช่องทางการส่ือสาร ขอ้ มูลสาหรับสร้างช่องทางตดิ ต่อกันในระหว่างคอมพิวเตอร์ ซ่ึงโพรโตคอลของระบบเครือข่ายเป็นเช่นเดียวกัน กับระบบการสอ่ื สารขอ้ มลู โดยทวั่ ไป 2) เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ลูกข่ายหรอื สถานีงาน เคร่ืองคอมพิวเตอร์สถานีงานหรือลูกข่ายที่ผู้ใช้งานจะทางานต่างๆ มักจะเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เช่น พีซีหรือแมกอินทอชสาหรับงานท่ัวไป หรือใช้สถานีงานวิศวกรรมสาหรับงานด้านวิศวกรรม การออกแบบ งานกราฟฟิกที่มีความละเอียดสูง หรือสร้างภาพกราฟฟิกเคล่ือนไหว (แอนนิเมช่ัน) ลักษณะของลูกข่ายจะ ทางานตา่ งจากการเปน็ จอเทอรม์ ินอลของเมนเฟรม คอื การประมวลผล การทางานโดยส่วนใหญ่จะอยู่บนเคร่ือง 94
ลกู ขา่ ยทง้ั สิน้ เวน้ แต่งานบางอย่างทีต่ ้องใชท้ รพั ยากรกลาง เช่น การพิมพ์ออกเคร่ืองพิมพ์ที่อยู่ในเครือข่าย การ ใช้ฐานขอ้ มลู กลาง หรอื การค้นหาขอ้ มูลท่ีเก็บอยใู่ นเครือขา่ ย ดังนั้นประสิทธิภาพของการทางานท่ีได้รับจะขึ้นกับประสิทธิภาพของลูกข่ายแต่ละตัว ซ่ึงสามารถ จัดหามาให้เหมาะสมกับงานที่ทา เช่น หากเป็นลูกข่ายท่ีจะทางานสานักงานโดยทั่วไป อาจใช้เคร่ืองพีซีหรือ เครื่องแมกอินทอชในระดับความสามารถปานกลาง แต่หากเครื่องใดต้องการใช้งานระบบออกแบบกราฟฟิก หรือทางานด้านการสร้างข้อมูลมัลติมีเดียที่มีท้ังการตัดต่อวิดีโอ แก้ไขภาพ และสร้างเสียงประกอบ ก็ควรใช้ เคร่ืองที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น พีซีที่ใช้เพนเทียมทรีเป็นหน่วยประมวลผล หรือแมกอินทอชจี 3 หรือใช้สถานี งานวิศวกรรม โดยไม่จาเป็นต้องเป็นคอมพิวเตอร์ท่ีมีคุณสมบัติเดียวกันเหมือนกันทุกเคร่ืองภายในระบบ เครือข่าย คอมพิวเตอร์ท่ีทางานเป็นเครื่องลูกข่ายมีส่วนประกอบที่นอกเหนือจากการใช้งานเป็นคอมพิวเตอร์ ตามปกตแิ ล้วยงั ตอ้ งมีส่วนประกอบด้านฮารด์ แวรเ์ พิม่ เติมคือ แผงวงจรต่อเชื่อมเครือข่าย (Network Interface Card – NIC.) เพอื่ ใชต้ ิดต่อสื่อสารกับเครื่องอ่ืนๆ ในเครือข่ายด้วยโพรโตคอลท่ีมคี วามเร็วสูงโดยมีวิธีต่อเช่ือมกัน ท่เี รยี กวา่ โทโปโลยหี ลายแบบและมรี ะบบปฏบิ ัติการทีท่ างานกับระบบเครอื ข่ายได้ เครื่องลูกข่ายอาจเป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีมีดิสก์ติดตั้งระบบปฏิบัติการเครือข่ายและโปรแกรมใช้ งานและเก็บข้อมูลที่สมบูรณ์ทางานได้เช่นเดียวกับเคร่ืองที่ทางานเดี่ยว (standalone) หรือบางเคร่ืองอาจจะ เป็นระบบไร้ดิสก์ (diskless workstation) โดยจะใช้ดิสก์ท้ังเพ่ือการบูท การติดตั้งโปรแกรม และเก็บบันทึก ข้อมูล ร่วมกันบนเครื่องแม่ข่าย ลูกข่ายแบบไร้ดิสก์นิยมใช้ในช่วงท่ีฮาร์ดดิสก์ยังมีราคาแพง หากมีจานวนลูก ขา่ ยจานวนมากอาจไมค่ ุม้ คา่ ทจี่ ะติดตัง้ ฮาร์ดดิสก์ที่มคี วามจุสงู ราคาแพงในลูกขา่ ยทุกเคร่ือง เนื่องจากต้องลงทุน สูง และยังมีข้อดีคือสามารถควบคุมการติดต้ังโปรแกรมของเครื่องลูกข่ายได้ง่าย แต่ในปัจจุบันราคาของ ฮาร์ดดิสก์ที่ลดต่าลงและมีความจุท่ีสูงขึ้นทาให้คอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองมีฮาร์ดดิสก์ความจุสูงเป็นมาตรฐาน ประกอบกับระบบปฏบิ ตั กิ ารเครือขา่ ยที่ออกแบบมาให้คอมพิวเตอร์ทางานได้สมบูรณ์ในตัว ลูกข่ายแบบไร้ดิสก์ จึงไม่ไดร้ ับความนยิ มนักในปจั จบุ ัน 3) เครอ่ื งคอมพวิ เตอรแ์ ม่ข่าย (Server) คอมพวิ เตอรท์ ท่ี าหนา้ ท่ใี หบ้ ริการในดา้ นต่างๆ ได้แก่ บริการเก็บไฟล์ข้อมูลเรียกว่าแม่ข่ายแฟูมข้อมูล หรือไฟล์เซริ ฟ์ เวอร์ (file server) บริการฐานขอ้ มูลเรียกวา่ ดาตา้ เบสเซริ ์ฟเวอร์ (database server) บริการการ พิมพ์คือใช้เคร่ืองพิมพ์กลางร่วมกันเรียกว่าพรินต์เซิร์ฟเวอร์ (print server) บริการเวิลด์ไวด์เว็บเรียกว่าเว็บ เซิร์ฟเวอร์หรอื เอชทีทพี เี ซริ ์ฟเวอร์ ให้บริการอเี มล์เรียกว่าเมล์เซิรฟ์ เวอร์ (mail server) เปน็ ต้น คอมพิวเตอร์ ท่ีทาหน้าท่ีให้บริการเป็นแม่ข่ายมักจะเป็นคอมพิวเตอร์ท่ีทางานหนักกว่าคอมพิวเตอร์ลูกข่าย ในบริการบาง ประเภทเครอ่ื งแม่ขา่ ยจะถกู ตง้ั ท้งิ ไว้ใหท้ างานตลอดเวลาเพ่อื ให้ลูกขา่ ยท่ีขอใช้บริการใช้บริการได้โดยตลอด เช่น แมข่ ่ายบรกิ ารอเี มล์ที่ตอ้ งคอยรับสง่ อเี มล์โดยตลอด จึงต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพและความน่าเช่ือถือได้สูง และมีประสิทธิภาพสูงท้ังด้านซีพียู หน่วยความจา และหน่วยเก็บบันทึกที่มีความจุสูงและมีความเร็วในการ เขา้ ถงึ และถา่ ยทอดข้อมลู สูง คอมพวิ เตอรท์ ีถ่ กู ใช้เปน็ แมข่ า่ ยมีทัง้ ระดับพีซี (คือเคร่ืองที่ใช้หน่วยประมวลผลของ อินเทลตระกูลเพนเทียม) เช่น เน็ตฟนี ติ ี้ของไอบเี อ็ม และสถานีงานวิศวกรรม 95
คอมพิวเตอร์ที่ทาหน้าที่ในการให้บริการเป็นแม่ข่ายมีสองประเภทได้แก่ แม่ข่ายท่ีทาหน้าที่เป็นแม่ ข่ายโดยเฉพาะ (dedicated server) และแม่ข่ายท่ีใช้งานเป็นลูกข่ายได้พร้อมกัน (non-dedicated server) เช่นแม่ขา่ ยในระบบปฏบิ ตั กิ ารโนเวลเน็ตแวร์ เป็นแม่ข่ายที่ต้องอุทิศเคร่ืองทาหน้าท่ีเป็นแม่ข่ายโดยเฉพาะ ส่วน แม่ขา่ ยทใ่ี ช้ระบบปฏิบัตกิ ารวินโดว์เอ็นทสี ามารถทาตัวเปน็ เครื่องคอมพิวเตอรใ์ ชง้ านได้ดว้ ย 4) ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operation Systems) ระบบปฏิบัติการเครือข่ายเป็นส่วนประกอบที่ทาคัญท่ีทาให้คอมพิวเตอร์สามารถทางานร่วมกันใน ระบบเครือข่ายและทาหน้าท่ีให้บริการเป็นแม่ข่ายได้ โดยระบบปฏิบัติการเครือข่ายจะมีความสามารถพิเศษ นอกเหนือจากระบบปฏิบัติการปกติคือมีความสามารถในการสื่อสารด้วยโพรโตคอลต่างๆ ของระบบเครือข่าย มีส่วนขับอปุ กรณว์ งจรต่อเชื่อมเครอื ข่าย สามารถสร้างระบบไฟลเ์ ครือข่ายและใช้ทรัพยากรผ่านระบบเครือข่าย หรือให้บริการแก่ระบบเครือข่าย มีระบบสนับสนุนผู้ใช้หลายคน (multi-user) มักจะต้องทางานหลายงาน พร้อมกันได้ (multi-tasking) รวมไปถึงความสามารถในการทางานหลายโพรเซสเซอร์พร้อมกัน (multi- processor) ระบบปฏิบัติการเครือข่ายแยกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ ระบบปฏิบัติการเครือข่ายสาหรับ เคร่ืองลูกข่ายเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ท่ีผู้ใช้ใช้งาน และระบบปฏิบัติการเครือข่ายสาหรับแม่ข่าย เป็น ระบบปฏิบัติการทเี่ น้นการให้บริการเป็นแม่ข่ายโดยเฉพาะ ซึ่งส่ิงท่ีมีมากข้ึนกว่าระบบปฏิบัติการสาหรับลูกข่าย คือ ความสามารถในการรองรับผู้ใช้หลายคนเข้าใช้ทรัพยากรพร้อมกัน ความสามารถในการจัดการระบบ ฮาร์ดแวร์ที่มีคุณสมบัติหรือความจุสูง เช่น มีหน่วยความจาเสมือนท่ีมีความจุสูง ระบบไฟล์ที่มีขนาดใหญ่และ จดั การกับดิสก์ที่มีความจุสูงสุดได้ใหญ่มากกว่า รองรับการใช้ซีพียูหลายตัว (multi-processor) เป็นต้น ระบบ จดั การดา้ นสทิ ธิในการใชท้ รพั ยากรแบง่ ตามสทิ ธิของผู้ใช้แต่ละคนหรือกลุ่มของผู้ใช้ ระบบรักษาความปลอดภัย ของข้อมูล เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การเก็บประวัติการใช้บริการจากผู้ใช้ การสารองข้อมูล เป็นต้น ระบบการ กาหนดบัญชีสาหรับผู้ใช้ (User Account) เช่นกาหนดจานวนช่ัวโมง พื้นที่เก็บข้อมูลที่จะใช้ได้ วันที่ใช้แม่ข่าย ได้หรือไม่ได้ ฯลฯ เป็นตน้ 5) โปรแกรมระบบทที่ างานในเครอื ข่าย การทางานเป็นแม่ข่ายนั้นนอกจากจะมีโปรแกรมระบบปฏิบัติการแบบเครือข่ายแล้วยังอาจจะต้องมี โปรแกรมอื่นประกอบด้วย ซึ่งจะเป็นโปรแกรมระบบ (system software) ที่ทาให้แม่ข่ายนั้นเกิดบริการบาง ประเภทซ่งึ ไม่ไดถ้ ูกสนับสนุนจากระบบปฏิบัติการเครือข่ายโดยตรง หรืออาจมีประสิทธิภาพและความสามารถ ทต่ี ดิ มากบั ระบบปฏิบัตกิ ารเครอื ขา่ ยที่ไม่เพียงพอ ตัวอย่าง เช่น การให้บริการฐานข้อมูลแม่ข่ายท่ีทาหน้าที่เป็น แม่ข่ายฐานข้อมูลจะต้องติดต้ังซอฟต์แวร์บริหารฐานข้อมูล (database management system) ซ่ึง ระบบปฏิบัติการไม่มีหน้าท่ีในการเป็นระบบบริหารฐานข้อมูลรองรับ การทาหน้าท่ีเป็นแม่ข่ายสาหรับ อีเล็กทรอนิกส์เมล์หรือเมล์เซิร์ฟเวอร์ อาจใช้ซอฟต์แวร์แมสเซจเซิร์ฟเวอร์ (message server) เป็นต้น มี โปรแกรมระบบอีกหลายประเภททใ่ี ชก้ ับการทางานในเครือขา่ ย ตวั อย่างเช่น โปรแกรมตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบเครือข่าย (network performance monitoring software) ท่ใี ช้ตรวจสอบการใช้งานของระบบเครือขา่ ยและการเข้าใช้ระบบของผใู้ ช้ 96
โปรแกรมบริหารเครือข่าย (network management system) ใช้สาหรับการตรวจสอบ สถานะและตั้งค่าต่างๆ ของอุปกรณ์เครือข่าย ซ่ึงอาจรวมถึงการตรวจวัดการใช้งานและ ประสิทธภิ าพของเครอื ขา่ ยดว้ ย เครื่องมือสาหรับผู้บริหารเครือข่าย เช่น โปรแกรมสาหรับกาหนดข้อมูลและสิทธิของผู้ใช้ การ บริหารด้านฮาร์ดแวรเ์ ช่นการเพ่มิ ลดเปลยี่ นแปลงภาคขบั อุปกรณ์ (device driver) โปรแกรมช่วยด้านความปลอดภัย เช่นโปรแกรมช่วยสารองและนาคืนข้อมูล โปรแกรมสาหรับ บบี อดั และเข้ารหัสข้อมูล เป็นต้น โปรแกรมและคาสง่ั ตรวจสอบคอมพิวเตอร์และผู้ใช้ที่อย่ใู นเครือข่าย ฯลฯ เปน็ ตน้ 6) โปรแกรมประยกุ ต์ โปรแกรมประยุกต์บนคอมพิวเตอร์พีซีปัจจุบันโดยเฉพาะกับโปรแกรมท่ีอยู่ภายใต้ระบบปฏิบัติการ เครือข่าย เช่น ระบบปฏิบัติการวินโดว์ โดยส่วนใหญ่จะทางานร่วมกับเครือข่ายได้เป็นอย่างดีแล้วโดยอาศัย ความสามารถของระบบปฏิบัติการเครือข่ายช่วย แต่ก็มีโปรแกรมบางประเภทท่ีต้องสร้างข้ึนเฉพาะท่ีใช้ใช้กับ เครือข่ายได้ เช่นโปรแกรมประมวลผลที่ต้องใช้ฐานข้อมูลหากเป็นโปรแกรมท่ีรองรับระบบเครือข่าย เช่น เรียก ระบบข้อมูลผ่านโอดีบีซี (ODBC.) ก็จะทาให้โปรแกรมนั้นใช้กับฐานข้อมูลท่ีอยู่ในเครื่องเดียวกันหรือใช้ ฐานขอ้ มูลจากแมข่ า่ ยฐานขอ้ มลู ไดเ้ ชน่ กัน โปรแกรมประยุกต์บางชนิดจะต้องทางานร่วมกับเครือข่ายและแม่ ข่ายโดยตรง เชน่ โปรแกรมรับ-ส่งอิเล็กทรอนิกส์เมล์ (e-mail) จะตอ้ งกาหนดชื่อแมข่ า่ ยและหมายเลขเครือข่าย หรอื การตดิ ตอ่ กบั อนิ เตอรเ์ น็ตอาจตอ้ งระบบช่ือแม่ข่ายหรอื หมายเลขเครือข่าย 7) อปุ กรณ์และวงจรเชอื่ มตอ่ เครอื ขา่ ย อุปกรณ์ในการเช่ือมโยงกับเครือข่ายสาหรับเครือข่ายเฉพาะพ้ืนที่ คอมพิวเตอร์ที่จะเชื่อมต่อเข้ากับ ระบบเครือข่ายแลนด้วยความเร็วสูงจะต้องมีวงจรสาหรับการเช่ือมต่อเรียกว่า แผงวงจรต่อเช่ือมเครือข่าย (Network Interface Card – NIC.) และต่อเช่ือมกันด้วยสายสัญญาณเครือข่าย (network cable) ท่ีมีวิธีการ ต่อเชอื่ มหรอื โทโปโลยีแบบตา่ งๆ โทโปโลยที นี่ ิยมใชป้ ัจจุบันสาหรับเครือข่ายเฉพาะพื้นที่คือการต่อเช่ือแบบดาว ใช้สายสัญญาณชนิดยูทีพี (Unshielded Twisted Pair) มีลักษณะคล้ายสายโทรศัพท์พร้อมกับหัวต่อ สายสัญญาณแบบเดียวกับสายโทรศัพท์โดยมีอุปกรณ์ฮับ (Hub) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เป็นจุดกลางในการ กระจายสัญญาณ นอกจากการใช้สายสัญญาณยูทีพีต่อแบบดาวแล้วยังอาจใช้สายสัญญาณโคแอกเชียลที่เป็น สายกลมสีดาคล้ายสายอากาศโทรทัศน์ต่อแบบบัสเช่ือมโยงจากเคร่ืองหนึ่งไปยังอีกเครื่องหน่ึงโดยมีคอนเนกเต อร์รปู ตัวทีทตี่ ดิ อยู่กับวงจรต่อเชื่อมเครือข่ายทาหน้าที่เป็นขว้ั สัญญาณเชือ่ มระหวา่ งเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ ระยะทางของคอมพิวเตอร์ในระบบแลนไม่ว่าเป็นการเชื่อมต่อด้วยสายยูทีพีหรือโคแอกเชียลมักจะมี ระยะทางใกล้ๆ โดยมีความยาวของสายสัญญาณไม่เกิน 100 เมตร (จากจุดศูนย์กลางสาหรับแบบดาว หรือ ระยะทางต่อพ่วงรวมทุกเคร่ืองสาหรับแบบบัส) การเช่ือมต่อของระบบแลนหนึ่งๆ จึงมีระยะทางจากัดเหมาะที่ จะเช่ือมต่อเฉพาะภายในห้อง หรือภายในช้ันของอาคาร หากจะมีระยะทางมากกว่าน้ีจะต้องแบ่งเป็นเครือข่าย หลายเครือข่าย 97
หากเป็นเครือขา่ ยเฉพาะพื้นที่ทม่ี ีขนาดใหญ่ มกี ารแบง่ เครอื ขา่ ยเป็นเครือข่ายย่อยหลายระบบอาจจะ เช่ือมตอ่ ระหว่างระบบยอ่ ยต่างๆ โดยมีอุปกรณ์เครือข่ายอ่ืนๆ และชนิดของสายสัญญาณท่ีมีความเหมาะสมกับ การต่อเช่ือมในระยะไกลขึ้น เช่น สายโคแอกเชียลประเภทบรอดแบนด์ หรือใช้สายไฟเบอร์ออปติก เป็นต้น การเชื่อมระหว่างเครือข่ายจะจัดสร้างเป็นเครือข่ายกระดูกสันหลังหรือแบคโบน (backbone local networks) เพ่ือทาหน้าที่เชื่อมระหว่างเครือข่ายต่างๆ ด้วยความเร็วสูง ตัวอย่างเช่น ในมหาวิทยาลัยจะสร้าง เครือข่ายกระดกู สันหลงั ทาหนา้ ทีเ่ ช่อื มต่อคณะต่างๆ โดยภายในคณะแตล่ ะคณะจะสรา้ งเครือข่ายแลนของคณะ และเชื่อมเข้ากับเครือข่ายกระดูกสันหลังเพ่ือติดต่อกับเครือข่ายอ่ืนๆ เมื่อรวมกันท้ังมหาวิทยาลัยคือเครือข่าย แลนทกุ ๆ คณะและเครือข่ายกระดูกสันหลังจะถูกเรียกว่าเครือข่ายวิทยาเขต (campus network) หรือกิจการ บางแห่งท่มี พี ้นื ที่อาคารหลายช้นั กอ็ าจสรา้ งกระดูสันหลงั เป็นจดุ ตอ่ เครือข่ายสาหรับแต่ละช้ันแต่ละแผนก ซึ่งใน แผนกหรือในช้ันนั้นจะสร้างเครือข่ายย่อยภายใน การสร้างเครือข่ายกระดูกสันหลังนั้นผู้ดูแลระบบเครือข่าย กระดูกสันหลังสามารถควบคุมการเข้าใช้เครือข่ายของเครือข่ายย่อยต่างๆ ได้โดยใช้โปรแกรมบริหารระบบ เครอื ขา่ ย ส่วนอุปกรณ์เครือข่ายสาหรับเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่ข้ึนและต้องการประสิทธิภาพในการทางานท่ีดี ข้ึน มีอุปกรณ์ชนิดต่างทั้งเพื่อการเช่ือมต่อภายในเครือข่ายแลนและระหว่างเครือข่าย หรืออุปกรณ์ท่ีอยู่ใน เครือข่ายกระดูกสนั หลัง อปุ กรณเ์ หลา่ น้ันได้แก่ 7.1) ฮับ (Hub)/สวิทซ์ฮับ (Switching Hub) เป็นอุปกรณ์สาหรับกระจายสัญญาณภายในเครือข่าย แลนสาหรับโทโปโลยีแบบดาว อุปกรณ์ฮับเป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าท่ีรับสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ต้นทางและส่ง สัญญาณน้ันไปหาคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง แต่หากเป็นอุปกรณ์สวิทซ์ฮับจะรับสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ต้นทาง และจะเลือกส่งไปยังเครื่องปลายทางเท่านั้นซึ่งจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าฮับ ซึ่งฮับเป็นอุปกรณ์ท่ีรวมสัญญาณ ทีม่ าจากอุปกรณ์รบั สง่ หลายๆ สถานีเข้าด้วยกัน ฮับเปรียบเสมือนเป็นบัสที่รวมอยู่ท่ีจุดเดียวกัน ฮับที่ใช้งานอยู่ ภายใต้มาตรฐานการรับส่งแบบอีเทอร์เน็ต หรือ IEEE802.3 ข้อมูลที่รับส่งผ่านฮับจากเครื่องหนึ่งจะกระจายไป ยงั ทุกสถานที ี่ติดตอ่ ย่บู นฮับน้ัน ดังน้ันทุกสถานีจะรับสัญญาณข้อมูลท่ีกระจายมาได้ท้ังหมด แต่จะเลือกคัดลอก เฉพาะข้อมูลท่ีส่งมาถึงตนเท่าน้ัน การตรวจสอบข้อมูลจึงต้องดูที่แอดเดรส (address) ท่ีกากับมาในกลุ่มของ ขอ้ มลู หรอื แพ็กเกต็ รปที่ 8.1 ฮบั 98
7.2) สวิตช์ (Switch) เป็นอปุ กรณ์รวมสัญญาณทม่ี าจากอปุ กรณร์ ับสง่ หลายสถานีเช่นเดียวกับฮับ แต่ มขี ้อแตกตา่ งจากฮบั คอื การรับส่งข้อมูลจากสถานีหรืออุปกรณ์ตัวหน่ึง จะไม่กระจายไปยังทุกสถานีเหมือนฮับ ทั้งน้เี พราะสวติ ช์จะรับกลุ่มข้อมูลหรือแพ็กเก็ตมาตรวจสอบก่อน แล้วดูว่าแอดเดรสของสถานีหลายทางไปท่ีใด สวิตช์จะลดปัญหาการชนกนั ของขอ้ มลู เพราะไมต่ ้องกระจายข้อมลู ไปทุกสถานี และยังมีข้อดีในเร่ืองการปูองกัน การดกั จับขอ้ มลู ทีก่ ระจายไปในเครือข่าย รูปที่ 8.2 สวิตช์ 7.3) บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์เช่ือมระหว่างเครือข่ายย่อย เมื่อเครือข่ายย่อยใช้โพรโตคอลหรือ มาตรฐานเดียวกัน บริดจ์เป็นอุปกรณ์ท่ีเหมาะกับเครือข่ายหลายๆ กลุ่มท่ีเชื่อมต่อกัน เนื่องจากสามารถแบ่ง เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันหลายๆ เซกเมนต์แยกออกจากกันได้ ทาให้ข้อมูลในแต่ละเซกเมนต์ไม่ต้องว่ิงไปทั่วท้ัง เครือข่าย กล่าวคือบริดจ์สามารถอ่านเฟรมข้อมูลท่ีส่งมาได้ว่ามาจากเคร่ืองในเซกเมนต์ใดจากน้ันจะทาการส่ง ข้อมูลไปยังเคร่ืองซึ่งอาจอยู่ในเซกเมนต์เดียวกันหรือต่างเซกเมนต์ก็ได้ ซ่ึงความสามารถดังกล่าวทาให้ช่วยลด ปญั หาความคับค่ังของขอ้ มูลในระบบได้ รูปที่ 8.3 บริดจ์ ทม่ี า : http://www.buycoms.com/pic/ 99
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128