Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นายสรชัช อินทร์ประสิทธิ์

นายสรชัช อินทร์ประสิทธิ์

Published by Misuki chan, 2020-07-31 10:50:25

Description: นายสรชัช อินทร์ประสิทธิ์

Search

Read the Text Version

พระพทุ ธศาสนา

ประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประชาธิปไตยมาตงั้ แต่เริ่มแรกก่อนทพี่ ระพทุ ธเจ้าจะทรงมอบให้พร ะสงฆ์เป็นใหญ่ในกิจการทงั้ ปวงเสยี อีกลกั ษณะทเ่ี ป็นประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนามตี วั อย่า งดงั ต่อไปนี ้ 1.พระพทุ ธศาสนามีพระธรรมวนิ ยั เป็นธรรมนูญหรือกฎหมายสงู สดุ พระธรรม คือ คาสอนท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงแสดง พระวินยั คือ คาสง่ั อนั เป็นข้อปฏิบตั ทิ ีพ่ ระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญตั ิขึน้ เมอ่ื รวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวินยั ซงึ่ มีความสาคญั ขนาดทีพ่ ระพทุ ธเจ้าทรงมอบให้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์ก่อนทพ่ี ระองค์จะปรินพิ พาน 2.มีการกาหนดลกั ษณะของศาสนาไว้เรียบร้อยไมป่ ล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมลกั ษณะของพระพทุ ธศาส นาคือเป็นทางสายกลางท่ไี ม่หย่อนและไม่ตงึ มากจนเกินไป 3.พระพทุ ธศาสนามีความเสมอภาคภายใต้พระธรรมวินยั เมอ่ื มผี ้เู ข้ามารับการอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนา อย่างถกู ต้องมคี วามเท่าเทียมกนั ปฏบิ ตั ิตามสกิ ขาบทเท่ากนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ สคือผ้อู ปุ สมบทภายหลงั เคารพผ้อู ปุ สมบ ทกอ่ น 4.พระภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนามีสทิ ธิเสรีภาพภายใต้พระธรรมวนิ ยั เช่น มีเสรีภาพทจี่ ะเดินทางไปไหนมาไหนได้จะอย่จู าพรรษาวดั ใดก็ได้เลอื กปฏบิ ตั กิ รรมฐานข้อใดถือธุดงค์วตั รข้ อใดกไ็ ด้ทงั้ สนิ ้ 5.มกี ารแบ่งอานาจพระเถระผ้ใู หญ่ทาหน้าที่บริหารปกครองหมคู่ ณะ การบญั ญัตพิ ระวนิ ยั พระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญัตเิ องเชน่ มีภิกษุผ้ทู าผดิ มาสอบสวนแล้วจึงทรงบญั ญัตพิ ระวนิ ยั สว่ นการตดั สินคดตี ามพระวนิ ยั ทรงบญั ญัตแิ ล้วเป็นห น้าทีข่ องพระวนิ ยั ธรรมซงึ่ เทา่ กบั ศาล

6.พระพทุ ธศาสนามหี ลกั เสยี งข้างมาก คือ ใช้เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ตดั สนิ เรียกว่า วธิ ีเยภยุ ยสิกาการตดั สนิ โดยใช้เสยี งข้างมาก ฝ่ายใดได้รับเสียงข้างมากสนบั สนนุ ฝ่ายนัน้ เป็นฝ่ายชนะคดี ลกั ษณะอ่ืน ๆ ทแ่ี สดงถงึ ความเป็นประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา 1 พระพทุ ธเจ้าทรงอนญุ าตให้ภิกษุศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาด้วยภาษาใด ๆ ก็ได้ คือศกึ ษาด้วยภาษาท่ีตนเองรู้ดีทส่ี ดุ ไม่ให้ผกู ขาดศกึ ษาด้วยภาษาเดียว 2 พระพทุ ธเจ้าทรงอนญุ าตให้พระสงฆ์ปฏบิ ตั คิ ล้อยตามกฎหมายของประเทศท่ีตนอาศยั อยกู่ ารปฏิบตั ใิ ด ๆ ท่ไี มม่ หี ้ามไว้ในศลี ของภิกษุแต่ผิดกฎหมายของประเทศนนั้ ๆ ภิกษุกก็ ระทาไม่ได้

หลกั การพระพุทธศาสนากบั หลกั การวทิ ยาศาสตร์ หลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การของวทิ ยาศาสตร์มีท้งั ส่วนท่ีสอดคลอ้ งและส่วนที่แตก ต่างกนั ดงั ต่อไปน้ี 1. ในด้านความเช่อื (Confidence) หลกั การวิทยาศาสตร์ ถือหลกั ว่า จะเชือ่ อะไรนนั้ จะต้องมีการพสิ จู น์ให้เห็นจริงได้เสียก่อน วิทยาศาสตร์เชอื่ ในเหตผุ ล ไม่เช่อื อะไรลอย ๆ และต้องมีหลกั ฐานมายนื ยนั วทิ ยาศาสตร์ไมอ่ าศยั ศรัทธาแต่อาศยั เหตผุ ล เชื่อการทดลองว่าให้ความจริงแกเ่ ราได้ แต่ไม่เช่ือการดลบนั ดาลของสง่ิ ศกั ดส์ิ ิทธ์ิ เพราะทกุ อย่างดาเนนิ อย่างมกี ฎเกณฑ์ มเี หตผุ ล และ วทิ ยาศาสตร์อาศยั ปัญญาและเหตผุ ลเป็นตวั ตดั สนิ ความจริง หลกั การทางพระพทุ ธศาสนา มหี ลกั ความเช่ือเชน่ เดยี วกบั หลกั วทิ ยาศาสตร์ ไม่ได้สอนให้มนษุ ย์เช่ือและศรัทธาอย่างงมงายในอิทธิปาฏหิ าริย์ และอาเทศนาปาฏหิ าริย์ แต่สอนให้ศรัทธาในอนสุ าสนปี าฏิหาริย์ ท่จี ะก่อให้เกิดปัญญาในการแก้ทกุ ข์แก้ปัญหาชวี ิต ไมส่ อนให้เชอื่ ให้ศรัทธาในส่งิ ทอี่ ย่นู อกเหนือประสาทสมั ผสั เช่นเดียวกบั วทิ ยาศาสตร์ สอนให้มนษุ ย์นาเอาหลกั ศรัทธาโยงไปหาการพิสจู น์ด้วยประสบการณ์ ด้วยปัญญา และด้วยการปฏิบตั ิ ดงั หลกั ของความเชื่อใน “กาลามสตู ร” คอื อยา่ เชื่อ เพียงเพราะให้ฟังตามกนั มา อย่าเชอื่ เพียงเพราะได้เรียนตามกนั มา อยา่ เช่ือ เพยี งเพราะได้ถือปฏบิ ตั ิสืบตอ่ กนั มา อย่าเช่ือ เพียงเพราะเสยี งเลา่ ลอื อยา่ เช่ือ เพียงเพราะอ้างตารา อยา่ เช่ือ เพยี งเพราะตรรกะ หรือนึกคิดเอาเอง

อย่าเชื่อ เพยี งเพราะอนมุ านหรือคาดคะเนเอา อย่าเชื่อ เพยี งเพราะคิดตรองตามแนวเหตผุ ล อย่าเชื่อ เพยี งเพราะตรงกบั ทฤษฎขี องตนหรือความเห็นของตน อย่าเช่ือ เพียงเพราะรูปลกั ษณะน่าเช่ือ อยา่ เชื่อ เพยี งเพราะท่านเป็นสมณะหรือเป็นครูอาจารย์ของเรา 2. ในด้านความรู้ (Wisdom) ทงั้ หลกั การทางวิทยาศาสตร์และหลกั การของพระพทุ ธศาสนา ยอมรับความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ หมายถึง การที่ตา หู จมกู ลนิ ้ กาย ได้ประสบกบั ความรู้สกึ นึกคดิ เช่น รู้สกึ ดีใจ รู้สกึ อยากได้ เป็นต้น วิทยาศาสตร์เริ่มต้นจากประสบการณ์คอื จากการทไ่ี ด้พบเห็นส่ิงต่าง ๆ แล้วเกดิ ความอยากรู้อยากเหน็ กแ็ สวงหาคาอธิบาย วิทยาศาสตร์ไม่เช่ือหรือยดึ ถืออะไรลว่ งหน้าอย่างตายตวั แตจ่ ะอาศยั การทดสอบด้วยประสบการณ์สบื สาวไปเร่ือย ๆ จะไม่อ้างองิ ถงึ ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิใด ท่ีอยู่นอกเหนือประสบการณ์และการทดลอง วิทยาศาสตร์ แสวงหาความจริ งสากล ( Truth) ได้จากฐานทเ่ี ป็นความจริง พระพุทธเจ้าก็ทรงเร่ิมคิดจากประสบการณ์คือ ประสบการณ์ที่ได้เห็นความเจ็บ ความแก่ ความตาย และท่ีสาคญั ประสงค์ที่จะค้นหาสาเหตขุ องทกุ ข์ในการค้นหานี ้พระองค์มิได้เช่ืออะไรลว่ งหน้าอย่างตายตวั ไ ม่ ท ร ง เ ชื่ อ ว่ า มี พ ร ะ ผู้ เ ป็ น เ จ้ า ห รื อ สิ่ ง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ใ ด ๆ ที่จะให้คาตอบได้แต่ได้ทรงทดลองโดยอาศยั ประสบการณ์ของพระองค์เองดงั เป็นที่ทราบกนั ดีอยแู่ ล้ว ห ลัก ก า ร พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า แ ล ะ ห ลัก ก า ร ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ มี ส่ ว น ที่ ต่ า ง กั น ใ น เ ร่ื อ ง นี ้คื อ วิทยาศาสตร์เน้นความสนใจกบั ปัญหาท่ีเกิดขึน้ จากประสบการณ์ด้านประสาทสมั ผสั (ตา หู จมกู ลนิ ้ กาย) ส่ ว น พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า เ น้ น ค ว า ม ส น ใ จ กั บ ปั ญ ห า ท่ี เ กิ ด ท า ง จิ ต ใ จ หลกั การทางพระพทุ ธศาสนามีสว่ นคล้ายคลงึ กบั หลกั การทางวิทยาศาสตร์ในหลายประการ 3. ความแตกตา่ งของหลกั การพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ 3.1 ม่งุ เข้าใจปรากฎการณ์ทางธรรมชาติหลกั การทางวิทยาศาสตร์ม่งุ เข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึน้ ต้องการรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นผลท่ีตามมา เช่น เม่ือเกิดฟ้าผ่า ต้องรู้อะไรคือสาเหตุของฟ้าผ่า และผลที่ตามมาหลงั จากฟา้ ผ่าแล้วจะเป็นอย่างไร หลกั การพระพทุ ธศาสนาก็มุ่งเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ เ ช่ น เ ดี ย ว กั น แ ต่ ต่ า ง ต ร ง ที่

พระพุทธศาสนาเน้ นเป็ นพิเศษเก่ียวกับวิถีชีวิตของมนุษย์มากกว่ากฎเกี่ยวกับส่ิงท่ีไร้ ชีวิต จดุ หมายปลายทางของพระพทุ ธศาสนาคอื สอนให้คนเป็นคนดีขนึ ้ พฒั นาขนึ ้ สมบรู ณ์ขนึ ้ 3. 2 ต้ อ ง ก า ร เ รี ย น รู้ ก ฎ ธ ร ร ม ช า ติ หลกั การทางวิทยาศาสตร์ต้องการเรียนรู้กฎธรรมชาติและหาทางควบคมุ ธรรมชาติ หรือเอาชนะธรรมชาติ พดู อกี อย่างหน่งึ กค็ ือ วทิ ยาศาสตร์เน้นการควบคมุ ธรรมชาตภิ ายนอกมงุ่ แก้ปัญหาภายนอกวทิ ยาศาสตร์ถือ วา่ การพสิ จู น์ทดลองทางวทิ ยาศาสตร์เป็นส่ิงทีน่ ามาแสดงให้สาธารณชนประจกั ษ์ชดั เป็นหลกั ฐานยนื ยนั ใน ส่ิงทค่ี ้นพบนนั้ ได้ จึงจะเป็นการยอมรับในวงการวทิ ยาศาสตร์ 3.3 ยอมรับโลกแห่งสสาร (Matter) สสาร หมายถึง ธรรมชาติและสรรพสิ่งทัง้ หลายท่ีมีอยู่จริง รวมทงั้ ปรากฏการณ์และความเป็น จริงตามภาวะวิสยั (ObjectiveReality) ด้วย ซง่ึ สรรพส่งิ เหลา่ นมี ้ อี ยตู่ ่างหากจากตวั เรา เป็นอสิ ระจากตวั เรา และเป็นส่ิงท่ีสะท้อนขึน้ ในจิตสานึกของคนเราเมื่อได้สมั ผัสมัน อันทาให้ได้รับรู้ถึงความมีอยู่ของส่ิงนนั้ ๆ กลา่ วโดยทว่ั ไปแล้วสสารมีคณุ ลกั ษณะ 3 ประการคือ 1) เคล่อื นไหว (Moving) อย่เู สมอ 2) เปลีย่ นแปลง (Changing) อยเู่ สมอ 3) การเคลื่อนไหวและการเปล่ียนแปลง ดังกล่าวนัน้ มิใช่เป็นการเคลื่อนไหวเปล่ียนแปลงอย่างส่งเดช แตห่ ากเป็นการเคลื่อนไหวเปลย่ี นแปลงอย่างมกี ฎเกณฑ์ทีเ่ รียกกนั ว่า กฎแหง่ ธรรมชาติ (Laws of Natires) วิทยาศาสตร์ยอมรับโลกแห่งสสารซ่ึงเทียบได้กับ “รูปธรรม” ในความหมายของพระพุทธศาสนา อั น ห ม า ย ถึ ง ส่ิ ง ท่ี มี อ ยู่ จ ริ ง ท า ง ภ า ว วิ สั ย ที่ อ วั ย ว ะ สั ม ผั ส ข อ ง ม นุ ษ ย์ สั ม ผั ส ไ ด้ วิทยาศาสตร์ม่งุ ศกึ ษาด้านสสารและพลงั งาน ยอมรับโลกแหง่ สสาร ทรี่ ับรู้ด้วยประสาทสมั ผสั ทงั้ 5 วา่ มจี ริง โลกท่ีอยู่พ้นจากนัน้ วิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับ ส่วนแนวคิดทางพระพุทธศาสนานี ้ ชีว้ ่าสัจธรรมสูงสุด (นพิ พาน) ซงึ่ เป็นสภาวะท่ปี ระสาทสมั ผสั ของมนษุ ย์ปถุ ชุ นท่เี ตม็ ไปด้วยกิเลส ตัณหา ไม่สามารถรับรู้ได้ พระพุทธศาสนาแบ่งสิ่งที่มีอยู่จริงของสองพวกใหญ่ ๆ คือ “สงั ขตธรรม” (ส่ิงที่ปัจจัยปรุงแต่ง) ได้แก่ สสารและ “อสงั ขตธรรม” (ส่ิงท่ีปัจจยั มิได้ปรุงแต่ง) คือ นิพพาน วิทยาศาสตร์ยอมรับว่าสงั ขตธรรมมจี ริง แตอ่ ยเู่ หนอื การรับรู้ของวิทยาศาสตร์

การคดิ ตามนัยแห่งพระพทุ ธศาสนากบั การคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ ก า ร คิ ด ต า ม นั ย แ ห่ ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ก า ร คิ ด ต า ม นั ย แ ห่ ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า เ ป็ น ก า ร ศึ ก ษ า ถึ ง วิ ธี ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ต า ม แ น ว พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ท่ี เ รี ย ก ว่ า วิธีการแก้ปัญหาแบบอริยสจั มดี งั นคี ้ อื การคิดตามนยั แบบพระพทุ ธศาสนา 1. ขัน้ กาหนดรู้ทุกข์ การกาหนดรู้ทุกข์หรือการกาหนดปัญหาว่าคืออะไร มีขอบเขตของปัญหาแค่ไหน หน้าท่ีที่ควรทาในขนั้ แรกคือให้เผชิญหน้ากบั ปัญหา แล้วกาหนดรู้สภาพและขอบเขตของปัญหานนั้ ให้ได้ ข้ อ ส า คัญ คื อ อ ย่ า ห ล บ ปั ญ ห า ห รื อ คิ ด ว่ า ปั ญ ห า จ ะ ห ม ด ไ ป เ อ ง โ ด ย ท่ี เ ร า ไ ม่ ต้ อ ง ท า อ ะ ไ ร หน้าที่ในขนั้ นีเ้ หมือนกบั การท่ีหมอตรวจอาการของคนไข้เพ่ือให้รู้ว่าเป็นโรคอะไร ที่ส่วนไหนของร่างกาย ลุ ก ล า ม ไ ป ม า ก น้ อ ย เ พี ย ง ใ ด ใ น ธั ม ม จั ก กั ป ป วั ต ต น สู ต ร มีตวั อย่างการกาหนดรู้ทกุ ข์ตามแนวทางของพทุ ธพจน์ ท่วี ่า “เกิดเป็นทกุ ข์ แก่เป็นทกุ ข์ ตายเป็นทกุ ข์…ปรารถนาส่ิงใดไมไ่ ด้สง่ิ นนั้ เป็นทกุ ข์” 2. ขั้น สื บ ส า ว ส มุ ทั ย ไ ด้ แ ก่ เ ห ตุ ข อ ง ทุ ก ข์ ห รื อ ส า เ ห ตุ ข อ ง ปั ญ ห า แ ล้ ว ก า จั ด ใ ห้ ห ม ด ไ ป ขั้ น นี ้ เ ห มื อ น กั บ ห ม อ วิ นิ จ ฉั ย ส มุ ฏ ฐ า น ข อ ง โ ร ค ก่ อ น ล ง มื อ รั ก ษ า ตวั อยา่ งสาเหตขุ องปัญหาทพ่ี ระพทุ ธเจ้าแสดงไว้คือ ตณั หา ได้แก่ กามตณั หา ภวตณั หา และวิภวตณั หา 3. ขัน้ นิ โ ร ธ ไ ด้ แ ก่ ค ว า ม ดั บ ทุ ก ข์ ห รื อ ส ภ า พ ท่ี ไ ร้ ปั ญ ห า ซึ่ ง ท า ใ ห้ ส า เ ร็ จ เ ป็ น จ ริ ง ขึ ้น ม า ใ น ขั้น นี ้ต้ อ ง ตั้ง ส ม ม ติ ฐ า น ว่ า ส ภ า พ ไ ร้ ปั ญ ห า นั้น คื อ อ ะ ไ ร เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ ห รื อ ไ ม่ โ ด ย วิ ธี ใ ด

เหมือกับการที่หมอต้องคาดว่าโรคนีร้ ักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ใช้เวลารักษานานเท่าไร ตัวอย่างเช่น นิ พ พ า น คอื การดบั ทกุ ข์ทงั้ ปวงเป็นสง่ิ ทีเ่ ราสามารถบรรลุถึงได้ในชาตนิ ีด้ ้วยการเจริญสติพฒั นาปัญญาเพ่ือตดั อวิชช า และดบั ตณั หา 4. ขั้น เ จ ริ ญ ม ร ร ค ไ ด้ แ ก่ ท า ง ดั บ ทุ ก ข์ ห รื อ วิ ธี แ ก้ ปั ญ ห า ซึ่ ง เ ร า มี ห น้ า ที่ ล ง มื อ ท า เหมอื นกบั ท่หี มอลงมือรักษาคนไข้ด้วยวิธีการและ ขนั้ ตอนท่เี หมาะควรแกก่ ารรักษาโรคนนั้ การคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ 1. การกาหนดปัญหาให้ ถูกต้อง ในขัน้ นีน้ ักวิทยาศาสตร์กาหนดขอบเขตของปัญหาให้ ชัดเจนว่า ปัญหาอย่ตู รงไหน ปัญหานนั้ น่าจะมีสาเหตมุ าจากอะไร 2. ก า ร ตั้ ง ส ม ม ติ ฐ า น นกั วิทยาศาสตร์ใช้ข้อมลู เท่าที่มีอย่ใู นขณะนนั้ เป็นฐานในการตงั้ สมมติฐานเพอ่ื ใช้อธิบายถึงสาเหตขุ องปัญ หาและเสนอคาตอบหรือทางออกสาหรับปัญหานัน้ ตัวอย่างเช่น ในเรื่องการคันพบดาวเนปจูนนัน้ นกั ดาราศาสตร์ 3. การสังเกตและการทดลอง เป็นขัน้ ตอนสาคัญที่สุดของการศึกษาหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ การสงั เกตเป็นการรวบรวมข้อมลู มาเป็นเคร่ืองมอื สนบั สนนุ ทฤษฎีที่อธิบาย 4. ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล ข้ อ มู ล ท่ี ไ ด้ จ า ก ก า ร สั ง เ ก ต แ ล ะ ท ด ล อ ง มี จ า น ว น ม า ก นกั วทิ ยาศาสตร์ต้องพิจารณาแยกแยะข้อมลู เหลา่ นนั้ พร้อมจดั ระเบียบข้อมลู เข้าเป็นหมวดหม่แู ละหาความ สมั พนั ธ์ระหว่างข้อมลู ต่าง ๆ

5. ก า ร ส รุ ป ผ ล ในการสรุปผลของการศกึ ษาค้นคว้านกั วิทยาศาสตร์อาจใช้ภาษาธรรมดาเขียนกฎหรือหลักการทางวิทยาศ าสตร์ออกมา บางครัง้ นกั วิทยาศาสตร์จาเป็นต้องสรุปผลด้วยคณิตศาสตร์ พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ความหมายของคาวา่ การศกึ ษา คาว่า “การศึกษา” มาจากคาว่า “สิกขา” โดยท่ัวไปหมายถึง “กระบวนการเรียน “ “การฝึกอบรม” “การค้นคว้า” “การพัฒนาการ” และ “การรู้แจ้งเห็นจริงในส่ิงทัง้ ปวง” จะเห็นได้ว่า การศึกษาในพระพุทธศาสนามีหลายระดับ ตัง้ แต่ระดับต่าสุดถึงระดับสูงสุด เมอ่ื แบง่ ระดบั อย่างกว้าง ๆ มี 2 ประการคือ 1. การศกึ ษาระดบั โลกิยะ มีความม่งุ หมายเพ่อื ดารงชีวิตในทางโลก 2. การศกึ ษาระดบั โลกตุ ระ มีความมงุ่ หมายเพ่อื ดารงชีวิตเหนือกระแสโลก

ในการศกึ ษาหรือการพฒั นาตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นนั้ พระพทุ ธเจ้าสอนให้คนได้พฒั นาอยู่ 4 ด้าน คอื ด้านร่างกาย ด้านศลี ด้านจิตใจ และด้านสติปัญญา โดยมีจุดม่งุ หมายให้มนษุ ย์เป็นทงั้ คนดีและคนเก่ง มใิ ชเ่ ป็นคนดแี ต่โง่ หรือเป็นคนเกง่ แตโ่ กง การจะสอนให้มนษุ ย์เป็นคนดีและคนเก่งนนั้ จะต้องมีหลกั ในการศกึ ษาท่ีถกู ต้องเหมาะสม ซง่ึ ในการพฒั นามนษุ ย์นนั้ พระพทุ ธศาสนาม่งุ สร้างมนษุ ย์ให้เป็นคนดีกอ่ น แล้วจึงค่อยสร้างความเกง่ ทีหลงั นน่ั คือสอนให้คนเรามคี ณุ ธรรม ความดีงามก่อนแล้วจึงให้มีความรู้ความเข้าใจหรือสติปัญญาภายหลงั ดงั นนั้ หลกั ในการศกึ ษาของพระพทุ ธศาสนา นนั้ จะมี ลาดบั ขนั้ ตอนการศกึ ษา โดยเริ่มจาก สลี สิกขา ต่อด้วยจิตตสกิ ขาและขนั้ ตอนสดุ ท้ายคอื ปัญญาสิกขา ซงึ่ ขนั้ ตอนการศกึ ษาทงั้ 3 นี ้รวมเรียกว่า \"ไตรสิกขา\" ซงึ่ มคี วามหมายดงั นี ้ 1. สลี สิกขา การฝึกศกึ ษาในด้านความประพฤติทางกาย วาจา และอาชีพ ให้มีชีวิตสจุ ริตและเกือ้ กลู (Training in Higher Morality) 2. จติ ตสิกขา การฝึกศกึ ษาด้านสมาธิ หรือพฒั นาจิตใจให้เจริญได้ท่ี (Training in Higher Mentality หรือ Concentration) 3. ปัญญาสกิ ขา การฝึกศกึ ษาในปัญญาสงู ขึน้ ไป ให้รู้คิดเข้าใจมองเหน็ ตามเป็นจริง (Training in Higher Wisdom) ความสมั พนั ธ์ของไตรสกิ ขา ความสมั พนั ธ์แบบต่อเนื่องของไตรสกิ ขานี ้มองเหน็ ได้งา่ ยแม้ในชีวิตประจาวนั กลา่ วคอื (ศีล -> สมาธิ) เมื่อประพฤติดี มคี วามสมั พนั ธ์งดงาม ได้ทาประโยชน์อยา่ งน้อยดาเนนิ ชีวติ โดยสจุ ริต มน่ั ใจในความบริสทุ ธิ์ของ ตน ไม่ต้องกลวั ต่อการลงโทษ ไมส่ ะด้งุ ระแวงต่อการประทษุ ร้ายของค่เู วร ไม่หวาดหวน่ั เสยี วใจต่อเสยี งตาหนหิ รือความรู้สกึ ไมย่ อมรับของสงั คม และไมม่ ีความฟ้งุ ซา่ นวนุ่ วายใจ เพราะความรู้สกึ เดอื ดร้อนรังเกียจในความผดิ ของตนเอง จติ ใจกเ็ อิบอมิ่ ชืน่ บานเป็นสขุ ปลอดโปร่ง สงบ และแนว่ แน่ ม่งุ ไปกบั สง่ิ ทค่ี ิด คาท่ีพดู และการท่ีทา (สมาธิ -> ปัญญา) ยง่ิ จิตไมฟ่ งุ้ ซา่ น สงบ อยกู่ บั ตวั ไร้สงิ่ ขนุ่ มวั สดใส มงุ่ ไปอย่างแน่วแน่เท่าใด การรับรู้ การคิดพินิจพิจารณามอง เหน็ และเข้าใจสง่ิ ต่าง ๆ กย็ ่งิ ชดั เจน ตรงตามจริง แลน่ คลอ่ ง เป็นผลดใี นทางปัญญามากขึน้ เท่านนั้

อปุ มาในเร่ืองนี ้เหมือนว่าตงั้ ภาชนะนา้ ไว้ด้วยดีเรียบร้อย ไมไ่ ปแกล้งสน่ั หรือเขย่ามนั ( ศลี ) เมอ่ื นา้ ไม่ถกู กวน คน พดั หรือ เขยา่ สงบนง่ิ ผงฝ่นุ ต่าง ๆ ก็นอนก้น หายขนุ่ นา้ ก็ใส (สมาธิ) เม่อื นา้ ใส กม็ องเหน็ สง่ิ ต่าง ๆ ได้ชดั เจน ( ปัญญา ) ในการปฏิบตั ธิ รรมสงู ขึน้ ไป ทีถ่ ึงขนั้ จะให้เกิดญาณ อนั รู้แจ้งเหน็ จริงจนกาจดั อาสวกิเลสได้ กย็ ิง่ ต้องการจิตท่ีสงบนง่ิ มสี มาธิแนว่ แนย่ งิ่ ขึน้ ไปอกี ถึงขนาดระงบั การรับรู้ทางอายตนะต่าง ๆ ได้หมด เหลืออารมณ์หรือส่งิ ท่ีกาหนดไว้ใช้งาน แตเ่ พียงอย่างเดยี ว เพอ่ื ทาการอย่างได้ผล จนสามารถกาจดั กวาดล้างตะกอนท่ีนอนก้นได้หมดสิน้ ไม่ให้มีโอกาสข่นุ อีกต่อไป ไตรสกิ ขานี ้เมอ่ื นามาแสดงเป็นคาสอนในภาคปฏบิ ตั ิทวั่ ไป ได้ปรากฏในหลกั ทเ่ี รียกว่า โอวาทปาฏโิ มกข์ (พทุ ธโอวาทท่เี ป็นหลกั ใหญ่ อย่าง) คอื สพพปาปสส อกรณ การไมท่ าความชวั่ ทงั้ ปวง(ศลี ) กสุ ลสสปู สมปทา การบาเพ็ญความดีให้เพียบพร้อม (สมาธิ สจติ ตปริโยทปน การทาจิตของตนให้ผ่องใส ( ปัญญา ) นอกจากนยี ้ งั มีวธิ ีการเรียนรู้ตามหลกั โดยทว่ั ไป ซง่ึ พระพทุ ธเจ้าพระพทุ ธเจ้าตรัสไว้ 5 ประการ คือ 1. การฟัง หมายถึงการตงั้ ใจศกึ ษาเล่าเรียนในห้องเรียน

2. การจาได้ หมายถึงการใช้วธิ ีการต่าง ๆ เพือ่ ให้จาได้ 3. การสาธยาย หมายถึงการท่อง การทบทวนความจาบ่อย ๆ 4. การเพง่ พินิจด้วยใจ หมายถงึ การตงั้ ใจจนิ ตนาการถึงความรู้นนั้ ไว้เสมอ 5. การแทงทะลดุ ้วยความเห็น หมายถงึ การเข้าถึงความรู้อยา่ งถกู ต้อง เป็นความรู้อย่างแท้จริงไมใ่ ช่ติดอยแู่ ตเ่ พียงความจาเทา่ นนั้ แตเ่ ป็นความรู้ความจาที่สามารถนามาประพฤติปฏบิ ตั ไิ ด้ พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจัยและวธิ ีการแก้ปั ญหา พระพุทธศาสนาเนน้ ความสัมพนั ธข์ องเหตปุ ัจจยั ห ลั ก ข อ ง เ ห ตุ ปั จ จั ย ห รื อ ห ลั ก ค ว า ม เ ป็ น เ ห ตุ เ ป็ น ผ ล ซง่ึ เป็นหลกั ของเหตปุ ัจจยั ทีอ่ งิ อาศยั ซงึ่ กนั และกนั ทเ่ี รียกว่า \"กฎปฏจิ จสมปุ บาท\" ซง่ึ มีสาระโดยย่อดงั นี ้ \"เม่ืออันนีม้ ี อันนีจ้ ึงมี เม่ืออันนีไ้ ม่มี อันนีก้ ็ไม่มี เพราะอันนีเ้ กิด อันนีจ้ ึงเกิด เพราะอันนีด้ ับ อันนีจ้ ึงดับ\" นี่เป็นหลักความจริงพืน้ ฐาน ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึน้ มาลอย ๆ ไม่ได้ หรือในชีวิตประจาวันของเรา

\"ปัญหา\"ท่เี กิดขนึ ้ กบั ตวั เราจะเป็นปัญหาลอย ๆ ไม่ได้ จะต้องมีเหตปุ ัจจยั หลายเหตทุ ่ีก่อให้เกิดปัญหาขึน้ มา ห า ก เ ร า ต้ อ ง ก า ร แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า ก็ ต้ อ ง อ า ศั ย เ ห ตุ ปั จ จั ย ใ น ก า ร แ ก้ ไ ข ห ล า ย เ ห ตุ ปั จ จั ย ไม่ใช่มเี พียงปัจจยั เดยี วหรือมเี พยี งหนทางเดยี วในการแก้ไขปัญหา เป็นต้น คาว่า \"เหตปุ ัจจยั พุทธศาสนาถือว่า สิ่งที่ทาให้ผลเกิดขึน้ ไม่ใช่เหตุอย่างเดียว ต้องมีปัจจัยต่าง ๆ ด้ ว ย เ มื่ อ มี ปั จ จั ย ห ล า ย ปั จ จั ย ผ ล ก็ เ กิ ด ขึ ้น ตั ว อ ย่ า ง เ ช่ น เ ร า ป ลู ก ม ะ ม่ ว ง ต้ น ม ะ ม่ ว ง ง อ ก ง า ม ขึ ้ น ม า ต้ น ม ะ ม่ ว ง ถื อ ว่ า เ ป็ น ผ ล ที่ เ กิ ด ขึ ้ น ดงั นนั้ ต้นมะม่วงจะเกิดขนึ ้ เป็นต้นท่ีสมบรู ณ์ได้ต้องอาศยั เหตปุ ัจจยั หลายปัจจยั ที่กอ่ ให้เกิดเป็นต้นมะม่วงได้ เหตุปัจจัยเหล่านัน้ ได้แก่ เมล็ดมะม่วง ดิน นา้ ออกซิเจน แสงแดด อุณหภูมิท่ีพอเหมาะ ป๋ ุย เป็นต้น ปั จจัยเหล่านีพ้ รั่งพร้ อมจึงก่อให้ เกิดต้ นมะม่วง ตัวอย่างความสัมพันธ์ ของเหตุปั จจัย เช่น ปั ญ ห า ก า ร มี ผ ล สัม ฤ ท ธ์ิ ท า ง ก า ร เ รี ย น ต่ า ซึ่ ง เ ป็ น ผ ล ที่ เ กิ ด จ า ก ก า ร เ รี ย น ข อ ง นั ก เ รี ย น มี เ ห ตุ ปั จ จั ย ห ล า ย เ ห ตุ ปั จ จั ย ที่ ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ก า ร เ รี ย น อ่ อ น เ ช่ น ปั จ จั ย จ า ก ค รู ผู้ ส อ น ปั จจัยจากหลักสูตรปั จจัยจากกระบวนการเรี ยนกา รสอนปั จจัยจากการวัดผลประเมินผล ปัจจยั จากตวั ของนกั เรียนเอง เป็นต้น ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ข อ ง เ ห ตุ ปั จ จั ย ห รื อ ห ลั ก ป ฏิ จ จ ส มุ ป บ า ท แสดงให้เหน็ อาการของสงิ่ ทงั้ หลายสมั พนั ธ์เนื่องอาศยั เป็นเหตปุ ัจจยั ต่อ กนั อยา่ งเป็นกระแส ในภาวะที่เป็นกระแสนขี ้ ยายความหมายออกไปให้เหน็ แง่ตา่ ง ๆ ได้คือ - สงิ่ ทงั้ หลายมีความสมั พนั ธ์ต่อเนื่องอาศยั เป็นปัจจยั แก่กนั - ส่งิ ทงั้ หลายมีอยโู่ ดยความสมั พนั ธ์กนั - สิ่งทงั้ หลายมีอยดู่ ้วยอาศยั ปัจจยั - ส่ิงทงั้ หลายไม่มีความคงท่อี ยอู่ ยา่ งเดมิ แม้แต่ขณะเดยี ว (มีการเปลีย่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไม่อยนู่ ิ่ง) - สิ่งทงั้ หลายไมม่ ีอยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คอื ไมม่ ีตวั ตนทีแ่ ท้จริงของมนั - สิ่งทัง้ หลายไม่มีมูลการณ์ หรื อต้ นกาเนิดเดิมสุด แต่มีความสัมพันธ์ แบบวัฏจักร หมนุ วนจนไมท่ ราบว่าอะไรเป็นต้นกาเนิดท่แี ท้จริง

หลักคาสอนของพระพุทธศ าสนาของพระพุทธศาสนาที่เน้ นความสัมพันธ์ ของเหตุปั จจัยมีมากมาย ในที่นจี ้ ะกลา่ วถงึ หลกั คาสอน 2 เร่ือง คือ ปฏจิ จสมปุ บาท และอริยสจั 4 ปฏิจจสมปุ บาท คือ การท่ีสิ่งทงั้ หลายอาศยั ซึ่งกนั และกนั เกิดขึน้ เป็นกฎธรรมชาติที่พระพทุ ธเจ้าทรงค้นพบ การท่ีพระพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎนีน้ ี่เอง พระองค์จึงได้ชื่อว่า พระสมั มาสัมพุทธเจ้า กฏปฏิจจสมุปบาท เรียกอีกอย่างหนึ่งวา่ กฏอทิ ปั ปัจจยตา ซงึ่ กค็ ือ กฏแห่งความเป็นเหตเุ ป็นผลของกนั และกนั นน่ั เอง ก ฏ ป ฏิ จ จ ส มุป บ า ท คื อ ก ฏ แ ห่ ง เ ห ตุผ ล ท่ี ว่ า ถ้ า สิ่ ง นี ม้ ี ส่ิ ง นัน้ ก็ มี ถ้ า ส่ิ ง นี ด้ ับ สิ่ ง นัน้ ก้ ดับ ปฏจิ จสมปุ บาทมอี งค์ประกอบ 12 ประการ คือ 1) อวชิ ชา คือ ความไม่รู้จริงของชวี ติ ไม่รู้แจ้งในอริยสจั 4 ไมร่ ู้เทา่ ทนั ตามสภาพท่เี ป็นจริง

2) สงั ขาร คือ ความคดิ ปรุงแตง่ หรือเจตนาทงั้ ทเี่ ป็นกศุ ลและอกศุ ล 3) วญิ ญาณ คอื ความรับรู้ตอ่ อารมณ์ตา่ ง ๆ เช่น เหน็ ได้ยนิ ได้กล่นิ รู้รส รู้สมั ผสั 4) นามรูป คือ ความมีอย่ใู นรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ กายกบั จิต 5) สฬายตนะ คือ ตา หู จมกู ลิน้ กาย และใจ 6) ผสั สะ คอื การถกู ต้องสมั ผสั หรือการกระทบ 7) เวทนา คือ ความรู้สกึ วา่ เป็นสขุ ทกุ ข์ หรืออเุ บกขา 8) ตัณหา คือ ความทะเยอทะยานอยากหรื อความต้ องการในสิ่งที่อานวยความสุขเวทนา และความดนิ ้ รนหลกี หนีในสง่ิ ที่ก่อทกุ ขเวทนา 9) อปุ าทาน คือ ความยดึ มนั่ ถือมนั่ ในตวั ตน 10) ภ พ คื อ พ ฤ ติ ก ร ร ม ท่ี แ ส ด ง อ อ ก เ พื่ อ ส น อ ง อุ ป า ท า น นั้ น ๆ เพื่อให้ได้มาและให้เปน้ ไปตามความยดึ มน่ั ถือมนั่ 11) ชาติ คอื ความเกิด ความตระหนกั ในตวั ตน ตระหนกั ในพฤติกรรมของตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ายาสะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า ความคร่าครวญ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ และความคบั แค้นใจหรือความกลดั กลมุ่ ใจ องค์ประกอบทัง้ 12 ประเภทนี ้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า องค์ประกอบแห่งชีวิต หรือกระบวนการของชีวิต ซ่ึ ง มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ เ กี่ ย ว เ น่ื อ ง กั น ท า น อ ง ป ฏิ กิ ริ ย า ลู ก โ ซ่ เ ป็ น เ ห ตุ ปั จ จั ย ต่ อ กั น โ ย ง ใ ย เ ป็ น ว ง เ วี ย น ไ ม่ มี ต้ น ไ ม่ มี ป ล า ย ไ ม่ มี ท่ี สิ ้ น สุ ด กลา่ วคือองค์ประกอบของชีวิตตามกฏปฏจิ จสมปุ บาทดงั กลา่ วนเี ้ป็นสายเกดิ เรียกว่า สมทุ ยั วาร เพราะมีอวิชชา จงึ มี สงั ขาร เพราะมสี งั ขาร จงึ มี วญิ ญาณ เพราะมวี ญิ ญาณ จงึ มี นามรูป

เพราะมนี ามรูป จงึ มี สฬายตนะ เพราะมสี ฬายตนะ จงึ มี ผสั สะ เพราะมีผสั สะ จงึ มี เวทนา เพราะมเี วทนา จงึ มี ตณั หา เพราะมีตณั หา จงึ มี อปุ าทาน เพราะมีอปุ าทาน จงึ มี ภพ เพราะมีภพ จงึ มี ชาติ เพราะมีชาติ จึงมี ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาสะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook