Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore EB_สวดมนต์และสมาธิบำบัดเพื่อการรักษาโรค

EB_สวดมนต์และสมาธิบำบัดเพื่อการรักษาโรค

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-08-01 05:19:29

Description: EB_สวดมนต์และสมาธิบำบัดเพื่อการรักษาโรค

Search

Read the Text Version

กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยท างเลอื ก / กองทนุ ภมู ปิ ัญญาการแพทยแผนไทย สวดมนตและสมาธิบำบัดเพื่อการรักษาโรค ISBN 978-616-11-2567-7 ที่ปรึกษา ผศ.(พเิ ศษ) ดร.นพ.ธวชั ชยั กมลธรรม นพ.ปภสั สร เจียมบุญศรี นายประสาท ตราดธารทิพย คณะบรรณาธกิ าร นพ.เทวญั ธานรี ัตน ทพ.วิกติ ประกายหาญ นางสไี พร พลอยทรัพย นพ.องอาจ ศิรกิ พุ ิสทุ ธิ นายยิ่งศักดิ์ จิตตะโคตร นางสาวทัศนีเวศ ยะโส นางสาวฐติ นิ ันท อินทอง คณะผูนพิ นธ ดร.นพ.มโน เมตตานันโท เลาหวณชิ นพ.แพทยพงษ วรพงศพเิ ชษฐ รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรยี มชยั ศรี จดั พมิ พโดย สำนักการแพทยทางเลือก กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก โดยไดรบั งบประมาณสนับสนนุ จากกองทุนภูมปิ ัญญาการแพทยแผนไทย พิมพครั้งที่ ๑ พิมพที่ : โรงพิมพสำนักงานพระพทุ ธศาสนาแหงชาติ ออกแบบที่ : บริษัท วี อินดี้ ดีไซน จำกัด โทรศัพท : ๐๘๓ ๙๐๒ ๔๒๔๐, ๐๙๗ ๐๙๔ ๗๗๙๘, ๐๘๑ ๙๓๑ ๗๙๑๖ 1

สวดมนตแ์ ละสมาธบิ ำ� บดั เพื่อการรกั ษาโรค 2

กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก / กองทุนภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย ค�ำน�ำ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก โดยสำ� นกั การแพทย์ ทางเลอื ก ได้จดั ท�ำหนงั สอื “สวดมนต์และสมาธบิ �ำบดั เพอื่ การรกั ษาโรค” ตามโครงการ “ส่งเสริมการน�ำสวดมนต์บ�ำบัด ไปใช้ดูแลสุขภาพประชาชนในสถานบริการสุขภาพ” โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ใชเ้ ปน็ คมู่ อื ส�ำหรบั บคุ ลากรดา้ นสขุ ภาพในการน�ำไปสง่ เสรมิ และ ให้บรกิ ารด้านสุขภาพแก่ผู้สงู อายุ และประชาชนท่วั ไปท่สี นใจ หนงั สอื เลม่ นไี้ ดจ้ ดั ทำ� ขนึ้ รว่ มกบั ผทู้ ม่ี คี วามรแู้ ละเชยี่ วชาญดา้ นการสวดมนต์ และสมาธิบ�ำบัด โดยเฉพาะ ดร.นพ.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พเิ ชษฐ และ รศ.ดร.สมพร กนั ทรดุษฎี เตรียมชยั ศรี ท่ไี ด้เสียสละเวลาอนั มคี ่า ทมุ่ เทในการทำ� หนงั สอื ฉบบั นี้ ซง่ึ มขี อบเขตเนอ้ื หาทนี่ า่ สนใจและเปน็ ประโยชน์ อาทเิ ชน่ ความเปน็ มาและความสำ� คญั ของการสวดมนตแ์ ละการท�ำสมาธิ ประโยชนห์ รอื อานสิ งค์ ทางกาย-จติ ทเี่ กดิ จากการสวดมนตบ์ ำ� บดั ฯ เทคนคิ และวธิ กี ารปฏบิ ตั ิ ตวั อยา่ งบทสวดมนต์ ทางพระพทุ ธศาสนาทส่ี �ำคญั หลักการทำ� สมาธิบ�ำบัดและตัวอย่างการทำ� สมาธทิ ่ีสำ� คัญ เป็นต้น หวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเล่มนี้จะอ�ำนวยประโยชน์แก่ผู้ที่ได้ศึกษาเรียนรู้ อีกท้ังเป็นประโยชน์ต่อกิจกรรมการน�ำการสวดมนต์และสมาธิบ�ำบัดไปประยุกต์ใช้ใน การดูแลสุขภาพของตนและผู้อ่ืน และขออำ� นาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท้ังหลายในสากลโลก จงอภิบาลคุ้มครองและดลบันดาลให้ท่านประสบแต่ความสุข ความเจรญิ ไร้โรคภัยไข้เจบ็ โดยท่วั กนั ผศ.(พิเศษ) ดร.นพ.ธวชั ชยั กมลธรรม อธิบดกี รมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก 3

สวดมนต์และสมาธิบ�ำบัดเพือ่ การรักษาโรค คำ� น�ำเสนอ การสวดมนตแ์ ละการปฏบิ ตั สิ มาธนิ อกจากจะสรา้ งความเจรญิ ทางธรรมใหแ้ ก่ ผปู้ ฏบิ ตั แิ ลว้ ยงั มกี ารศกึ ษาวจิ ยั อกี มากมายทแ่ี สดงถงึ ผลดที มี่ ตี อ่ สขุ ภาพกายและจติ ใจ อาทิเช่น ช่วยพฒั นาสขุ ภาพจติ และบุคลกิ ภาพ ช่วยลดความเครยี ด ความวติ กกงั วล ช่วยให้นอนหลับสบาย ทำ� ให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง หายจากโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง เป็นต้น ผู้ป่วยสามารถลดการใช้ยาลงหรือ สามารถหยุดยาได้ อีกทั้งยังสามารถใช้ดูแลสุขภาพทางกายและจิตใจของผู้สูงอายุใน สงั คมไทยได้เป็นอย่างดี การสวดมนต์และการปฏิบัติสมาธิสามารถน�ำมาใช้ในการดูแลสุขภาพได้ทั้ง รักษา ป้องกัน ฟื้นฟูและส่งเสริมสุขภาพ ผู้ปฏิบัติใช้เวลาเพียงวันละ ๑๕ นาทีโดย ปฏิบัติเป็นกจิ วัตรประจ�ำวนั สุขภาพของท่านกจ็ ะดขี น้ึ ทงั้ ทางกายและทางจติ ใจ ในนามของทป่ี รกึ ษาคณะกรรมการพฒั นาเอกสารวชิ าการสวดมนตบ์ ำ� บดั และ สมาธิบำ� บัด ขอขอบพระคุณ ดร.นพ.มโน เมตตานนั โท เลาหวณชิ นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พเิ ชษฐ และ รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรยี มชยั ศรี ที่ท�ำให้หนงั สือฉบบั นี้ ส�ำเร็จลลุ ่วงไปได้ด้วยดี ซ่ึงผมหวงั ว่าจะสร้างประโยชน์ให้กบั ผู้อ่านท่นี ำ� ไปปฏิบตั ิ เพือ่ ให้ท่านถงึ พร้อมด้วยความสุขกายและสุขใจ อนั จะสร้างประโยชน์สขุ แก่สงั คมประเทศ ชาติต่อไป นพ.ปภัสสร เจยี มบญุ ศรี รองอธบิ ดีกรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก 4

กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก / กองทุนภูมิปัญญาการแพทยแ์ ผนไทย สารบญั หน้า ๗ ๑๙ ๓๑ บทน�ำ ๓๑ บทที่ ๑ ผลของการสวดมนต์บำ� บัด ๓๒ บทที่ ๒ เทคนคิ และวิธกี ารปฏบิ ัติ ๓๓ วธิ ีการสวดมนต์บำ� บัดโรค ๓๙ การเลือกบทสวดมนต์บำ� บัด ๔๑ บทสวดพระคาถาพุทธชยั มงคล ๔๔ บทสวดพระคาถาชยั ปรติ ร ๔๔ บทสวดพระคาถาโพชฌงั คะปะรติ ตัง ๔๖ บทแผ่เมตตา ๔๘ บทกรวดน้ำ� การปฏิบตั สิ มาธิอย่างง่าย การปฏิบตั สิ มาธแิ บบ SKT 5

6

กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก / กองทนุ ภมู ิปัญญาการแพทยแ์ ผนไทย บทนำ� ดร.นพ.มโน เมตตานนั โท เลาหวณชิ * “เสยี งกระหม่ึ ซึ่งก้องกังวานมาจากรอบทศิ เป็นจังหวะจะโคน มคี วามไพเราะ ราวกบั ไหลรนิ มาจากสรวงสวรรค์ ความทกุ ข์ทรมาน ความกลวั และกระวนกระวาย ที่ สะสมทบั ถมกนั มาชา้ นาน พลนั เหอื ดแหง้ หายไป ใจมคี วามมน่ั คงอยา่ งแปลกประหลาด พร้อมความอบอุ่นใจ ปีตซิ ึง่ เกิดซาบซ่านแผ่ไปทว่ั ร่างกายทำ� ให้เกดิ ความรู้สกึ โปร่งโล่ง เบาทั้งกายและใจอบุ ตั ิขน้ึ ” ประสบการณ์ของผ้ปู ว่ ยด้วยโรคเรอื้ รงั จำ� นวนมาก ทปี่ ระสบกบั ตนเองเมอ่ื ได้ ฟังเสียงสวดมนต์ แม้ว่าจะอยู่ในภาษาท่ตี นเองฟังไม่เข้าใจ แต่ท�ำนองและพลงั ที่มากบั เสยี งเหล่านน้ั ก็เพียงพอท่ที �ำให้เกดิ ประสบการณ์ทย่ี ากทจ่ี ะหาค�ำพดู ใด ๆ มาบรรยาย หากได้ฟังจากปากของผู้ที่ตนเองศรัทธาอยู่แล้วด้วยเสียงท่ีเปล่งออกมาด้วยพลังแห่ง ความปรารถนาดี ก็คือโอสถขนานวเิ ศษ ส�ำหรับผู้ทต่ี กในวงั วนของความเจบ็ ป่วยและ ความวุ่นวายในจิตใจ ประสบการณ์นี้มิใช่เกิดขึ้นเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่าน้ัน แมใ้ นศาสนาตา่ ง ๆ ซงึ่ มอี ายมุ ากกอ่ นประวตั ศิ าสตรน์ บั พนั ปกี ม็ หี ลกั ฐานการใชพ้ ธิ กี รรม ทมี่ กี ารเปลง่ เสยี งเพอ่ื เยยี วยารกั ษาผปู้ ว่ ย กอ่ นทจ่ี ะมกี ารรกั ษาดว้ ยสมนุ ไพรหรอื ตวั ยา ต่าง ๆ จากธรรมชาติ แม้น�้ำธรรมดาเมอ่ื ผ่านกระบวนการทางพธิ กี รรมกลายสภาพเป็น ยาขนานวเิ ศษท่ีรักษาโรคภยั ได้ทกุ โรค ไม่ว่าจะมคี วามรุนแรงเพยี งใดก็ตาม *อาจารยป์ ระจำ� ภาควชิ าการแพทยบ์ รู ณาการณ์ วทิ ยาลยั แพทยศาสตรน์ านาชาติ จฬุ าภรณ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ และ กรรมการคณะกรรมการปฏริ ปู พระพุทธศาสนา (ประธาน นายไพลูย์ นติ ิตะวนั ) สปช. 7

สวดมนต์และสมาธิบำ� บัดเพอื่ การรักษาโรค พิธีกรรมของการสวดมนต์เพ่ือการรักษาโรคภัยไข้เจ็บน้ันอยู่เคียงคู่กับ มนษุ ยชาตติ ง้ั แตม่ เี ผา่ พนั ธข์ุ องมนษุ ยย์ คุ แรกในโลก รากฐานของพธิ กี รรมนมี้ าจากความ จรงิ ที่มนษุ ย์เป็นสตั ว์สงั คม ซ่งึ เป็นสัตว์เลี้ยงลกู ด้วยนมทอ่ี ่อนแอท่สี ดุ เปราะบางจาก สภาพความโหดรา้ ยของธรรมชาติ มนษุ ยจ์ งึ ไมอ่ าจอยรู่ อดตามล�ำพงั ตนเองได้ และตอ้ ง พึ่งพาอาศัยกันตลอดชีวิต ต่อมาเมื่อความเป็นอยู่ของมนุษย์เริ่มเป็นระบบมากขึ้น ศาสนาท่ีนับถือผีสางเทวดา (animism) ซึ่งไม่มีระบบระเบียบชัดเจน ไม่มีคัมภีร์ ศกั ดส์ิ ทิ ธกิ์ ก็ ำ� เนดิ ขนึ้ รบั ชว่ งถา่ ยทอดกนั มา จากปากสปู่ าก จากรนุ่ สรู่ นุ่ จากผเู้ ฒา่ ผแู้ ก่ ที่สมาชิกในสังคมให้ความเคารพนับถือสู่อนุชนรุ่นต่อ ๆ มา ศาสนาและพิธีกรรมใน แบบนแี้ มใ้ นปจั จบุ นั กย็ งั คงเปน็ ทปี่ ฏบิ ตั กิ นั ในชนเผา่ โบราณ ในชาวพนื้ เมอื งในอเมรกิ า ชาวเกาะในแปซิฟิก และแม้ในหมู่ชาวเขาในประเทศไทย ส�ำหรับสมาชิกของชาวเผ่า เก่าแก่เหล่านี้ พิธีกรรมดึกด�ำบรรพ์เหล่าน้ีมีอานุภาพในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ เสียยิ่งกว่าการให้ยา หรือผ่าตัดสมัยใหม่ หรือการรักษาด้วยเทคนิคทางการแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ทใ่ี ช้อปุ กรณ์สลบั ซบั ซ้อนเสยี อีก ววิ ฒั นาการของวทิ ยาศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบนั นน้ั ตงั้ อยู่บนพน้ื ฐานของ การพิสูจน์และทดลองทางวิทยาศาสตร์ ได้พัฒนาให้การแพทย์แตกก่ิงก้านสาขา เฉพาะทางจำ� นวนมาก การเตบิ โตขององค์ความรู้ในสาขาวชิ าเฉพาะทางเหล่านร้ี วดเร็ว และมีองค์ความรู้มากมายที่เกิดข้ึนในแต่ละปี มากยิ่งกว่าองค์ความรู้ทางการแพทย์ ที่บรรพบุรุษสะสมมาจากโบราณนับพันปี จนท�ำให้เกินความสามารถที่มนุษย์คนใด คนหน่ึงจะรู้ศาสตร์แห่งการแพทย์ท้ังหมด จากยุคโบราณที่แพทย์เป็นทั้งครู อาจารย์ ผู้สอน ผู้ปรุงยาขนานต่าง ๆ และเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยไปด้วย วชิ าการด้านการปรงุ ยาและ ตวั ยาต่าง ๆ จึงแยกออกไปเป็นอกี วิชาหน่ึงซ่งึ เรียกว่า เภสชั ศาสตร์ ส่วนการเฝ้าดแู ล ผู้ป่วยก็แยกเป็นอีกสาขาหนึ่งคือพยาบาลศาสตร์ การแพทย์ก็แยกสาขาออกไปเป็น ศลั ยศาสตร์ อายรุ ศาสตร์ กมุ ารเวชศาสตร์ สตู ศิ าสตร์ ฯลฯ สาขาการแพทยแ์ ตล่ ะสาขา เกิดขน้ึ เฉพาะทาง เป็นความรู้แบบเจาะลกึ และแยกส่วนตามระบบอวยั วะต่าง ๆ ของ สรรี ะร่างกายมนษุ ย์ หรอื แบ่งตามเพศ และวยั ของผู้ป่วย 8

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก / กองทุนภมู ิปญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย เป็นความจริงว่าเวชศาสตร์แผนใหม่น้ันได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทางสงั คม โรคตดิ ต่อร้ายแรงต่าง ๆ ในอดตี กลายเป็นโรคท่รี ักษาและป้องกนั ได้ ท�ำให้ มนษุ ยอ์ ายยุ นื ขน้ึ มสี ขุ ภาพรา่ งกายทแี่ ขง็ แรงขนึ้ ในขณะเดยี วกนั สงั คมกม็ คี วามซบั ซอ้ น มากยิ่งขึ้น ท�ำให้เกิดความยากล�ำบากในระบบความเป็นอยู่ ขณะเดียวกันการเจริญ เตบิ โตของวทิ ยาศาสตร์สร้างค่านยิ มใหม่แก่สงั คม ว่าความเช่ือทางศาสนาน้นั เป็นส่วน ของโลกยคุ โบราณสวนทางกบั ความเจรญิ ก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตร์ แพทย์ผู้เชย่ี วชาญ เฉพาะทางจึงมีความรู้และเป็นความรู้ใหม่ล่าสุดทางการแพทย์ที่ผ่านการทดลองใน มนษุ ย์และสตั ว์เป็นจ�ำนวนมาก กระน้ันเองวิทยาศาสตร์เป็นวิชาการท่ีเร่ิมต้นจากการสังเกตและตั้งค�ำถาม ดว้ ยความตระหนกั วา่ “เราไมร่ ”ู้ จงึ ดำ� เนนิ การตามขน้ั ตอนของระเบยี บวธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู ทางสถติ เิ พอ่ื ตอบค�ำถามทตี่ ง้ั ไว้ เพราะการแพทยน์ น้ั เปน็ การผสมกลมกลนื ของศาสตร์ และศลิ ปะแขนงตา่ ง ๆ ซง่ึ มเี ปา้ ประสงคใ์ นการยกระดบั มาตรฐานคณุ ภาพชวี ติ ของผปู้ ว่ ย นอกจากการรกั ษาโรคแบบถอนรากถอนโคน การแพทย์รูปแบบใหม่จงึ เกิดขน้ึ เป็นท่ี รู้จกั กันในนามของ “การแพทย์บูรณาการ” (Integrative Medicine) ซ่ึงนอกจากจะ มกี ารผสมผสานการแพทย์แผนปจั จบุ นั แลว้ ยงั ยอมรบั การแพทย์แผนโบราณทป่ี รากฏ ในจารตี ประเพณขี องประเทศตา่ ง ๆ เขา้ รว่ มดว้ ย และยอมรบั บทบาทของ “จติ วญิ ญาณ” ว่ามนุษย์มิใช่มีเพียงร่างกายเท่านั้น สุขภาพทางใจ จิตวิญญาณ พร้อมทั้งสังคมและ สิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นมติ ติ ่าง ๆ ทางการแพทย์และสาธารณสุข อย่างแยกกนั ไม่ได้ การพัฒนานั้นมิได้เกิดขึ้นเฉพาะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่าน้ัน ฝ่ายจิตวิญญาณ น้ันได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน จากความเช่ือในเรื่อง ความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุและอ�ำนาจเหนือธรรมชาติท้ังหลาย มนุษย์แต่ละยุคสมัย ก็พยายามหาค�ำตอบในทิศทางต่างกัน ข้ึนอยู่กับสภาพแวดล้อมและจารีตประเพณี เมื่อส่ีพันปีท่ีแล้ว ได้มีการพัฒนาความเชื่อในหมู่ของชนเผ่าอารยัน ท่ีอพยพผ่าน ชอ่ งแคบไคเบอร์ เขา้ สดู่ นิ แดนทเี่ รยี กกนั วา่ ลมุ่ นำ้� สนิ ธุ รกุ รานชนเผา่ ทอี่ าศยั ในเขตลมุ่ นำ�้ น้ี 9

สวดมนต์และสมาธบิ ำ� บดั เพื่อการรกั ษาโรค เป็นอารยธรรมโบราณท่สี ดุ แห่งหนงึ่ ของโลก ชนเผ่าอารยนั มคี วามเชอ่ื ในเทพเจ้าหลาย องค์ และให้กำ� เนิดคมั ภรี ์ทางศาสนาท่เี ก่าแก่ท่ีสดุ ของโลก น่นั คอื ฤคเวท ซงึ่ เป็นภาษา ที่เก่าแก่ เช่ือมโยงกบั ภาษาชาวยุโรปยุคโบราณ ระบบวรรณะจงึ ค่อย ๆ ววิ ัฒนาการ ขนึ้ ในยคุ นน้ั นำ� โดยพราหมณ์ โดยมคี วามเชอ่ื ในเรอ่ื งความศกั ดส์ิ ทิ ธข์ิ องอกั ขระตา่ ง ๆ ทีส่ วดสาธยาย ความจริงในเร่ืองอักขระนี้เองท�ำให้เกิดการพัฒนาในทางอักษรศาสตร์อย่าง ก้าวกระโดด เกดิ เป็นระบบระเบยี บวธิ กี ารสวดสาธยายมนต์อย่างละเอยี ด โดยมคี วาม เช่ือพ้ืนฐานว่า ค�ำพูดแต่ละค�ำท่ีถูกเปล่งออกมานั้นมีความคงทนไม่เปล่ียนแปลง “อกั ขระ” (บาล)ี ตรงกบั “อกั ษระ” (สนั สกฤต) แปลวา่ “ไมเ่ สอื่ มสลาย” ซงึ่ มคี วามเชอ่ื วา่ เสียงที่เปล่งออกเป็นคำ� พดู นั้น ไม่มวี ันเสอื่ มสลาย ความเชื่อในลักษณะเช่นน้ีเองท�ำให้พราหมณ์ นักวิชาการท้ังหลายพิถีพิถัน เอาใจใส่กับระบบการออกเสยี งอย่างมาก ด้วยความเชอื่ ว่าค�ำแต่ละค�ำที่เปล่งออกจาก ปากนน้ั นอกจากจะไม่มวี ันเปลีย่ นแปลง ไม่เสื่อมสลายแล้ว ยงั มอี านุภาพขบั เคล่อื น ดวงตะวนั พระจนั ทร์และดวงดาวในฟากฟ้า ให้โคจรไปในทศิ ทางท่ีควรจะเป็น ท�ำให้ ฝนตกต้องตามฤดูกาล หากนำ� ไปใช้ในทางทด่ี ี และเป็นคุณ แต่หากวลที ี่เปล่งออกมา ผดิ พลาด จะเกดิ ภัยพบิ ตั ิอย่างร้ายแรง สะท้อนกลบั มายังผู้ออกเสยี งนนั้ ๆ ได้ ความเช่อื เช่นนท้ี �ำให้พราหมณ์ นกั วิชาการกลุ่มหน่งึ เมือ่ ประมาณสามพนั ปีที่ แล้ว เฝ้าสังเกตการณ์กำ� เนิดเสยี งจากส่วนต่าง ๆ ของลำ� คอ โคนล้นิ เหงือก ริมฝีปาก ฯลฯ และพบความแตกต่างของคุณภาพเสียง ท่ีเกิดขึ้นจนสามารถแยกแยะเสียงแท้ ซ่ึงออกมาจากลำ� คอได้และตง้ั ช่ือเสยี งเหล่านว้ี ่า “สระ” ส่วนองค์ประกอบของอวยั วะท่ี ท�ำให้เกิดเสียงว่า “พยัญชนะ” เป็นระบบการจ�ำแนกเสียงมนุษย์อย่างเป็นระบบท่ีสุด และเป็นที่ยอมรับของนักภาษาศาสตร์ยุคปัจจุบัน การจัดระบบอักขระ สระและ พยญั ชนะนไี้ ด้แพร่กระจายเข้าสู่ดนิ แดนต่าง ๆ แถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ซงึ่ แต่ละ ประเทศไดอ้ อกแบบอกั ขระตา่ ง ๆ ขนึ้ เพอื่ รองรบั ตามเทคนคิ ทใ่ี ชเ้ ขยี นและวสั ดทุ ใี่ ชเ้ ขยี น 10

กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก / กองทนุ ภูมปิ ัญญาการแพทย์แผนไทย ความเช่ือเดียวกันนี้ได้พัฒนาให้เกิดเป็นระบบไวยากรณ์ท่ีสมบูรณ์แบบครั้ง แรกของโลกเมอ่ื ประมาณ สองพนั หกร้อยปีท่แี ล้ว ณ เมืองตกั ศลิ า นักไวยากรณ์คน นนั้ คอื ปาณนิ ิ ซึง่ พรรณนารปู ร่างของภาษาในลกั ษณะของสมการ เรยี กว่า “สตู ร” ซง่ึ มีถึงส่ีพันสูตรรวมเป็นเล่มว่า “อัษฏายายี” สมการหรือสูตรเหล่าน้ี ต้องอาศัย “ศิวะ สูตร” อนั เป็นสูตรพเิ ศษ เป็นกญุ แจไขเพ่อื ให้รหสั ท่ถี กู ย่อไว้ในสูตรต่าง ๆ น้นั ใช้งาน ได้ โดยหลักการท่ีว่า เม่อื ท่องสตู รทั้งหมดหน่งึ รอบ กจ็ ะสามารถเปลย่ี นความคดิ หน่ึง ให้กลายเป็นประโยคที่ถูกต้องตามไวยากรณ์ได้หนึ่งประโยค ผลงานท่ีละเอียดสลับ ซับซ้อนน้ที �ำให้เกดิ ภาษาข้นึ มาใหม่หนง่ึ ภาษาคอื ภาษา “สันสกฤต” ส่วนภาษาพน้ื เมอื ง ของคนอนิ เดียโบราณถกู เรยี กรวม ๆ กนั ว่าภาษา “ปรากฤต” ซง่ึ รวมภาษาบาลที ีใ่ ช้ใน พระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาทน้ดี ้วย อิทธิพลของการสวดมนต์ของพราหมณ์น้ันได้แพร่เข้ามาในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ยุคแรก แม้ในปัจจุบันสามารถดูตัวอย่างการสวดพระเวทของพราหมณ์ วิธีนั่ง การเปล่งเสียงและล�ำดับข้ันตอน คล้ายคลึงกับการสวดมนต์ของพระภิกษุเถรวาท อย่างมาก หากหลับตาฟังเสียงสวดพระเวทของพราหมณ์ก็ละม้ายคล้ายคลึงการสวด ของพระไทย ศรลี งั กา เมยี นมาร์ เขมร และมอญ ในเชิงการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรม ต้องถือว่าพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้ รักษารูปแบบขนบธรรมเนยี มอนั เก่าแก่ของพราหมณ์มาไม่ต่�ำกว่าสองพนั ห้าร้อยปี ใน ขณะเดยี วกนั รปู แบบของการสวดสาธยายมนตน์ ้ี พฒั นาไปอกี ระดบั หนงึ่ ในพทุ ธศาสนา ฝ่ายมหายาน ซ่ึงภาษาในพระไตรปิฎกได้มีการแปลถ่ายทอดสู่ภาษาทิเบต จีน ญ่ีปุ่น มองโกเลีย และเวียดนาม เสยี งสวดต่าง ๆ ได้มกี ารดัดแปลงให้แตกต่างกนั ออกไปข้นึ อยู่กบั วัฒนธรรมในท้องถน่ิ ต่าง ๆ ในยคุ พทุ ธกาลนนั้ พระเวทมอี ยเู่ พยี ง ๓ เลม่ คอื ฤคเวท ยชรุ เวท และสามเวท ขณะทีพ่ ระพุทธองค์ทรงพระชนม์อยู่น้นั พระเวทท่ีส่ี กำ� ลงั เกิดขน้ึ เรียกว่า อาถรรพ์เวท ซง่ึ เป็นวรรณกรรมทางศาสนาท่จี ะน�ำมนต์พธิ ไี ปใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ของชาวอนิ เดียใน 11

สวดมนตแ์ ละสมาธิบำ� บัดเพอื่ การรักษาโรค ยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเป็นสิริมงคล ความร�่ำรวย การรักษาโรค หรือแม้แต่ การท�ำลายล้างศัตรู ความเช่ือในความศักดิ์สิทธ์ิของเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของ พราหมณห์ รอื นกั บวชนนั้ ยงั คงเปน็ รากฐานอนั มน่ั คงแผเ่ ข้ามาส่ศู าสนาทง้ั หลายทมี่ ถี นิ่ กำ� เนดิ จากอนิ เดยี ทงั้ หมด ตามความเช่อื ของชาวภารตะน้นั “เสียง” ที่เปล่งออกจากปากนน้ั มิใช่เป็นส่อื น�ำอ�ำนาจวาสนาหรือความตกอับมาสู่ผู้เปล่งเสียงเท่าน้ัน แต่เสียงท่ีเปล่งออกจากปาก น้ัน คอื “องค์ของพระผู้เป็นเจ้า” ทแ่ี สดงพระองค์ออกมาให้เป็นท่ปี ระจักษ์ในโลกเลย ทีเดียว เรียกว่า “ศพทฺ พรหฺ มํ”*๑ ซึ่งมีองค์ประกอบอยู่ ๔ ส่วนคอื “อะ” “อุ” “มฺ” และ “ความเงยี บ” เมอ่ื ผสมเสียงรวมกนั เสียงที่เปล่งออกมาจงึ เป็น “โอม” ซ่งึ ถือว่าเป็นค�ำ ศกั ดส์ิ ทิ ธท์ิ สี่ ดุ ปรากฏในคมั ภรี ข์ องศาสนาฮนิ ดู พระพทุ ธศาสนาทกุ นกิ าย และ ศาสนาเชน เปน็ คำ� ๆ แรกทตี่ อ้ งออกเสยี งกอ่ น แมใ้ นบทสวดมนตข์ องพระพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาท กม็ ีปรากฏในการสวดพระปรติ รเช่นกนั เช่นในหนงั สอื มนต์พธิ ี ความเชื่อท�ำนองเดียวกันน้ีปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลเช่นกัน ดังเช่นในคัมภีร์ จอห์น บทท่ีหน่งึ วรรคแรก “ในเบอ้ื งต้นคอื วจนะ วจนะน้นั คอื พระผู้เป็นเจ้าและสถติ อยู่กบั พระผู้เป็นเจ้า และวจนะน้นั บังเกดิ มาเป็นเนอ้ื หนงั และด�ำรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทง้ั หลาย” (จอห์น ๑:๑)**๒ อะไรเปน็ เหตใุ หค้ วามคดิ ในลกั ษณะเชน่ เดยี วกนั นปี้ รากฏในคมั ภรี ข์ องศาสนา โลกถึงสองศาสนา ค�ำถามนี้น่าสนใจ แม้จะมีพื้นฐานของความเช่ือท่ีแตกต่างกัน แต่ ประสบการณท์ างจติ วญิ ญาณอาจเหมอื นกนั กเ็ ปน็ ได้ โดยเฉพาะในการนำ� การสวดมนต์ น้ันไปใช้ทางการแพทย์ ทง้ั การเสริมสร้างสุขภาพ และบ�ำบดั โรคภยั ไข้เจบ็ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ทางศาสนายืนยันตรงกันว่า การสวดมนต์นั้นได้ พฒั นาสบื กนั มาแตย่ คุ โบราณ แมใ้ นพระพทุ ธศาสนา ศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู ศาสนาเชน ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม รูปแบบการสวด การออกเสียง และพิธีกรรมที่ ท�ำให้เคร่งและขลงั ขึ้น ย่อมขน้ึ กบั ปัจจยั แวดล้อมและความเชอ่ื ของผู้ร่วมพธิ ีกรรม๑ *๑ศพฺทพรฺหมํ อ่านว่า “สพั -ทะ-พรหม” หมายถงึ พระพรหมผู้เป็นเสยี ง **๒จอห์น ๑:๑ หมายถงึ คมั ภรี ์จอห์น อนั เป็นส่วนหน่งึ ของพระครสิ ธรรมใหม่ 12

กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก / กองทนุ ภมู ปิ ัญญาการแพทยแ์ ผนไทย อะไรคือการสวดมนต์ การสวดมนต์ ตามความหมายในภาษาไทย หมายถงึ กจิ กรรมทมี่ กี ารเปลง่ เสยี ง เป็นทำ� นองในภาษาบาลี ซง่ึ นับถอื กนั ว่า เป็นภาษาของพระพุทธเจ้า คอื พระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ทเ่ี คยมมี าในอดตี ท้ังหมด หรอื ที่จะมมี าในอนาคต ทัว่ แสนโกฏจิ กั รวาล ภาษาน้ียังเป็นที่เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า “ภาษามคธ” น่ันคือ “ภาษาโบราณของ แควน้ มคธ” ซงึ่ ยงั เปน็ มลู ภาษาหรอื ภาษาอนั เปน็ รากของภาษาทงั้ หลายทว่ั โลกและสากล จกั รวาล และยงั เป็นภาษาทใ่ี ช้กันในหมู่เทพทั้งหลาย สตั ว์เดียรจั ฉาน หรือแม้แต่สตั ว์ นรกขมุ ตา่ ง ๆ ตา่ งกใ็ ชภ้ าษาอนั ศกั ดสิ์ ทิ ธน์ิ ี้ แมท้ ารกทเ่ี ตบิ โตขน้ึ ตามลำ� พงั ไมเ่ คยไดย้ นิ ภาษาใด ๆ มาก่อนจะพูดภาษามคธเท่าน้นั 13

สวดมนตแ์ ละสมาธบิ �ำบัดเพอ่ื การรกั ษาโรค ความเชอ่ื ในความศกั ดสิ์ ทิ ธแิ์ ละความเปน็ สากลของภาษาบาลนี ท้ี ำ� ให้ การสวดมนต์ เปน็ กจิ กรรมทม่ี เี อกลกั ษณพ์ เิ ศษของพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาท เปน็ เอกลกั ษณพ์ เิ ศษของ ชาวพุทธในประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชาและศรีลังกา เม่ือเปล่งเสียงสวด พระปรติ ร หรือ ประกอบพธิ ีกรรมอืน่ ๆ ทางศาสนา กอ็ อกเสยี งทีใ่ กล้เคียงกนั มาก และมีความศรทั ธาในภาษาบาลี ว่าเป็นภาษาของพระพุทธเจ้า ด้วยความเชอื่ นี้เอง เมื่อ สวดสาธยายกส็ ร้างความศรทั ธาอย่างมาก ท�ำให้ผู้ท่ไี ด้ฟังมจี ติ เป็นกุศลอย่างต่อเนอ่ื ง การสวดมนต์ในภาษาไทยนั้น ในภาษาอังกฤษตรงกับคำ� ว่า chanting ซึ่ง หมายถึงการเปล่งเสียงในพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อบูชาหรือสรรเสริญสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ ใน ขณะคนไทยเองมกั แปลคำ� “สวดมนต”์ วา่ “prayer” ซงึ่ เปน็ การอธษิ ฐานถงึ พระผเู้ ปน็ เจา้ อีกนัยหนึ่งคอื การสอ่ื สารกบั พระผู้เป็นเจ้า ซง่ึ อาจเป็นกจิ กรรมท่ที �ำเป็นประจำ� หรอื เป็น ครัง้ คราวกไ็ ด้ เพือ่ ให้บรรลุวตั ถุประสงค์อย่างใดอย่างหน่งึ ๒ แม้ว่าในพระพุทธศาสนาจะไม่มีแนวคิดในเรื่องพระผู้สร้าง แต่การอธิษฐาน ของชาวครสิ ต์ มสุ ลมิ หรอื ฮนิ ดทู นี่ บั ถอื เทพเจา้ สงู สดุ วา่ เปน็ ผสู้ รา้ งและอยเู่ หนอื เทพเจา้ องค์ใด ๆ น้ัน มิได้ขัดแย้งกับการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ชาวพทุ ธสามารถ ตคี วามไดว้ า่ เปน็ การภาวนาชนดิ หนง่ึ ซงึ่ เรยี กวา่ “เทวานสุ ต”ิ ***๓ อนั เปน็ อนสุ ตแิ บบหนง่ึ ในสิบอย่างที่ปรากฏในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นการท�ำให้จิตเป็นสมาธิได้ และเมื่อท�ำ อธษิ ฐานภาวนามากเข้าด้วยความเชอ่ื จติ ยอ่ มเขา้ ถงึ สมาธริ ะดบั ต่าง ๆ และส่งผลส�ำเรจ็ ให้บงั เกดิ ข้นึ ได้ จากหลักฐานทางการแพทย์ การอธษิ ฐานภาวนาส่งผลทำ� ให้มะเรง็ หายได้ ดงั มีในบนั ทกึ ทางการแพทย์ชาวอติ าเลยี นคนหน่งึ ในกรณีนกั บวชโรมันคาทอลกิ รูปหนงึ่ ชอ่ื เพรกิ เิ น ลาซโิ อซี (Peregrine Laziosi พ.ศ. ๑๘๐๓-๑๘๘๘) เมอื่ ประมาณ ๗๐๐ ปี ***๓เทวานสุ ติ หมายถงึ การก�ำหนดจติ ระลกึ ถึงเทพทัง้ หลาย 14

กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก / กองทุนภมู ปิ ัญญาการแพทย์แผนไทย มาแลว้ ในอติ าลเี รอ่ื งมอี ยวู่ า่ นกั บวชทา่ นนเี้ มอื่ เปน็ พระหนมุ่ มกี อ้ นเนอื้ โตขน้ึ ทขี่ าของทา่ น แพทย์ได้วนิ จิ ฉัยว่าเป็นมะเรง็ และนดั ให้มารบั การผ่าตดั คือ ตดั ขาออกเพือ่ รกั ษาชวี ิต ในยุคนั้นการผ่าตัดไม่มีการฉีดยาชา หรือให้ดมยาสลบเหมือนสมัยนี้ การผ่าตัด ทำ� กนั สด ๆ และไม่มยี าฆ่าเชอ้ื โรค ผู้ป่วยจ�ำนวนไม่น้อยต้องเสยี ชวี ิตเพราะเสยี เลอื ด ทนความเจบ็ ปวดไมไ่ หว หรอื ตดิ เชอ้ื หลงั การผ่าตดั ความกลวั ถกู ผา่ ตดั ทำ� ใหพ้ ระหน่มุ ผู้น้ี สวดภาวนาอยู่ทงั้ วนั ทัง้ คนื สวดอยู่จนเจ้าตวั เหน่อื ยหลบั ไป และฝันว่าก้อนมะเรง็ ทขี่ าของตนยบุ หายไปจนหมดสนิ้ เมอ่ื ตนื่ ขน้ึ มากพ็ บวา่ กอ้ นเนอื้ นนั้ ยบุ หายไปจรงิ แพทย์ ผรู้ กั ษาเองกป็ ระหลาดใจจงึ บนั ทกึ เลา่ เรอ่ื งราวนไี้ วเ้ ปน็ บนั ทกึ ทางการแพทยท์ เ่ี กา่ แกท่ ส่ี ดุ ทบ่ี รรยายถงึ การสลายตวั ของมะเรง็ ต่อมาพระรปู น้ไี ด้อุทิศตัวเป็นผู้ดูแลคนเจบ็ ไข้จน ได้รับการยกฐานะข้นึ เป็นนกั บุญในคริสตศาสนาโรมนั คาทอลกิ ๔,๕ จากเรอื่ งราวทแ่ี พทย์ท่านนน้ั ได้บนั ทกึ ไวน้ นั่ เอง ปัจจบุ นั วงการแพทย์จงึ เรยี ก มะเรง็ ทยี่ บุ สลายไปเองวา่ เนอื้ งอกเพรกิ เิ น (Peregrine tumor) ซง่ึ กระบวนการทที่ ำ� ให้ เซลล์มะเร็งฆ่าตัวตายนั้น ปัจจุบันเรียกว่า apoptosis สาเหตุท่ีให้เกิดปรากฎการณ์ เช่นน้ี ยงั เป็นทถ่ี กเถยี งกนั ในหมู่นกั วทิ ยาศาสตร์ และในปัจจบุ นั ได้มกี ารค้นคว้าวจิ ัย เรอ่ื งผลของการอธษิ ฐานภาวนาวา่ ชว่ ยบำ� บดั โรคไดจ้ รงิ หรอื ไม่ และผลการวจิ ยั ไดย้ นื ยนั ว่าเป็นไปได้จรงิ การสวดมนตน์ นั้ หากสวดดว้ ยการเปลง่ เสยี ง ผลทางสรรี ะทเี่ กดิ ขนึ้ กค็ อื กลา้ ม เน้ือส่วนต่าง ๆ ทีเ่ ป็นกลไกสำ� คญั ในการหายใจและการเปล่งเสยี งแขง็ แรงขึ้น เพราะผู้ สวดออกแรงเปลง่ เสยี งออกมา สารอาหารทร่ี า่ งกายสะสมไวถ้ กู เผาผลาญ และหากสวด จนเกดิ สมาธจิ ติ ใจกส็ งบลง เมอ่ื จติ สงบสารเคมที ร่ี า่ งกายสรา้ งขน้ึ และเปน็ คณุ ตอ่ สขุ ภาพ ก็หล่ังออกมามาก ท�ำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายท�ำงานดีขึ้น กลไกการก�ำจัดโรค ท�ำงานได้ดี สขุ ภาพก็ดขี ึน้ ๓,๖ ค�ำถามท่ีพบบ่อยประการหนึ่งคือ ท่าน่ังในการสวดมนต์ หากถามว่าจำ� เป็น ไหมทตี่ อ้ งสวดในทา่ พบั เพยี บหรอื คกุ เขา่ เพอื่ เปน็ การแสดงความเคารพตอ่ สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ 15

สวดมนตแ์ ละสมาธบิ ำ� บัดเพ่ือการรักษาโรค ค�ำตอบคือไม่จำ� เป็น หากจติ ใจเปี่ยมไปด้วยความศรทั ธา ร่างกายไม่ว่าจะอยู่ในท่าใดก็ ดที ้ังนั้น การนง่ั คกุ เข่าหรอื นง่ั ในท่าหน่งึ ท่าใดนาน ๆ เป็นผลเสยี ต่อสุขภาพเข่า และ ทำ� ใหเ้ กดิ ความทกุ ขท์ รมานทไี่ มจ่ �ำเปน็ หลกั ปฏบิ ตั ใิ นทกุ ศาสนาประการหนงึ่ คอื ผปู้ ว่ ย ย่อมได้รบั การยกเว้นจากกจิ กรรมท่ีท�ำให้เกิดความทุกขเวทนาเสมอ สำ� หรบั ผทู้ สี่ ขุ ภาพดอี ยแู่ ลว้ หากปฏบิ ตั ติ ามล�ำพงั การสวดมนตก์ เ็ ปน็ กจิ กรรม ท่ีสร้างท้ังสุขภาพกายและจิตให้ดียิ่งขึ้น โดยที่ร่างกายก็ได้หายใจเป็นจังหวะ ได้เผา ผลาญสารอาหารส่วนเกนิ กล้ามเนอื้ หายใจ กระบงั ลมและหน้าท้องได้ออกกำ� ลงั ทำ� ให้ แข็งแรงขน้ึ สมองได้รบั การฝึกฝนให้ความจ�ำดีขนึ้ และจิตใจสบายข้นึ มคี วามสงบสุข มากข้ึน หากปฏิบัตเิ ป็นหมู่คณะ การสวดมนต์ ย่อมสร้างความสามคั คี เพราะสมาชกิ ท่ีสวดมนต์แต่ละคนต้องฟังซ่ึงกันและกัน ท�ำให้เกิดการเรียนรู้ทางอ้อม ให้เคารพใน หมู่คณะ ถ้าเป็นครอบครัวก็สร้างความพร้อมเพรียงให้เกิดขึ้นในครอบครัวได้อย่างดี ผลเสียก็คือแต่ละคนอาจเสียเวลาทำ� กิจส่วนตัวไปบ้าง แต่ผลได้กับหมู่คณะนั้นจะสูง กว่ามาก 16

กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก / กองทนุ ภูมิปญั ญาการแพทย์แผนไทย เอกสารอ้างองิ ๑. พระมหาเทดิ ญาณวชโิ ร. พทุ ธานภุ าพ อานภุ าพของพระพทุ ธองค์. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั เพรสแอนด์ ดไี ซน์ จ�ำกัด; ๒๕๔๘. ๒. สำ� นกั การแพทย์ทางเลอื ก. พุทธธรรมบ�ำบัด. กรงุ เทพฯ : บรษิ ัทสุขมุ วทิ มีเดยี มาร์เกตตง้ิ จ�ำกัด; ๑๕๕๔. ๓. พุทธมนต์คาถารกั ษาโรค โพชฌงั คปรติ ร. กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์เล่ยี งเชยี ง เพยี รเพ่ือพทุ ธศาสน์; ๒๕๔๙. ๔. จฑุ าทพิ ย์ อมุ ะวชิ น.ี ตำ� นานบทสวดมนต์ เพอ่ื สขุ ภาพ สนั ตแิ ละความสขุ . กรงุ เทพฯ : บรษิ ัทธรรมสาร จ�ำกัด; ๒๕๕๗. ๕. สมพร กนั ทรดษุ ฎ-ี เตรยี มชยั ศร.ี การปฏบิ ตั สิ มาธเิ พอ่ื การเยยี วยาสขุ ภาพ. กรงุ เทพฯ : ห้างหุ้นส่วนสามญั นติ ิบคุ คลเจย้ี ฮ้วั ; ๒๕๕๖. ๖. พระสิงห์ทน นราสโภ. พลงั รงั สีธรรม. เชยี งใหม่ ; ๒๕๔๓. 17

18

กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก / กองทุนภมู ิปญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย บทที่ ๑ ผลของการสวดมนต์บ�ำบดั นพ. แพทย์พงษ์ วรพงศ์พเิ ชษฐ** ศนู ยก์ ารแพทยผ์ สมผสานและการแพทยท์ างเลอื กแหง่ ชาตขิ องสหรฐั อเมรกิ า ได้ทำ� การส�ำรวจในประชากร ๓๑,๐๐๐ คน พบว่า ร้อยละ ๓๖ มกี ารใช้วธิ กี ารทางการ แพทย์ผสมผสานและการแพทย์ทางเลือกในการดูแลสุขภาพของตนเอง และร้อยละ ๖๒ ใชก้ ารสวดมนตบ์ ำ� บดั และในจำ� นวนนี้ รอ้ ยละ ๔๓ สวดมนตเ์ พอ่ื สขุ ภาพของตนเอง ร้อยละ ๒๔ สวดมนต์ให้ผู้อ่ืน ร้อยละ ๑๐ สวดมนต์เป็นกลุ่มเพ่ือให้บุคคลท่ีตน มุ่งหวังให้หายจากโรคที่ประสบอยู่๑ เช่นเดียวกับการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาด พบวา่ หนง่ึ ในสามของผปู้ ว่ ยใชก้ ารสวดมนตร์ ว่ มกบั การรกั ษาความเจบ็ ปว่ ยของแพทย์ ในจ�ำนวนนี้ ร้อยละ ๑๕ สวดมนต์เพ่อื ให้หายจากโรค ร้อยละ ๗๕ ใช้การสวดมนต์ เพ่ือให้มีสุขภาพดี ร้อยละ ๒๒ สวดมนต์เพ่ือให้เกิดผลจ�ำเพาะเจาะจงในโรคกลุ่ม นน้ั ๆ และในจำ� นวนผใู้ ชก้ ารสวดมนตน์ ี้ รอ้ ยละ ๗๐ กลา่ ววา่ การสวดมนตม์ ปี ระโยชน์ ในการบำ� บดั ได้มาก๒ การสวดมนต์เป็นกิจกรรมท่ีผู้ท่ีนับถือศาสนาทุกศาสนาปฏิบัติกันเป็นประจ�ำ เปน็ การแสดงความเลอ่ื มใสศรทั ธาในศาสดาและคำ� สอนในศาสนาของตนเอง นอกจาก น้ันการสวดมนต์ยังเป็นวิธีฝึกจิตให้เกิดสมาธิที่ใช้กันโดยทั่วไป นักวิทยาศาสตร์ด้าน สุขภาพมีความสนใจในผลของการสวดมนต์ต่อสุขภาพกันมาก เริ่มมีการศึกษาวิจัย กันตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ พบว่า Benson และคณะ ได้ศกึ ษาผู้ท่ฝี ึกสมาธแิ บบ ที.เอม็ . (Transcendental Meditation, T.M.) โดยการภาวนาค�ำบรกิ รรมในใจตลอดเวลา **นักวิชาการอสิ ระด้านเวชศาสตร์ทางกายและจติ 19

สวดมนต์และสมาธบิ �ำบดั เพือ่ การรกั ษาโรค แบบสวดมนต์ (Mantra Meditation) ตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลา ๓๐ นาที เปน็ ประจำ� จนจติ เปน็ สมาธิ พบว่าร่างกายในขณะนน้ั จะมีการเผาผลาญพลงั งานน้อย (Hypometabolic state)๓ การใช้ออกซเิ จนลดลง การเต้นของหัวใจช้าลง อัตราการหายใจลดลง ความ ดันโลหิตลดลง ความตึงตัวของกล้ามเน้ือลดลง คลื่นสมองมีคลื่นแอลฟ่า (Alpha) มากขน้ึ ระดบั แลกเตท (Lactate) ในเลอื ดลดลง เบนสนั เรยี กสภาวะนวี้ ่า Relaxation Response๔ ซึ่งภาวะนี้จะตรงกันข้ามกับภาวะที่เกิดจากความเครียดที่เรียกว่า The Fight and Flight Response ซ่งึ Cannon๕ ได้ศกึ ษาไว้ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ซ่งึ ใน ภาวะเชน่ นกี้ จ็ ะมกี ารเปลยี่ นแปลงทางสรรี วทิ ยา เชน่ ความดนั โลหติ สงู ขน้ึ การหายใจเรว็ ม่านตาขยายออก กล้ามเน้ือตึงตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic นอกจากน้ันเราพบว่า โรคหรือกลุ่มอาการต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง๖ โรคหลอดเลือดหวั ใจตบี ๗ การเสยี ชีวิตแบบเฉยี บพลนั จากโรคหวั ใจ๘ กลุ่มอาการปวด บางชนดิ ๙-๑๐ โรคผวิ หนงั เรอ้ื รัง๑๑ เช่น ผ่นื ลมพิษ ภาวะเซลล์สมองตาย๑๒ ภาวะมีบตุ ร ยาก๑๓อาการกอ่ นมปี ระจำ� เดอื น๑๔ มสี าเหตสุ ว่ นหนงึ่ มาจากความเครยี ดหรอื ความเครยี ด ท�ำให้อาการเหล่านม้ี ีความรุนแรงมากขน้ึ ดังน้ันจึงมีการน�ำวิธีการสวดมนต์ให้จิตเป็นสมาธิ (Mantra Meditation) มาใช้ในการรักษาโรค พบว่า ได้ผลดีในโรควิตกกังวล๑๕ โรคความดันโลหิตสูง๑๖ อาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ๑๗ อาการหัวใจเต้นผิดปกติ แบบ preventricular contraction๑๘ และช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด๑๙ ท�ำให้อาการของโรคหอบหืด๒๐ โรคสะเกด็ เงนิ ๒๑ และโรคล�ำไส้แปรปรวน๒๒ ดขี น้ึ อย่างไรก็ตามการศึกษาในเวลาต่อมาพบว่าการทดลองในบางรายงาน ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าการสวดมนต์ให้จิตเป็นสมาธิจะลดความดันโลหิตลงได้ท้ัง systolic และ diastolic๒๓-๒๔ บางรายงานพบว่า ไม่สามารถลดความกงั วลและอาการ ปวดในระหว่างการทำ� ผ่าตดั หรอื ท�ำหตั ถการต่าง ๆ๒๕-๒๗ 20

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก / กองทุนภูมิปัญญาการแพทยแ์ ผนไทย นอกจากการสวดมนตเ์ พอ่ื ใหผ้ สู้ วดมจี ติ เปน็ สมาธิ จะทำ� ใหเ้ กดิ ผลในการบำ� บดั โรคตอ่ ผสู้ วดเองดงั ทไี่ ดก้ ลา่ วมาแลว้ บอ่ ยครงั้ เรายงั สวดมนตเ์ พอื่ ใหผ้ อู้ นื่ หายจากอาการ เจบ็ ปว่ ย เปน็ การสวดมนตจ์ ากทไี่ กล เชน่ ทบี่ า้ น ทวี่ ดั หรอื ในสถานปฏบิ ตั ธิ รรม โดย ปรารถนาให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลให้หายป่วยโดยเร็ว (Distance Intercessory Prayer) ซ่งึ ในเร่อื งน้มี กี ารศกึ ษาไว้ โดยในปี พ.ศ. ๑๕๓๑ Randolph C. Byrd๒๘ อายุรแพทย์ด้านหัวใจ ได้ท�ำการศึกษาผู้ป่วยหนัก ๓๙๓ ราย ในห้องบ�ำบัดฉุกเฉินทางหัวใจ (Coronary Care Unit) ของ San Francisco General Hospital เป็นเวลา ๑๐ เดือน ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๖ แบ่งผู้ป่วย ออกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหน่ึง ๒๐๑ ราย ให้การรกั ษาทางการแพทย์ตามปกติ อกี กลุ่ม หนงึ่ ๑๙๒ ราย ให้การรกั ษาเหมอื นกลุ่มแรก แต่จะจดั ให้มกี ารสวดมนต์ โดยกลุ่ม นกั บวชครสิ ต์ที่โบสถ์ ทส่ี วดเป็นประจ�ำอยู่แล้วกลุ่มละ ๓-๗ คน โดยจะแจ้งชอ่ื ผู้ป่วย โรคที่เป็น อาการหนักหนาขั้นไหนเพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้สวดมนต์ให้หายจากอาการ เจ็บป่วยโดยเร็ว ไม่ให้มีอาการแทรกซ้อน ไม่ให้เสียชีวิต โดยที่ตัวผู้ป่วยเอง แพทย์ พยาบาลทร่ี ักษาจะไม่มใี ครรู้เลย และกลุ่มผู้สวดมนต์จะสวดอยู่ท่โี บสถ์หรือท่หี ่างไกล จากโรงพยาบาล ผลปรากฏว่า กลุ่มผู้ป่วยท่มี ีผู้สวดมนต์ให้มอี าการหวั ใจวายน้อยกว่า อีกกลุ่ม (๘ ต่อ ๒๐) ใช้ยาปฏชิ วี นะน้อยกว่า ๕ เท่า (๓ ต่อ ๑๖) ใส่ท่อช่วยหายใจ นอ้ ยกวา่ (๐ ตอ่ ๑๒) ตดิ เชอื้ ปอดบวมนอ้ ยกวา่ (๓ ตอ่ ๑๓) มกี ารปม๊ั ชว่ ยชวี ติ เนอ่ื งจาก หัวใจหยุดเต้นน้อยกว่า (๒ ต่อ ๑๔) ในกลุ่มที่มีการสวดมนต์ไม่มีการเสียชีวิตเลย ตลอดเวลาท่ที ดลองในขณะทอ่ี ีกกลุ่มเสียชีวติ ๓ ราย เราจะเหน็ ว่าการสวดมนต์มผี ล ดีมากอย่างชัดเจน Harris และคณะ๒๙ ไดศ้ กึ ษาผปู้ ว่ ยในหอ้ งบำ� บดั ผปู้ ว่ ยโรคหวั ใจ (Coronary care unit) เช่นเดยี วกบั Byrd โดยศึกษาวิจยั แบบ randomized con- trolled trial กพ็ บว่า การสวดมนต์จากท่ไี กลโดยผู้ป่วยไม่ทราบว่ามผี ู้อนื่ สวดมนต์ให้ (intercessory prayer) ช่วยให้ผลการรักษาผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินในหน่วยดูแลผู้ป่วย โรคหวั ใจไดผ้ ลดขี น้ึ งานวจิ ยั ทงั้ สองชน้ิ นไี้ ดร้ บั การโต้แยง้ และวจิ ารณ์กนั มากในหม่นู กั 21

สวดมนตแ์ ละสมาธบิ �ำบดั เพื่อการรักษาโรค วิจัยว่าผลการรักษาท่ีดีข้ึนอาจจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เน่ืองจากมีตัวแปรมากท่ีมีผลต่อ การหายดขี ึน้ ของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรคแต่ละคนไม่เท่ากนั ความจ�ำเป็นต้อง ใช้ยาปฏชิ วี นะ หรอื ยาขบั ปัสสาวะต่างกนั และผู้ป่วยในกลุ่มท่ไี ม่มกี ารสวดมนต์ให้นน้ั ญาตทิ ี่บ้านอาจจะสวดมนต์ให้หายเรว็ ก็ได้ เพราะโดยปกติแล้ว ผู้ป่วยท่ปี ่วยอยู่ในขน้ั วกิ ฤติ ญาตมิ กั จะหาวธิ กี ารต่าง ๆ ทางจติ วญิ ญาณทตี่ นเองเชอื่ ถอื มาช่วยไมม่ ากกน็ อ้ ย และการสวดมนต์เป็นวิธีที่ง่ายท่ีผู้ป่วยนิยมใช้ในเวลาเข้ารับการรักษาเวลาเจ็บป่วย Saudia และคณะ๓๐ พบว่าผู้ป่วยทเ่ี ข้ารบั การผ่าตดั หัวใจร้อยละ ๙๖ ใช้การสวดมนต์ ช่วยประคบั ประคองจติ ใจของตนเอง และร้อยละ ๗๐ ของผู้ป่วยคดิ ว่าการสวดมนต์ จะชว่ ยได้ โดยไดจ้ ากการตอบแบบทดสอบของผรู้ ายงาน ทา้ ยทส่ี ดุ Byrd กลา่ วตดิ ตลก ว่า “ปัจจัยท่ีเขาไม่สามารถควบคุมได้ในการท�ำวิจัยคือ เขาไม่สามารถควบคุมความ ประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าอาจจะชอบกลุ่มท่ีมีคนสวดมนต์ให้ก็ได้” อย่างไรก็ตาม ความจรงิ ในเรอื่ งนค้ี งตอ้ งทำ� การศกึ ษาคน้ คว้ากนั ต่อไป ใหม้ ากกวา่ นกี้ ่อนจะสรปุ ลงไป ในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ Sicher และคณะ๓๑ ไดท้ ำ� การศกึ ษาวจิ ยั ในผปู้ ว่ ยโรคเอดส์ ทเี่ ป็นมากแล้วแบบ double-blind randomized ในผู้ป่วย ๔๐ ราย ผู้ป่วยเหล่านม้ี ี CD๔ ต�่ำกว่า ๒๐๐ ตวั ผู้ป่วยเหล่าน้ไี ด้รบั การสวดมนต์ให้ โดยท่เี จ้าตัวและแพทย์ผู้ รกั ษาไม่รู้ ๖ เดอื นต่อมา พบว่า ผู้ป่วยกลุ่มท่มี กี ารสวดมนต์ให้มโี รคแทรกซ้อน การ มาพบแพทย์หรือการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลน้อยกว่ากลุ่มท่ีไม่มีการสวดมนต์ ให้ แต่ระดบั CD๔ ในท้งั สองกลุ่มไม่ต่างกนั ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ มีการศกึ ษาวจิ ยั แบบ double-blind study ท่เี มโยคลนิ ิก๓๒ โดยส่มุ ตวั อย่างผ้ปู ่วย ๗๙๙ ราย เป็นผ้ปู ว่ ยโรคหวั ใจซงึ่ แพทยไ์ ด้จ�ำหนา่ ยออกจากโรง พยาบาล โดยแบ่งผู้ป่วยเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหนงึ่ มีการสวดมนต์ให้ กลุ่มทสี่ องไม่มกี าร สวดมนต์ให้ ทัง้ ๒ กลุ่มมกี ารดแู ลทางการแพทย์เหมอื นกนั ผู้ศึกษาพบว่าเมอ่ื ดใู นแง่ อตั ราตาย อาการหวั ใจหยดุ เตน้ การกลบั เขา้ รบั การรกั ษาในโรงพยาบาลในทง้ั สองกล่มุ พบว่าไม่แตกต่างกนั 22

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก / กองทนุ ภมู ิปญั ญาการแพทย์แผนไทย Chaและคณะ๓๓ ได้ศึกษาถงึ ผลของการสวดมนต์ในผู้ป่วยที่มีบตุ รยาก โดย การทำ� การผสมเทยี มแบบ In Vitro Fertilization-Embryo Transfer (IVF-ET) พบ ว่าการสวดมนต์ช่วยให้ผู้ป่วยต้ังท้องได้เพิ่มข้ึนสองเท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่มีการ สวดมนตใ์ ห้ อยา่ งไรกต็ ามการศกึ ษานภี้ ายหลงั ไดร้ บั การตรวจสอบและพบขอ้ ผดิ พลาด หลายประการในขบวนการศึกษาและตัวผู้ท�ำการวิจัย ท�ำให้ผลการศึกษาน้ีไม่เป็นท่ี ยอมรบั ในวงวชิ าการอกี ต่อไป ในปีพ.ศ. ๒๕๔๘ การศกึ ษาขนาดใหญ่ช่อื MANTRA study (Monitoring and Actualization of Noetic Training)๓๔ ของมหาวิทยาลัย Duke ศึกษา เปรียบเทียบระหว่างการสวดมนต์กับดนตรีบำ� บัด จินตนาการบ�ำบัดและสัมผัสบ�ำบัด (Music, Imaginary and Touch Therapy) ใช้เวลา ๓ ปี ในผู้ป่วยโรคหัวใจ ๗๔๘ ราย ท่ีท�ำการสอดใส่สายยางผ่านเส้นเลือดเพื่อฉีดสีและขยายเส้นเลือด (Elective catheterization or percutaneous coronary intervention) ผลการ ศกึ ษาไม่พบความแตกต่างในผลการรกั ษาของผู้ป่วยทง้ั สองกลุ่ม ในปีพ.ศ. ๒๕๔๙ งานวจิ ยั ชอ่ื Step project (Study of Therapeutic Effects of Intercessory Prayer)๓๕ ของมหาวทิ ยาลยั ฮาร์วาด โดย Benson และ คณะ เป็นการศึกษาขนาดใหญ่โดยใช้ผู้ป่วยผ่าตัดต่อเส้นเลือดหัวใจ ๑,๘๐๒ คน จากโรงพยาบาล ๖ แหง่ เปน็ การศกึ ษาวจิ ยั แบบ double-blind randomized control โดยแบ่งผู้ป่วยเป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มท่ี ๑ และ ๒ จะได้รับการบอกกล่าวว่า เขาอาจจะได้ รบั การสวดมนต์ให้หรอื ไม่กไ็ ด้ โดยในกลุ่มที่ ๑ จะมกี ารสวดมนต์ให้เท่านน้ั กลุ่มท่ี ๒ ไม่มีการสวดมนต์ให้แต่ผู้ป่วยไม่รู้ ส่วนกลุ่มที่ ๓ เขาจะได้รบั การบอกกล่าวว่าจะมกี าร สวดมนต์ให้ และมีการสวดมนต์ให้ในเวลาต่อมา กลุ่มนี้ต้องการทดสอบดูว่าจะมีผล ทจ่ี ะเกดิ จากจติ ใจหรอื ไม่ ต่อมาเขาให้โบสถ์ครสิ ต์ ๓ แห่ง สวดมนต์ให้ผู้ป่วยโดยให้ ช่ือผู้ป่วยไว้และให้สวดตามปกติ แต่เพ่มิ ข้อความว่า “ขอให้ผู้ป่วยประสบความสำ� เรจ็ ในการผ่าตดั และให้หายโดยเรว็ โดยไม่มอี าการแทรกซ้อนใด ๆ” ผลการทดลองพบว่า 23

สวดมนตแ์ ละสมาธิบำ� บดั เพื่อการรกั ษาโรค กลุ่มท่ี ๑ ที่ได้รับการสวดมนต์ให้ พบว่ามีอาการแทรกซ้อนใหญ่ ๆ หรืออัตราตาย ใน ๓๐ วนั แรก รอ้ ยละ ๕๒ กลมุ่ ท่ี ๒ กลมุ่ ทไ่ี มม่ กี ารสวดมนตใ์ ห้ พบวา่ มอี าการฯ รอ้ ยละ ๕๑ และกลุ่มท่ี ๓ มกี ารสวดมนต์ให้ พบว่ามอี าการฯ ร้อยละ ๕๙ บางรายในกลุ่มทม่ี ี การสวดมนตใ์ หอ้ าการเลวลงมากกวา่ กลมุ่ ทไ่ี มม่ กี ารสวดมนตใ์ ห้ จะเหน็ วา่ ผลการศกึ ษา ในกลุ่มท่ีมีการสวดมนต์ให้กลับแย่กว่าหรือไม่แตกต่างกันมากนักกับกลุ่มท่ีไม่มีการ สวดมนต์ให้ การท่ีผลออกมาอย่างน้ผี ู้วจิ ัยบางท่านกล่าวว่า อาจจะเป็นเพราะว่าผู้ป่วย ทไี่ ด้รบั การบอกกลา่ วว่าจะมกี ารสวดมนตใ์ หน้ น้ั อาจจะรสู้ กึ วติ กกงั วลมากขนึ้ จากการ บอกกล่าวว่าตนอาจจะก�ำลังจะแย่แน่ ๆ ก็เป็นได้ การบอกกล่าวอาจจะไปเพ่ิมความ กงั วลใหม้ ากขน้ึ กไ็ ด้ (Performance anxiety) Benson หวั หนา้ คณะผทู้ ำ� วจิ ยั กลา่ ววา่ เน่ืองจากยังมีข้อจ�ำกัดในวิธีการศึกษาอยู่หลายประการ จึงยังไม่สามารถแสดงผลได้ ถกู ต้องทเี ดยี ว งานวจิ ยั น้ีจงึ ยงั ไม่ใช่ค�ำตอบสุดท้าย คงจะต้องทำ� การศึกษาต่อไป ในการศกึ ษาโดยการทบทวนรายงานการวจิ ยั ทผี่ า่ นมาทตี่ พี มิ พล์ งใน Journal of Internal Medicine ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓๓๖ ผู้ทบทวนรายงาน ๒๓ ชน้ิ ผู้ป่วยใน การศกึ ษา ๒,๗๗๔ ราย ในจ�ำนวนน้ี มงี านวจิ ัยสวดมนต์ระยะไกล ๕ รายงาน สมั ผัส บ�ำบัด ๑๑ รายงาน รูปแบบอ่นื ๆ ๗ รายงาน ผลการวิเคราะห์ พบว่า การสวดมนต์ ให้ผลดีในการรกั ษา ๑๓ รายงาน ไม่พบว่าเกดิ ผลดี ๙ รายงาน และ ผลการรกั ษา แยล่ ง ๑ รายงาน ผศู้ กึ ษาเชงิ วเิ คราะหก์ ลา่ ววา่ ขอ้ มลู ยงั นอ้ ยเกนิ ไป จงึ เปน็ การยากทจ่ี ะ สรุปลงไปทเี ดียว อาจจะต้องมกี ารศึกษามากกว่าน้ี เราจะเห็นว่า รายงานส่วนใหญ่พยายามหาค�ำตอบว่า การสวดมนต์มีผลดี ตอ่ สขุ ภาพ หรอื ไม่ และมี ๓ รายงานเท่าน้นั ท่ีได้ผลดี คอื รายงานของ Byrd ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ Harris และคณะ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ และ Sicherและคณะในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น รายงานต่อมา MANTRA study ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ และ STEP project ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ไม่สามารถสรุปถงึ ผลของการสวดมนต์ได้ ดังน้ัน สมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา จึงให้ข้อสรุปว่าการสวดมนต์ให้ผู้อื่น 24

กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก / กองทุนภมู ิปญั ญาการแพทย์แผนไทย จากที่ไกลโดยผู้รับไม่รู้ตัวน้ัน ในแง่การปฏิบัติที่มีหลกั ฐานอา้ งองิ เชงิ ประจกั ษ์ (evi- dence-based practice) ยังต้องจดั ว่าอยู่ในข้นั ศกึ ษาทดลอง เนอ่ื งจากวิธกี ารวจิ ยั เท่า ท่ีท�ำอยู่อย่างแขง็ ขันในเวลาน้ี ยงั ไม่สามารถแสดงให้เหน็ อย่างเด่นชดั ถงึ ประสทิ ธิภาพ ของการสวดมนต์แบบน๓้ี ๗ เอกสารอ้างองิ ๑. Barnes PM,Powell-Griner,McFann K,Nahin RL. Complementary and alternative medicine use among adults: United States,๒๐๐๒.Adv Data ๑๐๐๔;May๒๗:๑-๑๙. ๒. McCaffrey AM,Eisenberg DM,Legedza AT,et al. Prayer for health concern: results of a national survey on prevalence and patterns of use. Arch Intern Med ๒๐๐๔;๑๖๔:๘๕๘-๘๒๖. ๓. Wallace RK,Benson H.,Wilson AF.A wakeful hypometabolic state, Am j Physiol. ๑๙๗๑;๒๒๑:๗๙๕-๗๙๙. ๔. Benson H, Beyond the Relaxation Response.New York.NY:Time Books:๑๙๘๔. ๕. Cannon W.The emergency function of the adrenal medulla in pain and the major emotions. Am J Physiol.๑๙๑๔;๓๓:๓๕๖-๓๗๒. ๖. Julius S,Cottier C,Behavior and hypertension. In Dembroski T,Schmidt T, eds. Behavioral Bases of Coronary Heart Disease.Basel,Switzerland: Karger;๑๙๘๓. 25

สวดมนตแ์ ละสมาธบิ �ำบัดเพอ่ื การรักษาโรค ๗. Clarkson T,Mancusk S,Kaplan J. Potential role of cardiovascular reactivity in atherogenesis. In:Matthews,Weiss S,Detre T, et al.,eds. Handbook of Stress ,Reactivity, and Cardiovascular Disease.New York,NY:Wiley:๑๙๘๖. ๘. Lawn B,Verrier R.Rabinowitz S,Neural and psychologic mechanisms and the problem of sudden cardiac death.Am j Cardiol.๑๙๘๗;๓๙:๘๙๐-๙๐๒. ๙. Turk D,Meichenbam D,A cognitive-behavioral approach to pain management. In: Wall P,Melzack R,eds.Textbook of Pain. Edinburgh. Scotland: Churchill-Livingstone.๑๙๘๔. ๑๐. Malzack R,Wali P.Psychophysiology of pain. Int Anesthesiol Clin. ๑๙๗๐;๘:๓-๓๔. ๑๑. Fava G,Perino G,Santumastaso P,Fornasa C,Life evens and psycho logical distress in dermatologic disorders : psoriasis, chronic urticarial, and fungal infections. In: Miller T,ed. Stressful Life Events. Madison. Wis:International Universities Press:๑๙๘๗. ๑๒. Robert S,Barnes D,The brain drain in stress.J NIH Res.๑๙๙๐;๒:๗๐-๗๑. ๑๓. Seibel M,Taymor M. Emotional aspects of infertility. Fertil Steril. ๑๙๘๒;๓๗:๑๓๗. ๑๔. Woods N,Most A,Longenecker G. Major life events,daily stressors,and premenstrual symptoms.Nurs Res.๑๙๘๕;๓๔:๒๖๓-๒๖๗. ๑๕. Alexander CN,Robinson P,Orme-Johnson DW,Schneider RH,Walton KG. The effects of transcendental meditation compared to other methods of relaxation and meditation in reducing risk factors, morbidity,and mortality. Homeostasis.๑๙๙๔;๒๕:๒๔๓-๒๖๓. 26

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก / กองทนุ ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ๑๖. Benson H. Systemic hypertension and the relaxation response. The N Eng Med.๑๙๗๗;๒๙๖:๑๑๕๒-๑๑๕๖. ๑๗. Tulpule T,Yogic exercises in the management of ishemic heart disease. Indian Heart Journal.๑๙๗๑;๒๓:๒๕๙-๒๖๔. ๑๘. Benson H, Alexander S,Feldman CL. Decreased premature ventricular contractions through the relaxation response in patients with stable ischemic heart disease. Lancet.๑๙๗๕;๒:๓๘๐. ๑๙. Cooper MJ, Aygen MM,A relaxation technique in the management of hypercholesterolemia. J Hum Stress.๑๙๗๙;๕:๒๔-๒๗. ๒๐. Honsberger RW,Wilson AF. Transcendental meditation in treating asthma. Respiratory Therapy:The Journal of Inhalation Technology. ๑๙๗๓;๓:๗๙-๘๐. ๒๑. Gaston L, Efcfi acy of imagery and meditation techniques in treating psoriasis.Imagination,Cognition and Personality.๑๙๘๘-๑๙๘๙;๘:๒๕-๓๘. ๒๒. Keefer L,Blanchard EB. A one-year follow-up of relaxation response meditation as a treatment for irritable bowel syndrome. Behavioral Research and therapy.๒๐๐๒;๔๐:๕๔๑-๕๔๖. ๒๓. Peters R,Benson H,Peters J,Daily relaxation response breaks in a working population:blood pressure. Am J Public Health.๑๙๗๗;๖๗: ๙๕๔-๙๕๙. ๒๔. Lehmann J, Benson H, The nonpharmacologic treatment of hypertension. In :Genest J,Kucher O,Hamet P,Cantin M,eds.Hypertension. ๓rd ed. New York.NY:McGraw Hill;๑๙๘๓;๑,๒๓๘-๑,๒๔๕. ๒๕. Field P,Effects of tape-recorded hypnotic preparation for surgery. J Clin Exp Hypn.๑๙๗๔;๒๒:๕๔-๖๑. 27

สวดมนต์และสมาธบิ �ำบัดเพอ่ื การรกั ษาโรค ๒๖. Perri K,Perri M. Use of relaxation training to reduce pain following vaginal hysterectomy.Percep Mot Skill.๑๙๘๗;๓๕:478. ๒๗. Domer AD,Noe JM,Benson H. The preoperative use of the relaxation response with amburatory surgery patients. J Hum Stress.๑๙๘๗; ๑๓:๑๐๑-๑๐๗. ๒๘. Byrd RC.Positive therapeutic effects of intercessory prayer in a coronary care unit population. Southern Medical journal. ๑๙๘๘;๘๑(๗):๘๒๖-๘๒๙. ๒๙. Harris WS, Gowda M,Kolb JW,et al.A Randomized controlled trial of the effect of remote,intercessory prayer on outcomes in patients admitted to the coronary care unit. Arch int Med,๑๙๙๙;๑๕๙(๑๙):๒๒๗๓-๘. ๓๐. Saudia TL,Kinny MR,Brown KC, et al.Health locus of control and helpfulness of prayer. Heart Lung J Crit Care .๑๙๙๑;๒๐:๖๐-๖๕. ๓๑. Sicher F,Targ E,Moore D,2ND, Smith SH,A Randomized double-blind study of the effect of distant healing in a population with advanced AIDS.Report of a small scale study . The Western journal of medicine. ๑๙๙๘;๑๖๙(๖):๓๕๖-๖๓. ๓๒. Aviles JM,Whelan SE, Hernke DA, et al.Intercessory prayer and cardiovascular disease progression in a coronary care unit population:a randomized controlled trial.Mayo Clinic Proceedings.๒๐๐๑;๗๖(๑๒): ๑๑๙๒-๘. ๓๓. Cha KY,Wirth DP,Lobo RA, Does prayer influence the success of in vitro fertilization-embryo transfer? Report of a masked randomized trial. J Report Med.๒๐๐๑;๔๖(๙):๗๘๑-๗๘๗. 28

กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก / กองทุนภมู ปิ ัญญาการแพทยแ์ ผนไทย ๓๔. Krucoff MW,Crater SW,Gallp D,et al.Music,imagery,touch,and prayer as adjuncts to interventional cardiac care:the monitoring and Actulisation of Noetic trainings(Mantra) ๒randomized study. Lancet. ๒๐๐๕;๓๖ (๙๔๘๑):๒๑๑-๗. ๓๕. Benson H,Dusek JA,Sherwood JB, et al.Study of the therapeutic Effects of Intercessory Prayer (STEP) in cardiac bypass patients: a multicenter randomized trial of uncertainty and certainty of receiving intercessory prayer.Am j Heart .๒๐๐๖;๑๕๑1(๔):๙๓๔-๔๒. ๓๖. John A. Astin,Elaine H,Edzard E. The Efcif acy of “Distance Healing” : A Systematic Review of Randomized Trials.Ann Int Med.๒๐๐๐;๑๒๓ (๑๑):๙๐๓-๙๑๐. ๓๗. David RH. A Systematic Review of the Empirical Literature on Intercessory Prayer. In Research on Social Work Practice .๒๐๐๗;๑๗ (๒):๑๗๔-๑๘๗. 29

30

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก / กองทนุ ภมู ปิ ญั ญาการแพทย์แผนไทย บทที่ ๒ เทคนิคและวธิ กี ารปฏบิ ตั ิ สวดมนตบ์ ำ� บดั เปน็ เทคนคิ การปฏบิ ตั แิ บบหนงึ่ ในการน�ำไปสกู่ ระบวนการของ สมาธบิ ำ� บัด การสวดจะเป็นแบบการท่องมนตรา (Montra) ที่มกี ารปฏิบัติสมาธขิ อง ทกุ ศาสนา เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮนิ ดู เป็นต้น การสวดมนต์บำ� บัด นบั ว่า เปน็ วธิ กี ารทไี่ ดร้ บั การยอมรบั และนำ� มาใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย เปน็ วฒั นธรรมของสงั คมทกุ ชาติ ศาสนาในการเยยี วยาท้ังด้านร่างกายและจติ ใจ การสวดมนต์บ�ำบัดจงึ มคี ณุ ค่าท่ี ควรจะได้มกี ารส่งเสรมิ ในการปฏบิ ตั ิเป็นประจ�ำ เพื่อส่งเสรมิ สขุ ภาพกาย จติ วญิ ญาณ และสงั คมโลกอย่างแท้จรงิ วิธกี ารสวดมนต์บำ� บดั โรค การสวดมนต์บำ� บัดมีวิธกี ารสวด ซ่งึ พอสรปุ ได้ ๓ แบบ ดงั น้ี ๑. การสวดมนต์ด้วยตวั เอง เป็นการเหนย่ี วนำ� ตวั เอง จงึ เป็นทม่ี าของค�ำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวธิ ีการทีด่ ีทส่ี ดุ เพราะหากคดิ ทีจ่ ะสวดมนต์ น่ันหมายความ ว่ากำ� ลงั มีความปรารถนาดตี ่อตนเอง วธิ กี าร คือ หาสถานท่ีสงบเงยี บ ไม่ควรสวดมนต์ หลงั รบั ประทานอาหารทนั ที ควรสวดมนตห์ ลงั รบั ประทานอาหารประมาณ ๒-๓ ชว่ั โมง เพอื่ ใหร้ า่ งกายไดผ้ อ่ นคลาย จะสวดกอ่ นเขา้ นอนกไ็ ด้ หรอื จะสวดเวลาใดกไ็ ดท้ รี่ า่ งกาย มีความพร้อมและผ่อนคลาย การสวดมนต์ถ้าสวดบทส้นั ๆ โดยใช้เวลาประมาณ ๑๐- ๑๕ นาที ข้นึ ไป จะท�ำให้ร่างกายได้หล่งั สารซโี รโทนนิ (Serotonin) ซง่ึ มฤี ทธิ์ช่วยให้ ร่างกายผ่อนคลาย แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาว ๆ จะได้ความผ่อนคลายและความ ศรทั ธา ขณะสวดมนต์ควรหลบั ตา สวดให้เกดิ เสียงดงั เพือ่ ให้ตวั เองได้ยนิ 31

สวดมนต์และสมาธบิ ำ� บัดเพื่อการรกั ษาโรค ๒. การฟังผู้อ่นื สวดมนต์ เป็นการเหนย่ี วนำ� โดยคลื่นเสยี งจากผู้อ่นื เช่น การ ฟังเสยี งพระสวดมนต์ เสยี งผู้น�ำสวดในศาสนาต่าง ๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสยี งสวดนั้น จะนุ่ม ทุ้ม ทำ� ให้เกดิ คลน่ื ทช่ี ่วยเยยี วยา (Healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มสี มาธิ ไม่มี ความเมตตา เสยี งสวดท่เี กิดขนึ้ อาจเป็นคล่นื ขน้ึ ๆ ลง ๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยยี วยา อาการป่วยอาจทำ� ให้เสยี สขุ ภาพได้ ๓. การสวดมนตใ์ หผ้ อู้ น่ื ปรากฏการณม์ ากมายทเ่ี ราเหน็ ในสงั คม เมอ่ื ใครสกั คนเจบ็ ป่วย เรามกั สวดมนต์หรอื อธษิ ฐานขอให้ความเจบ็ ป่วยของเขาหายไป บางคร้งั อยหู่ ่างกนั คนละซกี โลก เสยี งสวดมนต์เหลา่ นจ้ี ะมผี ลทำ� ให้สขุ ภาพเขาดขี น้ึ เพราะคลนื่ สวดมนต์เป็นคล่นื บวก เกิดจากจติ ใจทด่ี ีงาม ปรารถนาดตี ่อผู้ป่วย และเมอื่ เราคดิ จะ สง่ สญั ญาณนอี้ อกไปสทู่ ไ่ี กล ๆ มนั จะเดนิ ทางไปในรปู ของคลนื่ ไฟฟา้ คลนื่ นจ้ี งึ เดนิ ทาง ไปไดไ้ กล ๆ บางทพี ่อก�ำลงั ป่วยหนกั แต่ลกู อยตู่ า่ งประเทศ กส็ ามารถรบั คลนื่ นไ้ี ด้และ รู้ว่ามใี ครก�ำลงั ไม่สบาย ท่ีเราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรอื สมั ผสั ทห่ี กหรอื โทรจติ การทีจ่ ะ รบั รไู้ ดห้ รอื ไม่ ขนึ้ อยกู่ บั ผรู้ บั ผ้สู ่งดว้ ย ถา้ คนไหนรบั สญั ญาณคลน่ื แหง่ บทสวดมนตไ์ ด้ กจ็ ะได้ผล เหมอื นเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูกจ็ ะไม่ได้ยนิ ดังน้นั ถ้าต่างฝ่ายต่างเปิด รบั คลน่ื บวกทเี่ ราสง่ ไป ผ้ปู ่วยกจ็ ะไดร้ บั และท�ำใหอ้ าการป่วยดขี น้ึ ได้ จงึ ไม่ใชเ่ รอ่ื งของ ความมหศั จรรย์ แต่เป็นหลกั ธรรมชาติท่ัวไป การเลอื กบทสวดมนต์บำ� บดั การเลอื กบทสวดมนตเ์ พอ่ื การบำ� บดั จะนำ� มาเฉพาะบทสวดในพระพทุ ธศาสนา ที่นยิ มใช้สวดกนั เป็นกิจวตั ร ได้แก่ พระคาถาชยั มงคล พระคาถาชยั ปรติ ร พระคาถา โพชฌังคะปะรติ ตงั บทแผ่เมตตา และบทกรวดนำ้� เป็นต้น หรอื อาจจะเลอื กท่อนใด ท่อนหน่ึงแล้วสวดวนไปวนมากไ็ ด้ การสวดมนต์เพอ่ื การบ�ำบดั จึงเป็นทางเลอื กวธิ ีหนง่ึ ทจ่ี ะชว่ ยใหบ้ คุ คลสามารถเกดิ สมาธิ ความนงิ่ สงบ และหากมคี วามตอ่ เนอื่ งในการปฏบิ ตั ิ รวมทั้งเรียนรู้ในการสวดมนต์อย่างถูกต้อง ก็จะยิ่งส่งเสริมให้ผู้สวดมนต์เกิดพลังใน 32

กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก / กองทุนภมู ปิ ัญญาการแพทยแ์ ผนไทย การเยียวยาตนเองและผู้อื่น หากอยากให้ตัวเองและผู้อ่ืนมีสุขภาพกายและใจเป็นสุข และยังน้อมน�ำกุศลจิต ควรเริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจ�ำ ส�ำหรับบทสวดที่ทาง กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก น�ำมาเผยแพร่นี้เป็นบทสวด ที่พุทธศาสนกิ ชนนยิ มสวดกันท่วั ไปมีทั้งหมด ๕ บท ได้แก่ ๑) บทสวดพระคาถาพุทธ ชัยมงคล ๒) บทสวดพระคาถาชัยปริตร ๓) บทสวดพระคาถาโพชฌังคะปะริตตัง ๔) บทแผ่เมตตา ๕) บทกรวดน้ำ� โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ บทสวดพระคาถาพทุ ธชัยมงคล พระคาถานี้ กลา่ วถงึ ชยั ชนะของจอมมนุ ี คอื องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ท่ีมีต่อเหล่าอธรรม คือพระยามารและเสนามารทั้งหลาย ด้วยเดชและอ�ำนาจใน บญุ บารมขี องพระองค์ทสี่ ง่ั สมมาอยา่ งยาวนานเป็นอเนกอนนั ต์ ซงึ่ มอี านภุ าพมาก หรอื มีพุทธานุภาพมากนน้ั เอง ท�ำให้ผู้ท่เี คารพ เล่ือมใส และศรทั ธา ที่ทำ� การสวดพระคาถา นี้ และน้อมร�ำลึกนึกถงึ เหตุการณ์ในพุทธกาล ทั้ง ๘ บท หรอื ๘ ปรากฏการณ์นน้ั อยู่ เสมอ ๆ จะทำ� ให้สามารถยกระดบั จติ ใจให้สงู ขนึ้ อานิสงส์ของการสวดพระคาถาพุทธชัยมงคลน้ัน ให้ผู้สวดประสบกับโชคดี และชนะปัญหาอปุ สรรคและศัตรหู มู่มารที่มาผจญได้นั้นเอง การสวดพระคาถาน้ี จะ เร่ิมต้นด้วย การต้งั นะโม ๓ จบ ก่อนทกุ คร้งั แล้วต่อด้วยบทสวด ดงั นี้ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ น้ั อะระหะโต ซงึ่ เป็นผู้ไกลจากกเิ ลส สมั มาสัมพทุ ธสั สะ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (๓ จบ) 33

สวดมนตแ์ ละสมาธิบำ� บดั เพอ่ื การรกั ษาโรค อติ ปิ ิ โส ภะคะวา พระผู้มพี ระภาคเจ้าพระองค์นน้ั อะระหัง เป็นผู้ไกลจากกเิ ลส สมั มาสัมพทุ โธ เป็นผู้ตรสั รู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง วชิ ชาจะระณะสมั ปันโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวชิ ชาและจรณะ สคุ ะโต เป็นผู้เสดจ็ ไปแล้วด้วยดี โลกะวิท ู เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง อะนตุ ตะโร ปรุ ิสะทัมมะสาระถิ เป็นผู้สามารถฝึกบรุ ุษท่สี มควรฝึก ได้อย่างไม่มใี ครยง่ิ กว่า สัตถา เทวะมนสุ สานัง เปน็ ครผู สู้ อนของเทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย พทุ โธ เป็นผู้รู้ ผู้ตน่ื ผู้เบิกบานด้วยธรรม ภะคะวา ต.ิ เป็นผู้มคี วามเจริญจ�ำแนกธรรม ส่ังสอนสัตว์ ดงั นี้ สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม พระธรรมอนั พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดแี ล้ว สันทฏิ ฐิโก เป็นธรรมท่พี ึงเห็นได้ด้วยตนเอง อะกาลโิ ก เป็นธรรมทใ่ี ห้ผลได้ไม่จ�ำกัดกาล เอหิปัสสโิ ก เป็นธรรมท่คี วรกล่าวว่าท่านจงมาดเู ถดิ โอปะนะยโิ ก เป็นธรรมทค่ี วรน้อมเข้ามาใส่ตวั ปัจจตั ตัง เวทิตพั โพ วิญญหู ีต.ิ เป็นธรรมท่พี ึงรู้ได้เฉพาะตน ดงั นี้ 34

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก / กองทุนภมู ปิ ัญญาการแพทยแ์ ผนไทย สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ปฏิบัติดแี ล้ว อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ปฏิบตั ิตรงแล้ว ญายะปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ปฏบิ ตั ิเพือ่ รู้ธรรมเป็นเคร่อื งออกจาก ทกุ ข์แล้ว สามจี ิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ปฏบิ ัตสิ มควรแล้ว ยะททิ ัง ได้แก่บคุ คลเหล่าน้ี คือ จัตตาริ ปรุ สิ ะยคุ านิ อฏั ฐะ ปุรสิ ะปคุ คะลา คู่แห่งบุรษุ ส่คี ู่ นบั เป็นรายบคุ คล ได้แปดบรุ ุษ เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ นนั่ แหละสาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ อาหเุ นยโย เปน็ ผสู้ มควรแกส่ กั การะทเ่ี ขานำ� มาบชู า ปาหุเนยโย เป็นผู้สมควรแก่สกั การะ ทีเ่ ขาจัดไว้ต้อนรบั ทักขเิ ณยโย เป็นผู้ควรรบั ทักษณิ าทาน อัญชะลีกะระณโี ย เป็นผู้ควรท�ำอญั ชลี อะนตุ ตะรงั ปญุ ญกั เขตตงั โลกสั สาต.ิ เป็นเนือ้ นาบุญของโลกไม่มี นาบุญอน่ื ย่งิ กว่า ดังน้ี 35

สวดมนตแ์ ละสมาธบิ ำ� บัดเพอื่ การรกั ษาโรค พาหุง สะหสั สะมะภนิ ิมมติ ะสาวธุ ันตัง ดว้ ยเดชานภุ าพของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ครีเมขะลงั อทุ ิตะโฆระสะเสนะมารงั ผู้เป็นจอมมุนีได้ทรงช�ำนะพญามารซ่ึงได้ ทานาทิธมั มะวธิ ินา ชติ ะวา มนุ นิ โท เนรมิตแขนตั้งพัน ถืออาวุธครบมือข่ีช้าง ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลาน.ิ พลายครี เี มขล์ พรอ้ มดว้ ยเสนามารโหร่ อ้ ง กกึ กอ้ ง ดว้ ยธรรมวธิ ี มที านบารมี เปน็ ตน้ ขอชยั มงคลท้งั หลายจงมแี ก่ท่าน มาราติเรกะมะภยิ ชุ ฌติ ะสัพพะรตั ตงิ ดว้ ยเดชานภุ าพของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ โฆรมั ปะนาฬะวะกะมกั ขะมะถทั ธะยกั ขงั ผู้เป็นจอมมุนีได้ทรงช�ำนะอาฬวกะยักษ์ ขนั ตี สทุ ันตะวิธนิ า ชิตะวา มนุ นิ โท ดรุ า้ ย ผมู้ จี ติ กระดา้ งลำ� พอง หยาบชา้ ยง่ิ กวา่ ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลาน.ิ พญามาร เข้ามารกุ รานราวตี ลอดรุ่งราตรี ด้วยวธิ ที รมานเป็นอนั ดี คือขนั ติธรรมนน้ั ขอชยั มงคลท้งั หลายจงมแี ก่ท่าน นาฬาคิรงิ คะชะวะรัง อะตมิ ัตตะภตู งั ดว้ ยเดชานภุ าพของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทาวัคคิจกั กะมะสะนวี ะ สุทารณุ นั ตัง ผเู้ ปน็ จอมมนุ ไี ดท้ รงชำ� นะพญาชา้ งนาราครี ี เมตตัมพเุ สกะวธิ นิ า ชติ ะวา มนุ ินโท ซงึ่ กำ� ลงั เมามนั รา้ ยแรงเหมอื นไฟปา่ ลกุ ลาม ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลาน.ิ ร้องโกญจนาทเหมือนฟ้าฟาด ด้วยวิธีรด ลงดว้ ยนำ้� คอื พระเมตตา นน้ั ขอชยั มงคล ท้ังหลายจงมแี ก่ท่าน 36

กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก / กองทุนภมู ิปัญญาการแพทย์แผนไทย อุกขติ ตะขัคคะมะตหิ ัตถะสุทารุณนั ตัง ดว้ ยเดชานภุ าพของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ธาวันติโยชะนะปะถงั คลุ มิ าละวันตงั ผู้เป็นจอมมุนีได้ทรงช�ำนะองคุลีมารโจร อทิ ธภี สิ งั ขะตะมะโน ชติ ะวา มนุ ินโท ทารุณร้ายกาจนัก ทั้งฝีมือเย่ียมควงดาบ ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลาน.ิ ไล่ตามพระองค์ไปตลอดทาง ๓ โยชน์ ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ น้ัน ขอชัยมงคลทั้ง หลายจงมแี ก่ท่าน กัตวานะ กฏั ฐะมทุ ะรัง อิวะ คพั ภินยี า ดว้ ยเดชานภุ าพของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จญิ จายะ ทฎุ ฐะวะจะนงั ชะนะกะยะมชั เฌ ผเู้ ปน็ จอมมนุ ไี ดท้ รงชำ� นะนางจญิ จะมาณะ สันเตนะ โสมะวธิ ินา ชิตะวา มุนนิ โท วกิ า ทท่ี ำ� มารยาเสแสรง้ กลา่ วโทษพระองค์ ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลาน.ิ โดยผูกท่อนไม้กลมแนบเข้ากับท้อง ท�ำเป็นท้องมีครรภ์แก่ ด้วยสมาธิวิธี ในท่ามกลางประชมุ ชน นนั้ ขอชยั มงคล ท้ังหลายจงมแี ก่ท่าน สจั จัง วหิ ายะ มะตสิ ัจจะกะวาทะเกตงุ ดว้ ยเดชานภุ าพของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ วาทาภโิ รปิตะมะนงั อะตอิ ันธะภตู ัง ผู้เป็นจอมมุนีผู้รุ่งเรืองด้วยดวงประทีป ปัญญาปะทปี ะชะลิโต ชิตะวา มนุ ินโท คือ พระปัญญา ได้พบทางช�ำนะสัจจกะ ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลาน.ิ นิครนถ์ ผู้มีนิสัยตลบตะแลง มีสันดาน โออ้ วด มดื มนดว้ ยสจั จวาจานนั้ ขอชยั มงคล ท้งั หลายจงมแี ก่ท่าน 37

สวดมนตแ์ ละสมาธิบ�ำบัดเพอื่ การรักษาโรค นันโทปะนนั ทะภชุ ะคัง วพิ ุธงั มะหิทธิง ดว้ ยเดชานภุ าพของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ปุตเตนะ เถระภชุ ะเคนะ ทะมาปะยนั โต ผู้เป็นจอมมุนีโปรดให้พระโมคคัลลานะ อิทธปู ะเทสะวธิ นิ า ชติ ะวา มนุ ินโท เถระพทุ ธชิ โิ นรส นริ มติ กายเปน็ นาคราชไป ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลาน.ิ ทรมานนนั โทปะนนั ทนาคราช ผมู้ ฤี ทธม์ิ าก แต่มีความรู้ผิดด้วยวิธีแสดงอุปเท่ห์แห่ง ฤทธน์ิ ัน้ ขอชัยมงคลท้งั หลายจงมแี ก่ท่าน ทุคคาหะทฏิ ฐภิ ชุ ะเคนะ สุทัฏฐะหตั ถงั ดว้ ยเดชานภุ าพของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พรหั มงั วสิ ุทธิชุตมิ ิทธพิ ะกาภิธานงั ผู้เป็นจอมมุนีได้ทรงช�ำนะท้าวพกาพรหม ญาณาคะเทนะ วธิ ินา ชติ ะวา มนุ นิ โท ผมู้ ฤี ทธิ์ มคี วามสำ� คญั ตนผดิ วา่ เปน็ ผมู้ ฤี ทธ์ิ ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลาน.ิ รงุ่ เรอื งดว้ ยวสิ ทุ ธคิ ณุ ถอื มนั่ ดว้ ยมจิ ฉาทฏิ ฐิ เหมอื นดงั ถกู งรู า้ ยกำ� ลงั ตรงึ รดั ไวแ้ นน่ แฟน้ ดว้ ยวธิ ปี ระทานยาพเิ ศษ คอื เทศนาญาณนน้ั ขอชัยมงคลทง้ั หลายจงมแี ก่ท่าน เอตาปิ พทุ ธะชะยะมังคะละอฏั ฐะคาถา นรชนใด ไมเ่ กยี จครา้ น สวดกด็ ี ระลกึ กด็ ี โย วาจะโน ทนิ ะทเิ น สะระเต มะตนั ที ซ่ึงพระพุทธชยั มงคล ๘ คาถา แม้เหล่าน้ี หติ วานะเนกะววิ ธิ านิ จุปัททะวานิ ทกุ ๆ วนั นรชนนนั้ จะพงึ ละเสยี ไดซ้ ง่ึ อปุ ทั โมกขงั สขุ งั อะธคิ ะเมยยะ นะโร สะปญั โญ. วนั ตรายทง้ั หลาย มปี ระการตา่ ง ๆ เปน็ อเนก ถึงซง่ึ วโิ มกข์สวิ าลัยอนั เป็นบรมสุข แล 38

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก / กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย บทสวดพระคาถาชยั ปรติ ร ชัยปริตร คอื ปริตร ที่กล่าวถงึ ชัยชนะของพระพทุ ธเจ้า แล้วอ้างสจั วาจาน้นั มาพทิ กั ษค์ มุ้ ครองใหม้ คี วามสวสั ดี คาถา ๑-๓ แสดงชยั ชนะของพระพทุ ธเจา้ เปน็ คาถา ท่ีโบราณาจารย์ประพันธ์ขึ้นภายหลัง คาถา ๔-๕-๖ เป็นพระพุทธพจน์ ที่น�ำมาจาก องั คตุ ตรนกิ าย ปพุ พณั หสตู ร บทสวดมนตบ์ างฉบบั มคี าถาเพม่ิ วา่ โส อตั ถะลทั โธ... สา อตั ถะลทั ธา... ผแู้ ปลเหน็ วา่ ไมม่ ใี นพระสตู รนนั้ แปลเฉพาะคาถาทม่ี ใี นพระสตู ร อานสิ งส์ ของการสวดพระคาถามหากาพระปริตร นั้นช่วยทำ� ให้ประสบความส�ำเร็จ มีชัยชนะ และมีความสุขสวสั ดี มะหาการณุ โิ ก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณนิ ัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สมั โพธิมตุ ตะมัง เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ โหตุ เต ชะยะมงั คะลัง. พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นท่ีพึ่งของสัตว์ ประกอบแล้วด้วยพระมหากรุณา ยังบารมที ้ังหลายท้งั ปวงให้เตม็ เพื่อประโยชน์แก่สรรพสตั ว์ท้งั หลาย ถึงแล้วซ่งึ ความ ตรัสรู้อนั อุดมด้วยการกล่าวค�ำสัตย์น้ี ขอชยั มงคลจงมแี ก่ท่าน ชะยันโต โพธยิ า มูเล สักยานงั นันทวิ ัฑฒะโน เอวงั ตะวงั วชิ ะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมงั คะเล อะปะราชติ ะปัลลังเก สเี ส ปะฐะวโิ ปกขะเร อะภิเสเก สพั พะ พทุ ธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะต.ิ ขอทา่ นจงมชี ยั ชนะในมงคลพธิ ี เหมอื นพระจอมมนุ ที รงชนะมารทโี่ คนโพธพิ ฤกษ์ ถงึ ความเปน็ ผเู้ ลศิ ในสรรพพทุ ธาภเิ ษก ทรงปราโมทยอ์ ยบู่ นอปราชติ บลั ลงั กอ์ นั สงู เปน็ จอมมหาปฐพที รงเพ่ิมพนู ความยนิ ดแี ก่เหล่าประยรู ญาตศิ ากยวงศ์ ฉะนน้ั 39

สวดมนตแ์ ละสมาธิบ�ำบดั เพอ่ื การรักษาโรค สนุ กั ขัตตัง สุมงั คะลงั สุปะภาตัง สหุ ฏุ ฐิตัง สขุ ะโณ สมุ หุ ุตโต จะ สยุ ิฏฐงั พรมั หมะจารสิ ุ ปะทกั ขิณัง กายะกมั มัง วาจากมั มงั ปะทกั ขิณงั ปะทักขณิ งั มะโนกมั มัง ปะณธิ ี เต ปะทกั ขณิ า ปะทักขิณานิ กตั วานะ ละภนั ตัตเถ ปะทกั ขิเณ. เวลาทสี่ ัตว์ประพฤตชิ อบ ชื่อว่าฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดีและชนะดี ครู่ดี บชู าดแี ลว้ ในพรหมจารบี คุ คลทง้ั หลาย กายกรรมเปน็ ประทกั ษณิ สว่ นเบอ้ื งขวา วจกี รรม เป็นประทกั ษณิ ส่วนเบ้อื งขวา มโนกรรมเป็นประทกั ษณิ ส่วนเบอ้ื งขวา ความปรารถนา ของท่านเป็นประทักษิณส่วนเบ้ืองขวา สัตว์ทั้งหลายท�ำกรรมอันเป็นประทักษิณส่วน เบอ้ื งขวาแล้ว ย่อมได้ประโยชน์ท้งั หลาย อนั เป็นประทกั ษณิ ส่วนเบ้ืองขวา ภะวะตุ สพั พะมงั คะลงั รกั ขันตุ สพั พะเทวะตา สพั พะพทุ ธานภุ าเวนะ สะทา โสตถี ภะวนั ตุ เต. ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน ขอเหล่าเทวดาท้ังปวงจงรักษาท่านด้วยอนุภาพ แห่งพระพุทธเจ้าท้งั ปวง ขอความสวสั ดีทัง้ หลายจงมแี ก่ท่านทุกเมอื่ ภะวะตุ สพั พะมงั คะลัง รักขนั ตุ สพั พะเทวะตา สพั พะธมั มานภุ าเวนะ สะทา โสตถี ภะวนั ตุ เต. ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน ขอเหล่าเทวดาท้ังปวงจงรักษาท่านด้วยอนุภาพ แห่งพระธรรมท้งั ปวง ขอความสวสั ดที ั้งหลายจงมแี ก่ท่านทกุ เมอ่ื ภะวะตุ สพั พะมงั คะลัง รักขันตุ สพั พะเทวะตา สัพพะสังฆานภุ าเวนะ สะทา โสตถี ภะวนั ตุ เต. ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาท่านด้วยอนุภาพ แห่งพระสงฆ์ท้งั ปวง ขอความสวสั ดที ั้งหลายจงมแี ก่ท่านทกุ เม่อื 40

กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก / กองทุนภูมปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย หมายเหตุ พวกพราหมณเ์ ขาถอื ว่า การประทกั ษณิ คอื การเดนิ เวยี นขวารอบสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ และบคุ คล ทตี่ นเคารพนนั้ เปน็ การใหเ้ กยี รตแิ ละเปน็ การเคารพสงู สดุ เปน็ มงคลสงู สดุ เพราะฉะนน้ั บาลีทีแ่ สดงไว้ว่า กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม ความปรารถนาและการ ทกี่ ระทำ� กรรมทงั้ หลาย เปน็ ประทกั ษณิ อนั เปน็ สว่ นเบอื้ งขวาหรอื เวยี นขวานน้ั จงึ หมาย ถงึ การทำ� การพดู การคดิ ทเี่ ปน็ มงคล และผลทไ่ี ดร้ บั กเ็ ปน็ ประทกั ษณิ อนั เปน็ สว่ นเบอื้ ง ขวาหรอื เวียนขวา กห็ มายถึงได้รับผลทเ่ี ป็นมงคลอนั สงู สุดน่นั แล บทสวดพระคาถาโพชฌงั คะปะรติ ตงั โพชฌงั คปะรติ ตงั หรอื โพชฌงั คปรติ รเปน็ หลกั ธรรมหมวดหนง่ึ ในสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค บทสวดมนต์โพชฌงั คปรติ ร ถอื เปน็ พทุ ธมนตท์ ช่ี ่วยให้คนป่วยทไ่ี ดส้ ดบั ตรับฟังธรรมบทนี้แล้วสามารถหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ ที่เชื่ออย่างน้ีเพราะมีเร่ืองใน พระไตรปิฎกเล่าว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปเย่ียมพระมหากัสสปะที่อาพาธ พระองคท์ รงแสดงสมั โพชฌงั คปรติ รแกพ่ ระมหากสั สปะ พบวา่ พระมหากสั สปะสามารถ หายจากโรคได้ อีกครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่ง อาพาธ หลังจากน้นั พบว่าพระโมคคลั ลานะกห็ ายจากอาพาธได้ในท่สี ุด เม่อื พระพทุ ธ องค์ทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทะเถระแสดงโพชฌังคปริตรถวาย ซึ่งพบว่า พระพุทธเจ้ากห็ ายประชวร พุทธศาสนิกชนจึงพากันเชื่อว่าอานิสงส์ของโพชฌังคปริตร สวดแล้วช่วยให้ หายโรค ซึ่งในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นธรรมเก่ียวกับ ปัญญา เป็นธรรมช้นั สูง ซ่งึ เป็นความจรงิ ในเร่อื งการทำ� ใจให้สว่าง สะอาดผ่องใส ซ่ึง สามารถช่วยรักษาใจ เพราะจิตใจมีความสัมพันธ์และเก่ียวข้องกับร่างกาย เน่ืองจาก กายกบั ใจเปน็ สง่ิ ทอี่ าศยั กนั และกนั หลกั ของโพชฌงั คปรติ รเปน็ หลกั ปฏบิ ตั ทิ วั่ ไปซงึ่ ไม่ จ�ำกัดเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น เพราะโพชฌังคปริตรแปลว่า องค์แห่งโพธิหรือองค์แห่ง โพธญิ าณเป็นองค์แห่งการตรสั รู้ซ่ึงเป็นเร่อื งของปัญญา 41

สวดมนต์และสมาธบิ �ำบัดเพ่ือการรกั ษาโรค โพชฌังโค สะตสิ ังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา วริ ิยัมปีติปัสสทั ธิ โพชฌงั คา จะ ตะถาปะเร. สะมาธุเปกขะโพชฌงั คา สตั เต เต สพั พะทสั สนิ า มนุ นิ า สัมมะทกั ขาตา ภาวิตา พะหลุ กี ะตา. สงั วตั ตันติ อะภญิ ญายะ นพิ พานายะ จะ โพธยิ า เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โสตถิ เต โหตุ สพั พะทา. โพชฌงค์ ๗ ประการ คอื สตสิ มั โพชฌงค์ ธรรมวิจัยสมั โพชฌงค์ วริ ิยสัม โพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอเุ บกขาสัม โพชฌงค์ เหล่าน้ี เป็นธรรมอนั พระมุนีเจ้า ผู้ทรงเหน็ ธรรมท้ังปวงตรสั ไว้ชอบแล้ว อนั บคุ คลเจรญิ แล้วกระทำ� ให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพอ่ื ความรู้ยงิ่ เพอ่ื ความตรสั รู้ และเพอ่ื นพิ พานด้วยการกล่าวคำ� สัตย์น้ี ขอความสวสั ดีจงบงั เกิดมแี ก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมือ่ เอกัสมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานญั จะ กัสสะปัง คิลาเน ทกุ ขเิ ต ทสิ วา โพชฌงั เค สตั ตะ เทสะยิ เต จะ ตัง อะภนิ ันทิตวา โรคา มจุ จงิ สุ ตงั ขะเณ เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โสตถิ เต โหตุ สพั พะทา. ในสมัยหน่ึง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตร พระมหาโมคคัลลานะ และ พระมหากสั สปะอาพาธไดร้ บั ทกุ ขเวทนาแลว้ จงึ ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ประการ ใหท้ า่ น ท้งั สองฟัง ท่านทั้งสองนนั้ ช่นื ชมยนิ ดยี งิ่ ซง่ึ โพชฌงั คธรรม โรคกห็ ายได้ในบดั ดลด้วย การกล่าวคำ� สตั ย์นี้ ขอความสวสั ดี จงบงั เกิดมแี ก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมอ่ื 42

กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก / กองทนุ ภูมปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย เอกะทา ธมั มะราชาปิ เคลัญเญนาภปิ ีฬิโต จนุ ทัตเถเรนะ ตญั เญวะ ภะณาเปตวานะ สาทะรงั . สัมโมทิตวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. ในครงั้ หนง่ึ องคพ์ ระธรรมราชา (พระพทุ ธเจา้ ) ทรงประชวรเปน็ ไขห้ นกั รบั สงั่ ให้พระจนุ ทะเถระ กล่าวโพชฌงค์น้นั แลถวายโดยเคารพกท็ รงบันเทิงพระหฤทยั หาย จากพระประชวรน้นั ได้โดยพลนั ด้วยการกล่าวคำ� สตั ย์น้ี ขอความสวสั ดี จงบงั เกดิ มี แก่ท่าน ตลอดกาลทุกเม่อื ปะหนี า เต จะ อาพาธา ตณิ ณนั นัมปิ มะเหสนิ งั มัคคาหะตะกเิ ลสา วะ ปัตตานปุ ปัตตธิ ัมมะตัง เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ โสตถิ เต โหตุ สพั พะทา. โพชฌังคะปะรติ ตัง นฏิ ฐิตงั . กอ็ าพาธท้งั หลายน้ัน ของพระผู้ทรงคุณอนั ยงิ่ ใหญ่ทง้ั ๓ องค์น้ัน หายแล้ว ไม่กลับเป็นอีก ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคก�ำจัดเสียแล้ว ถึงซ่ึงความไม่เกิดอีกเป็น ธรรมดาด้วยการกล่าวค�ำสัตย์น้ี ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุก เมอ่ื เทอญ 43

สวดมนต์และสมาธบิ ำ� บัดเพ่อื การรักษาโรค บทแผ่เมตตา สพั เพ สตั ตา สัตว์ท้ังหลายท่ีเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทง้ั หมดทง้ั ส้ิน อะเวรา จงเป็นสุขเป็นสขุ เถดิ อย่าได้มเี วรแก่กนั และกนั เลย อพั ยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกัน และกนั เลย อะนฆี า จงเป็นสขุ เปน็ สขุ เถดิ อยา่ ไดม้ คี วามทกุ ข์กายทกุ ข์ใจเลย สุขี อัตตานงั ปะรหิ ะรนั ตุ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัย ทัง้ สนิ้ เถดิ บทกรวดนำ้� อิมนิ า ปญุ ญะกมั เมนะ ด้วยผลบญุ ท่ขี ้าพเจ้ากระท�ำนี้ อปุ ัชฌายา คณุ ุตตะรา ขอพระอุปัชฌาย์ผู้มคี ณุ อนั ยงิ่ ใหญ่ไพศาล อาจะริยปู ะการา จะ อีกทงั้ อาจารย์ผู้ได้ส่งั สอนข้าพเจ้ามา มาตาปิตา จะ ญาตะกา ท้งั มารดาบดิ าและคณาญาตทิ ัง้ สิ้น สรุ ิโย จันทมิ า ราชา ตลอดจนพระอาทติ ยแ์ ละพระจนั ทรแ์ ละพระเจา้ แผน่ ดนิ ผู้เป็นใหญ่ในเอกเทศแห่งเมทนดี ล คุณะวันตา นะราปิ จะ และนราชนผู้มคี ณุ งามความดที งั้ หลายทุกถน่ิ ฐาน พรหั มะมารา จะ อนิ ทา จะ อีกท้าวมหาพรหมกบั หมู่มารและท้าวมฆั วานเทวราช โลกะปาลา จะ เทวะตา ท้ังเทพเจ้าผู้ฉกาจ รกั ษาโลกท้งั ส่ที ศิ ยะโม มติ ตา มะนสุ สา จะ และพญายมราชอกี มวลมติ รสหาย มชั ฌัตตา เวรกิ าปิ จะ ทง้ั ผขู้ วนขวายวางตนเปน็ กลางและผเู้ ปน็ ศตั รขู องขา้ พเจา้ ทุก ๆ เหล่า 44

กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก / กองทนุ ภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย สพั เพ สตั ตา สขุ ี โหนตุ จงมคี วามเกษมสขุ นริ าศภยั ปุญญานิ ปะกะตานิ เม ขอบุญท่ขี ้าพเจ้ากระท�ำไว้ด้วยไตรทวาร สขุ ัง จะ ติวธิ งั เทนตุ จงบนั ดาลให้สำ� เร็จไตรพธิ สขุ ขิปปัง ปาเปถะ โว มะตงั ถึงความเกษมปราศจากทุกข์คือ พระอมตมหานฤพาน โดยพลัน อิมินา ปญุ ญะกมั เมนะ อีกโสตหนึง่ นน้ั ด้วยกรรมน้ี อมิ ินา อทุ ทเิ สนะ จะ และอทุ ศิ เจตนาน้ี ขปิ ปาหัง สลุ ะเภ เจวะ ขอให้ข้าพเจ้าบรรลุทนั ทซี ึง่ การตัดขาด ตัณหปุ าทานะเฉทะนงั ตัณหาอปุ าทาน เย สนั ตาเน หนิ า ธมั มา ธรรมอันชว่ั ในสนั ดานจงพนิ าศไปหมด ยาวะ นิพพานะโต มะมงั จนตราบเท่าถงึ นิพพานส้นิ กาลทกุ เม่ือเทียว นัสสนั ตุ สพั พะทา เยวะ มลายส้นิ จากสนั ดาน ยตั ถะ ชาโต ภะเว ภะเว แม้ว่าข้าพเจ้าจะยงั ท่องเท่ียวไปเกดิ ในภพใด ๆ อชุ ุจิตตัง สะตปิ ัญญา กข็ อให้มจี ิตซ่อื ตรงด�ำรงสติปัญญาไวชาญฉลาด สัลเลโข วริ ิยมั หนิ า ให้มคี วามเพยี รกล้า สามารถขดั เกลากเิ ลสให้สญู หาย มารา ละภนั ตุ โนกาสงั ขอหมู่มารเหล่าร้ายอย่าได้กล้�ำกลายสบโอกาส กาตญุ จะ วิรเิ ยสุ เม เพื่อทำ� ให้ข้าพเจ้าพนิ าศคลายความเพยี รได้ พุทธาทิปะวะโร นาโถ อนง่ึ ไซร้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นท่พี ่ึงอนั ย่งิ อย่างประเสรฐิ ธมั โม นาโถ วะรตุ ตะโม พระธรรมเป็นทพ่ี งึ่ อนั อดุ มเลศิ ย่งิ ประมาณ นาโถ ปัจเจกะพทุ โธ จะ พระปัจเจกพทุ ธเจ้าอนั เป็นทพ่ี ่งึ อันไพศาล สงั โฆ นาโถตตะโร มะมงั และพระสงฆ์เป็นทพ่ี ึง่ อนั อุดมยิ่งประมาณของข้าพเจ้าน้ี เตโสตตะมานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพอนั อุดมดพี ิเศษสงู สุดของพระรตั นตรยั มาโรกาสงั ละภนั ตุ มา. ขออย่าให้หมู่มารได้โอกาสทกุ เม่อื ไปเทอญ. 45

สวดมนต์และสมาธบิ �ำบัดเพอ่ื การรกั ษาโรค การปฏบิ ตั สิ มาธิอย่างง่าย ความหมายของสมาธิ สมาธิ หมายถงึ ภาวะของจติ ทตี่ งั้ มนั่ กำ� หนดแนว่ แนอ่ ยกู่ บั สงิ่ ใดสง่ิ หนงึ่ หรอื เรื่องใดเรอ่ื งหน่ึงติดต่อกนั เป็นเวลานาน ๆ ไม่ฟุ้งซ่านไปหาส่งิ อ่นื หรือเร่ืองอื่นจากสง่ิ ท่ี ก�ำหนด ได้แก่ ภาวะท่จี ติ มีอารมณ์เป็นหนึง่ หรอื มอี ารมณ์เดียว และจิตทต่ี ้งั มน่ั นั้นจะ ตอ้ งเปน็ กศุ ล ลกั ษณะของสมาธคิ อื จติ จะเกดิ ความสงบเยน็ สบายใจ มคี วามผอ่ นคลาย เอิบอิม่ ใจ ปลอดโปร่งและมคี วามสุข อุบายท่ีจะให้เกดิ สมาธิ การปฏิบัติที่จะให้เกิดสมาธิ จะต้องมีวิธีการหรือหลักการที่เหมาะสม ได้แก่ กมั มฏั ฐาน ซง่ึ แปลวา่ ทต่ี ง้ั แหง่ การงาน (ทางใจ) แบง่ เปน็ ๒ ประเภท คอื สมถกมั มฏั ฐาน และวิปัสสนากมั มัฏฐาน สมถกัมมัฏฐาน หมายถึง การปฏบิ ัตบิ ำ� เพ็ญเพยี รเพ่ือท�ำใจให้สงบ จนตงั้ ม่นั เป็นสมาธิ การบ�ำเพ็ญกัมมัฏฐานข้อนี้ ผู้ปฏิบัติจะต้องบังคับใจให้อยู่กับส่ิงท่ีกำ� หนด ให้ได้ โดยอาศยั หลกั การบรกิ รรม วิปัสสนากัมมัฏฐาน หมายถึง การปฏิบัติบ�ำเพ็ญเพียร เพื่อให้เกิดปัญญา เห็นแจ้ง โดยอาศยั หลักไตรลกั ษณ์ คือ อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา กัมมัฏฐานท้ังสองแบบน้ีจะแตกต่างกัน แต่ในหลักการปฏิบัติจะเป็นปัจจัย สนบั สนนุ ซง่ึ กนั และกนั คอื สมถะ สนบั สนนุ ใหเ้ กดิ วปิ สั สนา และวปิ สั สนา กส็ นบั สนนุ ให้เกดิ สมถะ จะเรม่ิ ปฏบิ ตั ิสง่ิ ใดก่อนกไ็ ด้ หรอื ปฏิบัตคิ วบคู่กนั ไปก็ได้ ขัน้ ตอนการปฏบิ ตั ิ การเตรียมกาย เช่น อาบน�้ำชำ� ระร่างกายไม่ให้เกดิ ความเหนอะหนะรบกวน เลอื กสวมใส่เส้อื ผ้าท่ีสบายไม่หลวมรุ่มร่ามหรอื คบั แน่นจนเกนิ ไป ไม่ควรอยู่ในอาการ หวิ หรืออม่ิ จนเกินไปจนอดึ อดั 46

กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก / กองทนุ ภมู ปิ ญั ญาการแพทย์แผนไทย การเตรยี มใจ คอื ตดั ความวติ กกงั วล หากมงี านสำ� คญั ทค่ี ง่ั คา้ ง ควรทำ� ใหส้ ำ� เรจ็ เสียก่อน ช�ำระศีลของตนให้บรสิ ุทธ์ิ ได้แก่ การสมาทานศลี ถึงแม้ไม่ได้สมาทานกบั พระสงฆ์ กส็ มาทานด้วยตนเอง โดยการก�ำหนดภายในใจให้ได้ สถานที่ ควรเลอื กสถานทีเ่ งยี บสงบ ไม่มเี สยี ง กล่นิ หรอื สัตว์แมลงรบกวน เวลาควรเป็นเวลาที่เสร็จสิ้นจากภารกิจประจ�ำวัน เวลาที่เหมาะคือ หลังจากไหว้พระ สวดมนต์ในตอนเช้าและตอนเยน็ หรอื ก่อนนอน การน่ังสมาธิ อริ ยิ าบถทน่ี ยิ มและไดผ้ ลดที ส่ี ดุ คอื การนงั่ ในทา่ ขดั สมาธคิ อื เทา้ ขวาทบั เทา้ ซา้ ย วางมือไว้บนตักชิดท้องน้อย มือขวาทับมือซ้ายนิ้วหัวแม่มือจดกัน นั่งให้ตัวตรง เนอื่ งจากจะทำ� ให้หนงั เนอ้ื และเอ็นไม่ขด ลมหายใจเดินสะดวก เป็นท่าทมี่ ่นั คง หากไม่ ถนดั จะนงั่ พบั เพยี บหรอื นงั่ บนเกา้ อก้ี ไ็ ด้ หากมอี าการเกรง็ หรอื เครยี ดแสดงวา่ ยงั ปฏบิ ตั ิ ไม่ถกู ให้แก้ไขท่านง่ั ให้เรยี บร้อย เมอื่ นงั่ ดแี ล้ว ให้หายใจยาวลกึ ๆ และช้า ๆ เตม็ ปอด ๒-๓ ครง้ั พร้อมกบั ตงั้ ความรู้สกึ ให้ตัวโล่ง และให้สมองโปร่งสบายแล้วจงึ หายใจต่อ ด้วยกำ� หนดภาวนา ส่วนวธิ กี ารปฏบิ ตั ิวิปัสสนากรรมฐาน ประกอบด้วย ๑. มีสตกิ ำ� หนดรู้เท่าทนั อารมณ์ทม่ี ากระทบทางตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ ๒. มีความเพยี รทจี่ ะใช้สตกิ �ำหนดรู้เท่าทนั อารมณ์น้นั ๆ อยู่ตลอดเวลา ๓. อารมณ์ทม่ี ากระทบนน้ั ต้องเป็นปัจจุบนั เท่านนั้ ๔. ตอ้ งมคี วามรสู้ กึ เปน็ กลาง คอื ไมร่ สู้ กึ รกั หรอื ชงั ในขณะทกี่ ำ� หนดอารมณน์ น้ั ๆ การปฏิบัติกรรมฐานประเภทนี้ ไม่บังคับจิตให้อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หน่ึง แต่เป็นการกำ� หนดอารมณ์ทม่ี ากระทบ ขึน้ อยู่กบั สตทิ ีจ่ ะกำ� หนดทันทอ่ี ารมณ์ไหนก็ให้ กำ� หนดทอี่ ารมณน์ น้ั เทา่ นนั้ ผทู้ เ่ี จรญิ วปิ สั สนากรรมฐาน จะเปน็ ผมู้ สี ตวิ อ่ งไวตอ่ อารมณ์ ทมี่ ากระทบ ผลทไี่ ดร้ บั คอื จะเหน็ อารมณต์ า่ ง ๆ เหลา่ นน้ั ตามความเปน็ จรงิ คอื ไมเ่ ทย่ี ง 47

สวดมนตแ์ ละสมาธิบำ� บดั เพ่ือการรกั ษาโรค เปลยี่ นแปรไป เปน็ ทกุ ข์ คอื ไมส่ ามารถทนอยใู่ นสภาพนนั้ ได้ และไมม่ ตี วั ตน คอื กำ� หนด ไมไ่ ดว้ า่ ใครเปน็ เจา้ ของ เมอื่ เปน็ เชน่ นกี้ เิ ลสตา่ ง ๆ ไมส่ ามารถจะครอบงำ� จติ ใจได้ ทำ� ให้ ฉลาด รู้เท่าทนั อารมณ์และกเิ ลสท้ังปวง การปฏบิ ัตสิ มาธแิ บบ SKT สมาธิบ�ำบดั แบบ SKT คอื อะไร การปฏบิ ตั ิ “สมาธแิ บบ SKT****๔ เปน็ เทคนคิ วธิ กี ารหนง่ึ ของการทำ� สมาธบิ ำ� บดั ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคนิคนี้ขึ้นมา อธิบายถึงความเช่ือมโยงของการปฏิบัติสมาธิกับการ ท�ำงานของระบบประสาท พบว่าการท�ำสมาธิแบบสมถะ หายใจเข้า “พทุ ธ” หายใจออก “โธ” นั้นสามารถช่วยให้คลายเครียดได้อย่างดี แต่หากเราสามารถควบคุมการฝึก ประสาทสมั ผสั ทัง้ ๖ ได้แก่ ตา หู จมกู ลิน้ การสมั ผสั และการเคล่ือนไหวด้วย ก็จะ ท�ำให้การทำ� สมาธนิ ้ันมีผลดตี ่อการทำ� งานของระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาท ส่วนปลาย ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบอารมณ์และพฤติกรรม ระบบภูมิต้านทาน ของร่างกาย ระบบไหลเวียนเลอื ด และระบบอน่ื ๆ ในร่างกายได้เป็นอย่างดี จงึ ได้น�ำ องค์ความรู้ ทัง้ เรื่องสมาธิ โยคะ ชก่ี ง การออกก�ำลังกายแบบยดื เหยยี ด การปฏบิ ัติ สมาธิด้วยเทคนคิ การหายใจ และการควบคมุ ประสาทสมั ผสั ทางตาและหู ผสมผสาน กัน จนพัฒนาเป็นรูปแบบสมาธบิ �ำบัดแบบใหม่ขน้ึ ๗ เทคนิค หรอื เรียกว่า SKT ๑-๗ ทชี่ ่วยเยยี วยาผ้ปู ่วยโรคเรอื้ รงั และผปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยให้มสี ขุ ภาพและคณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ี ขนึ้ ****๔สมาธบิ ำ� บัดแบบ SKT เป็นเทคนคิ ลขิ สิทธิข์ อง รศ.ดร.สมพร กนั ทรดษุ ฎี เตรยี มชยั ศรี อาจารย์ประจ�ำภาค วชิ าอาชวี อนามยั และความปลอดภยั คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล (SKT ยอ่ มาจากชอ่ื รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรยี มชยั ศรี) 48

กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก / กองทุนภูมปิ ญั ญาการแพทย์แผนไทย ท่าที่ ๑ (SKT ๑) “นั่งผ่อนคลาย ประสานกายประสานจติ ” “เปน็ การนง่ั หรอื นอนปฏบิ ตั สิ มาธดิ ว้ ยการหายใจ “ลดความดนั โลหติ ผอ่ นคลาย กล้ามเนอื้ และลดน้ำ� ตาลในผู้ป่วยเบาหวานได้ด”ี ๑. ในท่านั่งให้หงายฝ่ามือทั้งสองข้างวางบนหัวเข่า ในท่านอน ให้วางแขน หงายมอื ไว้ข้างตวั หรอื คว�่ำฝ่ามอื ไว้ที่หน้าท้อง ๑. ค่อย ๆ หลบั ตาลงช้า ๆ สูดลมหายใจเข้าทางจมกู ลกึ ๆ ช้า ๆ นับ ๑-๕ กลนั้ หายใจนบั ๑-๓ ชา้ ๆ แลว้ เปา่ ลมหายใจออกทางปากชา้ ๆ พรอ้ มกบั นบั ๑-๕ อกี ครง้ั ถือว่าครบ ๑ รอบ ทำ� ซ้ำ� แบบนี้ท้งั หมด ๓๐-๔๐ รอบ แล้วค่อยลืมตาข้นึ ช้า ๆ ๒. ให้ปฏบิ ตั ิวนั ละ ๓ รอบ ก่อนหรอื หลงั อาหาร ๓๐ นาที 49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook