Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2558_พระครูศรีปัญญาวิกรม

2558_พระครูศรีปัญญาวิกรม

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-07-02 00:52:28

Description: 2558_พระครูศรีปัญญาวิกรม

Search

Read the Text Version

รายงานการวจิ ยั เร่อื ง ศกึ ษาวิเคราะห์ประวตั ิศาสตร์พระพทุ ธศาสนาจากพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา An Analytical Study of History of Buddhism from Sri-Ayutthyâ Geneology โดย พระครูศรปี ญั ญาวิกรม,ดร. พระมหาถนอม อานนฺโท มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาลัยสงฆ์บรุ ีรมั ย์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้รบั ทุนสนับสนนุ การวิจัยจากมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย MCU RS 610758029

๒ รายงานการวจิ ยั เรอ่ื ง ศกึ ษาวิเคราะห์ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา An Analytical Study of History of Buddhism from Sri-Ayutthyâ Geneology โดย พระครูศรีปญั ญาวิกรม,ดร. พระมหาถนอม อานนฺโท มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้รบั ทุนสนับสนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย MCU RS 610758029 (ลิขสทิ ธิ์เปน็ ของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั )

๓ Research Report An Analytical Study of History of Buddhism from Sri-Ayutthyâ Geneology By PhrakruSripanyavikrom,Dr. Phramaha Thanorm Anando Buriram Buddhist College Mahachulalongkornrajavidayalaya University B.E. 2558 Research Project Funded by Mahachulalongkornrajavidyalaya University MCU RS 610758029 (Copyright Mahachulalongkornrajavidyalaya University)

ก ชอ่ื รายงานการวจิ ัย : การศึกษาวิเคราะห์ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ผ้วู จิ ยั : พระครศู รปี ัญญาวกิ รม,ดร., พระมหาถนอม อานนฺโท สว่ นงาน : วทิ ยาลยั สงฆ์บุรรี มั ย์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ปงี บประมาณ : ๒๕๕๘ ทุนอดุ หนุนการวิจัย : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั บทคัดย่อ การวิจัยครั้งน้ีมีจุดประสงค์เพื่อ ๑. ศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรี อยุธยา ๒. วิเคราะห์บทบาทและความสัมพันธ์สัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคม และ ๓. วิเคราะห์ คตินิยมทางพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคม และท่ีสังคมมีต่อพระพุทธศาสนาสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยใช้วิธี ระเบียบวิธีวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ผลการวิจัยพบว่า กรุงศรอี ยธุ ยาดารงความเป็นราชธานีของไทยนับระยะเวลา ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ ปกครอง ๓๓ พระองค์ แบง่ เป็น ๕ ราชวงศ์ โดยในจานวนน้ี มีบันทึกที่เก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาจานวน ท้ังสิ้น ๒๒ พระองค์ และส่วนท่ีไม่พบบันทึกใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาจานวน ๑๑ พระองค์ ที่ เกย่ี วข้องกบั พระพุทธศาสนา ส่วนใหญจ่ ะผกู ตดิ อยกู่ ับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะของ พงศาวดาร ในส่วนของบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับสังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา พบมี ๒ ลักษณะ ลักษณะแรกเป็นส่วนที่พระพุทธศาสนาเข้าไปเก่ียวข้องในมิติต่าง เช่น มิติทางด้านศาสน ธรรม, ศาสนบุคคล, ศาสนพิธี, และศาสนวัตถุ ทาให้อยุธยาเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาท่ีย่ิงใหญ่ในอดีต และมรดกเหล่าน้ันได้ตกทอดมาตราบเท่าถึงปัจจุบัน ลักษณะท่ีสองเป็นส่วนท่ีสังคมไทยได้เข้าไปเก่ียวข้อง กับพระพุทธศาสนา ส่วนน้ีถือเป็นอิทธิพลทางสังคม ซึ่งก็มีส่วนสาคัญท่ีทาให้เกิดส่ิงใหม่ ๆ ขึ้นใน พระพุทธศาสนา มีท้ังท่สี อดคลอ้ งและต่างออกไปจากหลักการแหง่ คาสอนเดมิ ส่วนคตินิยมทางพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมและคตินิยมทางสังคมที่มีต่อพระพุทธศาสนาสมัย กรุงศรีอยธุ ยาพบวา่ คตินิยมทางพระพทุ ธศาสนามผี ลก่อกาเนิดแบบแผนการดาเนินชีวิตสมัยกรุงศรีอยุธยา หลายประการ เช่น คตินิยมการปฏิบัติตนในวันธรรมสวนะ, คตินิยมการสร้างวัดเป็นอนุสรณ์, คตินิยมการ ผนวชของเจา้ นายชนั้ ผู้ใหญ่, คตินยิ มเรอ่ื งช้างมงคล, คตนิ ิยมการถวายการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา, คตินิยม เรอ่ื งทศพธิ ราชธรรม เปน็ ต้น ทานองเดียวกนั คตนิ ิยมในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มีส่วนสาคัญท่ีทาให้เกิดคตินิยม ต่าง ๆ ขึ้นในสังคมซ่ึงมีผลต่อพระพุทธศาสนาเช่นกัน เช่น คตินิยมการสร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์, คติ นิยมการให้มีมหรสพสมโภช, คตินิยมเรื่องเรื่องโชคลาง, คตินิยมเรื่องการถวายเครื่องทรงบูชาพระพุทธรูป เปน็ ต้น อนึ่ง จากการศึกษาวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ควรทาวิจัยในทานองเดียวกันน้ี กับพงศาวดารสมัยอ่นื ๆ เช่น พงศาวดารเหนือ, พงศาวดารสุโขทัย, พงศาวดารกรุงธนบุรี เป็นต้น ทั้งน้ีเพื่อ นาองคค์ วามรเู้ ก่ยี วกบั พระพทุ ธศาสนาในสมัยตา่ ง ๆ มาตีแผ่ใหเ้ ป็นท่ีปรากฏสืบไป

ข Research Title : An Analytical Study of Buddhist History from Sri Ayuttaya Geneology Researchers : Phrakru Sripanyavikrom,Dr., Phramaha Thanorm Arnando Department : Buriram Buddhist College Fiscal Year : 2558/ 2015 Research Scholarship Sponsor : Mahachulalongkornrajvidyalaya University Abstract The objectives of the research are 1) to study the Buddhist History from Sri- Ayuttaya Geneology, 2) to analyze the role and relation of Buddhism to society, and 3) to analyze the ideology of Buddhism on society and society to Buddhism under which qualitative methodology was used. The findings were as follows:- Sri-Ayutthaya was been the capital of Thai for 417 years, and ruled by the thirty-three kings. All of them were divided into five dynasties. The history of Buddhism was recorded on Ayuttaya Geneology in 22 regions, while the 11 regions have no anything about Buddhism been recorded. The Buddhism recorded on Ayutthaya Geneology had relation to the kings in according with the Geneology. According to the role and the relation between Buddhism and Ayutthaya society, the research found two characters. The first, Buddhism played the important role and relation to society in many dimension e.i. morality, citizen, ceremony and religious buildings that made Ayuttaya be the important land of Buddhism until now. The second, society played role and influence to Buddhism. As the social influence, it made the new value in Buddhism that corresponding and not corresponding to ordinary principle. By the ideology of Buddhism on society and vice versa, the research found that the ways of life in Ayutthaya society received from the ideology of Buddhism, i.e. ideology of practicing on Buddhist Holly day, building religious objects for memory, to ordain of royalty, auspicious elephant, and the ideology on patronizing Buddhism etc., while some Buddhist traditions also received from the ways of society i.e. to erect the Buddha statue for one’s birthday, to play entertainment in Buddhist celebration, to believe in omen, to give sacrifice for worshiping the Buddha etc. Finally, the researcher has future comment. It should be researched in the same topic, but on the other Geneology such as North Geneology, Sukhothai Geneology, or Thonburi Geneology etc., for leading the knowledge about Buddhist History to present forward.

กิตตกิ รรมประกาศ ผู้วิจัยขอขอบคุณสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ ให้โอกาสแก่ผู้วิจัยได้ทาวิจัยเร่ืองนี้ ทาให้ผู้วิจัยได้มีโอกาสศึกษาพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาหลาย สานวน ตลอดจนบันทึกเอกสารต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ทาให้ผู้มีวิจัยมีองค์ความรู้เกี่ยวกับ พระพุทธศาสนาในมติ ติ ่าง ๆ สมยั กรุงศรอี ยุธยา ซ่ึงจะเป็นประโยชนต์ อ่ การถ่ายทอดแกน่ สิ ติ ต่อไป ประการต่อมา ขอขอบคณุ ผู้ทรงคุณวฒุ ทิ ี่อา่ นทวน พรอ้ มทั้งข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ทาให้งานวิจัยมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย พระศรีคัมภีรญาณ,รศ.ดร., พระมหาสุทิตย์ อาภากโร,ดร. ผอ.สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์, พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ รศ.ดร. รองคณบดีคณะ สงั คมศาสตร์, ศ.ดร.จานงค์ อดิวัฒนสทิ ธ์,ิ ผศ.ดร.วฒุ ินนั ท์ กันทะเตียน ความดีใด ๆ ก็ตามท่ีเกิดขึ้นจากงานวิจัยช้ินน้ี ผู้วิจัยขอยกให้แก่โยมพ่อผู้เป็นแบบอย่าง ชวี ติ ในวัยเด็ก พร้อมอุทศิ สว่ นกุศลแกโ่ ยมแม่ผลู้ ว่ งลบั ไปแลว้ พระครูศรีปัญญาวิกรม ๒๘ มนี าคม ๒๕๕๙

ช คาอธิบายสญั ลกั ษณ์และคาย่อ อักษรย่อในสารนิพนธ์ฉบบั นี้ ใชอ้ ้างอิงจากคัมภีรพ์ ระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาเตปฏิ กํ พ.ศ.๒๕๐๐ และพระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย เฉลมิ พระ เกยี รติ สมเด็จพระนางเจ้าสิรกิ ิติ์ พระบรมราชนิ นี าถ พ.ศ.๒๕๓๙ โดยได้กล่าวถึงแหลง่ ท่มี า /เล่ม/ข้อ/ หนา้ ตามลาํ ดับ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓๖๖/๕๕๑ หมายถึง วนิ ัยปฎิ ก ปริวาร ภาษาไทย เลม่ ที่ ๘ ขอ้ ๓๖๖ หนา้ ๕๕๑ ฉบับมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๓๙ เล่ม คาย่อ ชื่อคมั ภีร์ ๑-๒ ว.ิ มหา. (บาลี) = วินยปฏิ ก มหาวิภงคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี วิ.มหา. (ไทย) = วินยั ปฎิ ก มหาวิภงั ค์ (ภาษาไทย) ๔-๕ วิ.ม. (บาล)ี = วนิ ัยปฎิ ก มหาวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี วิ.ม. (ไทย) = วินัยปฎิ ก มหาวรรค (ภาษาไทย) ๖-๗ ว.ิ จู. (บาล)ี = วินยปิฏก จฬู วคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี วิ.จู. (ไทย) = วนิ ัยปิฎก จฬู วรรค (ภาษาไทย) ๘ วิ.ป. (บาล)ี = วนิ ยปฏิ ก ปริวารวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี ว.ิ ป. (ไทย) = วินยั ปฎิ ก ปรวิ ารวรรค (ภาษาไทย) พระสตุ ตันตปิฎก ๙ ที.สี. (บาลี) = สุตตนั ตปฎิ ก ทีฆนกิ าย สลี ขนฺธวคฺคปาลิ (ภาษาบาล)ี ที.สี. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (ภาษาไทย) ๑๐ ที.ม. (บาลี) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ทีฆนกิ าย มหาวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ที.ม. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค (ภาษาไทย) ๑๑ ที.ปา. (บาลี) = สุตตันตปฎิ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี ท.ี ปา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย) ๑๓ ม.ม. (บาลี) = สุตตนั ตปฎิ ก มชฌฺ มิ นกิ าย มชฺฌิมปณณฺ าสกปาลิ (ภาษาบาลี) ม.ม. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก มชั ฌมิ นิกาย มชั ฌิมปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ม.อ.ุ (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก มชั ฌิมนกิ าย อุปริปณั ณาสก์ (ภาษาไทย) ๑๙ ส.ํ ม. (บาล)ี = สตุ ตนั ตปฎิ ก สยํ ตุ ฺตนิกาย มหาวารวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี) สํ.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค (ภาษาไทย) ๒๐ องฺ.เอกก. (บาล)ี = สตุ ตนั ตปฎิ ก องฺคตุ ฺตรนิกาย เอกกนิปาตปาลิ (ภาษาบาล)ี องฺ.เอกก. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก อังคตุ ตรนิกาย เอกกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ทกุ . (บาล)ี = สตุ ตนั ตปิฎก องฺคตุ ตฺ รนิกาย ทกุ นิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) อง.ฺ ทกุ . (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย ทุกนบิ าต (ภาษาไทย) ๒๕ ข.ุ ขุ. (บาลี) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ฺทกนิกาย ขุทฺทกปาฐปาลิ (ภาษาบาล)ี ข.ุ ขุ. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ (ภาษาไทย) ข.ุ สุ. (บาลี) = สตุ ตันตปิฎก ขุททฺ กนิกาย สตุ ตฺ นปิ าตบาลี (ภาษาบาล)ี ขุ.สุ. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต (ภาษาไทย)

ซ พระอภิธรรมปิฎก (ภาษาบาล)ี ๓๔ อภ.ิ วิ. (บาลี) = อภิธมมฺ ปิฏก วภิ งฺคปาลิ (ภาษาไทย) อภ.ิ วิ. (ไทย) = อภธิ รรมปิฎก วิภังค์ อรรถกถา อรรถกถา ผ้วู ิจยั ใช้พระไตรปิฎกฉบบั มหามกฏราชวิทยาลัย โดยสญั ลกั ษณแ์ ละคาํ ย่อตาม พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย สว่ นตัวเลขอนุวัตใิ ห้เปน็ ไปตามพระไตรปฎิ กและอรรถกถาฉบบั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย เช่น ที.ส.ี อ. (ไทย) ๑/๑/๔๑๕ หมายถึง พระสตู รและอรรถกถาแปล ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค อรรถกถา เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๔๑๕ ฉบบั มหา มกุฏราชวิทยาลัย ๒๕๒๕ เลม่ ท่ี เล่ม ภาค ตอน คาย่อ ชือ่ อรรถกถา ว.ิ มหา.อ. (ไทย) = วินัยปฎิ ก สมนั ตปาสาทกิ ามหาวภิ ังคอรรถกถา (ภาษาไทย) วิ.จ.ู อ. (บาล)ี = วิ.จู.อ. (ไทย) = วินยปฏิ ก สมนตฺ ปาสาทกิ า จูฬวคคฺ อฏฐฺ กถา (ภาษาบาล)ี วิ.ป.อ. (บาลี) = ว.ิ ป.อ. (ไทย) = วินัยปิฎก สมนั ตปาสาทิกา จูฬวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ท.ี ส.ี อ. (ไทย) = วนิ ยปฏิ ก สมนฺตปาสาทกิ า ปรวิ ารวคคฺ อฏฐฺ กถา (ภาษาบาล)ี ที.ม.อ. (ไทย) = ท.ี ปา.อ. (ไทย) = วินยั ปฎิ ก สมันตปาสาทิกา ปริวารวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ม.มู.อ. (ไทย) = ม.ม.อ. (ไทย) = อรรถกถาพระสุตตันตปฎิ ก ม.อ.ุ อ. (ไทย) = ส.ํ สฬา.อ. (ไทย) = ทฆี นกิ าย สุมงั คลวลิ าสินี สลี ขนั ธวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) อง.ฺ สตฺตก.อ. (ไทย) = สตฺตก.อ. (ไทย) = ทีฆนกิ าย สุมงั คลวิลาสนิ ี มหาวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ทฆี นกิ าย สุมงั คลวิลาสนิ ี ปาฏิกวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) มชั ฌมิ นกิ าย ปปญั จสูทนี มลู ปณั ณาสกอรรถกถา (ภาษาไทย) มัชฌิมนกิ าย ปปญั จสูทนี มชั ฌมิ ปัณณาสกอรรถกถา(ภาษาไทย) มชั ฌมิ นิกาย ปปัญจสทู นี อปุ รปิ ัณณาสก์อรรถกถา (ภาษาไทย) สังยุตตนกิ าย สารตั ถปกาสินี สฬายตนวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) อังคตุ ตรนิกาย มโนรถปูรณี สัตตกนิบาตอรรถกถา (ภาษาไทย) อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี สัตตกนิบาตอรรถกถา (ภาษาไทย)

จ สารบญั บทคัดย่อภาษาไทย………………………………………………………………………………………………………..………………………. ก บทคัดย่อภาษาองั กฤษ…………………………………………………………………………….……………………………….…………… ข กิตติกรรมประกาศ…………………………………………………………………………………..…………………………………………….. ค สารบญั ………………………………………………………………………………………………………..…………………………………. ………. ง คาอธบิ ายสัญลักษณ์และคายอ่ ……………………………………………………………………..……………………………………. ช บทที่ ๑ บทนา………………………………………………………………………………………………….. ๑ ๑.๑ ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา………………………….………………………. ๑ ๑.๒ วตั ถุประสงค์………………………………………………………………………………………… ๙ ๑.๓ ขอบเขตของการวิจัย ……………………………………………………………………………. ๙ ๑.๔ นยิ ามศัพทท์ ่ีใชใ้ นการวจิ ัย................................................................................ ๙ ๑.๕ วธิ ดี าเนินการวจิ ยั ............................................................................................. ๑๐ ๑.๖ ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ............................................................................... ๑๑ บทที่ ๒ สบื พระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา.............................................. ๑๒ ๒.๑ รัชกาลสมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี ๑ (อู่ทอง)................................................. ๑๒ ๒.๒ รัชกาลสมเดจ็ พระราเมศวร.................................................................... ๑๕ ๒.๓ รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ ………………………………..…………… ๑๘ ๒.๔ รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๒…………………………………….………… ๑๙ ๒.๕ รชั กาลสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ.......................................................... ๒๒ ๒.๖ รัชกาลสมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๒.............................................................. ๒๖ ๒.๗ รัชกาลสมเดจ็ พระไชยราชาธิราช............................................................. ๒๗ ๒.๘ รัชกาลขุนวรวงศาธริ าช.......................................................................... ๒๘ ๒.๙ รัชกาลสมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิราชาธิราช.............................................. ๓๐ ๒.๑๐ รัชกาลสมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าช........................................................... ๓๖ ๒.๑๑ รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธริ าช.................................................. ๓๘ ๒.๑๒ รัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช........................................................ ๔๒ ๒.๑๓ รชั กาลสมเด็จพระเอกาทศรฐ............................................................... ๔๕ ๒.๑๔ รัชกาลสมเดจ็ ศรีเสาวภาค.................................................................... ๔๗ ๒.๑๕ รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ (พระเจา้ ทรงธรรม)............................... ๔๘ ๒.๑๖ รชั กาลสมเดจ็ พระบรมราชาท่ี ๒ (สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช)....................... ๕๐ ๒.๑๗ รัชกาลสมเดจ็ พระสรรเพชญ์ท่ี ๕ (พระเจา้ ปราสาททอง)............................... ๕๑ ๒.๑๘ รัชกาลสมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี ๓ (สมเดจ็ พระนารายณ์)................................ ๕๗ ๒.๑๙ รัชกาลสมเด็จพระมหาบุรษุ (สมเด็จพระเพทราชา)....................................... ๖๒

ฉ ๒.๒๐ รชั กาลสมเดจ็ พระสรรเพ็ชที่ ๘ (สมเดจ็ พระเจ้าเสอื )..................................... ๖๔ ๒.๒๑ รัชกาลสมเด็จพระสรรเพช็ ท่ี ๙ (สมเดจ็ พระเจ้าทา้ ยสระ)............................. ๖๘ ๒.๒๒ รชั กาลสมเดจ็ พระบรมโกศ.................................................................. ๗๒ ๒.๒๓ รัชกาลสมเดจ็ พระทีน่ ง่ั สุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจา้ เอกทศั )........................... ๗๙ ๒.๒๔ สรุปท้ายบท................................................................................................... ๘๔ บทที่ ๓ วิเคราะห์บทบาทและความสัมพันธข์ องพระพุทธศาสนาตอ่ สังคม...................... ๘๙ ๓.๑ บทบาทและความสัมพนั ธ์ดา้ นศาสนธรรม................................................ ๘๙ ๓.๒ บทบาทและความสมั พนั ธ์ดา้ นศาสนบคุ คล............................................... ๙๓ ๓.๓ บทบาทและความสมั พันธด์ ้านศาสนพธิ ี................................................... ๙๙ ๓.๔ บทบาทและความสัมพนั ธด์ า้ นศาสนสถาน............................................... ๑๑๓ ๓.๕ สรุปและวจิ ารณ์.................................................................................... ๑๑๕ บทที่ ๔ วิเคราะห์คตนิ ยิ มทางพระพุทธศาสนาที่มตี ่อสงั คม และคตินยิ มทางสังคมทีม่ ีตอ่ ๑๑๗ พระพทุ ธศาสนา............................................................................................... ๔.๑ ความหมายของคตนิ ิยม.................................................................................... ๑๑๗ ๔.๒ คตินิยมทางพระพุทธศาสนาท่มี ตี ่อสังคม.......................................................... ๑๑๘ ๔.๓ คตินิยมทางสงั คมท่ีมตี ่อพระพทุ ธศาสนา.......................................................... ๑๒๖ ๔.๔ สรปุ และวิจารณ์………....................................................................................... ๑๓๖ บทที่ ๕ บทสรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ............................................................... ๑๓๗ ๕.๑ บทสรุป............................................................................................................. ๑๓๗ ๕.๒ อภปิ รายผล ...................................................................................................... ๑๓๘ ๕.๓ ข้อเสนอแนะ..................................................................................................... ๑๔๐ บรรณานกุ รม...................................................................................................................... ๑๔๑ ประวตั ผิ ู้วิจัย....................................................................................................................... ๑๔๓

๑ บทท่ี ๑ บทนา ๑.๑ ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหาวจิ ัย กรุงศรีอยุธยาได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงในปี ๑๘๙๓ ตามที่ระบุไว้ในพงศาวดาร แต่ ในแง่ของตานาน มีผู้ตง้ั ขอ้ สนั นิษฐานไว้ว่า กอ่ น พ.ศ.๑๔๘๑ ก็เคยเปน็ เมอื งหลวงของประเทศสยาม ชื่อ ว่ากรุงศรีอยุธยา มีกษัตริย์ทรงปกครองสืบต่อกันมาหลายพระองค์ แต่ความในพงศาวดารบกพร่อง ไม่ ใคร่ติดตอ่ กันได้ ลงทา้ ย ชอ่ื กรุงศรอี ยธุ ยาสูญหายกลายไปเป็นเมือง เรียกว่าเมืองเสนาราชนคร จึงเห็นว่า คงจะเป็นด้วยกรุงศรีอยุธยาเส่ือมถอยลง เมืองอ่ืนมีอานาจเข้มแข็งก็ปกแผ่ลงมาได้ไปเป็นเมืองข้ึน จึงได้ ลดจากกรุงลงเป็นเมืองไป๑ พงศาวดารโยนก ระบเุ คยเปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระมหามณีรตั นไ์ ว้ มรี ายละเอียดประกอบว่าว่า เม่ือคราวน้าท่วมเมืองกัมพูชา พระมหาเถระได้อัญเชิญพระมหามณีรัตน์ลงสาเภามาอาศัยอยู่ทางตอน เหนือของนครอินทปัฐระยะทางสามเดือนเศษ ต่อมาพระมหามณีรัตน์ก็อยู่ในความครอบครองของพระ เจ้าอาทิตย์ราชซึ่งครองกรุงสยามฝ่ายเหนือ ซึ่งตามความเข้าใจของผู้รจนาตานานก็ว่าเป็น พระนครศรอี ยธุ ยาโบราณ๒ แตใ่ นพงศาวดารกย็ ังไมส่ ามารถระบไุ ด้ว่าตั้งอยู่ทใ่ี ด ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้ให้ความเห็นว่า อยุธยา ถือกาเนิดมาจากแคว้นสุพรรณบุรี และ ลพบุรี สุพรรณบุรมี อี านาจทางทิศตะวนั ตกของแม่นา้ เจ้าพระยา ซึง่ มีเมืองเก่าหลายเมืองรวมอยู่ด้วย เช่น นครชัยศรี ราชบุรี เพชรบุรี ส่วนลพบุรีมีอานาจทางซีกตะวันออกแม่น้าเจ้าพระยา และพระเจ้าอู่ทองก็ สถาปนาอยุธยาขึ้นโดยต้ังข้ึนในเมืองอโยธยาท่ีมีมาก่อน เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างกลางระหว่างสุพรรณบุรี กบั ลพบรุ ๓ี ถอื ตามนยั นี้ อยธุ ยา กค็ ือเมืองทไ่ี ดร้ บั การสถาปนาขึ้นในบริเวณเมืองอโยธยาเดมิ นนั่ เอง สบื ความยอ้ นหลังจากน้ีจากหลักฐานอ่ืน๔ ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าบรรพบุรุษของพระเจ้าอู่ทอง นั้นสืบเชื้อสายมาจากมาจากเชียงราย แต่พ่ายต่อข้าศึกเมืองสตอง จึงได้หนีลงมามายังแว่นแคว้นสยาม ประเทศ ข้ามแม่น้าโพถึงเมืองร้างแห่งหน่ึงต้ังอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเมืองกาแพงเพชร จึงได้ต้ังเมืองอยู่ที่เมือง ร้างแห่งนั้น และให้นามเมืองว่าไตรตรึงษ์ เพราะเหตุที่มีพระอินทร์จาแลงมาบอกสถานที่ให้ ทรง ครองราชยอ์ ยู่ในเมืองแหง่ นี้ตลอดชว่ั ๔ รชั กาล ๑ พระยาโบราณราชธานินทร,ตานานกรุงเก่า, (พิมพ์เป็นอนุสสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายฟื้น สพุ รรณสาร ๓๐ ตลุ าคม ๒๕๐๓), หน้า ๑. ๒ พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค), พงศาวดารโยนก,(พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๘), หน้า ๘๗. ๓ ชาญวิทย์ เกษตรศริ ิ, อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง, พิมพ์ครั้งท่ี ๔, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้า แหง่ ประเทศไทย จัดพมิ พ์, ๒๕๔๘),หนา้ ๕. ๔ กรมศึกษาธกิ าร, พระราชพงศาวดาร เล่ม ๑, (กรมศกึ ษาธิการ: โรงพิมพ์พิศาลบรรณนิต์ิ, ร.ศ. ๑๒๐), หน้า ก-ค.

๒ ห่างจากเมืองนั้นออกไปทางทิศใต้ มีชายเข็ญใจรูปร่างเป็นปมเต็มตัว จึงได้ชื่อว่า นายแสน ปม ปลกู พริกมะเขืออยู่รมิ ฝั่งแมน่ า้ นายแสนปมถา่ ยอจุ จาระปัสสาวะใกลบ้ ริเวณต้นพริก ต้นมะเขือ จึงทา ให้ผลใหญ่กว่าผลอน่ื ๆ พระราชธิดาพระยาไตรตรึงษ์อยากเสวยมะเขือ ให้สาวใช้ไปหาซ้ือ ก็ได้มะเขือจากบ้านนาย แสนปมน้ัน คร้ันเสวยแล้วก็ทรงพระครรภ์ ความทราบถึงพระบิดา ก็ทรงให้ไต่สวนหาความจริง ก็ไม่ พบว่าพระธดิ าไปสมัครสงั วาสกับบุรุษใด ครั้นครรภ์แก่ครบกาหนด ก็ทรงประสูตรพระกุมารบริบูรณ์ด้วย บุญญาธิการ และไดร้ บั การเล้ยี งดูเปน็ อยา่ งดี คร้ันพระกุมารมีพระชนม์ได้ ๓ พระชันษา พระอัยกาก็ทรงดาหริต้องการเส่ียงทายหาบิดา ของพระราชกุมาร จึงให้เป่าประกาศให้บรรดาชาวเมืองถือของกินมาถวายพระราชกุมาร โดยตั้ง สตั ยาธษิ ฐานวา่ หากบุรุษใดเป็นบิดา ขอให้กุมารรับของจากบุรุษนั้นมาเสวย แล้วให้พระนางอุ้มพระราช กุมารน้อยไปสู่ที่ชุมชนหน้าพระลานหลวง แม้จะมีบุรุษจานวนมากยื่นขนมให้ แต่พระราชกุมารก็หาได้ สนพระทัยไม่ กระทงั่ ถงึ นายแสนปม มีเพยี งก้อนข้าวเยน็ พระราชกุมารเหน็ ก็วิ่งเข้าไปกอดคอ แล้วรับเอา กอ้ นข้าวน้ันมาเสวย พระเจ้าไตรตรึงษ์ทอดพระเนตรเห็นเช่นน้ันก็เกิดความละอายพระทัย ได้มอบพระราชธิดา ให้นายแสนปม แล้วปล่อยลงแพ คร้ันลอยมาถึงไร่มะเขือ นายแสนปมก็พาบุตร ภรรยาข้ึนไป และอาศัย อย่บู นกระท่อมแหง่ น้ี ดว้ ยอานุภาพแหง่ บุญของคนท้ังสาม ร้อนถึงท้าวสักกะ ต้องลงมา พร้อมกับมอบกลองวิเศษ ให้นายแสนปม พร้อมกับบอกว่า เพียงแค่ตีกลองปรารถนาก็จะได้สิ่งท่ีต้องการ นายแสนปมจึงอธิษฐาน ขอให้มีรูปงาม ก็ได้สมปรารถนา ฝ่ายภรรยาปรารถนาทองธรรมชาติ จึงได้อธิษฐานตีกลอง ก็ได้สม ปรารถนาเช่นกัน เม่ือได้ทองเป็นจานนวนมาก นางก็สั่งให้ช่างทาอู่ให้พระราชกุมาร ตั้งแต่นั้นมา พระ ราชกุมารก็ไดพ้ ระนามใหม่ว่า “อทู่ อง” คร้ันถึง พ.ศ. ๑๘๖๒ พระราชบิดาก็ตีกลองทิพย์เนรมิตรพระนครใหม่ ให้ชื่อว่า เทพนคร เพราะสาเร็จด้วยเทวานุภาพ ชนเป็นจานวนมากได้เข้ามาอาศัยเทพนครแห่งน้ี บ้านเมืองมีความอุดม สมบูรณ์ พระบิดาของพระเจ้าอู่ทองก็ทรงครองราชสมบัติในพระนครแห่งนี้ ทรงพระนามใหม่ว่า พระ เจ้าศริ ิไชยเชียงแสน ทรงครองราชมาได้ ๒๕ ปี ก็สวรรคต พระเจ้าอู่ทองก็ได้สืบทอดราชบัลลังก์แทนสืบ ต่อมา คร้ันถวายพระเพลิงพระศพพระราชบิดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๒ ปีหลังจากนั้น ก็ทรงดาหริ ปราถนาจะสร้างเมืองใหม่ จึงให้เสนาอามาตย์ไปแสวงหาแผ่นดินใหม่ คร้ันไปเห็นทาเลที่หนองโสน เหมาะสมดว้ ยประการท้ังปวง จงึ ได้สร้างตาหนกั และเร่มิ สรา้ งเมืองบริเวณท่ีแห่งนี้ ให้นามใหม่ตามเมือง เดิมว่า กรุงเทพมหานคร และได้นามว่า บวรทวาราวดี เพราะเหตุท่ีมีแม่น้าล้อมรอบบ้าง เรียกว่าศรี อยธุ ยาบา้ ง ดว้ ยเหตพุ ระนารายณอ์ วตารมาชว่ ยสร้างบ้าง ครั้นถงึ พุทธศักราช ๑๘๙๓ จึงได้สถาปนาเป็น เมืองหลวง และเสด็จมาประทบั ทีพ่ ระนครแห่งนี้ นบั เปน็ กษตั ริยพ์ ระองคแ์ รกแหง่ กรงุ ศรีอยุธยา ในจดหมายเหตุลา ลูแบร์ ได้กล่าวถึงปฐมกษัตริย์อันเป็นต้นราชวงศ์สืบทอดมาถึงสมัย อยุธยา ความดังน้ี ปฐมกษัตริย์ของชาวสยามน้ันทรงพระนามว่า พระปฐมสุริยเทพนรไทยสุวรรณบพิตร พระ มหานครแห่งแรกที่เสด็จข้ึนเถลิงราชสมบัติน้ันช่ือว่า ไชยบุรีมหานคร ซึ่งข้าพเจ้าไม่แจ้งว่าต้ังอยู่

๓ ทไี่ หน เมื่อเสดจ็ ขนึ้ เถลงิ ราชยน์ ั้นพระพุทธศาสนยุกาลล่วงแล้ว ๑๓๐๐ พรรษา นับศักราชสยาม และมีพระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์ต่อมาอีก ๑๐ ช่ัวกษัตริย์ องค์สุดท้ายทรงพระนามว่า พญา สุนทรเทศมหาเทพราช ย้ายพระนครหลวงมาสร้างราชธานีใหม่ท่ีเมืองธาตุนครหลวง จะตั้งอยู่ แห่งหนตาบลใด ข้าพเจา้ กไ็ ม่แจ้งอีกเหมอื นกนั ในปี พ.ศ.๑๗๓๑ พระมหากษัตริย์องค์ท่ี ๑๒ สืบ ต่อจากพระองค์นี้ทรงพระนามว่า พระพนมไชยศิริ ทรงให้อาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ อพยพตามไปยังเมืองนครไทย ซ่ึงตั้งอยู่บนฝ่ังแม่น้าอันไหลมาจากภูเขาแดนลาว ซึ่งไหลลงสู่ แม่น้าเจ้าพระยา ตอนเหนือเมืองพิษณุโลกไปเล็กน้อย แต่นั้นไปยังเมืองนครไทยไกลกัน ๔๐ ถึง ๕๐ ลี้ แต่พระมหากษิตริย์พระองค์น้ีมิได้ประทับอยู่ ณ เมืองนครไทยตลอดมา หากได้เสด็จไป สร้างและประทับอยู่ ณ เมืองพิบพลี บนฝง่ั แม่น้าสายหนึ่ง ซึ่งปากน้านั้นอยู่ห่างราว ๒ ลี้ ข้างทิศ ตะวันตกของปากน้า (เจ้าพระยา) มีพระมหากษัตริย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อมาอีก ๔ ช่ัวกษัตริย์ พระองคส์ ุดทา้ ยซ่ึงทรงพระนามว่า รามาธิบดี ได้ทรงสร้างเมืองสยามขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๑๘๙๔ และ เสด็จขนึ้ ดารงสริ ิราชมไหศวรรยส์ มบตั ิ ณ ท่นี ั้น๕ จดหมายเหตุ ยังได้ระบถุ ึงทีต่ ั้ง และรายละเอียดของกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระ นารายณ์ ความตอนหน่ึงวา่ ต้งั อยู่ ณ ละติจดู ๑๔ องศา ๒๐ ลิบดา ๔๐ พลิ บิ ดา และลองติจดู ๑๒๐ องศา ๓๐ ลบิ ดา มี รูปร่างลักษณะคล้าย ๆ ถุงย่าม ปากถุงอยู่ทางทิศตะวันตก ลาแม่น้าใหญ่บรรจบกับลาคลอง หลายสายซึง่ แลน่ วงรอบกรงุ นัน้ ตรงด้านเหนือ และแยกลงไปทางด้านใต้เป็นหลายแพรกด้วยกัน พระบรมมหาราชวังน้นั ตงั้ อยู่ทางด้านเหนอื บนลาคลองท่ีเป็นคูพระมหานครทางด้านตะวันออก มีทางเดินข้ามอยูแ่ ห่งเดียว คล้ายคอคอด ซ่งึ จะออกจากพระนครได้โดยไม่ต้องข้ามลาน้า ตัวนครนั้นกว้างขวางมาก ด้วยมีกาแพงล้อมรอบตัวเกาะดังที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว แต่เนื้อที่ ภายในกาแพงพระมหานครนั้น มีผู้คนอยู่ประมาณ ๑ ใน ๖ ส่วนเท่ากัน อันหมายถึงพื้นที่ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ นอกนั้นรกเป็นป่าช้า แต่มีวัดเท่าน้ัน เป็นความจริงท่ีว่าทางเขต ดา้ นชานพระมหานคร ซึ่งมีชาวต่างประเทศตั้งภูมิลาเนาอยู่นั้น ทาให้เพิ่มจานวนพลเมืองข้ึนอีก เปน็ อนั มาก๖ สรุปความว่า พ.ศ.๑๘๙๓ ย้อนหลังไป กรุงศรีอยุธยายังอยู่ในรูปของตานาน แต่ก็พอมีเค้า ความเป็นมาว่าเคยเป็นเมืองสาคัญมาก่อน ต่อเม่ือพระเจ้าอู่ทองสถาปนาข้ึนเม่ือวันศุกร์ เดือน ๕ ขึ้น ๖ ค่า เวลา ๓ นาฬิกา ๙ บาท ปีขาล โทศก ศักราช ๗๑๒ (พ.ศ.๑๘๙๓) ๗ อยุธยาจึงได้ปรากฎตัวขึ้นใน ฐานะเปน็ เมอื งหลวงของศยามประเทศ ๕ มองซิเอร์ เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, สันต์ ท.โกมลบุตร ผู้แปล, (นนทบุรี: สานักพมิ พศ์ รีปัญญา, ๒๕๕๗),หน้า ๔๒. ๖ มองซิเอร์ เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุลา ลแู บร์ ราชอาณาจักรสยาม,หน้า ๓๖. ๗ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า กรมฉบับราชบัณฑิต, (ตีพิมพ์ในพระราชทานเพลิงศพมหาเสวกเอก เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี, ๑๐ สิงหาคม ๒๕๐๑), หน้า ๑. พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวง ประเสดิ อักษรนดิ , (พมิ พแ์ จกในงานพระราชทานเพลิงศพพันเอกพร้อม มติ รภกั ดี พ.ศ.๒๔๘๖) หนา้ ๑๗.

๔ ความในพงศาวดารชว่ งพระเจา้ อู่ทองไดส้ ถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้น ได้มีการระบุ ถึงเมืองที่อยู่ในฐานะเป็นประเทศราช ๑๖ เมือง ประกอบด้วย มะละกา ชะวา ตะนาวศรี นครศรีธรรมราช ทะวาย เมาะตะมะ เมาละเลิง สงขลา จันทบุรี พิศณุโลก สุโขทัย พิไชย สวรรคโลก พจิ ติ ร กาแพงเพชร และนครสวรรค์๘ ขณะเดียวกันก็มีเมืองอีก ๒ เมืองท่ีทรงให้ความสาคัญ โดยส่งพระ เชษฐา (หลวงพะงั่ว) และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ (พระราเมศวร) ไปครอง ได้แก่เมืองสุพรรณบุรี และ ลพบรุ ีตามลาดบั ชว่ งทีก่ รุงศรีอยุธยาดารงฐานะเป็นราชธานี แต่ละรัชกาล ก็ได้มีความพยายามแผ่อาณาเขต ออกไปหลายด้าน ขณะเดียวกัน ในบางช่วงบางสมัย ก็เกิดศึกภายในอันมีสาเหตุมาจากการผ่านเปล่ียน รัชกาลบ้าง การก่อการกบฏชิงราชบัลลงั กบ์ ้าง การไม่ตั้งอยู่ในธรรมราชาบ้าง เป็นเหตุให้เมืองขึ้นเกิดการ แข็งเมือง หรือทาให้ข้าศึกจากภายนอกเฉพาะอย่างยิ่งคือพม่า ได้โอกาสยกทัพมาทดสอบกาลัง หรือ บางครั้งก็ยกทัพมาตีเอาเมืองชายแดนสาคัญอยู่เนือง ๆ เช่น ใน พ.ศ.๒๑๐๖ พม่าได้ยกทัพมาตีเอาเมือง พิษณุโลก ตีเอาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และสุดท้ายใน พ.ศ. ๒๑๑๑ ก็ได้ยกทัพมาตีเอากรุงศรีอยุธยา ถัดแต่ น้นั คอื พ.ศ.๒๑๑๒ ไทยสูญเสยี เอกราชให้แก่พม่าช่วงระหวา่ ง พ.ศ. ๒๑๑๒-๒๑๒๖ อยา่ งไรกต็ าม สมเด็จพระนเรศวรกท็ รงกอบกเู้ อกราช เปน็ อสิ รภาพจากพมา่ ได้เป็นผลสาเร็จ ใน พ.ศ. ๒๑๓๓ รวมทรงใช้ระยะเวลาถึง ๘ ปี กรุงศรีอยุธยาจึงได้กลับมาเป็นราชธานีอีกครั้ง และ เรื่อยมากระท่ังถึง พ.ศ.๒๓๑๐ ไทยก็เสียเอกราชแก่พม่าอีกครั้ง คร้ังน้ีถือเป็นจุดเร่ิมต้นของกรุงธนบุรี และเปน็ การปิดฉากความเปน็ เมอื งหลวงตลอดไป ในช่วงระหว่างกรุงศรีอยุธยาคงความเป็นราชธานีตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ ปกครองทง้ั ส้นิ ๕ ราชวงศ์ รวม ๓๓ พระองค์ ดงั มีรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี ลาดบั พระนาม ราชวงศ์ ปคี รองราชย์ หมายเหตุ ๑ สมเดจ็ พระรามาธิบดี(อทู่ อง) ที่ ๑ เชียงราย พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒ ๑๙ ปี ๒ สมเด็จพระราเมศวร (คร้ังท่ี ๑) พ.ศ. ๑๙๑๒-๑๙๑๓ ๑ ปี ๓ สมเดจ็ พระบรมราชาธิราช (พงัว) ท่ี ๑ “” พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๓๑ ๑๘ ปี ๔ เจ้าทองลนั สุวรรณภมู ิ พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๓๑ ๗ วัน สมเด็จพระราเมศวร (ครงั้ ที่ ๒) พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๓๘ ๗ ปี ๕ สมเด็จพระรามราชาธิราช “” พ.ศ. ๑๙๓๘-๑๙๕๒ ๑๔ ปี ๖ สมเดจ็ พระนครอินทราธริ าช เชยี งราย พ.ศ.๑๙๕๒-๑๙๖๗ ๑๖ ปี ๗ สมเด็จพระบรมราชาธริ าช (สามพระยา) ท่ี ๒ พ.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๙๑ ๒๔ ปี ๘ สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนารถ “” พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑ ๔๐ ปี ๙ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ สุวรรณภูมิ พ.ศ. ๒๐๓๑-๒๐๓๔ ๓ ปี ๑๐ สมเด็จพระรามาธิบดที ่ี ๒ พ.ศ. ๒๐๓๔-๒๐๗๒ ๓๘ ปี ๑๑ สมเด็จพระบรมราชาธิราช (หน่อ “” พ.ศ. ๒๐๗๒-๒๐๗๖ ๔ ปี พทุ ธางกรู ) ที่ ๔ “” “” “” “” ๘ กรมราชบัณฑิต, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, (พิมพ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าพระยาศรี พพิ ัฒนร์ ตั นราชโกศาธิบดี ๑๐ สงิ หาคม ๒๕๑๐), หนา้ ๑.

๕ ลาดับ พระนาม ราชวงศ์ ปคี รองราชย์ หมายเหตุ ๑๒ พระรษั ฎาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๗๖-๒๐๗๗ ๑ ปี ๑๓ สมเด็จพระไชยราชาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๗๗-๒๐๘๙ ๑๒ ปี ๑๔ พระยอดฟ้า “” พ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๑ ๒ ปี ขุนวรวงษาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๐๙๑ ๔๒ วัน ๑๕ สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ “” พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑ ๒๐ ปี ๑๖ สมเด็จพระมหนิ ทราธริ าช “” พ.ศ. ๒๑๑๑-๒๑๑๒ ๑ ปี ๑๗ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าช สุโขทยั พ.ศ. ๒๑๑๒-๒๑๓๓ ๒๑ ปี ๑๘ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช “” พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘ ๑๕ ปี ๑๙ สมเด็จพระเอกาทศรถ สโุ ขทยั พ.ศ. ๒๑๔๘-๒๑๖๓ ๑๕ ปี ๒๐ เจ้าฟ้าศรเี สาวภาคย์ “” พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๖๓ ไม่ถงึ ปี ๒๑ สมเดจ็ พระเจ้าทรงธรรม “” พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๗๑ ๘ ปี ๒๒ สมเด็จพระเชษฐาธิราช “” พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๗๔ ๒ ปี ๒๓ สมเด็จพระอาทิตยวงษ์ “” พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๗๓ ๓๖ วัน ๒๔ สมเด็จพระเจา้ ปราสาททอง ปราสาททอง พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๙๘ ๒๕ ปี ๒๕ สมเด็จเจา้ ฟา้ ไชย “” พ.ศ. ๒๑๙๘- ๒๑๙๙ ๑ ปี ๒๖ สมเด็จพระศรสี ุธรรมราชา “” พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๑๙๙ ๓ เดือน ๒๗ สมเดจ็ พระนารายน์มหาราช “” พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑ ๓๒ ปี ๒๘ สมเดจ็ พระเพทราชา พลหู ลวง พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๖ ๑๕ ปี ๒๙ สมเด็จพระเจ้าเสือ “” พ.ศ. ๒๒๔๖-๒๒๕๑ ๗ ปี ๓๐ สมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ท้ายสระ “” พ.ศ. ๒๒๕๑-๒๒๗๕ ๒๔ ๓๑ สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวบรมโกษฐ “” พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๐๑ ๒๖ ปี ๓๒ สมเดจ็ พระเจ้าอุทุมพร “” พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๐๑ ๓ เดือน ๓๓ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่ีน่ังสุริยาศน์ “” พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๑๐ ๙ ปี อมรนิ ทร์ อนึ่ง ภายหลังพุทธปรินิพพานแล้ว ได้มีการแผ่ขยายของพระพุทธศาสนาไปยังประเทศต่าง ๆ ร่องรอยที่ชัดเจนที่สุดก็คือช่วงรัชสมัยของพระเจ้าอโศก ประมาณ พ.ศ.๒๓๕ ภายหลังทาสังคายนา เสร็จแลว้ ก็มกี ารสง่ สมณทูตไปประกาศศาสนา ๙ สาย และ ๑ ในนั้น มีพระโสณะและพระอุตตระถูกส่ง มายังดนิ แดนทเ่ี รยี กวา่ สวุ รรณภมู ิ๙ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก มีกล่าวถึงดินแดนท่ีเรียกว่า สุวรรณภูมิ ๓ แห่ง ได้แก่ คัมภีร์ขุททก นกิ าย มหานิเทศ ๒ แหง่ , ขทุ ทนกิ าย อปทาน ๑ แหง่ ๙ ว.ิ มหา.อ. (ไทย) ๑/๑/๑๑๘-๑๒๐.

๖ เนื้อความที่ปรากฏในขุททนิกาย มหานิเทศ พรรณนาถึงการเดินทางแสวงหาโภคทรัพย์ ต้องล่องเรือออกสู่มหาสมุทรไปยังรัฐต่าง ๆ ซึ่ง ๑ ในนั้นคือ สุวรรณภูมิรัฐ๑๐ ส่วนคัมภีร์อปทาน ปรากฏ อยู่ในอดีตชีวประวัติของพระชตุกัณณิกเถระว่า อดีตชาติได้เป็นบุตรเศรษฐีอยู่ในเมืองหงสวดี เป็นที่รู้จัก แก่คนท้ังหลาย มีคนเข้าไปหา หรอื พบดว้ ยวตั ถปุ ระสงค์ต่าง ๆ บรรดาชนเหล่าน้ัน ระบุถึงชาวสุวรรณภูมิ ด้วย๑๑ ในคัมภรี อ์ รรถกถามีระบถุ งึ ดินแดนทีเ่ รียกวา่ สุวรรณภูมิหลายแห่ง แต่ละแห่งท่ีพบมีลักษณะ คล้ายกันคือต้องอาศัยการเดินทางด้วยเรือ เช่น ในอรรถกถาเอกนิบาต กล่าวถึงระยะทางการเดินเรือไป ยงั สวุ รรณภูมนิ ัน้ ๗๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์=๑๖ กิโลเมตร, ๗๐๐ โยชน์=๑,๑๒๐ กิโลเมตร) ใช้เวลาเดินทาง ๗ วนั ๗ คนื ๑๒ อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย อปทาน ได้เลา่ เรอ่ื งอดีตชาตสิ มัยพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตร มีพ่อค้าคนหนึ่งชื่อพาหิยะ ได้เดินทางไปค้าขายที่เมืองสุวรรณภูมิ แต่เรืออัปปางระหว่างทาง ได้อาศัย แผ่นกระดานแผ่นหนึ่งประคองตวั จึงรอดชีวิต๑๓ หลักฐานจากคมั ภีร์พระไตรปิฎก และคัมภรี ์อรรถกถา แม้จะยังไม่สามารถระบุได้ว่า สุวรรณ ภมู ิ อยทู่ ี่ใด แตจ่ ากบนั ทกึ ตานาน พงศาวดาร หรอื เอกสารอน่ื ๆ ท่ีได้จากดินแดนแถบนี้ พอจะสรุปได้ว่า ดินแดนสุวรรณภูมินั้นครอบคลุมไทย-ลาว-พม่า-กัมพูชา ด้วยดินแดนแถบนี้ มีโบราณสถานหรือ โบราณวัตถุมีลักษณะคล้ายกันกับท่ีสาญจิ ซึ่งเป็นศิลปะหลังสมัยพระเจ้าอโศกเล็กน้อย เป็นประจักษ์ พยาน แสดงใหเ้ ห็นถึงรอ่ งรอยการเขา้ มาของพระพุทธศาสนา หากจะถามว่า พระพุทธศาสนาเข้ามากรุงศรีอยุธยาเมื่อใด คาตอบคือ ชาวกรุงศรีอยุธยา รูจ้ กั พระพุทธศาสนามาก่อนท่ีพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี อย่างน้อยที่สุดก็นับถอย หลังไปตั้งแต่สมัยอู่ทอง สุโขทัย ด้วยมีหลักฐานชัดเจนว่า พระเจ้าแผ่นดิน และชาวเมืองนับถือ พระพุทธศาสนามาก่อนแล้ว แม้จะมีการเปล่ียนผ่านยุคสมัย แต่พระพุทธศาสนาก็ยังคงมีอิทธิพลต่อวิถี ชีวิตประชาชนไม่เปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดเจนเมื่อ พ.ศ.๑๘๙๓ พระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยา ถัด จากนั้น ๓ ปี คือ พ.ศ.๑๘๙๖ ก็ทรงเริ่มอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาด้วยการสร้างวัดพุทไธสวรรค์ ครั้นถึง พ.ศ. ๑๙๐๖ กท็ รงสร้างวัดปา่ แกว้ ข้ึนอกี ๑๔ แม้ในช่วงระหว่างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี กรุงศรีอยุธยากับศรีลังกาก็มีการติดต่อกันอยู่ หลายครั้ง มีการหลักฐานทั้งการเดินทางของพระสงฆ์ไทยไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ศรีลังกา ขณะเดียวกันก็มีหลักฐานทางศรีลังกาเองก็ส่งทูตมาขอพระสงฆ์จากศรีอยุธยาไปสืบพระศาสนาในศรี ลังกา หลักฐานท่ีว่านี้ก็คือพงศาวดาร ซึ่งถือเป็นหลักฐานสาคัญอีกประเภทหน่ึงท่ีช่วยให้เรา สามารถเชอ่ื มโยงเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ แต่ละยุคสมัย ๑๐ ขุ.มหา. (ไทย) ๒๙/๕๕/๑๘๘, ๒๙/๑๗๔/๔๙๕. ๑๑ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๒/๒๙๔/๖๙๒. ๑๒ อ.เอก.อ. (ไทย) ๑/๒/๒๐๙. ๑๓ ข.ุ อป.อ. (ไทย) ๑/๓/๑๒๙-๑๓๐. ๑๔ กรมราชบัณฑิต, พระราชพงศาวดารกรุงเกา่ , หน้า ๒.

๗ พงศาวดาร คอื บนั ทกึ เรอื่ งราวของเหตุการณ์เก่ียวกับประเทศชาติ หรอื พระมหากษัตริย์ผู้เป็น ประมุขของประเทศชาตินั้น เช่น พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์๑๕ บางฉบับ เขียนว่า พระราชพงศาวดาร ซ่ึงมีหมายความถึง การอวตารของพระวิษณุเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ดังนั้น พงศาวดารจึงเป็นหนังสือบันทึกเหตุการณ์ (chronicle) ประเภทหนึ่ง ซ่ึงเน้นเรื่องเก่ียวกับ พระมหากษตั ริยผ์ ้เู ป็นประมขุ ของประเทศ หรือพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ที่เก่ียวกับประเทศ ตลอดเหตุการณ์สาคัญต่าง ๆ ในอดีต แม้อรรถกถาสุมังควิสาลินี ก็อธิบายความหมายว่า บันทึก เรือ่ งราวเก่า ๆ ท่อี ธบิ ายเร่ืองราวต่าง ๆ ว่า สงิ่ นไี้ ดเ้ ป็นมาแล้วอย่างนี้ สิ่งน้ีได้เป็นมาแล้วเชน่ นี้๑๖ ลกั ษณะเนอ้ื หาในพงศาวดาร เปน็ คาให้การ หรือเป็นจดหมายเหตุโดยทางราชสานักเป็นผู้ให้ บันทึกข้ึน พงศาวดารจึงถือเป็นหลักฐานที่สาคัญทางประวัติศาสตร์อีกอย่างหน่ึงที่ทาให้คนรุ่นหลังได้ ทราบประวตั คิ วามเป็นมาของพระมหากษตั ริยใ์ นอดตี ความท่ีพระพุทธศาสนาได้มีบทบาทสาคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นับต้ังแต่อดีต บันทึก เร่ืองราวต่าง ๆ ท่เี กีย่ วข้องกับพระมหากษตั ริย์ จึงมักมีเร่ืองราวเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาในแง่มุมต่าง ๆ ด้วย พงศาวดารจึงนอกจากจะจารึกเหตุการณ์บ้านเมืองในอดีตแล้ว บางช่วงบางตอนของเหตุการณ์ บ้านเมืองเหล่าน้ัน ยังสะท้อนให้เห็นเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาในหลาย ๆ รูปแบบ และหลาย ลักษณะ นบั ต้งั แต่เรม่ิ ตน้ สถาปนากรุงศรีอยุธยา กระทงั่ ถึงวาระสุดท้าย เช่น ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว (พระเจ้าอู่ ทอง) มีขอ้ ความระบุไวว้ ่า “ศกั ราช ๗๑๕ ปีมะเส็ง เบญจศก วันพฤหัสบดี เดือนส่ี ข้ึนคาหน่ึง เพลาสองนาฬิกาห้าบาท ทรงพระกรุณาตรสั วา่ ทีต่ าหนักเวียงเล็กนั้น ให้สถาปนาพระวิหาร และพระมหาธาตุเป็นพระอารามแล้ว ให้นามช่อื ว่าวัดพุทไธสวรรค์”๑๗ “ศักราช ๗๒๕ ปีเถาะ เบญจศก ทรงพระกรุณาตรัสว่า เจ้าแก้วเจ้าไทยออกอหิวาตกโรคตาย ให้ขดุ ข้ึนเผาเสีย ทีป่ ลงศพนนั้ ใหส้ ถาปนาพระเจดียแ์ ลพระวิหารเป็นพระอารามแล้ว ให้นามช่ือว่า วัดป่า แก้ว” ๑๘ จากหลักฐานทาให้ทราบวา่ สมเด็จพระรามาธิบดี ทรงอยู่ในราชสมบัติยาวนาน ๒๐ ปี เสด็จ สวรรคตเมอ่ื ศกั ราช ๗๓๑ และได้ทรงสถาปนา หรือสร้างวัดซึ่งมีความสาคญั ทางประวตั ศิ าสตร์เป็นมรดก ตกทอดมาถึงปัจจบุ ัน ๒ วัน คือวัดพุทไธสวรรค์ และวดั ปา่ แก้ว ในรัชสมัยของสมเด็จพระราเมศวร ได้มีบันทึกความตอนหน่ึงว่า “พระเจ้าอยู่หัวเสด็จยังใน เมืองพิษณุโลก นมัสการพระชินราชชินสีห์ เปล้ืองเคร่ืองต้นถวาย ทรงสักการะบูชาสมโภชเจ็ดวัน แล้ว เสด็จลงมาพระนคร....เสด็จออกทรงศีลยังพระท่ีนั่งมังคลาภิเษก เพลา ๑๐ ทุ่ม ทอดพระเนตรไปยังฝ่าย ทิศบูรพ์ เห็นพระสารีริกบรมธาตุปาฏิหาริย์ เรียกปลัดวังให้เอาพระราชยานทรงเสด็จออกไป ให้กรุยปัก ๑๕ ดูรายละเอียดใน https://th.wikipedia.org/wiki/จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา. ๑๖ ท.ี ส.ี อ. (ไทย) ๑/๑/๕๓๘. ๑๗ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจมิ ), (นนทบุรี : สานกั พิมพ์ศรีปญั ญา, ๒๕๕๓), หนา้ ๓๘. ๑๘ เรื่องเดยี วกัน, หน้า ๔๑.

๘ ขึ้นไว้สถาปนาพระมหาธาตุนั้นสูง ๑๙ วา ยอดนภศูลสูงสามวา แล้วให้ขนานนามให้ช่ือว่า วัดมหาธาตุ และใหท้ าพระราชพธิ ีประเวศพระนคร และเฉลิมพระราชมณเทียร”๑๙ “ศกั ราช ๗๘๖ ปีมะโรง ฉศก สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชเจา้ สรา้ งวดั มเหยงคณ์ สมเด็จพระรา เมศวรผู้เป็นพระราชกุมารเสด็จไปเมืองพิษณุโลก ครั้งน้ันเห็นน้าพระเนตรพระพุทธชินราชตกออกเป็น โลหิต๒๐ ศักราช ๗๙๖ ในแผ่นดินของพระบรมไตรโลกนาถเจ้า ได้ทรงยกวังทาเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ และท่ีถวายพระเพลิงสมเด็จพระรามาธิบดี ที่พระองค์สร้างกรุงเก่าน้ัน ให้สถาปนาพระมหาธาตุและพระ วิหารเป็นพระอาราม แล้วให้นามว่า วัดพระราม” “ลุถึงศักราช ๘๐๖ ปีชวด ฉศก ให้บารุง พระพทุ ธศาสนาบรบิ รู ณ์ และหลอ่ รูปพระโพธสิ ัตว์ ๕๕๐ พระชาติ”๒๑ “ศกั ราช ๘๑๑ ปีมะเสง็ เอกศก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้า ทรงผนวช ณ วัดจุฬามณีได้ แปดเดือน แลว้ ลาผนวช”๒๒ “ลุถึงศักราช ๙๐๕ ปีเถาะ เบญจศก เมื่อสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีได้ยกทัพมาตีอยุธยา พระสงฆซ์ ง่ึ อย่ใู นสมณเพศ อย่างเชน่ พระมหานาค ซง่ึ บวชอยู่ที่วัดภูเขาทอง ก็มีใจรักชาติบ้านเมือง ได้สึก ออกมารับตั้งค่ายกันทัพเรือต้ังแต่วัดภูเขาทองลงมาจนถึงวัดป่าพลู โดยขอกาลังจากญาติโยม ทาสชาย หญงิ ของมหานาคชว่ ยกนั ขดุ คนู อกค่ายกันทัพเรือของขา้ ศกึ ซงึ่ ต่อมารู้จักกนั วา่ คลองมหานาค”๒๓ จากเหตุการณ์คร้ังน้ี ทาให้เห็นบทบาทของพระสงฆ์ในการเข้าไปมีส่วนร่วมในรักษา ประเทศชาตไิ ว้ บางช่วงบางตอน พระสงฆ์ที่เข้าไปเก่ียวข้องกับเหตุการณ์บ้านเมือง หากไม่ระมัดระวังก็มี อันตรายถึงชวี ติ เช่นกนั เช่นกรณพี ระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นผู้ให้ฤกษ์แก่พระศรีศิลป์ในการล้มล้างราช บัลลงั ก์ของสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดริ าชาธิราชเจา้ ต่อมาเหตกุ ารณผ์ ลิกผัน ทาการไม่สาเร็จ สมเด็จพระ มหาจักรพรรดิฯ จึงสั่งให้เอาพระพนรัตน์ไปฆ่าเสีย แล้วเอาศีรษะไปเสียบประจาน ณ ตะแลงแกงพร้อม กบั ศพพระศรศี ลิ ป์๒๔ จะเห็นได้ว่า เร่ืองราวท่ีจารึกไว้ในพงศาวดาร มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอยู่ทุกยุค ทุกสมัย โดยกระท่ังสุดท้ายก่อนท่ีจะเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า วัดวาอารามท่ีเคยกลายเป็นสัญลักษณ์ ของความสงบร่มเย็น ก็ได้กลายเป็นสมรภูมิรพ พม่าได้ยกทัพมาตั้งค่ายในวัด บุกโจมตี และฆ่าผู้คนไป เป็นจานวนมาก เม่ืออายุแผ่นดินศรีอยุธยาถึงกาลอวสาน จึงเกิดอาเพศให้เห็นประหลาด เช่น พระ ประธานวัดเจ้าพระนางเชิงน้าพระเนตรไหลลงมาจนถึงพระนาภี ในวัดพระศรีสรรเพชญ์นั้น พระบรม ไตรโลกนาถ พระอรุ ะแตก ดวงพระเนตรตกลงมาอยู่ที่ตักเป็นอัศจรรย์ พระเจดีย์วัดราชบูรณะนั้น กาบิน มาเสียบตายอยู่บนปลายยอด รูปพระนเรศวรเจ้าโรงแสงในกระทืบพระบาทสน่ันไปทั้งสี่ทิศ และเม่ือ พมา่ เข้ากรุงได้ กเ็ อาไฟเผาพระราชวงั และวัดพระศรสี รรเพชญ์ ขณะท่ีพระเจ้าแผ่นดินอยุธยา ได้หนีออก ๑๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๔๗. ๒๐ เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า ๕๑. ๒๑ เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า ๕๔. ๒๒ เรื่องเดียวกนั , หน้า ๕๔. ๒๓ เรือ่ งเดยี วกัน, หนา้ ๗๘. ๒๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบบั หลวงประเสรฐิ , หน้า ๔๑๐.

๙ จากพระนครไปพระองค์เดียว ได้รับความลาบาก สุดท้ายก็ถึงแก่พิราลัย แผ่นดินอยุธยาจึงอันปิดฉากลง ในปี ๑๑๒๙ ปีกนุ นพศก ร่องรอยพระพุทธศาสนาท่ีปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา แม้จะมีรายละเอียดปรากฏ เป็นหลักฐาน อย่างไรก็ตาม ก็มีอีกหลายประเด็นเช่นกันที่ต้องวิเคราะห์ ตรวจสอบความถูกต้อง และ ประมวลเหตุการณ์ในส่วนยังไม่สมบูรณ์ หรือยังไม่ชัดเจน ให้เกิดความสมบูรณ์ ชัดเจนย่ิงขึ้น นับตั้งแต่ ศักราชที่ระบุในพงศาวดาร ลาดับเหตุการณ์ท่ียังไม่ลงรอยกัน กระทั่งรายละเอียดต่าง ๆ ในแต่ละ เหตกุ ารณ์ ๑.๒ วตั ถุประสงค์ ๑) เพอ่ื ศึกษาประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ๒) เพื่อวเิ คราะหบ์ ทบาทและความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาต่อสังคมสมยั กรุงศรีอยธุ ยา ๓) เพ่ือวิเคราะห์คตินิยมทางพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคม และคตินิยมที่สังคมมีต่อ พระพุทธศาสนาสมยั กรุงศรอี ยุธยา ๑.๓ ขอบเขตของการวิจัย ๑) ขอบเขตดา้ นเน้อื หา การวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยมุ่งศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาท่ีปรากฏอยู่ในพงศาวดารกรุง ศรอี ยุธยา จากนั้นวิเคราะห์บทบาท ความสัมพันธ์ และคตินิยมทางพระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม และคติ นยิ มทางสังคมท่มี ตี ่อพระพุทธศาสนา ๒) ขอบเขตด้านเอกสาร ในการวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยใช้พระราชพงศาวดาร พงศาวดาร และประชุมพงศาวดารสมัยกรุง ศรอี ยธุ ยา ซึ่งตีพมิ พ์ในโอกาสตา่ ง ๆ โดยจัดกลุม่ เป็นเอกสารชั้นปฐมภูมิคือตัวพงศาวดาร และเอกสารชั้น ทุติยภมู ิ ไดแ้ กจ่ ดหมายเหตุ ประชุมพงศาวดาร ตลอดจนถงึ ตานาน ตาราทางวชิ าการต่าง ๆ ประเภทพงศาวดาร เชน่ พระราชพงศาวดาร เล่ม ๑-๒-๓ ตีพิมพ์โดยกรมศึกษาธิการ (ร.ศ. ๑๒๐) , พงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั วัน วลิต พ.ศ. ๒๑๘๒, พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑-๒-๓ ตพี มิ พเ์ มื่อ รศ.๑๓๑ (พ.ศ.๒๔๕๕), พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสิด ตีพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๖, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า กรมราชบณั ฑติ จดั พิมพ์ ๒๕๐๑ ประเภทจดหมายเหตุ และประชุมพงศาวดาร เช่น ลาลูแบร์ จดหมายเหตุกรุงศรีอยุธยา, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๑๙, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๒๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๗, ประชุม พงศาวดาร ภาคที่ ๓๘, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๖๔, ประชุม พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๙, จดหมายเหตุระยะทางราชทูตลังกาเข้ามาขอคณะสงฆ์ท่ีกรุงศรีอยุธยา, ตีพิมพ์ ๒๔๗๓, จดหมายเหตุเก่า เรื่อง พระเจ้าแผ่นดินกรงุ ศรีอยุธยาแตง่ ทูตไปนมสั การพระมาไลย์เจดีย์เมืองหง สาวดี เป็นต้น ๑.๔ นยิ ามศพั ท์ทีใ่ ชใ้ นการวิจัย ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ในท่ีนี้ ผู้วิจัยหมายเอาเร่ืองราวต่าง ๆ ที่ระบุถึง ซึ่งมีความ เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาลักษณะใดลักษณะหนึ่ง อาจจะเป็นเร่ืองเก่ียวกับพระพุทธ พระธรรม

๑๐ พระสงฆ์ วัด จารีต ประเพณีต่าง ๆ เป็นต้น ซ่ึงได้รับการบันทึกไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาตลอด ระยะเวลา ๔๑๗ ปีทไ่ี ดด้ ารงสถานะเปน็ เมอื งหลวง พงศาวดาร หมายถึง บันทึกเรื่องราวเก่ียวราชวงศ์ และเหตุการณ์บ้านเมืองในรัชกาลหรือ สมัยต่าง ๆ กรุงศรีอยุธยา หมายถึง เมืองหลวงของไทยในอดีต ได้รับการสถาปนาขึ้นคร้ังแรกในสมัย พระเจา้ อทู่ อง ปี พ.ศ. ๑๘๙๓ ส้นิ สุดในปี พ.ศ.๒๓๑๐ รวมระยะเวลา ๔๑๗ ปี คตนิ ยิ ม หมายถึง แบบอยา่ งความคดิ เห็น ความเชื่อ หรือวิธีการคิดรวมกันท่ีเป็นลักษณะของ กลุ่มชน เช่น คตินิยมของกลุ่มวิชาชีพ คตินิยมทางศาสนา คตินิยมทางการเมือง หรือชุดความเชื่อทาง สังคมทีเ่ ป็นทีย่ อมรับรว่ มกนั ภายในกลุ่ม บทบาท หมายถึง การกระทาตามหน้าท่ีที่กาหนดไว้ หรือท่ีควรจะทา เมื่อใช้กับ พระพุทธศาสนา ผู้วิจัยหมายเอาส่ิงที่พระพุทธศาสนาได้กระทาต่อสังคม หรือท่ีสังคมกระทาต่อ พระพุทธศาสนาลักษณะใดลกั ษณะหนงึ่ ๑.๔ วิธีดาเนนิ การวจิ ัย ก. ในการศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ผู้วิจัยได้ ดาเนินการศึกษาตามวิธีวิทยา (Research Methodology) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) โดยมแี นวทางหรือขัน้ ตอนการดาเนนิ การศึกษาดังต่อไปนี้ ๑) สืบค้นเอกสารพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาจากเอกสารหลัก ประกอบไปด้วย ฉบับ จันทนุมาศ, ฉบับหลวงประเสริฐ ตีพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๖, ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑-๒-๓ ตีพิมพ์เม่ือ รศ.๑๓๑ (พ.ศ.๒๔๕๕) และเทียบเคียงฉบับอ่ืน ๆ เช่น ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๑๙, ประชุม พงศาวดาร ภาคที่ ๒๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๓๗, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๘, ประชุม พงศาวดาร ภาคท่ี ๔๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๖๔, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๙, จดหมายเหตุ ระยะทางราชทูตลังกาเข้ามาขอคณะสงฆ์ท่ีกรุงศรีอยุธยา, ตีพิมพ์ ๒๔๗๓, จดหมายเหตุเก่า เร่ือง พระ เจา้ แผน่ ดนิ กรงุ ศรอี ยุธยาแต่งทูตไปนมสั การพระมาไลยเ์ จดยี เ์ มืองหงสาวดี เปน็ ต้น ๒) คัดเนื้อหาส่วนที่เกีย่ วข้องกับพระพทุ ธศาสนาออกมา แล้วจัดหมวดหมตู่ ามเน้อื หา ข. ในการวิเคราะห์บทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับสังคมสมัยกรุงศรี อยธุ ยา ผวู้ ิจัยดาเนินการวิเคราะหเ์ นื้อหาที่ไดจ้ ากการศกึ ษาในขอ้ ก. โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ เป็นบทบาท และความสมั พันธท์ ี่พระพทุ ธศาสนามีตอ่ สังคมในสมยั กรงุ ศรีอยุธยา ค. ในวิเคราะห์คตินิยมทางพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคม และคตินิยมท่ีสังคมมีต่อ พระพทุ ธศาสนาสมยั กรุงศรีอยุธยา ผวู้ จิ ยั ดาเนินการดังน้ี ๑) วเิ คราะห์เนอ้ื หาท่ไี ด้จากการศึกษาในขอ้ ก โดยพิจารณาเฉพาะในส่วนท่ีเป็นคตินิยม ๒ ส่วน คือ คตนิ ยิ มทพี่ ระพทุ ธศาสนามตี อ่ สังคม และคตนิ ิยมทีส่ ังคมมตี อ่ พระพทุ ธศาสนา ๒) การวิเคราะห์คตินิยมพระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม ผู้วิจัยอาศัยคตินิยมท่ีปรากฏใน คัมภีร์พระไตรปิฎก และอรรถกถาเป็นแนวคิดและทฤษฎีสาหรับการวิเคราะห์ ส่วนคตินิยมท่ีสังคมมีต่อ พระพุทธศาสนา ผูว้ ิจยั อาศัยคตินิยมทางสังคมสมัยอยุธยาเป็นแนวคิด พร้อมทั้งเชื่อมโยงให้เห็นอิทธิพล หรือบทบาทสาคัญในการกาหนดคตนิ ยิ มใหมข่ ้ึนในพระพทุ ธศาสนา

๑๑ ง.เขียนรายงานการวิจัย เชิงพรรณนาโวหาร และนาเสนอสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์เพ่ือให้ ผทู้ รงคณุ วุฒิตรวจสอบความถูกต้อง จ.ปรับปรุง แก้ไข ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ ทาเล่มสมบูรณ์ส่งสถาบันวิจัยพุทธ ศาสตร์ต่อไป ๑.๔ ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะไดร้ บั ๑) ได้องค์ความรดู้ ้านประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในสมยั กรุงศรีอยุธยา ๒) ไดอ้ งค์ความรู้เกี่ยวกบั บทบาทและความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาต่อสังคมสมัยกรุงศรี อยธุ ยา ๓) ไดอ้ งค์ความรู้ถงึ คตนิ ิยมทางพระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม และสังคมมีต่อพระพุทธศาสนา สมัยกรุงศรอี ยุธยา

๑๒ บทที่ ๒ สบื พระพทุ ธศาสนาจากพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ในบทน้ี จะสืบค้นประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา โดยเบื้องต้น ได้ ใช้ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หลวงประเสริฐ (พระปริยัติธรรมธาดา-แพ เปรียญ)๑ และฉบับราชหัตถเลขา๒ เป็นหลัก ส่วนฉบับอ่ืน ๆ ก็จะใช้สาหรับเทียบเคียง ตรวจสอบ เสริม เพิ่มประเด็นเพื่อความสมบูรณ์ ลาดับ เหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีปรากฏในพงศาวดาร จะเรียงตามลาดับรัชกาลของกษัตริย์แต่ละพระองค์ต้ังแต่ต้น กระทง่ั สิ้นสุดแผ่นกรงุ ศรีอยธุ ยา กรงุ ศรอี ยธุ ยามคี วามเจริญรุง่ เรือง ดารงฐานะความเป็นเมืองหลวงของไทยเป็นระยะเวลา ๔๑๗ ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครอง ๕ ราชวงศ์๓ ประกอบด้วย ราชวงศ์อู่ทอง, ราชวงศ์สุพรรณภูมิ, ราชวงศ์ สุโขทัย, ราชวงศ์ปราสาททอง, และราชวงศ์บ้านพลูหลวง รวมทั้งสิ้น ๓๓ พระองค์ ระยะเวลา ๔๑๓ ปี มี บนั ทึกเรือ่ งราวเก่ียวกบั พระพุทธศาสนา ดังรายจะกล่าวในรายละเอียดตามลาดบั ต่อไป อนงึ่ รัชกาลใดไม่มบี ันทกึ เกีย่ วกับพระพทุ ธศาสนากจ็ ะข้ามลาดับไป ๒.๑ รชั กาลสมเด็จพระรามาธบิ ดที ี่ ๑ (อู่ทอง) รัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ทรงเปน็ กษตั ริยพ์ ระองคแ์ รก เสวยราชสมบตั ริ ะหว่างปีพุทธศักราช ๑๘๙๓-๑๙๑๒ (จุลศักราช ๗๑๒-๗๓๑) รวมระยะเวลา ๒๐ ปี มเี หตุการณเ์ กี่ยวกบั พระพุทธศาสนาดงั รายละเอยี ดตามลาดับตอ่ ไปน้ี ๒.๑.๑ สถาปนาวดั พุทไธศวรรย์ วัดพุทไธ ศวรรย์ ตั้งอยู่ริมแม่น้าเจ้าพระยาฝ่ังตะวันตก ตาบลสาเภาล่ม อาเภอ พระนครศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองโปรดให้สร้างขึ้นในบริเวณพระตาหนักเวียงเล็ก พระราชพงศาวดารระบุ ศกั ราช ๗๑๕ ตรงกับพทุ ธศักราช ๑๘๙๖ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี ๑ สานักพิมพ์ศรีปัญญา ตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกปี ๒๕๕๓ ในเล่มประกอบด้วยพระราชพงศาวดารกรุงศรี อยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), ฉบับหลวงประเสริฐ, คาให้การชาวกรุงเก่า, คาให้การขุนหลวงหาวัด เฉพาะพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ศักราช ข้อความต่าง ๆ ลงรอยตามต้นฉบับของกรมราชบัณฑิต ตีพิมพ์ในงาน พระราชทานเพลงิ ศพ มหาเสวกเอก เจา้ พระยาศรพี พิ ฒั นร์ ตั นราชโกษาธบิ ดี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๐๑. ๒ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว, พระราชพงษาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑, สมเด็จพระ เจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้าภาณุรังษีสวา่ งวงศ์ กรมพระยาภาณพุ ันธวุ งศ์วรเดช พมิ พข์ ึน้ เปน็ ส่วนพระกศุ ลทานมัยในงานพระศพ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงวรเสฐสดุ า, ๒๔๕๕. ๓ ระพีพรรณ ใจภักดี, คู่มือชมศิลปะและสถาปัตยกรรมไทย พระนครศรีอยุธยา, (กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ แสงแดดเพ่ือเด็ก, ๒๕๔๘), หน้า ๑๓.

๑๓ “ศักราช ๗๑๕ ปีมะเส็งเบญจศก (พ.ศ.๑๘๙๖) วันพฤหัสบดี เดือน ๔ ข้ึน ๑ ค่า เพลา ๒ นาฬิกา ๕ บาท ทรงพระกรุณาตรัสว่า ที่พระต่าหนักเวียงเหล็กน้ัน ให้สถาปนาพระวิหาร และพระมหาธาตุ เป็นพระอารามแลว้ ให้นามชื่อวัดพทุ ไธศวรรย์” ๔ ข. ขอ้ สังเกตเพ่มิ เติม (๑) จลุ ยทุ ธการวงศร์ ะบวุ ่าใหส้ รา้ งปรางค์ พระธาตุ และพระวิหาร ระบุศักราชตรงกนั ๕ (๒) นับเป็นครงั้ แรกในประวัติศาสตร์กรงุ ศรอี ยุธยาท่ีปรากฏหลักฐานพระมหากษัตริย์อุทิศ พระตาหนกั เพือ่ สถาปนาเปน็ วดั ในพระพุทธศาสนา (๓) ความมุ่งหมายในการสถาปนาวัด ให้เป็นท่ีบาเพ็ญพระราชกุศลซึ่งกลายเป็นแบบอย่าง ในเวลาต่อมา (๔) เดิมสะกด “พุทไธสวรรย์” สร้างหลังจากท่ีมีการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี แลว้ ๓ ป๖ี (๕) รูปแบบสถาปัตยกรรมกาหนดให้พระมหาธาตุเป็นศูนย์กลางของวัด เพราะวัดพุทไธ ศวรรย์เป็นทีบ่ รรจุพระบรมสารีริกธาตุ ภาพประกอบ: (๑) http://www.bansansuk.com/travel/Phutthaisawan/, (๒) https://th.wikipedia.org/wiki หน้า ๔๑. ๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบบั พนั พนั จนั ทนมุ าศ (เจิม), (นนทบุรี: สานักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๓), ๔๑. ๕ พระพนรัตน,์ จลุ ยทุ ธการวงศ์, (กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕), หนา้ ๓๒๐. ๖ แสงเพชร, เกร็ดประวัติศาสตร์บนแผ่นดินอยุธยา, (กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), ๒๕๕๖), หน้า

๑๔ ๒.๑.๒ สถาปนาวัดป่าแกว้ วัดป่าแก้ว (ปัจจุบันคือวัดชัยมงคล หรือวัดใหญ่ชัยมงคล) เป็นวัดแห่งท่ี ๒ ท่ีได้รับการสถาปนา ข้ึนในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่ทอง นับระยะเวลา ๑๐ ตั้งแต่ทรงสถาปนาวัดพุทธไธศวรรย์ (พ.ศ.๑๘๙๖) จุดมุง่ หมายของการสถาปนา เพ่ือเปน็ อนสุ รณส์ ถานแดเ่ จ้าแก้วไทย ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “ศักราช ๗๒๕ ปีเถาะเบญจศก (พ.ศ.๑๙๐๖) ทรงพระกรุณาตรัสว่า เจ้าแก้วไทยออก อหิวาตกโรคตาย ให้ขุดขึ้นเผาเสีย ที่ปลงศพน้ันให้สถาปนาเจดีย์วิหารเป็นพระอารามแล้ว ให้นามช่ือว่าวัด ป่าแก้ว”๗ ข. ขอ้ สงั เกตเพ่ิมเติม (๑) จุลยุทธการวงศ์ระบุว่า โปรดให้สร้างเจดีย์ พระวิหาร และอาราม ณ ท่ีพระราชทาน เพลิง แลว้ ขนานนามว่าวดั ป่าแกว้ ศักราชระบุตรงกัน๘ (๒) สถานที่สร้างวัดใช้สถานที่ปลงศพเจ้านายช้ันผู้ใหญ่ ดูเหมือนจะมีความมุ่งหมายอุทิศ เป็นสว่ นกุศลแดผ่ ู้วายชนม์ และเปน็ อนสุ รณส์ ถานดว้ ย เพราะอฐั ิของเจ้าแก้วไทยได้รบั การบรรจุไวท้ ีน่ ี่ (๓) รูปแบบสถาปตั ยกรรมกาหนดให้พระเจดียเ์ ปน็ ศูนย์กลางของวัด ภาพประกอบ: โดย พระครศู รีปัญญาวิกรม,ดร. ผู้วิจัย ๒.๑.๓ สรา้ งวัดพระราม พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจิม) ไม่มีระบุการสร้างวัดพระรามไว้ แต่ มรี ะบไุ วใ้ นพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับหลวงประเสริฐ ๗ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพนั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๔๑. ๘ พระพนรัตน์, จลุ ยทุ ธการวงศ์,อา้ งแล้ว, หน้า ๓๒๐.

๑๕ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “ศักราช ๗๓๑ ระกาศก (พ.ศ.๑๙๑๒) แรกสร้างวัดพระราม ครั้งน้ัน สมเด็จพระรามาธิบดี เจา้ เสด็จนฤพาน”๙ ข. ขอ้ สังเกตเพ่ิมเติม (๑) เริ่มสร้างวัดพระรามข้ึนในปลายรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โดยมีพระราชประสงค์จะใหเ้ ปน็ ศูนย์กลางของเมือง แต่เสด็จสวรรคตก่อน จงึ กลายเป็นเพียงอนุสรณ์สาหรับ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๑๑๐ (๒) พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจิม) ไม่มีการกล่าวถึงการสร้าง วัดพระราม ภาพประกอบ: https://th.wikipedia.org/wiki/ สรปุ ในรัชกาลสมเดจ็ พระรามาธบิ ดีที่ ๑ (อู่ทอง) มีบันทึกเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนา ๓ เรื่อง เป็นเรื่องการสถาปนาวัด ๒ เร่ือง ได้แก่ การสถาปนาวัดพุทธไธสวรรค์ และวัดป่าแก้ว (ปัจจุบันคือวัดชัย มงคล) และเรอ่ื งการสรา้ งวัด ๑ เร่ือง ได้แก่ การสร้างวัดพระราม ๒.๒ รชั กาลสมเดจ็ พระราเมศวร สมเด็จพระราเมศวร เป็นพระมหากษัตริย์ข้ึนเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา ๒ ช่วง ช่วงแรก เปน็ ระยะส้นั ๆ (พ.ศ.๑๙๑๒) เม่ือสมเด็จพระบรมราชาธิราชเข้ามาแต่เมืองสุพรรณ ก็เสด็จออกไปอัญเชิญ เสดจ็ เขา้ มาพระนคร ถวายราชสมบัติแด่สมเด็จพระบรมราชาธิราชแล้วแล้ว พระองค์ก็ถวายบังคมลาข้ึนไป ๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสรฐิ , หนา้ ๓๙๐. ๑๐ แสงเพชร, เกร็ดประวตั ศิ าสตร์บนแผ่นดนิ อยธุ ยา, หนา้ ๔๒.

๑๖ ครองเมืองลพบุรีดังเก่า ช่วงที่ ๒ ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๒๗-๑๙๓๐ รวมอยู่ในสิริราชสมบัติ ๔ ปี มีเหตุการณ์ เกีย่ วกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามลาดับต่อไปนี้ ๒.๒.๑ ทรงทอดพระเนตรพระสารรี กิ ธาตุแสดงปาฏิหารยิ ์ และสถาปนาวัดมหาธาตุ ในคราวยกทพั ไปปราบเจา้ เมอื งเชียงใหม่ เม่ือได้ชยั ชนะแล้ว ก็เสด็จกลับพระนคร ในตอนค่า ได้ เสดจ็ ออกทรงศีลที่พระท่ีน่งั มงั คลาภิเษก ได้ทอดพระเนตรเห็นพระธาตุแสดงปาฏิหาริย์ เป็นแสงสว่างพุ่งมา ทางทิศตะวันออก จึงโปรดให้ปลัดวังไปทาเครื่องหมายไว้ ต่อมาก็ได้สร้างพระมหาธาตุ และสถาปนาเป็น พระอาราม ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงศีล ยังพระท่ีนั่งมังคลาภิเษกเพลา ๑๐ ทุ่ม ทอดพระเนตร โดยฝ่ายทิศบูรพ์เห็นพระสารีริกธาตุบรมธาตุเสด็จปาฏิหาริย์ เรียกปลัดวังให้เอาพระราชยานทรงเสด็จ ออกไป ให้เอาตรุยปกั ขนึ้ ไว้ สถาปนาพระมหาธาตุนนั้ สูง ๑๙ วา ยอดนพศูลสูง ๓ วา ช่ือวัดมหาธาตุ”๑๑ ข. ข้อสังเกตเพมิ่ เติม (๑) จลุ ยุทธการวงศ์ ระบุว่า ทรงศีลอุโบสถ (๒) จากหลักฐานแสดงใหเ้ หน็ วา่ พระเจา้ อย่หู วั ฝกั ใฝใ่ นพระศาสนา เวลากลางคืนเสร็จจาก ราชกจิ ต่าง ๆ แล้ว ก็ยงั ออกทรงศีล (๓) เฉพาะพระปรางค์องค์ใหญ่ของวัดมหาธาตุนั้น สร้างด้วยศิลาแลงและหินทราย มีอิฐ ก่อซ่อมแซมท้ังด้านนอกและด้านใน ตรงฐานช้ันล่างมีภาพลิงปั้นด้วยปูน และประดับด้วยเศษถ้วยชามลาย ครามตดิ อยู่โดยรอบ๑๒ ๒.๒.๒ บชู าพระพทุ ธชินราช และพระพุทธชนิ ศรี ในคราวยกทัพไปปราบเจ้าเมืองเชียงใหม่ เม่ือได้ชัยชนะแล้ว ก็เสด็จกลับพระนคร ระหว่างทาง ไดท้ รงแวะนมสั การพระพุทธชนิ ราช และพระพุทธชินศรี พระคู่บ้านคู่เมืองสาคัญของเมืองพิษณุโลก โดยใน การเสด็จคร้ังนี้ ได้ทรงเปล้ืองเครื่องต้นถวายเป็นพุทธบูชา และทรงโปรดให้มีการมหรสพสมโภชเป็น ระยะเวลา ๗ วนั ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “เจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าเมืองพิษณุโลก นมัสการพระชินศรี พระชินราช เปล้ืองเครื่องต้นท่า สกั การบูชา สมโภช ๗ วนั ”๑๓ ๑๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๔๗. ๑๒ แสงเพชร, เกรด็ ประวัติศาสตรบ์ นแผ่นดนิ อยธุ ยา, หน้า ๔๒-๔๓. ๑๓ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๔๗.

๑๗ ข. ขอ้ สังเกตเพิม่ เติม นับเป็นคร้ังแรกในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาท่ีพระเจ้าแผ่นดินเปล้ืองเครื่องต้นบูชาพระ คู่บ้านคู่เมือง คือพระชินศรี และพระพุทธชินราช สะท้อนให้เห็นถึงพระราชศรัทธาท่ีมีต่อพระพุทธชินศรี และพระพุทธชินราช ซึง่ เปน็ พระคูบ่ ้านคเู่ มืองทีส่ าคัญ ๒.๒.๓ สถาปนาวดั ภเู ขาทอง วัดภูเขาทอง ปัจจุบันอยู่ห่างเกาะเมืองศรีอยุธยาไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ ๓ กโิ ลเมตร ส่วนเจดยี ์ภเู ขาทองที่เหน็ ถกู สรา้ งข้ึนภายหลัง๑๔ มีหลักฐานปรากฏอยู่ในคาให้การชาวกรุงเก่า๑๕ ระบวุ า่ พระเจ้าหงสาวดีบเุ รงนองโปรดใหส้ ร้างขน้ึ เมอ่ื ปี ๒๑๑๒ ในรชั สมัยของพระสุธรรมราชา เพ่ือประกาศ ชยั ชนะเหนอื กรุงศรีอยธุ ยา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “ศักราช ๗๔๙ ปเี ถาะนพศก (พ.ศ.๑๙๓๐) สถาปนาวัดภูเขาทอง เพลาเย็นเสด็จไปพระท่ี นัง่ มังคลาภเิ ษก ท้าวมลซึง่ ตายแต่กอ่ นนนั้ มานั่งขวางทางเสดจ็ อยูแ่ ล้วกห็ ายไป”๑๖ ข. ขอ้ สังเกตเพิม่ เติม จลุ ยุทธการวงศ์ระบวุ ่า โปรดใหส้ ร้างเจดียแ์ ละวดั ภูเขาทอง ศกั ราชระบุตรงกนั ๑๗ ภาพประกอบ: (๑) https://th.wikipedia.org/wiki/, (๒) http://www.bloggang.com ๑๔ ปวตั ร นวะมะรตั น, อยธุ ยาท่ีไมค่ นุ้ เคย, (กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, ๒๕๕๗), หน้า ๑๓๗. ๑๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา คาใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ ,หน้า ๕๐๗. ๑๖ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๔๘. ๑๗ พระพนรัตน,์ จลุ ยทุ ธการวงศ์,อ้างแล้ว, หนา้ ๓๒๘.

๑๘ สรุป ในรชั กาลสมเด็จพระราเมศวร มีบันทึกเก่ยี วข้องกับพระพุทธศาสนา ๓ เร่ือง เป็นเรื่องของ การสถาปนาวดั ๒ เรือ่ ง, การเสดจ็ พระราชดาเนินไปนมสั การพระคบู่ ้านคู่เมืองพิษณโุ ลก ๑ เรอื่ ง วดั ทไ่ี ด้รบั การสถาปนาในรัชกาลสมเด็จพระราเมศวรคอื วดั พระมหาธาตุ ส่วนท่ี ๒ ได้แก่วัดภูเขา ทอง มูลเหตุของการสถาปนาวัดมหาธาตุเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ท้ังน้ีสืบเนื่องมาจากการที่ได้ทรง ทอดพระเนตรเห็นปาฏหิ าริย์ของพระบรมสารีรกิ ธาตุ ๒.๓ รัชกาลสมเดจ็ พระบรมราชาธิราชท่ี ๑ สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงัว) เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๓ ขึ้นเสวยราชสมบัติ กรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๒๕ รวม ๑๓ ปี ในระหว่างนี้ มีบันทึกเรื่องราวเก่ียวกับ พระพทุ ธศาสนา ดงั นี้ ๒.๓.๑ สถาปนาวัดพระศรรี ตั นมหาธาตุ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ บางคร้ังเรียกส้ัน ๆ ว่า วัดมหาธาตุ การสร้างพระเจดีย์เอาไว้กลางเมือง ถือคติว่า พระเจดีย์เป็นสถานท่ีประดิษฐ์ หรือสถิตของพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเสมือนเป็นตัวแทนของ พระพุทธเจ้า เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ขนาดเล็กที่สุดก็คือเป็นศูนย์กลางของการปกครอง เพราะเป็นท่ี ประทับของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสี คู่กับวัดชัยมงคล หรือวัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นท่ีประทับของ พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “ศักราช ๗๓๖ ปีขาลฉอศก (พ.ศ.๑๙๑๗) สมเด็จพระบรมราชาธิราช และพระเถรธรรมา กัลยาณ แรกสถาปนาพระศรีรัตนมหาธาตุ ฝ่ายบุรทิศ หน้าพระบันช้ันสิงห์สูง ๑๙ วา ยอดนพศูลสูง ๓ วา”๑๘ ข. ข้อสังเกตเพ่มิ เตมิ (๑) วดั พระศรีรัตนมหาธาตุ ฉบบั หลวงประเสรฐิ เขยี นวา่ “วัดพระศรีรัตณะมหาทาตุ”๑๙ (๒) หนา้ พระบันช้ันสิงห์ ฉบับหลวงประเสริฐระบุว่า สูงเส้น ๓ วา๒๐ เท่ากับ ๔๖ เมตร (๑ เส้น เทา่ กบั ๔๐ เมตร, ๑ วา เทา่ กับ ๒ เมตร) (๓) ฉบับพระราชหัตถเลขาระบุความดังนี้ “ศักราช ๗๓๖ ปีขาลฉศก สมเด็จพระบรม ราชาธิราช และพระเถรธรรมากัลญาณปฤกษากัน แรกสถาปนาพระศรีรัตนมหาธาตุ ฝ่ายบุรทิศ น่าพระ บัญชรช้ันสงิ ห์สูง ๑๙ วา ยอดนพศลู สงู ๓ วา”๒๑ ๑๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๔๓. ๑๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบบั หลวงประเสรฐิ , หน้า ๓๙๑. ๒๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั หลวงประเสริฐ, หน้า ๓๙๑. ๒๑ พระราชพงษาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑, หน้า ๓. จุลยุทธการวงศ์ระบว่า ก่อนสร้างได้ปรึกษา พระมหากัลยาณเถร ดู พระพนรัตน์, จุลยทุ ธการวงศ,์ อา้ งแลว้ , หน้า ๓๒๒.

๑๙ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ มีระบุถึงเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๑ เร่ือง ไดแ้ ก่ การสถาปนาวดั พระศรีมหาธาตุ ภาพประกอบ: http://travel.truelife.com/detail/31391 ๒.๔ รชั กาลสมเด็จพระบรมราชาธริ าชท่ี ๒ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ เสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาในระหว่างปี ๑๙๖๔-๑๙๗๗ รวมอยู่ในราชสมบัติ ๑๖ ปี ในระหว่างน้ี มีเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามลาดับ ตอ่ ไปนี้ ๒.๔.๑ สถาปนาวดั ราชบูรณะ วดั ราชบูรณะเป็นวดั ทส่ี มเดจ็ พระบรมราชาทรงสถาปนาข้ึนเพ่ือบริเวณท่ีถวายพระเพลิงพระศพ ของเจ้าอ้ายพระยา และเจ้าย่ีพระยา ซึ่งท้ังสองพระองค์สวรรคตเพราะทาสงครามแย่งชิงราชสมบัติ แต่ลง เอยด้วยถูกพระแสงง้าวส้ินพระชนม์บนคอช้าง ราชสมบัติจึงตกแก่พระอนุชาองค์สุดท้าย (เจ้าสามพระยา) ซ่ึงก็ต่อได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ จุดประสงค์ของการสร้าง เพอื่ เปน็ อนสุ รณ์สถานแด่พระเชษฐาท้ังสองพระองค์นั่นเอง ปัจจุบันร่องรอยของสะพานป่าถ่าน และเจดีย์เจ้าอ้ายพระยา เจ้าย่ีพระยาอยู่ตรงบริเวณเกาะ กลางสแ่ี ยกถนนป่าถา่ น เยือ้ งวดั ราชบูรณะลงมาทางทศิ ตะวันออกเฉยี งใต้๒๒ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี ๒๒ ปวตั ร นวะมะรตั น, อยุธยาทไี่ มค่ ุ้นเคย, หนา้ ๔๙.

๒๐ “สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชเจ้า ใหข้ ุดเอาพระศพเจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยาไปถวายพระ เพลิง ท่ถี วายพระเพลิงน้นั ให้สถาปนาพระมหาธาตแุ ละพระวหิ ารเปน็ อารามแลว้ ให้นามช่ือวา่ วัดราชบูรณะ ทเี่ จ้าอ้ายพระยา เจ้ายพ่ี ระยาชนชา้ งกันถงึ พิราลัย ใหก้ อ่ พระเจดียส์ ององค์ไวท้ ่ีเชงิ ตะพานปา่ ถ่าน”๒๓ ข. ข้อสังเกตเพิ่มเตมิ (๑) ฉบับหลวงประเสริฐระบุ พ.ศ. ๑๙๖๗ ในการสร้างน้ัน หลักฐานระบุว่า ให้ก่อพระ เจดีย์สองพระองคส์ วมที่เจา้ อา้ ยพระยา เจ้าย่พี ระยาชนช้างด้วยกนั ถึงอนจิ ภาพ๒๔ (๒) พ่ีน้องแย่งราชสมบัติกันที่สืบทอดมาแต่พระบิดา เสียชีวิตเพราะต้องพระแสงง้าวพระ ศอขาด ราชสมบตั จิ ึงตกเป็นของเจา้ สามพระยา (๓) ปัจจุบันเจดีย์นี้อยู่ตรงสี่แยกมุมวัดมหาธาตุ และวัดราชบูรณะ ถนนชีกุน ตาบลหัวรอ พระนครศรอี ยุธยา๒๕ ภาพประกอบ: https://watboran.wordpress.com/category/ ๒.๔.๒ การบชู ารปู เคารพอน่ื คาวา่ รูปเคารพอ่นื หมายเอารปู เคารพท่ีไม่ใช่พระพุทธรูป รูปสัญลักษณ์แทนพระธรรม หรือรูป พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แต่คนสมัยกรุงศรีอยุธยาให้ความเคารพ และมีการนามาประดิษฐานไว้ในวัด เพือ่ ให้คนได้กราบไหว้บูชา ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ศักราช ๗๘๓ ปีฉลูตรีนิศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า เสด็จไปเอาเมืองพระนคร หลวงได้ ทา่ นจึงใหเ้ อาพระยาแก้วพระยาไทยแลครัวกับท้ังรูปพระโค รูปสิงห์สัตว์ทั้งปวงมาด้วย คร้ันถึงพระ ๒๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๕๑. ๒๔ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า ๓๙๔. ๒๕ แสงเพชร, เกรด็ ประวัตศิ าสตรบ์ นแผ่นดินอยุธยา, หนา้ ๔๙.

๒๑ นครศรีอยุทธยา จึงให้เรารูปสัตว์ท้ังปวงไปบูชาไว้ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุบ้าง ไปไว้วัดพระศรีสรรเพชญ์ บา้ ง”๒๖ ข. ขอ้ สงั เกตเพ่มิ เตมิ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ไม่มขี ้อความดังกล่าว ๒.๔.๓ สร้างวดั มเหยงคณ์ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “ศักราช ๗๘๖ ปีมะโรงฉอศก (พ.ศ. ๑๙๖๗) สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าสร้างวัด มเหยงคณ”์ ๒๗ ข. ขอ้ สังเกตเพิ่มเติม (๑) ฉบบั หลวงประเสริฐระบุศักราช ๘๐๐ มะเมียศก (พ.ศ.๑๙๘๑) ๒๘ (๒) วัดมเหยงค์ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตาบลหันตรา อาเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัด พระนครศรอี ยธุ ยา ได้รับการปฏิสงั ขรณห์ ลายครั้ง หลายรัชกาล หลังเสียกรุงศรอี ยธุ ยาครง้ั ท่ี ๒ ได้กลายเป็น วัดร้างร่วม ๒๐๐ ปี ถูกทอดท้ิง ไม่มีคนดูแล กระทั้งปี ๒๕๒๗ พระครูเกษมธรรมทัต ได้จัดตั้งสานัก กรรมฐานข้ึนในบริเวณวัด โบราณสถานได้รับการดูแล ถากถางพันธ์ุไม้ต่างๆ ท่ีขึ้นปกคลุมโบราณสถานไว้ ปรับบรเิ วณพนื้ ท่ีในฝ่ายพุทธาวาส และสงั ฆาวาสใหร้ ่มรืน่ และสงบเงยี บจากส่ิงรบกวน๒๙ ภาพประกอบ: http://www.dhammathai.org/watthai/central/watmahaeyong.php ๒๖ พระราชพงษาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หนา้ ๙. ๒๗ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๕๑. ๒๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, หนา้ ๓๙๕. ๒๙ วัดมเหยงคณ์, [ออนไลน์]: http://www.watmaheyong.org/index.php/th/mhy-about [๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘].

๒๒ ๒.๔.๔ ความเชื่อเรอื่ งลาง คาว่า ลาง หมายถึง สิ่งหรือปรากฏการณ์ท่ีเช่ือกันว่าจะบอกเหตุดีหรือเหตุร้าย๓๐ เช่น การท่ี สมเด็จพระราเมศวรเสดจ็ ไปเมอื งพิษณุโลก ทอดพระเนตรเห็นน้าพระเนตรพระพุทธชินราชไหลออกมาเป็น สแี ดง เปน็ ต้น ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “ศักราช ๗๘๖ ปีมะโรงฉอศก (พ.ศ.๑๙๖๗) สมเด็จพระราเมศวรผู้เป็นพระราชกุมารท่าน เสดจ็ ไปเมืองพิษณุโลก ครงั้ นนั้ เหน็ นา่้ พระเนตรพระพทุ ธชนิ ราชตกออกเปน็ โลหิต”๓๑ ข. ขอ้ สังเกตเพิม่ เติม (๑) ลางรา้ ยปรากฏให้เห็นปี ๑๙๖๗ แต่เหตรุ า้ ยเพลงิ ไหม้พระราชมณเทียร และไหม้พระท่ี นง่ั ตรมี ุขเกดิ ขน้ึ จรงิ ใน ๒ ปีถดั มา (๓) เหตุเพลิงไหม้ทั้ง ๒ คร้ังน้ี พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐระบุ พ.ศ.๑๙๘๓, ๑๙๘๔ ตามลาดับ๓๒ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๒ มีเร่ืองของการสถาปนาวัดราชบูรณะ ๑ เรื่อง, การสร้างวดั มเหยงค์ ๑ เร่ือง สว่ นอกี ๒ เร่อื ง เป็นเรือ่ งคติความเชื่อ คตคิ วามเช่ือแรก เปน็ เรือ่ งของการบชู ารปู เคารพอ่นื ทไ่ี ม่ใชพ่ ระพุทธรปู ส่วนเร่ืองที่ ๒ เป็นความ เช่ือเรื่องโชคลาง คือเห็นน้าพระเนตรพระพุทธชินราชไหลออกเป็นเลือด ลางร้ายท่ีเกิดตามมาก็จากความ เชอื่ ดังกล่าวนี้เช่อื มโยงไปถึงเหตกุ ารณเ์ กิดเพลิงไหมพ้ ระทน่ี ่งั ในอีก ๒ ปถี ดั มา ๒.๕ รัชกาลสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จเสวยราชสมบัติ ระหว่างปี ๑๙๗๗-๑๙๙๒ (จ.ศ. ๗๙๖-๘๑๑) รวมระยะเวลา ๑๖ ปี ถือว่าเป็นกษัตริย์พระองค์หนึ่งท่ี ครองราชย์สมบัตินานที่สุด ในรัชสมัยของพระองค์มีเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียด ตามลาดับตอ่ ไปนี้ ๒.๕.๑ สถาปนาวดั พระราม ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี ๓๐ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔, (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน ,๒๕๕๖), หนา้ ๑๐๕๑. ๓๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๕๒. ๓๒ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หลวงประเสริฐ, หน้า ๓๙๕.

๒๓ “ท่ีถวายพระเพลิงสมเด็จพระรามาธิบดีที่พระองค์สร้างกรุงน้ัน ให้สถาปนาพระมหาธาตุ และพระวิหารเป็นอาราม ให้นามชอื่ วัดพระราม”๓๓ ข. ขอ้ สังเกตเพิ่มเติม คติการสร้างวัดในลักษณะนี้ คล้ายกับท่ีเคยปรากฏแล้วในรัชกาลก่อน ๆ คือ เพื่อเป็น พระราชานสุ รณ์ เป็นการถวายพระเกียรติแดส่ มเดจ็ พระรามาธบิ ดีอีกโสตหนง่ึ ด้วย ๒.๕.๒ สถาปนาวัดพระศรสี รรเพชญ์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงยกวังทาเป็นวัด แล้วจึงโปรดให้สร้างพระที่นั่งเบญจรัตนมหา ปราสาทองค์หน่ึง ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “สมเดจ็ พระราเมศวร ผู้เป็นพระราชกุมารขึ้นเสวยราชสมบัติทรงพระนามช่ือพระบรมไตร โลกนาถ ยกวังท่าเป็นวดั พระศรีสรรเพชญเ์ สดจ็ มาอยู่ริมนา่้ ”๓๔ ข. ขอ้ สังเกตเพิ่มเตมิ ฉบับราชหตั ถเลขาระบุ จ.ศ.๗๙๖ (พ.ศ.๑๙๗๗)๓๕ ตรงกับฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ภาพประกอบ: https://watboran.wordpress.com/category/วดั พระศรีสรรเพช็ ญ์ ๓๓ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั พนั จันทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๕๓. ๓๔ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๕๓. ๓๕ พระราชพงษาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หนา้ ๑๐.

๒๔ ๒.๕.๓ บารงุ พระพุทธ ศาสนา หล่อรปู พระโพธสิ ัตว์ การทะนบุ ารงุ พระศาสนาในบริบทน้ี ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าทาอย่างไรบ้าง แต่หลักฐาน พงศาวดารระบุวา่ ชว่ ง พ.ศ.๑๙๘๖ นัน้ ข้าวเปลอื กแพง ซง่ึ ส่วนหนึง่ น่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ของชาวบา้ น ตลอดถึงพระสงฆ์ดว้ ย ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี ศักราช ๘๐๖ ปีชวดฉอศก (พ.ศ.๑๙๘๗) ให้บ่ารุงพระพุทธศาสนาให้บริบูรณ์ และหล่อรูป พระโพธสิ ัตว์ ๕๕๐ พระชาติ๓๖ ข. ขอ้ สังเกตเพิ่มเติม (๑) ฉบับหลวงประเสริฐระบวุ ่า หล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๕๐๐ ชาติ ศกั ราชระบุ ๒๐๐๑๓๗ (๒) ฉบับพระราชหตั ถเลขา มรี ะบตุ อ่ ไปอกี ว่า “แล้วทรงสรา้ งวดั จฬุ ามณี” ๓๘ ๒.๕.๔ เลน่ มหรสพ ฉลองพระ หลักฐานจากพงศาวดารหลายแห่ง นาไปสู่ข้อสรุปได้ว่า การเล่นมหรสพ เป็นส่วนหน่ึงของการ ฉลอง และถือเป็นสว่ นหนึ่งของการบูชา ทัง้ นี้รวมไปถงึ พุทธบชู าดว้ ย ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ “ศักราช ๘๐๘ ปีขาลอัฐศก (พ.ศ.๑๙๘๙) เล่นการมหรสพฉลองพระ และพระราชทาน สมณชพี ราหมณแ์ ละวณพิ กทั้งปวง”๓๙ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ฉบับหลวงประเสริฐระบศุ กั ราช ๘๒๒ (พ.ศ.๒๐๐๓) ๔๐ ๒.๕.๕ สรา้ งพระวิหารวัดจฬุ ามณี วัดจฬุ ามณีถอื เปน็ วัดที่มคี วามสาคญั เพราะเปน็ สถานท่ีประทับของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อครงั้ เสด็จออกผนวชเปน็ ระยะเวลา ๘ เดือน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ศักราช ๘๑๐ ปีมะโรงสมั ฤทธ์ศิ ก (พ.ศ.๑๙๙๑) สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถเจ้าสร้างพระ วหิ ารวัดจฬุ ามณี”๔๑ ๓๖ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับพนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๕๔. ๓๗ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า ๓๙๗. ๓๘ พระราชพงษาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หน้า ๑๐. ๓๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพนั จันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๕๔. ๔๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า ๓๙๗. ๔๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พนั พนั จันทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๕๔.

๒๕ ข. ขอ้ สังเกตเพ่มิ เติม (๑) พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับหลวงประเสรฐิ ระบุ พ.ศ.๒๐๐๗๔๒ (๒) เน้ือความฉบบั พันจนั ทนมุ าศตรงกบั ฉบับฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาพประกอบ: พระปรางคแ์ ละมณฑปวัดจฬุ ามณี http://dew55.blogspot.com/2012/11/167.html ๒.๕.๖ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถลาผนวช การลาผนวชในคร้ังน้ีของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นการลาผนวชในขณะทรงครองราชย์ สมบัตอิ ยู่ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ศักราช ๘๑๑ ปีมะเส็งเอกศก (พ.ศ.๑๙๙๒) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้า ทรงพระ ผนวชวดั จฬุ ามณีได้ ๘ เดอื น แล้วลาผนวช”๔๓ ข. ขอ้ สงั เกตเพ่ิมเติม ฉบับหลวงประเสรฐิ ระบุศกั ราช ๘๒๗ พ.ศ. ๒๐๐๘ ๒.๕.๗ ฉลองพระศรีรัตนมหาธาตุ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “ศกั ราช ๘๒๖ ปีวอกฉอศก (พ.ศ.๒๐๐๗) ทรงพระกรุณาให้เล่นการมหรสพ ฉลองพระศรี รัตนมหาธาตุ ๑๕ วนั ”๔๔ ๔๒ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสรฐิ , หนา้ ๓๙๙. ๔๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพนั จนั ทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๕๔. ๔๔ เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ ๕๕.

๒๖ ข. ขอ้ สงั เกตเพิ่มเติม ฉบับหลวงประเสริฐ ระบุ พ.ศ. ๒๐๒๕ และระบุอีกว่า ทรงพระราชนิพนธ์มหาชาติคา หลวงจบบริบรู ณด์ ว้ ย๔๕ ๒.๕.๘ พระบรมราชาออกผนวช ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “ศกั ราช ๘๒๘ ปจี ออัฐศก (พ.ศ.๒๐๐๙) พระบรมราชาผเู้ ป็นพระราชโอรสทรงผนวช”๔๖ ข. ขอ้ สังเกตเพม่ิ เติม ฉบบั หลวงประเสริฐระบุว่า พ.ศ.๒๐๒๗ ทรงผนวช ๒ พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเชษฐาธิ ราชเจ้า, พระราชโอรสสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า ต่อมา พ.ศ.๒๐๒๘ พระราชโอรสในสมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถทรงผนวช๔๗ สรุป ในรชั กาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีบันทึกเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๘ เร่ือง กล่าวคือ เร่ืองการสถาปนา ๒ เร่ือง ได้แก่ วัดพระราม และวัดพระศรีสรรเพชญ์, การสร้างพระวิหารวัดจุฬามณี ๑ เรื่อง, การทะนุบารุงพระพุทธศาสนา ๑ เรื่อง, การหล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๑ เร่ือง, การฉลองพระ ๑ เร่ือง, การฉลองวดั ๑ เรอื่ ง, การเสดจ็ ออกผนวชของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๑ เรอ่ื ง ๒.๖ รัชกาลสมเด็จพระรามาธบิ ดีที่ ๒ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ข้ึนเสวยราชสมบัติระหว่างปี ๒๐๑๓-๒๐๕๒ (จ.ศ.๘๓๒-๘๗๑) รวม ระยะเวลา ๔๐ ปี มเี หตุการณเ์ กย่ี วกับพระพทุ ธศาสนาดังรายละเอยี ดตามลาดบั ตอ่ ไปนี้ ๒.๖.๑ การสร้างพระวิหารวัดพระศรีสรรเพช็ ญ์ และหล่อพระศรีสรรเพชญ์ โปรดเกล้าให้สร้างพระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ์ และหล่อพระศรีสรรเพชญ์ในปี ๒๐๒๒ จากนน้ั อกี ๔ ปี คอื ในปี ๒๐๒๖ จึงโปรดให้มีการฉลอง ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “ศักราช ๘๔๑ ปกี ุนเอกศก (พ.ศ.๒๐๒๒) แรกสร้างพระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ์ สมเด็จ พระรามาธิบดี แรกหลอ่ พระศรสี รรเพ็ชญใ์ นวันอาทิตย์ เดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่า”๔๘ ข. ขอ้ สงั เกตเพิม่ เติม ๔๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, หนา้ ๔๐๐. ๔๖ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๕๕. ๔๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า ๔๐๐. ๔๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๕๗.

๒๗ ฉบับหลวงประเสริฐระบุขนาดพระศรีสรรเพชญ์ไว้ว่า “แต่พระบาทถึงยอดพระรัศมีน้ันสูง ได้ ๘ วา พระพักตร์นั้นยาวได้ ๔ ศอก กว้างพระพักตร์นั้น ๓ ศอก แลพระอุระน้ันกว้าง ๑๑ ศอก แลทอง หลอ่ พระพุทธรูปนั้นหนัก ๕ หมื่น ๓ พันช่ัง ทองค่าหุ้มนั้นหนัก ๒๘๖ ช่ัง ข้างหน้านั้นทองเน้ือ ๗ น่้าสองขา ข้างหลงั น้นั ทองเน้อื ๖ น่า้ สองขา” ๔๙ ๒.๖.๒ ฉลองพระพทุ ธรูป ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “ศักราช ๘๔๕ ปีเถาะเบญจศก (พ.ศ.๒๐๒๖) วันศุกร์เดือน ๘ ข้ึน ๑๑ ค่า ฉลอง พระพุทธเจ้าพระศรีสรรเพชญ์ คณนาพระพุทธเจ้านั้นแต่พระบาทถึงยอดพระรัศมี สูงได้ ๘ วา พระพักตร์ น้นั ยาวได้ ๔ ศอก โดยกวา้ งได้ ๓ ศอก พระอรุ ะกว้างได้ ๑๑ ศอก และทองหล่อพระพุทธเจ้าหนัก ๕๓,๐๐๐ ชั่ง ทองค่าห้มุ นน้ั หนัก ๒๘๖ ชงั่ ขา้ งหนา้ นั้นทองเน้ือ ๗ ชั้น ๒ ขา ข้างหลงั นัน้ ทองเน้ือ ๖ ชัน้ ๒ ขา”๕๐ ข. ข้อสังเกตเพิ่มเติม ฉบบั หลวงประเสรฐิ ระบุศกั ราช ๘๖๒ วอกศก (พ.ศ.๒๐๔๓) คร้ันถึง พ.ศ.๒๐๔๖ จึงได้ทา การฉลอง สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ มีบันทึกเร่ืองราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๒ เร่ือง ได้แก่ เรอื่ ง การสร้างพระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ์ และการหล่อพระศรีสรรเพชญ์ ๑ เร่ือง, และการฉลอง พระศรสี รรเพชญ์ ๑ เร่ือง ๒.๗ รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธริ าช สมเด็จพระไชยราชาธิราช เสวยราชสมบัติระหว่างปี ๒๐๕๗-๒๐๗๐ (จ.ศ.๗๘๖-๘๘๙) รวม ระยะเวลา ๑๔ ปี มเี หตุการณเ์ ก่ยี วกบั พระพทุ ธศาสนาดังรายละเอยี ดตามลาดบั ต่อไปนี้ ๒.๗.๑ พระเทยี รราชาออกผนวช ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “ฝ่ายพระเทียรราชาซ่งึ เปน็ เชื้อพระวงศ์สมเด็จพระไชยราชาธิราชเจ้าน้ัน จึงด่าหริว่า คร้ัน จะอยู่ในฆราวาส บัดนี้เห็นภัยจะยังเกิดมีเป็นมั่นคง ไม่เห็นสิ่งใดจะเป็นที่พึ่งได้ เห็นแต่พระพุทธศาสนา และ ๔๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า ๔๐๒. เชิงอรรถอธิบาย: น้าหนักทอง ๑ ช่ัง เทา่ กบั ๘๐ บาท อตั ราการเปรียบเทียบเนอื้ ทองคาเร่มิ จากท้องคาเน้ือสี่ เนอ้ื ห้า เน้ือเจ็ด เนื้อแปด และเน้ือเก้า ทองคาเนื้อ สี่มคี ณุ ภาพตา่ สดุ มสี ว่ นผสมของแร่ธาตุอื่นอยู่มาก ทองเนื้อเก้ามีคุณภาพดีที่สุด เพราะเป็นทองคาบริสุทธิ์ คุณภาพทองคา ต้งั แตเ่ นือ้ ส่ถี งึ เนือ้ แปด มีอัตราสว่ นแตล่ ะเน้อื เท่ากัน เทยี บเทา่ กับนา้ หนัก ๔ ขา กาหนดอัตราเปรียบเทียบ ๑ ขา เท่ากับ ๑ สลงึ ๕๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๕๗.

๒๘ ผ้ากาสาวพัตร์อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ จะเป็นที่พ่ึงพ่านักพ้นภัยอุปัทวันตราย ครั้นแล้วด่าหริออกไป อุปสมบทเป็นภกิ ษุภาวะอยู่ในวดั ราชประดิษฐ์”๕๑ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม การเสดจ็ ออกผนวชของพระเทียรราชา ถือเป็นการอาศัยผ้ากาสาวพัตร์เพื่อให้พ้นจากราช ภัย ด้วยเมอ่ื พระชยั ราชาธริ าชสวรรคตแลว้ กจ็ ะเป็นทร่ี ะแวงจากพระราชโอรสผู้ที่จะสืบราชสมบัตติ อ่ ไป ๒.๗.๒ สมเด็จพระไชยราชาธิราชสถาปนาพระพุทธเจา้ และพระเจดยี ์ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “ศักราช ๙๐๐ จอศก (พ.ศ.๒๐๘๑) แรกให้พูนดิน ณ วัดชีเชียงในเดือน ๖ นั้นแรก สถาปนาพระพุทธเจ้าและพระเจดยี ์”๕๒ ข. ข้อสงั เกตเพิม่ เติม (๑) พระราชพงศาวดารฉบับพนั จันทนมุ าศ (เจิม) ไม่มีระบเุ รอ่ื งนี้ (๒) คาว่า สถาปนาพระพุทธเจ้า พบครั้งนี้ครั้งแรก และคร้ังเดียวในพระราชพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยา เข้าใจว่า น่าจะมีความหมายเดียวกับ “สร้างพระ” หรือ “หล่อพระ” เพราะบริบทคาบเก่ียว ไปถงึ พระวหิ ารดว้ ย หรืออีกนยั หนงึ่ อาจหมายถึงการนาพระพทุ ธรปู ไปประดษิ ฐานไว้ในพระเจดีย์ท่ีทรงโปรด ให้สร้างข้ึน สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระชัยราชาธิราช มีบันทึกเร่ืองราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ๒ เร่ือง ได้แก่ เรือ่ งการเสด็จออกผนวชของพระเทยี รราชา และเร่ืองสถาปนาพระพทุ ธเจา้ และพระเจดยี ์ ๒.๘ รชั กาลขนุ วรวงศาธิราช๕๓ ขุนวรวงศาธิราชอยู่ในราชสมบัติ ๖ เดือน แรกเริ่มก็อยู่ในฐานะเป็นผู้สาเร็จราชการแทนพระ ยอดฟ้า ซ่ึงยังทรงพระเยาว์มาก แต่ต่อมาขุนวรวงศาธิราชก็สมคบกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ได้นาเอาพระ ยอดฟ้าไปประหารชีวิต สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยาเป็นลาดับท่ี ๑๔ ระหว่างน้ีมี เหตุการณเ์ กย่ี วกับพระพทุ ธศาสนาดงั รายละเอยี ดตามลาดบั ต่อไปนี้ ๒.๘.๑ การใชว้ ัดเปน็ สถานท่ีประหารชีวิต ๕๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๖๓. ๕๒ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบบั หลวงประเสริฐ, หน้า ๔๐๔. ๕๓ พงษาวดารหลายฉบับ ไม่นับขุนวรวงศาธิราชเป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา เน่ืองเพราะรังเกียจในพฤติกรรม ลอบเปน็ ชู้กบั พระนางศรสี ดุ าจนั ทร์ แตฉ่ บับพนั พนั จนั ทนุมาศ นบั เข้าด้วย จานวนกษตั รยิ ์ท่ีเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาจึง มีทั้งหมด ๓๔ พระองค์

๒๙ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีวัดหลายแห่งถูกใช้เป็นสถานท่ีประหารชีวิต และจากหลักฐานในพระ ราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ผทู้ ่ีจะถูกนามาประหาร หรือสาเร็จโทษที่วัดต่าง ๆ เหล่าน้ี มักจะเป็นเช้ือพระ วงศ์ หรือเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ สาเหตุส่วนใหญ่ก็มักจะเก่ียวข้องกับอานาจ พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะ ในช่วงรอยตอ่ ของการเปลี่ยนอานาจ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ (๑) “ศักราช ๘๙๑ ปีฉลูเอกศก (พ.ศ.๒๐๗๒) ณ วันอาทิตย์ เดือน ๘ ขึ้น ๕ ค่า ขุนวรวงศาธิ ราชเจ้าแผน่ ดนิ คดิ กบั แม่อย่หู ัวศรสี ดุ าจันทร์ใหเ้ อาพระยอดฟา้ ไปประหารชวี ติ เสีย ณ วัดโคกพระยา”๕๔ (๒) “ขุนพิเรนทรเทพก็เร่งให้พายรีบกระหนาบเรือพระที่นั่งขึ้นมา แล้วช่วยกันเข้ากลุ้มรุมจับ ขุน วรวงศาธิราชกบั แมอ่ ย่หู ัวศรสี ดุ าจันทร์ และบตุ รซึง่ เกิดด้วยกันนั้นฆ่าเสีย แล้วเอาศพไปเสียบประจานไว้ ณ วดั แรง้ ”๕๕ ข. ขอ้ สงั เกตเพมิ่ เตมิ สมยั อยุธยา มชี อ่ื วัดหลายแหง่ ท่ีระบุเปน็ สถานท่ีใชส้ าหรับประหารชวี ติ เช่น วัดโคกพระยา ,วดั แร้ง,วดั พระราม เป็นตน้ ๒.๘.๒ พิธีเส่ียงเทียน พิธีเสี่ยงเทียน ถือเป็นการเส่ียงทายชนิดหน่ึง เพียงแต่การเสี่ยงทายน้ีจะใช้เทียนเป็นสื่อในการ ทาย การเสี่ยงทายหากต้องการความศักด์ิสิทธ์ิหรือแม่นยา มักจะทาเป็นพิธีการ และเชื่อมโยงส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ หรือสิ่งท่ีผู้นั้นให้ความเคารพนับถือ เช่น พิธีเสี่ยงเทียนท่ีขุนพิเรนทรเทพ และพวกทาขึ้น ก็เอายึดพระ รัตนตรัย คือพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น เป็นสกั ขีพยาน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังนี้ “ขุนพเิ รนทรเทพ ขนุ อนิ ทรเทพ หม่ืนราชเสน่หา และหลวงศรียศ คิดว่า เราคิดการทั้งปวง นี้เป็นการใหญ่หลวงนัก จ่าจะไปอธิษฐานเส่ียงเทียนจ่าเพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าพระพุทธปฏิมากร ขอ เอาพระพุทธคุณเป็นที่พ่านักให้ประจักษ์แจ้งว่า พระเทียรราชากอบด้วยบุญบารมี จะเป็นที่ศาสนูปถัมภก ปกป้องอาณาประชา ราษฎร์ไดห้ รือมิได้ประการใดจะได้แจ้ง”๕๖ ข. ข้อสงั เกตเพ่ิมเตมิ ๕๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๖๖. ๕๕ เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๖๗. ๕๖ เร่อื งเดียวกนั , หนา้ ๖๗.

๓๐ คาอธิษฐานเส่ียงทาย ระบุถึงพระเจดีย์ ๕ ประเภท ถือเป็นเสมือนของต่างองค์ พระพุทธเจ้าซึ่งได้ปรินิพพานแล้ว ได้แก่ พระปฏิมากร ต้นศรีมหาโพธิ์ พระสถูป พระชินธาตุ และ พระไตรปฎิ ก๕๗ สรปุ ในรัชกาลขุนวรวงศาธิราช มีบันทึกเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ๓ เร่อื ง สองเร่อื งแรกเป็นการใช้วัดเป็นสถานที่ประหารชวี ิตนกั โทษ ส่วนเรื่องท่ี ๓ เป็นเร่ืองเกี่ยวกับการ ใช้สถานที่สาคัญทางพระพุทธศาสนาในการประกอบพิธีเส่ียงทาย ก่อนจะทาการใหญ่ของขุนพิเรนทรเทพ และคณะ ๒.๙ รชั กาลสมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิราชาธิราช สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช เสวยราชสมบัติ ๒ ช่วง ช่วงแรกระหว่าง พ.ศ. ๒๐๗๑- ๒๐๙๕ (๒๔ ปี) ครั้งที่ ๒ ระหว่าง พ.ศ.๒๐๙๗-๒๐๙๘ (๑ ปี) รวมอยู่ในสิริราชสมบัติ ๒๕ ปี ระหว่างนี้มี เหตุการณเ์ กยี่ วกบั พระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามลาดบั ต่อไปนี้ ๒.๙.๑ พธิ สี ถาปนาพระเจา้ แผน่ ดิน พธิ ีสถาปนาพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้กระทาต่อที่ประชุมใหญ่มีตัวแทนคณะสงฆ์ เข้าร่วมดว้ ยพรอ้ มกนั ทง้ั พุทธจักร อาณาจกั ร ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ “คร้ันได้มหามหุติวารศุภฤกษ์พิชัยดิถี จึงประชุมสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะ คามวาสีอรัญญวาสี มุขมนตรี กวีมาตยา โหราราชครูหมู่พราหมณ์ปุโรหิตาจารย์ ก็โอมอ่านอิศรวรเวทวิศณุ มนต์ พร้อมท้ังพุทธอาณาจักร มอบเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ถวายภิเศโกทกมุรธารา ปราบดาภิเษกถวัลย ราชประเพณี สบื ศรสี ุรยิ วงศ์กษตั ริย์”๕๘ ข. ขอ้ สงั เกตเพิ่มเติม หลกั ฐานพงศาวดาร มคี าวา่ อรัญญวาสี (พระอยู่ป่า) คามวาสี (พระอยู่ละแวกบ้าน) แสดง ใหเ้ หน็ วา่ มกี ารประเภทของพระตามลักษณะท่ีอยอู่ าศยั /การปฏิบตั ิ ๒.๙.๒ ทรงบาเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ เพือ่ แสดงกตเวทิตาธรรม สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชได้สถาปนาพระตาหนัก สร้างพระวิหารอารามวัดวัง ชัย และถวายอากรเปน็ กัปปิยะแด่พระภิกษุ-สามเณรวัดวังชัย เพ่ือเป็นการสนองคุณเมื่อคร้ังพระองค์ได้ทรง ผนวชทว่ี ัดแหง่ นี้ ๕๗ พงศาวดารฉบับพระราชหตั ถเลขา เลม่ ๑, หนา้ ๒๑ ๕๘ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั พันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๗๐.

๓๑ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ซ่อมแซมก่าแพงพระนครซึ่งช่ารุดปรักหักพังให้ม่ันคงโดยรอบ คอบแลว้ ให้สถาปนาทพ่ี ระตา่ หนักวังเป็นพระอุโบสถ และสร้างพระวิหารอาราม ให้นามชื่อวัดวังชัย อธิการ ให้ชือ่ พระนกิ รม แลว้ ตรัสวา่ เม่ือเราอุปสมบทนั้น บิณฑบาตข้ึนไปป่าโทน ป่าถ่านจนถึงป่าชมพู อากรซ่ึงขึ้น สรรพากรเป็นหลวงนน้ั ให้เถรเณรไปขอเปน็ กัปปิยจังหันเถดิ ”๕๙ ข. ขอ้ สังเกตเพ่มิ เตมิ ข้อความว่า “ให้สถาปนาท่ีพระตาหนักวังเป็นพระอุโบสถ...” พระราชพงษาวดาร ฉบับ พระราชหตั ถเลขา ระบุวา่ “ให้สถาปนาทพี่ ระตาหนักวังเดิมเป็นพระอุโบสถ....” ๖๐ ๒.๙.๓ พระราชพธิ ีอาจริยาภเิ ษก และบาเพ็ญสตสดกมหาทาน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ศักราช ๘๙๙ ปีระกานพศก (พ.ศ.๒๐๘๐) ณ วันอาทิตย์ เดือน ๕ ข้ึนค่าหน่ึง เกิดเพลิง ไหม้ในพระราชวัง อนึง่ ในเดอื น ๓ นั้น ท่าพระราชพิธอี าจรยิ าภิเษก และกระท่าการพระราชพิธีอินทราภิเษก ในพระราชวัง อนงึ่ ในเดือน ๕ น้นั สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดริ าชาธิราช พระราชทานสตสดกมหาทาน”๖๑ ข. ข้อสงั เกตเพ่มิ เติม (๑) ฉบับหลวงประเสริฐระบุว่า “ศักราช ๙๑๙ มะเส็งศก (พ.ศ.๒๑๐๐) เกิดเพลิงไหม้ใน พระราชวงั มาก อนึ่งในเดอื น ๓ นน้ั ทาการพระราชพธิ ีอาจาริยาภิเษก และทาการราชพิธีอินทราภิเษกในวัง อน่งึ ในเดือน ๔ นนั้ พระราชทานสัตสดกมหาทาน” ๖๒ (๒) พระราชพิธีอาจริยาภิเษก พิจารณาแล้วไม่น่าจะเก่ียวกับพระพุทธศาสนา พิจารณา จากบริบท เพราะหลังจากนั้นก็ทรงประกอบพิธีอินทราภิเษกด้วย ส่วนสตสดกมหาทาน ถือเป็นคาท่ีเนื่อง ดว้ ยคมั ภรี ท์ างพระพุทธศาสนา คอื เป็นทานชนิดหนงึ่ ที่ผูกตดิ อยกู่ บั จานวนวัตถทุ ีถ่ วาย ๒.๙.๔ มหานาคช่วยบ้านเมืองป้องกันข้าศึก มหานาคบวชอยู่วัดภูเขาทอง คราวพม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ได้สึกออกมา และทาการ ชกั ชวนผทู้ ม่ี คี วามเคารพนับถือช่วยเหลือต้านทัพพม่าด้วยการระดมขุดคูคลองนอกค่าย เพื่อป้องกันการเข้า มาของทพั ของพม่า ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังนี้ ๕๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั พนั จันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๗๔. ๖๐ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑, (พิมพ์ขึ้นเป็นส่วนพระกุศลทานมัย ในงานพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสฐสุดา, ๗ มีนาคม ๒๔๕๕), หน้า ๒๗. ๖๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๗๗. ๖๒ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั หลวงประเสริฐ, หนา้ ๔๐๙.

๓๒ “ฝา่ ยมหานาคบวชอยู่วัดภูเขาทอง ศึกออกรับต้ังค่ายกันทัพเรือ ต้ังค่ายแต่วัดภูเขาทองลง มาจนวัดป่าพลู พรรคพวกสมก่าลังญาติโยมทาสชายหญิงของมหานาค ช่วยกันขุดคูนอกค่ายกันทัพเรือ จึง เรียกวา่ คลองมหานาค”๖๓ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเตมิ ในยามคับขัน หรือบ้านเมืองกาลังมีภัย พระสงฆ์ก็ไม่ได้น่ิงดูดาย ได้ช่วยเป็นกาลังสาคัญ ต้านศัตรูทุกวิถีทาง มหานาคถือเป็นตัวอย่างหน่ึงท่ีส่วนสาคัญพาชาวบ้านช่วยกันขุดคูนอกค่ายกันทัพเรือ ของพมา่ ที่จะเขา้ เมืองหลวง ๒.๙.๕ สถาปนาวดั ศพสวรรค์ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าให้แต่งการพระราชทานเพลิงศพพระสุริโยทัยซ่ึง ขาดคอช้างเสร็จแล้วให้สถาปนาท่ีพระราชทานเพลิงนั้นเป็นพระเจดีย์วิหารเสร็จแล้ว ให้นามช่ือวัดศพ สวรรค์”๖๔ ข. ขอ้ สงั เกตเพิม่ เติม ฉบับพระราชหัตถเลขาระบุความว่า “สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าให้แต่งการ พระราชทานเพลิงศพพระสุริโยทัยซ่ึงขาดคอช้างเสร็จแล้วให้สถาปนาท่ีพระราชทานเพลิงนั้นเป็นพระเจดีย์ วิหารเสรจ็ แล้ว ใหน้ ามชอื่ วดั ศพสวรรค์”๖๕ ภาพประกอบ: เฟสบคุ วัดสบสวรรค์ https://www.facebook.com/pages/ ๖๓ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๗๘. ๖๔ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๙๐. ๖๕ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๙๐.

๓๓ ๒.๙.๖ ประหารชีวิตพระพนรตั พระศรีสินจะก่อการกบฏ เตรียมยึดอานาจจากพระเจ้าแผ่นดิน จึงได้ไปขอฤกษ์ยามกับพระพนรัต วัดป่าแก้ว พระพนรัตก็ให้ฤกษ์ยามวันเดือนปี แต่แผนไม่สาเร็จตามท่ีวางเอาไว้ ทาให้พระศรีสินถูกจับได้ และถูกสอบสวนเชือ่ มโยงมาถึงพระพนรัตด้วย ทาให้พระพนรัตถูกจับไปประหารชีวิตตามไปด้วย ฐานผู้ร่วม ก่อการกบฏ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดริ าชาธิราชเจ้า ก็เสด็จคืนเข้าพระราชวัง คร้ันรู้ว่าพระพนรัตวัด ป่าแก้วให้ฤกษ์พระศรีสินเป็นแท้ ก็ให้พระพนรัตป่าแก้ว และพระยาเดโช พระยาท้ายน่้า พระยาพิชัย รณฤทธิ หมื่นภกั ดศี วร หมืน่ ภยั นรนิ ทร์ ฆา่ เสยี ไปเสยี บไว้ ณ ตะแลงแกงกับศพพระศรีสนิ ”๖๖ ข. ขอ้ สงั เกตเพิม่ เติม ฉบับหลวงประเสริฐระบุศักราช ๙๒๓ ระกาศก (พ.ศ.๒๑๐๔) พระศรีศิลป์เดิมบวชอยู่วัด มหาธาตุ๖๗ ต่อมาหนีไปออกไปอยู่ตาบลม่วงมดแดง ได้คิดการกบฏ จึงไปขอฤกษ์กับสมเด็จพระพนรัตน์วัด ป่าแกว้ ๖๘ และนับเป็นครงั้ แรกท่ีมกี ารประหารชวี ิตพระเถระผใู้ หญใ่ นแผ่นดนิ ๒.๙.๗ การใชพ้ ระสงฆ์เป็นทูตในยามสงคราม ในสมยั อยุธยา มีหลักการใช้พระสงฆ์เป็นทูตดูกาลังข้าศึก เพ่ือนามารายงาน และประเมินกาลัง ว่าจะดาเนนิ การตอ่ ไปอย่างไร จะรบหรอื ยอมแพ้ เช่นกรณีของพระมหาธรรมราชา เจ้าเมืองพิษณุโลก ซ่ึงถูก ทัพหงสาวดีล้อม เมอ่ื เห็นวา่ กาลงั จากอยุธยามาช่วยไม่ทนั ก็จาตอ้ งยอมเปิดประตูเมอื งต้อนรบั ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “เมื่อครัง้ กษตั ริย์หงสาวดียกทัพมาอยุธยา ผ่านเมืองพิษณุโลก ได้ล้อมเมืองไว้ และให้ยอม แพ้แต่โดยโดยดี พระมหาธรรมราชา เจ้าเมืองพิษณุโลกจึงนิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูป ออกไปฟังการ พระสงฆ์ ออกไป สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีให้น่าพระสงฆ์ไปดูมูลดินและบันใดหกบันไดพาดแล้วให้เอาข่าวไปแจ้ง พระ มหาธรรมราชาจึงออกไปเฝ้าพระเจา้ หงสาวดี” ๖๙ ข. ขอ้ สงั เกตเพิม่ เตมิ ๖๖ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จันทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๙๑. ๖๗ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑ ระบวุ ่า “บวชเปน็ สามเณรอยู่ ณ วดั ราชประดิษฐาน” ต่อมาถูกจับไดว้ า่ คดิ การกบฏ จึงถูกควบคมุ ตัวไวท้ ่วี ัดธรรมิกราช ครัน้ อายุได้ครบบวช ก็ทรงอุปถัมภ์ให้บวช คร้ันบวชแล้วก็ หนีไปอยทู่ ีต่ าบลม่วงแดง ดูรายละเอียด หน้า ๔๘. ๖๘ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หลวงประเสรฐิ , หน้า ๔๑๐. ๖๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๙๖.

๓๔ ในประวัติศาสตร์ของไทยพบมีการใช้พระสงฆ์เป็นทูตสังเกตการณ์ฝ่ายข้าศึกษาอยู่หลาย ทงั้ สมัยอยธุ ยา และกรุงธนบุรี แมข้ า้ ศกึ ก็ให้เกียรติ และไมท่ าอนั ตรายพระสงฆ์ ๒.๙.๘ การงดสงคราม อ้างสมณชีพราหมณ์ ปวงประชาจะเดอื ดรอ้ น บ่อยครัง้ ท่บี า้ นเมืองอยู่ในภาวะคับขัน กษัตริย์ต้องตัดสินใจว่าจะรบ หรือยอมแพ้ เงื่อนไขหนึ่งก็ คือถ้าเห็นว่ากาลังสู้ไม่ได้ รบไปแล้ว สมณชีพราหมณ์ ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์จะเดือดร้อน ก็จะงดการศึก สงครามนัน้ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ (๑) “ถ้าเรามิออกไป พระเจ้าหงสาวดีก็จะให้ทหารเข้าหักเหยียบเอาเมือง สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎรจะเถิงแก่พนิ าศฉิบหายสนิ้ พระพทุ ธศาสนากจ็ ะเศรา้ หมองดมู คิ วรเลย”๗๐ (๒) “สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช คร้ันได้แจ้งในลักษณะพระราชสาส์น จึงทรงพระ ราชด่าหริว่า ศึกคร้ังน้ีใหญ่หลวงนัก เห็นเหลือมือก่าลังทหารจะกู้พระนครไว้ได้ ถ้าเราจะมิออกไป สมณชี พราหมณ์ประชาราษฎรไพร่ฟ้าข้าขอบขัณฑสีมา จะถึงแก่พินาศฉิบหายส้ิน ท้ังพระศาสนาก็จะเศร้าหมอง จ่าเราจะออกไป มาตรว่าสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีมิคงอยู่ในสัตยานุสัตย์ด่ังราชสาส์นเข้ามานั้นก็ตามเถิด แต่ เราจะรักษาสัตยานสุ ัตยใ์ หม้ ่นั ”๗๑ ข. ขอ้ สงั เกตเพิ่มเตมิ ฉบับพระราชหัตถเลขาระบุว่า “ถ้าเรามิออกไป สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร์ไพร่ ฟ้าข้อขอบขณั ฑสมี าจะถึงแก่พนิ าศฉิบหายส้นิ ทั้งพระศาสนาก็จะเศรา้ มอง” ๗๒ ๒.๙.๙ การใชว้ ดั เปน็ ที่ตั้งทัพ คราวพม่ายกทัพมาประชิดกรงุ ศรีอยุธยา กษตั รยิ ์พม่าใช้วัดหลายแห่งในการได้ตั้งค่าย เช่น ตาบลทงุ่ วัดโพธาราม, ตาบลวดั พุทไธสวรรค์, วดั การอ้ ง,วดั ชัยวฒั นาราม และต้งั ทพั หลวงที่วัดมเหยงค์ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี (๑) “ร่งุ ข้นึ ณ วันพุธ เดือนย่ี แรม ๑๐ คา่ ศักราช ๙๑๑ ปีระกาเอกศก (พ.ศ.๒๐๙๒) พระเจ้า หงสาวดีเสด็จยาตราทัพลงมาพระนครศรีอยุธยา และทัพพระมหาอุปราชากองหน้า ต้ังค่ายต่าบลเพนียด ค่ายพระเจ้าแปรปกี ซ้าย ต้ังตา่ บลทุ่งวดั โพธารามไปคลองเกาะแกว้ ทพั พระเจา้ อังวะปีกขวา ตั้งค่ายต่าบลวัด ๗๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๙๖. ๗๑ เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๑๐๐. ๗๒ พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หน้า ๖๐.

๓๕ พุทไธสวรรคม์ าคลองตะเคียน ทพั พระยาจิตตอง ทัพพระยาละเคิ่งเกียกกาย ตั้งค่ายแต่วัดการ้องลงไปวัดชัย วฒั นาราม”๗๓ (๒) “ฝ่ายทัพหลวงก็ยกไปตง้ั ณ วัด มเหยงคณ์ และทพั อนั ล้อมพระนครทั้งสี่ด้านนน้ั ”๗๔ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเตมิ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา วดั หลายวดั ถูกใชเ้ ปน็ ยุทธศาสตร์ในการต้งั ค่ายในยามศึกสงคราม ๒.๙.๑๐ การใชส้ ัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช เม่ือจะออกไปต้อนรับทัพหงสาวดีซึ่งยกมาตีกรุงศรี อยธุ ยา ได้รับส่ังให้ตั้งโต๊ะหมบู่ ูชา อญั เชิญพระพุทธปฏิมาเปน็ ประธาน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ “ทรงพระราชด่าหริดังนั้นแล้ว ก็ให้แต่งลักษณะพระราชสาส์นก่าหนดที่จะเสด็จให้ ทูตานุทูตถือออกไปถวายพระเจ้าหงสาวดี แล้วตรัสให้เจ้าพนักงานออกไปปลูกสัณฐาคาร ณ ต่าบลวัดพระ เมรุราชิการามกับวัดหัศดาวาส ต่อกัน มีราชบัลลังกาอาสน์ ๒ พระที่น่ังสูงเสมอกันหว่างพระที่นั่งห่าง ๔ ศอก แล้วให้แต่งรัตนยาอาสน์สูงกว่าราชาอาสน์อีกพระท่ีนั่ง ให้อัญเชิญพระศรีรัตนตรัยออกไปไว้เป็น ประธาน”๗๕ ข. ข้อสังเกตเพ่มิ เติม การอัญเชิญพระพุทธปฏิมามาเป็นประธานในการเจรจาความเมืองกันครั้งนี้ ถือว่าเป็น จิตวิทยาอย่างหน่ึง คล้าย ๆ ต้องการสื่อเป็นสัญลักษณ์บอกพระเจ้าหงสาวดีเป็นนัย ๆ ว่า เราเมืองพุทธ ด้วยกัน คงจะคุยกันด้วยไมตรีได้ ซ่ึงก็มีผล เพราะทันทีท่ีพระเจ้าหงสาวดีทอดพระเนตร ก็ตรัสว่า “สมเด็จ พระเจา้ พี่เราให้อาราธนาพระพุทธปฏิมากรเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้ามาเป็นประธานก็ดีอยู่แล้ว ขอจง เปน็ สกั ขพี ยานเถิด”๗๖ จากนั้นก็ทรงย้อนความในลักษณะน้อยพระทัยว่า ขอพระราชทานช้างแค่ ๒ เชือกก็ ไมใ่ ห้ ทาให้ตอ้ งลาบากยกทัพมาไกล สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช มีบันทึกเร่ืองราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จานวน ๑๐ เรือ่ ง ไดแ้ ก่ การมสี ่วนรว่ มของประมุขสงฆ์ในการสถาปนาพระมหากษัตริย์, การยกพระตาหนัก เป็นพระอุโบสถ, การสร้างพระวิหารวัดวังชัย, การถวายอากรกัปปิยะแด่พระสงฆ์, การแสดงความกตัญญู กตเวทิตาธรรมต่อพระอาจารย์ และถวายสตสดกมหาทาน, พระมหานาคช่วยป้องกันบ้านเมืองในยาม ๗๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบบั พันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๙๘. ๗๔ เรอื่ งเดยี วกัน, หน้า ๑๑๔,๑๒๗. ๗๕ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๐๐. ๗๖ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๑๐๐.

๓๖ สงคราม, การสถาปนาวัดศพสวรรค์, การประหารชีวิตสมเด็จพระวนรัตน์วัดป่าแก้ว, การใช้พระสงฆ์เป็นทูต ในยามสงคราม, การงดสงครามโดยอ้างความเดือดร้อนของสมณชีพราหมณ์, การตั้งค่ายทหารในวัด, และ การตั้งโต๊ะหมบู่ ชู าในคราวเจรจาความเมอื ง ๒.๑๐ รัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช สมเด็จพระมหินทราธิราช ทรงครองราชสมบัติ ๒ ช่วง ช่วงแรกระหว่าง พ.ศ.๒๐๙๕-๒๐๙๗ (๒ ปี) และช่วงที่ ๒ ระหว่าง ๒๐๙๘-๒๐๙๙ (ไม่ครบปี) ระหว่างน้ีมีเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาดัง รายละเอยี ดตามลาดบั ต่อไปนี้ ๒.๑๐.๑ บูรณะอาราม ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “ณ วนั เดือน ๓ กเ็ สดจ็ ไปเมืองลพบุรี ตรัสให้บูรณะอารามพระศรีรัตนมหาธาตุให้สมบูรณ์ และแต่งปะขาวนางชี ๒๐๐ กับข้าพระให้อยู่รักษาพระมหาธาตุ แล้วก็เสด็จลงมายังกรุงพระมหานครศรี อยธุ ยา”๗๗ ข. ข้อสังเกตเพ่มิ เติม พระราชกรณียกจิ อยา่ งหน่งึ ของพระมหากษตั ริยใ์ นฐานะทรงเปน็ ศาสนปู ถมั ภก ๒.๑๐.๒ สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิราชาธิราชออกผนวช/ลาผนวชครองราชย์เปน็ คร้งั ท่ี ๒ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังนี้ “ถึง ณ วันเดอื น ๘ ปีขาลฉอศก (พ.ศ.๒๐๙๗) สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช เสด็จ ออกผนวช ขา้ ราชการก็บวชโดยเสด็จเปน็ อนั มาก ตอ่ มาลาผนวชในเดอื น ๔ แรม ๑๓ ค่า ปีขาลฉอศก (พ.ศ. ๒๐๙๗)” ๗๘ ข. ข้อสังเกตเพิม่ เติม มูลเหตุในการลาผนวชในครั้งน้ี เน่ืองจากเหตุการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขัน ด้วยมีศึก พม่าเข้ามาประชิด ขณะที่บ้านเมืองโดยการนาของพระมหินทราธิราช ซ่ึงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ไม่อาจ นาพาประเทศชาตฝิ ่าวิกฤตได้ จงึ พร้อมดว้ ยพระยารามเสด็จเชิญพระเจ้าชา้ งเผือกลาผนวช ๒.๑๐.๓ ใชพ้ ระสงฆเ์ ป็นทตู ในยามสงคราม ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี ๗๗ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั พันจันทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๑๐๕. ๗๘ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิสมเด็จพระเทพ รัตนราชสดุ า, ๒๕๔๔), หนา้ ๑๑๔.

๓๗ “พระเจ้าแผ่นดินให้จ่าพระยาราม แต่งคนคุมออกไปส่ง แล้วให้อาราธนาพระสังฆราชกับ พระภิกษุ ๔ องค์ไปด้วย คร้ันพระสังฆราชและผู้คุมพระยารามไปถึง พระมหาธรรมราชาให้ถอดจ่าพระยา รามออกแล้วนา่ ไปถวายบังคมพระเจา้ หงสาวดี” “ซึ่งได้พระยารามออกมาแล้วน้ี เสมือนได้แผ่นดินอยุธยา อันซ่ึงจะเป็นราชไมตรีน้ันหา ต้องการไม่ ขอใหย้ กเข้าหกั เอากรุงให้จนได้” ๗๙ ข. ข้อสังเกตเพิ่มเตมิ เหตุการณ์คร้ังนี้ นาไปสู่การสูญเสียอิสรภาพให้แก่พม่าอย่างสมบูรณ์ ในวันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่า เดือน ๙ พุทธศกั ราช ๒๑๑๒ (จ.ศ. ๙๓๑) ๘๐ ๒.๑๐.๔ การใชว้ ดั เปน็ สถานท่ีตั้งค่าย พมา่ ตั้งค่ายตาบลวดั เขาดิน, ตาบลวัดสะพานเกลือ, และตาบลวดั จนั ทร์ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “พระเจ้าหงสาวดีบัญชาการให้พระมหาอุปราชไปตั้งค่ายต่าบลวัดเขาดินตรงเกาะแก้ว พระเจ้าอังวะบุตรเขยนั้น ตั้งค่ายต่าบลวัดสะพานเกลือ พระเจ้าแปรผู้หลาน ตั้งค่ายต่าบลวัดจันทร์ตรงบาง เอยี น”๘๑ ข. ข้อสงั เกตเพิ่มเติม ในพงศาวดารระบุว่า “ตาบลวัด...” เกือบทุกแห่ง อาจทาให้เกิดข้อสงสัยต่อไปอีกว่า ตั้ง คา่ ยท่ี “วดั ” หรือท่ี “ตาบลวดั ...” ผ้วู ิจัยยงั ไมส่ ามารถหาหลกั ฐานมาคล่คี ลายข้อสงสัยนี้ ๒.๑๐.๕ การใชว้ ัดเป็นสถานที่ประหารชวี ิต โดยปกติถ้าเป็นพระมหากษตั ริย์ เชื้อพระองค์ หรือเจ้านายช้ันผู้ใหญ่ ประเพณีนิยมจะใช้วัดเป็น สถานทีใ่ นการประหารชวี ติ ในรัชสมัยของพระมหินทราธิราช ก็โปรดให้ประหารชีวิตพระศรีเสาวราช ณ วัด พระราม ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินมิได้เอาพระทัยในการศึก มาคิดแคลงพระเจ้าลูก เธอพระศรีเสาวราชว่า การศึกหนักเบามิได้มาแจ้งก่อน ท่าแต่อ่าเภอใจ จึงให้หาพระศรีเสาราชเข้ามาแล้ว ส่งั ให้พระยาธรรมาเอาตวั พระศรเี สาวราชไปลา้ งเสีย ณ วดั พระราม”๘๒ ข. ขอ้ สังเกตเพิม่ เติม ๗๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๑๒๑-๑๒๒. ๘๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั หลวงประเสริฐ, หนา้ ๔๑๒. ๘๑ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๑๐๙. ๘๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๒๓.

๓๘ วัดดังกล่าวนี้ เท่าที่หลักฐานปรากฏในพงศาวดาร ใช้สาเร็จโทษเฉพาะพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ เทา่ นัน้ ไมใ่ ชส่ ถานที่สาเรจ็ โทษนักโทษทวั่ ไป สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช มีบันทึกเร่ืองราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๕ เรื่อง ไดแ้ ก่ การบูรณะวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ, สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเสด็จออกผนวชเป็นครั้งท่ี ๒, การใช้พระสงฆเ์ ป็นทตู ในยามศกึ สงคราม, การตั้งค่ายทหารในวดั , และการใช้วัดเป็นสถานทป่ี ระหารชีวิต ๒.๑๑ รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธริ าช สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช (สมเด็จพระสรรเพช็ ท่ี ๑) เป็นพระมหากษัตริย์องค์ท่ี ๑๗ แห่ง กรงุ ศรีอยุธยา เสวยราชสมบัตริ ะหว่าง พ.ศ. ๒๐๙๙-๒๑๒๒ รวมอยู่ในสิริราชสมบัติทั้งสิ้น ๒๒ ปี ระหว่างน้ี มเี หตุการณเ์ กยี่ วกับพระพทุ ธศาสนาดังรายละเอยี ดตามลาดับตอ่ ไปนี้ ๒.๑๑.๑ ปิดทองพระมหาธาต,ุ ถวายพระภูษาเปน็ ฉตั รธงบชู าพระธาตุ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังนี้ “สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า เสด็จยกพยุหยาตราไปถึงพระพนมตรัด ให้ปิดทองพระ มหาธาตนุ ้ันแล้ว ก็ถวายพระภูษาเป็นฉัตรธงบูชาพระมหาธาตุแล้วจึงยกทัพหลวงคืนมายังเมืองพิษณุโลก ถึง แล้วเสด็จเปลื้องเครื่องทรงออกถวายพระชินราชเจ้า พระชินศรีเจ้า ให้ท่าการสรรพสมโภชมีการมหรสพ ๓ วนั ”๘๓ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ความในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวถึงเฉพาะการเปล้ืองเครื่องทรง ออกบูชาพระชนิ ราช พระชินสีห์ ไม่มกี ลา่ วถงึ การปิดทองพระมหาธาตุ ๒.๑๑.๒ ปาฏหิ ารยิ พ์ ระธาตุ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี (๑) “สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริธาตุปาฏิหาริย์แต่บุรทิศ ผ่านพระคชาธารไปโดยประตูแสนไปถึงต่าบลรัดยมท้ายเมืองก่าแพงเพชร ณ วันพุธ เดือน ๓ แรม ๙ ค่า เพลาบ่ายโมง เกิดวาตพายุฝนตกห่าใหญ่ แผ่นดินไวเป็นอัศจรรย์”๘๔ (๒) ๘๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๑๓๗. ๘๔ เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ ๑๔๑.

๓๙ “ครนั้ วันศุกร์ เดือน ๖ แรม ๓ ค่า เพลา ๑๑ ทุม่ ใหเ้ อาพระคชาธารเข้ามาเทียบเกย (พระ นเรศวร) ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกบรมธาตุเสด็จปาฏิหาริย์มาแต่ประจิมทิศผ่านคชาธารไปข้างบุร ทศิ ”๘๕ (๓) “เถิง ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๘ แรม ๖ ค่า เพลายัง ๒ บาท จะรุ่ง ให้เรียกช้างพระท่ีน่ัง ประทับเกย เห็นพระสารรี ิกธาตเุ สด็จปาฏหิ าริย์แต่ตะวนั ตกผา่ นช้างพระท่ีนง่ั มาตะวันออกโดยทางท่ีเสด็จมา น้นั เทา่ ผลมะพร้าวปอก กย็ กทพั หลวงเสด็จคนื มาโดยทางนา้่ ขนุ่ ”๘๖ ข. ขอ้ สังเกตเพมิ่ เตมิ (๑) การที่พระธาตุแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นก่อนยาตราทัพ ถือเป็นสัญลักษณ์มงคลมาชั่ว หลายรัชกาล โดยเฉพาะในรชั กาลของสมเด็จพระนเรศวร ความในตอนนร้ี ะบถุ งึ แผ่นดนิ ไหวด้วย (๒) ในรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ให้ ปรากฏแกส่ มเด็จพระนเรศวร จานวน ๓ คร้งั ๒.๑๑.๓ ตง้ั ค่ายพักแรม พระเจ้าหงสาวดี หาทางกาจัดพระนเรศวร เน่ืองจากเห็นว่า ถ้าปล่อยทิ้งไว้ จะรับมือไม่ไหว เนอื่ งจากทรงเหน็ ว่าเป็นคนมศี ักดิ์ใหญ่ จึงวางแผนให้ออกจากเมือง จากน้ันก็จะใช้กาลังจัดการ คร้ังสมเด็จ พระนเรศวรยกทัพไปเมืองแครง เจ้าเมืองแครงให้ปลัดเมืองออกมาทูลเชิญเสด็จพักพลอยู่นอกเมืองก่อน จากนัน้ ก็ส่งขา่ วให้พระเจ้าหงสาวดีทราบ และให้ส่งกาลังคอยซุ่มดักไว้ สมเดจ็ พระนเรศวรได้พกั แรกตามคาของเจ้าเมืองแครง แตเ่ ลอื กทีจ่ ะพกั อย่ใู กล้วัด ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “สมเดจ็ พระนเรศวรเปน็ เจา้ กใ็ ห้พักพลอย่ใู กล้อารามพระมหาเถรคันฉอง”๘๗ ข. ข้อสงั เกตเพ่ิมเตมิ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มักพบการตั้งค่ายทหารพักแรมบริเวณใกล้เคียงวัด หรือบางคร้ัง ก็ตัง้ ในวดั ดงั ได้กล่าวมาแลว้ ๒.๑๑.๔ พระมหาเถรคนั ฉองบอกความลบั ต่อสมเดจ็ พระนเรศวร พระมหาเถรคันฉองเปน็ พระพม่า แต่ก็ให้ความรัก ความเอ็นดูแก่สมเด็จพระนเรศวร เนื่องจาก เห็นว่าไม่มีความผิด แต่ถูกวางแผนหลอกออกจากเมืองมาเพื่อกาจัดทิ้ง อีกท้ังยังเห็น ภายภาคหน้า จะเป็น กาลงั สาคญั ในการช่วยทะนบุ ารงุ พระพทุ ธศาสนา จงึ ได้บอกความจริงใหท้ รงทราบ ๘๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๑๔๔. ๘๖ เร่อื งเดียวกัน, หน้า ๑๔๙. ๘๗ เรื่องเดยี วกัน, หนา้ ๑๔๒.

๔๐ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “พระมหาเถรคันฉอง มีใจกรุณาต่อสมเด็จพระนเรศวรเจ้า ด้วยเห็นว่าจะได้บ่ารุง พระพุทธศาสนาและอาณาประชาราษฎร์ให้ถาวรสืบต่อไป จึงได้เข้าเฝ้าในเพลาค่า ทูลถวายความจริงให้ ทราบวา่ พระเจ้าหงสาวดีคดิ ประทษุ รา้ ยพระองค์”๘๘ ข. ขอ้ สังเกตเพมิ่ เติม เป็นสาเหตุหน่ึงที่ทาให้พระนเรศวรเคารพ และบูชาพระมหาเถรคันฉอง และนิมนต์มาพัก อยู่วัดพระมหาธาตุ ถวายการดูและอุปถัมภ์อย่างดี โดยได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ส่วน สมเดจ็ พระวนั รัตน ซึง่ เป็นพระสังฆราชเดิมน้ัน ก็ให้ปกครองเฉพาะคณะปักษ์ใต้ เป็นฝ่ายขวา๘๙ ถือเป็นการ แสดงความกตญั ญกู ตเวทีอีกโสตหน่ึงดว้ ย ๒.๑๑.๕ บูชาพระชินราช พระชนิ ศรี พระพุทธชินราช และพระชินศรีถือเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดพิษณุโลก พระมหากษัตริย์กรุง ศรอี ยธุ ยาหลายพระองค์ มีความเคารพศรัทธา และมักหาโอกาสเสดจ็ ไปนมัสการอยู่เสมอ บางครั้งก็โปรดให้ มีการเลน่ มหรสพสมโภช ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “สมเด็จพระนเรศวรถวายบังคมลากลบั มายังเมืองพษิ ณโุ ลก เสดจ็ ไปถวายนมัสการพระชิน ราช พระชนิ ศรี ทรงพระราชูทศิ ศรัทธา เปลอ้ื งเครือ่ งสวุ รรณลงั กาขตั ตยิ าภรณ์ออกกระท่าการบูชา”๙๐ ข. ข้อสงั เกตเพม่ิ เติม ฉบับพระราชหัตถเลขาว่า “เปลอื้ งเครอ่ื งสุวรรณอลังการข์ ัติยาภรณ์” ๙๑ ๒.๑๑.๖ ทานา้ สาบานอา้ งพระรตั นตรยั เปน็ สกั ขีพยาน พิธถี อื นา้ พิพัฒน์สัตยา เพอ่ื ใหเ้ กิดความศักดิ์สิทธิ์ และเกิดพันธสัญญา หรือข้อผูกพันระหว่างกัน อย่างแน่นแฟ้น มักจะนิยมอ้างสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ หรือส่ิงเคารพบูชามาเป็นสักขีพยาน เป็นการโน้มน้าวจิตใจให้ เกิดความกลัว หรือไม่กล้าลว่ งเกินคาสัญญาทใี่ หไ้ ว้ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ ๘๘ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๑๔๓. ๘๙ พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หนา้ ๑๑๔. ๙๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๑๔๕. ๙๑ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑, หน้า ๑๑๔.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook