หนว่ ยที่ 11.2 การวิเคราะห์ข้อมลู สถิติอ้างอิงหรอื สถติ วิ ิเคราะห์ดว้ ยโปรแกรม SPSS อาจารย์ ดร.สุรชาติ สิทธปิ กรณ์ ผลการเรียนรู้ 1. นสิ ิตสามารถบอกวธิ กี ารใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์สาเรจ็ รปู ตามขนั้ ตอนการวิเคราะหข์ ้อมูล ประมวลผลข้อมูลและสามารถแปลความหมายได้ถกู ต้อง 2. นสิ ิตสามารถอธิบายใช้โปรแกรมคอมพิวเตอรส์ าเรจ็ รูปตามข้นั ตอนการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ประมวลผลข้อมลู และสามารถแปลความหมายได้ถกู ต้อง 3. นสิ ิตสามารถประยุกต์วธิ ีการวเิ คราะห์ข้อมูลและการประมวลผลข้อมูลดว้ ยใช้โปรแกรม คอมพวิ เตอร์สาเรจ็ รปู ไดถ้ ูกต้อง 1. การวิเคราะหข์ ้อมูลทางสถิติเพอื่ ทดสอบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปร: Pearson Product Moment Correlation การวจิ ยั ที่มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหวา่ งตัวแปร คา่ สหสมั พันธท์ ม่ี ักใช้กันคือ ความสัมพันธ์แบบเพียร์ สนั (Pearson Product Moment Correlation) (r) ใชว้ ดั ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวแปรท่ีเปน็ ตัวแปรเชิง ปรมิ าณ มรี ะดบั การวัดต้ังแต่มาตราช่วง (interval scale) ค่าสัมประสทิ ธิ์ r มีค่าอยรู่ ะหวา่ ง 0 ถึง ± 1.00 คา่ 0 แสดงวา่ ไม่มีความสัมพนั ธ์ คา่ ±1.00 แสดงวา่ มคี วามสัมพันธ์กนั สูงสุดหรือสมบูรณ์ (Perfect correlation) เครอื่ งหมายบวก และลบแสดงทศิ ทางของความสัมพันธ์คือเครอ่ื งหมายบวกแสดงวา่ ตัวแปร 2 ตัว แปรผันไป ในทิศทางเดียวกัน ส่วนเครอื่ งหมายลบแสดงว่าตัวแปร 2 ตัว แปรผันแบบผกผนั กันคือ แปรผันในทศิ ทาง ตรงกนั ข้ามกนั A r B ตวั อยา่ งการวเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ด้วย โปรแกรม SPSS
146 ผ้วู ิจัยตอ้ งการศึกษาความสมั พันธ์ระหว่างคะแนนความรแู้ ละพฤติกรรมการดแู ลตนเองของผ้ปู ว่ ย เบาหวาน 10 คน โดยมีวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั เพอื่ ศึกษาความสัมพันธร์ ะหวา่ งคะแนนความรแู้ ละพฤติกรรมการ ดูแลตนเอง ซ่งึ มคี าถามของการวิจยั คอื “ความรู้มีความสัมพันธก์ บั ความสามารถในการดูแลตนเองหรือไม่” จะ สามารถวเิ คราะหไ์ ดต้ ามขน้ั ตอนดงั น้ี ข้ันที่ 1 การทดสอบตามเง่ือนไขการใช้ (Assumption) 1. ตวั แปรท้งั สองตวั มีระดบั การวัดที่ interval / ratio 2. กล่มุ ตวั อยา่ งมีการสุม่ มาจากประชากร 3. ตัวแปรอย่างนอ้ ย 1 ตัวมีการกระจายเป็นแบบปกติ 4. Homoscedasticity ทร่ี ะดับค่า ๆ หน่งึ ของตวั แปรทหี่ นง่ึ จะมกี ารกระจายของอีกตัวแปร หน่ึงเทา่ กนั /มีความแปรปรวนเทา่ กัน 5. Linear relationship หากตวั แปรท้ัง 2 มีความสัมพันธ์กันในเชงิ เส้นโคง้ ไมค่ วรใช้ Pearson’s correlation ผู้วจิ ยั จงึ ทาการการทดสอบการแจกแจงแบบปกตดิ ้วย SPSS (Normal Distribution) ซงึ่ มีความ จาเป็นตอ้ งทาการทดสอบการแจกแจงของข้อมลู ก่อนวา่ มกี ารแจกแจงแบบปกตหิ รือไม่ เพอื่ เลือกสถิติที่จะใช้ ในการทดสอบข้อมลู ต่อไป สาหรบั การทดสอบวา่ ขอ้ มูลมีการแจกแจงแบบปกติ หรือแจกแจงไมป่ กตินั้น สามารถทดสอบดว้ ยสถติ ิ Kolmogorov-Smirnov Test หรือ Shapiro-Wilk W test หมายเหตุ ใหด้ ผู ล Kolmogorov-Smirnov Test (K-S Test) ใช้เมอื่ ข้อมูลมี > 50 case และ Shapiro-Wilk Test จะใช้เมือ่ มขี ้อมูล < 50 case การวิเคราะห์ กาหนดให้ H0 (Null Hypothesis): มีการแจกแจงแบบปกติ H1 (Alternative Hypothesis): ไม่มีการแจกแจงแบบปกติ การแปลผล สถิติ Kolmogorov-Smirnov คา่ Sig. ต้อง > คา่ ระดับนยั สาคญั แอลฟา แสดงวา่ ยอมรบั สมมตฐิ าน หลกั H0 ขอ้ มลู มีการแจกแจงแบบปกติ สถติ ิ Shapiro-Wilk Test คา่ Sig. ต้อง > ค่าระดับนัยสาคญั แอลฟา แสดงวา่ ยอมรับสมมตฐิ านหลัก H0 ขอ้ มลู มีการแจกแจงแบบปกติ ลาดับ ความรู้ ความสามารถในการดูแลตนเอง 1 10 13 2 12 14 3 15 16 4 17 18
147 5 18 17 6 11 10 7 12 13 8 16 15 9 15 16 10 14 15 2. ใช้คาสั่ง Analyze --> Descriptive Statistics --> Explore จะปรากฏกลอ่ งเมนู Explore ข้ึนมา
148 3. นาตวั แปรใสช่ ่อง Dependent list --> Plot --> Click Plots… เลือก Normality plots with test --> Continue --> OK 4. ผลลพั ธ์ที่ได้ พิจารณาการแจกแจงแบบปกติดว้ ยสถิติ Shapiro-Wilk W test พบวา่ ค่า Sig เทา่ กับ .958 มากกว่า ค่าแอลฟา (> .05) แปลวา่ ไม่ Sig หรือยอมรบั H0 หรอื ไมม่ ีนัยสาคญั ทจี่ ะปฏิเสธ H0 สรุป ข้อมลู นม้ี ีการแจกแจงแบบปกติ สามารถใช้ Pearson correlation ในการทดสอบความสัมพันธ์ ได้ แตถ่ า้ ผลออกมา Sig หรือ ขอ้ มูลแจกแจงไมป่ กติสามารถใชส้ ถติ นิ อนพาราเมตริกในการทดสอบ จากผลลพั ธ์ที่ได้ สามารถดใู นภาพกราฟประกอบได้ทั้ง Q-Q plot of Knowledge และ Plot of Practice 5. ขั้นตอนการวเิ คราะห์
149 1. ไปท่ี analyze เลือก correlate เลอื ก Bivariate 2. เลอื กตวั แปรทีต่ ้องการหาความสัมพันธใ์ ส่ลงไปในช่อง Variables 3. เลือก Pearson 4. คลกิ ok การแปลผล คะแนนความรู้มีความสมั พนั ธก์ ับ พฤติกรรมการดูแลตนเองอย่างมรี ะดับนัยสาคัญทางสถติ ิ ที่ระดบั .05 .865 (p = .001) Click เลือก K และ P ยา้ ยไปอยทู่ ่ี ชอ่ ง Variables Click ต่อไปที่ช่อง Correlation Coefficients ใน ชอ่ ง Pearson เลือกการทดสอบแบบ 2 หาง ตามสมมตฐิ านท่ตี ้งั ไว้ จากน้นั click OK จากน้ัน สังเกตที่ค่า Pearson correlation ((r) จะมคี ่า -1 ถึง 1) ในตารางหากมีคา่ ตดิ ลบ (-) จะมี ความสมั พนั ธใ์ นทิศทางตรงขา้ มกัน หากมีค่าบวก (+) จะมีความสัมพันธก์ ันทางเสน้ ตรงในทศิ ทางเดยี วกันหรือ แปรผันต่อกนั แต่หากมีค่าเป็น 0 แสดงว่าไมม่ ีความสมั พนั ธก์ ัน) เราสามารถพิจารณาระดบั น้าหนกั ความสมั พนั ธ์ (Determining the strength of the relationship) ดังน้ี
150 2. การวเิ คราะห์ข้อมูลทางสถิติเพ่อื ทดสอบความสมั พนั ธ์ระหว่างตวั แปร: Spearman Rank Correlation สหสัมพนั ธ์แบบสเปียรแ์ มน (Spearman rank test ) ใชส้ ญั ลักษณ์ rs เปน็ วิธีที่ใชว้ ดั ความสัมพันธ์ ระหวา่ งตวั แปร 2 ชดุ (กลุ่ม) โดยตัวแปรต้องอยู่ในรูปของข้อมลู ในมาตราจัดอันดบั (Ordinal scale) เชน่ การ หาความสัมพันธ์ระหวา่ ง อันดับจงั หวัดที่พยาบาลต้องการทางาน และอนั ดับจงั หวดั ท่นี ายจ้างตอ้ งการให้ พยาบาลของตนทางานจากกลมุ่ ตัวอย่าง 12 คน ขน้ั ตอนการคานวณ 1. เรยี งลาดบั ค่าท่ไี ดจ้ ากน้อยไปหามากหรอื มากไปหานอ้ ย 2. ถ้าข้อมูลซ้ากนั ให้หาอนั ดบั เฉลี่ยแลว้ ใช้อนั ดับเฉลีย่ เป็นลาดบั ทีข่ องข้อมลู ท่ีซ้ากัน 3. หาผลตา่ งของอนั ดับที่ของขอ้ มูลสองชุดแล้วยกกาลงั 2 The data are as follows: อนั ดบั จังหวดั ที่พยาบาลต้องการทางาน 10.4 10.8 11.1 10.2 10.3 10.2 10.7 10.5 10.8 11.2 10.6 11.4 อันดับจังหวัดทีน่ ายจา้ งตอ้ งการใหพ้ ยาบาลของตนทางาน 7.4 7.6 7.9 7.2 7.4 7.1 7.4 7.2 7.8 7.7 7.8 8.3
151 วิธีคานวณ manual - เขียนคะแนนเฉล่ยี ของพยาบาลและผู้ป่วยแต่ละคน - หาอันดับท่ขี องคะแนนของพยาบาลและนายจา้ ง ถา้ คะแนนเฉลยี่ เทา่ กนั ใหห้ าค่าเฉลี่ยของตาแหนง่ นั้น ๆ - หาผลตา่ งของอนั ดบั ของ พยาบาล และ นายจา้ ง - เอาผลต่างมายกกาลังสอง - หาผลรวมของผลต่าง - แทนคา่ วธิ ีการประมวลผลด้วย SPSS - เปิดแฟมขอมลู spearman - เลือกเมนู Analyze - เลอื กรายการ Correlate - เลอื กรายการ Bivariate... - เลอื กตัวแปรท่จี ะหาสมั ประสิทธ์สิ หสมั พันธใส่ในชอง Variables: ในทีน่ เี้ ลอื ก XRank และ YRankดังรูป - เลือกชนิดของสัมประสทิ ธส์ิ หสัมพนั ธทใ่ี ชในทีน่ ้ี เลือก Spearman - กด OK
152 การแปลผลและการรายงานผลการศกึ ษา คา่ สมั ประสทิ ธ์สิ หสมั พนั ธ์แบบสปียรแ์ มน ระหวา่ ง อนั ดบั จังหวดั ท่ีพยาบาลต้องการทางานกับอนั ดบั จงั หวัดท่นี ายจ้างต้องการให้พยาบาลของตนทางานมีความสมั พันธ์กนั = .851 (p = .001)
153 สรุปผลการศกึ ษา อนั ดับจังหวัดทพี่ ยาบาลต้องการทางานกบั อันดับจังหวัดทนี่ ายจ้างต้องการให้ พยาบาลของตนทางานมีความสัมพนั ธก์ นั ด้วยขนาด .853 อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ (p < .001) 3. การวิเคราะหข์ อ้ มูล ด้วยโปรแกรม SPSS ในการวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บในการวิจยั ทางการ พยาบาล ในการวเิ คราะหส์ ถิตใิ นการวเิ คราะห์เปรียบเทียบดว้ ยโปรแกรม SPSS จะกลา่ วถงึ เฉพาะเนอื้ หา ดงั ต่อไปน้ี 3.1 การทดสอบค่าเฉล่ียของประชากรหนงึ่ กลุม่ 3.2 การทดสอบค่าเฉล่ยี ของประชากร 2 กลุ่มทเ่ี ปน็ อสิ ระต่อกนั 3.3 การทดสอบคา่ เฉลีย่ ของประชากร 2 กลมุ่ ทไี่ ม่เป็นอิสระต่อกัน 3.1 การทดสอบคา่ เฉลี่ยของประชากร 1 กลมุ่ ขอ้ ตกลงเบอื้ งต้น 1. ข้อมูลมมี าตรวดั เป็น Interval หรือ Ratio 2. ข้อมูลสมุ่ มาจากประชากรทีม่ กี ารแจกแจงแบบปกติ สมมติฐานท่ีใชใ้ นการทดสอบ การทดสอบแบบสองทาง H0 : = C (คา่ เฉลย่ี ของประชากรมีค่าเท่ากับ C) H1 : C (ค่าเฉลี่ยของประชากรไม่เท่ากบั C) การทดสอบแบบทางเดยี ว H0 : = C H0 : = C H1 : > C H1 : < C เมื่อ C คือ ค่าคงทที่ ่ีกาหนดในการทดสอบสมมติฐาน ตัวอย่าง จากการศึกษาพบว่าระดับ Creatinine ในคนปกตจิ ะไมเ่ กิน 1.0 นักวจิ ัยผ้หู นง่ึ ต้องการ ศกึ ษาถึงผลกระทบของการใช้ยาแอสไพรนิ ของคนงานในโรงงาน กับการเปน็ โรคไต จึงได้ทาการสมุ่ ตัวอย่าง คนงานในโรงงานแห่งหน่งึ จานวน 15 ราย ทาการวัดระดับ Creatinine และบันทึกผลดังนี้ : 0.9, 1.1, 1.6, 2.0, 0.8, 0.7, 1.4, 1.2, 1.5, 0.8, 1.0, 1.1, 1.4, 2.2 และ 1.4 หากทา่ นเปน็ นักวิจัยผนู้ ้จี ะสรุปไดห้ รอื ไมว่ ่า คนงานในโรงงานนม้ี ีภาวะเสย่ี งตอ่ การเปน็ โรคไต (กาหนดระดับนัยสาคญั .05) วิธีทา เปน็ คา่ เฉล่ยี ระดับ cr ของคนปกติ = 1.0 X ค่าเฉลี่ยระดับ cr ของคนงาน 15 ราย = (0.9 + 1.1 + … +1.4)/15 = 1.273 S เป็นสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของ cr ในคนงาน 15 ราย = 0.435
154 n เป็นขนาดของกลุ่มตวั อย่าง = 15 ราย 1. ตั้งสมมตฐิ าน H0 : = 1.0 H1 : > 1.0 2. สถิติทใ่ี ช้ ไมท่ ราบความแปรปรวนของประชากร ใช้สถติ ิ t 3. อาณาเขตวิกฤต ระดับนยั สาคัญ .05 ทดสอบทางเดียว ค่า t.05, df=14 = 1.76 อาณาเขตวิกฤติ คือ t = 1.76 4. คานวณค่าสถิติ t = X − = 1.273 − 1.0 = 0.273 = 2.431 s 0.435 0.435 n 15 3.873 5. ค่า t ท่ีคานวณได้ = 2.431 ซง่ึ > t.05,14 = 1.76 ตกในอาณาเขตวกิ ฤต จึงปฎเิ สธ H0 นนั่ คือ ท่ี ระดับนยั สาคัญ .05 ระดับ cr ของคนงานในโรงงานน้สี งู กว่าระดับของคนปกติ
155 การสรุปผล H0 : = 1.0 (ระดบั creatinine ตา่ กวา่ หรือเท่ากบั 1.0) H1 : > 1.0 (ระดับ creatinine สงู กว่า 1.0) กาหนดระดับนัยสาคัญ .05 คา่ Sig. = 0.029/2 = .0145 < ระดบั นยั สาคัญ () จงึ ปฏิเสธ H0 สรปุ วา่ ท่ีระดบั นัยสาคัญ .05 ระดับ creatinine ของคนงานในโรงงานน้สี งู กว่า 1.0 3.2 การทดสอบคา่ เฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่ม (กรณี 2 กลมุ่ อิสระตอ่ กนั ) สถิตทิ ่ใี ชใ้ นการทดสอบสมมติฐาน คอื สถติ ิทดสอบ Z และสถติ ทิ ดสอบ t ข้อตกลงเบื้องต้น 1. ขอ้ มลู มีมาตรวัดเป็น Interval หรือ Ratio 2. ข้อมูลจากกลุม่ ตวั อย่างทัง้ 2 กลุ่มส่มุ มาจากประชากรทม่ี ีการแจกแจงแบบปกติ สมมติฐานท่ีใช้ในการทดสอบ การทดสอบแบบสองทาง H0 : 1 = 2 (ค่าเฉล่ียของประชากรกลุ่ม 1 เท่ากับกลุ่ม 2) H1 : 1 ≠ 2 (คา่ เฉลย่ี ของประชากรกลุ่ม 1 ไม่เทา่ กับกลุม่ 2) การทดสอบแบบทางเดยี ว H0 : 1 = 2 H0 : 1 = 2 H1 : 1 > 2 H1 : 1 < 2
156 การใชส้ ถิตทิ ดสอบ t เพื่อเปรยี บเทียบค่าเฉล่ยี 2 กลุ่มประชากร จะต้องตรวจสอบกอ่ นวา่ ความ แปรปรวนของประชากรทั้งสองกลุ่มเทา่ กันหรือไม่ โดยใช้สถติ ทิ ดสอบ F สมมติฐานท่ใี ชใ้ นการทดสอบ การทดสอบความแปรปรวนการทดสอบแบบสองทาง H0 : ความแปรปรวนของประชากรท้งั 2 กลมุ่ เท่ากนั H1 : ความแปรปรวนของประชากรท้ัง 2 กล่มุ ไม่เทา่ กัน
157 ตัวอยา่ ง A clinical trial is conducted at the gynecology unit of a major hospital to determine the effectiveness of drug A in preventing premature birth. In the trial 32 pregnant women are to be studied, - 16 assigned to a treatment group that will receive drug A - 16 assigned to a control group that will receive a placebo. The patients are to take a fixed dose of each drug on a one-time-only basis between the 24th and 28th weeks of pregnancy. The patients are assigned to groups using a random number table, whereby for every 2 patients eligible for the study, one is assigned randomly to the treatment group and the other to the control group. (assume that baby weights in both 2 groups are normally distributed , =.05 Suppose the weights of the babies are those given in Table Treatment group Baby weight (lb) Control group baby weight (lb) Receive drug A 6.4 6.7 5.4 8.2 5.3 6.6 5.8 6.9 7.6 7.3 7.6 6.8 7.2 8.0 5.7 6.2 7.1 7.0 6.9 5.6 4.2 5.5 5.8 7.3 8.2 6.9 6.8 5.7 6.8 5.7 8.6 7.9
158
159 ใน SPSS คลกิ Analyze => Compare means => Independent - Sample T test
160 Group Statistics DRUG N Mean Std. Std. Error WEIGHT Drug A (treatment) 16 7.1313 Deviation Mean 16 6.2250 .2232 Placebo (control) .8927 .2346 .9384 แสดงจานวน (N) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Std. Deviation) และสว่ นเบ่ยี งเบนคา่ เฉล่ีย (Std. Error Mean) ของกลุม่ ตัวอย่างท้งั สองกลมุ่ WEIGHT Equal variances Levene's Test for Independent Samples Test 95% Confidence assumed Equality of Variances Interval of the t-test for Equality of Means Difference Equal variances F Sig. Lower Upper not assumed .062 .806 Sig. Mean Std. Error t df (2-tailed) Difference Difference .2449 1.5676 2.799 30 .009 .9063 .3238 2.799 29.925 .009 .9063 .3238 .2449 1.5676 การแปลผล ในการวเิ คราะห์โดยใช้ SPSS โปรแกรมจะคานวณค่าสถติ ิ t ให้ทง้ั 2 กรณี (กรณีความแปรปรวน เท่ากัน และไม่เทา่ กัน) ดงั นัน้ ในการอ่านผล จะต้องสรปุ ให้ไดก้ ่อนวา่ อยู่ในกรณีใด แล้วจึงทาการอ่านค่า t - หากความแปรปรวนเท่ากนั ใหอ้ า่ นบรรทัด 1 (Equal variances assumed) - หากความแปรปรวนไม่เท่ากัน ใหอ้ ่านบรรทดั ที่ 2 (Equal variance not assumed) *** การแสดงผลในตารางผลการวเิ คราะห์ หากค่าความนา่ จะเป็นของการทดสอบเปน็ แบบ 2 ทาง จะเขียนวา่ “Sig. (2- tailed)” หากต้องการทดสอบสมมติฐานแบบทางเดียว ใหน้ าคา่ Sig. (2-tailed) ไปหารดว้ ย 2 จะได้ คา่ ความนา่ จะเป็น ของการทดสอบที่เป็นแบบทางเดยี ว *** 1. คา่ สถติ ิ F H0: ความแปรปรวนของประชากรทง้ั 2 กลมุ่ เท่ากนั H1 : ความแปรปรวนของประชากรทั้ง 2 กลมุ่ ไมเ่ ทา่ กัน คา่ สถิติ F = 0.062 และคา่ Sig. = 0.806 ค่า Sig. > .05 ตกใน H0
161 แสดงว่า ความแปรปรวนของประชากรทั้ง 2 กลุม่ เทา่ กนั การอ่านคา่ สถติ ิ t จะใช้บรรทัดแรก (Equal variances assumed) 2. คา่ สถิติ t H0 : 1 = 2 (คา่ เฉลย่ี น้าหนกั ทารกในกลมุ่ ท่ีได้รับยา A เท่ากบั กลมุ่ ควบควบคุม H1 : 1 > 2 (คา่ เฉลย่ี น้าหนกั ทารกในกลุ่มทไี่ ด้รับยา A มากกวา่ กลุ่มควบคุม) ค่าสถิติ t = 2.799 และค่า Sig. .009 เมอื่ เทียบเปน็ การทดสอบทางเดียวได้เปน็ .009/2 ซึ่งน้อยกว่า .05 ตกในอาณาเขตวิกฤต ปฎิเสธ H0 3.3 การทดสอบคา่ เฉลีย่ ของประชากร 2 กลมุ่ (กรณี 2 กล่มุ สัมพันธก์ ัน) สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คอื สถิตทิ ดสอบ t (Paired t-test: Dependent t-test) ข้อตกลงเบอื้ งตน้ 1. ข้อมลู มมี าตรวัดเปน็ Interval/ Ratio 2. ขอ้ มูลจากกลุม่ ตวั อย่างทั้ง 2 กลุ่ม สุ่มมาจากประชากรท่ีมีการแจกแจงแบบปกติ สมมติฐานทใ่ี ชใ้ นการทดสอบ การทดสอบแบบสองทาง H0 : 1 = 2 (คา่ เฉลีย่ ของประชากรกลมุ่ 1 เท่ากับกลุ่ม 2) H1 : 1 ≠ 2 (คา่ เฉล่ยี ของประชากรกลุม่ 1 ไมเ่ ทา่ กับกลุ่ม 2) การทดสอบแบบทางเดยี ว H0 : 1 = 2 H0 : 1 = 2 H1 : 1 > 2 H1 : 1 < 2 ตัวอยา่ ง ต้องการศึกษาประสทิ ธิภาพของการเช็ดตัวลดไข้ ว่ามีประสิทธภิ าพในการลดไข้ไดห้ รือไม่ จึงทาการทดลองให้การเช็ดตัวลดไข้ ในผู้ป่วยอาสาสมคั ร ท่ีเปน็ เดก็ หญิงอายุ 5 ปี ซึง่ เป็นไข้หวัด จานวน 12 ราย บนั ทึกอุณหภมู ิก่อน การเช็ดตัวลดไข้ และบนั ทึกอกี ครั้งหลงั จากใหก้ ารเช็ดตัวลดไข้ แลว้ 1 ชม. (สมมตใิ ห้ อุณหภมู ิท่ีวดั ได้ มกี ารแจกแจงแบบปกติท้ังก่อนให้ และหลังเช็ดตวั ลดไข้) กาหนดระดบั นัยสาคญั .01
162 วิธีทา 1 เป็นค่าเฉลีย่ อุณหภมู คิ นไข้กอ่ นให้ยา 2 เปน็ ค่าเฉลีย่ อุณหภมู ิคนไขห้ ลังให้ยาแลว้ 1 ชวั่ โมง n ขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ ง = 12 1. สมมตฐิ าน H0 : 1 = 2 (อุณหภมู เิ ฉลีย่ ก่อนใหย้ าเท่ากบั หลังใหย้ า) H1 : 1 > 2 (อุณหภมู ิเฉลี่ยกอ่ นให้ยาสงู กวา่ หลังใหย้ า) 2. สถิติทใี่ ช้ ไม่ทราบความแปรปรวนของประชากร ประชากร 2 กลุม่ สมั พนั ธ์กัน ใชส้ ถติ ิ t 3. อาณาเขตวกิ ฤต
163 ระดบั นัยสาคญั .01 ทดสอบทางเดียว คา่ t.01, df=12-1 = 2.72 อาณาเขตวิกฤต คือ t ≥ 2.72 5. ค่า t ทไ่ี ดจ้ ากการคานวณ = 6.972 มคี า่ มากกวา่ t.01,11 = 2.72 ตกในอาณาเขตวกิ ฤต จงึ ปฏเิ สธ H0 น่นั คือ ที่ระดบั นยั สาคัญ .01 อณุ หภมู คิ นไข้ก่อนได้รับยาสูงกวา่ หลงั ไดร้ ับยา การวิเคราะหโ์ ดยโปรแกรมสาเรจ็ รูป (โปรแกรม SPSS) ข้ันตอนการวิเคราะห์ Paired - Sample T test
164 1) คลกิ Analyze => Compare means => Paired - Sample T test... Paired Samples Test Paired Differences 95% Confidence Interval of the Std. Std. Error Difference Sig. Mean Deviation Mean Lower Upper t df (2-tailed) Pair 1 BEFORE - AFTER 1.750 .869 .251 1.198 2.302 6.975 11 .000 สมมติฐาน H0 : 1 = 2 (อุณหภูมเิ ฉลย่ี กอ่ นการเชด็ ตวั ลดไข้เท่ากับหลังให้ยา) H1 : 1 > 2 (อุณหภมู ิเฉลยี่ กอ่ นเช็ดตัวลดไข้ สูงกวา่ หลงั เชด็ ตัวลดไข้ ) คา่ สถิติ t = 6.975 และค่า Sig. .000 เมอ่ื เทียบเป็นการทดสอบทางเดียวไดเ้ ปน็ .000/2 ซง่ึ น้อยกว่า .01 ตกในอาณาเขตวกิ ฤต ปฏิเสธ H0 *** ค่า Sig. .000 ทปี่ รากฏใน output ไมไ่ ดห้ มายความวา่ p-value มคี ่าเท่ากับศูนย์ แตห่ มายถงึ ค่า p- value ทไี่ ด้มีค่าน้อยกว่าทศนิยมตาแหนง่ ที่ 3 ลงไปอีก เช่น อาจมีคา่ เท่ากับ .00000015 แตเ่ นอ่ื งจาก โปรแกรม จะแสดงผลแคท่ ศนิยมตาแหนง่ ท่ี 3 เทา่ นนั้ จงึ แสดงใหเ้ หน็ แค่ .000 *** สรปุ ทา้ ยบท โปรแกรม SPSS เปน็ โปรแกรมสาเร็จรปู ทางสถิติทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู ท่ีมีประสิทธภิ าพ และมี การจดั การขอ้ มูลอย่างมรี ะบบ โดยจะมกี ารแสดงคา่ สถติ ติ ่างๆ พรอ้ มกราฟและตาราง โปรแกรมนเ้ี ปน็ ทนี่ ิยมใช้ กันอย่างกว้างขวางในหน่วยงานทางวชิ าการตา่ งๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านสังคมศาสตร์ การแพทย์และ สาธารณสุข เพราะมคี ุณสมบัติเดน่ และมีประสิทธภิ าพสูง ในการวเิ คราะห์ข้อมูลทางสถติ ิ และการจัดการข้อมลู ตา่ งๆ ผู้ใช้โปรแกรมสามารถวเิ คราะห์ข้อมูลโดยใชส้ ถติ ิประเภทตา่ งๆ และแสดงผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ออกมา ในรปู ของตารางหรือแผนภมู ิชนดิ ตา่ งๆ
165 วิธีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป (SPSS) เร่ิมต้นจากการเตรียมข้อมูลสาหรับที่จะนามา วิเคราะห์ อาจจะได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ การสังเกต หรือการเก็บข้อมูลจาก แบบสอบถาม ฯลฯ แลว้ สร้างคูม่ ือลงรหัสโดยการเปล่ียนรูปแบบข้อมูลโดยให้รหัสแทนข้อมูลเพื่อทาให้สามารถ จาแนกลกั ษณะของข้อมลู รหสั ที่ใชแ้ ทนข้อมลู อาจจะอยู่ในรปู ตวั เลข ตวั อักษร หรอื ขอ้ ความ เมอ่ื สรา้ งคู่มือลง รหัสเรียบร้อยแลว้ ก็ทาการบันทึกหรือลงรหสั ข้อมลู ในโปรแกรมคอมพิวเตอรส์ าเรจ็ รปู ในโปรแกรมดงั กล่าวจะ มีแถบเมนู 2 เมนู คือ Data View และ Variable View การวิเคราะห์ข้อมูลและการประมวลผลข้อมูลจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป (SPSS) สามารถ วิเคราะห์ในรูปของการแจกแจงความถ่ีในรูปของตารางทางเดียวและตารางหลายทาง ประกอบด้วยสถิติ เบื้องต้น เช่น ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ียเลขคณิต (Mean) และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) นอกจากนี้ยังรวมถึงการทดสอบ Kuder Richardson (KR) และ การวิเคราะห์ Reliability ซง่ึ เปน็ การหาความเชื่อมนั่ ของข้อมูลหรอื แบบสอบถาม บรรณานกุ รม กัลยา วานิชย์บญั ชา.(2552). สถิตสำหรับงำนวิจัย. ภาควชิ าสถิติ คณะพาณิชยศาสตรแ์ ละการบญั ชี จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสารจากดั . กลั ยา วานชิ ยบ์ ญั ชา. (2552). กำรใช้ SPSS for Wndows ในกำรวิเครำะหข์ ้อมลู . ภาควชิ าสถติ ิ คณะพาณชิ ยศาสตรแ์ ละการบัญชี จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร: ธรรมสารจากดั . ดุสิต สุจิรารัตน์. (2544). กำรวิเครำะหข์ ้อมูลดว้ ยโปรแกรม SPSS For Windows เล่ม 1. คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล ฉบับปรงุ ปรงุ ใหม่ คร้งั ท่ี 2. กรเุ ทพมหานคร: เจริญดกี ารพิมพ์. ดสุ ติ สจุ ริ ารตั น.์ (2544). กำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู ด้วยโปรแกรม SPSS For Windows เลม่ 2. คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล ฉบบั ปรุงปรงุ ใหม่ ครั้งท่ี 2. กรเุ ทพมหานคร: เจริญดีการพิมพ์. ปาริชาติ โรจน์พลากร – ก๊ชู และยุวดี ฤาชา. (2556). สถิติ สาหรบั งานวิจัยทางการพยาบาลและการใช้ โปรแกรม SPSS for Windows. กรงุ เทพฯ: บริษัท จุดทอง จากดั . วิชติ ออู่ ้น และอานวจ วงั จีน. (2550). กำรวิเครำะห์ข้อมูลทำงสถติ ิดว้ ยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS. กรุงเทพมหานคร: พรนิ ท์แอทมี (ประเทศไทย) จากัด. สภุ าพร อาญาเมือง. (2559). เอกสารประกอบการสอน หน่วยที่ 11 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทางสถิตแิ ละการ ประมวลผลขอ้ มูล รายวิชา 0401 310 หลักการวิจัยทางการพยาบาล
หน่วยท่ี 12 การเขยี นโครงร่างการวิจัย รองศาสตราจารย์ ดร.ดรณุ ี รุจกรกานต์ เมอื่ ส้นิ สดุ การเรยี นหัวข้อน้ีแล้ว นิสติ สามารถพัฒนาตนเองได้ตามการเรียนรู้ทก่ี าหนดในรายวชิ า ดงั น้ี 1. มาตรฐานผลการเรียนรูด้ ้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ผลการเรยี นรขู้ อง ผลการเรียนรรู้ ายวชิ า งานทมี่ อบหมาย นสิ ิตตรวจสอบผลการ หลักสตู ร และของหน่วยวิชาท่ี 12 เรียนรู้ตนเอง ผ่าน ไม่ผา่ น 1.3 ปฏิบัติตนตาม 1.3.1 ปฏบิ ตั ติ นตามกฎระเบยี บทก่ี าหนดของ การมสี ่วนร่วมในการ กฎระเบยี บท่ีกาหนดของ สถาบนั การศึกษา จดั การเรียนการสอน สถาบันการศกึ ษาและ 1.3.1.1 เขา้ เรยี นและมีส่วนรว่ มในการเรยี นการ แหลง่ เรียนรู้อนื่ ๆที่ สอน เกีย่ วขอ้ ง 1.4 มคี วามซอื่ สัตยส์ ุจริต 1.4.1 มีความซื่อสัตยส์ ุจรติ ต่อหนา้ ท่ี ตอ่ ตนเอง -งานโครงรา่ งวิจยั ต่อหนา้ ท่ี ตอ่ ตนเองและ และผอู้ ืน่ ไมค่ ัดลอกงาน ผู้อน่ื 14.1.1 อ้างอิงครบถ้วนถูกต้องตามหลักวิชาการ เมือ่ นาขอ้ มูล/ความคดิ ของผอู้ น่ื มาใช้ 1.5 แสดงออกถงึ การมี 1.5.1 มีคุณธรรมจริยธรรม เชงิ วิชาการ มีการ -งานโครงรา่ งวิจัย คณุ ธรรมจรยิ ธรรมเชิง อา้ งอิง ถูกต้องตามหลักวชิ าการ วชิ าการ 1.5.1.1 แสดงจริยธรรมนักวิจัยในการพฒั นา โครงร่างการวจิ ยั 1.6 แสดงความ 1.6.1 มคี วามรบั ผดิ ชอบต่อ ตอ่ หนา้ ที่ทไ่ี ด้รบั - งานโครงรา่ งวิจัย รับผิดชอบต่อหนา้ ที่ มอบหมาย ตนเอง และตอ่ สงั คม 1.6.1.1 พัฒนาโครงรา่ งวิจัยด้วยตนเอง และสง่ ตรงตามกาหนดเวลา
167 2. มาตรฐานผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ ผลการเรยี นรขู้ อง ผลการเรียนรรู้ ายวิชา งานทม่ี อบหมาย นสิ ิตตรวจสอบผลการ หลักสูตร และของหน่วยวชิ าท่ี 12 เรียนรู้ตนเอง ผ่าน ไมผ่ ่าน 2.5 แสดงความรู้ ความ 2.5.1 มคี วามร้คู วามเขา้ ใจ กระบวนการวจิ ยั - งานโครงร่างวิจยั เข้าใจในกระบวนการวิจยั ทางการพยาบาล กระบวนการบริหาร 2.5.1.1 นาความรู้ในสาระสาคญั ของ องค์กร และนาไปใชไ้ ด้ กระบวนการวจิ ยั มาใช้ในการกาหนดคาถามการ วจิ ยั /สมมุตฐิ าน กลุ่มตวั อยา่ ง และองค์ประกอบ อ่นื ๆ ของการวจิ ยั 2.5.1.2 นาความรู้ในกระบวนการวิจัย วิธี วิทยาการวิจัยมาใช้ ในการพฒั นาโครงร่างการ วิจัย 3. มาตรฐานผลการเรยี นรูด้ ้านทกั ษะทางปัญญา ผลการเรยี นรขู้ อง ผลการเรียนรู้รายวชิ า งานทีม่ อบหมาย นิสิตตรวจสอบผลการ หลักสูตร และของหน่วยวิชาท่ี 12 เรยี นรู้ตนเอง ผ่าน ไมผ่ ่าน 3.1 สืบคน้ และวิเคราะห์ 3.1.1 นสิ ติ สามารถสบื คน้ และวเิ คราะห์ข้อมลู งานโครงรา่ งวจิ ัย ข้อมูลจากแหลง่ ขอ้ มูลที่ จากแหลง่ ขอ้ มลู ท่หี ลากหลายและเหมาะสม หลากหลายและเหมาะสม 3.1.1.1 ใช้ข้อมลู จากการสบื คน้ แหลง่ วิชาการท่ี เหมาะสม หลากหลายในการเขียนหลกั การและ เหตผุ ลการวจิ ยั และการทบทวนวรรณคดี ตลอดจน องคป์ ระกอบอนื่ ๆ ของวธิ วี ทิ ยาการ วจิ ัย 3.2 ใช้ขอ้ มลู และหลกั ฐาน 3.2..1 นสิ ติ สามารถนาข้อมลู ทสี่ บื ค้นมาใช้ งานโครงรา่ งวิจัย ในการอ้างอิงและแกไ้ ข อา้ งองิ ในการกาหนดปัญหาการวิจยั คาถามการ ปญั หาอยา่ งเป็นระบบ วิจยั และพัฒนาโครงรา่ งวิจยั เพ่ือค้นหาปญั หา อย่างเป็นระบบ 3.2.1.1 วิเคราะห์และสรุปข้อมูล/สารสนเทศ จากการศกึ ษาค้นควา้ ได้อยา่ งสมเหตุผลในการ พัฒนาโครงร่างวจิ ัย
168 3.3 คดิ วเิ คราะห์ และ 3.3.1. นิสติ ใช้องคค์ วามร้ขู องกระบวนการวจิ ยั งานโครงร่างวิจัย ประเมนิ ผลอย่างเป็น มาใชใ้ นการพัฒนาโครงร่างวิจัย งานโครงรา่ งวจิ ยั ระบบโดยใช้องคค์ วามรู้ 3.3.1.1 พฒั นาโครงรา่ งวจิ ยั โดยใช้ความรู้ และประสบการณ์เปน็ กระบวนการวจิ ยั ไดอ้ ย่างครบถ้วน ฐาน 3.4 แกป้ ญั หาอย่าง 3.4.1 นสิ ติ สามารถนาปัญหาท่พี บจาก สร้างสรรค์ มี ผรู้ ับบรกิ ารและสถานการณ์ปญั หาสขุ ภาพ มา ประสิทธภิ าพทั้งใน แกป้ ัญหาโดยพฒั นาโครงร่างวจิ ัยเพื่อแก้ปญั หา สถานการณ์จาลองและ ได้อยา่ งสรา้ งสรรค์* สถานการณจ์ ริงทางการ 3.4.1.1 ใชค้ วามรู้และประสบการณ์การ พยาบาล พยาบาลผู้รับบรกิ ารมากาหนดปญั หาการวิจัย และพฒั นาโครงร่างวจิ ัย 3.5 วิเคราะห์และประเมนิ 3.5.1 นิสติ สามารถวิเคราะหแ์ ละประเมนิ - งานโครงร่างวจิ ัย - ประเมนิ ตนเองตาม ศกั ยภาพของตนเองเพือ่ ศักยภาพของตนเองเพอ่ื พัฒนาความสามารถใน แบบประเมนิ พัฒนาความสามารถใน การเรยี นรูใ้ นการพฒั นาโครงร่างวจิ ัย* การเรยี นร้แู ละใหก้ าร พยาบาลอย่างมีคณุ ภาพ 3.5.1.1 วิเคราะห์และประเมนิ ศกั ยภาพการวิจยั ของตนเอง จากผลการพฒั นาโครงร่างวจิ ัย หมายเหตุ “*” ความรบั ผิดชอบรอง 5. ทกั ษะการวิเคราะหเ์ ชิงตัวเลข การสอื่ สาร และการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ ผลการเรยี นรขู้ อง ผลการเรยี นรู้รายวิชา งานทีม่ อบหมาย นสิ ิตตรวจสอบผลการ หลกั สตู ร และของหนว่ ยวิชาท่ี 12 เรยี นรู้ตนเอง ผา่ น ไมผ่ ่าน 5.5 ใชร้ ูปแบบการ 5.5.1 ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการสบื คน้ -นาเสนอโครงรา่ งวิจัย นาเสนอและเทคโนโลยี ข้อมลู และนาเสนอโดยผา่ นระบบ IT ได้อย่าง สารสนเทศได้อย่าง เหมาะสม เหมาะสมกับสถานการณ์ 5.5.1.1 นาเสนอโครงรา่ งวจิ ยั โดยใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอยา่ งเหมาะสม
169 การมอบหมายงาน : เพอื่ ใหน้ ิสติ ได้พัฒนาผลการเรยี นรู้ท่กี าหนดครบถว้ นในหน่วยวิชานี้ จึงใหน้ ิสิต 1. พัฒนาโครงรา่ งการวิจยั ในหัวข้อปญั หาสุขภาพที่สนใจ 1 เรื่อง ทม่ี ีองค์ประกอบโครงร่างการวจิ ัย ครบถว้ น 2. นาเสนอโครงรา่ งการวจิ ยั โดยใหจ้ ัดทา Power Point ไม่เกิน 3 แผน่ เสนอคนละไม่เกนิ 5 นาที การเขยี นโครงร่างการวจิ ัย รองศาสตราจารย์ดร.ดรณุ ี รุจกรกานต์ 12.1 โครงรา่ งการวิจยั คืออะไร? โครงร่างการวิจัยเป็นเอกสารที่อธิบายรายละเอียดของโครงการวิจัยที่ต้ังใจจะดาเนินการ จึงเป็นเหมือน โครงร่างของกระบวนการวิจัย ต้ังแต่เริ่มต้นจนจบ ซ่ึงอาจจะใช้เสนอของบประมาณในการดาเนินการวิจัย ดังน้ัน โครงร่างการวิจัยจึงต้องมีความชัดเจนทุกขั้นตอน บางคร้ังจึงเรียกโครงร่างการวิจัยว่า “ข้อเสนอ โครงการวิจัย” นักศึกษาส่วนมากรวมถึงนักวิจัยหน้าใหม่ไม่เข้าใจความหมายของโครงร่างการวิจัยอย่างแท้จริง และไม่ เข้าใจความสาคัญของโครงร่างการวิจัยด้วย นักวิจัยที่มีประสบการณ์จะทราบดีว่า งานวิจัยที่ดีย่อมมาจาก โครงร่างการวิจัยท่ีดี โครงร่างการวิจัยท่ีไม่ดีก็จะกาหนดระดับคุณภาพของโครงการวิจัยที่ไม่ดี แม้ว่าโครงร่าง น้ันจะผ่านคณะกรรมการท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์แล้วก็ตาม โครงร่างที่มีคุณภาพสูงไม่เพียงแต่จะกาหนด ความสาเร็จของโครงการเท่าน้ัน แต่ยังสร้างความประทับใจให้กับอาจารย์ที่ปรึกษาถึงศักยภาพความเป็น นกั วิจยั ด้วย หน้าท่ีของโครงร่างการวิจัยที่สาคัญ คือ การโน้มน้าวผู้อ่านให้เชื่อว่าผู้เขียนมีโครงการวิจัยท่ีมีคุณค่า มีประโยชน์ มีความจาเป็นต้องดาเนินโครงการ ซึ่งผู้เขียนโครงการมีความสามารถ และมีแผนการทางานท่ีจะ ดาเนินโครงการได้สาเร็จ เพราะโครงร่างจะสะท้อนให้เห็นความเข้าใจของผู้เขียนโครงร่างต่อปัญหาการวิจัยที่ จะดาเนินการ ตลอดจนกระบวนการวจิ ัย โดยทั่วไปโครงรา่ งการวจิ ัยควรประกอบด้วย องค์ประกอบหลัก ๆ ท่ี เก่ียวข้องในกระบวนการวิจัย และผู้เขียนได้ให้ข้อมูลเพียงพอท่ีผู้อ่านจะประเมินโครงร่างการวิจัยได้ ไม่ว่าการ วจิ ัยจะอยใู่ นสาขาวชิ าใด โครงการการวิจัยจะต้องตอบคาถามดังนีไ้ ด้ คอื
170 - ทา่ นตอ้ งการตอบคาถามวจิ ยั อะไร ? หรอื ท่านวางแผนท่ีจะบรรลุความสาเร็จอะไร ? - เหตุใดท่านตอ้ งการดาเนินการวิจัยเรื่องนี้ และ - ท่านวางแผนจะทาอยา่ งไร ? คาถามท้ัง 3 ขอ้ ดังกล่าวเปน็ คาถามทีจ่ ะต้องมีคาตอบอยู่ในโครงรา่ งของทา่ น และโครงร่างของทา่ นมี ข้อมูลเพียงพอท่จี ะโน้มน้าวผู้อ่านว่าท่านมีความคิดการวิจยั ท่สี าคัญ ซงึ่ ท่านแสดงความเข้าใจในวรรณกรรม และงานวจิ ัยท่ีดาเนินการมาก่อนเป็นอยา่ งดี สามารถสะท้อนประเดน็ หลกั ๆ ทส่ี าคญั และซ่ึงระเบียบวิธีวทิ ยาดี เหมาะสม คุณภาพของโครงรา่ งการวิจยั ไมเ่ พยี งแตข่ ึน้ อยกู่ ับคณุ ภาพของโครงการที่เสนอ แต่ยังขนึ้ อยู่กับคุณภาพ การเขียนโครงร่าง โครงการที่ดีอาจถูกปฏเิ สธเพราะการเขยี นไม่ดี ไมช่ ดั เจน ไมส่ อดคล้อง และไม่กระตุ้นความ สนใจผอู้ ่าน เป็นต้น ดงั นน้ั โครงร่างการวิจัยทีด่ ีจะสามารถส่อื กับผเู้ กีย่ วข้องไดช้ ดั เจน ใช้บรหิ ารโครงการอย่าง มปี ระสทิ ธิภาพ และโนม้ น้าวแหล่งทุนให้เห็นความสาคัญท่ีจะให้การสนับสนนุ การวิจยั 12. องค์ประกอบท่ีสาคญั ของโครงร่างการวิจยั การเสนอโครงร่างการวิจยั นกั วจิ ยั ต้องศึกษาแบบฟอรม์ หรอื การกาหนดรูปแบบและหัวข้อท่ีนักวจิ ยั ตอ้ ง เขียน แหล่งทุนหรือสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จึงอาจมรี ปู แบบ ขอ้ กาหนด หรือแบบฟอรม์ ทีแ่ ตกต่างกนั หัวข้อ/ องค์ประกอบสาคัญที่นักวจิ ัยตอ้ งเขยี นในโครงร่างมีดงั นี้ 1. ชือ่ เร่อื ง (Title) ช่อื เร่ืองต้องสั้นกระชับและพรรณนา ช่ือเรอื่ งมักจะขึ้นต้นด้วยความสมั พนั ธ์ของตวั แปรตน้ และตัว แปรตามเป็นคาที่อ่านแล้วน่าสนใจ และจงู ใจผู้อา่ นให้อ่านโครงรา่ งการวจิ ัยต่อมากกว่าอ่านแล้วไมเ่ กดิ ความ สนใจจะอ่านต่อ ซึ่งช่ือโครงการควรมที ง้ั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 2. บทคดั ย่อ (Abstract) บทคัดย่อท่ีดีทาให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของโครงร่าง โครงร่างการวิจัยในสถาบันการศึกษามักไม่ให้ ความสาคัญท่ีบทคัดย่อโครงร่าง จึงไม่กาหนดให้เขียน บทคัดย่อมีประโยชน์ทาให้นักศึกษา/ผู้วิจัยได้คิด ภาพรวมของโครงร่าง ได้เห็นความสัมพันธ์ของแต่ละส่วนของโครงร่าง บทคัดย่อมักจะกาหนดให้เป็นการสรุป ย่างยอ่ ๆ ประมาณ 150-250 คา ควรรวมอะไรบ้าง? ข้อความสาคัญทคี่ วรปรากฏในบทคัดยอ่ โครงร่างการวจิ ัย ไดแ้ ก่ วตั ถุประสงค์การวิจัย เคร่ืองมอื การวิจัย กล่มุ ตวั อย่าง สถานท่ี คาถามการวิจยั ความสาคญั ของการวจิ ัย หรือเหตุผลที่ต้องวิจัย บางหน่วยงานเรียกว่า ความสาคัญและท่ีมาของปัญหาการวิจัย รวมถึงการวิเคราะห์ ข้อมูล
171 3. สารบัญ ควรเขียนให้ลาดับความชัดเจนสอดคล้องกับบทคัดย่อและผู้อ่านทราบว่าครอบคลุมหัวข้อเรื่อง อะไรบ้าง สมมุติฐาน (ถ้ามี) วิธีการวิจัย ซ่ึงอาจรวมกึงการออกแบบ ข้ันตอน กลุ่มตัวอย่างการวิจัย และ เครือ่ งมือทจ่ี ะใช้ เป็นตน้ 4. ผู้รับผดิ ชอบโครงการวิจยั คณะผู้วิจัยประกอบด้วย หัวหน้าโครงการ ที่ปรึกษาและผู้ร่วมวิจัย หน่วยงานสนับสนุนงบประมาณ บางแห่งกาหนดให้เขียนบทบาทผ้วู จิ ัยแต่ละคนในการทาวจิ ัย และหน่วยงานสังกดั ของผู้วิจัย ตลอดจนทท่ี างาน เบอร์โทรศัพท์ โทรสาร และอิเล็คทรอนคิ เมล์ 5. ประเภทการวจิ ยั แหลง่ ทนุ บางแหง่ กาหนดในแบบฟอรม์ ให้ระบปุ ระเภทของการวิจยั ทีเ่ สนอของบประมาณ เชน่ - การวิจัยพ้นื ฐาน เปน็ การศกึ ษา คน้ ควา้ ในทางทฤษฎี หอ้ งทดลองเนื้อหาความร้ใู หม่ ๆ โดยมิไดม้ ี จุดมุ่งหมายเพื่อจะนาผลไปใชป้ ระโยชน์โดยเฉพาะ - การวจิ ยั ประยกุ ต์ เปน็ การศึกษาคน้ ควา้ เน้อื หาความร้ใู หม่ ๆ และมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือนาความรู้ไป ใช้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนง่ึ หรือนาความรู้และวิธกี ารทีไ่ ด้จากการวจิ ัยพ้นื ฐานมาประยุกตใ์ ช้อีก ตอ่ หน่งึ ซึ่งได้กาหนดไว้ลว่ งหน้าชัดเจน - การพัฒนาทดลอง (Experimental development) เปน็ งานวิจัยทท่ี าอย่างเป็นระบบ โดยใช้ ความรจู้ ากการวจิ ยั มาพัฒนาผลติ ภัณฑ์ วัสดุ และเครอื่ งมือใหม่ เพ่ือให้ได้ระบบและบริการใหม่ หรอื ปรับปรุงส่งิ ตา่ ง ๆ ให้ดขี ้นึ 6. สาขาวิชาการ หมายถงึ สาขาวิชาและกล่มุ วชิ าของงานวิจยั เช่น สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ สาขาเกษตรศาสตร์ สาขาการศึกษา เป็นตน้ โดยท่ัวไปแหล่งทนุ จะกาหนดชอื่ สาขาไว้ 7. คาสาคัญ ( Key Words) ของโครงการวิจัย ระบุคาสาคญั ท่ีเปน็ เร่ืองทีท่ าวจิ ัยใหค้ รบถ้วน ทงั้ น้ี เพื่อประโยชน์ในการคน้ คว้าเป็นการสอื่ สารของผู้ ทต่ี อ้ งการใช้หรอื ค้นหาเอกสารทม่ี ีช่อื เร่อื งเดียวกนั กบั งานวิจยั 8. ความสาคญั และท่มี าของปัญหาทที่ าการวจิ ัย
172 ผู้วจิ ยั ต้องเขยี นแสดงความสาคญั และความจาเปน็ ท่ตี ้องทาการวิจยั ในเร่ืองทเี่ สนอ โดยกาหนดปัญหา ใหช้ ัดเจน ตลอดจนขอ้ มลู สนบั สนุนความสาคญั ของปัญหาการวิจัย ตอ้ งแสดงให้เห็นวา่ ผวู้ ิจัยมีความรคู้ วาม เข้าใจในเร่ืองทจ่ี ะวจิ ัยดว้ ย 9. การทบทวนวรรณคดที ่เี กยี่ วขอ้ ง การทบทวนวรรณคดีเป็นสว่ นที่สาคัญมากของการวจิ ยั ทผี่ ้วู ิจัยต้องแสดงให้เห็นวา่ เข้าใจในเรือ่ งท่ีจะ วิจยั และไดท้ บทวนความรใู้ นเรอื่ งที่จะวจิ ัยเปน็ อยา่ งดี ซ่งึ จะนาสกู่ ารออกแบบวิจยั การทบทวนวรรณกรรม จะตอ้ งตอบคาถามหลัก ๆ เชน่ 1. งานวิจยั อะไรท่ีไดด้ าเนนิ การมาก่อนในเรอ่ื งทผ่ี ูว้ จิ ัยวางแผนจะดาเนนิ การ ? 2. สถานการณป์ ัจจุบนั เปน็ อยา่ งไร ? ปญั หาในเรอื่ งทจ่ี ะวจิ ยั คืออะไร? 3. มีใครได้ทาการแก้ปัญหามาบา้ ง หรอื แนวคิดวชิ าการใดทผ่ี วู้ จิ ัยสามารถนามาใช้ได้ ? 4. โดยสรปุ คือการทบทวนวรรณกรรมเพ่ือแสดงช่องวา่ งระหวา่ งสถานการณป์ จั จุบนั สง่ิ ท่ีเป็นอยกู่ บั ความตอ้ งการแก้ปัญหา การทบทวนเอกสารควรให้ความสาคัญทเี่ อกสารงานวิจัยทีต่ พี ิมพเ์ ผยแพร่ในวารสารวชิ าการทเ่ี ปน็ ทย่ี อมรับ มีความทันสมัย บทความวจิ ยั ไมค่ วรเกา่ เกิน 5 ปี ส่ิงทีเ่ ขยี นในสว่ นของการทบทวนวรรณกรรมควรจะ ระบใุ นรายการเอกสารอา้ งองิ หรือ Footnotes 10. วตั ถุประสงคห์ ลกั ของการวจิ ัย ระบุวัตถุประสงคช์ ัดเจนและเรยี งลาดับความสาคญั เป็นข้อ ๆ และต้องเชอื่ มโยงกบั ความสาคญั และท่มี าของปัญหาที่ได้เขยี นไว้ 11. ระเบียบวิธวี ิจัย การเขยี นวธิ ีวิจัยเป็นสิง่ ที่สาคญั ที่จะตอบวา่ นักวจิ ยั จะทาอย่างไรให้จุดมุ่งหมายการวจิ ัยสาเรจ็ ซง่ึ ตอ้ งระบเุ ทคนิคการวิจยั ประชาการเป้าหมาย ขนาดกลมุ่ ตัวอย่าง เคร่ืองมือวิจัย การวิเคราะหข์ ้อมูล เป็นตน้ และตอ้ งอธิบายวา่ ระเบียบวธิ ีวิจยั ทเี่ ลือกน้ีจะตอบคาถามวจิ ัยไดอ้ ยา่ งไร 12. ขอบเขตการวจิ ัย การเขยี นขอบเขตการวิจยั ทาให้ผู้วจิ ยั สามารถวางแผนการเกบ็ ข้อมูลได้ครอบคลมุ ตามวัตถปุ ระสงค์ ของการวจิ ยั ซึ่งการวจิ ยั แต่ละเรอ่ื งจะมขี อบเขตสอดคล้องกับลักษณะประชากร กล่มุ ตัวอย่าง และตัวแปรที่ ศึกษาทง้ั ตัวแปรอิสระและตัวแปรตามตามทผ่ี วู้ จิ ัยกาหนด เนอื่ งจากการทาวิจยั ในแตล่ ะเรื่อง ผวู้ ิจยั ไม่สามารถ ศกึ ษาไดค้ รอบคลุมทกุ ประเด็น การกาหนดขอบเขตการวจิ ัยจะทาใหง้ านวิจัยมคี วามชัดเจน
173 การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย เพ่ือของบประมาณการวิจัยดังที่กล่าวมาแล้ว มักจะเขียนตามรูปแบบ ที่แหล่งทุนหรือหน่วยงานกาหนด แต่สาหรับการทาวิทยานิพนธ์หรือการศึกษาอิสระ สถาบันการศึกษามักจะ กาหนดให้เขียนโดยแบ่งเป็นบทรวม 3 บท บทท่ี 1 เป็นบทนาโดยทั่วไปจะกล่าวถึงความสาคัญของปัญหาการ วิจัยหรือหลักการและเหตุผลการวิจัย รวมถึงวัตถุประสงค์ คาถามการวิจัย หรือสมมติฐานการวิจัย กรอบ แนวคิดการวิจัย ขอบเขตการวิจัย นิยามศัพท์ ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บทท่ี 2 การทบทวนวรรณกรรม บทท่ี 3 การดาเนินการวจิ ยั และการวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง ซึ่งเป็นแผนท่ผี ้วู ิจยั จะดาเนนิ การวิจัย 13. ตารางเวลาทาวิจัย ควรทาเป็นตาราง ระบุลาดบั ขั้นตอนการวิจยั และเวลาท่ใี ช้ในแตล่ ะขนั้ ตอนหรอื แต่ละระยะของ การวจิ ัย การเขยี นกาหนดเวลาเปน็ เพยี งการคาดประมาณหรือแผนท่นี ักวจิ ยั กาหนด แตแ่ สดงให้เหน็ ว่านักวิจยั มคี วามคิดเกี่ยวกบั ระยะเวลาท่ีตอ้ งใช้ดาเนินการในแตล่ ะขั้นตอน 14. การเผยแพรง่ านวิจัย ควรบอกวา่ ผวู้ ิจยั จะเผยแพรผ่ ลการวจิ ยั อยา่ งไร เชน่ เสนอในการประชุมวชิ าการระดบั ชาติ นานาชาติ วารสารวชิ าการระดับชาติ นานาชาติ เป็นตน้ 15. จรยิ ธรรมการวจิ ัย ศึกษาจรยิ ธรรมนักวิจัยและการคุ้มครองตัวอย่างการวจิ ยั ทง้ั เร่ืองผลกระทบของการวิจยั ต่อกลุม่ ตวั อยา่ ง ตลอดจนการปกปิดข้อมลู ของกลมุ่ ตัวอย่างการวิจัย ผวู้ จิ ัยต้องระบุใหช้ ดั เจนว่าจะทาการคมุ้ ครองกลุ่ม ตวั อย่างวจิ ัยอยา่ งไร และโครงการตอ้ งได้รับการพจิ ารณาจริยธรรมการวจิ ัยกอ่ นลงมือทาวจิ ยั 16. งบประมาณการวจิ ัย ผวู้ ิจยั ควรแจกแจงรายการประมาณทจ่ี ะใชด้ าเนนิ การวิจยั ทง้ั นี้ แหล่งทนุ มักจะมีข้อกาหนด รายการ จานวนเงิน หรือแบบฟอร์มการเขียนงบประมาณ 17. เอกสารอา้ งอิง การเขยี นรายการเอกสารอา้ งอิงเปน็ สงิ่ ทีจ่ าเปน็ ซ่งึ นกั วิจัยตอ้ งเรยี นรู้จักรูปแบบการเขยี น เอกสารอ้างอิง ซึง่ มหี ลายสไตล์ เช่น APA Manual และ Vancouver โดยปกติสถาบันการศึกษา และ วารสารวิชาการจะกาหนดรูปแบบการเขียนรายการเอกสารอ้างอิง อยา่ งไรก็ตามหากสถาบันการศึกษาไม่ กาหนดแบบใดแบบหนึง่ โดยเฉพาะผวู้ จิ ยั เลอื กแบบไดเ้ อง แตท่ กุ รายการเอกสารตอ้ งใชแ้ บบเดยี วกนั ตลอด ท้งั เอกสารการเขียนเอกสารอ้างองิ ทุกรายการจะต้องปรากฏในเอกสารข้อเสนอโครงการเพราะจะเปน็ การ ยืนยนั วา่ ผู้วิจยั ได้นาแนวคิด หรอื ข้อมลู มาจากแหลง่ เอกสาร/บทความท่ีได้มีผู้นาเสนอตอ่ สาธารณะมาก่อนน้ี แลว้ และยงั ใช้สนบั สนุนความคิดเหน็ ของผ้วู ิจยั ดว้ ย การนาขอ้ มลู หรือแนวคดิ ของผู้อ่ืนท่ีได้เผยแพรม่ าแล้วมาใช้
174 ในงานวิจยั จะตอ้ งใหเ้ ครดติ แก่ผนู้ นั้ โดยการอ้างองิ เพื่อแสดงให้ผู้อา่ นเห็นว่าผ้วู ิจัยไม่ได้โจรกรรมความคิดหรือ ข้อมลู ของผู้อ่ืนซึง่ ถอื วา่ เปน็ การขาดจรยิ ธรรมผู้วจิ ัย 12.3 ข้อควรระวงั ในการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย เม่อื เขียนเสรจ็ แล้วต้องอ่านอยา่ งรอบคอบ 1. ตรวจสอบใหด้ ีวา่ ชอ่ื เรื่อง บทคดั ย่อ และสาระในข้อเสนอนัน้ ชัดเจนและสอดคล้องกนั 2. โครงสรา้ งข้อเสนอโครงการวจิ ยั จะต้องเปน็ ไปตามทีแ่ หล่งทนุ หรือหนว่ ยงานกาหนด ซึง่ ส่วนมากจะมี แบบฟอร์ม กาหนดองค์ประกอบของข้อเสนอ หากไมม่ ี ผวู้ จิ ยั ใชโ้ ครงสร้างทเ่ี ปน็ มาตรฐานสากล 3. สไตล์การเขียนจะต้องชดั เจน เป็นแนวเดียวกนั ตลอดข้อเสนอ คาที่ใชส้ ม่าเสมอ คงที่ การสะกด และ ไวยากรณ์ถกู ต้อง ซ่งึ ผวู้ จิ ัยจะต้องตรวจทานเปน็ อย่างดี รวมถึงการใส่เลขหนา้ ในเอกสารด้วย 4. การเขียนต้องคานงึ ถึงวรรคตอน และการแบ่งย่อหนา้ เปน็ ส่วน ๆ ที่เนอื้ หา หรอื แนวคดิ เหมือนกัน 12.4 เทคนิคการเขยี น ผู้วิจยั ตอ้ งพยายามตอบคาถาม วา่ ทาไมจึงควรอนุมัตโิ ครงการ โดยสมมุตวิ า่ ตนเองเปน็ ผจู้ ะอนุมตั ิ โครงการ เอกสารจงึ ควรแสดงใหผ้ ู้อ่านเห็นวา่ มีความสาคัญ เทคนิคโดยท่ัวไปมดี ังน้ี ก. ศกึ ษาแบบฟอร์มของหนว่ ยงานหรอื แหลง่ ทนุ ที่กาหนดอยา่ งเขา้ ใจ และเขียนใหค้ รบทุกหวั ข้อ เพราะ การพิจารณาใหค้ ะแนนจะให้คะแนนทกุ ข้อที่กาหนด ข. ชือ่ เรอ่ื งวิจยั กระชบั น่าสนใจ บอกประเด็นแสดงความสัมพนั ธ์ของตวั แปรอยา่ งครบถว้ น ค. เขยี นความสาคัญของปัญหาให้หนักแน่น อ่านแล้วเห็นความสาคญั ของโครงการ ง. วตั ถุประสงค์ชดั เจน เจาะจง วดั ได้ และดาเนนิ การได้ จ. ในกรณที ่ีต้องมีคาถามวจิ ัยหรอื สมมตุ ิฐานการวจิ ัย ผูว้ ิจยั ตอ้ งศึกษาวิธกี ารเขียนใหถ้ ูกต้อง ฉ..กรอบแนวคิดการวิจัยชดั เจน อ่านแลว้ ทราบแนวคิดท้งั เชงิ ทฤษฎที ใ่ี ชใ้ นการวิจัย ช. ระเบียบวธิ ีการวจิ ัยท่ถี ูกต้อง - ประเภทการวจิ ัย/วธิ ี - ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง - เครื่องมือ - สถิติท่ใี ช้ และการวเิ คราะห์ข้อมลู ซ. การเขยี นภาษาไทยถกู ต้อง ใชภ้ าษาที่กะทัดรัด มีความสมา่ เสมอ ฌ. ทมี วจิ ยั นา่ เช่ือถือ มีผลงานตรงเรอ่ื ง
175 สรุป การเขียนข้อเสนอการวิจัย หรือโครงรา่ งการวิจัย คอื การเขยี นแผนการวิจัย มกั จะทาเพ่ือเสนอขอ งบประมาณการวจิ ัย หรือการทาวทิ ยานพิ นธแ์ ละการศกึ ษาอสิ ระ ข้อเสนอการวิจยั ที่ดจี ะตอ้ งโน้มน้าวให้ ผู้อ่านเห็นความสาคัญของการทาวิจัย องค์ประกอบของขอ้ เสนอการวจิ ัยอาจถูกาหนดโดยแหลง่ ทนุ หรือ สถาบันการศกึ ษา ตวั อย่างแบบฟอรม์ การเขยี นข้อเสนอโครงการวจิ ัย การกรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มน้ี ต้องดาเนินการให้ครบถ้วนตามความเปน็ จรงิ หากตรวจสอบพบว่ามีการปกปดิ หรอื เปน็ เทจ็ คอบช. ขอสงวนสทิ ธิท์ ่จี ะไม่พิจารณาสนับสนนุ และจะเปน็ ผู้ไม่มสี ทิ ธ์ริ บั ทนุ คอบช. เปน็ เวลา 3 ปี แบบ คอบช. 1ย/1ด แบบเสนอโครงการวิจัย (Research Project) ประกอบการเสนอของบประมาณของสานกั งานคณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติ ประจาปีงบประมาณ 2559 ------------------------------------ ยน่ื เสนอขอรับทุนในกลมุ่ เรอ่ื ง..................................................................................(ระบุกลุ่มเรื่องเดียวเทา่ น้ัน) กรอบวจิ ัย.................................................................(ระบุช่ือกรอบวจิ ัยภายใตก้ ลุม่ เรื่องเพยี งกรอบเดยี วเท่านน้ั ) กรอบวิจัยย่อย.........................................................................................(ระบุชือ่ กรอบวจิ ัยยอ่ ยข้อเดยี วเทา่ นัน้ ) ชื่อโครงการวิจยั (ภาษาไทย) ...................................................................................................... (ภาษาอังกฤษ) ........................................................................................... ...... ชอื่ แผนงานวจิ ัย...(ใสช่ ่อื แผนงานทั้งภาษาไทยและภาษาองั กฤษกรณีเปน็ โครงการวิจัยย่อยภายใต้แผนงานวจิ ัย) ส่วน ก : องคป์ ระกอบของข้อเสนอโครงการวจิ ัย 1. ผู้รับผดิ ชอบประกอบด้วย (กรณีเปน็ ทนุ ความรว่ มมอื กับตา่ งประเทศใหร้ ะบผุ รู้ บั ผดิ ชอบ ทั้ง “ฝ่ายไทย” และ “ฝ่ายตา่ งประเทศ”)
176 1.1 หวั หนา้ โครงการ......................................................................................... ...... 1.2 ผรู้ ว่ มงานวจิ ัย........................................................................................................... 1.4 หน่วยงานหลัก................................................................................................. 1.5 หน่วยงานสนับสนนุ .............................................................................................. 2. ประเภทการวิจัย........................................................................................................................ 3. สาขาวชิ าการและกลุ่มวิชาท่ีทาการวิจัย.................................................................................... 4. คาสาคญั (keyword) ของการวจิ ัย.......................................................................................... 5. ความสาคญั และทมี่ าของปัญหา............................................................................................... 6. วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย........................................................................................................... 7. ขอบเขตของการวจิ ยั ................................................................................................................... 8. ทฤษฎี สมมติฐานและ / หรือกรอบแนวความคดิ ของการวิจยั ................................................ 9. การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ (information) ทเ่ี กีย่ วข้อง......................................... 10. เอกสารอา้ งองิ ........................................................................................................................... 11. ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รบั .................................................................................................... 12. แผนการถ่ายทอดเทคโนโลยหี รือผลการวิจัยสู่กลุ่มเป้าหมายเมอื่ ส้ินสดุ การวจิ ยั .………… 13. วธิ ีการดาเนนิ การวจิ ัย และสถานท่ที าการทดลอง/เกบ็ ข้อมลู ........................................... 14. ระยะเวลาทาการวิจยั และแผนการดาเนินงานตลอดโครงการวิจัย…................................. 15. เปา้ หมายของผลผลิต (output) และตัวช้ีวดั .................................................................... 16. เปา้ หมายของผลลัพธ์ (outcome) และตัวชี้วัด.................................................................. 17. ปัจจัยที่เอื้อต่อการวิจัยที่มีอยู่............................................................................................... 18. งบประมาณของโครงการวิจยั ...................................................................................... แสดงรายละเอียดงบประมาณของโครงการวิจัยเด่ียว หรือโครงการวิจัยย่อย โดยแยกเปน็ รายปี (ตาม แบบ คอบช. 2ค)
177 19. ผลสาเรจ็ และความค้มุ คา่ ของการวิจัยตามแผนการบริหารงานและแผนการดาเนนิ งาน ............................................................................................................................. ............... ระดบั ความสาเร็จของงาน............................................................................................. 20. ขอ้ เสนอการวิจัยหรือส่วนหนง่ึ ส่วนใดของข้อเสนอการวิจยั น้ี (เลอื กได้เพียง 1 ข้อ) ไมไ่ ดเ้ สนอต่อแหลง่ ทุนอื่น เสนอต่อแหล่งทุนอ่นื คือ (ระบุชื่อแหล่งทุน) 21. คาช้ีแจงอ่นื ๆ................................................................................................................... 22. ลงลายมอื ช่ือหัวหนา้ โครงการและนกั วิจัยร่วมโครงการเพ่อื ใหค้ ารบั รองในการจดั ทาข้อเสนอ การวิจัยและดาเนนิ การวจิ ยั ตามประกาศสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เร่ืองการรบั ข้อเสนอ การวจิ ยั เพอ่ื ขอรับการสนับสนนุ ทนุ อดุ หนนุ การวจิ ยั ประจาปีงบประมาณ 2559 (ลงชอื่ ).......................................... หวั หน้าโครงการวิจัย วันท.ี่ .......... เดือน...................พ.ศ.. …….…. (ลงชื่อ)................................................ (ลงชอื่ )................................................... (.................................................) (......................................................) ผรู้ ่วมวิจยั ผรู้ ่วมวจิ ยั วนั ที่........... เดือน...................พ.ศ.. ….……. วนั ท่ี........... เดือน...................พ.ศ.. ….…..…. 23. คาอนุมัตขิ องผ้บู ังคับบญั ชาระดบั อธิบดี หรอื เทียบเทา่ ของภาครฐั (หรือผูไ้ ดร้ ับมอบอำนำจ) หรือกรรมการผจู้ ดั การใหญ่ หรอื เทยี บเท่าในส่วนของภาคเอกชน (หรือผู้ได้รับมอบอำนำจ) ในการ ยนิ ยอม/อนญุ าต ใหด้ าเนินการวิจยั รวมทั้งใหใ้ ชส้ ถานท่ี อุปกรณ์ และสาธารณูปโภคในการดาเนนิ การวิจัย (ลงชื่อ) .......................................... (............................................)
178 ตาแหนง่ .......................................... วันท่.ี .......... เดอื น...................พ.ศ.. ……..…. หมายเหตุ : ตัวเอียงในวงเล็บทุกหน้า หมายถงึ คาอธิบายไม่จาเปน็ ต้องระบไุ ว้ในแผนงานวิจยั รายละเอยี ด งบประมาณแผนงานวิจยั /โครงการวจิ ัยย่อย/โครงการวิจัยเด่ยี ว สว่ น ข : ประวัติคณะผูว้ จิ ัยและที่ปรกึ ษาโครงการวจิ ยั 1. ชื่อ - นามสกุล (ภาษาไทย) นาย นาง นางสาว ยศ ช่อื - นามสกลุ (ภาษาอังกฤษ) Mr, Mrs, Miss, Rank 2. เลขหมายบตั รประจาตวั ประชาชน 3. ตาแหน่งปัจจบุ นั 4. หนว่ ยงานและสถานที่อยูท่ ่ีติดตอ่ ไดส้ ะดวก พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ โทรศัพท์มือถือ โทรสาร และ e-mail 5. ประวัติการศึกษาต้องระบุสถาบันการศึกษา สาขาวิชาและปีท่จี บการศึกษา 6. สาขาวิชาการท่มี ีความชานาญพเิ ศษ (แตกตา่ งจากวฒุ ิการศึกษา) ระบสุ าขาวิชาการ 7. ประสบการณ์ท่ีเกยี่ วข้องกับการบรหิ ารงานวิจยั ทั้งภายในและภายนอกประเทศ (โดยระบุ สถานภาพในการทาการวิจัยว่าเป็นผู้อานวยการแผนงานวิจัย หัวหน้าโครงการวิจัย หรือผู้ ร่วมวิจัยในแต่ละข้อเสนอการวจิ ัย) 7.1 หัวหนา้ โครงการวจิ ยั : ช่อื โครงการวิจัย 7.2 งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วข้องและทาเสร็จแลว้ : (ชือ่ ผลงานวจิ ัย ปีทพี่ มิ พ์ การเผยแพร่ และแหล่ง ทุนยอ้ นหลงั ไม่เกนิ 5 ปี) 7.3 งานวจิ ยั ที่กาลงั ทา : (ชอ่ื โครงการวจิ ัย แหล่งทนุ และสถานภาพในการทาวิจยั (ผูบ้ ริหาร โครงการ หัวหน้าโครงการ และ/หรือผู้ร่วมวจิ ัย) ระบเุ ดือน และปีที่เรมิ่ ตน้ และส้ินสดุ ) หมายเหตุ : - ระบุข้อมลู โดยละเอยี ดในแต่ละหัวข้ออยา่ งถูกต้องและครบถ้วนสมบรู ณ์ เพื่อประโยชน์ใน การประเมนิ ข้อเสนอโครงการ - สาหรับท่ีปรกึ ษาโครงการวจิ ัยใหล้ งนามรบั รองในแบบฟอร์ม แบบ คอบช. 3
179 บรรณานุกรม เครือข่ายองค์กรบรหิ ารงานวจิ ยั แหง่ ชาติ. (2562). แบบเสนอโครงการวิจยั (Research Project). สบื คน้ จาก https://www.nrms.go.th/NewsEventDetail.aspx?nid=2211 วโิ รจน์ ไววานิชกจิ . (2558). ระเบียบวธิ ีวจิ ยั พืน้ ฐานทางการแพทย์และสาธารณสขุ สาหรับแพทย์ พยาบาลและ บคุ ลากรทางการแพทย์. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั บญุ ใจ ศรีสิถิตย์นรากรู . (2553). ระเบยี บวิธวี จิ ัยทางการพยาบาลศาสตร.์ กรงุ เทพมหานคร: ยแู อนไอ อนิ เตอร์ มีเดีย. Moule, P. & Goodman, M. (2013). Nursing Research: An Introduction. Thousand Oaks: SAGE.
หน่วยที่ 13 การเขียนรายงานการวจิ ัยและการเผยแพร่ผลงานวิจยั รศ.ดร.ดรุณี รจุ กรกานต์ เมื่อส้นิ สุดการเรียนหัวข้อนี้แล้ว นสิ ิตสามารถพฒั นาตนเองได้ตามการเรียนรู้ท่ีกาหนดในรายวชิ า ดงั นี้ 5. ทักษะการวิเคราะหเ์ ชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ผลการเรยี นรขู้ อง ผลการเรียนรูร้ ายวิชา วิธีจดั การเรยี นการ นิสิตตรวจสอบผล หลกั สูตร และของหนว่ ยวิชาท่ี 12 สอน การเรียนร้ตู นเอง ผา่ น ไม่ผา่ น 5.5 ใชร้ ูปแบบการ 5.5.1 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการ -นาเสนอรายงานวิจยั นาเสนอและ สืบค้นขอ้ มูลและนาเสนอโดยผา่ นระบบ IT แบบ E-Poster เทคโนโลยีสารสนเทศ ได้อย่างเหมาะสม ได้อย่างเหมาะสมกับ สถานการณ์ 5.5.1.1 นาเสนอรายงานการวิจยั แบบ โปสเตอร์ 1 เรือ่ งท่ีนักศึกษาเลอื ก โดยใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ การมอบหมายงาน : เพ่ือใหน้ ิสติ ได้พฒั นาผลการเรยี นรทู้ ีก่ าหนดครบถ้วนในหน่วยวิชาน้ี จงึ ให้นสิ ติ 1. เลือกบทความวจิ ัยทตี่ ีพมิ พ์ เผยแพร่ในวารสาร 1 ช่ือเรอื่ ง และนาเสนอบทความในลักษณะ E-Poster โปสเตอร์ โดยมคี วามยาวไมเ่ กินกระดาษ A 4 จานวน 2 หน้า
177 การเขียนรายงานการวิจัยและการเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัย รองศาสตราจารย์ ดร.ดรณุ ี รุจกรกานต์ เมือ่ ดาเนินการวจิ ยั แลว้ เสร็จ ขน้ั ตอนสุดทา้ ยคือ การเขยี นรายงานการวิจยั ซึ่งเป็นการเสนอผลการวิจัย ท่ีได้เกิดข้ึนในโครงการวิจัยตามวตั ถุประสงค์ที่ได้กาหนดไว้ในข้อเสนอการวิจยั ตอบคาถามการวิจัยหรือพิสจู น์ สมมุติฐานที่ได้กาหนดไว้ การรายงานเป็นการนาเสนอข้อเท็จจริงท่ีเกิดข้ึน รวมถึงปัญหาและอุปสรรคและ ข้อเสนอแนะในด้านต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วข้องกับเรอื่ งทีว่ ิจยั การเขียนรายงานการวิจัยโดยท่ัวไปจะเขียนในลักษณะของบทความวิจัยเพ่ือเผยแพร่ให้ผู้อ่ื นที่สนใจ ศึกษาหรือทาการวิจัยซ้าได้ ดังนั้นรายงานการวจิ ัยจึงตอ้ งเขียนอย่างชัดเจนเปน็ ไปตามผลการวิจัยที่เกิดข้นึ จริง แต่ในการทาวิทยานิพนธ์หรอื การศกึ ษาอสิ ระสถาบนั การศกึ ษามักกาหนดใหเ้ ขียนโดยแบง่ เปน็ บทจานวน 5 บท โดยบทที่ 4 เปน็ ผลการวิจัย และบทท่ี 5 เป็นการสรุปผลการวจิ ยั และอภิปรายผลการวจิ ยั แต่หากเป็นการวจิ ัย เชิงคุณภาพมักจะมีลักษณะของบทท่ีแตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับกระบวนการวิจัย ผลการวิจัย หรือรูปแบบที่ สถาบนั การศึกษากาหนด 13.1 หลกั การเขยี นรายงานการวจิ ยั ที่ดี การเขียนรายงานการวิจัยที่ดีเป็นเรื่องท่ีต้องฝึกฝนและอาศัยทักษะการเขียน ตลอดจนความถูกต้อง ของการใช้ภาษา หลักการเขียนรายงานการวิจัย สิ่งแรกผู้วิจัยต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้กับปัญหาการวจิ ัย การดาเนินการวิจัย ตลอดจนผลการวิจัยเพราะส่วนน้ีเป็นสาระของรายงาน หากผู้วิจัยไม่สามารถแสดงความ เช่ียวชาญในการดาเนินการวิจัยของตนเองก็เป็นการยากท่ีจะโน้มน้าวให้ผู้อ่านเชื่อถือการวิจัย และ ข้อเสนอแนะจากการวิจัยได้ หลักการที่สาคัญประการต่อไปคือ การทาให้ผู้อ่านเกิดการเรียนรู้แจ้งใน ผลการวจิ ยั จึงจาเป็นทีผ่ ู้วจิ ัยจะตอ้ งอธิบายผลการวิจยั อยา่ งชัดเจน เพราะผลการวิจยั ทด่ี ี หากไมส่ ามารถสื่อสาร ให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างชัดเจน ก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้ผู้อ่านนาไปใช้ได้ การเขียนรายงานจึงต้องเขียนให้ผู้อ่าน เรียนรูไ้ ด้ง่าย ๆ และรวดเร็ว โดยสรุปแลว้ การเขียนรายงานทีด่ มี ดี ังน้ี 1. เขียนใหผ้ อู้ ่านเข้าใจโดยเรว็ ซ่งึ ต้องอาศัยการจัดรูปแบบการเขยี นใหเ้ ขา้ ใจได้ง่าย และรวดเรว็
178 2. หัวข้อการเขียนรายงานแม้ไม่ได้อ่านต้ังแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย นั่นคือการเลือกอ่าน บางหัวข้อของรายงานก็สามารถเข้าใจจุดมุ่งหมายและสาระของส่วนอ่ืนท่ีไม่จาเป็นต้องอ่านอย่าง ต้ังใจมากนักได้ 13.2 องคป์ ระกอบของรายงานทด่ี ี การเขียนรายงานมี 2 ระดับ คือ ระดับโครงร่างหรือโครงสร้างของรายงานระดับประโยคหรือเน้ือหา ของรายงาน และองค์ประกอบของรายงานการวิจยั โดยทั่วไปประกอบด้วย 1. หนา้ ท่เี ปน็ ชือ่ เรอื่ ง 2. บทคัดย่อ 3. สารบญั (สาหรับบทความหรอื รายงานสัน้ ๆ อาจไมจ่ าเปน็ ) 4. ส่วนทเี่ ปน็ บทนา รวมถงึ หลกั การและเหตุผล วิธกี ารวิจยั วรรณคดีทเ่ี ก่ียวข้องกับการวิจยั 5. ส่วนที่เป็นการวิเคราะห์ข้อมูล ผลของการวิจัยและอภิปรายผล ซึ่งผลการวิจัยอาจใช้ตารางหรือ แผนภูมิ 6. สรปุ ผลการวิจัยและขอ้ เสนอแนะ 7. เอกสารอา้ งองิ ระดบั ที่ 2 คือ ระดบั ประโยคหรือเนื้อหาของรายงาน การเขียนรายงานจะตอ้ งชัดเจนถกู ต้อง ไมบ่ ิดเบอื นคลมุ เครอื ให้ผอู้ ่านคิดเอง การสะกด วรรคตอนและ ไวยากรณ์จะต้องไม่ผิดเป็นอันขาด เขียนประโยคชัดเจน ไม่วกวนไปมาจนเกิดความสับสน หลีกเล่ียงการใช้คา เปลืองและฟุ่มเฟือย การเขียนจะต้องมีความกลมกลืน ต่อเน่ืองกันในแต่ละหัวข้อ การใช้ภาษาต้องเปน็ ภาษาท่ี ง่ายแตไ่ ม่ใช้ภาษาพดู หลีกเล่ยี งการใช้คาแสลงและไมส่ ภุ าพ ระวงั การใชท้ ับศัพท์ คานึงถงึ การเขียนในแต่ละย่อ หนา้ ใหเ้ ป็นเรือ่ งเดียวกันไม่ปะปนหลายเรือ่ งในแต่ละย่อหนา้ 13.3 ข้ันตอนการเขยี นรายงานทีด่ ี มีดังนี้ 1. การเตรียมเน้อื หาของรายงานใหค้ รบถ้วน ครอบคลุม - ปัญหางานวิจยั ท่ีศกึ ษา - กระบวนการวจิ ัย การออกแบบการวจิ ัย การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู - ผลการวิจยั ท่ไี ดร้ ับ และการแปรผล 2. การวางเค้าโครงของรายงานเป็นเรื่องที่จาเป็น ซึ่งผู้วิจัยต้องศึกษารูปแบบที่กาหนดโดย สถาบนั การศึกษา หรอื วารสารท่ีจะนาบทความไปเผยแพร่ การวางเค้าโครงร่างทดี่ ีจะชว่ ยใหผ้ วู้ ิจัย ตอบปัญหาการวิจัยได้ครบถ้วน อยู่ในขอบเขตของการวิจัย และวัตถุประสงค์การวิจัย และทาให้
179 รายงานเป็นระบบ สอดคล้อง และต่อเนื่องกันในแต่ละส่วนของรายงาน และความยาวของ รายงานอยใู่ นขอบเขตทก่ี าหนด 13.4 การอ่านทบทวนรายงาน เม่ือเขียนรายงานเสร็จแล้วจะต้องอ่านทานเพ่ือตรวจสอบท้ังโครงร่างและการเขียนสาระในแต่ละ หัวข้อว่าชัดเจน ถูกต้อง อ่านเข้าใจโดยเร็ว ซ่ึงผู้วิจัยจะต้องถือว่าข้ันตอนนี้สาคัญต้องใช้เวลา ผู้วิจัยอาจ จาเป็นต้องอ่านหลายครั้ง โดยท้ิงระยะห่างของเวลาเพ่ือลดอคติลง ในการวิจัยท่ีมีผู้ร่วมวิจัยควรให้ผู้ร่วมวิจัย อ่านและให้ขอ้ สังเกตดว้ ย 13.5 หลกั การเขยี นรายงาน หลกั การเขียนรายงาน มีดงั น้ี 1. มีความแมน่ ยา รายงานตามข้อเท็จจริง 2. การเขียนเนื้อหากะทดั รัด แต่เขา้ ใจได้ 3. มีความชดั เจน 4. มคี วามสอดคลอ้ งตอ่ เน่อื งกัน 5. การเนน้ ความสาคัญมีความจาเป็น เพ่อื ใหผ้ อู้ นื่ เขา้ ใจประเดน็ สาคัญทตี่ อ้ งการส่ือสาร 6. ภาษาท่ใี ช้เขียนมคี วามกลมกลืนตอ่ เน่อื ง และคงท่ี 7. การใช้ภาษาถูกต้อง หากไม่แนใ่ จตอ้ งตรวจสอบ 13.6 การเขยี นบทคัดย่อของรายงานการวิจัย ประกอบด้วย 5 ประเด็นหลัก ก. ความสาคญั ของปัญหา ข. วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย ค. วธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั ง. ผลการวิจยั จ. สรปุ ผล อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะในการวจิ ัย
180 ความยาวของบทคัดย่อเป็นเร่ืองสาคัญที่ผู้วิจัยต้องเขียนความยาวให้ได้ตามกาหนดในวารสาร ภาษาไทย มักกาหนดให้เขียนบทคัดย่อภาษาอังกฤษด้วย ความยาวจึงอาจรวมกันได้ท้ังภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ ผวู้ ิจัยตอ้ งอ่านข้อกาหนดของวารสารและปฏบิ ัติตาม เพือ่ ท่ีจะไดต้ พี มิ พ์เผยแพร่ได้ ความยาวของ บทคดั ย่อขึน้ อยู่กับการกาหนดของแต่ละวารสาร เชน่ 150 คา หรอื 250 คา เป็นตน้ ตวั อย่างบทคัดย่อ
181
182
183 13.7 IMRaD Format IMRaD เป็นรูปแบบโครงสร้างการเขียนทางวทิ ยาศาสตรท์ ่ีเป็นมาตรฐาน ซ่งึ มีองค์ประกอบหลกั ๆ 5 สว่ น คือ คานา/บทนา (I) วธิ วี จิ ัย (M) ผลการวิจยั (R) วเิ คราะห์ (a) และอภิปรายผล (D) (thevisualcommunicationguy.com) สาหรับ a น้ัน บางครัง้ ใช้แทน “and” ทาให้มีองค์ประกอบหลัก 4 หวั ข้อ Introduction WHY ? HOW ? Literature Review WHAT ? Methods Results SO WHAT ? Analysis Discussion/Conclusion ดัดแปลงจาก (https://en.wikipedia.org.wiki.IMRAD) IMRaD I = Introduction คานา-ทาไมท่านจงึ เริ่มศึกษา M = Methods วธิ กี ารวจิ ยั – ทา่ นทาการศึกษาอยา่ งไร R = Results ผลการวิจัย – ทา่ นค้นพบอะไร a = and และ D = Discussion การอภปิ รายผลการวจิ ัยทงั้ หมด ผลที่คน้ พบมคี วามหมายอยา่ งไร 13.8 ววิ ฒั นาการของการเขยี นผลการศึกษาวจิ ัย (P Abraham, www.Medknow.com)
184 นักวทิ ยาศาสตร์ไดพ้ ัฒนารูปแบบการรายงานผลการวจิ ยั ซ่ึงเริม่ ตงั้ แต่ คศ.1665 ทม่ี ีการเขียนเอกสาร ทางวิทยาศาสตร์ ในชว่ ง คศ.1600 กวา่ และ 1700 กวา่ มีการเขียนรปู แบบของจดหมาย หรือสาสนแ์ ละการ พรรณนา ต่อมาในช่วงครงึ่ หลังของ คศ.1800s การเขียนรายงานวจิ ยั ได้มีการบรรยายวธิ กี าร ที่รวมถงึ ทฤษฎี การทดลอง และการอภิปรายผล ในชว่ งแรกของ 1900s มีการจัดระบบการเขยี นในลกั ษณะของบทหนังสือ และให้หวั ข้อตามลักษณะของเน้อื หา ต่อมามีการบันทึกว่า ช่วงคร่งึ หลังของ คศ.1900s จงึ ได้มีการรบั รูปแบบ ของ IMRaD มาใช้ รายละเอยี ดในชว่ ง คศ.1900s พบว่า คศ. 1950 – 1965 โครงสรา้ งของ IMRaD มีการรับ ไปใชบ้ างส่วน โดยนักวจิ ยั ภายหลงั คศ.1965 IMRaD ถกู เสนอแนะให้เป็นมาตรฐาน โดยสถาบันมาตรฐาน แหง่ ชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกาสบื เนอื่ งมาถึง คศ.1980s IRMaD กถ็ ูกนามาใชอ้ ย่างสมบรู ณ์ และวารสารทาง วิชาการทต่ี ีพมิ พผ์ ลงานวิจยั ทางวทิ ยาศาสตร์ กใ็ ห้ความสาคัญในการใชร้ ปู แบบ IRMaD เพือ่ ให้เกิดประโยชนแ์ ก่ ผูอ้ า่ น และยงั เอ้ืออานวยใหม้ ีแนวทางในการพิจารณาบทความวจิ ัยของกองบรรณาธกิ าร Introduction (I) คานา หรือ บทนา ซ่ึงเป็นส่วนแรกของบทความวิจยั ต้องสื่ออะไรใหผ้ ู้อ่านบา้ ง ในขอบเขตของการ เขียนคานา ผเู้ ขยี นเขียนใหผ้ ้อู ่านเขา้ ใจ และประเมินวจิ ัยเรื่องปจั จุบนั ได้ โดยไม่ต้องอ้างถึงงานตีพิมพ์ทผ่ี า่ นมา กอ่ น • ระบชุ อ่ งว่าง และสิง่ ทีข่ าดหายในสถานะปัจจบุ ันของความรู้ • การอ้างอิงหลกั ฐานท่สี าคญั ที่จะสนบั สนนุ ภมู ิหลังความรู้ หรอื ข้อมลู ทกี่ ลา่ วถึง • อา้ งถึงงานทผี่ ่านมาของทา่ น และงานอื่น ๆ ทเี่ ก่ยี วข้องจากแหล่งอ่นื ๆ ในส่วนของคานา เม่ือกล่าวถึง เหตุผลสาหรบั การวจิ ยั ดงั ทไี่ ด้กล่าวไวแ้ ลว้ ต้องแสดงให้เห็นชอ่ งว่างองค์ ความรู้ทเ่ี ราพยายามถาม ข้อโตแ้ ยง้ อะไรทเ่ี ราพยายามแก้ไข ระบุจุดมงุ่ หมายของการศกึ ษา อาจกลา่ วถงึ กลมุ่ ท่ี ศึกษาอยา่ งย่อ ๆ เช่นเดียวกับการออกแบบ และวิธกี ารท่ีได้ใช้ โดยเฉพาะทาไมส่งิ ที่เราใช้ในการวจิ ัยของเราจงึ ดกี ว่าในการวิจยั ท่ีผา่ นมาก่อน Methods (M) ในการเขยี นวิธกี ารวจิ ัยในบทความ/รายงานวิจยั ผู้เขยี นตอบคาถาม 3 ประการคือ • Study design เช่นการใช้ case report meta-analysis ทดลอง การสารวจ • Setting • ใครคือตวั อยา่ งการวิจัย ผ้มู สี ่วนร่วมในการวจิ ัย และตวั อยา่ งควบคมุ หรือทดลอง
185 • ทาอะไรหรือกจิ กรรมอะไรบ้าง Intervention ระยะเวลาการทา intervention และ เครอื่ งมือท่ีใช้ • อะไรทเี่ ราค้นหา • Inclusion criteria • Exclusion criteria • Consent อธิบายว่าทาอยา่ งไร • Ethics clearance ถ้าเปน็ การวดั ผลลพั ธ์ • ระบผุ ลลัพธ์ทีเ่ กดิ ขึน้ • พารามเิ ตอร์ ทีใ่ ชป้ ระเมินผลลพั ธ์ • ผลท่ีเกดิ ตรงข้าม (ถ้ามี) กบั ท่ีตัง้ สมมตุ ฐิ านไว้ การวิเคราะห์การใช้สถติ ิ • วธิ ีการ • Software การเขียนวิธวี ิจัย หัวข้อรอง (Sub-headings) ควรเขยี นใหค้ งที่กับหวั ข้อผลการวิจยั พยายาม หลีกเลยี่ งทีจ่ ะเขยี นมากกวา่ 3 ระดับของหวั ข้อ Results (R) โดยทั่วไปแล้ว การเขยี นผลการวจิ ัยต้องตอบคาถามวา่ เราพบอะไร? ซงึ่ ควรตอบทุกจดุ ท่ีกล่าวใน วธิ ีการ วิจยั ไม่ควรเพมิ่ เติมพารามเิ ตอรใ์ หมท่ ี่ไม่ไดก้ ลา่ วถงึ มากอ่ น ตารางหรอื ภาพทบ่ี รรจุ จะตอ้ งสอดคล้องกับ เนื้อหา การเขยี นผลการวจิ ยั จะต้องเขียนถงึ Participant ในงานวจิ ยั จานวนทค่ี ัดกรอง จานวนท่ตี รงตาม เกณฑ์ จานวนเท่าใดที่ใชแ้ ละเอาออกไป เหตผุ ลที่ขาดความสมบูรณ์ของกลุ่มผรู้ ่วมวจิ ัย การใหค้ วามรว่ มมือใน การทดลองหรือการวิจยั การนาเสนอขอ้ มลู ควรกลา่ วถึงสาเหตทุ ี่ข้อมลู ไมส่ มบรู ณ์ (ถ้าม)ี เช่น การสญู เสียกลุ่มตัวอย่าง หรอื การทาการศึกษาไมส่ มบูรณ์ เปน็ ต้น • ไม่แปลความข้อมูล • ละเว้นการใช้คาวา่ มากท่ีสุด บ้างหรอื บ่อย
186 • ใช้ร้อยละ (%) ในกรณี N>100 เท่านน้ั • การเขียนเน้ือหาไมซ่ ้ากับตาราง เพราะตารางชว่ ยในการอธิบายข้อมลู ให้เขา้ ใจอยู่แลว้ Discussion (D) การอภิปรายผล เป็นส่วนประกอบท่ีสาคญั ของรายงานวจิ ัย เปน็ การอธบิ ายวา่ ทาไมผลการวจิ ัยจงึ เป็น ดังเช่นทีป่ รากฏ ผู้วจิ ยั เขยี นชใ้ี หเ้ ห็นวา่ ผลการวิจยั สอดคล้อง หรอื ขัดแยง้ กับผลการวิจยั ท่ีผ่านมาของผู้วจิ ัย อ่ืนๆอย่างไร ในประเด็นใดบ้าง อธิบายสาเหตุและใชผ้ ลการวจิ ยั อ่นื ๆมาประกอบเหตุผลของผ้วู จิ ยั อย่าง นา่ เช่อื ถือ แต่ต้องจาว่าการนาเอกสารอื่นมาสนับสนุนเป็นการสกดั เฉพาะส่วนทเี่ กย่ี วขอ้ งไมใ่ ชก่ ารทบทวน วรรณกรรมอย่างละเอยี ดอีกครั้ง การอภปิ รายจะยากหรืองา่ ย ข้นอยกู่ บั การแปรผลหรือการตีความผลการวิจัย หากผวู้ ิจยั มีความลกึ ซ้ึงกบั งานวิจยั ทที่ าทุกสว่ น กจ็ ะสามารถอภปิ รายได้ดี การเขียนอภิปรายผลมีอยา่ งน้อย 3 ระดบั คือ ระดับหน่ึง เปน็ การอภิปรายผลโดยใชผ้ ลการวิจัยมาอภปิ รายกับทฤษฎี แนวคดิ และวรรณกรรมท่ี เก่ียวขอ้ งหรือที่ได้ทบทวนวรรณกรรมไว้กอ่ นน้ีแลว้ ระดบั สอง เปน็ การอภิปรายผลท่ขี ยายจากระดับหนง่ึ โดยนาความสาคัญของปัญหาการวจิ ยั และ วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัยมาวิเคราะหใ์ นการอภิปรายด้วย ระดับสาม เปน็ อภิปรายผลโดยการขยายผลจากระดบั ทีส่ องเพื่อให้มีความน่าเชือ่ ถือมากขน้ึ จงึ นาระเบียบวธิ ีวจิ ัย มาประกอบการอภิปรายผลด้วย การเขียนอภปิ รายผลการวิจัย โดยทวั่ ไป สามารถเขียนโดยมีองค์ประกอบ ดงั น้ี • สรปุ การศึกษาใหผ้ ้อู า่ นทราบว่างานวจิ ัยเก่ียวกับอะไร หมายถึงวัตถปุ ระสงค์ คาถามวจิ ัย หรอื สมมุตฐิ าน • ผลการวจิ ยั คอื อะไร เปน็ การสรุปขอ้ คน้ พบหลกั ๆ • อภปิ รายการคน้ พบหลัก ๆ ตามขอ้ มูลท่มี ี ให้เหตุผลว่าเกิดผลวิจัยเช่นน้ไี ดอ้ ย่างไร ทาไมจึง เกิดผลน้ี ทั้งนีเ้ ปน็ การแสดงความรู้ความเข้าใจของผวู้ จิ ัยตอ่ งานวิจัยของตนเอง ตลอดจน ความลึกซึ้งของการทบทวนวรรณกรรม
187 • อภปิ รายความสาคญั ของข้อคน้ พบรองด้วย ซงึ่ จะทาให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในผลการค้นพบ มากข้นึ • ความหมายของข้อคน้ พบ • ความสอดคล้องกับการวิจัยทผ่ี ่านมามีอะไรบ้าง เช่นงานวิจยั ท่สี นับสนุนผลการวิจยั ของ ผ้วู ิจัยหรืออธิบายผลการวิจัยที่ค้นพบได้ อย่างนอ้ ยควรมงี านวจิ ัย 3 เรอ่ื งประกอบการ อภปิ ราย นอกจากหัวข้อสาคัญดงั กล่าวมาแลว้ ขา้ งตน้ ผ้วู จิ ัยอาจอธิบายทางเลือก จุดแขง็ และข้อจากดั ของการ วิจยั และการวิจัยตอ่ ไปในอนาคตทเ่ี ปน็ ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัยในเรอ่ื งนเ้ี พ่มิ เติมในการอภปิ รายผลก็จะทา ใหม้ ีความสมบรู ณย์ ิง่ ขน้ึ กอ่ นท่ีจะสรุปการอภิปรายผล สว่ นท่ีไม่มใี นการเขยี นรายงานแบบ IMRaD หวั ขอ้ เหล่านี้ จาเป็นต้องมีในการเขียนรายงานดว้ ย ไดแ้ ก่ • ชื่อเรอ่ื ง • ผู้นิพนธ์ • บทสรุป • กิติกรรมประเทศ และ • เอกสารอา้ งอิง 13.9 การเขยี นบทความวิจยั เพอื่ ตีพิมพเ์ ผยแพรใ่ นวารสาร นอกจากนักวจิ ยั จะต้องเขยี นรายงานการวจิ ยั ฉบบั สมบูรณแ์ ล้ว นกั วจิ ัยอาจตอ้ งเขยี นบทความวจิ ยั เพอ่ื พิมพใ์ นวารสารวิชาการ หรอื เขียนบทความลงในหนงั สอื พิมพ์เปน็ การแปลงรายงานวิจยั ฉบับสมบรู ณ์ใหเ้ ปน็ ลกั ษณะทค่ี นท่ัวไปสามารถเข้าใจได้งา่ ย การเขียนบทความวจิ ัยตพี ิมพ์ในวารสารวิชาการ มที ้งั การเขียนเป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ การ ตพี ิมพ์เผยแพร่ ก่อนอื่นผนู้ พิ นธ์ต้องเลือกวารสารที่ต้องการตีพิมพก์ ่อน เพ่ือจะไดเ้ ตรยี มบทความให้ตรงตามที่ วารสารกาหนด ท้งั นี้ วารสารแตล่ ะฉบบั จะเขยี นคาแนะนะสาหรบั ผู้เขียน สว่ นมากจะปรากฏอยดู่ า้ นหลงั ของ วารสาร ซงึ่ จะบอกการเตรยี มตน้ ฉบบั รปู แบบของการเตรยี มต้นฉบบั การเขียนเอกสารอ้างองิ ซึง่ ผู้เขยี น จะตอ้ งใช้รูปแบบทวี่ ารสารกาหนดเทา่ น้ัน การเผยแพรผ่ ลการวิจยั เป็นการถา่ ยทอดผลการวจิ ัยให้แพรก่ ระจายออกไปสู่นักวิชาการ และสู่ สาธารณชน เพ่ือใช้ประโยชน์ และตอ่ ยอดงานวจิ ยั ใหอ้ งค์ความรู้ มคี วามชดั เจน และขยายขอบเขตการใช้ ประโยชนข์ ององค์ความรไู้ ด้ การเผยแพร่ผลงานวจิ ยั นอกจากจะตีพิมพใ์ นวารสารวิชาการแลว้ นักวิจยั อาจ
188 นาเสนอในทีป่ ระชุมสมั มนา ท้ังระดบั ชาติและนานาชาติ ซึ่งการเตรียมการจะต้องสรุปผลการวจิ ัยให้กระชบั เสนอเฉพาะประเดน็ สาระทส่ี าคัญ เพราะระยะเวลาในการนาเสนอมกั จะเป็นระยะเวลาสัน้ ๆ ประมาณ 10 – 15 นาที และเผ่ือเวลาใหผ้ ู้ฟงั ถามคาถามดว้ ย การนาเสนอผลการวิจัยจึงเป็นการส่ือสาร 2 ทาง มกี าร เผชญิ หนา้ กนั ระหว่างผ้ฟู ังและนักวจิ ยั การจัดนิทรรศการเปน็ อกี รูปแบบหน่งึ ท่ีนกั วจิ ยั สามารถเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยได้ ซ่งึ มกั จะจัดควบคู่ไปใน การจดั งานประชุมสมั มนาวิชาการ การเผยแพร่ผลการวจิ ยั อาจนาเสนอดว้ ยแผนภาพ แผนภมู ิ หรือ แบบจาลอง ตามขนาดพื้นท่ีที่ผู้จัดงานกาหนด พร้อมกันน้ีนักวจิ ยั หรือทมี วิจัยตอ้ งเตรยี มพร้อมเพื่อตอบข้อ ซักถามของผู้เข้าชมนิทรรศการ 13.20 การเผยแพร่โดยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การเผยแพร่ผลการวิจัยผ่านสื่ออเิ ล็กทรอนิกสส์ ามารถเผยแพรไ่ ด้รวดเร็ว และครอบคลมุ สาธารณชน ไดก้ ว้างไกล ซ่ึงในปัจจุบันประชาชนเขา้ ถงึ การสื่อสารผ่านส่อื อิเล็กทรอนิกส์ได้มากขน้ึ สรุป การเขยี นรายงานการวิจยั เปน็ ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวิจยั ซึ่งรายงานการวิจัยมี องคป์ ระกอบเป็นไปตามขัน้ ตอนการวิจัย ซึง่ ผูว้ ิจัยจะต้องใหค้ วามสาคญั ในรูปแบบความถกู ต้อง ชดั เจน เพอื่ เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงระหว่างนกั วจิ ัยกบั ผู้อ่านให้เข้าใจตรงกนั นอกจากรายงานการวจิ ัยที่เขียนเป็นรูปเลม่ แลว้ การนาเสนอเผยแพร่ผลงานวิจัยตอ่ นกั วชิ าการและสาธารณชนกน็ บั เปน็ ขนั้ ตอนท่ีสาคญั ของการทางาน วิจัย เพ่อื ใหเ้ กิดการนาไปใช้ประโยชน์ และตอ่ ยอดองค์ความรตู้ อ่ ไป บรรณานกุ รม วิโรจน์ ไววานิชกิจ. (2558). ระเบียบวธิ ีวจิ ัยพืน้ ฐานทางการแพทย์และสาธารณสขุ สาหรับแพทย์ พยาบาลและ บคุ ลากรทางการแพทย์. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย บญุ ใจ ศรสี ิถติ ยน์ รากูร. (2553). ระเบยี บวิธีวิจยั ทางการพยาบาลศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ยูแอนไอ อินเตอร์ มีเดีย. Abraham P. The IMRaD format. Hosted by Medknow.[Online] 2016. [cited 2016 December 5]. Available from https://www.jpgmonline.com/wc_pdf/day1/1045_PA_IMRaD-3.pdf Brockopp, D. C. & Hastings, M. T, (2003). Fundamentals of Nursing Research. Boston: Jones & Bartlett Learning
189 ภาคผนวก แบบฟอร์มการเขียนโครงร่างวจิ ัย 1. ชอื่ เรอื่ ง ………………………………………………………………………....................................................................... ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 2. ผวู้ จิ ัย / ทมี ผู้วจิ ัย หนว่ ยงาน................................................................................................................................................... 3. ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา ………………………………………………………………………………………………………….............................................. วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย ………………………………………………………………………………………………………….............................................. วตั ถุประสงคเ์ ฉพาะ ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 4. คาถามของการวิจัย ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 4. สมมตฐิ าน (ถ้ามี) ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 5. กรอบแนวคิดในการวจิ ัย ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 6. ขอบเขตของการวจิ ัย ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 7. การใหค้ านิยามเชงิ ทฤษฎขี องแนวคดิ ท่ที ศ่ี กึ ษา ………………………………………………………………………………………………………….............................................. การใหค้ านยิ ามเชิงปฏิบัติท่จี ะใชใ้ นการวจิ ัยองแนวคิดท่ีที่ศึกษา (operational definition) ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 9. ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะได้รบั จากการวจิ ัย(expected benefits and application) …………………………………………………………………………………………………………..............................................
190 ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 10. ทฤษฎีและงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วขอ้ งพร้อมอา้ งอิง (review of related literatures) พอสังเขป (ขอ้ นี้สาคญั ให้ ตั้งใจทาเพราะไม่มกี ารสอบ ถา้ คะแนนนอ้ ยอาจมผี ลต่อผลการสอบ) ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 11. ระเบียบวิธวี ิจยั (Research methodology) 11.1 การออกแบบการวิจยั …………………………………………………………………………………………………………............................................ ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 11.2 ประชากรกลุ่มตวั อยา่ ง (หวั ขอ้ น้ีสาคัญให้ตั้งใจทาเพราะแบ่งคะแนนจากการสอบมา ถ้าคะแนนนอ้ ย อาจมผี ลต่อผลการสอบ) ประชากร ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ลกั ษณะของประชากรท่ีกาหนด (Inclusion criteria) ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ………………………………………………………………………………………………………….............................................. กลมุ่ ตวั อย่าง/การกาหนดขนาดกลมุ่ ตัวอยา่ ง/วิธีการสุ่ม ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 11.3 เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการรวบรวมข้อมลู ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 11.4 การตรวจสอบคณุ ภาพของเครือ่ งมอื /วิธแี ละคา่ ที่ควรได้ ………………………………………………………………………………………………………….............................................. ………………………………………………………………………………………………………….............................................. 11.5 วิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูล ระบขุ ้ันตอน …………………………………………………………………………………………………………..............................................
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201