Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอนวิจัย

เอกสารประกอบการสอนวิจัย

Published by surachat.s, 2022-07-11 04:37:40

Description: ใช้เพื่อประกอบการเรียน 1-2565 เท่านั้น (ห้ามอ้างอิง)

Search

Read the Text Version

48 ซงึ่ การทบทวนวรรณกรรมพบว่า เวลารับประทานอาหารมผี ลต่อการเพ่ิม/ลดนา้ หนัก ผู้วิจยั จึงควบคมุ เวลาการ รบั ประทานอาหาร ซง่ึ เป็นตวั แปรเกนิ /ตวั แปรภายนอก ตัวแปรอสิ ระ ตัวแปรตาม ตวั แปรเกิน ภาพ 4 เสดงตวั แปรเกนิ /ภายนอก ระดับการวดั ตัวแปร ระดบั การวดั ตัวแปร เป็นการกาหนดความละเอยี ดความหมายในการระบคุ วามแตกต่าง ระหวา่ งคุณสมบตั ิ หรือคุณลักษณะของตวั แปรที่อยใู่ นหน่วยเดยี วกนั ตัวแปรบางชนิดสามารถแสดงความแตกตา่ งไดห้ ยาบ ๆ เท่านั้น แตบ่ างชนดิ ระบุความแตกต่างได้อย่างละเอยี ดมาก โดยทั่วไปแล้วการจดั ตวั แปรแบ่งออกเปน็ 4 ระดับ 1. นามมาตรา หรือมาตรนามบญั ญตั ิ เป็นระดบั ต่าสุดท่ีกาหนดความละเอยี ดของคุณลักษณะของตวั แปรทหี่ ยาบทสี่ ดุ เปน็ ลกั ษณะการ แบง่ กลุ่มโดยแยกเป็นประเภทเท่านน้ั ไมแ่ สดงถงึ ความแตกตา่ งเชงิ ปริมาณคุณคา หรอื คุณภาพแต่อย่างใด เชน่ ตวั แปรเพศทแี่ บง่ เป็นเพศหญิง และเพศชาย ใหต้ ัวเลขเปน็ รหสั 1 และ 2 หรอื ตัวแปรศาสนา ศาสนาพุทธ ครสิ ต์ อสิ ลาม และอ่ืน ๆ เปน็ ต้น ซงึ่ การใหต้ ัวเลขเปน็ รหัสแทนลักษณะของตวั แปร ไมส่ ามารถระบุความแตกต่างของ ตวั เลขว่ามากหรอื น้อยกวา่ กัน จึงนับเปน็ การจัดหยาบ ๆ เป็นเพยี งตัวเลขที่ใชใ้ นการแบ่งกลุ่มหรอื ประเภท ตัวอย่าง ตัวแปรทมี่ รี ะดับของจดั เปน็ ระดบั นามมาตรา ตวั แปร คุณลกั ษณะทีแ่ สดงความแตกตา่ ง เพศ ชาย (1) หญิง (2) ศาสนา พทุ ธ (1) อสิ ลาม (2) คริสต์ (3) สผี ิว ชาว (1) เหลือง (2) ดา (3) ภาค เหนอื (1) ตะวันออกเฉียงเหนอื (2) กลาง (3) ใต้ (4) ตะวันออก (5) ตะวันตก (6)

49 2. มาตราอนั ดบั (Ordinal scale) เป็นการวดั ระดับตวั แปรท่มี ีคุณลกั ษณะแสดงความแตกตา่ งสูงข้นึ กวา่ ระดบั นามมาตรา หรอื เรยี กวา่ มาตร เรียงลาดบั เปน็ การวัดที่มีคณุ สมบตั เิ พียงประการเดยี ว คือ เปน็ ตวั เลขทีแ่ สดงปรมิ าณมากน้อย ดีกว่าหรือเลวกว่า เปน็ ตัวแปรทเี่ รามักจะคุ้นชินจากการทาแบบสอบถาม เช่น ระดับความพงึ พอใจ ซึ่งอาจแบง่ เป็น 5 ระดับ คือ 5 = พงึ พอใจมากทสี่ ดุ 4 = พงึ พอใจมาก 3 = พึงพอใจปานกลาง 2 = พงึ พอใจนอ้ ย 1 = พงึ พอใจน้อยทีส่ ุด ถ้าผูต้ อบแบบสอบถามคนหนึ่งตอบ 5 อีกคนตอบ 2 หมายถึงวา่ ผูต้ อบแบบสอบถามคนแรกพงึ พอใจ มากกว่าคนทส่ี อง แตไ่ ม่สามารถบอกได้วา่ มากกวา่ กันดว้ ยปรมิ าณเทา่ ใด ตวั เลขทแี่ ตกตา่ งกนั 1 หนว่ ย ไมไ่ ด้แทน ปริมาณทเี่ ท่ากันเหมอื นขอ้ มลู ในระดับช่วงมาตราหรืออตั ราสว่ นมาตรา 3. มาตราอนั ตรภาค (Interval Scale) เป็นระดบั การวัดของตัวแปรท่ีมีความละเอียดในการวัดคุณสมบตั ิของตวั แปรมากขึ้น และสงู ขึน้ จากระดบั 2 ระดบั ที่กล่าวมาแล้ว คอื สามารถวดั รายละเอยี ดของตัวแปรที่แตกต่างกนั เป็นคา่ ตัวเลข และตวั เลขนั้นมคี ุณสมบตั ิ ทางคณิตศาสตรค์ ือ บวก ลบ คูณ หารได้ สามารถบอกค่าความแตกต่างเชงิ ปรมิ าณได้ว่า มากกว่าหรือน้อยกวา่ เทา่ ไร โดยชว่ งของความแตกตา่ งระหวา่ งแตล่ ะหนว่ ยมคี า่ เท่ากัน (Equal intervals) ตวั แปรระดบั ชว่ งมาตราจะไมม่ ี ศูนยส์ มบูรณ์ หรือศนู ยแ์ ท้ (Absolute zero) ค่าศูนย์ทไี่ ด้จากมาตรวัด ระดบั ช่วงมาตราเปน็ ค่าทนี่ กั วิจยั กาหนดขึ้น โดยไมไ่ ด้หมายความวา่ ตัวแปรน้นั ๆ ไม่มีคา่ เลย เช่น ค่าอุณหภูมทิ ่ีวัดเท่ากับ 0 °C ไมไ่ ด้หมายความวา่ ไม่มีอุณหภมู ิ เลย แตม่ อี ุณหภูมิในระดับท่ตี ่าหรืออุณหภมู เิ ย็นมาก หรือนิสิตคนหน่งึ สอบวิชาวิจยั ไดค้ ่าคะแนนเปน็ 0 ไม่ได้ หมายความวา่ นักศึกษาคนน้ันไมม่ ีความรู้ในวชิ าวจิ ยั เลย ค่าศนู ยจ์ ึงเป็นเหมือนคา่ ที่สมมุติขึ้น ตวั อย่าง ตัวแปร Interval Scale ตัวแปร คุณลักษณะที่แสดงความแตกตา่ ง อณุ หภมู ิ 0...20..40 คะแนนรวมความวติ กกงั วล 0...40 (เตม็ 40) คะแนนพฤติกรรมการดูแลตวั เอง 0...50 (เต็ม 50)

50 4. มาตราอัตราสว่ น (Ratio scale) มาตรวดั ระดับน้ี เปน็ ระดบั การวัดตวั แปรท่ีสูงที่สุด มีคุณลักษณะของมาตรวดั ทงั้ สามระดับทีก่ ลา่ วมา ท้งั หมด ตวั แปรสามารถวัดออกมาไดเ้ ปน็ ค่าตวั เลข ซ่ึงมคี ุณสมบตั ทิ างคณติ ศาสตร์ สามารถบวก ลบ ๕ณ หารได้ และมีค่าศนู ย์สมบรู ณ์ (absolute zero) นน่ั คอื 0 หมายถงึ ไมม่ คี ุณสมบัติของตวั แปรนน้ั ๆ เลย เชน่ น้าหนัก 0 กิโลกรัม หมายถึง ไม่มีน้าหนักเลย ไม่มีคุณสมบัตหิ รือคุณลักษณะของตวั แปรนน้ั ๆ ตวั อยา่ ง ตัวแปรทม่ี รี ะดับของมาตราอัตราส่วน ตวั แปร คณุ ลักษณะทแ่ี สดงความแตกตา่ ง อายุ 0 ...5 ... 10 ... 20 น้าหนัก 0 ... 20 ... 40 ... 60 ระดับน้าตาลในเลือด 80 ... 100 ... 120 ... 140 การกาหนดระดับการวัดของตัวแปรที่จะต้องศึกษามีความหมายต่อการสร้างเครื่องมือท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวเิ คราะหข์ ้อมูล และการแปลผลข้อมลู ดังน้นั ก่อนทจ่ี ะสร้างเครอื่ งมือหรือเลอื กใชเ้ ครอื่ งมือใดใน การเก็บรวมรวบข้อมูล ผ้วู จิ ยั จะต้องศกึ ษาใหร้ อบคอบวา่ ตัวแปรท่ีผ้วู ิจยั สนใจศกึ ษามลี ักษณะระดบั การวัดอยู่ใน ระดบั ใด ระดบั การวัดตวั แปรท่ีผวู้ ิจัยศกึ ษาน้ันมีความหมายสมกบั ปญั หาวิจัยทศ่ี ึกษาหรือไม่ ตัวแปรทม่ี ีระดบั การวดั ทตี่ ่าไม่สามารถยกระดับให้มรี ะดบั การวดั ทีส่ ูงข้ึนได้ แตต่ ัวแปรทมี่ รี ะดบั การวัดสงู สามารถทาให้ระดบั การวดั ท่ีตา่ ลง ได้ เช่น ตวั แปรอายุ สามารถกระทาไดโ้ ดยให้กลุม่ ตวั อย่างระบอุ ายุจริงในแบบสอบถาม คอื อายขุ องท่าน ... ปี แต่ หากข้อคาถามในแบบสอบถามเปน็ โปรดระบุชว่ งอายุของท่าน  20-25 ปี  26 - 30 ปี  31 - 35 ปี .... ผู้วิจัย กจ็ ะไม่ไดค้ วามละเอียดของข้อมูล ทาใหห้ าค่าเฉลย่ี ของอายไุ มไ่ ด้ การนิยามตัวแปร ในการวจิ ยั ข้อมูล ผวู้ ิจยั ต้องกาหนดหรือให้ความหมายของตัวแปร ซ่งึ การใหค้ วามหมายตวั แปรในการวิจัยมี 2 ลกั ษณะ คือ นยิ ามตัวแปรเชงิ ทฤษฎี (Theoretical definition) นิยามตวั แปรเชิงปฏบิ ัตกิ าร (Operational definition) นยิ ามเชิงทฤษฎี คือ การให้ความหมายของตวั แปรโดยอธบิ ายตามแนวคดิ ทฤษฎี ที่ผวู้ จิ ยั ไดน้ ามาใชอ้ ้างอิง ในวิจัยของตนเอง ซ่ึงสอดคล้องกับบริบทปัญหาวิจยั ทีผ่ วู้ จิ ัยสนใจศกึ ษา ซึ่งได้มาจากการทบทวนวรรณกรรมมักเปน็ คาอธบิ ายท่ีเป็นนามธรรม มลี ักษณะท่วั ๆ ไป ไม่ใชเ่ จาะจงกลมุ่ ใดกลุ่มหน่งึ นิยามเชิงปฏิบัติการ คือ การที่ผวู้ จิ ัยตอ้ งนาคานิยามท่ีเปน็ นามธรรมนน้ั มาสูก่ ารปฏิบตั ิ โดยทาคานิยามตวั แปรทส่ี นใจใหเ้ ปน็ รปู ธรรมมากที่สุด ใหม้ คี วามชดั เจน และเจาะจงกบั กลุ่มตวั อย่าง สามารถสงั เกต วัด ประเมิน

51 บอกอาการ หรือพฤตกิ รรมท่ีสนใจได้ มกี ารระบวุ า่ ผู้วิจยั จะวดั หรือประเมนิ ตวั แปรน้ันอย่างไร คานิยามเชิงทฤษฎี ตอ้ งมีความสอดคล้องกบั คานิยามในทางทฤษฎี ตัวอย่าง: ผู้วิจยั ตอ้ งการศึกษาความวติ กกังวลในผู้ป่วยโรคหัวใจที่เขา้ รับการรักษาในโรงพยาบาล แนวคิดที่ ผวู้ ิจยั สนใจคอื ความวติ กกงั วล เม่ือผวู้ ิจัยทาวิจยั เรือ่ งนี้ความวิตกกงั วลจึงเป็นตวั แปรในการวิจยั ผ้วู ิจัยจงึ ตอ้ งให้คา จากัดความท้ังเชงิ ทฤษฎีและเชงิ ปฏิบัติการของความวติ กกังวล ไวด้ งั นี้ คานยิ ามเชงิ เชงิ ทฤษฎี ความวติ กกงั วล หมายถึง ความร้สู ึกทางอารมณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ กับบคุ คลในสถานการณ์ทบี่ คุ คลประเมินวา่ เป็น อนั ตรายต่อตนเองทาให้บุคคลมีความรสู้ กึ ตึงเครยี ด หวนั่ วิตก กระวนกระวาย เป็นความร้สู กึ ทางอารมณ์ท่ีเกิดข้ึน ชวั่ คราว ซงึ่ ระยะเวลาและความรนุ แรงทีเ่ กดิ ข้นึ จะแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะบุคคล (Spielberger et al., 1967) คานิยามเชิงปฏบิ ัติการ ความวติ กกังวล หมายถงึ ความรูส้ ึกทางอารมณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ กับผูป้ ว่ ยโรคหัวใจทเี่ ขา้ รับการรกั ษาใน โรงพยาบาล เป็นความรู้สึกตึงเครียด หวนั่ วิตก กระวนกระวาย เป็นความรูส้ ึกทางอารมณ์ทเ่ี กดิ ขึ้นช่วั คราว ซงึ่ ประเมินไดจ้ ากแบบทดสอบความวิตกกงั วลแบบสเตท (State anxiety) ของ Spielberger และ คณะ (1967) ซง่ึ แปลเปน็ ภาษาไทยโดย นิตยา คชภักดี และคณะ (2531) จากคาจากัดความเชงิ ทฤษฎจี ะเหน็ ได้วา่ แนวคดิ ความวิตกกงั วล เป็นการกล่าวถึงความรู้สึกทางอารมณ์ของ บุคคลทัว่ ๆ ไป ยังไมร่ ะบุว่าเป็นใคร มีความเป็นนามธรรมสูง แต่เม่ือผ้วู จิ ัยทาวจิ ยั จึงต้องทาให้แนวคิดเชิงทฤษฎมี าสู่ ตัวแปรทีส่ นใจศกึ ษา โดยใหค้ าจากัดความให้ชัดวา่ ความวิตกกงั วล เป็นความร้สู ึกทางอารมณ์ของผูป้ ว่ ยโรคหวั ใจท่ี เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และผวู้ ิจัยสามารถวัดตัวแปรนั้นออกมาเป็นคา่ คะแนนได้โดยใชแ้ บบทดสอบความ วิตกกงั วล ซึ่งทาให้แนวคิดทเ่ี ปน็ นามธรรมมาสรู่ ูปธรรมน่นั เอง

52 บรรณานุกรรม รัตนศ์ ิริ ทาโต. (2561). การวิจัยทางการพยาบาลศาสตร์: แนวคิดสูก่ ารประยุกต์ใช้. (พมิ พค์ ร้งั ท่ี2). กรงุ เทพฯ: โรง พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สนิ พันธ์ุพนิ จิ . (2561). เทคนิคการวิจยั ทางสังคมศาสตร์. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัทพทิ ยพฒั น์ จากดั .

หนว่ ยที่ 6 คำถำมวิจยั และสมมตุ ฐิ ำนกำรวจิ ยั (Research Question and Hypothesis) ผูช้ ่วยศำสตรำจำรย์ ดร.อภิญญำ วงศพ์ ิริยโยธำ ในการดาเนินการวจิ ัย คาถามวจิ ยั หรือสมมตุ ฐิ านมีความสาคญั มาก เนื่องจากการวจิ ัยเป็นกระบวนการ แกไ้ ขปัญหา หรือคน้ หาคาตอบด้วยวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ การตัง้ สมมตุ ิฐานการวิจยั จงึ เป็นการคาดคะเนคาตอบ ทีเ่ กิดจากการศึกษาค้นควา้ ทั้งจากทฤษฎที ี่เกีย่ วขอ้ งและงานวิจยั ทผ่ี า่ นมา สมมุตฐิ านจึงเป็นเหมือนแนวทางใน การศกึ ษาค้นควา้ ตลอดจนเป็นแนวทางในการเก็บรอบคอบ และวิเคราะห์ข้อมลู เพ่ือพิสจู นห์ าคาตอบวา่ สงิ่ ทผ่ี ู้วิจัย ศกึ ษานัน้ เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ สมมุตฐิ านทีก่ าหนดไว้ ไมจ่ าเป็นต้องเป็นจรงิ เสมอ ข้ึนอยกู่ ับผลการ ทดสอบ และการวเิ คราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ (ดรุณี รุจกรกานต์, 2563) 6.1 คำถำมวิจัย เม่ือผู้วิจยั ไดป้ ัญหาในการทาวิจยั แลว้ ผู้วจิ ัยจะมีการระบวุ ัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั และต้ังคาถามการวิจยั เพอื่ ใหไ้ ด้คาตอบตามวัตถปุ ระสงค์ (Polit & Beck, 2016) ซง่ึ วัตถุประสงคจ์ ะล้อมาจากชือ่ เรือ่ ง คาถามการวจิ ยั เป็นขอ้ ความทเี่ ปน็ ประโยคคาถามซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นสง่ิ ทผี่ วู้ ิจัยต้องการคาตอบ คาถามวจิ ัยจะเป็นตวั บอกว่าผูว้ จิ ยั จะ ใช้วิธีการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ หรือเชิงคุณภาพ คาถามวจิ ยั เป็นขอ้ ความประโยคคาถามทส่ี ั้นกระชบั มตี ัวแปรหนงึ่ ตวั หรอื มากกวา่ หนึ่งตวั ในคาถามวิจยั จดุ เน้นของคาถามวจิ ัย เปน็ การพรรณนาตวั แปร ตรวจสอบความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปร และการกาหนดความแตกต่างระหวา่ งตวั แปรท่ีคดั สรร ซงึ่ เปน็ คาถามท่ีผูว้ จิ ยั ต้องการคาตอบ และ ใชเ้ ปน็ แนวทางในการวางแผนการวิจยั ต้งั แต่การกาหนดกลุ่มตวั อยา่ ง และการออกแบบการวจิ ัย (ดรุณี รุจกร กานต,์ 2563) หลกั การเขียนคาถามวิจยั มดี ังน้ี (บญุ ใจ ศรสถติ นรากูร, 2553) 1. คาถามวจิ ัยต้องมีความสอดคล้องและครอบคลมุ ปัญหาวจิ ัย 2. ในงานวิจัยหากคาถามวจิ ยั มีหลายข้อ ให้แยกเขียนเป็นข้อ ๆ 3. เขยี นเรยี บเรียงเปน็ ประโยคคาถาม 4. เขยี นดว้ ยภาษาทกี่ ระชับและเขา้ ใจง่าย

54 คาถามการวิจยั ทีต่ ้องไปด้วยกนั กับชอ่ื เร่ือง วตั ถปุ ระสงค์ สมมตฐิ าน คาถามวจิ ยั จะชว่ ยบอก แนวทางในการออกแบบการวิจยั ด้วยเช่นกนั ซ่งึ จะยกตัวอย่างการเขียนคาถามวิจยั ตอ่ ไป 6.2 สมมติฐำนกำรวจิ ยั ควำมหมำย สมมตฐิ าน คือ คาตอบทผี่ วู้ จิ ยั คาดคะเนไว้ล่วงหน้าอย่างมีเหตผุ ล เป็นข้อความทอ่ี ยู่ในรูปของการ คาดคะเนความสมั พันธ์ระหว่างกลมุ่ ตวั แปร (ตวั แปรตน้ /ตวั แปรอสิ ระหรือตวั แปรตาม) ท่ีผวู้ ิจัยศึกษา (รตั น์ศริ ิ ทา โต, 2561) หลกั เกณฑ์ท่ีสำคญั ในกำรตั้งสมมติฐำน มดี งั นี้ (รตั น์ศริ ิ ทาโต, 2561) 1. ความเก่ียวข้องกับปัญหา สมมติฐานท่ีสรา้ งขน้ึ ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงคกื ารวิจัย สะท้อนถึง แนวคดิ อย่างชดั เจน ไม่คลุมเครอื ครอบคลมุ เน้ือหา และตัวแปรท่ศี ึกษา 2. ขอบเขตของสมมตฐิ าน: รัดกมุ ไมแ่ คบหรอื กว้างเกินไป 3. ความสมั พันธร์ ะหวา่ งตัวแปร: ตอ้ งชดั เจน ดว้ ยความเปน็ เหตเุ ปน็ ผล มกั แสดงคาทีม่ ีความสัมพนั ธ์ หรอื เปรียบเทยี บ เช่น มากกว่า นอ้ ยกว่า มีอทิ ธพิ ลต่อ มผี ลกระทบตอ่ ..... 4. สามารถทดสอบไดท้ างสถิติ ตัวแปรทุกตวั ต้องวัดได้ ประเมนิ ได้ ทดสอบได้ 5. สามารถทดสอบซา้ 6. การสรุปอา้ งอิง : สมมติฐานทต่ี ง้ั ขนึ้ เม่ือทดสอบแลว้ สามารถนาไปใชอ้ ธบิ ายปรากฏการณห์ รือสภาพ การที่คล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างได้ สมมติฐานจะใชเ้ มื่องานวจิ ยั นั้นตอ้ งการทดสอบทางสถิติ เช่น การหาความสมั พนั ธ์ การทานาย และ การเปรยี บเทยี บความแตกต่างอาจเป็นการวจิ ัยเชงิ บรรยายแบบเปรยี บเทยี บ หรอื การวิจยั เชิงทดลองหรือก่งึ ทดลอง แนวคิดในการต้ังสมมตฐิ าน มี 2 กระบวนการ ดังนี้ (Polit & Beck, 2016) 1. Inductive hypothesis ตงั้ ขึน้ จากการสงั เกตความสัมพันธ์ระหวา่ งข้อเท็จจรงิ การสังเกตรูปแบบ และแนวโน้มของปรากฏการณ์ แล้วทบทวนวรรณกรรมมาสนบั สนุน เชน่ นกั วิจัยสังเกตพบว่าคนที่ฝึกสมาธิไม่ ความดันโลหติ สงู จึงทาการทดลอง ผลของการฝึกสมาธิต่อระดบั ความดนั โลหิตในผปู้ ่วยโรคความดันโลหติ สงู โดย ต้ังสมมตฐิ านวา่ ผู้ปว่ ยโรคความดนั โลหติ สงู ทม่ี ีการฝึกสมาธมิ คี วามดนั โลหิตนอ้ ยกวา่ ผู้ป่วยทไี่ มฝ่ ึกสมาธิ

55 2. Deductive hypothesis เปน็ การตงั้ สมมตฐิ านจากทฤษฎี เชน่ ทฤษฎคี วามเชอ่ื สุขภาพกลา่ วไว้ วา่ ความเชอ่ื ด้านสุขภาพมีความสมั พันธก์ บั พฤตกิ รรมการป้องกันโรค ผู้วิจัยจึงนามาทดสอบความสมั พันธ์ในกลุ่ม ตัวอย่างทส่ี นใจ ประเภทของสมมติฐำน แบ่งเปน็ 2 ประเภทคอื (รตั น์ศริ ิ ทาโต, 2561) 1. สมมตฐิ านทางการวิจยั (Research hypothesis) เป็นคาตอบท่ผี ู้วิจยั คาดคะเนไว้ล่วงหน้า) ที่แสดง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตัวแปรทศี่ ึกษา เปน็ การอธิบายปรากฏการณท์ ค่ี าดวา่ จะเกิดขนึ้ - สมมตฐิ านอาจมีท้ังระบุทิศทาง เช่น มากกว่า น้อยกว่า สมั พนั ธ์ทางบวก สมั พันธ์ทางลบ - อาจไม่ระบุทิศทาง เช่น ใช้คาว่าแตกตา่ งหรือไมแ่ ตกต่าง หรือสมั พันธ์ ไม่ระบวุ ่าทางบวกหรือทางลบ เนือ่ งจากการวิจัยทผี่ า่ นมายังใหข้ ้อมลู ไม่ชดั เจน เชน่ ผูป้ ว่ ยทีไ่ ด้ยาชนดิ A มีอตั ราตายแตกต่างจากผู้ปว่ ยยาชนดิ B 2. สมมติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) เป็นสมมตฐิ านที่ตั้งขึ้นเพอื่ ทดสอบวา่ สมมตฐิ านทางการ วิจัยเปน็ จรงิ หรือไม่ ซ่ึงจะเขียนโดยใชโ้ ครงสร้างทางคณิตศาสตร์ เพอ่ื ให้อยใู่ นรูปทีส่ ามารถทดสอบไดท้ างสถติ ิ เป็น การนาเอาสมมตฐิ านเชงิ วิจยั มาสู่การปฏิบัติ ด้วยการทดสอบทางสถติ ิ เขยี นด้วยสญั ลักษณ์ สนั้ ๆ จะใช้สัญลกั ษณ์ ของพารามิเตอร์ คือคา่ ทีจ่ ากประชากรเสมอ เช่น u แทนคา่ เฉลยี่ ของประชากร p (Rho/โร) คา่ ความสัมพนั ธ์ σ2 (Sigma) คา่ ความแปรปรวน สมมตฐิ านทางสถิติแบ่งออกเปน็ 2 ชนิด (รตั น์ศริ ิ ทาโต, 2561) 1) สมมตฐิ านศนู ย์หรือสมมติฐานกลาง (Null hypothesis: H0) สมมตฐิ านท่ตี ง้ั ขน้ึ มาเพอื่ ไม่ยอมรับ หรอื ปฏเิ สธ โดยต้ังวา่ ไมม่ ีความแตกต่างกนั ระหวา่ งกลมุ่ ตัวอย่าง 2 หรอื ไม่มีความสัมพันธก์ นั เชน่ H0 : u1 = u2 หมายความว่าค่าเฉล่ยี กล่มุ ท่ี 1 ไมม่ ีความแตกตา่ งจากค่าเฉลี่ยกลุ่มท่ี 2 H0 : Pxy = 0 หมายความวา่ ไมม่ ีความสมั พันธก์ นั ระหวา่ งตัวแปร X กับ Y 2)สมมติฐานเลอื ก (Alternative hypothesis: H1) เปน็ สมมติฐานเพอ่ื รองรับหรอื ไม่เปน็ กลาง แสดง ความไม่เท่ากัน แตกตา่ งกัน มากกวา่ นอ้ ยกวา่ สัมพันธก์ ัน ตั้งได้ 2 แบบ คือ แบบทดสอบสองหาง (2 tail test) และ แบบทดสอบ1 หาง (one tail test)

56 การทดสอบแบบ 2 หาง เช่น H1: u1 ≠ u2 หมายความวา่ คา่ เฉลยี่ กลุม่ ที่ 1 แตกตา่ งจากคา่ เฉล่ียกลุม่ กลมุ่ ท่ี 2 H : pxy ≠ 0 หมายความว่าตัวแปร X สมั พันธ์กับตวั แปร Y ควำมคลำดเคลือ่ นที่เกิดจำกวธิ ีกำรทำงสถติ ิ เกิดจากการสรปุ ผลการวจิ ัยผิดพลาดเนือ่ งจากวธิ กี ารทางสถติ ิ มี 2 แบบ ดงั น้ี (รตั น์ศริ ิ ทา, 2561) 1) ขอ้ ผดิ พลาดประเภทท่ี 1 (Type I error) : Reject H0 when it is true (ปฏเิ สธ H0 เมือ่ H0 เป็นจรงิ ) 2) ข้อผิดพลาดประเภทที่ 2 (Type II error) : Fail to reject H0 when it is false (ยอมรับ H0 ในขณะที่ H0 ไม่ถูกต้อง) ตัวอย่าง: Type I และ Type II error คณุ ตัดสินใจเขา้ รบั การตรวจหาเช้ือไวรสั โควดิ -19 โดยพจิ ารณาจากอาการไมร่ นุ แรง มีข้อผิดพลาด สองประการท่ีอาจเกิดขน้ึ : ขอ้ ผดิ พลาดประเภทท่ี 1: ผลการทดสอบระบวุ า่ คุณมี Coronavirus (ยอมรับH1) แต่จรงิ ๆ แลว้ คุณไม่มี (ปฏเิ สธ H0 เมือ่ H0 เปน็ จรงิ ) ความผิดพลาดนจี้ ะรุนแรงกว่า เพราะต้องเขา้ รับการรักษาด้วยยาที่อาจมี ผลขา้ งเคียง หรอื ไปกักตัวอยู่กบั คนทตี่ ิดโควดิ อาจติดเชื้อจริง ๆ ขอ้ ผิดพลาดประเภท 2 : ผลการทดสอบระบวุ ่าคุณไม่มี Coronavirus (ยอมรบั H0 เม่อื H0 ผดิ แต่ จรงิ ๆ แล้วคณุ มี ทาให้พลาดการรกั ษา และอาจไปทาใหค้ นอื่นติดเชอื้ หรือทาให้อาการมากข้นึ ในทน่ี ้จี ะกล่าวถงึ เฉพาะการต้ังสมมติฐานทางการวจิ ยั ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้ ซึ่งจะยกตัวอย่างไปพรอ้ มกัน ตงั้ แต่ ช่อื เรื่อง วัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั คาถามการวจิ ัย สมมติฐานกการวิจัย และการออกแบบการวิจยั

57 ตำรำงแสดงควำมเชอ่ื มโยงระหวำ่ ง ชอื่ เรื่อง วัตถปุ ระสงคก์ ำรวิจยั คำถำมกำรวจิ ัย สมมติฐำนกกำรวิจัย และ กำรออกแบบกำรวจิ ัย ช่อื เร่อื ง วตั ถปุ ระสงค์ คำถำมวิจัย สมมติฐำนกำรวิจัย กำรออกแบบวิจัย 1.การศกึ ษาความรเู้ ร่ือง เพ่ือศกึ ษาความรู้เร่ือง ผ้ปู ว่ ยโรคเบาหวาน ไมม่ ี เน่ืองจากไม่ได้ การวิจยั เชงิ โรคในผู้ป่วยเบาหวาน โรคในผูป้ ่วยเบาหวาน มีความรูเ้ รือ่ ง ใชส้ ถิติทดสอบ บรรยายหรอื การ โรคเบาหวานเป็น สารวจ อย่างไร 2.การศกึ ษาความสัมพนั ธ์ เพื่อศึกษา ความเครยี ดมี - ความเครยี ดมี การวิจยั เชงิ หา ระหวา่ งความเครียดกับ ความสมั พันธ์ระหว่าง ความสัมพันธ์กับ ความสัมพันธ์กับ ความสมั พนั ธ์ ความดนั โลหติ สูงในผูป้ ่วย ความเครียดกับความ ความดนั โลหติ ใน ความดนั โลหติ ใน โรคความดนั โลหิตสงู ดันโลหติ สงู ในผู้ป่วย ผ้ปู ว่ ยโรคความดนั ผู้ปว่ ยโรคความดนั โลหติ สงู หรอื ไม่ โลหติ สูง (แบบ 1 โรคความดนั โลหิตสงู อย่างไร (ต้องการ หาง) ทราบวา่ สมั พนั ธ์ ทางบวกหรือทาง - ความเครยี ดมี ลบ) ความสัมพันธ์ ทางบวกกับความ ดันโลหิตในผูป้ ว่ ย โรคความดันโลหติ สูง (แบบ 2 หาง) หรอื (ใชส้ ถติ หิ า ความสมั พนั ธ์ เชน่ สถิติ Pearson Correlation)

58 ช่ือเรอ่ื ง วตั ถุประสงค์ คำถำมวิจยั สมมติฐำนกำรวิจัย กำรออกแบบวิจยั 3. ปัจจัยทานาย เพอื่ ศึกษาปจั จยั มปี ัจจยั คัดสรร ปจั จัยคัดสรร เพศ การวิจัยเชิง พฤติกรรมการป้องกนั โรค ทานายพฤติกรรมการ ใดบา้ งทสี่ ามารถ อาชพี การศึกษา ทานาย โควดิ ของผ้สู งู อายุ ปอ้ งกันโรคโควดิ -19 ทานายพฤตกิ รรม ความรู้ ความเชือ่ ของผูส้ งู อายุ การปอ้ งกนั โรคโค ดา้ นสขุ ภาพ วิด-19 ของผู้สูงอายุ สามารถทานาย พฤติกรรมการ ปอ้ งกนั โรคโควิด- 19 ของผู้สงู อายุ สถติ ใิ ชท้ ดสอบเช่น Multiple regression 4. ผลของการนวดต่อ เพือ่ ศึกษาผลของการ การนวดมีผลต่อ - ผูป้ ว่ ยทไ่ี ดร้ บั การ การวจิ ยั เชงิ อาการเหน่ือยล้าในผปู้ ว่ ย นวดตอ่ อาการเหน่ือย อาการเหน่ือยลา้ ใน นวดจะมอี าการ ทดลองหรือกงึ่ มะเร็งปอด ลา้ ในผู้ปว่ ยมะเร็งปอด ผปู้ ว่ ยมะเร็งปอด เหนอื่ ยลา้ แตกตา่ ง ทดลอง หรอื ไม่ อย่างไร จากผู้ป่วยท่ีทไี่ ม่ได้ รับการนวด (แบบ 2 หาง) - ผู้ป่วยท่ีไดร้ ับการ นวดจะมอี าการ เหนื่อยล้านอ้ ยกว่า ผู้ป่วยทที่ ่ีไม่ได้รับ การนวด (แบบ 1 หาง) สถติ ิทใ่ี ชท้ ดสอบ เช่น t-test

59 บรรณำนุกรม ดรณุ ี รจุ กรกานต.์ (2563). เอกสารประกอบการสอนเร่ืองคาถามวจิ ยั และสมมติฐานการวิจยั . มหาสารคาม: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. รัตน์ศริ ิ ทาโต. (2561). การวจิ ยั ทางการพยาบาลศาสตร์: แนวคิดสู่การประยุกต์ใช.้ (พมิ พค์ ร้งั ที่2). กรงุ เทพฯ: โรง พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . บญุ ใจ ศรสี ถติ นรากูร. (2553). ระเบยี บวธิ กี ารวจิ ัยทางพยาบาลศาสตร์. พิมพ์ครั้งท่ี 3.กรุงเทพฯ: บริษัท ยูแอนด์โอ อนิ เตริ ์มเี ดีย จากัด. Polit, D.F. & Beck, C.T. (2016). Nursing research: Generating and assessing evidence for nursing practice (9thed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins.

หน่วยที่ 7 การออกแบบการวิจัย (Research Design) ผู้ช่วยศาสตราจารย.์ ดร. อภญิ ญา วงศพ์ ริ ยิ โยธา การออกแบบการวจิ ัย (Research Design) เปรยี บเสมือนแบบแปลน (Blue print) สาหรับใช้เปน็ แนวทางในการทาวิจยั เพื่อให้ไดค้ าตอบครอบคลุมปัญหาการวจิ ัย และวตั ถุประสงค์การวจิ ัย ชว่ ยวางแนวทาง ในการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนตา่ ง ๆ ที่จะทาให้ผลการวิจยั คลาดเคล่อื นทาให้ได้ผลการวจิ ัยทถ่ี กู ตอ้ งท่สี ุด การออกแบบการวิจยั ครอบคลุมกลวิธที ัง้ หมดท่ใี ช้ในการศึกษา 7.1 วัตถปุ ระสงค์ของการออกแบบการวจิ ัย 1) เพ่ือให้ได้แบบวจิ ัยท่เี หมาะสมกับปัญหาการวิจัยและวัตถุประสงค์ของการวิจัย 2) เพ่ือให้ได้ผลการวจิ ัยตรงตามข้อเท็จจริง นา่ เชื่อถอื มีความตรงภายใน (internal validity) และ ความตรงภายนอก (external validity) (ทีจ่ ะกลา่ วต่อไป) 7.2 ประเภทของแบบการวจิ ัย มีการแบง่ ได้หลายวธิ ีดงั น้ี 7.2.1 แบ่งตามการจัดกระทา มี 3 ประเภท 1) การวิจัยแบบไม่ทดลอง 2) การวจิ ยั แบบทดลอง 3) การวจิ บั แบบก่งึ ทดลอง 7.2.1.1 การวจิ ยั แบบไม่ทดลอง การวจิ ยั แบบไม่ทดลองมหี ลายรปู แบบดังนี้ (บญุ ใจ ศรีสถิตนรากลู , 2553; รัตน์ศิริ ทาโต, 2561, Burns & Grove, 2014, Polit & Beck, 2016) 1) การวิจยั เชิงสารวจ มขี อบเขตกว้าง ๆ ศึกษาตวั แปรท่ัว ๆ ไป ไม่มกี ารควบคุมตวั แปรที่ ศึกษา เพ่อื ศกึ ษาสภาพการหรือสถานการณ์ เพ่ือปรบั ปรุงใหด้ ขี นึ้ เช่น การศกึ ษาโพลของสถาบนั ต่าง ๆ ตวั อย่าง เช่น การสารวจความตอ้ งการ หรอื ความสนใจในประเดน็ ทเ่ี กิดขึน้ ในสงั คม การสารวจประชามติ 2) แบบบรรยาย (Descriptive research) ค้นหาข้อเท็จจรงิ เกี่ยวกบั สภาพการณ์ ปรากฎการณส์ ัมพันธ์กนั อย่างไร เป็นการศึกษาเพื่อสังเกต อธิบายปรากฏการณ์ทศี่ ึกษา อาจบรรยายถึงความ ความสมั พันธ์ของตัวแปรแต่ไม่อธบิ ายความเปน็ เหตุเป็นผล เป็นการวจิ ัยแบบบรรยายเชิงหาความสัมพนั ธ์ (Descriptive correlation design) ตวั อย่างวจิ ยั เช่น คณุ ภาพชวี ิตในผทู้ ่ตี ิดสรุ า ความซึมเศร้าในผู้ที่เสพยาบ้า พฤติกรรมการดูแลสขุ ภาพในหญงิ ตงั้ ครรภท์ ่ีเป็นเบาหวาน อาการและการจดั การอาการในผู้ปว่ ยมะเรง็ ที่ได้รบั เคมบี าบดั ความร้แู ละพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ปว่ ยโรคความดนั โลหติ สงู เป็นตน้

62 3) การศกึ ษาความสัมพนั ธ์ (Correlation research) มตี วั แปรอย่างน้อย 2 ตวั ตัวแปร อสิ ระและตัวแปรตาม ศึกษาความสัมพนั ธเ์ ป็นคู่ ๆ ผลทไี่ ด้มคี วามสัมพันธ์ทางบวก กับลบ และไม่มี ความสมั พันธ์ ตัวอยา่ งงานวจิ ยั เชน่ - ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความรูเ้ รอ่ื งบุหร่ีกับการปฏิเสธการสบู บบุหรใ่ี นเยาวชน - ปัจจยั ท่มี คี วามสมั พันธก์ ับการเสพสารเสพติดในนักศึกษา - ความสัมพันธ์ระหวา่ งความเช่ือด้านสุขภาพกบั พฤติกรรมการปอ้ งกนั โรคโควดิ -19 ใน ประชาชน 4) การศึกษาความสัมพนั ธ์เชงิ ทานาย (Predictive correlation research) เปน็ การศกึ ษา เพ่อื หาว่าตวั แปรอะไรบ้างทท่ี านายหรือพยากรณ์การเปลย่ี นแปลงของตวั แปรอีกตวั หนึ่ง ตัวแปรทมี่ าทานาย จะตอ้ งมกี ารอ้างองิ มาจากทฤษฎหี รืองานวิจยั ทผ่ี า่ นมา การวิจัยเชงิ ทานาย ตวั แปรตน้ จะมากกวา่ 1 ตวั (X1 X2 X3…….) ตัวแปรตามมี 1 ตัว (Y) วเิ คราะห์พร้อมกัน ตวั อย่างงานวจิ ยั - ปัจจยั ทานายพฤตกิ รรมการดื่มเครื่องด่มื แอลกอฮอลใ์ นนักเรียนวยั รนุ่ - ปจั จัยที่มอี ิทธิพลต่อการมีสว่ นร่วมในการดแู ลหญงิ ตั้งครรภ์ของสามีวยั รนุ่ - ปจั จยั ทานายพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองในกลมุ่ เสยี่ ง - ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การปรบั ตวั ในผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า 5) การศกึ ษาความสัมพนั ธ์แบบย้อนหลัง (Correlation study with retrospective design) บางทเี รียก Case control study เปน็ การศกึ ษาปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึน้ ในปัจจุบันว่าสัมพนั ธก์ บั อดตี อย่างไร เปน็ การศึกษาจากผลไปหาสาเหตุ เช่น การศึกษาปัจจัยทีว่ ัยรุ่นติดบหุ ร่ี การศกึ ษาจงึ ศกึ ษาจากประวัติ ยอ้ นหลงั 6) การศึกษาความสัมพนั ธแ์ บบไปขา้ งหนา้ (Correlation study with prospective design) บางทเี รียก Cohort study เปน็ การศึกษาเพื่อหาติดตามผลจากเหตุการณป์ ัจจุบันไปข้างหน้า เช่น ศกึ ษาวา่ ผทู้ ด่ี ่ืมสุราจะเปน็ โรคตบั แข็งหรือไม่ ศกึ ษาผลทเี่ กิดจากการเสพยาบ้า เป็นต้น การแบ่งการออกแบบวิจัยของแบบไม่ทดลองตามระยะเวลาของการศึกษา 1) การศึกษาแบบตัดขวาง (A-cross-sectional study) ศึกษาสภาพการหรอื ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งตวั แปร ณ.จดุ เวลาใดเวลาหนึง่ เกบ็ ขอ้ มลู จากกล่มุ ตัวอย่างคร้ังเดยี ว 2) การศกึ ษาแบบระยะยาว (A longitudinal study) ตดิ ตามตวั อย่างคนเดียวกนั ไป เป็น การศกึ ษาการเปลีย่ นแปลงในแต่ละบุคคล คลา้ ยกบั การศึกษาไปข้างหน้า 7.2.1.2 การวจิ ัยแบบทดลอง 7.2.1.2.1 ลกั ษณะสาคัญของการวิจยั เชิงทดลอง ประกอบดว้ ยลักษณะท่ีสาคญั 3 ประการ คือ (บุญใจ ศรสี ถติ นรากูล, 2553; Burns & Groves, 2015) 1) มีการจัดกระทาสง่ิ ทดลอง (Manipulation/intervention) เช่น การให้ยา การ ใหฝ้ ึกการผอ่ นคลาย การให้โปรแกรมการฟื้นฟสู ภาพ การสอน การใหโ้ ปรแกรมตา่ ง ๆ

63 2) มกี ารควบคุม (control) โดย - ควบคุมตวั แปรแทรกซ้อนทจี่ ะมีผลต่อการทดลอง เช่น สภาพแวดล้อม เพศ เช้ือชาติ อารมณ์ ปัญหาด้านรา่ งกายและจติ ใจ เป็นตน้ - ควบคุมสง่ิ ท่ีทดลองใหม้ ีการจัดกระทาท่เี หมือนกนั - การมกี ลุม่ ควบคุม ซ่ึงเปน็ กลมุ่ ท่ีไมไ่ ดก้ ารจัดกระทาใด ๆ จากผู้วิจยั เพ่ือ เปรียบเทยี บผลท่ีได้ 3) มกี ารสุ่ม เปน็ การส่มุ ตวั อยา่ งจากประชากรและสุ่มเขา้ สู่กลุม่ ทดลอง 7.2.1.2.2 ประเภทของงานวิจยั แบบทดลอง ในที่นี้จะกลา่ วไว้ 2 แบบ ทใ่ี ช้ง่ายและไม่ซบั ซ้อนในการปฏิบตั ิการพยาบาลใน คลนิ ิก 1) การวจิ ยั แบบวัดกอ่ นและวัดหลังการทดลอง (Pretest-posttest control group design) มรี ปู แบบการวิจยั ดงั นี้ กลุ่มทดลอง R O1 x O2 กลุ่มควบคมุ R O1 O2 หมายเหตุ X คอื การจัดกระทาใหห้ รอื สง่ิ ที่ทาให้ R คอื การสุม่ ตัวอยา่ ง O 1 คอื การวัดตวั แปรทส่ี นใจกอ่ นการทดลอง O2 คอื การวัดตัวแปรทส่ี นใจหลังการทดลอง - ผลของการฝกึ การผ่อนคลายต่อการลดความวิตกกังวลและความเจบ็ ปวดในผู้ปว่ ยหลงั ผ่าตดั หัวใจแบบเปิด (อภิญญา วงศ์พริ ยิ โยธา, 2535) - ผลของการพยาบาลดว้ ยระบบสนับสนนุ และใหค้ วามรูต้ ่อความรู้ พฤติกรรมการดแู ลตนเอง และสขุ ภาพในผู้ปว่ ยหวั ใจล้มเหลวเลอื ดคั่ง (อภิญญา วงศ์พิริยโยธา และคณะ, 2548) 2) การวิจยั แบบวดั หลังการทดลอง (Posttest-only design) เป็นการวจิ ยั ท่ีมีการ การจัดกระทา มีการสุ่ม และมีกลุม่ ควบคุม แต่วดั ตัวแปรทีส่ นในเฉพาะหลงั การทดลอง กลุ่มทดลอง R x O1 กลมุ่ ควบคุม R O1 หมายเหตุ X คอื การจดั กระทาใหห้ รือสิ่งทีท่ าให้ R คือการสมุ่ ตัวอย่าง O 1 คือการวดั ตวั แปรที่สนใจหลงั การทดลอง ตัวอยา่ งเชิงทดลอง: ผลของโปรแกรมการจาหน่ายต่อการกลับมารกั ษาซ้าในผปู้ ว่ ยหัวใจที่มี ภาวะหวั ใจลม้ เหลว

64 - ผลของการฝึกการผ่อนคลายตอ่ การลดความวติ กกงั วลและความเจบ็ ปวดในผปู้ ่วยหลังผ่าตดั หัวใจแบบเปดิ (อภญิ ญา วงศ์พิรยิ โยธา, 2535) - ผลของการพยาบาลด้วยระบบสนับสนุนและใหค้ วามรตู้ ่อความรู้ พฤติกรรมการดูแลตนเอง และสขุ ภาพในผปู้ ว่ ยหวั ใจลม้ เหลวเลอื ดคง่ั (อภญิ ญา วงศ์พิรยิ โยธา และคณะ, 2548) 7.2.1.3 การวิจัยแบบก่ึงทดลอง (Quasi-experimental research design) เปน็ การวิจัยเหมือน การวจิ ยั แบบทดลองโดยขาดลักษณะ 1 ข้อ เชน่ ไม่มีการสุ่ม หรือไม่มีกล่มุ ควบคมุ เป็นต้น - ผลของโปรแกรมการให้คาแนะนาแบบกระชบั ต่อการเลิกบุหร่ขี องผปู้ ่วย แผนกอุบัติเหตุ ฉกุ เฉนิ - ผลของโปรแกรมการจดั การตนเองต่อสมรรถภาพปอดของผปู้ ่วยสงู อายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง - ผลของโปรแกรมการบาบดั ทางความคดิ และพฤติกรรมที่ใช้การสนับสนุนทางอนิ เทอรเ์ น็ต ตอ่ ภาวะซมึ เศรา้ ในผูเ้ สพตดิ สุรา - ผลของโปรแกรมการคิดเชงิ บวกและการผ่อนคลายต่อการลดความเครยี ดในหญิงตง้ั ครรภ์ วัยรนุ่ รปู แบบการวิจยั ที่พบบ่อยและใช้งา่ ยในคลินกิ มดี ังนี้ (บุญใจ ศรีสถิตนรากูร, 2553; Burns & Grove, 2015) 1) แบบวจิ ยั กลุ่มเดยี วและวดั หลังการทดลอง (The one group posttest only design) กลมุ่ ทดลอง x O1 2) แบบการวจิ ยั สองกลุม่ ท่ีไม่เท่าเทียมกันและวดั หลงั การทดลอง (The posttest only design with nonequivalent group) กลุ่มทดลอง x O2 กลุ่มควบคมุ O2 3) แบบแผนการวิจยั กลุ่มเดียววัดกอ่ นและหลงั การทดลอง (The one group pretest posttest design) กลมุ่ ทดลอง O1 x O2 4) แบบการวจิ ยั สองกล่มุ ท่ีไมเ่ ท่าเทยี มกัน วัดกอ่ นและหลังการทดลอง และวดั หลังการ ทดลอง (Nonequivalent control group pretest posttest design) กล่มุ ทดลอง O1 x O2 กลมุ่ ควบคมุ O1 O2

65 7.2.1.2.3 หลกั การออกแบบการวจิ ัยแบบทดลอง การออกแบบการวจิ ยั โดยยึดหลกั “MAX-MIN-CON” ดงั น้ี (รตั น์ศริ ิ ทาโต, 2561, Burns & Groves, 2015, Polit & Beck, 2016) 1) Maximized systematic variance เปน็ การจดั กระทาเพ่ือใหก้ ลุ่มทดลอง มคี วามแตกตา่ งของสงิ่ ทีต่ ้องการเปรียบเทียบ (ตัวแปรตาม) กับกลุ่มควบคุมให้มากท่สี ดุ น่ันคอื ค่าคะแนนของ ตวั แปรตามจากการทดลอง ดังนั้น โปรแกรมทดลองหรือสิ่งทดลองต้องมผี ลตอ่ ตวั แปรตามมาก ๆ มคี วาม เขม้ แข็งในการจัดกระทา มีการทบทวนวรรณกรรมอย่างดี และมกี ารควบคมุ ที่ดี ตัวอย่างเชน่ การศึกษาเรื่อง ผลของการฝึกการผ่อนคลายต่อการลดความเจ็บปวด ผูว้ ิจยั ต้องทาให้ ผูป้ ่วยเกดิ การผอ่ นคลายจากการฝกึ จรงิ ๆ เช่น การจัดทา่ บรรยากาศ การลดสิง่ รบกวน เวลาในการฝกึ เปน็ ตน้ 2) Minimized error variance หมายถงึ การพยายามลดความแปรปรวน ภายในกลุ่มทดลองหรือค่าความแปรปรวนอน่ื ๆ ที่ไม่สามารถควบคมุ ไดใ้ หม้ ีคา่ ต่าสุด วธิ กี ารลด error variance คือ - พยายามใหก้ ลุ่มตวั อย่างท่ีใช้ศึกษาในกลุม่ ทดลองและกลุ่มควบคมุ มีความ แตกต่างกันน้อยทส่ี ดุ ใช้การสุ่ม - พยายามลดความคลาดเคล่ือนของการวดั เคร่ืองมือต้องมีความตรงตาม เนือ้ หา ชัดเจน ผู้วัดใชห้ ลกั การเดียวกัน มีการฝึกใช้เคร่ืองมือให้ชานาญ - พยายามใหเ้ ครื่องมือมีความเท่ยี ง ( Reliability ) มากท่สี ุด 3) Control of extraneous variable หมายถึง การควบคุมตวั แปรเกินของการ วิจยั คือ พยายามควบคมุ อทิ ธิพลของตัวแปรท่ีอยนู่ อกเหนือจากจุดม่งุ หมายของการวจิ ัย ซ่งึ อาจมีอทิ ธิพลต่อ การทดลองหรอื ผลการศกึ ษา มกี ารควบคุมโดย การสุม่ การจบั คู่ และการใช้สถิตคิ วบคุม 7.3 หลักการออกแบบแผนการวจิ ยั (Principle of Research Designs) การทาวิจัยผู้วิจัยควรคานงึ หลักการท่จี ะทาให้งานวิจยั นา่ เชอื่ ถืออยู่ 2 หลักการ ดังนี้ 1) ความตรง (Validity) 2) การควบคุมตวั แปรแทรกซ้อน (Extraneous variables) 7.3.1 ความตรง (Validity) ความตรงของการวิจัยวดั ไดจ้ ากความเป็นจริงหรือความถกู ต้องตลอด กระบวนการดาเนนิ การวิจยั ความตรงของผลงานวจิ ัยมี 4 ประเภทคือ

66 1) ความตรงจากวิธกี ารทางสถิติ (Statistical conclusion validity) 2) ความตรงภายใน (Internal Validity) 3) ความตรงภายนอก (External Validity) 4) ความตรงตามโครงสร้าง 7.3.1.1 ความตรงจากวธิ ีการทางสถติ ิ การเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลตอ้ งมีความ ถูกต้องตามหลักการของสถิติ หากเลอื กสถติ ิในการวเิ คราะห์ข้อมลู ไมถ่ ูกต้อง ทาใหผ้ ลงานวจิ ยั ไม่นา่ เชอื่ ถือ นาไปสกู่ ารสรุปผลที่คาดเคลอ่ื นได้ ความคลาดเคลื่อนท่ีเกดิ จากวิธกี ารทางสถิติ เกิดจากการสรปุ ผลการวจิ ยั ผิดพลาดเนอื่ งจาก วธิ กี ารทางสถติ ิ 1) ข้อผดิ พลาดประเภทที่ 1 (Type I error) : Reject H0 when it is true (ปฏิเสธ H0 เมือ่ H0 เป็นจริง) 2) ขอ้ ผิดพลาดประเภทท่ี 2 (Type II error) : Fail to reject H0 when it is false (ยอมรบั H0 ในขณะที่ H0 ไม่ถูกต้อง) ตวั อยา่ ง: Type I และ Type II error คณุ ตดั สนิ ใจเขา้ รับการตรวจหาเช้ือไวรสั โควิด-19 โดยพิจารณาจากอาการไมร่ นุ แรง มี ขอ้ ผดิ พลาดสองประการทอ่ี าจเกดิ ข้ึน: ข้อผดิ พลาดประเภทท่ี 1: ผลการทดสอบระบวุ ่าคุณมี Coronavirus (ยอมรับH1) แตจ่ ริง ๆ แล้วคุณไม่มี (ปฏเิ สธ H0 เม่ือ H0 เป็นจรงิ ) ความผดิ พลาดนี้จะรุนแรงกว่า เพราะต้องเขา้ รับการรกั ษาดว้ ยยาที่ อาจมผี ลขา้ งเคยี ง หรอื ไปกักตัวอย่กู ับคนท่ตี ดิ โควิด อาจตดิ เช้ือจริง ๆ ข้อผิดพลาดประเภท 2 : ผลการทดสอบระบุว่าคุณไม่มี Coronavirus (ยอมรบั H0 เมอ่ื H0 ผิด แต่จริง ๆ แล้วคณุ มี ทาให้พลาดการรักษา และอาจไปทาใหค้ นอ่ืนติดเชื้อ หรือทาใหอ้ าการมากขึน้ ปจั จัยท่ีมีผลต่อความตรงของวิธีการทางสถติ ิ 1) การใชส้ ถติ ทิ ม่ี ีอานาจทดสอบตา่ - สถติ ทิ มี่ ีอานาจในการทดสอบสูง ไดแ้ กส่ ถติ ิพารามิตริกซ์ ที่อา้ งถึงประชากรได้ เช่น t- test, Pearson, Anova - สถติ ทิ ่มี อี านาจในการทดสอบตา่ ได้แก่สถิติทไ่ี ม่ใชพ่ ารามิตรกิ ซ์ ท่ีใช้อ้างถงึ ประชากรได้ เชน่ Wilcoxon, Mann-Whitney U, Spearman rank

67 2) การใชส้ ถิติไมต่ รงตามเงื่อนไขการใชส้ ถติ ิ 3) วเิ คราะห์ข้อมูลหลายรอบโดยใชส้ ถิติท่ีวิเคราะหห์ ลาย ๆ ครงั้ แทนทจ่ี ะใชส้ ถิติท่ีวเิ คราะห์ รอบเดยี วไดผ้ ลที่ครอบคลุม ผ้วู จิ ยั จะตอ้ งมคี วามรเู้ รือ่ งสถติ ิเปน็ อย่างดี งานวิจัยหนงึ่ เปรยี บเทยี บการสอน 3 วิธี วา่ วธิ ีใดทาใหน้ กั เรียนมีความรูม้ ากทีส่ ดุ วธิ ที ี่ 1 ใช้การบรรยาย วิธีที่ 2 ใชก้ ารคน้ คว้าด้วยตนเอง วิธที ่ี 3 ใชก้ ารทางานกลมุ่ สถติ ทิ ีด่ ีทสี่ ุดของการทดสอบคือ ANOVA จะวิเคราะหข์ ้อมูลทีเดียวจะทราบผลระหว่าง วิธีการสอนแต่ละคู่ โดยไม่ต้องทดสอบหลายครั้ง แต่ถ้าหาใช้ t-test ต้องทดสอบทีละคู่ ต้องทาถงึ 3 ทาให้ เกิดข้อผิดพลาดได้มากกวา่ วิธีที่ 1 VS 2, วธิ ที ี่ 1 VS 3, วธิ ที ่ี 2 VS 3 7.3.1.2 ความตรงภายใน (Internal Validity) ความตรงภายในหมายถงึ ผลการวจิ ัยท่คี ้นพบมา จากตัวแปรอสิ ระที่เราสนใจศึกษาเท่าน้นั โดยไมม่ ผี ลของตัวแปรแทรกซ้อนใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง 7.3.1.2.2 ปัจจยั ที่มผี ลต่อความตรงภายใน 1) เหตกุ ารณ์พ้อง (History) คาว่า “เหตุการณ์พ้อง” ความหมายท่ใี ช้ในการวจิ ัย หมายถงึ เหตกุ ารณ์ทเ่ี กิดขน้ึ ในชว่ งระหวา่ งดาเนินการทดลอง ซง่ึ เหตกุ ารณท์ ่เี กดิ ข้นึ น้ี เปน็ เหตกุ ารณท์ ผ่ี ู้วจิ ยั ไม่ไดจ้ ดั กระทาหรือไม่ไดจ้ งใจให้เกิดขึน้ ในขณะดาเนินการทดลอง แตเ่ ป็นเหตุการณ์ท่เี กิดขน้ึ โดยผู้วิจยั ไม่ได้ คาดคิดและเป็นเหตุการณ์ท่ีมีผลตอ่ คา่ ตวั แปรตามทีศ่ ึกษา ผลการวจิ ยั ท่ีค้นพบ จงึ เป็นผลการวจิ ัยท่ีขาดความ ตรงภาย ตัวอย่างงานวิจัยเรอื่ ง ผลของการให้ความร้โู รคฉ่ีหนตู ่อพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการ ป่วยดว้ ยโรคฉี่หนู ชว่ งที่ทาการทดลอง มีการระบาดของโรคฉ่หี นู เจ้าหน้าทส่ี าธารณสขุ ให้ความรู้แก่กลมุ่ ตัวอย่างเราด้วย 2) วุฒิภาวะ (Maturation) คาว่า “วุฒิภาวะ” (Maturation) หมายถึง ความ พร้อมทางดา้ นร่างกายและดา้ นจิตใจ ซงึ่ ครอบคลุมอายุ ประสบการณ์ ความฉลาด ความแขง็ แรง เป็นตน้ โดยธรรมชาตวิ ฒุ ิภาวะของบุคคลย่อมมีการเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลาและตามกลไกทางชวี วิทยาและ สรรี วิทยา หากวุฒภิ าวะของกลมุ่ ตวั อย่างที่เปลีย่ นแปลงไป จะมผี ลทาใหค้ า่ ตัวแปรตามเปล่ยี นแปลงตามไป ด้วย 3) การทดสอบ (Testing) การใหก้ ลมุ่ ตวั อย่างตอบแบบสอบถามชดุ เดิมมากกว่า 1 ครง้ั จะทาให้กลุ่มตัวอย่างจาคาถามได้ มคี วามคนุ้ เคยกบั คาถาม ในบางกรณี เมอื่ ได้อ่านคาถามหลาย ๆ คร้งั อาจทาใหก้ ลมุ่ ตวั อย่างต่ืนตวั หรอื ตระหนกั ในเรือ่ งนนั้ ๆ จึงใสใ่ จและศึกษาหาความรเู้ พ่มิ เตมิ หากเปน็ แบบวคั วามรจู้ ะทาให้กลุ่มตัวอยา่ งตอบคาถามได้ถูกตอ้ งเพ่ิมข้ึน เป็นตน้

68 ตวั อยา่ ง งานวจิ ัยเรือ่ ง ผลของโปรแกรมสง่ เสริมสุขภาพโรคมะเรง็ ต่อความร้แู ละพฤติกรรมการ ปอ้ งกนั โรคมะเรง็ หากถามสองคร้งั และเวลาใกล้กนั ทาใหผ้ ู้ป่วยจาคาตอบเดิมได้ ควรหา่ งกันไม่น้อยกวา่ 2 สัปดาห์ 4) เครื่องมือวิจัย (Instrumentation) เครอื่ งมือวิจัยจาเปน็ ต้องมีความตรง (Vadility) ความเที่ยง (Reliability) ความแมน่ ยา (Accurate) และความเปน็ ปรนยั (Objectivity) หากเร่ืองมือวจิ ยั ขาดคุณลกั ษณะตา่ ง ๆ ดงั กล่าว เมอ่ื นาเร่ืองมือมาใชร้ วบรวมข้อมลู จะ ทาใหค้ า่ ตัวแปรทว่ี ัดได้ไม่ตรงตามความเปน็ จริง และหากนาขอ้ มลู ท่ไี ด้จากการวดั ก่อนและหลังการทดลองมา เปรียบเทยี บกัน คา่ ทีเ่ พ่ิมขึ้นหรือลดลงนนั้ ไม่ใช่เปน็ ผลจากการทดลองแตเ่ ป็นผลจากเรื่องมือวัดที่ไมม่ ี ประสทิ ธภิ าพ 5) การถดถอยทางสถติ ิ (Statistic regression) การถดถอยทางสถิติพบได้ในกรณีที่ ข้อมูลซ่ึงนามาวิเคราะห์ เป็นข้อมลู ท่ีรวบรวมจากกลุม่ ตัวอย่างทม่ี ีคุณลกั ษณะของตัวแปรที่ต้องการศึกษาสงู มากหรอื ตา่ มากเกินไป เช่น วดั ความรคู้ รง้ั ท่ี 1 นกั เรยี นทีม่ ีคะแนนต่ามากในการวัดครัง้ น้ีมีโอกาสท่จี ะมี คะแนนเพ่ิมขน้ึ ในการวดั คร้ังท่ี 2 เพราะคะแนนจะไม่ตา่ กว่าท่ไี ดแ้ ล้ว ในทางกลบั กันวัดความร้คู รั้งที่ 1 นกั เรยี นทม่ี ีคะแนนสูงมากในการวัดคร้งั น้ีมโี อกาสท่ีจะมีคะแนนลงลงในการวดั ครงั้ ท่ี 2 เพราะคะแนนจะไม่สูง ไปกว่านแี้ ล้วผลท่ีไดจ้ ากการศึกษาจงึ ไม่ได้เกิดจากการทดลองจริง ๆ 6) การสุม่ ตวั อย่างเข้ากลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคุม (Selection) หากตวั อย่างใน กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ไม่ไดใ้ ช้วิธสี มุ่ แตใ่ ช้วิธเี ลอื กอย่างลาเอยี งของผวู้ จิ ัย ทาให้ตัวอยา่ งในกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมมคี วามแตกต่างกันในคุณลักษณะตา่ ง ๆ ท่ีมีผลตอ่ คา่ ตวั แปรตามทีส่ นใจศึกษา ทาให้ ผลการวิจัยท่ไี ด้ขาดความตรงภายใน หากผ้วู ิจยั ไม่ไดส้ ุ่ม อาจไดก้ ลุม่ ทดลองทม่ี ีความสนใจในสขุ ภาพ มี การศึกษาดี มีรายได้สงู มีความรนุ แรงของโรคน้อย จึงทาให้มีคณุ ภาพชวี ิตดี กวา่ กลุ่มควบคมุ 7) การสญู หายของกลมุ่ ตัวอยา่ ง (Mortality) การสญู หายของกล่มุ ตัวอยา่ ง พบได้ เสมอในงานวจิ ยั ท่ีกาหนดชว่ งดาเนนิ การทดลองยาวนาน การสูญหายของกลุ่มตัวอย่างมีหลายลกั ษณะ เช่น ตาย ยา้ ยถนิ่ ทอ่ี ยู่ เดนิ ทางไปต่างประเทศเพอ่ื ศกึ ษาตอ่ หรือฝึกอบรมระยะยาว ขอถอนตวั ออกจากการเป็น กลมุ่ ตัวอยา่ ง เป็นตน้ หากกล่มุ ตัวอยา่ งทส่ี ญู หายไปนนั้ เปน็ กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีมีคณุ ลักษณะซึง่ ชว่ ยเพ่ิมประสทิ ธภิ าพ ของสิง่ ทดลอง ดงั น้ัน ผลการทดลองอาจไม่ดเี ท่าท่ีควร อัตราท่ผี ้ปู ว่ ยหายไปจากการทดลองเรียกวา่ Attrition rate หนว่ ยเปน็ % เช่น งานวจิ ัยเรือ่ งหนึ่ง มผี ้สู ญู หายจากการวิจัย 10 คน จากจานวนเดิม 100 คน Attrition rate = 10% ดงั นั้นผวู้ จิ ัยควรหาวธิ กี ารป้องกันการสูญหายของกล่มุ ตวั อย่าง โดยพยายามติดตาม หรือมสี ิ่งจูงในให้อยากรว่ มวิจัย เชน่ ค่าเดนิ ทาง คา่ อาหาร เป็นตน้ และมีการคานวณกลุ่มตวั อยา่ งเพ่มิ โดย บวก Attrition rate จากตัวอยา่ งทคี่ านวณได้

69 8) อิทธพิ ลรว่ มระหวา่ งปัจจัยอ่นื ๆ กับการเลือกตัวอย่าง (Interaction with selection) ตวั อยา่ ง : อิทธพิ ลร่วมระหว่างเหตุการณ์พ้องหรือสภาพการณ์กับการเลือกตวั อย่างในลกั ษณะ ลาเอยี ง อิทธพิ ลร่วมระหวา่ งวุฒภิ าวะกับการเลือกตวั อย่างในลกั ษณะลาเอียง อทิ ธิพลร่วมระหว่างเคร่ืองมือ วิจัยกบั การเลือกตัวอยา่ งในลักษณะลาเอยี ง ตัวอย่าง “ผลของการเรยี นการสอนโดยใช้การวจิ ยั เป็นฐานต่อความสามารถในการคิดอยา่ งมี วจิ ารณญาณของนักศึกษาพยาบาล” ผวู้ จิ ยั เลือกตัวอยา่ งแบบไม่ไดส้ มุ่ สอนเวลาตา่ งกนั เกบ็ ขอ้ มลู นาน เกินไป 9) การแพร่ของส่ิงทดลอง (Diffusion of treatment/ contamination) การแพร่ ของสง่ิ ทดลอง หมายถงึ สงิ่ ทดลองที่จดั กระทาให้กับตวั อย่างในกลมุ่ ทดลองได้แพรไ่ ปยังตัวอยา่ งในกลุ่มควบคุม ทาใหต้ ัวอย่างในกลมุ่ ทดลองและตวั อย่างในกลุ่มควบคุมได้รับส่ิงทดลองที่เหมอื นกัน 10) การตอบสนองของกลุ่มตัวอยา่ งในกลุ่มควบคุม การตอบสนองของกลมุ่ ตวั อยา่ ง ในกลมุ่ ควบคุมซึง่ ไม่ไดร้ ับสงิ่ ทดลอง กลมุ่ ควบคมุ มีความรูส้ ึกว่าตนไดร้ ับการปฏบิ ัติที่ไมเ่ ท่าเทียมกันกบั ตัวอย่าง ในกลุ่มทดลอง จงึ ไม่พอใจและพยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพอื่ ใหส้ มมติฐานทผี่ วู้ จิ ยั ทดสอบไม่มีนัยสาคญั 11) การตอบสนองของกลมุ่ ตัวอยา่ งในกลุ่มทดลอง การตอบสนองของกลมุ่ ตัวอย่าง ในกลมุ่ ทดลองท่ีไม่ตรงตามพฤติกรรมท่ีแทจ้ ริงของกลมุ่ ตวั อย่าง เช่น รวู้ า่ ผวู้ ิจัยต้องการให้เกดิ อะไร จึงพยายาม ทาใหเ้ กดิ ส่งิ นั้น 7.3.1.3 ความตรงภายนอก (External Validity) หลักการออกแบบการวิจยั ท่ดี ีต้องคานงึ ถึง ความตรงภายนอก ดว้ ย ความตรงภายนอก หมายถึง ผลการวิจยั ทคี่ น้ พบสามารถอ้างอิงไปยังประชากรทตี่ รงกับ คุณลกั ษณะกลุ่มตัวอย่างท่ีศึกษาผลการวจิ ัยจะมีความตรงภายนอก กต็ ่อเมื่อกลมุ่ ตวั อยา่ งที่ศึกษาเป็นตวั แทน ทดี่ ีของประชากรน่นั คือการสุ่ม พบในกรณที ีผ่ ู้วจิ ยั มคี วามลาเอยี งในการเลอื กตัวอย่าง โดยได้เลอื กตวั อยา่ งท่ผี ู้วจิ ยั คิดว่าน่าจะ ช่วยเพิม่ ประสทิ ธภิ าพของสงิ่ ทดลอง ทาใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งในกลุม่ ทดลอง ไมเ่ ปน็ ตัวแทนท่ีดีของประชากร และ เปน็ กลุม่ ตัวอย่างท่มี ีคุณลกั ษณะแตกตา่ งจากคุณลักษณะของประชากร ดงั นน้ั ผลการวิจยั ท่ีคน้ พบจึงขาด ความตรงภายนอก ในกรณที กี่ ลุม่ ตัวอยา่ งรตู้ ัววา่ ว่าตนเองถูกสุ่มเปน็ กลมุ่ ตวั อย่าง จึงตอบสนองต่อส่งิ ทดลองในลกั ษณะ ท่ีไม่ตรงตามความเปน็ จริง เชน่ แสดงพฤติกรรมหรอื แสดงปฏกิ ิรยิ าทไี่ ม่ใช่เปน็ ไปตามธรรมชาติ หรอื ท่ีเรียกว่า Hawthorne Effect (กลุม่ ตัวอยา่ งเอาใจผู้วิจยั ตอ้ งการให้ผลการวิจัยดขี น้ึ จงึ ตอบในทางที่ดี) ผลการวิจัยที่ พบจงึ ขาดความตรงภายนอก

70 7.3.1.4 ความตรงตามโครงสรา้ ง (Construction validity) ความตรงตามโครงสรา้ งจะเกี่ยวข้อง กับเคร่ืองมือที่จะวัดมากทส่ี ุด ดงั นัน้ เครื่องมือที่สร้างขึน้ มาจะตอ้ งมเี นื้อหาครบถว้ นตามทฤษฎีทกี่ ล่าวไว้ 7.3.2 การควบคมุ ตัวแปรแทรกซ้อน 7.3.2.1 วธิ กี ารควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่เปน็ ปจั จยั ภายนอก ตัวแปรแทรกซ้อนท่ีเปน็ ปจั จยั ภายนอกประกอบดว้ ยปัจจัยหลัก ๆ 2 ปัจจยั ไดแ้ ก่ ปัจจัย ด้านสภาพแวดลอ้ มและปจั จัยดา้ นเวลา ซงึ่ ปจั จัยทั้ง 2 ปจั จยั เป็นตัวแปรแทรกซ้อนท่ีพบบ่อยในงานวจิ ัยทุก สาขา สภาพแวดลอ้ มรอบ ๆ ตัวบุคคล นับเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลตอ่ อารมณแ์ ละพฤติกรรมของ บคุ คล ดงั นน้ั ในการออกแบบแผนการวิจยั ผูว้ ิจยั ตอ้ งคานึงถงึ การควบคมุ ปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ มทีม่ ผี ล หรอื อทิ ธิพลตอ่ อารมณแ์ ละพฤติกรรมของกลมุ่ ตัวอย่าง เช่น เสียง แสง อุณหภูมิ ส่ิงดงึ ดูดความสนใจต่าง ๆ ปจั จัยดา้ นเวลาเปน็ อกี ปจั จยั หน่งึ ทม่ี อี ิทธิพลต่ออารมณ์และพฤตกิ รรมของบคุ คล ดังน้นั ใน การรวบรวมขอ้ มูลจากกลุม่ ตัวอย่าง ผวู้ ิจยั ควรคานงึ ถงึ ตวั แปรแทรกซ้อนด้านเวลาด้วยโดยเฉพาะอยา่ งย่ิง หากปญั หาการวจิ ัยเปน็ เรื่องท่ีเก่ียวกับสุขภาพร่างกายและความเหนื่อยลา้ การทดลองหรือสอบถามผูป้ ่วย ชว่ งเช้า ชว่ งบ่าย และช่วงเย็น ย่อมมีผลต่อคา่ ตวั แปรที่ศึกษา ดงั น้ัน การรวบรวมข้อมูลบางตัวแปร ผวู้ จิ ัย ควรต้องพยายามรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างในชว่ งเวลาเดียวกนั และในขณะเดียวกันก็ควรต้องคานึงถึง ความสะดวกและความพร้อมของกลมุ่ ตัวอย่างในการใหข้ ้อมลู ด้วย 7.3.1.2 วธิ คี วบคุมตัวแปรแทรกซอ้ นทเี่ ปน็ ปจั จยั ภายในของกลุ่มตัวอยา่ ง หากตอ้ งการศึกษา ความเครยี ด ความวิตกกงั วล- ควรควบคมุ เร่อื ง เพศ วุฒิภาวะทางอารมณ์ สตปิ ญั ญา เนือ่ งจากตวั แปร เหล่าน้ีเปน็ ตัวแปรแทรกซ้อนที่มีผลตอ่ ความเครยี ดและความวติ กกงั วล นกั วิจัยมีวิธีการควบคุม เชน่ ส่มุ เลอื ก จากความคลา้ ยคลงึ กัน (เชน่ เพศ ความรุนแรงของโรค รระดับความเครยี ด) การจบั คู่ (Matching) (เช่นจับคู่ อายุ เพศ การศึกษา) การใชส้ ถิติการวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนรว่ ม

71 เอกสารอา้ งอิง บญุ ใจ ศรีสถติ นรากูร. (2553). ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั ทางพยาบาลศาสตร์. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 3.กรุงเทพฯ: บริษัท ยูแอนด์โอ อินเตริ ์มเี ดีย จากัด. รัตน์ศริ ิ ทาโต. (2561).การวิจัยทางการพยาบาลศาสตร์: แนวคิดสู่การประยุกต์ใช.้ (พมิ พค์ ร้งั ท่ี2). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั Grove, S. K., Gray, J. R., & Burn, N. (2015). Understanding Nursing Research - E-Book. St. Louis: Elsevier. Polit, D.F. & Beck, C.T. (2016). Nursing research: Generating and assessing evidence for nursing practice (9thed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins.

หนว่ ยท่ี 8 เครอื่ งมือวจิ ัยและวิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชูชาติ วงศอ์ นุชิต รองศาสตราจารย์ ดร.ดรณุ ี รจุ กรกานต์ ผลการเรยี นรู้หน่วยวิชา เมอ่ื เรียนจบหนว่ ยน้แี ล้วนสิ ิตสามารถ 2.5.1.1 อธบิ ายหลักการวัด ความคลาดเคลื่อนจากการวดั และประเภทของข้อมลู วจิ ัย 2.5.1.2 อธิบายประเภทของเคร่ืองมือและเทคนคิ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลในการวิจัย 3.3.1.1 วเิ คราะห์ลกั ษณะของเคร่ืองมือทีด่ ีและการตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือวิจยั 3.1.1.2 ใช้ความรใู้ นหลกั การสร้างและพัฒนาเครอ่ื งมือในการวจิ ัยมาพฒั นาเคร่ืองมอื การวจิ ัย หวั ขอ้ เร่อื งท่สี อน การวดั ความคลาดเคล่อื นจากการวัด และประเภทของขอ้ มูลวจิ ัย ประเภทของเคร่ืองมือและเทคนิคการเกบ็ รวบรวมข้อมูลในการวจิ ยั ลักษณะของเครื่องมือที่ดแี ละการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื วจิ ยั หลกั การสร้างและพัฒนาเครือ่ งมอื ในการวจิ ยั กิจกรรมการเรียนการสอน บรรยาย อภิปราย ซกั ถามพร้อมยกตวั อย่างประกอบ สือ่ สาหรับการสอน เอกสารประกอบการสอน การนาเสนอด้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ การประเมินผล 1. การทาแบบฝึกหัด 2. การสอบข้อเขียน เคร่อื งมือวจิ ัยและวิธีการเกบ็ รวบรวมข้อมลู การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นข้ันตอนหนึ่งของกระบวนการวิจัยท่ีมีความสาคัญ การรวบรวมข้อมูลใน งานวิจัย คือ การรวบรวมข้อมูลของตัวแปรที่ผู้วิจัยสนใจศึกษา ซ่ึงอาจจะเป็นการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่ม ตัวอย่างหรือจากประชากรก็ได้ โดยท่ีความซับซ้อนในการเก็บรวบรวมข้อมูลของตัวแปรท่ีผู้วิจัยสนใจศึกษา ข้ึนอยู่กับลักษณะของตัวแปรและแบบแผนของการวิจัย ความน่าเชื่อถือของผลการวิจัยท่ีค้นพบจะมากหรือ

73 น้อยเพียงใดน้ันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น คุณภาพของเครื่องมือวิจัย ความถูกต้องเหมาะสมของวิธีการเก็บ รวบรวมข้อมูล รวมไปถึงความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และความชานาญของผู้ใช้เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวม ข้อมูล เป็นต้น ดังน้ัน จึงมีความจาเป็นอย่างย่ิงสาหรับผู้ท่ีวางแผนในการทาวิจัยที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจ อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยแบบต่างๆ เพื่อที่จะสามารถทาวิจัยได้ อย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม อันจะเป็นการลดความคลาดเคลือ่ นและเพิม่ ความน่าเช่อื ถือของผลการวจิ ัย 8.1 การวัด ความคลาดเคลื่อนจากการวดั และประเภทของขอ้ มูลวจิ ยั เคร่ืองมือท่ีมีคุณภาพ และการใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสมกับตัวแปรท่ีสนใจศึกษาอย่าง สอดคล้องกับแผนการวิจัย มีผลอย่างมากต่อความน่าเชื่อถือของผลการวิจัย เคร่ืองมือที่ผู้วิจัยจะนามาใช้ใน งานวิจัยของตนเองน้ันอาจได้มาจากทั้งเคร่ืองมือท่ีมีอยู่แล้วจากการศึกษาวิจัยท่ีผ่านมา ซ่ึงอาจจะเป็น การใช้ เครือ่ งมือต้นฉบับที่มีผู้พฒั นาแล้ว หรือนาเครอ่ื งมือที่มอี ยเู่ ดิมมาปรบั ปรงุ เพือ่ ให้เหมาะสมกับงานวิจัยของผู้วิจัย ก็ได้ และถ้าผู้วิจัยต้องการที่จะศึกษาตัวแปรหรือมโนทัศน์ใหม่ที่ยังไม่มีการสร้างเคร่ืองมือวัดไว้เลย การสร้าง เครื่องมือใหม่จึงเป็นหนทางเดียวที่เหมาะสมเพ่ือท่ีจะทาใหโ้ ครงการศึกษาวิจยั บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ตามที่กาหนด ไว้ได้ ดังน้ันผ้วู ิจัยจึงจาเป็นต้องมีความรูค้ วามเข้าใจเก่ียวกับการวดั ความคลาดเคลื่อนในการวดั ระดับของการ วดั รวมไปถึงประเภทของข้อมูลหรอื ตัวแปรที่จะวัด ทั้งนี้ ก็เพื่อท่ีจะสามารถพิจารณาเลือกหรือสรา้ งเคร่ืองมือ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม การวดั และความคลาดเคลือ่ นจากการวดั การวัด (Measurement) หมายถึง กระบวนการได้มาซึ่งค่าของส่ิงที่ต้องการวัด โดย ค่าที่วัดได้อาจจะเป็นแบบต่อเนื่อง (Continuous) หรือไม่ต่อเน่ือง (Discrete) ก็ได้ เมื่อกล่าวถึงการวัดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในงานวิจยั ด้านสังคมศาสตร์ท่ีรวมถึงการวิจัยทางการพยาบาล เราจะพบว่าทุกครั้งที่ทาการ วัด ย่อมมคี วามคลาดเคลื่อนจากการวัด (Measurement error) เกดิ ขน้ึ ไดเ้ สมอ ดังสมการ ตอ่ ไปน้ี O =T +e + Error score Observe score = True score + คา่ ความคลาดเคลื่อน คา่ ท่ีไดจ้ ากการสงั เกต = คา่ คะแนนจริง จากการวดั หรือ คา่ ทว่ี ัดได้ ของส่ิงท่ีวดั จากสมการ จะเห็นได้ว่า เม่ือคา่ ความคลาดเคลื่อน (Error score) ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์ (0) มาก ขึ้นเท่าใด ค่าที่ได้จากการสังเกตหรือค่าที่วัดได้ ก็จะย่ิงเข้าใกล้ค่าคะแนนจริงของสิ่งที่ต้องการวัด มากขึ้น เท่าน้ัน ซ่ึงความคลาดเคล่ือนสามารถจาแนกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ความคลาดเคลื่อนจากการวัดแบบ สุ่ม (Random measurement error) และ ความคลาดเคล่ือนจากการวัดแบบมีระบบ (Systematic measurement error) โดยที่ ความคลาดเคลื่อนจากการวัดแบบสุ่ม หมายถึง ค่าความคลาดเคลือ่ นจากการ

74 วัดที่เกิดขึ้นแบบไม่คงที่ เช่น การประเมินความเสี่ยงการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วย โดยการใช้แบบประเมิน Braden’s Scale ของพยาบาลจานวน 3 คน ซ่ึงค่าคะแนนทีไ่ ด้จากการวัดอาจแตกต่างกันออกไปในลักษณะที่ ไม่คงท่ี ในการวัดเพ่ือรวบรวมข้อมูลในการวิจัย หากกลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็กและไม่เป็นตัวแทนที่ดีของ ประชากร ผลรวมของความความคลาดเคล่ือนจากการวัดแบบสุ่มจะไม่เท่ากับศูนย์ (0) อย่างไรก็ตาม หาก ขนาดกลุ่มตัวอย่างเพิ่มมากขึ้นหรือเข้าใกล้ขนาดของประชากร ผลรวมของค่าความคลาดเคลื่อนจากการวัด แบบสุ่มจะมีแนวโน้มลดลงจนเขา้ ใกล้ศูนย์และเท่ากับศนู ย์ (0) ถ้าขนาดกลุ่มตัวอยา่ งมีจานวนเท่ากับประชากร ในส่วนของความคลาดเคลื่อนจากการวัดแบบมีระบบ หมายถึง ค่าความคลาดเคลือ่ นจากการวดั ที่เกิดข้ึนแบบ คงที่หรือสม่าเสมอในทุกๆ คร้ังที่วัด ซึ่งค่าที่วัดได้อาจจะมากหรือน้อยกว่าค่าคะแนนจริงของสิ่งที่วัดก็ได้ โดยที่ ค่าผลรวมของความความคลาดเคลื่อนจากการวัดแบบมีระบบจะไม่เท่ากับศูนย์ (0) เช่น การช่ังน้าหนักโดยใช้ เครื่องชั่งที่ไม่ได้มาตรฐาน (น้าหนักท่ีได้จากการช่ังจะมากกว่าน้าหนักตามความเป็นจริง 1 กิโลกรัม ในทุกๆ คร้ังของการชงั่ ) เปน็ ต้น นอกเหนือจากความคลาดเคลอื่ นจากการวัดทั้งสองประเภทดังท่ีได้กล่าวไปแล้วน้ัน ยังพบวา่ มีปัจจัย ด้านอ่ืนๆ อีกที่ส่งผลทาให้เกิดความคลาดเคลื่อนจากการวัด ได้แก่ เครื่องมือวิจัย (Instrument) การใช้ เครื่องมือวิจัยไม่เหมาะสม (Inappropriate method) ผู้วิจยั หรือผู้ใช้เครื่องมือวิจัย (Researcher) และ ปัจจัย ด้านกลุ่มตัวอย่าง (Sample) โดยท่ีปัจจัยในด้านเคร่ืองมือนั้น พบว่า มีสาเหตุมาจากความคลุมเครือ (Ambiguous) และด้อยคุณภาพของเคร่ืองมือวิจัยทั้งในส่วนของค่าความตรง (Validity) และ ความเท่ียง (Reliability) รวมไปถึงการเลือกใช้เครื่องมือวิจัยท่ีไม่เหมาะสมหรือไม่ตรงกับส่ิงที่ต้องการจะวัด ในส่วนของ ผู้ใช้เคร่ืองมือ ก็พบว่า ความไม่พร้อม เช่น อยู่ในภาวะเหนื่อยล้า การขาดทักษะในการใช้เครื่องมือท่ีมีความ สลับซับซ้อน การเข้าใจไม่ตรงกันของทีมวิจัย และแม้กระทั่งการจงใจบิดเบือนข้อมูลท่ีรวบรวมได้ของผู้วิจัย รวมไปถึงปัจจัยด้านกลุ่มตัวอย่าง เช่น การอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อมจะให้ข้อมูล และการจงใจท่ีจะให้ข้อมูลที่ไม่ ตรงกับความเป็นจริง ก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลทาให้เกิดความคลาดเคล่ือนจากการวัดได้ท้ังสิ้น ดังน้ัน จึงมีความ จาเป็นอย่างย่ิงที่ผู้วิจัยจะต้องเตรียมการป้องกันและพยายามหาวิธีการที่จะทาให้เกิดความคลาดเคลื่อนจาก การวัดในงานวจิ ัยของตนเองใหน้ ้อยท่สี ดุ เท่าที่จะทาได้ ซงึ่ วธิ กี ารทว่ี า่ นนั้ มดี งั ต่อไปน้ี คอื • การกาหนดคานิยามเชงิ ปฏิบัติการของตวั แปรท่ีสนใจศึกษาใหช้ ัดเจน โดยจะต้องตรง กับแนวคิดและทฤษฎีของตัวแปร และคาถามในแบบสอบถามซ่ึงเปน็ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ก็ จะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั คานยิ ามเชิงปฏบิ ตั ิการนนั้ ดว้ ย • คาช้ีแจงและข้อคาถามในแบบสอบถามต้องชัดเจน ไม่คลุมเครือ อ่านเข้าใจงา่ ยโดยที่ สามารถตีความหมายได้ไปในแนวเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เครื่องมือวิจัยมีข้ันตอนในการใช้ที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ผู้วิจัยควรจัดทาคู่มืออย่างละเอียดเพ่ือให้ผู้ใช้เครื่องมือสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และเป็นไปในแนวเดียวกนั

75 • เลือกใช้เคร่ืองมือวิจัยที่มีความเหมาะสมทั้งกับตัวแปรท่ีวัดและกลุ่มตัวอย่าง โดย คานึงถึงความพร้อมของผู้ให้ข้อมูลเป็นสาคัญ และท่ีสาคัญผู้วิจัยจะต้องยึดม่ันในหลักจริยธรรมและ จรรยาบรรณของนักวิจัยท่ีดี ทาวิจัยโดยปราศจากอคติ ซ่ือสัตย์ท้ังต่อตนเองและสังคม และไม่มีความลาเอียง ทางวชิ าการในทุกขั้นตอนของกระบวนการวจิ ัย ประเภทของข้อมูลวิจยั ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดซึ่งอาจอยู่ในรูปของตัวเลข ข้อความ หรือ ในรูปแบบอื่นๆ ท่ีผู้วิจัยรวบรวมมาจากแหล่งต่างๆ หรือ อาจจะสังเกตและ/หรือวัดมาจากกลุ่มตัวอย่างหรือ ประชากรท่ีผู้วิจัยสนใจศึกษา เพ่ือนามาพิจารณาเปรียบเทียบ วิเคราะห์ ตีความ อนุมาน และสรุปผลการวิจัย ได้ ขอ้ มลู ในการวจิ ัยสามารถแบ่งออกไดห้ ลายลกั ษณะ ท้ังนข้ี นึ้ อยกู่ บั เกณฑ์ท่ีจะนามาใช้พจิ ารณา ดังตอ่ ไปน้ี 1. ประเภทของข้อมูลวิจัยตามเกณฑ์แหลง่ ท่ีมา ข้อมูลในกลุ่มน้ี สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท ได้แก่ ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) และข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) โดยที่ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดท่ีได้จากแหล่งกาเนิดที่แท้จริง โดยท่ีคุณภาพและความน่าเชื่อถือของข้อมูลจะ ขน้ึ อยู่กบั ความสามารถของผู้วิจัยทด่ี าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ในส่วนของขอ้ มูลทุติยภมู ิ นัน่ กค็ อื ข้อเทจ็ จริง หรอื รายละเอียดที่ผู้อ่ืนได้ดาเนินการรวบรวมไว้แล้วก่อนหน้านี้ ซ่ึงผู้วจิ ัยไปเก็บรวบรวมมาอีกต่อหนึ่ง ซ่ึงความ ถูกต้องและน่าเช่ือถือของข้อมูล นอกจากจะข้ึนอยู่กับความสามารถของนักวิจัยในการคัดลอกข้อมูลจากแหล่ง ต่างๆ ให้ได้มาอย่างครบถ้วนแล้ว ยังข้ึนอยู่กับความสามารถของผู้ที่ได้รวบรวมข้อมูลนี้ไว้ต้ังแต่ในคร้ังแรก ดังน้ัน ความคลาดเคลือ่ นของขอ้ มลู ในระดบั ทตุ ยิ ภูมิจงึ มีมากกว่าข้อมูลปฐมภูมิ 2. ประเภทของข้อมูลวิจัยตามเกณฑ์ลักษณะของข้อมูล ข้อมูลในกลุ่มน้ี สามารถแบ่ง ออกได้เป็น 2 ประเภทเช่นกัน ได้แก่ ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative data) และข้อมูลเชิงคุณลักษณะหรือ เชิงคุณภาพ (Qualitative data) ซ่ึงข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ข้อมูลท่ีผู้วิจัยสังเกตหรือวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ ในขณะที่ข้อมลู เชงิ คณุ ลกั ษณะหรือเชิงคุณภาพนั้นไม่สามารถระบอุ อกมาเปน็ ตัวเลขได้ แตเ่ ปน็ ข้อมูลทแ่ี สดงให้ เห็นถึงคุณลักษณะของสิ่งนั้น เช่น ความคดิ เห็น ผลการสังเกตทเ่ี ขียนในลักษณะของการบรรยาย เป็นตน้ 3. ประเภทของข้อมูลวิจัยตามเกณฑ์สภาพของข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลในกลุ่มน้ี สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ ข้อมูลส่วนตัว (Personal data) ข้อมูลสิ่งแวดล้อม (Environmental data) และ ข้อมูลพฤติกรรม (Behavioral data) ซ่ึงข้อมูลส่วนตัว คือ ข้อเท็จจริงส่วนตัว ของกลุ่มตวั อย่าง เช่น เพศ อายุ อาชีพ และ ระดับการศึกษา ข้อมูลส่งิ แวดล้อมเปน็ ข้อเท็จจรงิ ต่างๆ ท่เี กี่ยวกับ ส่ิงแวดล้อมของกลุ่มตัวอย่าง เช่น ลักษณะของท้องถิ่นที่กลุ่มตัวอย่างอาศัยอยู่ ในส่วนของข้อมูลพฤติกรรม เป็นคุณลักษณะท่ีมีอยู่ในตัวของกลุ่มตัวอย่าง โดยแบ่งออกเป็น ข้อมูลด้านพุทธิพิสัย (Cognitive domain) เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ ความถนัดหรือสติปัญญา ด้านจิตพิสัย (Affective domain) เช่น ทัศนคติ ความ วิตกกังวล ความเครียด ความวิตกกังวล และ ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor domain) เช่น ความสามารถ ในการปฏบิ ตั ิ การกระทาสิง่ ต่างๆ เป็นต้น

76 การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยเป็นสิ่งที่มีความสาคัญขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการทา วิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีดี ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมีคุณภาพ ย่อมนามาซ่ึงผลการวิจัยที่ถูกต้องและ เชื่อถือได้ ซ่ึงการท่ีนักวิจัยจะสามารถจัดการกับข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีความ เข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับระดับของข้อมูลเพื่อท่ีจะเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์และแปลผลการวิจัยได้อย่าง เหมาะสม ระดับของการวัดแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ คือ มาตรานามบัญญัติ (Nominal scale) มาตรา เรียงลาดับ (Ordinal scale) มาตราอันตรภาค (Interval scale) และ มาตราอัตราส่วน (Ratio scale) โดยมี รายละเอยี ด ดังน้ี • มาตรานามบัญญัติ เป็นมาตรวัดหรือระดับของการวัดที่ใช้กับตัวแปรท่ีมีค่าไม่ ต่อเนื่องหรือตัวแปรประเภทกลุ่ม (Discrete or category) ตัวเลขท่ีกาหนดให้ในมาตรวัดระดับนี้ มี วัตถุประสงค์เพียงเพ่ือชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกัน ไม่ได้แทนอันดับ ขนาด ปริมาณ หรือคุณภาพใดๆ เลย ตัว เลขท่กี าหนดไมส่ ามารถนามาคิดคานวณทางคณติ ศาสตร์ได้ • มาตราเรียงลาดับ เป็นมาตรวัดที่ใช้กับตัวแปรที่มีค่าไม่ต่อเนื่องเหมือนกับ มาตรานามบัญญัติ แต่การกาหนดตัวเลขของการวัดระดับน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือบอกให้ทราบถึง อันดับหรือระดับ โดยให้ความหมายความแตกต่างในลักษณะของระดับ ตัวเลขเหล่านี้ไม่สามารถนามาคิด คานวณทางคณิตศาสตร์ได้ อย่างไรก็ตาม ส่ิงทีท่ ราบเพ่ิมเติมจากมาตรานามบัญญัติ นั่นกค็ ือ ทิศทางของความ แตกต่าง เช่น มากกว่า นอ้ ยกวา่ เกง่ กวา่ เปน็ ต้น • มาตราอันตรภาค เป็นมาตรวัดทีใ่ ชก้ ับตัวแปรทม่ี ีค่าต่อเนอื่ ง ซึ่งค่าตัวเลขในแต่ ละช่วงมีความหมายบอกให้ทราบถึงปริมาณที่แตกต่างกัน โดยที่ตัวเลขเหล่าน้ีสามารถนามาคิดคานวณทาง คณิตศาสตร์ได้ด้วยการบวกหรือลบ เพื่อนาค่าท่ีได้มาเปรียบเทียบความแตกต่างในลักษณะที่ว่ามากกว่าหรือ น้อยกว่ากันอยู่เท่าใด อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่กาหนดในมาตรวัดระดับนี้ก็ยังไม่สามารถนามาคิดคานวณทาง คณิตศาสตร์ในลักษณะของการคูณและหารเพ่ือเปรียบเทียบความแตกต่างในลักษณะของจานวนเท่าได้ ทั้งนี้ เน่ืองจากมาตรวัดในระดับมาตราอันตรภาคยังไม่มีค่าท่ีเป็นศูนย์ (0) แท้ คงมีเพียงแต่ค่าท่ีเป็นศูนย์ (0) สมมติ (Arbitrary or relative zero) เทา่ นัน้ เชน่ ข้อมูลอุณหภมู ิรา่ งกาย ขอ้ มูลระดบั เชาวนป์ ญั ญา หรือ ข้อมลู ระดับ เชาวน์อารมณ์ เปน็ ต้น • มาตราอัตราส่วน เป็นมาตรวัดในระดับสูงสุดที่ใช้กับตัวแปรท่มี ีค่าต่อเนื่องและ มีศูนย์ (0) แท้ (Absolute zero) ตัวเลขท่ีกาหนดเพ่ือแสดงคุณลักษณะของตัวแปรแต่ละช่วงตัวเลขมีค่าคงที่ และค่าในแต่ละช่วงตัวเลขจะมีระยะห่างที่เท่ากัน เนื่องจากมาตรวัดในระดับนี้มีศูนย์ (0) แท้ ตัวเลขที่กาหนด เหล่านี้จึงสามารถนามาคิดคานวณทางคณิตศาสตร์ได้ ทั้งในลักษณะของการบวกและลบเพื่อเปรียบเทียบค่า ความแตกต่างว่าน้อยกว่าหรือมากกว่ากันอยู่เท่าใด รวมถึงการคูณและหารเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างใน ลกั ษณะจานวนเท่าไดอ้ กี ด้วย เช่น อายุ ความสูง น้าหนกั ระยะทาง และ ความเร็ว เปน็ ต้น

77 8.2 ประเภทของเครือ่ งมือและเทคนิคการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการวิจยั การท่ีนักวิจัยได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเภทของข้อมูลและระดับของการวัด นับว่าเป็นสิ่งจาเป็นท่ีจะทา ให้ผู้วจิ ัยสามารถทจ่ี ะพิจารณาเลอื กใช้เครือ่ งมือในการวิจัยของตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เคร่ืองมือท่ี ใช้ในการวิจัยนับว่ามีความสาคัญและมีบทบาทอย่างมากในการวิจัย การท่ีนักวิจัยจะเลือกใช้เครื่องมือใดนั้น ขึ้นอยกู่ ับสถานการณ์และลักษณะพฤติกรรมหรือตวั แปรที่ต้องการวัด ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์การ วิจัยเป็นสาคัญ ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ เคร่ืองมือที่นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีท้ังหมด 5 ประเภทใหญๆ่ คือ แบบทดสอบ แบบสงั เกต แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ และแบบประเมินการปฏิบตั ิ 1. แบบทดสอบ (Test) คือ ชุดของคาถาม งาน หรือสถานการณ์ท่ีกาหนดขึ้น เพื่อใช้เป็นส่ิงเร้าให้ บุคคลแสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมา ซ่งึ ครอบคลุมทงั้ ดา้ นพุทธพิ ิสัย จิตพสิ ัย และ ทกั ษะพิสัย 2. แบบสังเกต (Observation form) คือ เคร่ืองมือที่ใช้ประกอบการสังเกตพฤติกรรมท่ีผู้วิจัย ต้องการศึกษา มีหลายชนิด เช่น ระเบียนพฤติกรรม แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) และแบบจัดอันดับ คุณภาพ (Rating scale) การสงั เกตเป็นวิธีการซึง่ ใช้ประสาทสมั ผัสของผู้สังเกตโดยเฉพาะตาและหู เพ่อื ตดิ ตาม ศึกษาพฤตกิ รรมท่บี ุคคลท่แี สดงออกได้ทกุ ดา้ น การสงั เกตแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื แบบมีส่วนรว่ ม (Participant observation) และ แบบไม่มี ส่วนร่วม (Non-participant observation) แบบสังเกตเป็นเครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการวิจยั ท่ผี ูว้ ิจยั สามารถใช้ได้ตลอดเวลา แบ่งออกเปน็ - แบบสังเกตที่ไม่ไดก้ าหนดโครงร่างการสังเกต (Unstructured observation) และ - แบบสังเกตที่มีการกาหนดโครงร่างการสังเกต (Structured observation) ที่นิยมใช้ คือ แบบสารวจรายการ (Checklist) และ แบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) ขอ้ ดขี องแบบสังเกต 1. สามารถเปน็ เครื่องมือที่ใชต้ ิดตามศกึ ษาพฤติกรรมของบคุ คลท่ีแสดงออกมาได้ทุกดา้ น 2. เปน็ เครื่องมือที่ใช้ได้สะดวก ใช้ไดท้ กุ เวลา และใชไ้ ดท้ กุ สถานท่ี 3. ใชส้ ังเกตพฤติกรรมของบุคคล ทกุ เพศ ทุกวัย โดยไม่ขน้ึ อยูก่ ับระดบั การศึกษา ขอ้ จำกัดของแบบสงั เกต 1. พฤติกรรมหลายอยา่ งสงั เกตไดย้ ากและต้องสงั เกตหลายคร้ัง ทาใหเ้ สยี เวลาสงั เกตนาน 2. ถ้าผู้สังเกตขาดความพร้อมและทักษะในการสังเกต ก็จะทาให้การบันทึกข้อมูลลงใน แบบสงั เกตเป็นขอ้ มูลท่ีไมม่ ีประโยชน์หรอื มคี วามผดิ พลาด 3. ผู้สงั เกตอาจมคี วามลาเอียงหรืออคติต่อผู้ถกู สังเกตบางคน ทาให้ได้ข้อมูลทบี่ ันทึกลงใน แบบสงั เกตบดิ เบือน ส่งผลถึงการแปลผลการสงั เกตทคี่ ลาดเคล่ือน 4. ถ้าผู้ถูกสังเกตรู้ตัวจะเกิดการระวังตัวและปิดบังพฤติกรรมท่ีแท้จริง โดยการแสดง พฤตกิ รรมที่ไม่เปน็ ธรรมชาติ (Hawthorne effect)

78 3. แบบสอบถาม (questionnaire) คือ เครื่องมือท่ีใช้วัดพฤติกรรมภายใน (พฤติกรรมด้านจิต พิสัย) ของบุคคลเกี่ยวกับความรู้สึก ความคิดเห็น เจตคติ ความสนใจ เป็นต้น แบบสอบถามสามารถแบ่งออก ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื 3.1 แบบสอบถามปลายเปิด (Open-ended questionnaire) 3.2 แบบสอบถามปลายปดิ (Close-ended questionnaire) ไดแ้ ก่ 1) แบบสารวจรายการ (Checklist) มีคาตอบเลอื กตอบ 2) แบบจัดอนั ดับ (Rank order) มีการกาหนดรายการหรือคาตอบให้ผูต้ อบ พิจารณาเรียงลาดับตามความคดิ เหน็ ของตนเอง โดยอาจเรียงจากมากไปน้อยหรือน้อยไปมาก 3) แบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) มีการกาหนดตาตอบของคาถามแต่ ละข้อที่มีการเรียงลาดับคา่ คะแนนไว้ 4) มาตรวัดแบบลเิ คิร์ท (Likert scale) นิยมใช้วดั ความคดิ เหน็ และวัดเจตคติ หรอื ทัศนคตขิ องกลุ่มตวั อยา่ งทม่ี ตี ่อตัวแปรท่ีศึกษา ผ้ตู อบประเมนิ ระดับของความรสู้ กึ ออกเป็นระดับ มตี ง้ั แต่ 3- 12 ระดบั เดมิ นิยมทาเป็น 5 ระดับ คือ เหน็ ด้วยมากท่ีสุด เห็นด้วย ไมแ่ น่ใจ ไมเ่ ห็นด้วย ไม่เห็นดว้ ย อยา่ งยง่ิ ) ปจั จบุ ันมีการประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมของผู้ตอบ เช่น ถา้ เปน็ เด็ก อาจไมใ่ หส้ ามารถประเมนิ 3 ระดับ คือ เห็นดว้ ย ไมแ่ นใ่ จ ไมเ่ หน็ ด้วย 5) มาตรจาแนกความหมาย (Semantic differential scale) พัฒนาโดย Osgood และคณะ มลี ักษณะเปน็ มาตราประมาณคา่ บางครง้ั เรียกวา่ มาตราประมาณค่าแบบ Osgood มาตราน้ีจาแนกความหมายประกอบด้วยคาคุณศัพท์ 2 คา ท่ีมีความหมายตรงกนั ขา้ มอยู่สว่ นต้นสุดและสว่ น ปลายสุด ชว่ งคะแนนคาคุณศัพท์แบง่ เปน็ 7 ช่วง เช่น ด…ี ……… เลว ความสุข....... ความทุกข์ สะอาด........สกปรก เดก็ ......แก่ 6) มาตรวัดท่ีเป็นรูปภาพหรือสัญลักษณ์ (Doubly anchored visual analog scale or Visual analog scale) (ดตู วั อย่างแบบสังเกตและแบบสอบถามทา้ ยบท) ขอ้ ดขี องแบบสอบถำม 1. เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้กับบุคคลจานวนมากไดใ้ นเวลาพร้อมกัน ทาให้ประหยัดเวลา และ คา่ ใช้จา่ ย 2. แบบสอบถามเป็นเครื่องมือท่ีให้เวลาในการตอบอย่างอิสระได้ โดยให้ผู้ตอบรับไปตอบ และนดั หมายเวลาสง่ คืน ซงึ่ ไมส่ ร้างความตงึ เครียดให้ผู้ตอบ 3. สามารถฝากส่งและรับแบบสอบถามคืนได้หลายวิธี ทาให้มีความสะดวกในการใช้ เคร่อื งมอื 4. แบบสอบถามที่ประกอบด้วยข้อคาถามปลายปิดที่ออกแบบดี จะช่วยให้สะดวกในการ รวบรวมคาตอบและวิเคราะหค์ าตอบ

79 ขอ้ ดีของแบบสอบถำม 1. แบบสอบถามเหมาะสาหรบั ผทู้ ่ีอ่านและเขยี นหนังสือคล่องเทา่ น้ัน 2. ผู้ตอบแบบสอบถามอาจไม่ได้ตั้งใจตอบ หรือไม่ให้ความสาคัญต่อข้อมูลที่เป็นจริงหรือ มอบให้คนอ่นื ตอบแทน ทาใหข้ อ้ มลู ทไี่ ดม้ าไม่ตรงหรอื คลาดเคลื่อนจากความจริง 3. คาถามบางข้ออาจไม่ชัดเจนสาหรับผู้ตอบบางคน และไม่มีโอกาสได้รับคาชี้แจง ทาให้ คาตอบท่ีไดม้ าไมม่ ปี ระโยชน์ 4. แบบสัมภาษณ์ (Interview form) คือ เครื่องมือที่ใช้ประกอบการสัมภาษณ์ จะเป็นแบบบนั ทึก คาให้สัมภาษณ์ซ่ึงผู้สัมภาษณ์สร้างข้ึนมาเพ่ืออานวยความสะดวกในการรวบรวมข้อมูล ลักษณะของแบบ สัมภาษณ์อาจจะคลา้ ยกับแบบสอบถาม นอกจากนี้ยงั มเี คร่ืองมือที่ใช้ประกอบในการสัมภาษณ์เป็นส่อื ประเภท เครื่องบันทึกเสียง ซึ่งใช้อานวยความสะดวกในการบันทึกรายละเอียดของข้อมูล ช่วยให้ผู้สัมภาษณ์พิจารณา ยอ้ นทวนข้อมูลได้ และสามารถสรปุ ขอ้ มูลไดอ้ ย่างถูกต้องชัดเจน การสมั ภาษณ์มี 2 ประเภท คือ 1. การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured interview) นิยมใช้ในการรวบรวม ข้อมูลเชงิ คณุ ภาพโดยการสนทนากลมุ่ (Focus group interview) 2. การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-dept interview) และ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured interview) โดยการดาเนินการสัมภาษณต์ ามรายการคาถามที่ไดก้ าหนดและจัดเรยี งลาดบั ไว้เป็น ทีเ่ รียบรอ้ ยแล้ว ขอ้ ดขี องแบบสมั ภำษณ์ 1. แบบสัมภาษณ์เป็นเคร่ืองมือที่ช่วยให้ผู้วิจัยทราบข้อมูลที่แอบแฝงอยู่ในใจของผู้รับการ สัมภาษณ์ได้ โดยใช้เทคนคิ การพูดคยุ ทฉ่ี ลาดจะทาให้ผู้ถกู สัมภาษณย์ อมเปดิ เผยข้อมลู ออกมา 2. การสัมภาษณ์จะช่วยให้ได้ข้อมูลประกอบเก่ียวกับบุคลิกภาพของผู้ถูกสัมภาษณ์ ซ่ึง สามารถสงั เกตไปพร้อมกับการสัมภาษณ์ และ (3) แบบสัมภาษณ์เป็นเครอ่ื งมอื ที่ใช้ไดก้ ับบุคคล ทุกเพศ ทุกวัย โดยไม่ขึน้ กับระดับการศกึ ษา อยา่ งไรกต็ าม ขอ้ จำกดั ของแบบสมั ภำษณ์ 1. การสัมภาษณ์ต้องทาแบบคนต่อคน ทาให้ต้องสิ้นเปลืองเวลามาก และในกรณีที่ต้อง เดินทางสัมภาษณน์ อกสถานท่ี จะสน้ิ เปลืองค่าใช้จา่ ยและเวลาเพ่มิ ขน้ึ 2. เป็นวิธีการที่ต้องรบกวนผู้ถูกสัมภาษณ์ มักจะสร้างความเบื่อหน่ายราคาญและอาจจะ ไมไ่ ด้รับความร่วมมอื เท่าทค่ี วร 3. ข้อมูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์ค่อนข้างเป็นอัตนัย (Subjective data) ความเท่ียงตรง ของขอ้ มูลจึงขนึ้ อยูก่ ับความสามารถในการตีความและสรปุ ความของผูส้ มั ภาษณ์ 4. ถ้าผู้สัมภาษณ์ไม่มีเทคนิคในการพูดคุย หรือมีบุคลิกภาพท่ีไม่ดี อาจไม่ได้รับความ ไวว้ างใจและไม่ไดข้ ้อมลู ที่เป็นจรงิ

80 5. แบบประเมินการปฏบิ ัติ (Performance assessment form) คือ เครื่องมือท่ใี ช้ประกอบการ ประเมินการให้ปฏิบัติจริง มักเป็นแบบบันทึกผลการปฏิบัติตลอดกระบวนการโดยการให้ปฏิบัติเป็นรูปแบบ หรือวิธีการท่ีกาหนดข้ึนเพ่ือวัดความสามารถในการปฏิบัติงานหรือปฏิบัติกิจกรรมท่ีจัดเป็นพฤติกรรมด้าน ทักษะพิสัย เช่น เร่ิมวัดตั้งแต่ความสามารถในการเตรียมงาน วัดการลงมือปฏิบัติในแต่ละข้ันตอน วัดผลงาน และวดั พฤตกิ รรมดา้ นจิตพิสัยบางประการ 8.3 ลักษณะของเคร่อื งมอื ทด่ี ีและการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือวิจัย เคร่ืองมือวิจัยนับว่าเป็นองค์ประกอบหน่ึงท่ีมีความสาคัญและมีบทบาทอย่างมากในการวิจัย การ เลือกใช้เครื่องมือได้เหมาะสมกับคาถาม วัตถุประสงค์ และระดับการวัดของตัวแปรท่ีสนใจในการทาวิจัยนั้นๆ จะส่งผลโดยตรงกับความน่าเชื่อถือของผลการวิจัยที่จะได้รับ จากท่ีได้กล่าวถึงไปแล้วข้างต้นเกี่ยวกับวิธีการได้ ของข้อมูลและประเภทของเคร่ืองมือวิจัย ซึ่งพบว่าเคร่ืองมือท่ีนิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลน้ันมีท้ังหมด 5 ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมินการปฏบิ ัติ โดยท่ี เคร่ืองมือแต่ละประเภทจะมีลักษณะสาคัญและความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แตกต่างกันออกไป ดังน้ัน เพื่อให้สามารถเลือกใช้เครื่องมือได้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การวิจัย นักวิจัยจึงจาเป็นต้องมีความรู้ เกย่ี วกบั ลกั ษณะของเครอ่ื งมือที่ดีและวธิ ีการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือวจิ ยั ทเี่ หมาะสม การระบุถึงคุณภาพของเคร่ืองมือวิจัยท่ีดีนั้น นักวิจัยสามารถพิจารณาได้จากคุณลักษณะที่สาคัญ 8 ประการ คือ 1) ความตรง (Validity) 2) ความเท่ียงหรือความเช่ือม่ัน (Reliability) 3) ความยากง่ายและ อานาจจาแนก (Difficulty and Discrimination) 4) ความเป็นปรนัย (Objectivity) 5) ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) 6) ความไว (Sensitivity) 7) ความเป็นมิติเดียว (Uni-dimensionality) และ 8) ความง่ายในการ ใช้ (Simplicity) ถึงแม้ว่าคุณลักษณะทั้ง 8 ประการน้ี ล้วนแล้วแต่เป็นข้อบ่งชี้ในการใช้ตัดสินถึงคุณภาพของ เคร่ืองมือวิจัยท่ีดี อย่างไรก็ตาม มีเพียงเคร่ืองมือในอุดมคติเท่านั้นที่มีคุณลักษณะครบถ้วนตรงตามเกณฑ์ข้อ บ่งชด้ี ังกลา่ ว ซึง่ ในทนี่ จี้ ะขอกล่าวถึงคุณลกั ษณะตา่ งๆ รวมไปถงึ การตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมือวิจยั พอสังเขป ดงั ต่อไปนี้ 1. ความตรง (Validity) หมายถึง คุณลักษณะของเครอ่ื งมือวจิ ัยทม่ี ีประสิทธภิ าพในการนาไปวัดตัว แปรทส่ี นใจศึกษาได้ผลของการวัดตรงตามจดุ มงุ่ หมายและมติ ทิ ่ตี ้องการวดั ซ่งึ โดยท่ัวไปแล้ว ความตรงสามารถ จาแนกออกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คือ 1.1 ความตรงตามเนื้อหา (Content validity) เป็นคุณลักษณะที่เครื่องมือวิจัยนั้นๆ ประกอบไปด้วยข้อคาถามที่มีเน้ือหาสอดคล้องกับแนวคิดหรือทฤษฎีของตัวแปรที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา โดยทั่วไปแล้ว การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือสามารถดาเนินการได้โดยการขอให้ผู้เชี่ยวชาญ (Experts) พจิ ารณาความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาของข้อคาถามกับคานิยามเชิงปฏิบัติการท่ีได้มาจากแนวคิดหรือทฤษฎี ของตัวแปรท่ีสนใจศึกษา ซึ่งหลังจากท่ีผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความตรงตามเน้ือหาแล้ว นักวิจัยจะดาเนินการ

81 รวบรวมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเพ่ือมาคานวณหาค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (Content validity index: CVI) โดยท่ีจานวนผู้เชี่ยวชาญที่แนะนา คือ 5 คน แต่ถ้าแนวคิดหรือประเด็นที่นักวิจัยกาลังศึกษาอยู่ เป็นเรื่องใหม่ทาให้หาผู้เชี่ยวชาญได้ค่อนข้างยาก รวมไปถึงการมีข้อจากัดในด้านอ่ืนๆ นักวจิ ัยอาจพิจารณาลด จานวนผู้เช่ียวชาญที่จะใช้ในงานวิจัยลงให้เหลือเป็น 3 คนก็ได้ โดยท่ัวไปแล้วการกาหนดจานวนผู้เช่ียวชาญท่ี เหมาะสมนั้นควรอยู่ในระหว่าง 3 ถึง 10 คน (Lynn, 1986) โดยท่ีมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือ ทั้งฉบับ (Content validity index for scales: S-CVI) ที่ยอมรับได้ คือ 0.80 ขึ้นไป (Davis, 1992; Polit & Beck, 2006) ซงึ่ วิธกี ารหาคา่ ดชั นีความตรงตามเนอ้ื หา สามารถดาเนินการไดต้ ามข้นั ตอนตา่ งๆ ดงั ต่อไปนี้ ขั้นตอนที่ 1: การประเมินความสอดคล้องโดยผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยเตรียมเคร่ืองมือวิจัย พร้อมด้วยโครงร่างวิจัยฉบับย่อซึ่งมีคานิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปรท่ีศึกษา เพื่อส่งให้กับผู้เช่ียวชาญได้ ดาเนินการพิจารณาถึงความสอดคล้องระหว่างคาถามและคานิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปรนั้น โดยกาหนด ระดับความคิดเห็นออกเป็น 4 ระดับ คือ คาถามไม่สอดกับคานิยามเชิงปฏิบัติการเลย (Not relevant: 1) คาถามจาเป็นต้องได้รับการทบทวนและปรับปรุงอย่างมากจึงจะมีความสอดคล้องกับคานิยาม (Somewhat relevant; Unable to assess relevance without item revision or item is in need of such revision that it would no longer be relevance: 2) คาถามจาเป็นต้องได้รับการทบทวนและปรับปรุงเล็กน้อยจึง จะมีความสอดคล้องกับคานิยาม (Quite relevant; Relevance but needs minor alteration: 3) และ คาถามมีความสอดคล้องกับคานิยาม (Highly relevant; Very relevant and succinct: 4) หลังจากนั้น ดาเนินการรวบรวมความคิดเห็นของผู้เชีย่ วชาญแตล่ ะคน โดยแจกแจงตามระดับความคิดเหน็ ขั้นตอนท่ี 2: การคานวณหาดัชนีความตรงตามเนื้อหารายข้อ ผู้วิจัยดาเนินการ คานวณหาดัชนีความตรงตามเน้ือหารายข้อ (Content validity index for items: I-CVI) โดยการรวบรวม จานวนผู้เช่ียวชาญท่ีพิจารณาความสอดคล้องและให้ค่าคะแนนไว้ในระดับ 3 และ 4 หารด้วยจานวน ผเู้ ชีย่ วชาญทั้งหมด โดยที่ค่าดชั นคี วามตรงตามเนื้อหารายขอ้ ของเครอื่ งมือ (I-CVI) ท่ียอมรับได้ คือ 0.78 ขนึ้ ไป (Lynn, 1986) อย่างไรก็ตาม นักวิจัยควรนาข้อคาถามที่ได้ค่า I-CVI ต่ากว่าเกณฑ์ท่ียอมรับได้และมีค่าคะแนน อยู่ในระดับ 3 ไปปรับปรุงให้มีความสอดคล้องกับคานิยามเชิงปฏิบัติการให้มากข้ึน สาหรับข้อคาถามที่ ผู้เชี่ยวชาญให้คะแนนความสอดคล้องอยู่ที่ระดับ 1 และ 2 น้ัน ให้นักวิจัยนากลับไปปรับปรุงแก้ไขใหม่อีกครั้ง หนึ่งก่อน ไม่ควรตัดข้อคาถามเหล่าน้ีออกท้ังหมดต้ังแต่ในตอนแรก เน่ืองจากอาจส่งผลกระทบถึงความ ครอบคลุมมโนทัศน์ของตวั แปรทศ่ี ึกษาได้ ขั้นตอนที่ 3: การคานวณหาดชั นคี วามตรงตามเนื้อหาทัง้ ฉบบั ผ้วู ิจัยสามารถคานวณหา ดัชนีความตรงตามเนื้อหาทั้งฉบับได้ท้ังหมด 3 วิธี คือ (1) คานวณจากจานวนข้อคาถามที่ผู้เช่ียวชาญทุกคนได้ พิจารณาความสอดคล้องและให้ค่าคะแนนไว้ในระดับ 3 และ 4 (Total items in level 3 and 4 from all experts) หารด้วยจานวนข้อคาถามท้ังหมด (Total items = Number of experts X Total items of instrument) ที่นามาใช้เป็นหน่วยในการหาร (2) คานวณจากผลรวมของค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหารายข้อ

82 (I-CVI) หารด้วยจานวนข้อท้ังหมดของเครื่องมือ และ (3) ผลรวมของค่าสัดส่วนความสอดคล้องท่ีพิจารณาโดย ผเู้ ช่ยี วชาญแตล่ ะคน หารด้วยจานวนผ้เู ช่ียวชาญทง้ั หมด 1.2 ความตรงตามโครงสร้าง (Construct validity) เป็นคุณลักษณะที่เครื่องมือวิจัยมี ข้อคาถามที่วัดได้ตรงและครอบคลุมมโนทัศน์ของตัวแปรที่สนใจศึกษาในทุกมิติ ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพของ เคร่อื งมอื ในด้านคณุ ลักษณะความตรงตามโครงสร้างสามารถทาไดห้ ลายวิธี ดงั ตอ่ ไปนี้ คือ 1.2.1 Known-group technique เป็นวิธีที่มีความนิยมนามาใช้ในการตรวจสอบ คุณภาพเคร่ืองมือกันอย่างแพร่หลาย โดยการนาแบบสอบถามหรือเครื่องมือท่ีมีอยู่น้ัน ไปให้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มท่ีมีขนาดเท่าๆ กนั ตอบ ภายใตห้ ลักการสาคญั คือ กลุม่ ตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มนั้น จะต้องมคี ุณลักษณะของสิ่ง ท่ีต้องการวัดโดยเครื่องมือนั้นๆ ในทางตรงกันข้ามกัน ซึ่งผลที่วัดได้น้ันจะสะท้อนให้เห็นว่า เคร่ืองมือดังกล่าว สามารถแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างและใช้วดั สิ่งที่ต้องการได้จริงและแม่นยา ในการคานวณเม่ือได้ขอ้ มูลการ วัดจากทั้ง 2 กลุ่มมาแล้ว ผู้วิจัยจะต้องทาการวิเคราะห์หาค่าอานาจจาแนกรายข้อโดยใช้สถิติ Independent samples t-test ซ่ึงถ้าผลการคานวณที่ได้ในแต่ละข้อมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ก็จะ หมายถงึ แบบสอบถามหรือเคร่อื งมือดงั กล่าวมคี วามตรงตามโครงสรา้ งนน่ั เอง 1.2.2 Multi-trait multi-methods technique เป็น วิธีการหาความตรงตาม โครงสร้างท่ีเรียกว่า “เทคนิคคุณลักษณะหลาก-วิธีหลาย” แบ่งออกเป็น การหาความตรงเหมือน (Convergent validity) และ การหาความตรงเชิงจาแนก (Discriminant validity) โดยท่ีการหาความ ตรงเหมือน คือ การนาแบบวัดหรือเคร่ืองมือ 2 ชดุ ทีม่ ีวัตถุประสงคเ์ พ่ือใช้ในการรวบรวมข้อมลู ตัวแปรเดียวกัน หรือใช้แนวคิดเดียวกันจากกลุ่มตัวอย่าง 1 กลุ่ม ซ่ึงถ้าผลการวิเคราะห์หาค่าสหสัมพันธ์ที่ได้มีค่าสูง แสดงว่า เคร่ืองมือท้ัง 2 ชุดนั้นประกอบไปด้วยข้อคาถามที่สามารถรวบรวมข้อมูลของตัวแปรได้ตรงและครอบคลุมใน ทุกมิติของมโนทัศน์ที่สนใจศึกษา ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้วิจัยนาแบบวัดหรือเครื่องมือ 2 ชุดท่ีมีวัตถุประสงค์ เพ่ือใช้ในการรวบรวมข้อมูลตัวแปรต่างกันหรือใช้แนวคิดต่างกันจากกลุ่มตัวอย่างเดียวกัน 1 กลุ่ม แล้วพบว่ามี คา่ สหสมั พันธ์ต่า อนั เป็นการสะทอ้ นให้เห็นถึงความตรงเชงิ จาแนกของเครอื่ งมือน้ันๆ แต่ถ้าผลการวิเคราะหไ์ ด้ ค่าสหสัมพันธ์สูง นั่นแสดงว่า มิติตัวแปรของแบบวัดหรือเคร่ืองมือ 2 ชุดดังกล่าวไม่แยกจากกันชัดเจน โดยท่ี อาจมขี ้อคาถามทีซ่ ้าซ้อนกนั อยู่ 1.2.3 Factor analysis เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยหรือการวเิ คราะห์องคป์ ระกอบ ซง่ึ เป็น วิธีการทางสถิติท่ีนามาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยการคานวณหาค่าความร่วมกัน (Communality) ซง่ึ เปน็ คา่ สัมประสทิ ธ์ิความสัมพันธ์พหุระหวา่ งตวั แปรหน่ึงๆ กับตัวแปรอ่นื ๆ ทุกตัว นับได้ว่า เป็นเทคนิคในการลดจานวนตัวแปรลงโดยการจัดกลุ่มตัวแปรท่ีมีค่าความร่วมกันสูงเข้าไว้ในกลุ่มเดียวกัน การ วิเคราะห์ดังกล่าวน้ี สามารถจาแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสารวจ (Exploratory factor analysis) และ การวเิ คราะห์ปัจจัยเชิงยืนยนั (Confirmatory factor analysis) 1.3 ความตรงตามเกณฑ์สัมพันธ์ (Criterion related validity) เป็นคุณลักษณะด้าน ความตรงของเคร่ืองมือวิจัยท่ีเป็นการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเคร่ืองมือน้ันๆ กับกับเกณฑ์ภายนอก

83 บางอย่าง ซ่ึงเป็นสภาพความเป็นจริงท่ีได้จากการปฏิบัติ คุณลักษณะดังกล่าวน้ี สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภท คือ ความตรงตามสภาพการณ์ปัจจุบัน (Concurrent validity) และ ความตรงตามการพยากรณ์ (Predictive validity) ดงั รายละเอียดพอสงั เขป ดังน้ี 1.3.1 ความตรงตามสภาพการณ์ ปัจจุบัน (Concurrent validity) เป็นการ ตรวจสอบคณุ ลักษณะของเครื่องมือเพื่อหาความสอดคลอ้ งกบั เกณฑ์ทกี่ าหนดในปจั จุบัน ซงึ่ ดาเนินการได้โดยท่ี ผู้วิจัยนาแบบวัดหรอื เคร่ืองมือ 2 ชุด (ชุด A: เคร่ืองมือใหม่ท่ีพัฒนาข้ึน และ ชุด B: เครื่องมือมาตรฐาน) ไปวัด ในกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวกัน แล้วนาข้อมูลที่ได้ทั้ง 2 ชุด มาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ ซึ่งถ้าหากได้ค่า สหสมั พนั ธใ์ นระดับทีส่ ูง ก็จะเปน็ การสะทอ้ นให้เหน็ วา่ เครอื่ งมอื ทพี่ ฒั นาขึน้ มีความตรงตามสภาพปัจจบุ นั 1.3.2 ความตรงตามการพยากรณ์ (Predictive validity) เป็นคุณลักษณะของ เคร่ืองมือที่สามารถวัดตวั แปรหรือมโนทัศน์ที่กาลงั ศกึ ษาอยู่ได้ตรงตามเกณฑ์พยากรณ์ของคุณลักษณะน้นั ๆ ใน อนาคต เชน่ ความเครียด ความสขุ คุณภาพชวี ติ เป็นต้น 2. ความเท่ียงหรือความเช่ือมั่น (Reliability) หมายถึง ความสม่าเสมอหรือความคงท่ีของค่าที่ได้ จากการวัด เป็นคุณสมบัติท่ีสาคัญมากอีกอย่างหน่ึงของเคร่ืองมือวิจัยอันเป็นพ้ืนฐานนาไปสู่ความตรง ทั้งน้ี เนื่องจาก เป็นไปไม่ได้เลยที่เคร่ืองมือวิจัยนั้นจะมีความตรง โดยปราศจากความเท่ียง ค่าความเท่ียงของ เคร่ืองมือวิจัยเป็นค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation coefficient) ซ่ึงตามหลักทฤษฎีแล้วจะมีค่าอยู่ ระหวา่ ง -1 ถงึ +1 แตเ่ ม่ือใชใ้ นการระบคุ า่ ความเท่ียงของเครอื่ งมือวิจัยแล้ว จะประเมินอยูใ่ นระหวา่ ง 0 ถงึ +1 เท่าน้ัน ซ่ึงถ้าค่าที่คานวณได้เข้าใกล้ 1 จะสะท้อนถึงว่าเคร่ืองมือวิจัยนั้นมีค่าความเที่ยงสูง ค่าความเท่ียงของ เครื่องมือวิจัยท่ยี อมรบั ไดน้ นั้ จะขึ้นอยู่กับปัจจัยการพิจารณาต่างๆ คือ (1) เคร่ืองมือวัดการทาหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ ควรมีค่าความเที่ยง 0.95 ขึ้นไป (2) เครื่องมือโดยทวั่ ไปท่ีมีการนาไปใช้แล้วและเครือ่ งมือท่ีเป็นแบบสังเกต ควรมีค่าความ เที่ยงต้งั แต่ 0.8 ขนึ้ ไป และ (3) เคร่ืองมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มพัฒนาข้ึน หรือ เครื่องมือทั่วไปที่วัดเกี่ยวกับเจตคติ ก็สามารถ ยอมรับค่าความเท่ียงได้ตั้งแต่ 0.7 ขน้ึ ไป ค่าความเท่ียงหรือความเชื่อม่ันของเครื่องมือวิจัยใดๆ เป็นคุณลักษณะเฉพาะของเคร่ืองมือนั้นๆ ซึ่ง จะมีความแตกต่างกันออกไปตามบริบทของกลุ่มตัวอย่างท่ีศึกษา ดังน้ัน ก่อนท่ีจะนาเคร่ืองมือไปใช้ในการเก็บ รวมรวมข้อมูลจริง จึงมีความจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องนาเคร่ืองมือดังกล่าวไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างไม่น้อย กว่า 30 คน ที่มีคุณลักษณะตรงกับประชากรของงานวิจยั ท่ีศึกษา ถงึ แม้ว่า เคร่อื งมือนั้นจะได้รบั การพัฒนาขึ้น และมีค่าความเท่ียงในระดบั ท่สี ูงจนยอมรับไดแ้ ล้วก็ตาม การหาคา่ ความเท่ียงของเครือ่ งมือวิจยั สามารถจาแนก ออกเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ การหาค่าความสอดคล้องภายใน การหาค่าความคงท่ี และ การหาค่าความเท่า เทียมกนั ดงั รายละเอยี ดโดยสงั เขป ดังน้ี

84 2.1 การหาค่าความสอดคล้องภายใน (Internal consistency) เป็นวิธีที่นิยมกันมาก ท่ีสุดในการตรวจสอบความเท่ียงของเครื่องมือวิจัย เป็นการหาความสอดคล้องของข้อคาถามในเครื่องมือท่ี สะท้อนถึงความเป็นเอกพันธ์ (Homogeneity) ของเครื่องมือน้ันๆ นั่นก็คือ การท่ีเครื่องมือมีข้อคาถามที่วัด คุณลกั ษณะหรือวัดมติ ิ (Domain) เดยี วกนั ซ่ึงค่าทไี่ ด้จากการวดั จะมคี ่าใกลเ้ คียงกับค่าที่เปน็ จรงิ การหาค่าความสอดคลอ้ งภายในของเครอ่ื งมือ สามารถทาไดห้ ลายวธิ ี คอื 2.1.1 การแบ่งคร่ึงของชุดคาถาม (Split – half) วิธีนี้ต้องแบ่งแบบสอบถามออกเป็น สองส่วนเทา่ ๆ กัน และให้เน้อื หาข้อคาถามเป็นคขู่ นานกัน อาจแบ่งขอ้ คาถามเป็นครึ่งแรกกับคร่ึงหลัง หรอื ข้อ คี่ กบั ขัอคู่ แล้วหาความสัมพันธข์ องคะแนนทงั้ สองส่วน 2.1.2 การใชส้ ตู รสัมประสิทธ์ิครอนบาคแอลฟา (Cronbach’s Alpha Coefficient) วิธี นเี้ หมาะสาหรับแบบสอบถามทเ่ี ปน็ มาตราส่วน หรอื Likert scale 2.1.3 การใช้สูตรคูเดอร์ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson) วิธีน้ีเหมาะกับเครื่องมือที่มี การตรวจให้ คะแนนแบบ 0, 1 โดย ตอบถูก หรือ ใช่ หรือ มี ให้ 1 คะแนน ตอบผิดหรือไม่ใช่ หรือ ไม่มี ให้ 0 คะแนน วธิ ีนม้ี สี ตู รการคานวณ 2 แบบ คือ KR-20 และ KR-21 2.2 การหาค่าความคงที่ (Stability) เป็นความสม่าเสมอหรือความคงที่ของค่าที่วัดได้ จากการวัดซ้า (Repeated measure or Test-retest method) 2 คร้ัง ในช่วงระยะเวลาห่างกันอย่าง เหมาะสม คือ ประมาณ 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ระยะห่างอาจปรับไดต้ ามประเภทของเคร่อื งมอื และตวั แปรท่ี ศกึ ษา 2.3 การหาค่าความเท่าเทียมกัน (Equivalence) เป็นการหาความเที่ยงโดยพิจารณาที่ ความเท่าเทียมกันของเคร่อื งมือ ทั้งในลักษณะของการหาความเทา่ เทยี มกนั ของแบบสอบถามหรอื แบบทดสอบ คู่ขนาน (Alternative form or Parallel form) และ การหาความเท่าเทียมกันของการสังเกต (Interrater reliability) ซง่ึ การหาความเท่าเทียมกนั ของเคร่อื งมือคู่ขนาน จะต้องมคี ะแนนจรงิ เท่ากัน มีความคลาดเคล่ือน ในการวดั เท่ากนั และต้องมคี า่ เฉลยี่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของคะแนนท้ังสองชดุ เทา่ กันดว้ ย 3. ความยากง่ายและอานาจจาแนก (Difficulty and Discrimination) เป็นคุณลักษณะที่ สาคญั ของแบบวดั ผลทางการศึกษา หรอื แบบทดสอบความรู้ ซึ่งค่าความยากง่าย (P) จะอยใู่ นระหว่าง 0 ถงึ 1 โดยที่ข้อสอบที่ยากจะมีค่า P เข้าใกล้ 0 ในขณะที่ข้อสอบง่ายจะมีค่า P เข้าใกล้ 1 ส่วนข้อสอบที่มีความยาก งา่ ยในระดับปานกลางจะมีค่า P อยู่ในช่วง 0.4 ถึง 0.6 โดยปกติแลว้ ค่า P ท่ียอมรับได้จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0.2 ถงึ 0.8 สาหรับค่าอานาจจาแนก (r) นั้นเป็นคุณลักษณะของเคร่ืองมือหรอื แบบทดสอบท่ีใชใ้ นการจาแนกความ แตกต่างของกลุ่มตัวอยา่ งได้ ซง่ึ ค่าอานาจจาแนก (r) จะอยู่ในระหว่าง -1 ถึง +1 โดยข้อสอบที่มีอานาจจาแนก ตา่ จะมีค่า r เข้าใกล้ 0 ในขณะทีข่ ้อสอบท่ีมีอานาจจาแนกสูงจะมีคา่ r เข้าใกล้ +1 (เป็นข้อสอบท่ีมีคุณภาพสูง) ส่วนค่า r เท่ากับ 0 แสดงว่าเป็นข้อสอบที่ไม่มีอานาจจาแนก และค่า r ท่ีติดลบ แสดงว่าข้อสอบมีอานาจ จาแนกในทางกลับกนั โดยปกติแลว้ คา่ r ทีย่ อมรบั ไดจ้ ะมีค่าอยู่ระหว่าง 0.2 ถึง 1.0

85 4. ความเป็นปรนัย (Objectivity) หมายถึง เคร่ืองมือท่ีคุณลักษณะ คือ (1) คาถามมีความชัดเจน อา่ นเข้าใจง่าย และทุกคนอ่านแล้วมีความเข้าใจในความหมายได้ตรงกัน (2) สามารถตรวจใหค้ ะแนนได้เท่ากัน และ (3) การแปลความหมายของคะแนนสามารถทาได้ตรงกัน ซึ่งจะสังเกตได้ว่าข้อสอบท่ีให้เลือกตอบตาม ตัวเลือกที่กาหนดให้ (Multiple choice) จะมีความเป็นปรนัยสูงกว่าแบบทดสอบท่ีเป็นคาถามปลายเปิด (Open-ended questionnaire) 5. ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง การท่ีเครื่องมือนั้นๆ นอกเหนือจากสามารถ นามาใช้รวบรวมข้อมูลตามความต้องการหรือตามวัตถุประสงค์แล้ว ยังใช้เวลาและงบประมาณน้อยอีกด้วย เป็นตน้ 6. ความไว (Sensitivity) หมายถึง การท่เี ครอ่ื งมือมีคุณลักษณะท่ีเม่อื นาไปใช้แล้วสามารถวัดค่าได้ ละเอียด อย่างไรก็ตาม ความไวเป็นคุณลักษณะท่ีไม่จาเป็นต้องมีในเครื่องมือวิจัยทุกประเภท เพราะข้ึนอยู่กับ วัตถุประสงค์ของการใช้ โดยท่ัวไปแล้ว แบบสอบถามท่ีมีลักษณะเป็นช่วง เช่น มาตรวัดแบบลิเคิร์ท (Likert scale) มาตรประมาณค่า (Rating scale) และ มาตรจาแนกความหมาย (Semantic differential scale) จะ มคี วามไวสงู กวา่ แบบสอบถามทีม่ ี 2 ตวั เลือก (Dichotomous) 7. ความเป็นมิติเดียว (Uni-dimensionality) หมายถึง การท่ีเคร่ืองมือน้ันๆ สามารถวัดมิติต่างๆ ของตัวแปรท่ีศึกษาโดยท่สี ามารถจาแนกออกจากกันไดอ้ ย่างชัดเจนในแตล่ ะมติ ิ 8. ความง่ายในการใช้ (Simplicity) หมายถึง คุณลักษณะของเคร่ืองมือวิจัยที่ง่ายต่อการนาไปใช้ ข้ันตอนไม่ยงุ่ ยาก และสามารถพกพาได้สะดวก เป็นต้น 8.4 หลักการสร้างและพฒั นาเครื่องมอื ในการวิจยั คณุ ภาพของเครื่องมือวิจยั เป็นปัจจัยหน่ึงที่มีความสาคัญและมผี ลต่อความน่าเชอื่ ถอื ของผลการวจิ ัย ข้ันตอนต่างๆ ในการพัฒนาเคร่ืองมือวิจัย นับได้ว่าเป็นปัจจัยที่สาคัญที่มีผลต่อทั้งในด้านความตรงและความ เทีย่ ง (ความเชื่อม่ัน) ของเครื่องมอื วิจัย ซ่งึ ขั้นตอนในการพัฒนาเครอ่ื งมือวิจัย มดี ังต่อไปน้ี 1. การระบตุ วั แปร (Define the variables) 2. การระบุมโนทศั นข์ องตวั แปร (Define the concept) 3. การระบุคานยิ ามเชงิ ปฏิบัตกิ าร (Define the operational definition) 4. การออกแบบมาตรวัด (Design the scale) ซ่ึงมาตรวัดของเคร่ืองมือมีหลากหลายลักษณะ เช่น แบบสารวจรายการ (Checklist) แบบจัดอันดับ (Rank order) แบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) มาตร วัดแบบลิเคิร์ท (Likert scale) แบบมาตรจาแนกความหมาย (Semantic differential scale) และแบบ Doubly anchored visual analog scale or Visual analog scale) เป็นต้น 5. การระบุมติ หิ ลักและมติ ยิ อ่ ย (Define the domain and sub-domain content) 6. การรา่ งขอ้ คาถาม (Drafting the item contents)

86 7. การเรียงอันดับคาถาม (sequence the questions) โดยการเรยี งลาดับจากคาถามในเร่อื งทีง่ ่าย ไปยงั คาถามในเร่ืองท่ยี าก และเรยี งให้เปน็ หมวดหมูห่ รอื เปน็ มติ ิ 8. การเสาะหาผู้เชี่ยวชาญ (Seek the content experts) ก่อนอ่ืนต้องกาหนดคุณสมบัติของ ผูเ้ ช่ียวชาญ แล้วจงึ เสาะหาผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติตรงตามน้ัน วิธีการคัดเลือกผู้เช่ียวชาญอาจใช้วิธีเครือข่าย หรือวิธีบอกต่อ (Network or Snowball technique) และระบุจานวนของผู้เชี่ยวชาญท่ีเหมาะสม คือ อยู่ใน ระหว่าง 3 – 20 คน ทง้ั นี้ ขน้ึ อยูก่ บั ประเภทและความซับซอ้ นของเครื่องมือ 9. การพิจารณาความตรง (Validity judgment) 10. การปรับปรุงเครื่องมือตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ (Revise based on expert recommendation) 11. การนาเครอ่ื งมือไปทดลองใช้เบอ้ื ตน้ (Preliminary item try out) 12. การวิเคราะหร์ ายข้อครั้งที่ 1 (First item analysis) 13. การนาเครื่องมือไปทดลองใชใ้ นภาคสนาม (Perform a field test) 14. การวเิ คราะหร์ ายข้อครง้ั ท่ี 2 (Second item analysis) 15. การตรวจสอบความตรงของเครอ่ื งมือ (Validity study) 16. การหาเกณฑ์ปกติของมาตรวัด (Compile norms on the scale) สรุป การเลือกใช้เครื่องมือสาหรับการวิจัยนั้น ผู้วิจัยควรระลึกเสมอว่า ต้องเลือกใช้เครื่องมือให้ตรงกับ พฤติกรรมที่ต้องการวัดและเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพท่ีมีคุณลักษณะของเครื่องมือวิจัยท่ีดี ได้แก่ ความตรง (Validity) ความเท่ียงหรือความเช่ือม่ัน (Reliability) ความยากง่ายและอานาจจาแนก (Difficulty and Discrimination) ความเป็นปรนัย (Objectivity) ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) ความไว (Sensitivity) ความเปน็ มติ ิเดียว (Uni-dimensionality) และ ความง่ายในการใช้ (Simplicity) ในการสร้างเครื่องมือทุกชนิด ผู้วิจัยต้องคานึงถึงพฤติกรรมที่ต้องการวัด โดยผู้วิจัยศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ต้อง วดั หรอื ต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้แล้วและมีการสรปุ เป็นนิยามปฏิบัติการ จากนั้นผู้วิจัยจงึ สรา้ งเคร่อื งมือให้ สอดคล้องกับนิยามและสภาพความเป็นจริงหรือบริบทท่ีจะต้องนาเคร่ืองมือนั้นไปใช้ ซ่ึงถ้าผู้วิจัยสามารถ ดาเนินการได้อย่างครบถ้วน ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ ก็จะทาให้ผลการวิจัยท่ีได้มีความถูกต้อง แม่นยา และนา่ เชอื่ ในการนาผลการวจิ ัยเหลา่ นัน้ ไปใช้ประโยชน์ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพต่อไป

87 บรรณานุกรม บุญใจ ศรีสถิตยน์ รากรู . (2550). ระเบียบวธิ ีการวจิ ัยทางการพยาบาล. (พมิ พ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพมหานคร: ยู แอนด์ไอ อนิ เตอร์ มีเดีย. สมบัติ ทา้ ยเรือคา. (2552). ระเบียบวธิ วี จิ ัยทางสาหรับมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์. (พมิ พค์ รั้งที่ 3). มหาสารคาม: สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. จติ ตริ ตั น์ แสงเลศิ อุทยั . (2558). เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการวจิ ยั . วารสารบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร , 12(58), 13 - 24. Bowling. A. (2014). Research Methods in Health: Investigating Health and Health Services. (4th ed.). New York: Open University Press. Davis, L. (1992). Instrument review: getting the most from your panel of experts. Applied Nursing Research, 5, 104 – 107. Lynn, M. R. (1986). Determination and quantification of content validity. Nursing Research, 35(6), 382-385. Pett, M.A., Lackey, N.R., & Sullivan, J.J. (2003). Making sense of factor analysis: the use of factor analysis for instrument development in health care research. California: Sage Publications. Polit, D. F., & Beck, C. T. (2006). The content validity index: are you sure you know what's being reported? Critique and recommendations. Research in Nursing and Health, 29(5), 489-497. Tabachnick, B. G., & Fidell, L. S. (2007). Using multivariate statistics. (5th ed.). Boston: Pearson Education. Waltz, C. F., Strickland, O. L., & Lenz, E. R. (2010). Measurement in nursing and health research. (4th ed.). New York: Springer.

88 ตัวอย่างเครอ่ื งมือในการวิจยั รองศาสตราจารย์ ดร.ดรณุ ี รจุ กรกานต์ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อภิญญา วงศพ์ ริ ยิ โยธา 1.1 ตัวอย่างแบบสังเกตแบบสารวจรายการ (Checklist) แบบสังเกตพฤติกรรมของความเจบ็ ปวด (อภิญญา วงศ์พิริยโยธา. 2535) พฤตกิ รรมการตอบสนองต่อความเจ็บปวด มี ไม่มี 1. การแสดงออกทางสีหน้า ได้แก่ มีสีหน้าเจ็บปวด แสดงออกโดยหน้านิ่ว ควิ้ ขมวด หน้าตาบดู เบ้ียว เหยเก ย่นหน้าผาก......... 2. พฤติกรรมดา้ นน้าเสียง ไดแ้ ก่ รอ้ งไห้ คราง สะอน้ื เสียงสูดปาก....... (ภาพจาก อภิญญา วงศ์พริ ยิ โยธา. 2535) 1.2 ตัวอยา่ งแบบสังเกตแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) แบบสังเกตพฤติกรรมความเจ็บปวด พฤติกรรม 0 12 สีหน้า สีหนา้ ผ่อนคลาย หน้านิ่วควิ้ ขมวด หน้าน่ิวคิว้ ขมวด หนา้ ยู่ยี่ ตลอดเวลา กัดฟันแนน่ ความกระวน เงยี บ ผ่อนคลาย กระสบั กระสา่ ยเปน็ กระวนกระวาย กระวาน เคลอ่ื นไหวปกติ บางครงั้ ตลอดเวลา เคลื่อนไหว แขนขาและศรี ษะ ภาพจาก bantakhospital.go.th/file/174316438820170118_232252.pdf 2. แบบสอบถาม 2.1 ตวั อย่างแบบสอบถามแบบสารวจรายการ (Checklist) ภาพจาก dmh.go.th/test/download/files/2Q%209Q%208Q%20(1).pdf

89 2.2 ตวั อยา่ งแบบสอบถามแบบจัดอนั ดับ (Rank order) เม่ือมีปัญหาในการเรยี น นกั เรียนจะปรึกษาใครบา้ ง เรียนตามลาดบั ความสาคัญ จาก 1-5 ………….ครู …………..บิดา …………..มารดา ………….พน่ี อ้ ง …………เพือ่ น a. ตัวอยา่ งแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) เป็นแบบสอบถามที่มีระดับคะแนน ในแต่ละข้อใหเ้ ลอื กตอบ แบบสอบถามความเครยี ดของกรมสุขภาพจติ อาการหรอื ความรู้สกึ ทีเ่ กดิ ในระยะ 2-4 สัปดาห์ คะแนน 12 1.มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับหรือนอนมาก 0 3 2.มีสมาธนิ อ้ ยลง 3.หงดุ หงดิ /กระวนกระวาย/วา้ วุ่นใจ 4.รสู้ กึ เบือ่ เซ็ง 5.ไมอ่ ยากพบปะผคู้ น ภาพจาก https://www.dmh.go.th/test/qtest5/ 2.4 ตัวอย่างแบบสอบถามแบบมาตรวัดแบบลเิ คิร์ท (Likert scale) ภาพจาก yala.ac.th/download/noonoh/center/501209009/ภาคผนวก.pdf

90 2.5 ตวั อย่างแบบสอบถามแบบมาตรจาแนกความหมาย (Semantic differential scale) พยาบาลเปน็ วิชาชพี ท่ี เลว 1 2 3 4 5 6 7 ดี โหดรา้ ย เมตา ลาเอยี ง ยุติธรรม นา่ เบอื่ น่าสนใจ ล้าหลงั ก้าวหน้า 2.6 ตวั อย่างแบบสอบถามแบบรูปภาพ แบบประเมนิ ความเจบ็ ปวดโดยใชร้ ูปใบหนา้ ใหผ้ ูต้ อบตอบตามความร้สู กึ ปวดตามใบหน้าตามภาพ ภาพจาก http://thethaicancer.com/Webdocument/GP_article/GP_article_003.html 2.7 ตัวอย่างแบบสอบถามแบบ Visual analog scale แบบ Visual analog scale เป็นแบบสอบถามที่เป็นเส้นตรงยาว 10 ซม. ไม่มีตัวเลขบอก คะแนนอยู่บนเส้นตรง ให้ผู้ตอบทาเครอื่ งหมายทีต่ รงกบั ความรู้สกึ ของตนเอง ผู้วจิ ยั วัดคะแนนดว้ ยการวดั ความ ยาวจากจุดเร่ิมต้นของเส้นตรงจนถึงจุดที่ผู้ตอบทาเคร่ืองหมายไว้ เช่น แบบวัดความรุนแรงของความเจ็บปวด คะแนนจาก 0-10 คะแนน ใหท้ าเครื่องหมายลงบนเส้นตรงทตี่ รงกบั ความเจบ็ ปวดของท่านมากที่สดุ ไมป่ วด ___________________________________________________ ปวดจนทนไมไ่ ด้ ภาพจาก http://thethaicancer.com/Webdocument/GP_article/GP_article_003.html

หนว่ ยท่ี 11 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลทางสถติ ิและการประมวลผลข้อมลู หน่วยที่ 11.1 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลสถติ ิพื้นฐานและการตรวจสอบความเทย่ี งของเคร่ืองมอื ด้วยโปรแกรม SPSS ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภญิ ญา วงศพ์ ิริยโยธา ผลการเรียนรู้ 1. เพอ่ื ให้นสิ ิตสามารถบอกวธิ ีการใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ าเร็จรปู ไดถ้ ูกต้อง 2. เพือ่ ให้นิสิตสามารถอธบิ ายการบนั ทกึ หรือลงรหสั ข้อมูลไดถ้ ูกต้อง 3. เพอื่ ให้นสิ ิตสามารถบอกวธิ ีการวิเคราะหข์ ้อมูลและการประมวลผลข้อมูลด้วยใช้โปรแกรม คอมพวิ เตอร์สาเรจ็ รปู ไดถ้ ูกต้อง 1. การวิเคราะหข์ ้อมลู ทางสถติ ดิ ้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ าเร็จรปู (SPSS) โปรแกรม SPSS (Statistical Package for the Social Science for Windows) เป็นโปรแกรม สาเร็จรปู ทางสถิตทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูลทีม่ ีประสิทธิภาพ และมกี ารจดั การข้อมลู อยา่ งมีระบบ โดยจะมกี าร แสดงคา่ สถติ ิต่างๆพรอ้ มกราฟและตาราง ฯลฯ (กัลยา วานิชย์บญั ชา, 2552) โปรแกรม SPSS เป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในหน่วยงานทางวิชาการต่างๆ ในการวิเคราะห์ ข้อมูลทางด้านสังคมศาสตร์ การแพทย์และสาธารณสุข เพราะมีคุณสมบัติเด่นและมีประสิทธิภาพสูง ในการ วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ และการจัดการข้อมูลต่างๆ ผู้ใช้โปรแกรมสามารถวเิ คราะห์ข้อมูลโดยใชส้ ถิติประเภท ตา่ งๆ และแสดงผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ออกมาในรูปของตาราง หรือแผนภูมชิ นิดต่างๆ ไดท้ งั้ แบบ 2 มติ ิ และ 3 มิติ การใช้งานโปรแกรมไม่ซับซ้อน เหมาะสาหรับผู้ใช้ที่ต้องการประมวลผลข้อมูลท่ีถูกต้องแม่นยาและรวดเรว็ แต่ก็ยังมีคนอยู่จานวนไม่น้อยท่ียังมีแนวคิดที่ว่า การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม SPSS เป็นเรื่องที่ยากและ ต้องใช้ความรู้ทางสถิติเป็นอย่างดีบ้าง โอกาสในการนาไปใช้ในการปฏิบัติงานค่อนข้างน้อยบ้าง แต่จริงๆแล้ว การใช้โปรแกรม SPSS ไม่จาเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทางสถิติเป็นอย่างดีเสมอไป เพียงแต่ขอให้มีความรู้ พ้ืนฐานเก่ียวกับการนาเสนอข้อมูลด้วยสถิติเบ้ืองต้น เช่น ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ียเลขคณิต (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้ว การใช้งานโปรแกรม SPSS มักจะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลท้ังในงานวิจัยและงานวิชาการทั่วไป และ นอกจากน้ี SPSS ยังสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี เช่น การทาบัญชีและคานวณ

127 รายรับรายจ่ายในครอบครัว ใช้สาหรับการวิเคราะห์เพื่อประเมินการปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงาน วิเคราะหท์ ศั นคติ และความพึงพอใจตอ่ ส่ิงต่าง ๆ 2. วิธกี ารใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ าเร็จรปู (SPSS) ในการใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ าเรจ็ รูป SPSS เพื่อการวเิ คราะห์ข้อมูลต่างๆ ขนั้ ตอนของการใช้ โปรแกรมน้ีจะเร่ิมต้นจากการเตรียมข้อมลู สาหรบั ที่จะนามาวเิ คราะห์ ซง่ึ ข้อมูลน้ีอาจจะได้จากการเกบ็ รวบรวม ข้อมลู โดยการสัมภาษณ์ การสงั เกต หรอื การเก็บขอ้ มลู จากแบบสอบถาม ฯลฯ (วชิ ติ อูอ่ ้น, 2550) ขั้นตอนมี ดงั น้ี 2.1 การเตรยี มข้อมลู เม่อื เก็บข้อมลู เสร็จเรียบรอ้ ยแล้ว ตอ้ งนาข้อมูลเหล่านม้ี าจดั ระเบียบ เพอื่ ทจ่ี ะนาไปวิเคราะหท์ างสถติ ดิ ว้ ยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์สาเรจ็ รูป ซงึ่ เปน็ ขน้ั ตอนการประมวลผล ทมี่ ี ความสาคัญมาก วธิ ีการมดี งั น้ี 1) การตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามหรือแบบบนั ทึกข้อมลู โดยการตรวจสอบวา่ มกี ารบนั ทึกข้อมูลครบถว้ นสมบรู ณ์หรือไม่ 2) ความแม่นยา และความสอดคล้อง เพอื่ ตรวจสอบความถูกตอ้ ง เชน่ คาขนึ้ ตน้ เปน็ นาย แต่ บนั ทึกเปน็ เพศหญงิ หรือในกรณสี อบถามถึงสทิ ธิการรกั ษาพยาบาล อายุ 2 ขวบ แต่บนั ทกึ สิทธกิ าร รกั ษาพยาบาลเป็น สิทธิประกันสังคม จะเห็นไดว้ า่ คาตอบไม่สอดคล้องกนั จึงต้องตรวจสอบความแมน่ ยาและ ความสอดคล้องกอ่ นนาไปประมวลผล 3) ความเป็นเอกภาพ โดยการตรวจสอบตวั แปรทท่ี าการศกึ ษาหรือวัดให้ถูกต้องเปน็ หนว่ ย เดียวกัน เช่น รายได้ของกลมุ่ ตัวอยา่ ง บางคนตอบ หนว่ ยเปน็ บาท / เดอื น บางคนตอบหน่วยเปน็ บาท / ปี หรือ หน่วยเป็นสกลุ เงนิ อ่นื 2.2 การสร้างคู่มือลงรหัส เป็นการเปล่ียนรูปแบบข้อมูลโดยให้รหัสแทนข้อมูลเพื่อทาให้สามารถ จาแนกลักษณะของขอ้ มูล รหัสท่ใี ชแ้ ทนขอ้ มูลอาจจะอยูใ่ นรปู ตัวเลข ตัวอักษร หรอื ข้อความ (กลั ยา วา นิชย์บัญชา, 2552) ข้ันตอนการสร้างคู่มือลงรหัสจะทาเมื่อตรวจสอบข้อมูลในแบบสอบถามหรือแบบบันทึก เรยี บร้อยแลว้ โดยแปลงข้อมลู จากแบบสอบถามหรือแบบบันทึกเป็นรหัสตัวเลข ทจ่ี ะนามาใช้ในการวิเคราะห์ ประมวลผลดว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป และสร้างโครงสรา้ งฐานขอ้ มูล การสร้างคู่มือลงรหัสสามารถทาก่อนหรือหลังเก็บรวบรวมข้อมูลก็ได้ ถ้ามีการสร้างคู่มือลงรหัสก่อน เก็บข้อมูลจะทาให้มีความสะดวกในการบันทึกข้อมูลโดยมีการลงรหัสในแบบบันทึกได้ทันที แต่มีหลายคนที่ สร้างคู่มือลงรหัสภายหลังการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งในข้ันตอนนี้นับว่ามีความสาคัญมาก เพราะจะเป็น ตวั กาหนดถงึ กระบวนการ วิธกี ารและสถติ ิทใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ดว้ ย ลกั ษณะคูม่ อื ลงรหสั ประกอบดว้ ย 1) ลาดบั ของแบบสอบถามหรือเลขทีแ่ บบสอบถาม ผู้วิจัยสามารถกาหนดขน้ึ มาเองได้ ตวั แปรนีไ้ ม่ไดน้ าไปใชใ้ นการวิเคราะห์ แตม่ ีความสาคัญต่อการตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมลู การแก้ไข และ การคน้ หา 2) รายละเอยี ดของคาถามหรือตัวแปร คือ ขอ้ ความของคาถาม

128 3) รหัสหรือคาตอบของแต่ละคาถาม คอื การกาหนดตวั เลขแทนที่คาตอบในแต่ละข้อคาถาม หรือตัวแปร ซ่ึงวิธีการกาหนดรหัสท่ีนิยมใช้กัน มีหลายวิธีอาจจะใช้ตัวเลขหรือตัวอักษรก็ได้ แต่ข้อมูลที่จะ นาไปใช้ในการวิเคราะห์ทางสถิติจะรับข้อมูลท่ีเป็นระบบตัวเลข ดังน้นั จึงนยิ มกาหนดรหัสเป็นตัวเลข เชน่ รหสั ตัวเลข 0 จะนยิ มใชส้ าหรับกลุม่ คาตอบที่เป็น Negative เช่น ไมอ่ าบน้า, ไม่ไดเ้ รียน, ไมแ่ ปรงฟัน รหัสตัวเลข 1 นิยมใช้สาหรับกลุ่มคาตอบที่เป็น Positive กรณีคาตอบที่ไม่เกี่ยวข้องหรือกรณีไม่ตอบคาถาม ให้กาหนดเป็น ค่าสูญหาย ซ่ึงส่วนใหญ่จะนิยมใช้ 99 หรือ 999 แทนข้อคาถามที่ไม่มีคาตอบหรือคาตอบไม่เก่ียวข้อง หากเรา เว้นช่องว่าง (Bank) สาหรับคาถามท่ีไม่มีคาตอบ จะเป็น System Missing มักจะเกิดปัญหาเม่ือนาข้อมูล ดังกล่าวไปวิเคราะหส์ ถิติ 4) ช่ือตวั แปรท่ีใชใ้ นการประมวลผล (Field name) คอื การตง้ั ช่ือตวั แปรตา่ งๆ แทนข้อความ ของตวั แปรท่ีศึกษา ความยาวไมเ่ กนิ 8 ตัวอักษร ต้องขึ้นตน้ ด้วยตวั อกั ษร A – Z ลงท้ายด้วยตวั อักษรหรอื ตัวเลขก็ได้ เชน่ เพศ ต้ังชอ่ื วา่ Sex, ระดบั การศกึ ษา = Edu, การรบั ประทานอาหารครบ 3 ม้อื = a1, รบั ประทานอาหารสุกๆดิบๆ = a2 3. การบนั ทึกหรือลงรหัสข้อมูลในโปรแกรมคอมพวิ เตอร์สาเร็จรปู (SPSS) หลังจากสร้างคู่มือลงรหัสเรียบร้อยแล้ว เราสามารถนาข้อมูลเหล่านั้นมากรอกลงในโปรแกรม คอมพิวเตอร์สาเร็จรูป เพื่อนาไปสู่การวิเคราะห์และแปลผลต่อไป โดยปกติโปรแกรมจะกาหนดช่ือตัวแปรไว้ เป็น Var 00001, Var 00002 ทุกๆ คอลัมน์ เม่ือมีการป้อนข้อมูลในเซลล์ใดๆ โดยค่าของตัวแปรจะถูกกาหนด ไว้ให้มีค่าแบบตัวเลข (วิชิต อู่อ้น. 2550) (ปาริชาติ โรจน์พลากร – กู๊ช และยุวดี ฤาชา, 2556) ในโปรแกรม ดงั กล่าวจะมแี ถบเมนู 2 เมนู คอื Data View และ Variable View วิธีการลงรหัสขอ้ มูลมีดังน้ี 11.3.1. การสร้างแฟ้มข้อมูล คอื การบันทึกข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมไดล้ งในโปรแกรม SPSS Data View, Variable View ซ่งึ การสรา้ งแฟม้ ข้อมลู ในส่วนของ Variable View โดยมีเมนูยอ่ ย ดงั น้ี - Name ใชส้ าหรับตัง้ ชอื่ ตวั แปร เปน็ สว่ นท่ผี ู้ใช้ป้อนชื่อตัวแปรทต่ี ้องการลงไป โดยชื่อตวั แปร ตอ้ งเร่มิ ต้นดว้ ยตวั อักษร ห้ามมเี ครอ่ื งหมายพิเศษ เช่น @, #, $ เราสามารถพิมพช์ ่ือตวั แปรลงไปได้ แต่ต้องไม่ เกิน 64 ตวั อกั ษร เชน่ อายุ ควรตง้ั ช่อื เป็น age - Type ใชส้ าหรบั กาหนดชนิดของตัวแปร โดยแบ่งตวั แปรออกเปน็ 8 ชนดิ คือ 1) Numeric เปน็ ตวั แปรชนดิ ตวั เลข 2) Comma เปน็ ตัวแปรชนิดตัวเลข และโปรแกรม จะใสเ่ ครอื่ งหมาย Comma 3) Dot เป็นตัวแปรชนิดตัวเลข และมี Comma หน่ึงอัน สาหรับคั่นทศนิยม และ โปรแกรม SPSS จะใส่เครอ่ื งหมาย (.) คั่นเลขหลกั พนั 4) Scientific Notation เป็นตัวแปรชนิดตัวเลข และสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น 22 E-2 5) Date เปน็ ตัวแปรชนิดวนั ท่ี คือ ขอ้ มูลอยู่ในรูป วนั เดอื น ปี

129 6) Dollar เป็นตัวแปรท่ีมีเครื่องหมาย $ มีจุด 1 จุด สาหรับทศนิยม มี comma สาหรับคั่นเลขหลกั พนั 7) Custom Currency สกลุ เงินที่ผู้ใช้กาหนดเอง 8) String เป็นตัวแปรทีม่ คี ่าเป็นตวั อกั ษร (ขอ้ ความ) - Width คือ ความกว้างของข้อมูลโดยรวมจุดและจานวนหลักหลังจุดทศนิยมด้วย สามารถ กาหนดความกวา้ งของข้อมลู ไดส้ ูงสุด 40 หลกั - Decimals คอื จานวนหลกั หลงั จุดทศนยิ ม กาหนดทศนยิ มได้สงู สุด 10 หลกั - Label เป็นสว่ นที่ใช้อธิบายความหมายช่ือตัวแปร เนื่องจากการกาหนดช่ือตัวแปรท่ี Name กาหนดได้เพียง 8 ตัวอกั ษร เพอ่ื ประโยชนต์ อนแสดงผลลพั ธ์ - Values กรณีที่ข้อมูลเป็นตัวแปรเชิงคุณภาพ ต้องกาหนดค่าตัวเลข (Value) และ Value Label เพ่ืออธิบายความหมายที่แท้จริงของตัวเลขน้ัน เช่น คาถามเกี่ยวกับ เพศ (เป็นตัวแปรเชิงคุณภาพ) มี คาตอบใหเ้ ลอื ก ดังนี้ เพศชาย เพศหญิง ถ้าผู้ตอบคาถามเป็น เพศชาย กาหนดให้เพศชายมีค่าเป็น 1 ดังน้ัน Value จะใส่ 1 Value Label จะใส่ ชาย ถ้าผู้ตอบคาถามเป็น เพศหญิง กาหนดให้เพศหญิงมีค่าเป็น 2 ดังนั้น Value จะใส่ 2 Value Label จะใส่ หญงิ - Missing เปน็ การกาหนดคา่ ทีไ่ มส่ มบูรณ์ ดงั น้นั ผู้วิจัยเลือก Discrete Missing Values แล้ว พิมพ์ตัวเลขลง ใช้แทนความหมายบางค่าท่ีไม่สมบูรณ์ เช่น 9, 99, 999 คาถามเกี่ยวกับเพศ มีคาตอบให้เลือก ดงั น้ี เพศชาย เพศหญงิ โดยผูว้ ิจยั จะกาหนดค่าท่ีเป็นไปไม่ไดส้ งู สุดของตัวแปรนน้ั มาเป็นรหัส เชน่ 9 หรือ 99 - Columns เป็นการกาหนดความกว้างของ Column เพื่อใช้บรรจุค่าตัวแปรท้ังตัวเลขหรือ ตัวอักษร - Align เปน็ การกาหนดให้คา่ ของขอ้ มูลแสดงชิดซา้ ย ขวา หรอื กลาง - Measure การกาหนดลักษณะข้อมูลว่าเป็น Scale, Ordinal หรือ Nominal Scale คือ ข้อมลู ที่ใช้วัด Ordinal คอื เลขแสดงลาดับ Nominal คือ ขอ้ มูลนามบญั ญัติ

130 รายละเอยี ดในส่วนของ Variable View แสดงในภาพที่ 1 ภาพที่ 1 แสดงหนา้ จอ SPSSS แถบเมนู Variable view เม่ือสร้างตวั แปรทกุ ตัวใน Variable View แลว้ จะพมิ พข์ ้อมูลจากแบบสอบถาม ให้คลกิ ท่ี Data View ซึ่งอยมู่ ุมดา้ นล่างซ้ายของจอ Data Editor จะพบว่าตวั แปรจะอยูใ่ นแตล่ ะ Colum (กลั ยา วาณิชย์บัญชา. 2552) เชน่ ในช่อง File name คาถามเกี่ยวกบั เพศ ซ่งึ ไดต้ ั้งชอ่ื เปน็ A1 และกาหนดคา่ (Value) ว่าเพศชาย ใหเ้ ป็น 1 เพศหญิงให้เปน็ 2 ดังน้ัน ถ้าผู้ตอบแบบสอบถามเปน็ เพศหญิง ให้กรอกข้อมลู เป็น 2 หน้าจอของ Data View ประกอบด้วย (กลั ยา วาณชิ ย์บญั ชา, 2552) - Row หรอื บรรทดั โดยที่ 1 row หรอื 1 บรรทัด คือ 1 case ซง่ึ หมายถึง แบบสอบถาม 1 ชดุ ทไ่ี ด้จากการสอบถามตวั อย่าง 1 คน ถ้าแบบสอบถาม 300 ชุด ในหน้าจอนีจ้ ะต้องมี 300 บรรทดั - Colum หรือคอลัมน์ จะหมายถงึ ตัวแปร โดยท่ี 1 คอลัมน์ คอื 1 ตัวแปร ซง่ึ จะมีตัว แปรทสี่ ร้างไว้ใน Variable View อยู่ทห่ี ัว Colum - Cell หรือเซลล์ เป็นส่วนตัดของ row กับ colum แต่ละเซลล์ จะต้องมีคา่ ของตวั แปรเพยี งค่าเดยี วเท่าน้นั นอกจากน้นั ในเซลลไ์ มส่ ามารถเขยี นเปน็ สตู รไดเ้ หมือนในโปรแกรม Exell - แฟ้มข้อมลู จะต้องเปน็ รูปสี่เหลย่ี ม ขนาดของรปู สเ่ี หลยี่ มจะขน้ึ กับจานวน row และ จานวน colum เช่น ถา้ จานวนแบบสอบถาม 100 ชดุ หมายถงึ มี 100 rows และถ้าตวั แปรมี 5 ตัว ขนาดของ แฟม้ ขอ้ มลู จะเปน็ 100 x 5

131 - ทกุ cell จะต้องมขี ้อมลู นนั่ คือหา้ มมี cell ว่าง ผ้ใู ช้สามารถเข้าข้อมลู ท่ี cell ใดก็ได้ ถา้ เจาะขอ้ มูลนอกขอบเขตของแฟม้ ข้อมูล เชน่ ถา้ ขนาดของแฟ้มข้อมลู เปน็ 100 x 10 ถ้าพิมพ์ค่าของขอ้ มูลที่ cell (120, 10) ขนาดของแฟ้มขอ้ มูลจะขยายเป็น 120 x 10 ซงึ่ ทาให้เกิดเซลลว์ ่าง กรณีท่ีเป็นตวั แปรเชิง ปริมาณ หรอื ชนดิ Numeric จะทาใหเ้ กดิ cell ท่ีวา่ ง จะมีค่าของข้อมูลเป็น system – missing value หรอื มีคา่ เปน็ จดุ (.) รายละเอยี ดแถบเมนู Data View ดงั แสดงในภาพที่ 2 ภาพท่ี 2 แสดงหนา้ จอ SPSSS แถบเมนู Data view 4. การวิเคราะห์ขอ้ มูลและการประมวลผลข้อมูลจากโปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ าเร็จรปู (SPSS) เมือ่ บนั ทึกข้อมลู ลงในโปรแกรมเรียบรอ้ ยแลว้ กส็ ามารถทาการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เหล่านัน้ ได้เลย ซ่งึ สามารถวิเคราะหไ์ ดห้ ลายรปู แบบ เชน่ - การแจกแจงความถใ่ี นรปู ของตารางทางเดียว - การแจกแจงความถใี่ นรูปของตารางหลายทาง - การวิเคราะหข์ ้อมลู ดว้ ยสถติ ิเบ้ืองต้น - การวเิ คราะหข์ ้อมลู ดว้ ยสถิติข้ันสูง

132 ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะการวเิ คราะหข์ ้อมูลในรปู แบบการแจกแจกความถด่ี ว้ ยสถติ ิเบื้องต้น ในรปู ของ ตารางทางเดยี วและตารางหลายทาง การหาค่า KR – 20 และการหาค่า Reliability รายละเอยี ดดังน้ี 4.1 การแจกแจงความถใ่ี นรปู ของตารางทางเดียว เปน็ การแจกแจงขอ้ มูลโดยใช้ ตวั แปรเพยี งตัว เดียว มีวิธกี ารดงั นี้ 1) เลอื กเมนูและคาส่งั ตามลาดับ ดงั นี้ Analyze → Descriptive Statistics → Frequencies จะปรากฏวินโดวส์ของ Frequencies 2) เลอื กตัวแปรท่ตี ้องการศึกษาไปไวใ้ นกล่องของ Variable(s) เชน่ ถา้ ตอ้ งการวิเคราะห์ ข้อมลู ตวั แปร เพศ สถานภาพสมรส …….ก็เลอื กตัวแปรดังกลา่ วกล่องของ Variable(s) 4.3. คลิกทีป่ มุ่ OK จะปรากฏผลลัพธ์ในวินโดวส์ Output รายละเอยี ดดังแสดงใน ภาพท่ี 3 และตารางที่ 1 ภาพที่ 3 แสดงหนา้ จอ SPSS แถบเมนู การแจกแจงความถ่ีในรูปของตารางทางเดียว

133 ตารางที่ 1 ตวั อย่างผลการวเิ คราะหค์ วามถแี่ ละรอ้ ยละในรูปของตารางทางเดยี ว เมื่อทาการวเิ คราะหข์ ้อมูลในรูปแบบการแจกแจงความถีใ่ นรูปของตารางทางเดยี วผลลพั ธท์ ไี่ ด้จาก โปรแกรม SPSS ดังนี้ 1. Valid คอื ขอ้ มูลท่นี ามาแจกแจงความถี่ 2. Missing คอื ข้อมลู ทีข่ าดหายไปหรอื ไม่สมบรู ณ์ 3. Total คอื ขอ้ มูลท้งั หมดท่ีนามาแจกแจงความถี่ 4. Frequency คอื คา่ ทแ่ี สดงจานวน หรอื ความถี่ทน่ี บั ได้ 5. Percent คอื ค่าท่ีแสดงจานวน หรือความถ่ที นี่ บั ได้ ในรูปร้อยละ 6. Valid Percent คือ คา่ ท่ีแสดงจานวนทน่ี บั ไดใ้ นรปู ร้อยละ โดยไม่นาจานวน ขอ้ มลู ที่เปน็ missing มารวม 7. Cumulative Percent คือ ค่าท่ีแสดงจานวนสะสมในรูปร้อยละ โดยนาจานวน ขอ้ มลู ท่ีเป็น missing มารวม การแปลผลจากตาราง Out put จะพบว่าการศึกษาน้ีกลุ่มตัวอย่าง เพศชายและเพศหญิงเท่ากัน คือ ร้อยละ 50 ในสว่ นของสถานภาพสมรส พบวา่ ส่วนใหญ่เปน็ โสดรอ้ ยละ 50 สถานภาพโสด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook