Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 7 3-2562

บทที่ 7 3-2562

Published by surachat.s, 2020-06-03 21:32:13

Description: บทที่ 7 3-2562

Search

Read the Text Version

บทที่ 7 การแพทย์ทางเลอื ก (Alternative Medicine) อ.ดร.สุรชาติ สิทธิปกรณ์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วัตถปุ ระสงค์ เมอื่ จบการเรยี นการสอนในหวั ข้อนแ้ี ล้ว นิสติ สามารถ 1. อธบิ ายความหมายของการแพทย์ทางเลือกได้ 2. อธบิ ายหลกั ในการพิจารณาเลือกใช้การแพทยท์ างเลือกได้ 3. อธิบายประเภทของการแพทย์ทางเลอื กได้

เน้ือหา 1. บทนา 2. ความหมายของการแพทย์ทางเลอื ก 3. หลักในการพจิ ารณาเลือกใชก้ ารแพทย์ทางเลือก 4. ประเภทของการแพทยท์ างเลือก 5. การใช้การแพทยท์ างเลือกในประเทศไทย 6. ตัวอยา่ งของการแพทย์ทางเลอื ก

1. บทนา ปจั จุบนั ปัญหาสขุ ภาพของประชาชน ได้เปล่ยี นแปลงรปู แบบไปตาม สภาพเศรษฐกจิ และสงั คม ประชาชนเจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคไม่ติดตอ่ แนวโนม้ สูงขึ้น เชน่ มะเร็ง เบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด รวมท้ังภาวะเครยี ด การบาบดั รักษาโรคดงั กล่าวในปัจจุบนั มใิ ชม่ ีเพยี งวธิ กี ารเดยี วทจ่ี ะ ทาให้อาการปว่ ยหายขาดหรอื บรรเทา แต่ยงั มที างเลอื กหลากหลายท่ีจะทาให้ บรรลเุ ปา้ หมายดงั กล่าว รวมทงั้ อาจตอบสนองความพึงพอใจของประชาชนได้

สขุ ภาพทางเลอื ก/การแพทยท์ างเลือก (Alternative Health/ Alternative medicine) รูปแบบวิธกี ารดแู ลสง่ เสรมิ สขุ ภาพที่มใิ ชก่ ารแพทย์หลกั /วิธกี ารดแู ลรกั ษา สขุ ภาพตนเองหรือได้รับจากผอู้ น่ื นอกเหนือจากระบบวธิ กี ารแพทย์แผนปจั จบุ นั การแพทย์แผนไทย และการแพทยพ์ นื้ บา้ นไทย โดยเทคนิคการรักษาส่วนใหญ่ จะมีลกั ษณะไม่กระทาตอ่ ร่างกายอย่างรุนแรง (Non-invasive)/ ไมใ่ ช้เภสชั ภณั ฑ์ทีม่ ีสารเคมี (Non-pharmaceutical) การแพทย์ทางเลือกจะช่วยให้ผอ่ นคลายความเครยี ด ลดความวติ กกังวล เสรมิ สรา้ งกาลงั ใจ ชว่ ยเสริมประสทิ ธผิ ลของการรักษาได้ ยังสามารถลดความทกุ ข์ ทรมานจากภาวะแทรกซอ้ น/ผลข้างเคยี งของการรักษาแพทย์แผนปัจจบุ ันได้

2. ความหมายของการแพทยท์ างเลือก (Alternative Medicine) “ศาสตรเ์ พ่อื การวนิ จิ ฉยั รักษาและปอ้ งกนั โรค นอกเหนอื จากศาสตร์ การแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั การแพทย์แผนไทย และการแพทยพ์ น้ื บา้ นไทย” (สานักการแพทย์ทางเลอื ก กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสขุ , 2558) “ศาสตรเ์ พื่อการวนิ จิ ฉยั การรกั ษาและการปอ้ งกนั โรคทน่ี อกเหนอื จากศาสตร์ การแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั เป็นการปฏบิ ตั ิใด ๆทม่ี ีผลในการรกั ษาโรค ท่ีไมไ่ ดต้ ้ังอย่บู น พืน้ ฐานของ“หลกั ฐาน”ท่ีมีการเกบ็ รวบรวม โดยใชว้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ซ่ึงประกอบไป ด้วยความหลากหลายของการดแู ลสขุ ภาพ ผลิตภณั ฑ์และการบาบดั รกั ษาตา่ ง ๆ” Food and Drug Administration (2007)

3. หลักในการพจิ ารณาเลอื กใช้การแพทยท์ างเลอื ก 1) หลกั การมปี ระสิทธผิ ล บรรเทาอาการเจบ็ ป่วยของผปู้ ว่ ยได้จรงิ 2) หลกั ความปลอดภัย ผ้ปู ว่ ยปลอดภยั ไมพ่ บ/ป้องกนั ภาวะแทรกซอ้ นได้ 3) หลกั ความคมุ้ คา่ ประหยัดค่าใช้จ่ายและคุ้มค่าสมกบั ราคา 4) หลกั ความมีเหตผุ ล อธิบายใหเ้ ข้าใจถงึ ทฤษฎ/ี กลไกของการบาบัดรักษาโรค ตามปรัชญาของการแพทยท์ างเลอื กในแตล่ ะสาขาได้

4. ประเภทของการแพทยท์ างเลือก แบง่ ตามหลกั เกณฑ์ตา่ ง ๆ ได้ 2 ประเภทดงั น้ี 4.1 แบ่งตามการใชป้ ระโยชน์ แบ่งเปน็ 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ - Complementary Medicine (การแพทย์สนบั สนนุ ) การแพทย์ ทางเลือกท่ีนาไปใช้ร่วมกบั การแพทยแ์ ผนปัจจุบนั เช่น การใช้สมนุ ไพร การฝงั เข็ม การทา สมาธิ การนวด วารบี าบัด การเลอื กบรโิ ภคอาหาร (มงั สวริ ัติ เจ) รว่ มกับการรกั ษาปจั จุบัน - Alternative Medicine (การแพทยท์ างเลอื ก) การแพทยท์ างเลอื กท่ี นาไปใช้ทดแทนการแพทย์แผนปัจจุบนั ได้ นิยมใช้ในการป้องกันโรคมากกว่าการรกั ษา

4. ประเภทของการแพทยท์ างเลอื ก 4.2 แบง่ ตามหนว่ ยงาน National Center of Complementary and Alternative Medicine (NCCAM) อเมริกา (2005) แบ่งเป็น 5 กลมุ่ ไดแ้ ก่ 4.2.1. Alternative Medical Systems คอื การแพทย์ทางเลือก ทมี่ วี ธิ กี ารตรวจรักษาวินิจฉัยและการบาบดั รักษาท่ีมหี ลากหลายวธิ ีการ ทั้งดา้ นการให้ยา การ ใช้เครอ่ื งมือมาชว่ ยในการบาบดั รักษาและหัตถการต่าง ๆ เชน่ การแพทยแ์ ผนโบราณของ จีน (Traditional Chinese Medicine) การแพทย์แบบอายุรเวทของอนิ เดยี เป็นต้น 4.2.2 Biologically Based Therapies คอื วิธกี ารบาบัดรกั ษาโดย นาเข้าสู่รา่ งกาย ทั้งอาหารเสริม วติ ามนิ เกลือแร่ ต่าง ๆ การใช้สารชีวภาพ สารเคมีต่าง ๆ เช่น สมนุ ไพร วติ ามิน อาหารสขุ ภาพ Chelation Therapy (การลา้ งพษิ หลอดเลอื ด) และ Ozone Therapy เปน็ ตน้

4. ประเภทของการแพทยท์ างเลอื ก Chelation Therapy (การลา้ งพษิ หลอดเลอื ด)และ Ozone Therapy

4. ประเภทของการแพทยท์ างเลอื ก 4.2.3 Mind-Body Interventions การบาบัดจิต-กาย วธิ ีการบาบดั รักษาแบบใช้กายและใจ เป็นการกระทาตอ่ ตนเองโดย คาแนะนาของผู้ร้หู รือครู สง่ ผลให้มสี ุขภาพท่ดี ีขึน้ เปนการปฏบิ ัตดิ วยวิธีตาง ๆท่ีมจี ดุ รวมของการมีปฏสิ ัมพันธกนั ของสมอง จิตใจ รางกาย และพฤติกรรม ดวยการกากับท่จี ติ ใจใหมผี ลสงตอไปท่ีการทางาน ของรางกาย (เชน ลดปวด ลดความเครียด) และสงเสริมสุขภาพ บางวธิ ีไดนา มาเปนแนวหลกั (mainstream)ของการรักษา เชน่ การใช้สมาธบิ าบัด โยคะ และ ช่ีกง

4. ประเภทของการแพทยท์ างเลอื ก 4.2.4 Manipulative and Body-Based Methods การจัด-ดดั โครงสรางรางกาย เปน็ วธิ ีการบาบดั รักษาโดยการใช้หตั ถการ ต่างๆ เช่น การนวด ดดั จัดกระดกู การแพทยแ์ ผนออสทโี อพาธี(Osteopathy) และ Chiropractic (การนวด/จบั กระดกู สันหลงั ) 4.2.5 Energy Therapies วธิ ีการบาบดั รกั ษาทีใ่ ชพ้ ลงั งานในการ บาบดั รักษาทสี่ ามารถวดั ได้ และไม่สามารถวัดไดใ้ นการบาบดั รักษา (Internal Energy) พลงั บาบดั ทปี่ ลอ่ ยออกมาจากส่งิ มีชวี ิตเขา้ บาบดั ผปู้ ่วยโดยตรง เชน่ สวดมนตบ์ าบัด - การบาบัดโดยอาศัยพลงั งานจากภายนอก ต่าง ๆพลังกายทพิ ย์ พลัง จกั รวาล เรกิ และ โยเร เปน็ ต้น

4. ประเภทของการแพทยท์ างเลอื ก 4.3 แบ่งตามศาสตรแ์ ขนงตา่ ง ๆ แบ่งเป็น 3 กลมุ่ ได้แก่ 1) ศาสตร์ของการปรบั สมดลุ ของธาตหุ รอื สารชวี ภาพในรา่ งกาย เช่น 1) สมุนไพร 2) วิตามินบาบัด 3) การล้างพิษ 4) อาหารสูตรต่าง ๆ เช่น เจ มงั สวริ ัติ เฉพาะสูตรสาหรบั ผู้ปว่ ย

4. ประเภทของการแพทยท์ างเลือก 4.2 แบง่ ตามศาสตรแ์ ขนงตา่ ง ๆ (ตอ่ ) 2) ศาสตร์ของการปรบั สมดลุ ของโครงสรา้ ง ร่างกาย (กระดกู และกลา้ มเนอ้ื ) 1) การนวด 2) การจัดกระดกู 3) วารีบาบัด หรือ ธาราบาบดั 4) การออกกาลงั กายแบบตา่ ง ๆ เช่น โยคะ ช่ีกง ไทเกก็

4. ประเภทของการแพทยท์ างเลือก 3) ศาสตร์ของการปรบั สมดลุ พลงั ในรา่ งกาย เช่น 4.2 แบ่งตามศาสตรแ์ ขนงตา่ ง ๆ (ตอ่ ) 1) การฝกึ สมาธิ 2) การฝังเข็ม 3) ดนตรีบาบัด 4) สุคนธบาบดั (Aroma Therapy)

5. การใชก้ ารแพทยท์ างเลือกในประเทศไทย ประเทศไทยมกี ารนาศาสตรก์ ารแพทยท์ างเลอื กไปใชใ้ นกลมุ่ ผปู้ ว่ ยเรอื้ รงั รว่ มกบั การแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั ที่ชัดเจนสดุ คอื กลุม่ เพอ่ื นมะเร็งไดม้ กี ารนาเอาการแพทยท์ างเลือก ในรูปแบบของอาหารสขุ ภาพ การนง่ั สมาธิ และการใช้หนิ บาบดั มาใช้รว่ มกบั การรกั ษาโดย แพทยแ์ ผนปจั จบุ ันในการรกั ษาโรคมะเรง็

ความนยิ มและถกู เลอื กมาใช้ในสงั คมไทย 1. สุขภาพทางเลอื กทไ่ี ดร้ ับความนิยมสงู สดุ ได้แก่ การนวดกดจดุ (Massage) รองลงมาคอื การทาสมาธิ (Meditation) และโยคะ (Yoga) สานกั นโยบายและแผนสาธารณสุข (ตลุ าคม 2540) 2. ขอ้ มูลและการดแู ลสขุ ภาพทางเลอื กในคนไทย พบวา่ ศาสตร์ที่คนไทยรจู้ กั ให้ ความศรทั ธาและมีความนยิ มใช้ 25 ศาสตร์ ดังนี้ สมนุ ไพร การนวด สมาธิ/โยคะ การ นวดศีรษะ รามวยจนี /ไทเกก็ พลงั รังสีธรรม สมาธิหมุน ชวี จติ พลังจกั รวาล/โยเร การ ฝงั เขม็ การฟงั ดนตรี การสวดมนต์/ภาวนา อบสมนุ ไพร การใช้เครอื่ งหอม/ยาดม การใช้ วิตามนิ /เกลือแร/่ อาหารปลอดสารพษิ ดม่ื นา้ ผกั /ผลไม้ การสวนลา้ งพิษ การดหู มอ/รด นามนต์ ศลิ ปะบาบัด การผ่อนคลายแบบ Biofeedback การใชค้ าถา/เวทมนต์ การเพ่ง โดยการใช้แสง สี เสียง การเข้าทรงนัง่ ทางใน การใชเ้ ก้าอีแ้ มเ่ หลก็ ไฟฟ้า การใชว้ ชิ า ธรรมจักร สมพร เตรียมชยั ศรี และคณะ (2543)

6. การใชก้ ารแพทยท์ างเลอื กในประเทศไทย 6.1 สมนุ ไพร กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก ศึกษาสรรพคุณของสมุนไพรใน การบาบดั และรักษาโรค ความค้มุ คา่ พษิ ขา้ งเคียง < ยา ผลิตจากวตั ถุดิบสมนุ ไพรใน ประเทศ ลดการนาเข้ายาจากต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสขุ ผลกั ดนั ยาสมุนไพรสรู่ ะบบบรกิ ารของรฐั และเอกชนอย่าง เปน็ ทางการ โดยประกาศบญั ชียาจากสมนุ ไพร พ.ศ. 2542 กอ่ นหนา้ นเ้ี ป็นยาทส่ี ั่งจ่ายโดย ผู้ประกอบการโรคศิลปะแพทยแ์ ผนไทยเท่าน้ัน

6.1 สมุนไพร ประเภทของยาจากสมนุ ไพร มีดังน้ี 1. ยาแผนไทยประยกุ ต์ ยาทมี่ ีการพัฒนารปู แบบ สูตรตารับ การผลิต หรือ การใชท้ ี่แตกต่างนอกเหนือจากยาแผนไทยตามหลักเกณฑ์ทีร่ ับขนึ้ ทะเบยี นเปน็ ตารบั ยา แผนโบราณทัว่ ไป 2. ยาแผนเดมิ ประยกุ ต์ ยาสมุนไพรตามองค์ความร้ดู ง้ั เดิมนอกเหนอื จากยา แผนไทย เชน่ ยาตามศาสตรแ์ พทย์แผนจีนท่ีมกี ารพัฒนาทีแ่ ตกตา่ งนอกเหนือจากยาทีเ่ ข้า ตามหลกั เกณฑ์ทเ่ี ปน็ ตารบั ยาแผนโบราณทว่ั ไป 3. ยาทเี่ ปน็ ตารบั ยาสมนุ ไพรเดยี่ ว ยาทม่ี กี ารประยุกต์สมุนไพรเด่ยี วมา พัฒนาเปน็ ตารับยา นอกเหนอื จากท่ีมีการรบั ขน้ึ เปน็ ยาแผนโบราณท่วั ไป 4. ยาจากสมุนไพรแผนปจั จบุ นั ยาท่ี มกี ารวิเคราะห์ วิจยั ครบวงจร โดย สามารถหาสารสาคัญในสมุนไพรได้ และมขี ้อมลู การวิจยั ทางคลนิ กิ สนับสนนุ

การควบคมุ คณุ ภาพมาตรฐานของยาสมนุ ไพร 6.1 สมุนไพร 1. ด้านวตั ถุดบิ - ตวั ยาจากพืช ระบุชื่อวิทยาศาสตร์ ส่วนของพืชที่ใช้ - ตัวยาจากสัตว์ ระบุช่อื วิทยาศาสตรแ์ ละสว่ นท่ใี ช้ - ตัวยาจากธาตุวตั ถุ ระบุช่ือวทิ ยาศาสตร์และองคป์ ระกอบหลกั ทางเคมี - ตัวยาเป็นสารสกัด แสดงชื่อตัวทาละลายและ อตั ราสว่ นของตวั ยา และสารสกดั ทไ่ี ด้ เช่น Sennae folium dry : 60% ethanol extract (8:1) 2. สตู รตารบั ยา แจง้ สูตรตารบั ของผลิตภณั ฑต์ ่อหน่วย/นา้ หนักร้อยละแล้วแต่กรณี ระบวุ ัตถดุ บิ ท่ี เป็นสว่ นประกอบแต่ละชนิด พร้อมปริมาณที่ใชใ้ นสูตรตารบั แยกตัวยาสาคญั และ สว่ นประกอบทไี่ มส่ าคัญในสูตร ใหแ้ จง้ เป็นปริมาณต่อหน่วย (unit dose) โดยใชม้ าตรา เมตริกแสดงน้าหนกั หรอื ปริมาตร/ แจ้งเปน็ %/ แจ้งเป็นช่วง เทียบเท่ากบั ปรมิ าณสารออก ฤทธิ์หรอื สารเทียบ

บญั ชยี าหลกั แหง่ ชาตจิ ากสมุนไพร 5.1 สมุนไพร ปัจจุบันบัญชยี าหลกั แห่งชาตจิ ากสมนุ ไพร ปรบั ปรงุ ลา่ สุดโดยประกาศ คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2559 และประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เมือ่ วันที่ 19 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2559 ซึง่ ไดแ้ บ่งกล่มุ 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ กลุ่ม 1 ยาแผนไทยหรอื ยาแผนโบราณ (50 รายการ) กลมุ่ 2 ยาพัฒนาจากสมุนไพร (24 รายการ)

ยาพัฒนาจากสมนุ ไพร จานวน 24 รายการ แบง่ เปน็ ยาใชร้ กั ษา 8 กลมุ่ อาการ 1. กลุ่มยารกั ษากลุ่มอาการของระบบทางเดนิ อาหาร 1.1 กลมุ่ ยาขับลม บรรเทาอาการทอ้ งอดื ทอ้ งเฟอ้ ไดแ้ ก่ 1.1.1 ยาขมน้ิ ชนั (บรรเทาอาการแน่นจุกเสยี ด ทอ้ งอืด ท้องเฟอ้ ) 1.1.2 ยาขงิ (บรรเทาอาการท้องอดื ขบั ลม แนน่ จกุ เสียด ปอ้ งกนั และบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน จากการเมารถ เมาเรอื และปอ้ งกนั อาการคล่ืนไส้ อาเจียนหลังการผ่าตดั )

ยาพฒั นาจากสมนุ ไพร จานวน 24 รายการ แบง่ เปน็ ยาใชร้ กั ษา 8 กลุ่มอาการ 1.2 กล่มุ ยาบรรเทาอาการทอ้ งผกู ไดแ้ ก่ 1.2.1 ยาชมุ เหด็ เทศ (บรรเทาอาการทอ้ งผูก) 1.2.2 ยามะขามแขก (บรรเทาอาการทอ้ งผูก)

ยาพฒั นาจากสมนุ ไพร จานวน 24 รายการ แบง่ เปน็ ยาใชร้ กั ษา 8 กลุ่มอาการ 1.3 กลมุ่ ยาบรรเทาอาการทอ้ งเสยี ไดแ้ ก่ 1.3.1 ยากลว้ ย (ยาผงกลว้ ยนา้ ว้าแกจ่ ดั / กล้วยหักมกุ แก่จดั บรรเทาอาการทอ้ งเสยี ชนดิ ท่ไี ม่ เกดิ จากการติดเชื้อ เชน่ อุจจาระไม่เปน็ มกู หรอื มี เลือดปน) 1.3.2 ยาฟา้ ทะลายโจร (บรรเทาอาการ ทอ้ งเสยี ชนดิ ทไ่ี มเ่ กดิ จากการตดิ เช้อื เช่น อจุ จาระไม่ เปน็ มกู หรอื มเี ลือดปน)

ยาพัฒนาจากสมนุ ไพร จานวน 24 รายการ แบง่ เปน็ ยาใชร้ กั ษา 8 กลมุ่ อาการ 1.4 กลมุ่ ยารกั ษาแผลในกระเพาะอาหาร ได้แก่ 1.4.1 ยากล้วย (ยาผงกล้วยนา้ วา้ แกจ่ ัด/ กลว้ ยหักมกุ แก่จดั รักษาแผลในกระเพาะอาหาร) 1.5 กลุ่มยาบรรเทาอาการคลนื่ ไสอ้ าเจยี น ไดแ้ ก่ 1.5.1 ยาขงิ (บรรเทาอาการแนน่ จุกเสยี ด ท้องอดื ทอ้ งเฟอ้ ปอ้ งกันและบรรเทาอาการคล่ืนไส้ อาเจียน ที่มีสาเหตจุ ากการเมารถ เมาเรอื และปอ้ งกันอาการคลืน่ ไส้ อาเจียน หลังการผ่าตดั )

ยาพัฒนาจากสมุนไพร จานวน 24 รายการ แบง่ เปน็ ยาใช้รกั ษา 8 กลมุ่ อาการ 2. กลมุ่ ยารักษากล่มุ อาการของระบบทางเดนิ หายใจ บรรเทาอาการเจ็บคอและบรรเทาอาการของโรคหวดั เช่น เจ็บคอ ปวด เมื่อยกล้ามเนื้อ ได้แก่ ยาฟา้ ทะลายโจร (ยาแคปซูล ยาเมด็ ยาลูกกลอน)

3. กลุม่ ยารกั ษากลมุ่ อาการทางระบบผวิ หนงั 3.1 ทาแกก้ ลากเกลอ้ื น โรคผวิ หนังทเ่ี กดิ จากเชอื้ รา นา้ กดั เท้า ได้แก่ ยา ทองพันช่งั (ทงิ เจอร์) 3.2 บรรเทาผวิ หนังอกั เสบ อักเสบจากแมลงกัด ตอ่ ย ได้แก่ ยาพลู(ทิงเจอร์) 3.3 สมานแผล ได้แก่ ยาบวั บก (ยาครีม) 3.4 ทาแผลสด แผลเรอ้ื รัง ไดแ้ ก่ ยาเปลอื กมังคุด (ยาน้าใส) 3.5 บรรเทาอาการของโรคเริม โรคงสู วัด ผดผื่น ลมพิษ ได้แก่ ยาพญายอ (ยาทงิ เจอร์ ยาครีม ยาโลช่ัน และยาขีผ้ งึ้ ) 3.6 รกั ษาแผลไฟไหม้ นา้ ร้อนลวก ไดแ้ ก่ ยาว่านหางจระเข้ (ยาเจล) 3.7 กาจดั เหา ได้แก่ ยาเมลด็ นอ้ ยหนา่ (ยาครีม)

4. กลุ่มยารกั ษากลมุ่ อาการทางกลา้ มเนอ้ื และกระดูก 4.1 บรรเทาอาการปวดกลา้ มเนอ้ื ลดการอกั เสบของกลา้ มเนอ้ื บรรเทาอาการปวด หลงั สว่ นลา่ ง และอาการปวดจากขอ้ เขา่ เสอื่ ม ไดแ้ ก่ ยาเถาวลั ยเ์ ปรยี ง (ยาแคปซลู ) 4.2 บรรเทาอาการปวดกลา้ มเนอื้ ลดการอกั เสบของกลา้ มเนอื้ ไดแ้ ก่ ยาพรกิ (ยา เจล ยาครีม) 4.3 บรรเทาอาการบวม ฟกช้า เคลด็ ยอก ได้แก่ ยาไพล (ยาครีม ยาน้ามนั )

5. กลุ่มยารกั ษากลมุ่ อาการทางระบบทางเดนิ ปสั สาวะ 5.1 ขบั ปัสสาวะ แก้ขดั เบา ไดแ้ ก่ ยากระเจีย๊ บแดง (ยาชง) 5.2 ขบั ปัสสาวะ แก้ขดั เบา ขับนิ่วขนาดเล็ก ไดแ้ ก่ ยาหญ้าหนวดแมว (ยาชง)

6. กลุ่มยาแกไ้ ข้ แกร้ ้อนใน 6.1 แกไ้ ข้ แกร้ ้อนใน ชา้ ใน ได้แก่ ยาบัวบก (ชง) 6.2 แกไ้ ข้ แก้รอ้ นใน เจรญิ อาหาร ได้แก่ ยามะระขี้นก (ชง ยาเม็ด ยาแคปซูล) 6.3 ถอนพิษไข้ แกร้ อ้ นใน ได้แก่ ยารางจดื (แคปซูล ยาชง) 6.4 แก้ไข้ แกร้ ้อนใน แกน้ า้ เหลอื งเสยี ไดแ้ ก่ ยาหญา้ ปกั กิง่ (แคปซลู )

7. กลุม่ ยาถอนพษิ เบื่อเมา ถอนพิษเบื่อเมา ไดแ้ ก่ ยารางจดื (ยาชง) 8. กลุม่ ยาลดความอยากบหุ รี่ ลดความอยากบหุ รี่ ไดแ้ ก่ ยาหญา้ ดอกขาว (ยาชง)

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สมนุ ไพร ปัจจุบันความนิยมผลติ ภัณฑ์สมุนไพรในปจั จุบนั มีเพ่ิมมากขน้ึ และปญั หาการท่ี ผบู้ รโิ ภคถกู หลอกลวงจากผผู้ ลติ และจาหน่วยผลติ ภัณฑส์ มุนไพรก็ตามมาเปน็ เงาตามตวั ผบู้ รโิ ภคควรท่ีจะมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในการเลอื กใชผ้ ลิตภณั ฑส์ มนุ ไพรอยา่ งรู้จรงิ รทู้ ัน รตู้ วั และรู้สทิ ธขิ องตนเอง ขน้ึ กบั ปัจจัยที่มผี ลตอ่ การเลอื กใช้ผลติ ภณั ฑ์สมนุ ไพร คือ 1. การโฆษณาเกินจริงหรือเปน็ เท็จ กรณเี ป็นยาแสดงสรรพคณุ ไดใ้ นเร่ืองการรกั ษาอาการทว่ั ไป 2. การแสดงฉลาก เช่น ทะเบียนยา ผลติ ยาโดยผปู้ ระกอบโรคศลิ ปะ 3. รูปลกั ษณะของผลิตภัณฑ์ 5. การส่งเสริมการขาย 4. ช่องทางการจาหนา่ ย โดยทั่วไปซือ้ จากรา้ นขายยา 6. ความรคู้ วามเขา้ ใจของผซู้ อื้ ยกเว้นยาสามัญประจาบา้ น 7. กระแสความนิยม ความเชื่อ หรอื วัฒนธรรม

ผลิตภณั ฑ์สมนุ ไพร ในปัจจุบนั มี 3 รูปแบบหลัก 1. ผลิตภัณฑ์อาหาร ตามพระราชบญั ญัติ พ.ศ. 2522 แบ่งประเภทอาหาร เป็น อาหารควบคุมเฉพาะ (ตอ้ งขนึ้ ทะเบียน) อาหารกาหนดคุณภาพหรอื มาตรฐาน อาหารท่ีตอ้ งมฉี ลาก และอาหารท่ัวไป ซ่ึงประเภทของผลติ ภัณฑ์อาหารท่ีควรรู้จกั มดี งั น้ี 1.1 ผลิตภัณฑท์ ไ่ี ม่ต้องมีเครือ่ งหมาย อย. แตต่ อ้ งมฉี ลาก เช่น เมล็ดธัญพืช ขา้ วกล้อง ถว่ั งา พริกแหง้ 1.2 ผลิตภณั ฑท์ ตี่ อ้ งขออนญุ าต (ขอ อย.) แตไ่ ม่ตอ้ งสง่ ตวั อยา่ งตรวจวเิ คราะห์ เชน่ ผลไม้ตากแหง้ ดอง แช่อิม่ บรรจภุ าชนะ เช่น กล้วยตาก มะมว่ งดอง 1.3 ผลิตภัณฑ์ทีต่ อ้ งขออนุญาต (ขอ อย.) และตอ้ งสง่ ตวั อยา่ งตรวจวเิ คราะห์ เช่น เคร่ืองด่มื ชนดิ นา้ และผงท่ที าจากผัก ผลไม้ สมุนไพร เคร่อื งปรุงรส (ซอสพริก ซอส มะเขือเทศ) ผลิตภัณฑด์ ังกล่าวขา้ งตน้ กรณเี ข้าข่ายโรงงานตอ้ งขออนญุ าตสถานทผี่ ลิตดว้ ย

1. ผลติ ภณั ฑอ์ าหาร นอกจากผลติ ภัณฑอ์ าหารดังกลา่ วมาแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารท่นี า สมุนไพรมาใชน้ อกเหนอื จากการเปน็ อาหาร คือ - สาหรบั สง่ เสรมิ สขุ ภาพหรอื ลดความเสยี่ งจากการเกดิ โรคหรอื ความเจ็บปว่ ย เชน่ ต้านอนมุ ลู อสิ ระ ชะลอความแก่ สง่ เสรมิ สขุ ภาพผ้ชู าย ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน สมุนไพรเหล่าน้ีหากมีการแสดงสรรพคุณขา้ งตน้ จะถกู จดั เปน็ ยา ไมส่ ามารถ เป็นอาหารตามกฎหมายอาหารได้

2. ผลติ ภณั ฑเ์ ครอ่ื งสาอาง พรบ.เครื่องสาอาง พ.ศ. 2535 แบ่งประเภทเครื่องสาอางเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ เครื่องสาอางควบคมุ พเิ ศษ เคร่อื งสาอางควบคุม และเคร่ืองสาอางท่ัวไป ดงั น้ี 2.1 เครอื่ งสาอางควบคมุ พเิ ศษ เปน็ เครอ่ื งสาอางที่มคี วามเสยี่ งสงู หากใชไ้ มถ่ กู วิธีไดแ้ ก่ ยาสฟี ันผสมฟลอู อไรด์ ผลิตภัณฑ์ดัดผม ยอ้ มผมชนดิ ถาวร แต่งผมดา ฟอกสีผม ยดื ผม ทาให้ขนรว่ ง เป็นต้น ตอ้ งขอข้นึ ทะเบยี นตารับเครอ่ื งสาอางควบคมุ พเิ ศษ มี ข้อความฉลากภาษาไทย ข้อความบนฉลากมขี ้อความ “เคร่อื งสาอางควบคมุ พเิ ศษ” และ มีเลขทะเบียนเครอื่ งสาอางในกรอบเครื่องหมาย อย.

2. ผลิตภณั ฑเ์ ครอื่ งสาอาง 2.2 เคร่อื งสาอางควบคุม เครื่องสาอางที่มสี ว่ นผสมของสารเคมีและวตั ถทุ ่ี อย.ประกาศใหเ้ ปน็ สารควบคมุ เส่ยี งรองลงมา จงึ ต้องมีการ จดแจ้งกับ อย. กอ่ น ไดแ้ ก่ ผา้ อนามยั ผา้ เย็น/กระดาษเย็น แปง้ ฝุ่นโรยตัว แป้งนา้ มีสารควบคมุ ตามประกาศฯ ไดแ้ ก่ สารปอ้ งกนั แสงแดด สารขจดั รงั แค ซึ่งต้องแจ้งรายละเอยี ดก่อน ผลติ /นาเขา้ ฯไมน่ ้อยกว่า 15 วัน มขี ้อความฉลากภาษาไทยต้องถูกตอ้ งครบถว้ น และ ข้อความบนฉลาก มีขอ้ ความ “เครือ่ งสาอางควบคมุ ”

2. ผลติ ภณั ฑ์เคร่อื งสาอาง 2.3 เครอื่ งสาอางทวั่ ไป คือ เครอ่ื งสาอางทีไ่ มม่ สี ว่ นผสมของสารควบคุมพิเศษ และสารควบคุม เชน่ แชมพูสระผมทไี่ มม่ ี สารขจัดรงั แคทีเ่ ป็นเครอื่ งสาอางควบคุม ครีม นวดผม น้ามันทาผิว โฟมล้างหน้า เป็นตน้ ตวั อย่างการแสดงสรรพคณุ ของเคร่ืองสาอาง เช่น Aromatic Bath ถนอม ผิว บารุงผิว ปรับสภาพผวิ ถนอมผวิ หนา้ ถนอมเส้นผม และเลบ็ เปน็ ต้น

2. ผลิตภณั ฑ์เคร่อื งสาอาง

3. ผลติ ภณั ฑย์ า ตามพรบ.ยา พ.ศ. 2510 แก้ไขเพม่ิ เตมิ 4 ฉบบั (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2522 และพระราชบญั ญัติยา (ฉบบั ท่ี 5) พ.ศ. 2530 การขอขึ้นทะเบยี นตารบั ยา ผู้รับอนุญาต ผลติ ยาหรือผู้รบั อนุญาตนาสง่ั ฯยา ผู้ ประสงค์จะผลติ /สั่งฯ ซ่งึ ยาแผนปัจจบุ นั /แผนโบราณตอ้ งนาตารบั ยามาขึ้นทะเบียน และ เม่อื ได้รบั ขึ้นทะเบียนแลว้ จึงจะผลิตยาหรือสัง่ ยาเขา้ มาในราชอาณาจกั รได้ โดยแจ้ง รายละเอยี ดในการขอขึ้นทะเบียนตารบั ยา ต้องมรี ายละเอยี ดดงั น้ี (1) ช่อื ยา (2) ชือ่ และวัตถุอนั เป็นส่วนประกอบของยา (3) ขนาดบรรจุ (4) วิธีวเิ คราะห์ของยาแผนปจั จบุ นั กรณใี ชว้ ิธีนอกตารายาฯ ยกเวน้ ยาแผนโบราณไม่ต้องแจง้ วิธวี เิ คราะห์ ตัวยาสาคัญ เน่อื งจากกฎหมายไมไ่ ด้กาหนดไว้ (5) ฉลาก (6) เอกสารกับยา (7) รายการอ่ืนตามทก่ี าหนดในกฎกระทรวง

3. ผลิตภณั ฑ์ยา - ปัจจบุ ันมีการโฆษณาชวนเชอื่ มากมาย ซง่ึ อย. ควบคมุ ดูแล คอื ยา อาหาร เคร่ืองมือแพทย์ ตอ้ งขออนญุ าตโฆษณา ผู้บรโิ ภคต้องมคี วามร้คู วามเขา้ ใจอยา่ งเพยี งพอ โดยไม่หลงเช่ือตามคาโฆษณาท่เี กินจริง ซ่งึ การโฆษณาขายยาทางช่องทางตา่ งจะตอ้ งไดร้ ับ อนุมตั ิข้อความ/เสยี ง/ภาพที่ใช้ในการโฆษณาจากผู้อนุญาตและปฏบิ ตั ติ ามเงือ่ นไข ดังน้ี 1. ไม่เป็นการโอ้อวดสรรพคุณยาหรือวตั ถอุ นั เปน็ สว่ นประกอบของยาวา่ สามารถ บาบดั บรรเทา รกั ษา/ป้องกันโรคหรอื ความเจ็บป่วยไดอ้ ยา่ งศักด์สิ ทิ ธห์ิ รือหายขาด หรือใช้ ถอ้ ยคาอ่ืนใดทีม่ คี วามหมายทานองเดียวกนั 2. ไม่แสดงสรรพคณุ ยาอันเป็นเทจ็ /เกนิ ความจรงิ 3. ไม่ทาให้เข้าใจว่ามีวัตถใุ ดเป็นตัวยา/เป็นส่วนประกอบของยา ซงึ่ ความจรงิ ไม่มี วตั ถหุ รือสว่ นประกอบน้นั ในยา หรือมแี ต่ไมเ่ ทา่ ทที่ าให้เขา้ ใจ

3. ผลิตภณั ฑย์ า 4. ไมท่ าให้เขา้ ใจวา่ เปน็ ยาทาใหแ้ ท้งลูกหรือยาขบั ระดอู ย่างแรง 5. ไม่ทาให้เขา้ ใจว่าเป็นยาบารงุ กามหรือยาคมุ กาเนิด 6. ไมแ่ สดงสรรพคุณยาอนั ตราย หรอื ยาควบคุมพิเศษ 7. ไม่มีการรับรองหรือยกย่องสรรพคุณยาโดยบคุ คลอื่น 8. ไม่แสดงสรรพคุณยาว่าสามารถบาบดั บรรเทา รกั ษา/ป้องกนั โรค/อาการ ของโรคทรี่ ฐั มนตรีประกาศตามมาตรา 77 (โรคอันตราย เช่น วัณโรคปอด มะเรง็ สมอง ตบั ม้าม ไต หัวใจ)

4. ตัวอยา่ งสมนุ ไพรท่ีมกี ารโฆษณาเกินความจริง มสี มนุ ไพรบางชนิดท่ีถกู นาไปโฆษณาเกินจริงว่าสามารถรกั ษาโรคตา่ ง ๆ ได้ ทนั ทที ันใด เช่น ไต เบาหวาน มะเร็ง และอ่นื ๆ ซ่ึงถอื เป็นการหลอกลวงประชาชน ซึ่งสมุนไพรที่พบว่ามีการโฆษณาเกนิ จริง เช่น - แปะกว๊ ย (Ginkgo; Ginkgo biloba) - โสมเกาหลี (Korean Ginseng; Panax ginseng) - มะขามแขก (Senna; Cassia senna) - แฮ้ม วา่ นชกั มดลูก ลูกยอ กระชายดา กวาวเครือ สาหร่ายเกรียวทอง

ขอ้ แนะนาในการเลอื กซื้อหรอื ใช้ผลติ ภัณฑส์ มนุ ไพร - สังเกตว่าเป็นผลิตภณั ฑป์ ระเภทใด เช่น ยา อาหาร เครื่องสาอาง มีช่ือ ผู้ผลติ /จาหน่าย และทอ่ี ย่ชู ัดเจน มขี ้อแนะนา ดังน้ี 1. ใช้ใหถ้ กู ต้น ถกู สว่ น ถกู ขนาด ถกู อาการ 2. ไม่ควรใชม้ ากหรอื ถ่เี กินไป 3. อา่ นฉลากกอ่ นใช้ อ่านให้ละเอยี ดก่อนใช้ 4. เมอื่ เรม่ิ ใช้ควรสังเกตอาการ หากพบวา่ มีอาการผิดปกตเิ กิดขน้ึ ให้หยดุ ใช้ยาแลว้ ปรกึ ษาแพทยห์ รือเภสัชกร 5. ควรระมดั ระวงั ในเรื่องความสะอาดของสมนุ ไพร เช่น เชือ้ โรคปนเป้อื น 6. สังเกตวา่ เสยี หรอื หมดอายหุ รอื ไม่ 7. ปรึกษาผ้ทู มี่ ีความรใู้ นการให้คาแนะนาท่ีถกู ตอ้ ง 8. รู้สิทธิของผู้ซื้อ/ผู้บรโิ ภคเมอ่ื พบปัญหาร้องเรยี นได้ที่ เบอรโ์ ทรศัพท์ 1556

ขอ้ แนะนาในการเลอื กซือ้ หรอื ใช้ผลติ ภณั ฑ์สมุนไพร ดงั นน้ั การเลอื กใช้สมนุ ไพรอยา่ งปลอดภัยและไม่ถูกหลอก นอกจากจะมี กฎหมายมารองรบั เพอ่ื เปน็ การคุ้มครองผบู้ ริโภคในระดบั หนงึ่ แลว้ ผบู้ ริโภคเองยังมีส่วนสาคัญ ในการท่ีจะตอ้ งดูแลคมุ้ ครองสิทธิของตนเองโดย ตระหนักถงึ ความปลอดภัยในการเลือกผลติ ภัณฑท์ นี่ ามาใช้เปน็ หลกั รวมท้งั ต้องแสวงหาความร้รู บั ข้อมูลตรวจสอบวา่ เปน็ ขอ้ มูลท่ถี ูกต้องและนา่ เช่อื ถอื อยู่เสมอ เพ่ือสทิ ธิประโยชน์และความปลอดภัยของผู้บริโภคนน่ั เอง

6.2 วารีบาบดั หรอื ธาราบาบัด (Hydrotherapy) การนาคณุ สมบตั ขิ องน้ามาใชใ้ นการบาบดั รกั ษาโรค/อาการผิดปกตติ า่ งๆ เช่น แรง ลอยตวั ช่วยลดแรงกดต่อขอ้ ตอ่ และการเคลื่อนไหวช้าๆในทศิ ทางตา่ งๆจะเป็นแรงพยุงชว่ ยให้ เคล่อื นไหวได้งา่ ยขึ้น และยงั บรรเทาอาการปวดทาให้ผ่อนคลายและรักษาสขุ ภาพท่ัวไป อาจ ใช้นา้ รอ้ น น้าเย็น น้าแขง็ ไอนา้ รปู แบบอาจเป็นการแชใ่ นอา่ งนา้ เย็น อ่างนา้ ร้อน อา่ งนั่ง (โดยอ่างน่ังให้มคี วามสงู ระดบั เอว) ตัวอยา่ งของการใช้วารีบาบัด เชน่ - อ่างน่ัง บรรเทาอาการริดสีดวงทวาร รอยแตกบรเิ วณเย่ือบทุ วารหนัก - การอบไอนา้ ช่วยรักษาอาการคดั จมกู และบรรเทาอาการปวดกลา้ มเนอ้ื - การประคบนา้ เยน็ หรือนา้ แขง็ ชว่ ยลดบวม และบรรเทาปวดกลา้ มเนอ้ื - การลอยตัวในสระนา้ ชว่ ยในการบรหิ ารกล้ามเนอ้ื ผู้ทม่ี ีปญั หากลา้ มเน้ือ อ่อนแรงจากอมั พฤกษ์/อมั พาต โรคระบบประสาทและกลา้ มเนอื้ เฉยี บพลนั และเรอ้ื รงั ตา่ ง ๆ

5.2 วารบี าบดั หรอื ธาราบาบดั (Hydrotherapy) อา่ งน่งั การลอยตวั ในสระน้า การอบไอน้า การประคบน้าเย็นหรอื น้าแขง็

5.3 การฝังเข็ม (Acupuncture)

6.3 การฝังเขม็ (Acupuncture) การใช้เขม็ ปักลงไปตามจุดตา่ ง ๆ บนร่างกาย ตามจดุ สาคัญๆที่มี ความสาคญั และสมั พนั ธ์กับอวยั วะตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย ในตาราแพทย์จีนโบราณ และ WHO จุดฝังเข็มบนร่างกายมี 349 จุด บนเส้นลมปราณ (meridian) 12 เสน้ หลัก และอีก 2 เส้นรอง - จานวนเสน้ ลมปราณในรา่ งกายแตล่ ะข้าง (ขวา-ซ้าย) มี 12 เส้น โดยแบ่งเปน็ ส่วนของแขน 6 เสน้ และสว่ นของขาอกี 6 เสน้ (สว่ นอกี 2 เส้น รองจะอยตู่ รงกลางหลงั และตรงกลางหนา้ ท้อง) - ในสว่ นของแขน 6 เส้น กจ็ ะจับคกู่ นั เองเปน็ 3 คู่ เชน่ เดียวกับขาก็ จะจับค่กู นั เองเปน็ 3 คู่ แต่ละเสน้ จะมชี ่ือเรยี กและหน้าทอ่ี ย่างชดั เจน

6.3 การฝังเข็ม (Acupuncture) การฝังเขม็ จะกระตุ้นใหเ้ กิดสญั ญาณประสาท สง่ เขา้ ไปยังไขสนั หลังแลว้ ออกวก ออกมา ทาให้กล้ามเน้อื ทหี่ ดเกรง็ เกดิ การคลายตัว และหลอดเลือดท่ีหดตวั เกิดการขยายตัว สัญญาณประสาทบางส่วนจะถกู ส่งข้ึนไปยงั สมองกระตนุ้ ใหม้ กี ารหลั่งสารสอ่ื สญั ญาณประสาท (เช่น Endorphin หลง่ั ออกมาเพอ่ื ชว่ ยบรรเทาความเจบ็ ปวด) แล้วส่งสัญญาณประสาท กลบั มา ตามไขสนั หลงั และเส้นประสาท เพ่อื ชว่ ยปรบั การทางานของอวยั วะระบบต่าง ๆ และระบบภมู ิคุม้ กันของรา่ งกายให้สมดลุ เปน็ ปกติ การฝงั เขม็ ไดผ้ ลดีกบั อาการปวดตา่ ง ๆ เช่น ปวดประจาเดอื นรุนแรง อาการออ่ นแรง ปวดหัว ไมเกรน โรคเสน้ เลอื ดในสมองตีบ อมั พฤกษ์ อมั พาต อาการชาจากโรคเบาหวาน ความดนั และโรคภูมิแพ้

6.4 สคุ นธบาบัด (Aromatherapy) “ศาสตร์ของการใชก้ ลิน่ หอม เจาะจงจากน้ามนั หอมระเหยจากพชื เพ่อื ส่งเสรมิ ให้สขุ ภาพจิตและสุขภาพกายดขี ้ึน” การใชป้ ระโยชน์ของนา้ มันหอมระเหยตอ่ รา่ งกายและจิตใจ สว่ นใหญ่ มกั ทาโดยการสดู ดมและใช้ผ่านผิวหนัง น้ามนั หอมระเหยเปน็ ผลิตผลการสกัด พืชสมนุ ไพรนานาชนดิ ซง่ึ อาจสกัดจากสว่ นใดสว่ นหนึ่งของพชื นน้ั ๆ เช่น สกดั มาจาก ผล ดอก ใบ เมล็ด เปลือก ก้าน ฯลฯ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook