ภาษาอังกฤษในชีวิตจริง 1

Unit 1 My Body Parts of the Body ภาษาอังกฤษ ส่ วนของร่ างกาย head face คาอ่าน ความหมาย forehead skull เฮด หวั temple vertex เฟสฺ ใบหน้า eye eyeball ฟอรฺเฮด หน้าผาก eyelid eyelash สคลั กะโหลกสว่ นศีรษะ eyebrow ear เทม็ เพิล ขมบั เวอรฺเท็กสฺ กระหมอ่ ม อาย ตา อายบอล ลกู ตา อายลดิ เปลอื กตา อายแลชฺ ขนตา อายเบรา คิว้ เอียรฺ หู

earlobe เอียรฺโลบ ตงิ่ หู cheek ชีคฺ แก้ม dimple ดิมเพลิ ลกั ยิม้ mole โมล ไฝ birthmark เบธิ ฺมารคฺ ปาน nose โนสฺ จมกู nose bridge โนสฺ บริดจฺ สนั จมกู /ดงั ้ nostril โนสฺทริล รูจมกู lip ลพิ ริมฝี ปาก mouth เมาธฺ ปาก tooth ทธู ฺ ฟัน tongue ทงั ลนิ ้ gum กมั เหงือก(สว่ นท่ีตดิ กบั ฟัน) uvula ยวู ลุ า ลนิ ้ ไก่ chin ชนิ คาง jaw จอวฺ กราม / ขากรรไกร

throat โธรท ลาคอ larynx แลริงคสฺ กลอ่ งเสยี ง Adam’s apple แอดมั สฺ แอพเพลิ ลกู กระเดือก neck เน็คฺ คอ gland แกลนดฺ ตอ่ ม hair แฮรฺ ผม skin สคิน ผิวหนงั limbs ลมิ บสฺ แขนขา shoulder โชลเดอรฺ ไหล่ collarbone คอลลาโบน ไหปลาร้ า back แบค็ ฺ หลงั ridge ริดจฺ สนั หลงั arm อารม แขน armpit อารมพทิ ฺ รักแร้ elbow เอลโบ ศอก waist เวสทฺ เอว

wrist วริสทฺ ข้อมอื hand แฮนดฺ มอื palm พาลม ฝ่ ามือ finger ฟิ งเกอ นิว้ มอื thumb ธมั นิว้ หวั แมม่ ือ forefinger ฟอฟิ งเกอ นิว้ ชี ้ middle finger มดิ เดิล ฟิงเกอ นิว้ กลาง ring finger ริง ฟิงเกอ นิว้ นาง little finger ลทิ เทิล ฟิงเกอ นิว้ ก้อย nail เนล เลบ็ trunk ทรังคฺ ลาตวั body บอดี ร่างกาย chest เชสทฺ อก breast เบรสทฺ หน้าอก nipple นิพเพลิ หวั นม rib ริบฺ ซ่ีโครง

abdomen แอบ็ โดเมน บริเวณท้อง belly เบลลี ท้อง navel เนวลึ สะดือ buttock / bottom บทั ทคั ฺ/บทั ทอม บนั ้ ท้าย,ก้น hip ฮพิ สะโพก anus แอนสั ฺ ช่องทวารหนกั groin กรอยนฺ ต้นขา thigh ไธ ขาอ่อน knee นี หวั เขา่ knee cap นี แคพ กระดกู สะบ้าหวั เข่า leg เลก็ ฺ ขา shin ชนิ หน้าแข้ง calf คาลฟ น่อง ankle แองเคลิ ข้อเท้า/ตาตมุ่ foot ฟทู เท้า instep อนิ สเท็ป หลงั เท้า

foot sole ฟทู โซล ฝ่ าเท้า heel ฮีล ส้นเท้า toe โท นิว้ เท้า brain เบรน สมอง nerve เนิรฟ เส้นประสาท windpipe วินดฺไพพฺ หลอดลม vocal chord โวคอล คอรฺด เส้นเสยี ง stomach สตอมคั / สตะ-เหมคิ กระเพาะ artery อารฺเทอรี เส้นเลอื ดแดง vein เวนฺ เส้นเลอื ดดา capillary คะพิลละรี เส้นเลอื ดฝอย blood บลดั เลอื ด lymph ลมิ ฟฺ นา้ เหลอื ง heart ฮารทฺ หวั ใจ liver ลเิ วอรฺ ตบั lung ลงั ก์ ปอด

spleen สพลนี ม้าม kidney คดิ นี ไต gall กอล ดี bile ไบลฺ นา้ ดี diaphragm ไดอะแฟรม กระบงั ลม bowels เบาอลั สฺ / บาวล์สฺ ลาไส้ large intestine ลาจฺ อินเทสไทนฺ ลาไส้ใหญ่ small intestine สมอล อนิ เทสไทนฺ ลาไส้เลก็ muscle มสั เซลิ กล้ามเนือ้ sinew ซนิ นิว เอน็ pore พอรฺ รูขมุ ขน moustache มสั ตาช หนวด beard เบียรดฺ เครา whisker วสิ เกอรฺ หนวดเครา skeleton สเกเลทอน โครงกระดกู bone โบน กระดกู

spine สไปนฺ กระดกู สนั หลงั disk ดสิ คฺ หมอนรองกระดกู marrow แมโรวฺ ไขกระดกู vagina วะไจนา อวยั วะเพศหญิง penis พีนิสฺ อวยั วะเพศชาย Verb used with different parts of the body (คากริยาท่ใี ช้กับอวยั วะต่างๆ ของ ร่ างกาย) คากริยาเหลา่ นี ้(ยกเว้น shake กบั bite ) เป็นคากริยาปกติ (regular verb) ทงั ้ หมด และคากริยาเหลา่ นีเ้ป็นได้ทงั ้ คานามและคากริยา เชน่ to yawn = หาว a yawn = การหาว to cough = ไอ a cough = ไอ ยกเว้น breathe = หายใจ breath = ลมหายใจ perspire = เหงื่อออก perspiration = เหง่ือ คากริยาที่ใช้กบั อวยั วะปาก (mouth) ได้แก่ breathe = หายใจ, yawn = หาว, cough = ไอ, sneeze = จาม

hiccup = สะอกึ , sigh = ถอนหายใจ, snore = กรน, vomit = อาเจียน คากริยาท่ีใช้กบั อวยั วะการรับประทานและการย่อย ได้แก่ burp = หายใจ, chew = เคีย้ ว, rumble = ท้องร้อง, bite = กดั swallow = กลนื , such = ดดู , lick = เลยี คากริยาที่ใช้กบั อวยั วะทางใบหน้าและตา ได้แก่ blink = กะพริบตา, หยีตา wink = หลบั ตา, ขยบิ ตา frown = ทาหน้าน่วิ คิว้ ขมวด, บงึ ้ , ถมงึ ทงึ grin = ยงิ ฟัน, ยิงฟันยมิ ้ blush = ขวยเขิน, หน้าแดง คากริยาที่ใช้กบั อวยั วะทกุ ๆ สว่ นของร่างกาย perspire/sweat = เหงอื่ ออก tremble = ใจสนั่ , ตวั สนั่ , ใจหาย shiver = สนั่ ด้วยความตกใจหรือหนาว shake = จบั เขยา่ , เขยา่ , สน่ั , ทาให้สน่ั Note Compound Word คือ การนาคาหลายๆ คามารวมกนั เป็นคาใหมค่ าเดียวเพ่ือขยาย คานาม (Noun) ท่ีตามหลงั มามีหลกั ดงั นี ้ แม้วา่ คาใดคาหน่ึงเป็นพหพู จน์ก็ไมต่ ้องเตมิ “ S “ เชน่  Three-year-old boy

 three-dozen eggs เม่อื นาคานามรวมกบั คาคณุ ศพั ท์ (Adjective) หรือบอกลกั ษณะคานามที่ขยาย ให้ เติม -ed หลงั คานามแล้วถงึ นาไปขยายคานาม (Noun) นนั ้ ๆ เช่น  A long-legged man is a man who has long legs.  A black-haired girl is a girl who has black hair. Greetings, Introducting and Parting Greetings (การทกั ทาย) A คาทกั ทายท่ีมีความหมายว่า สวัสดี มีดังนี้ คาทักทาย เวลาท่ใี ช้ Good morning. ใช้ตงั ้ แต่เช้าถึงเท่ียง Good afternoon. ใช้ตงั ้ แต่บา่ ยจนถงึ พระอาทติ ย์ตกดนิ หรือราวหกโมงเยน็ Good evening. ใช้ตงั ้ แตห่ ลงั หกโมงเยน็ และตลอดคืนจนถงึ เช้าประมาณตีห้า Good night. ใช้เมอ่ื จากกนั ตอนกลางคืน (ราตรีสวสั ด)ิ์ ห้ามใช้ในการทกั ทาย เป็นอนั ขาด Hello/Hi/Greeting. ใช้ทกั ทายเพื่อนสนิทที่ไมเ่ ป็นทางการ ใช้กบั พอ่ แม่ ผ้ใู หญ่ หรือ ญาตสิ นทิ ในบางโอกาส How do you do? แปลว่า “สวสั ดี” ใช้กบั บคุ คลที่เพ่ิงพบกนั เป็นครัง้ แรก จากการ แนะนาของผ้อู ื่นหรือโดยบงั เอญิ B เม่ือกล่าวทกั ทายแล้วชาวต่างประเทศ จะถามถงึ สุขภาพดงั นี้ How are you? แปลวา่ “คณุ เป็นอยา่ งไรบ้าง” ใช้พดู หลงั จากทกั ทายกนั แล้ว

How have you แปลว่า “คณุ เป็นอย่างไรบ้าง” ใช้พดู หลงั จากทกั ทายกนั แล้ว been? กรณีท่ีไมไ่ ด้พบกนั มานาน การตอบมี 3 ส่วน ดงั นี้ Part Two Part Three Part One thank you, 1. and you? 1. Fine, / I’m fine, Thanks, 2. and how are you? 2. Very well, 3. how are you? 3. Not bad, 4. how have you been? 4. So so, 5. Can’t complain. 6. It’s nothing. /Nothing much. (ไมม่ ีอะไร) ถ้าเราไม่สบายจริง ให้พดู ดังนี้ อกี ฝ่ ายกต็ อบว่า Not very well. I have a headache. I’m sorry to hear that. Not so well. I have a bad cold. That’s too bad. I hope you feel better soon. ข้อสงั เกต : ในกรณีท่ีคณุ รู้สกึ ว่าไมส่ บายดีนกั หรือไมค่ ่อยแจ่มใสเทา่ ท่ีควรให้ตอบดงั นี ้  Not too/so bad.  So so.

 Pretty fair.  Can’t complain. C หลังจากถามสารทุกข์สุขดบิ แล้วคู่สนทนากม็ ักจะพูดถงึ ดนิ ฟ้ าอากาศดังนี้ การพูดถงึ ดนิ ฟ้ าอากาศ อกี ฝ่ ายตอบว่า (It’s) a nice day, isn’t it? (วนั นีอ้ ากาศดี โดยมารยาทแล้วผ้ตู อบจะต้องตอบใน นะ) เชงิ บอกเลา่ เสมอจะไมต่ อบในรูปของ Miserable day, isn’t it? (อากาศแยจ่ ริง การปฏเิ สธ นะ) - Yes, it is. Cold this morning, isn’t it? (เช้าวนั นี ้ - It certainly is. อากาศหนาวนะ) - Yes, awfully cold (hot, warm, Windy this afternoon, isn’t it? (บา่ ยนี ้ cool). ลมแรงจริงนะ) - Sure do. (มนั่ ใจว่า....) Looks like rain, doesn’t it? (ดทู า่ ฝนจะ แตใ่ นกรณีท่ีไมเ่ หน็ ด้วยจริงๆ ให้พดู ว่า ตกนะ) - Oh, do you think so? Looks like we might have a shower, - It seems rather cold (hot, doesn’t it? (ดทู ่าฝนอาจจะตกนะ) warm, cool) to me. - I doubt it. (คดิ ว่าคงไม.่ ..) สานวนท่คี วรจา A: How do you feel? (คณุ รู้สกึ อยา่ งไร) B: Terrific. (ดีเยี่ยม) / Terrible (ไมด่ ีเลย) A: That’s too bad. (แย่มาก)

Introducing (การแนะนา) การแนะนามี 2 แบบ คือ การแนะนาตนเอง (Self-introduction) และการแนะนาผ้อู ื่น (Introducing others) A การแนะนาตนเอง (Self-introduction) Self-introduction (การแนะนาตนเอง) Responses (คาตอบ)  Let me introduce myself,  How do you do? I’m___(name). I’m____(name).  Hello. I’m____(name).  Pleased to meet you.  I don’t think we’ve met. I I’m___(name). am___(name).  Nice to meet you.  Hi. I’m___(name). What’s you I’m___(name). name?  Hi. I’m___(name) but everyone calls me ___ for short. B การแนะนาผู้อ่นื (Introducing other) การแนะนาให้คนสองคนรู้จกั กนั มดี งั นี ้ 1. มารยาทในการแนะนาบคุ คลให้รู้จกั กนั 1.1 หากแนะนาบคุ คลให้ผ้ชู ายกบั ผ้หู ญิงรู้จกั กนั ต้องเอย่ ชื่อหญิงก่อน เช่น  Mrs. Jane, this is Edwin Needman. 1.2 หากแนะนาให้ผ้ใู หญ่กบั เด็กรู้จกั กนั ต้องเอย่ ชื่อผ้ใู หญ่ก่อนเสมอ

 Mr. Pattison, this is my friend, Martin. 1.3 หากแนะนาบคุ คลอายไุ ลเ่ ลี่ยกนั เอย่ ชื่อใครก่อนก็ได้ 1.4 ถ้าทงั ้ คเู่ ป็นเพ่ือนสนิทของเรา อาจจะเลือกใช้แบบที่เป็นกนั เองกไ็ ด้ เช่น  David, this is Linda. Linda, this is David. 1.5 หากแนะนาช่ือกลมุ่ บคุ คลให้รู้จกั กบั บคุ คลต้องเอย่ ชื่อกลมุ่ ก่อน 1.6 หลงั จากพดู แนะนาแล้ว ผ้แู นะนาต้องบอกด้วยวา่ ใครเป็นใคร เชน่  Miss Smith. I’d like you to meet my brother. Bancha.  Miss Smith, Let me present John Brown, an old friend of mine.  Miss Smith is a teacher at my school.  Mother, this is Somdej, a classmate of mine.  Mr. Franklin, may I introduce Mr. King.  Mr. King, this is Mr. Franklin, the president of my company. 1.7 บคุ คลท่ีได้รับการแนะนาให้รู้จกั กนั ตา่ งคนต่างทกั ทายกนั ด้วยประโยค “How do you do?” (สวสั ดี) แล้วตามด้วยประโยคท่ีแปลว่า “มีความยนิ ดีที่ได้รู้จกั ” ดงั นี ้  I’m very glad to meet you.  Glad to know you.  It’s a great pleasure.  I’ve heard a great deal about you from my brother.  I’ve been looking forward to meeting you for some time. 1.8 ถ้านงั่ อยู่ ผ้ชู ายต้องลกุ ขนึ ้ ยืน สว่ น ฝ่ ายหญิง จะยืนหรือไมย่ ืนก็ได้

1.9 ระหวา่ งผ้ชู ายด้วยกนั มกั จะจบั มือกนั หากเป็นผ้หู ญิงจะสมั ผสั มอื หรือไมก่ ็ได้ แต่ ถ้าจะทาต้องให้ผ้หู ญิงย่ืนมือมาก่อน จงึ จะสมั ผสั ได้ 1.10 ถ้าใสถ่ งุ มือ ผ้ชู ายต้องถอดถงุ มือก่อน สว่ นผ้หู ญิงจะถอดหรือไมถ่ อดก็ได้ 2. ในกรณีที่พบกนั ครัง้ แรก ให้ทกั ทายด้วยคาวา่ “meet” ดงั นี ้ คากลา่ วทกั ทายท่ีพบครัง้ แรก คาตอบ (I’m / It’s) Pleased / Glad / Nice to I’m pleased / glad / nice to meet meet you. you, too. / Me too. 3. แต่หากพบกนั อีกในครัง้ ตอ่ ๆไป ให้ใช้คาวา่ “see” ดงั นี ้ คากลา่ วทกั ทายที่พบกนั ครัง้ ต่อ ๆ ไป คาตอบ (I’m / It’s) Pleased / Glad / Nice to I’m pleased / glad / nice to meet meet you. you, too. / Me too. Parting (การอาลาจากกนั ) คากลา่ วอาลาทีน่ ยิ มใช้กนั มาก มีดงั นี ้ คากลา่ วอาลา วธิ ีการนาไปใช้ Goodbye. เป็นคาอาลาที่ใช้กนั อยทู่ วั่ ไป ใช้เม่อื ไรก็ได้ Bye. นิยมใช้ในกลมุ่ เพอ่ื นฝงู ด้วยกนั มากกวา่ ใช้กบั ผ้อู าวโุ ส So long. เป็นคา Slang ใช้กบั เพื่อนฝงู ที่สนิทกนั มากๆ ใช้ตามหลงั Goodbye หรือแทน Goodbye ก็ได้ See you later. ใช้แทน Goodbye และใช้บอ่ ยในกรณีที่เราจะเจอกนั อีกในวนั นนั ้

See you. หรือใช้ตามหลงั Goodbye ก็ได้ ใช้แทน Goodbye แล้วตามด้วยเวลา หรือสถานที่ เชน่ See you at six on Friday. Note ก่อนที่จะกลา่ วคาวา่ “Goodbye.” ควรจะเกริ่นให้ค่สู นทนารู้ว่าเราต้องลาไปก่อน เช่น I really must be going. (I’d better be on my way.) Goodbye. (ผมต้องไปจริง ๆ แล้ว ลาก่อน) 1. ในกรณีท่ีค่สู นทนาจะไปเท่ียวพกั ผอ่ น เดินทางไกล ไปดภู าพยนตร์หรือไปงานเลยี ้ ง ควรกลา่ วคาอาลาดงั นี ้ คากลา่ วอาลา วธิ ีการนาไปใช้ Have a nice / good time ใช้กบั บคุ คลทวั่ ๆ ไป (vacation). Have fun. / Enjoy ใช้กบั คนในวยั เดยี วกนั youself. Bon voyage. ใช้กบั คนท่ีเดนิ ทางไกลไปตา่ งประเทศ Have a pleasant trip. ใช้กบั การเดนิ ทางใกล้ๆ หรือเดนิ ทางภายในประเทศ ผ้จู ากไปต้องตอบว่า “Thank you”

2. หากคสู่ นทนากาลงั จะไปสอบ ไปเสย่ี งโชค หรือไปทากิจกรรมท่ีเป็นอนั ตราย ก่อน จากกนั ควรพดู ว่า Good luck.” / “Lots of luck.” / “Goodbye and good luck.” สว่ นผ้จู ากไปตอบว่า “Thank you.” 3. ถ้าคสู่ นทนาไมส่ บาย ก่อนจากกนั ควรพดู วา่ “I will.” / “I sure will. Thank you.” 4. ค่สู นทนาไมไ่ ด้พบกนั มานาน ก่อนจากกนั ควรพดู ว่า “I’m glad.” / “It’s nice to have seen you again” 5. ถ้าพบกนั ครัง้ แรก หรือเพิ่งจะมีผ้แู นะนาให้รู้จกั กนั ก่อนจากกนั ควรพดู วา่ “I’m glad to have met you.” ผ้จู ากไปควรตอบวา่ “Thank you. I’m glad to met you too.” 6. ถ้าเราได้รับเชญิ ไปท่บี ้าน หรือเป็นแขก ก่อนกลบั ควรพดู ว่า “Thank you very much of everything.” เจ้าของบ้านควรกลา่ วว่า “Come again” 7. หากเราต้องการฝากความระลกึ ถงึ หรือความคิดถงึ ไปยงั ผ้อู ืน่ ที่เรารู้จกั พดู ดงั นี ้ “Give my regards to your mother / brother / Mr. Smith.” คาตอบอาจเป็น “Thank you. I will.” 8. หากต้องการให้เขาเขียนจดหมายถึง ควรพดู วา่ “Don’t forget to write.” คาตอบ อาจเป็น “ I won’t.” หรือ “Let me hear from you.” หรือ “Drop me a line / a card when you get there.” คาตอบเป็น “I will.” 9. เมอ่ื จากเพ่ือนสนิทควรกลา่ ววา่ “Take good care of yourself.” คาตอบอาจเป็น “Thanks, I will.” “Be a good boy.” (จงเป็นเดก็ ดี) คาตอบอาจเป็น “Thanks, I will.”

10. เมอ่ื เราต้องรีบไปก่อนกลา่ วคาอาลาวา่ “Goodbye.” เราต้องออกตวั ก่อนวา่ “It’s time to say goodbye.” คาตอบอาจจะเป็นวา่ “Don’t let me keen you.” Nouns (คานาม) คานามนบั ได้ (Countable Noun) โดยทวั่ ไปใช้ในรูปเอกพจน์ (Singular) โดยใช้ คา Article “a” หรือ “an” นาหน้า และเติม “S” เมอื่ อย่ใู นรูปพหพู จน์ (Plural) ได้ดงั นี ้ a hat เปล่ยี นเป็น two hats คานามนบั ไมไ่ ด้ (Uncountable Noun) ไม่ใช้ Article “a” หรือ “an” นาหน้า และ ไมม่ ีรูปพหพู จน์ดงั นี ้ Information ไมใ่ ช้ an information หรือ Some informations humor ไมใ่ ช้ a humor หรือ Some humors Plurals of nouns: การเปลยี่ นคานามนบั ได้เอกพจน์เป็นพหพู จน์ ทาดงั นี ้ นามนบั ได้โดยทวั่ ไป เมือ่ เป็นพหพู จน์ให้เติม “S” boy  boys girl  girls name  names parent  parents คานามทลี่ งท้ายด้วย y และหน้า y เป็น i แล้วเตมิ -es Family  families Secretary  secretaries คานามที่ลงท้ายด้วย -ch, -sh, -s หรือ -x ให้เติม -es watch  watches cash  cashes address  addresses box  boxes

คานามตอ่ ไปนีเ้มื่อเป็นพหพู จน์ให้เป็นเปลย่ี นรูป child  children man  men woman  women foot  feet goose  geese tooth  teeth คานามทล่ี งท้ายด้วย”f” หรือ “fe” ให้เปลีย่ น “f” หรือ “fe” เป็น “v” แล้วเติม “-es” life  lives wife  wives knife  knives ยกเว้นคาวา่ roof roofs (หลงั คา) คานามที่ลงท้ายด้วย “o” ให้เตมิ “-es” potato  potatoes tomato  tomatoes ยกเว้นคาว่า photo  photos kilo  kilos Note คานามพหพู จน์ท่ีมรี ูปเป็นเอกพจน์เสมอ เชน่ people, fish, fruit, sheep. Nouns that are usually plural (คานามท่เี ป็ นพหพู จน์เสมอ) A: Tools, instruments, pieces of equipment: some of these are always plural. Sunglasses, scissors, tongs, glasses, shears, binoculars, pliers, tweezers, handcuffs B: Thing we wear Clothes, pajamas, swimming trunks, trousers, suspenders, leggings, underpants, shorts Words with plural form but used mostly with singular verbs

(คานามตอ่ ไปนีม้ ีรูปเป็นพหพู จน์ แตใ่ ช้กบั คากริยาทเ่ี ป็นเอกพจน์ และไมต่ ้อง Article “a” หรือ “an” นาหน้า Names of some games: billiard, dominoes, checkers, darts, craps, cards Names of activities: physics, economics, classics, aerobics, athletics, gymnastics คานามบางคา รูปเป็นพหพู จน์ แตม่ ีความหมายเป็ นเอกพจน์ เช่น Series, means, news เช่น A series of programs on TV, a cheap means of transportation สาหรับคานามทีน่ บั ไมไ่ ด้ สามารถทาให้เป็นพหพู จน์ได้ โดยบรรจลุ งในภาชนะต่างๆ ดงั ตอ่ ไปนี ้ A: Here are some common containers. (ภาชนะทวั่ ๆ ไป) Bag/shopping bag, barred, basket, bottle, bowl, box, bucket, can, carton, crate, glass, jar, jug, mug, pack, package, pot, sack, tube B: Here are some additional information about each of these types of containers. (ข้อมลู ท่ีเกี่ยวกบั ภาชนะในรูปแบบตา่ งๆ) Container (ภาชนะ) Usually made of…. Typical contents (ของท่ีนามาบรรจ)ุ bag / shopping bag (ทาด้วย) cloth, paper, plastic groceries, book, papers

barrel wood and metal wine, beer, rainwater basket cane, wicker groceries, clothes, wastepaper bottle glass, plastic milk, wine, other liquids bowl china, glass, wood fruit, soup, sugar box cardboard, wood matches, tools, cereal, chocolates bucket metal, plastic sand, water can aluminium, tin soda, beer, soup, vegetables carton cardboard, plastic milk, egg, 10 packs of cigarettes crate wood, plastic bottles glass glass, plastic milk, water, other liquids jar glass, pottery jam, honey, olives, instant coffee jug pottery milk, cream, water mug pottery coffee, tea, cocoa pack cardboard, plastic envelopes, gum, cards package paper, plastic cookies, rolls pot metal, pottery food, plant sack cloth, plastic potatoes tube metal, plastic toothpaste, paint, onitment Unit 2 My Family Masculine and Feminine ผู้ชาย และ ผู้หญิง Masculine (n.) = เพศชาย (Male) Feminine (n.) = เพศหญิง (Female)

Father / dad (n.) = พ่อ Mother / mum (n.) = แม่ son (n.) = ลกู ชาย daughter (n.) = ลกู สาว brother (n.) = พ่ีชาย, น้องสาว sister (n.) = พ่ีสาว, น้องสาว uncle (n.) = ลงุ , น้าชาย, อาผ้ชู าย aunt (n.) = ป้ า, น้าสาว, อาผ้หู ญิง husband (n.) = สามี wife (n.) = ภรรยา nephew (n.) = หลานชาย niece (n.) = หลานสาว grandfather (n.) = ป่ ,ู ตา grandmother (n.) = ย่า, ยาย father-in-law (n.) = พ่อตา mother-in-law (n.) = แมย่ าย brother-in-law (n.) = พ่ีเขย, น้องเขย sister-in-law (n.) = พี่สะใภ้, น้องสะใภ้ elder brother (n.) = พ่ีชายคนโต elder sister (n.) = พ่ีสาวคนโต younger brother (n.) = น้องชายคน younger sister (n.) = น้องสาวคน เลก็ เลก็ stepfather (n.) = พ่อเลีย้ ง stepmother (n.) = แมเ่ ลยี ้ ง son-in-law (n.) = ลกู เขย daughter-in-law (n.) = ลกู สะใภ้ heir (n.) = ทายาทชาย heiress (n.) = ทายาทหญิง fiancé (n.) = ค่หู มนั ้ ชาย fiancée (n.) = ค่หู มนั ้ หญิง bridegroom (n.) = เจ้าชาย bride (n.) = เจ้าสาว parents (n.) = พ่อแม่ Both foster child (n.) = ลกู เลยี ้ ง grandparents (n.) = ป่ ,ู ยา่ , ตา, ยาย relative (n.) = ญาติ cousin (n.) = ญาต,ิ ลกู พี่ลกู น้อง ancestor (n.) = บรรพบรุ ุษ first cousin (n.) = ญาติของลงุ ป้ า น้า อา second cousin (n.) = ญาตขิ องลงุ ป้ า น้า อา ที่เป็นลกู พี่ลกู น้องของพ่อหรือแม่

Useful Expressions Both of them have got dark hair. = ทงั ้ สองคนมผี มสดี า They both wear glasses. = ทงั ้ สองคนสวมแวน่ ตา She looks a bit like her father. = หลอ่ นดเู หมือนคณุ พอ่ เลก็ น้อย My son looks like me. = ลกู ชายดเู หมือนกบั ฉนั (look like = ดเู หมือน) He’s got this mother’s eyes but he’s got his father’s personality (เขามนี ยั น์ตาเหมอื นคณุ แม่ แตบ่ คุ ลกิ เหมือนคณุ พ่อ) Asking for Information การถามข้อมลู มกี ารถามดงั นี ้ 1. Yes / No Questions ซง่ึ เป็นคาถามท่ีขนึ ้ ต้นด้วยกริยาชว่ ย (is, am, are, was, were, do, does, did, have, has, had, will, shall, can, must, may, might) ซง่ึ คาตอบจะเป็น “Yes or No”  Have (got) + Noun = มี ประโยคบอกเล่า ประโยคคาถาม ประโยคปฏเิ สธ I have (I’ve) got___. Have I got____? I have not (haven’t) You have (You’ve) Have you got____? got___. got___. Has he/she got____? You have not (haven’t) Have we got____? got___.

He/She (He’s/She’s) Have they got____? He/She has not (hasn’t) got___. got___. We have (We’ve) We have not (haven’t) got___. got___. They have (They’ve) They have not (haven’t) got___. got___. 2. Wh-Questions คาถามชนิดนีเ้ป็นคาถามท่ีขนึ ้ ต้นด้วย Question Words เพื่อถาม เก่ียวกบั ข้อมลู ท่ีต้องการทราบ Question words ท่คี วรทราบ Where = (ท่ีไหน) ถามเก่ียวกบั สถานท่ี เช่น A: Where do you live? B: I live in Bangkok. Who = (ใคร) ถามถึงบคุ คลวา่ เขาเป็นใคร A: Who’s that man? B: He’s my brother. What = (อะไร) ถามเก่ียวกบั ชื่อ สงิ่ ของ และการกระทา A: What’s your name? B: I’m David. How = (อยา่ งไร) ถามถงึ การกระทา

A: How do you go to word? B: I usually go to work by car. How old = (อายเุ ทา่ ไร) ถามเก่ียวกบั อายุ A: How old are you? B: Thirteen. How many + plural noun (นามพหพู จน์) = มีจานวนเท่าไร A: How many people are there in your family? B: Six. How much + uncountable noun (นามนบั ไมไ่ ด้) = มจี านวนมากเท่าไร A: How much money have you got? B: Only one hundred baht. 3. Question Tag ใช้ในการยืนยนั ข้อมลู ว่าสงิ่ ที่เรารับทราบมานนั ้ ใชห่ รือไมใ่ ช่ มี 2 แบบ คือ  ถ้าประโยคหลกั เป็น Affirmative Sentence (ประโยคบอกเลา่ ) ประโยคท้ายก็จะเป็น Negative Sentence (ประโยคปฏเิ สธ) Question Tag ท่ีเป็นคาถามซง่ึ ตอ่ ท้ายด้วยรูปปฏเิ สธ ใช้ถามเพ่ือต้องการ คาตอบท่ีเป็นบอกเลา่ เช่น Affirmative Sentence Negative Question Tag Responses Yes, she does. Karen plays the piano, doesn’t she?

He can speak French. can’t he? Yes, he can.  ถ้าประโยคหลกั เป็น Negative Sentence (ประโยคปฏิเสธ๗ ประโยคท้ายกจ็ ะเป็น Affirmative Sentence Question Tag ที่เป็นคาถามซง่ึ ตอ่ ท้ายด้วยรูปบอกเลา่ ใช้ถามเพ่ือต้องการ คาตอบที่เป็นปฏิเสธ เชน่ Negative Question Tag Affirmative Question Tag Responses Many won’t be late, will she? No, she won’t They don’t like us. do they? No, they don’t Note 1. สานวน Let’s___ใช้ Question Tag เป็น shall we? เชน่ - Let’s go for a walk, shall we? 2. หลงั คาสงั่ Do___/ Don’t___, etc. มกั จะเป็น___will you? / won’t you? เช่น - Open the door. will you/won’t you? Don’t be late, will you? 3. ประโยคหลกั I’m___ใช้ Question tag เป็น___aren’t? เช่น - I’m late, aren’t I? Verb to be in Present Simple, Past Simple, and Present Continuous Tense

 Present Simple Tense ใช้กบั การกระทาท่ีเป็นปัจจบุ นั เป็นนิสยั เป็น ข้อเทจ็ จริง และเป็นจริงตามธรรมชาติ ประโยคบอกเลา่ ประโยคคาถาม ประโยคปฏเิ สธ (Negative Statement) (Affirmative Statement) (Interrogative My house isn’t big. Statement) Our house are not big. He isn’t in the dining My house is big. Is your house big? room. They aren’t in the Our houses are big. Are your houses big? dining room. He is in the dining Is he in the dining room. room? They are in the dining Are they in the dining room. room?  Past Simple Tense ใช้กบั การกระทาทีเ่ กิดขนึ ้ และเสร็จสนิ ้ ลงไปแล้วในอดีต โดยมเี วลาหรือเหตกุ ารณ์ทเี่ กิดในอดีตกากบั ให้เหน็ เชน่ yesterday (เมื่อวานนี)้ the day before yesterday (เมื่อวานซนื ) the other day (a few days ago = เมอ่ื สองสามวนั ผ่านมาแล้ว) last week (month, year = เม่อื สปั ดาห์, เดือน, ปี ท่ีแล้ว) two weeks ago (months, years = เมอื่ 2 สปั ดาห์, เดือน, ปี ที่ผ่านมาแล้ว) เป็ นต้ น ประโยคบอกเลา่ ประโยคคาถาม ประโยคปฏิเสธ (Affirmative (Interrogative (Negative Statement) Statement) Statement)

He was at home Was he at home He wasn’t at home yesterday. yesterday? yesterday. They were at home Were they at home They weren’t at home yesterday. Yesterday? yesterday. Wasn’t = was not = ไมอ่ ย่,ู ไมเ่ ป็น weren’t = were not = ไมอ่ ย่,ู ไม่ เป็ น  Present Continuous ใช้กบั การกระทาท่ีกาลงั กระทาอย่ใู นขณะที่พดู อย่ใู น รูปแบบ Verb to be (is, am, are) + V ing I am We having breakfast at the present time. You are lunch at this moment. They dinner now. He supper right now. She is at present. It in the dining room He is sitting on a chair at a desk reading a book. (เขากาลงั นง่ั อา่ นหนงั สืออย่ทู ี่โต๊ะเรียน) They are sitting on a chair at the table doing their homework.

(พวกเขากาลงั นง่ั ทาการการบ้านอยทู่ ี่โต๊ะ) กฎเกณฑ์ของการเตมิ ing มดี งั นี ้ คากริยา (verb) ที่ลงท้ายด้วย “e” ให้ตดั “e” ออก แล้วเติม ing เชน่ come – coming, take – taking คากริยา (verb) ท่ีมีสระตวั เดียวและตวั สะกดตวั เดียวให้เพมิ่ ตวั สะกดเข้าไป อีกตวั หน่งึ แล้วเติม ing เชน่ sit – sitting คากริยา (verb) ท่ีลงท้ายด้วย “ie” เปลีย่ น “ie” เป็น “y” แล้วเติม ing เชน่ lie – lying คากริยาท่ีนอกเหนือไปจากนีก้ ็ให้เตมิ ing ได้เลย คากริยาท่ีบอกสภาพความรู้สกึ ทีเ่ ป็นอยู่ (state verbs) ซี่งไมน่ ิยมเติม ing หรือใช้ใน Present Continuous Tense ได้แก่ agree, assume, believe, belong to, contain, cost, disagree, feel, hate, have, hope, know, like, look, love, own, prefer, realize, regret, resemble, smell, taste, etc. Unit 3 Home and Home Home and Houses A Types of houses / places where people live. ชนิดของบ้านหรือสถานท่ีเป็นที่อยอู่ าศยั single-family home: a home for one family

apartment: a unit of one or more rooms in an apartment building or complex studio apartment / studio: a single room for both living and sleeping townhouse: a house in a city, at least two stories high, often attached to similar apartment complex: a large group of similar apartments, usually with separate entrances, sharing common grounds and managed by one company or group mobile home / trailer: a manufactured home designed to be transported to a site condominium / condo: a unit or apartment, owned by an individual, in a building or on land that is owned in common by all the holders B Parts of a house. สถานที่ภายในบ้าน master bedroom: the largest, most important den: an informal room for resting, watching TV studying (sometimes called a study) laundry room: a room with a clothes washer and dryer attic: the room just below the roof, often used for storage landing: the floor at the top of staircase

hall / hallway: an open area as you come into a house or a long corridor between rooms driveway: a (short) road leading from the street to a house, building, or garage patio / terrace / porch: an uncovered area adjoining a house or a apartment and used for sitting balcony: a plateform build on an outside wall off a building, reached from an upstairs room bathroom: a room in which there is a bath tube and usually a wash-hand basin bedroom: a room for sleeping in dining room: a room in which meals are eaten garage: a place to keep a car on cars garden: a space used for growing flowers fruit vegetable, etc. kitchen: a room in which meals are cooked a prepared living room: a room for general use during the day C Objects in home spatula, stepladder, cupboard, can opener, electrical outlet and plug, remote control, ironing board, refrigerator, curtain, dustpan and brush, grater, corkscrew, book case, cutting board, mop and bucket

Visiting and Home Services A Visiting (การเยยี่ มเยียน)  ก่อนที่จะไปเย่ียมต้องถามถึงสถานท่ีท่ีจะไป ดงั นี ้ o Where do you live? o How can I go to your house? o Where is your house? o Please draw me a simple map and give me your telephone number.  ก่อนไปเยี่ยมต้องถามวา่ เขาอย่ทู ่ีบ้านหรือไมใ่ นเวลาที่เราจะไป ถามคนที่เราจะไปเย่ียมวา่ อยหู่ รือไม่ การตอบรับ  May I call on you  Yes, of course. You’re tomorrow? welcome.  I’d like to drop in on Friday  Yes, I’d be glad to have evening if it is convenient. you come.  If you are home this  Please drop in at any time. Sunday, I’d like to drop in and say I’ll be home the whole day. hello.  I’m sorry, but I won’t be home the day after tomorrow.

 If you are not busy, I’d like  I’m sorry, but I’ll be out of to drop in for a few town on that day. minutes.  การเชือ้ เชญิ ให้เข้าบ้าน o Please come in. o Please make yourself comfortable. o Please make yourself at home. o Please help yourself. o Please service yourself. B Home service and Repair (การให้บริการและซอ่ มเครื่องใช้ภายในบ้าน)  ปัญหาที่เกดิ บอ่ ยกบั อปุ กรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน Problem often occurring in the house The toilet (ส้วม) is leaking. (รั่ว) The toilet seat is cracked. will not flush. (กดนา้ ไมไ่ ด้) (ฝารองนงั่ ชกั โครก) (มีรอยแตก) is blocked. (อดุ ตนั ) has come off. has no water. (ไม่มีนา้ ) (หลดุ ) is badly stained. (ซมึ ) is overflowing. (นา้ ล้น) The waste disposal unit is blocked. = ท่ีกาจดั ของเสยี อดุ ตนั

The lights in the room… are not working. = ไมท่ างาน need replacing. = ต้องการเปล่ียน are leaking. = กระแสไฟร่ัว have fused. = ฟิวส์ขาด  ในกรณีทเ่ี ครื่องใช้ภายในบ้านเสยี หายหรือชารุดใช้การไมไ่ ด้ Problem Event (สถานการณ์ท่ีเกิดปัญหา) Polite Request (การขอร้องที่สภุ าพ) The telephone is making a strange noise. Can you check it for me. please? (เคร่ืองโทรศพั ท์มเี สยี งแปลก) (ช่วยตรวจให้ด้วย) I have lost my (security) keys. I need a replacement. (ฉนั ทากญุ แจหาย) (ฉนั ต้องการอนั ใหม)่ I have locked myself out. (ฉนั เข้าไปข้างใน Can you let me in. (ชว่ ยให้ฉนั เข้าไปหน่อย) ไมไ่ ด้) Can you open the door for me? I have left my keys at work. (ฉนั ลืมกญุ แจไว้ (ช่วยเปิดประตใู ห้ฉนั หน่อย) ที่ทางาน) change stained. Can you (เปลี่ยน) them? (มีรอยเปื อ้ น) clean (ทาความ curtains สะอาด) The (ผ้ามา่ น) dirty. replace (แทน are (สกปรก) ตวั เกา่ )

tiles (พืน้ marked. I would Cleaned. กระเบอื ้ ง) (เป็ นรอย) carpets (พรม) like them Changed. walls (ผนงั ห้อง) Replaced. Shampooed. an insect (แมลง) remove them? I have (กาจดั ) an ant (มด) problem in my… a cockroach (แมลงสาบ) Can you please send someone to kill them? (กาจดั ) My air conditioner is not working. It need servicing. (มนั ต้องถกู ซ่อม) (แอร์ฉนั ไมท่ างาน) I need it serviced. (ฉนั ต้องการบริการซ่อมมนั ) Could (Can) you come and service it / fix it? (คณุ พอจะมเี วลามาบริการหรือซอ่ มให้ได้หรือไม)่ Can / Could you please send someone / a maintenance man to fix it? / repair it? (ชว่ ย กรุณาสง่ ใคร / ชา่ งซ่อม มาซอ่ ม / ให้บริการซ่อมให้ ได้หรือไม)่  คาถามทีอ่ าจใช้เมอื่ มคี นมาซอ่ มแซมเคร่ืองใช้ตา่ งๆ ภายในบ้านเรา A What time will the work be done? (จะมาซ่อมได้เมือ่ ไร) B How long will it take? (ใช้เวลาซอ่ มนานเทา่ ไร) C What kind of work is needed? (ชนิดของงานท่ีต้องซอ่ ม)

D How much is the cost of the service? (ราคาค่าบริการเท่าไร) E Who will come to my apartment? (ใครเป็นผ้มู าบริการซอ่ มให้) There is / There are ในกรณีที่ต้องการพดู ถงึ บคุ คล หรือบางสง่ิ บางอย่างเป็นครัง้ แรก เพื่อบอกวา่ มบี คุ คล หรือสงิ่ นนั ้ ๆ อยู่ เราใช้ “There is (are, was, were, used to be etc.” + บคุ คล / สงิ่ ของ + สถานท่ี เชน่ ประโยคบอกเลา่ (Affirmative Statement) Present Simple Tense Past Simple Tense in the is an armchair an armchair room a sofa was a sofa ‘s one window one window There in the are two windows room. There two windows ‘re three windows were there windows (เมอ่ื เป็นภาษาพดู เรานิยมใช้ตวั ย่อเป็น “There’s” หรือ “There’re”) ประโยคคาถาม (Yes-no Questions and Answer) Yes-No Answers

an armchair an armchair a sofa Is a sofa No, there one window isn’t one window in the room. No, there any there in the aren’t windows two room? windows Are Yes, there Three are windows three windows ในกรณีท่ีต้องการพดู หรือระบชุ ีช้ ดั ถงึ สงิ่ ของ สถานที่ ความจริง สถานการณ์ ฯลฯ ใช้ “It” เช่น There’s a book on the table. It’s worth reading. (It = the book on the table) There used to be a bus stop in front of the temple but it was damaged by the storm last month. (it = a bus stop) Preposition คาบพุ บทท่ีใช้เชื่อมคากบั คา หรือประโยคกบั คามีหลายชนิด แตท่ ี่นยิ มใช้กนั อย่ทู ว่ั ไป คือ คาบพุ บทท่ีเก่ียวกบั เวลา, สถานท่ี และบอกทศิ ทาง การใช้ IN = ใน in } a queue / the sky / a book / a newspaper / a garden / a line Examples:

การใช้ AT = ท่ี My father is working in the garden. การใช้ ON = บน The students are standing in a line. at } the top (of the page) / the bottom ( of the page) the front / back of a building / address Examples: The garden is at the back of the house. I was standing at the back, so I couldn’t see very well. I live at 39 Sukhmvit Road. on } the ceiling / the floor / the notice board the left / the right / the right-hand side the way to school Examples: There are two windows in my house; one window is on the far wall and the other is on the left side of the room. On the way back home, I met my close Friend.

การใช้ NEXT TO = ใกล้, ถดั ไปจาก next to } the bank / the school / the temple Examples: The house is next to the bank. My school is situated next to the temple. Unit 4 Leisure at Home Activities at Home กิจกรรมในบ้านแบง่ ออกเป็น 2 กลมุ่ ได้แก่ A Individual Activities (กิจกรรมเด่ยี ว) A lot of young people play computer games every day. We grow flowers and vegetables in our garden. I surf the Internet in my free time. I really like cooking. Sometime, I just do nothing but relax. I like to take a nap after lunch. I read a newspaper every day. B Activities with other people (กิจกรรมร่วมกบั บคุ คลอื่น) I like to watching films on TV. (Or I like to watch…)

I like to listening to music on the radio. (Or I like to listen…) I often invite people/have friends to dinner. I talk to my friends on my mobile phone every evening. Talking about Routine Activities 1 กิจกรรมท่ีเราชอบทาหรือทาเป็นนสิ ยั ประจา มกั ใช้ในรูปของ Present Simple Tense เชน่ Subject + like + V ing = ทาเป็นนิสยั He likes swimming in the swimming pool. Subject + like + V1 = ชอบท่จี ะทา I like to swim in the river. 2 หากต้องการถามถึงกิจกรรมท่ีชืน่ ชอบ จะใช้ในรูปประโยค “Do you like + V ing (noun)? (คณุ ช่นื ชอบหรือทาอะไรจนเป็นนิสยั ) Do you like cooking? Yes, I do. Do you like big dogs? No, I don’t. I hate it / them. I love it / them. It depends. (แล้วแต่...) 3 มกั ใช้คาถาม How often (บอ่ ยเท่าไร) เพื่อถามถงึ ความถ่ี/บอ่ ยของการกระทานนั ้ ๆ

he swimming? How often does she go skating? John hunting? fishing? I golf? we computer game? you play tennis? they football? John and Mary 4 อาจตอบได้โดยใช้กริยาวิเคราะห์ (Adverb) มาบง่ บอกความถ่ี ดงั นี ้ 4.1 Adverb to time (บอกเวลา) เชน่ I every day / week / month / year. You on Monday / Friday / Saturday / Sunday. We go to school in the morning / the afternoon / the They evening. once a day. He twice a week. She Goes swimming three times per month. ten hours per year. 4.2 Adverb of frequency (กริยาวิเศษณ์ที่บอกความถ่ี)

Never, hardly ever, not very often, once in a while, sometime, pretty often, often, a lot Routines and Relaxation 1. Tense ที่ใช้กิจกรรมซงึ่ ทาอยเู่ ป็นประจา หรือกาลงั กระทาอยทู่ งั ้ ภายในและ ภายนอกบ้าน ได้แก่ Present Simple Tense และ Present Continuous Tense ดงั ต่อไปนี ้ Present Simple Tense: ใช้กบั กิจกรรมท่ีเราทาเป็นประจาหรือเป็นนิสยั มกั อยใู่ น รูปของ Subject + V1 กริยาเติม -s หรือไม่ ขนึ ้ อยกู่ บั ประธาน (Subject) เชน่ Susan / He / She does housework at home every day. The Browns / I / We / You / They do housework on Saturdays. มกั มีกริยาวเิ ศษณ์ (Adverb) มาประกอบเพื่อบง่ บอกความสม่าเสมอ เช่น กริยา วเิ ศษณ์บอกเวลา (Adverb of Time) เช่น every hour/day/week/month/year หรือ on Fridays = every Friday , in the mornings = every morning เป็นต้น และกริยา วเิ ศษณ์ที่บอกความถี่หรือความบอ่ ย (Adverb of Frequency) เช่น always (สมา่ เสมอ) usually (ตามปกติ) frequently/often (บอ่ ย ๆ) sometimes (บางครัง้ บางคราว)

occasionally (เป็ นครัง้ คราว)/hardly/seldom (ไมค่ ่อยจะใช้ในประโยคบอกเลา่ แต่มคี วามหมายเป็นปฏเิ สธ) never (ไมเ่ คย ใช้ในประโยคบอกเลา่ แตม่ ีความหมายเป็นปฏิเสธ) Present Continuous Tense: (Present Progressive Tense) ใช้กบั เหตกุ ารณ์ทก่ี าลงั กระทาอยู่ จะอย่ใู นรูป Subject + V2 (กริยาเตมิ -ed) I am at the moment. Susan / He / She is doing housework at the present time. The Browns / We / You / They are just now. right now. กริยาวิเศษณ์(Adverb) ท่ีใช้แสดงเหตกุ ารณ์ท่ีเกิดขนึ ้ ในปัจจบุ นั เช่น now, at this moment เป็นต้น To go + V ing เชน่ In your spare time, you can…… go walking, go hunting, go to the opera, go skiing go sailing, go swimming, go to the theatre, go hiking go windsurfing, go fishing, go to concert, go cycling go skating, go climbing, go shopping, go jogging หรือ To go + to + place/event เช่น go to the opera go to the theatre

go to the concert Unit 5 At School Subject Titles and Education Levels รายชื่อวิชาท่คี วรทราบ (Subject Titles) English (n.) = วชิ าภาษาองั กฤษ mathematics/ maths (n.) = วิชาคณิตศาสตร์ art (n.) = วชิ าศิลปะ history (n.) = วชิ าประวตั ศิ าสตร์ geography (n.) = วชิ าภมู ศิ าสตร์ biology (n.) = วิชาชีววทิ ยา information technology (n.) = วชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศ technical drawing (n.) = วิชาการเขียนภาพเทคนิค physical education (n.) = วิชาพลศกึ ษา chemistry (n.) = วิชาเคมี physics (n.) = วิชาฟิสกิ ส์ music (n.) = วชิ าดนตรี language (n.) = วิชาภาษาศาสตร์ ระดบั การศกึ ษา (Education Levels)

nursery school (n.) = ระดบั เตรียมอนบุ าล kindergarten (n.) = ระดบั อนบุ าล ผ้เู รียนมีอายอุ ยรู่ ะหวา่ ง 3 - 5 ปี primary school (n.) = ระดบั ประถม ผ้เู รียนมีอายอุ ยรู่ ะหว่าง 5 – 11 ปี secondary school (n.) = ระดบั มธั ยมศกึ ษา ผ้เู รียนมอี ายอุ ย่รู ะหว่าง 11 – 16 หรือ 18 ปี college (n.) = วทิ ยาลยั university (n.) = มหาวทิ าลยั period (n.) = คาบเรียน (50 นาที) lecture (n.) = การสอนแบบบรรยาย semester (n.) = ภาคเรียน compulsory (n.) = ภาคบงั คบั Classroom Communication 1. ภาษาท่ีใช้สื่อสารในโรงเรียนและในชนั ้ เรียนในสถานการณ์ท่ีเป็นทางการมากๆ และในโรงเรียน เรานิยมใช้ May เป็นกริยาชว่ ยในการขออนญุ าตและให้อนญุ าต เชน่ การขออนญุ าต : May I have your name, please? May I use the toilet please, Mrs. Robert? การอนญุ าตให้ทา : You may open your books now. You may ask questions after your friend has finished

speaking. การไมอ่ นญุ าต : You may not leave the class until the bell rings. You may not chat while studying in the classroom. 2. Polite Request (การขอร้องที่สภุ าพ) Polite Request Response Accepting Refusing Please close the door. Yes, of course. I’m sorry, but I can’t. Would you please close (ได้เลย) I’m afraid, but I can’t. the door? Certainly. I’m wish I could, but…. Would you be so kind as By all means. to help me? (ได้เลย, แน่นอน) Would you kindly help me Of course, sure. with my homework? All right. (ตกลง) = OK. With pleasure. (ด้วยความยนิ ดี) I’d be glad to. Would you mind opening No, of course not. I’m sorry, but I can’t. the door? Of course not. I’m afraid, but I can’t. Not at all. I wish I could, but….

Do you mind helping me Certainly not. with my homework? I wonder if you’d mind helping me? Do you mind if I close the door? Would you mind if I closed the door? 3. Asking Permission (การขออนญุ าต) Asking Permission Response Is it all right if I use your Accepting Refusing pen? Let me use your Yes, of course. Sorry, but…… pencil? Would you let me go Certainly. I’m afraid, but…... out? Excuse me. I’d like to All right. use your book? I’d like to use your OK. notebook. May I use your rubber? Go ahead. (เชิญเลย) Sure.

Could I possibly use No, of course not. Sorry, but …… your ruler? Of course not. I’m afraid, but…… Could I enter the room? Not at all. Do you mind if I use Certainly not. your dictionary? Would you mind if I closed the windows? 4. Offers (การเสนอความชว่ ยเหลือ) Offers Response Shall I get a chair? Accepting Refusing What can I do for you? May I help you with Yes, please. (ได้เลย) No, thank you. your homework? Can I make you a cup Yes, I’d like (love) to. That’s very kind of of coffee? Do you want a drink? That’s very kind of you. you, but…. Would you like me to call him for you? (เป็นความกรุณาอยา่ ง Thank you. I’d like to do if for you. สงู ) (เป็นความกรุณาอยา่ ง If you don’t mind. สงู แตไ่ มห่ รอก___ (เป็นพระคณุ มาก ๆ) ขอบคณุ ) Participle คือคากริยาที่ทาหน้าที่อยา่ งคาคณุ ศพั ท์ (Adjective) มี 2 ชนิด คอื

1. Present participle คือ กริยาท่ีเดมิ – ing ทาหน้าที่ขยายนามที่เป็นผ้กุ ระทา เชน่ The boy who is playing football in the field is a student. = The boy playing football in the field is a student. The flying plane is a plane that is flying. 2. Past participle คือ กริยาท่เี ป็น verb ชอ่ งท่ี 3 ทาหน้าท่เี ป็น Adjective ขยายนามท่ีเป็นผ้ถู กู กระทา เช่น The school which was founded in 1947 is now sixty years old. = The school founded in 1947 is now sixty years old. A broken chair is a chair that is broken. สถานที่และวตั ถสุ ง่ิ ของที่เป็นเครื่องใช้ในชีวติ ประจาวนั ให้ขยายด้วย V ing (Gerund) เชน่ A swimming pool is a pool for swimming. A frying pan is a pan for frying. A walking stick is a stick for walking. Unit 6 Careers and Jobs Careers and Office Positions 1. ตาแหน่งหน้าทท่ี วั่ ไปในที่ทางาน boss = ผ้บู งั คบั บญั ชาหรือหวั หน้า supervisor = ผ้คู วบคมุ ดแู ล

manager = ผ้จู ดั การ executive = ฝ่ ายบริหาร director = ผ้อู านวยการ accountant = พนกั งานบญั ชี secretary = เลขานกุ าร skilled worker = พนกั งานฝี มอื unskilled worker = พนกั งานแรงงาน entry-level employee = ลกู จ้างชวั่ คราว blue-collar worker = คนงานในโรงงาน union official = เจ้าหน้าท่ีประสานงาน white-collar worker = คนงานในสานกั งาน civil servant = พนกั งานของรับ Chief Executive Officer (CEO) = ประธานผ้อู านวยการบริหารธรุ กิจ 2. สายงานและอาชีพ : อาชีพแตล่ ะอาชีพจะมีสายงานเฉพาะที่แตกตา่ งกนั ออกไปดงั นี ้ สายงาน (fields of employment) อาชีพ (occupations) Heath Care (งานอนามยั ) Physician / doctor (แพทย์), registered / practical nurse (พยาบาล), Physical therapist (นกั กายภาพบาบดั ), lab technician (เจ้าหน้าท่ีห้องปฏิบตั กิ าร), dietitian (นกั โภชนาการ) Journalism reporter (นกั ข่าว), camera operator (งานวารสาร / หนงั สอื พิมพ์) (ผ้ถู ่ายทา), correspondent (ผ้สู อื่ ขา่ ว),