พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช ไปรับเสด็จพระสนั ตะปาปา จอหน์ ปอล ที่ 2 ในโอกาสเสดจ็ เยอื นประเทศไทยอยา่ งเป็ นทางการ ณ ท่าอากาศยานกองบญั ชาการกองทพั อากาศ ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาอิสลาม เขา้ มาเผยแพร่ในประเทศไทยต้งั แต่ยคุ สมยั สุโขทยั และช่วงกรุงศรีอยธุ ยาเร่ือยมา โดยกลุ่มพ่อคา้ ชาวมสุ ลิมในคาบสมุทรเปอร์เซียท่ีเขา้ มาคา้ ขายในแหลมมลายู (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ไดน้ าํ ศาสนาอิสลามเขา้ มา ภายหลงั คนพ้นื เมืองจึงไดเ้ ปล่ียนมานบั ถือศาสนาอิสลาม และบางคนเป็นถึงขนุ นางในราชสาํ นกั ในช่วงตน้ กรุง รัตนโกสินทร์มีชาวมุสลิมอพยพมาจากมลายแู ละเปลี่ยนสญั ชาติเป็นไทย นอกจากน้ียงั มีชาวมสุ ลิมอินเดียท่ีเขา้ มา ต้งั รกรากรวมถึงชาวมสุ ลิมยนู นานท่ีหนีภยั การเบียดเบียนศาสนาหลงั การปฏิวตั ิคอมมิวนิสตใ์ นประเทศจีน ศาสนา อิสลามในประเทศไทย จึงเติบโตอยา่ งรวดเร็ว โดยสถิติระบวุ า่ ประชากรมสุ ลิมมีจาํ นวนประมาณ 2.2 ลา้ นคน ถึง 7.4 ลา้ นคน ก่อนปี พ.ศ. 2505 กงศุลแห่งประเทศซาอดุ ิอาระเบีย ไดเ้ ขา้ เฝ้ารัชกาลท่ี 9 เพื่อถวายคมั ภีร์อลั กุรอาน ฉบบั ท่ีมี ความหมายเป็นภาษาองั กฤษ โดยรัชกาลท่ี 9 ทรงมีพระราชดาํ ริวา่ ควรจะมีคมั ภีร์อลั กุรอานฉบบั ความหมาย ภาษาไทย ใหป้ รากฏเป็นศรีสง่าแก่ประเทศชาติ เม่ือนายต่วน สุวรรณศาสน์ จุฬาราชมนตรีในสมยั น้นั เป็นผนู้ าํ ผแู้ ทนองคก์ ารสมาคม และกรรมการอิสลามเขา้ เฝ้าถวายพระพรในนามของชาวไทยมสุ ลิมในวนั เฉลิมพระ ชนมพรรษาปี น้นั รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระกระแสรับส่งั ใหจ้ ุฬาราชมนตรี แปลความหมายของพระมหาคมั ภีร์อลั กุ รอานจากคมั ภีร์ฉบบั ภาษาอาหรับโดยตรง สิ่งน้ีเป็ นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีตอ่ ศาสนาอิสลาม และทรงเป็นองค์ อคั รศาสนูปถมั ภกอยา่ งแทจ้ ริง ในช่วงเวลาที่จุฬาราชมนตรีแปลพระมหาคมั ภีร์ถวาย ทกุ คร้ังท่ีเขา้ เฝ้า รัชกาลที่ 9 จะทรงแสดงความห่วงใยตรัส ถามถึงความคืบหนา้ อปุ สรรค ปัญหาที่เกิดข้ึน และทรงมีพระราชประสงคท์ ี่จะใหพ้ ิมพเ์ ผยแพร่ ในปี พ.ศ. 2511 อนั เป็นปี ครบ 14 ศตวรรษแห่งอลั กุรอาน ประเทศมสุ ลิมทุกประเทศต่างก็จดั งานเฉลิมฉลองกนั อยา่ งสมเกียรติ ประเทศไทยแมจ้ ะไมใ่ ช่ประเทศมุสลิม แต่ไดม้ ีการจดั งานเฉลิมฉลอง 14 ศตวรรษแห่งอลั กุรอานข้ึน ณ สนามกีฬา กิตติขจร เมื่อวนั ท่ี 16 มีนาคม พ.ศ. 2511 เป็นวนั เดียวกนั กบั การจดั งานเมาลิดกลาง ในปี น้นั พระบาทสมเดจ็ พระ ปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช พร้อมดว้ ยสมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถเสด็จเป็นองคป์ ระธานในพธิ ี และในวนั น้นั เป็นวนั เร่ิมแรกท่ีพระมหาคมั ภีร์อลั กุรอาน ฉบบั ความหมายภาษาไทย ไดพ้ มิ พถ์ วายตามพระราชดาํ ริ และไดพ้ ระราชทานแก่มสั ยดิ ต่าง ๆ ทว่ั ประเทศ โดนเนน้ ย้าํ ดงั น้ี 1. การแปลพระคมั ภีร์อลั กรุอานเป็นภาษาไทย ขอใหแ้ ปลอยา่ งถูกตอ้ ง
2. ขอใหใ้ ชส้ าํ นวนเป็นภาษาไทยท่ีสามญั ชนทว่ั ไปอา่ นเขา้ ใจได้ นอกจากน้ีในงานไดม้ ีการพระราชทานรางวลั โลเ่ กียรติคุณ และเงินรางวลั แก่ผนู้ าํ ศาสนาอิสลามประจาํ มสั ยดิ ตา่ ง ๆ และทรงมีพระราชดาํ ริใหม้ ีการสนบั สนุนการจดั สร้างมสั ยดิ กลางประจาํ จงั หวดั ข้ึน โดยใหร้ ัฐบาลจดั สรร งบประมาณแผน่ ดินสาํ หรับจดั สร้าง ขณะน้ีไดส้ ร้างเสร็จเรียบร้อยแลว้ ใน 4 จงั หวดั ภาคใต้ ซ่ึงรัชกาลท่ี 9 ทรงเสดจ็ พระราชดาํ เนินไปเป็นองคป์ ระธานในพิธีดว้ ยพระองคเ์ องรัชกาลท่ี 10 หรือ “สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้า มหาวชิราลงกรณ สยามมกฎุ ราชกุมาร”ในขณะน้นั ไดท้ รงเคยปฏิบตั ิพระราชกรณียกิจ ท้งั เสดจ็ พระราชดาํ เนินใน ฐานะผแู้ ทนพระองค์ และในฐานะของพระองคเ์ อง ไดแ้ ก่ ทรงเป็นผแู้ ทนพระองคเ์ ปิ ดงานเมาลิดกลางแห่งประเทศ ไทย เสดจ็ พระราชดาํ เนินเยอื นมสั ยดิ กลางจงั หวดั ปัตตานี เพอ่ื พระราชทานถว้ ยรางวลั การทดสอบการอญั เชิญพระ มหาคมั ภีร์อลั กรุ อาน และโดยเสด็จรัชกาลที่ 9 ไปจงั หวดั นราธิวาส และพระราชทานพระคมั ภีร์อลั กุรอาน และคาํ แปลเป็ นภาษาไทยแก่คณะกรรมการอิสลาม ศาสนาซิกข์ ชาวซิกขส์ ่วนมากยดึ อาชีพคา้ ขายอิสระ บา้ งกแ็ ยกยา้ ยถ่ินฐานทาํ มาหากินไปอยตู่ า่ งประเทศบา้ ง และเดินทางไปมา ระหวา่ งประเทศ ในบรรดาชาวซิกขด์ งั กล่าว มีพอ่ คา้ ชาวซิกขผ์ หู้ น่ึงช่ือ นายกิรปาราม มาคาน ไดเ้ ดินทางไป ประเทศอฟั กานิสถาน เพื่อหาซ้ือสินคา้ แลว้ นาํ ไปจาํ หน่ายยงั บา้ นเกิด สินคา้ ที่ซ้ือคร้ังหน่ึง มีมา้ พนั ธุด์ ีรวมอยดู่ ว้ ย หน่ึงตวั เม่ือขายสินคา้ หมดแลว้ ไดเ้ ดินทางมาแวะท่ีประเทศสยาม โดยนาํ มา้ ตวั ดงั กลา่ วมาดว้ ย และมาอาศยั อยใู่ น พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษตั ริยส์ ยาม ไดร้ ับความอบอุ่นใจเป็นอยา่ งยง่ิ ดงั น้นั เมื่อเขามีโอกาสเขา้ เฝ้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว (รัชกาลที่ 5) เขาจึงไดก้ ราบบงั คมทูลนอ้ มเกลา้ ฯถวายมา้ ตวั โปรดของเขา แด่พระองค์ ดว้ ยความสาํ นึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จึงเห็นในความ จงรักภกั ดีของเขา พระองคจ์ ึงไดพ้ ระราชทานชา้ งใหเ้ ขาหน่ึงเชือก ตลอดจนขา้ วของเครื่องใชท้ ี่จาํ เป็นในระหวา่ ง เดินทางกลบั อินเดีย เมื่อเขาเดินทางกลบั มาถึงอินเดียแลว้ เห็นวา่ ของท่ีเขาไดร้ ับพระราชทานมาน้นั สูงค่าอยา่ งยง่ิ ควรท่ีจะเก็บรักษาให้ สมพระเกียรติยศแห่งพระเจา้ กรุงสยาม จึงไดน้ าํ ชา้ งเชือกน้นั ไปถวายพระราชาแห่งแควน้ แคชเมียร์ พร้อมท้งั เล่า เรื่องท่ีตนไดเ้ ดินทางไปประเทศสยาม ไดร้ ับความสุขความสบายจากพนี่ อ้ งประชาชนชาวสยาม ซ่ึงมีพระเจา้ แผน่ ดินปกครองดว้ ยทศพิธราชธรรมเป็นที่ยกยอ่ งสรรเสริญของประชาชน ถวายการขนานนามของพระองคว์ า่ พระปิ ยมหาราช
พระราชาแห่งแควน้ แคชเมียร์ไดฟ้ ังเรื่องราวแลว้ มีความพอพระทยั อยา่ งยงิ่ ทรงรับชา้ งเชือกดงั กล่าวเอาไวแ้ ลว้ ข้ึน ระวางเป็นราชพาหนะ พร้อมกบั มอบแกว้ แหวนเงินทองใหน้ ายกิรปารามมาดาม เป็นรางวลั จากน้นั ไดเ้ ดินทางกลบั บา้ นเกิด ณ แควน้ ปัญจาป แตค่ ร้ังน้ีเขาไดร้ วบรวมเงินทอง พร้อมท้งั ชกั ชวนเพ่อื น ใหไ้ ปต้งั ถ่ินฐานอาศยั อยใู่ ตร้ ่ม พระบรมโพธิสมภารพระเจา้ กรุงสยามตลอดไป รัชกาลที่ 9 เสดจ็ พระราชดาํ เนินทรงเป็นองคป์ ระธานในงานฉลองครบรอบ 500 ปี แห่งศาสนาซิกข์ ตามคาํ อญั เชิญ ของสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา โดยในปี พ.ศ. 2550 มีศาสนิกชน ชาวซิกขอ์ ยใู่ นประเทศไทยประมาณสามหม่ืนคน ทุก คนต่างมงุ่ ประกอบสัมมาอาชีพภายใตพ้ ระบรมโพธิสมภารแห่งพระมหากษตั ริยไ์ ทย ดว้ ยความมง่ั คงั่ สุขสงบท้งั กาย และใจ โดยทวั่ หนา้ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ถือเป็นอีกศาสนาหน่ึงท่ีมีความเก่าแก่ และอยคู่ ูป่ ระเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนาน เขา้ ไปมีส่วนในพิธีสาํ คญั ๆ โดยเฉพาะพระราชพิธีตา่ ง ๆ เช่น พระราชพธิ ีบรมราชาภิเษก ท่ีเป็นพระราชพิธีสถาปนา พระมหากษตั ริยข์ ้ึนเป็นสมมติเทพปกครองแผน่ ดินเป็นใหญ่ในทิศท้งั แปด และเป็นการประกาศให้ประชาชน ทราบโดยทว่ั กนั ตามคติพราหมณ์จะประกอบพธิ ีอญั เชิญพระเป็นเจา้ เพอื่ ทาํ การสถาปนาใหพ้ ระมหากษตั ริยเ์ ป็น สมมติเทพ ดาํ รงธรรมสิบประการ ปกครองประเทศดว้ ยความร่มเยน็ เป็นสุข ดว้ ยเหตุน้ีพระมหากษตั ริยท์ ุกพระองค์ จึงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณในการส่งเสริม และอปุ ถมั ภก์ ิจการของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูในประเทศไทยดว้ ยดี เสมอมา ในสมยั รัชกาลที่ 9 ทรงให้การสนบั สนุนกิจการตา่ ง ๆ ของศาสนิกชนในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ที่เขา้ มาอยใู่ ตเ้ บ้ือง พระบรมโพธิสมภารในประเทศไทยอีกดว้ ย ดงั เห็นไดจ้ ากการเสด็จพระราชดาํ เนินไปทรงร่วมกิจกรรมท่ีจดั ข้ึน โดยศาสนิกชนชาวอินเดียที่นบั ถือศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู รวมท้งั การเสดจ็ พระราชดาํ เนินไปทรงวางศิลาฤกษแ์ ละ เปิ ดศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ท่ีสาํ คญั เช่น เม่ือวนั ที่ 11 มิถนุ ายน พ.ศ. 2512 พระองคแ์ ละสมเด็จพระ นางเจา้ สิริกิต์ิพระบรมราชินีนาถ เสดจ็ พระราชดาํ เนินจากพระที่นง่ั อมั พรสถาน พระราชวงั ดุสิต ไปทรงเป็น ประธานในการเปิ ดอาคาร “เทพมณเฑียร” ณ สมาคมฮินดูสมาชถนนศิริพงษ์ แขวงเสาชิงชา้ กรุงเทพมหานคร รัชกาลท่ี 10 หรือ “สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกมุ าร” ในขณะน้นั ไดเ้ คย เสด็จฯ แทนรัชกาลที่ 9 ไปทรงเจิมเทวรูปพระอิศวร พระอุมา พระคเณศร์ พระนารายณ์พระพรหม และ พระราชทานเงินใหแ้ ก่หวั หนา้ คณะพราหมณ์ ผเู้ ป็นประธานในการประกอบพระราชพิธีตรียมั ปวาย - ตรีปวาย ณ พระท่ีนงั่ อมั พรสถาน พระราชวงั ดุสิต
พระมหากษตั ริย์ ประเทศไทยมีพระมหากษตั ริยป์ กครองประเทศสืบเนื่องมากวา่ 700 ปี ต้งั แตส่ มยั สุโขทยั อยธุ ยา ธนบุรี และ รัตนโกสินทร์ การปกครองโดยระบบกษตั ริยเ์ ป็นวฒั นธรรมที่ไทยรับมาจากอินเดีย พร้อมกบั การรับวฒั นธรรม ความเช่ือทางศาสนา โดยไดผ้ สมผสานแนวคิดหลกั 3 ประการเขา้ ดว้ ยกนั คือ แนวคิดในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ที่ เชื่อวา่ กษตั ริยท์ รงเป็นสมมุติเทพ แนวคิดในพทุ ธศาสนาท่ีวา่ พระมหากษตั ริยท์ รงมีสถานะเปรียบประดุจ พระพุทธเจา้ ทรงเป็นจกั รพรรดิราช หรือธรรมราชา ท่ีกอปรดว้ ยราชธรรมหลายประการ อาทิ ทศพิธราชธรรม และ จกั รวรรดิวตั ร 12 ประการ แนวคิดท้งั สองประการดงั กลา่ วน้ี อยบู่ นพ้นื ฐานของแนวคิดประการที่สาม คือ การ ปกครองแบบพ่อปกครองลูก ดงั ปรากฏมาต้งั แต่สมยั สุโขทยั ดว้ ยเหตนุ ้ีจึงทาํ ใหก้ ารปกครองโดยระบบกษตั ริยข์ อง ไทย มีความเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั แตกตา่ งจากประเทศอ่ืน (มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี, 2554 : พระราชนิพนธค์ าํ นาํ ) ตามอนุสัญญามอนเตวิเดโอวา่ ดว้ ยสิทธิและหนา้ ที่ของรัฐ (The Montevideo Convention on the Rights and Duties of State) ค.ศ. 1393 มาตรา 1 ไดก้ ล่าวถึงองคป์ ระกอบของรัฐเพ่อื วตั ถุประสงคใ์ นกฎหมายระหวา่ งประเทศวา่ รัฐ ประกอบดว้ ย ประชากรที่อยรู่ วมกนั อยา่ งถาวรดินแดนที่กาํ หนดไดอ้ ยา่ งแน่ชดั ความสามารถที่สถาปนา ความสมั พนั ธก์ บั ต่างรัฐได้ (อาํ นาจอธิปไตย) และมีรัฐบาล ซ่ึงในการปกครองประเทศไม่วา่ จะเป็นระบอบใดกต็ าม เพ่ือใหก้ ารปกครองเป็นไปดว้ ยความสงบเรียบร้อย จะตอ้ งมีผนู้ าํ เป็นผบู้ ริหารปกครองประเทศ โดยท่ีผูน้ าํ หรือ ประมุขสูงสุดในการปกครองประเทศของนานาอารยประเทศน้นั จะมีความแตกตา่ งกนั ไป ท้งั น้ีอาจข้ึนอยกู่ บั ระบบ การปกครอง ประเพณีนิยมและธรรมเนียมปฏิบตั ิท่ีสืบทอดกนั มา หรือบางประเทศเกิดการเปล่ียนแปลงจากรูปแบบ การปกครองของประเทศน้นั ๆ เช่น มีพระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมขุ สูงสุด หรือมีประธานาธิบดีเป็นผปู้ กครอง ประเทศหรือรัฐ สาํ หรับประเทศไทยเราน้นั มีพระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมุขสูงสุดในการปกครองประเทศมาต้งั แต่ อดีตกาล ความหมายของคําว่า พระมหากษตั ริย์ พระมหากษตั ริย์ คือ ประมขุ หรือผปู้ กครองสูงสุดของประเทศ จะเห็นไดว้ า่ ประเทศไทยต้งั แตอ่ ดีตจนถึงปัจจุบนั มี พระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมุขปกครองประเทศ อนั เกิดจากแนวความคิดที่วา่ แต่เดิมมนุษยย์ งั มีนอ้ ยดาํ รงชีพแบบ เรียบง่ายอยกู่ บั ธรรมชาติ และเม่ือมนุษยข์ ยายพนั ธุ์มากข้ึนธรรมชาติต่าง ๆ เร่ิมหมดไป เกิดการแก่งแยง่ กนั ทาํ มาหา กิน เกิดปัญหาสังคมข้ึน จึงตอ้ งหาทางแกไ้ ขคนในสงั คมจึงคิดวา่ ตอ้ งพจิ ารณาคดั เลือกใหบ้ ุคคลที่เหมาะสมและมี ความเฉลียวฉลาด ไดร้ ับการแตง่ ต้งั ใหเ้ ป็นผพู้ จิ ารณาตดั สิน เมื่อเกิดกรณีปัญหาต่าง ๆ ซ่ึงตอ้ งปฏิบตั ิหนา้ ที่ดว้ ย
ความบริสุทธ์ิยตุ ิธรรม ทาํ ใหค้ นในสงั คมพอใจ และยนิ ดี ประชาชนท้งั หลายจึงเปล่งอุทานวา่ “ระชะ” หรือ “รัชชะ” หรือราชา แปลวา่ ผเู้ ป็นที่พอใจประชาชนยนิ ดี ต่อมาเลยเรียกวา่ พระราชา ดว้ ยเหตทุ ่ีวา่ การกระทาํ หนา้ ท่ีดงั กล่าวไม่มีเวลาไปประกอบอาชีพ ประชาชนท้งั หลายพากนั บริจาคยกที่ดินให้ จึงเป็นผมู้ ีท่ีดินมากข้ึน ตามลาํ ดบั คนท้งั หลายจึงเรียกวา่ เขตตะ แปลวา่ ผมู้ ีท่ีดินมาก และเขียนในรูปภาษาสนั สกฤษวา่ เกษตตะ หรือ เกษตร ในที่สุดเขียนเป็นพระมหากษตั ริย์ แปลวา่ ผทู้ ่ีมีที่ดินมาก ดงั น้นั คาํ วา่ พระมหากษตั ริย์ ความหมายโดยรวม กค็ ือ ผทู้ ี่ยดึ ครอง หวงแหนและขยายผืนแผน่ ดินไวใ้ หแ้ ก่ประชาชนหรืออาณาประชาราษฎร์ ที่พระองคท์ รงเสียสละ เลือดเน้ือและชีวติ กอบกูเ้ อกราชบา้ นเมืองไวใ้ หช้ นรุ่นหลงั อยา่ งเช่นประเทศไทยของเราน้ี ถา้ ไมม่ ีพระมหากษตั ริย์ ทรงยดึ ถือครอบครองผืนแผน่ ดินไทยไว้ คนไทยทกุ คนจะมีผนื แผน่ ดินไทยอยทู่ ุกวนั น้ีไดอ้ ยา่ งไร อน่ึง พระมหากษตั ริยใ์ นนานาอารยประเทศท่ีเป็นประมุขของรัฐท่ีไดร้ ับตาํ แหน่งโดยการสืบสนั ตติวงศน์ ้นั อาจจาํ แนก ประเภทโดยอาศยั พระราชอาํ นาจ และพระราชสถานะเป็น 3 ประการ คือ 1. พระมหากษตั ริยใ์ นระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) พระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุขของรัฐ มีพระราชอาํ นาจและพระบรมเดชานุภาพเดด็ ขาด และลน้ พน้ แตพ่ ระองค์ เดียว และในอดีตประเทศไทยเคยใชอ้ ยกู่ ่อนการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 2. พระมหากษตั ริยใ์ นระบอบปรมิตาญาสิทธิราชย์ (Limited Monarchy) คือ พระมหากษตั ริยท์ รงมีพระราชอาํ นาจทุกประการ เวน้ แตจ่ ะถูกจาํ กดั โดยบทบญั ญตั ิของรัฐธรรมนูญเช่น ประเทศ ซาอดุ ิอาระเบีย เป็นตน้ 3. พระมหากษตั ริยภ์ ายใตร้ ัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) คือ ในระบอบน้ีมีพระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมขุ แตใ่ นการใชพ้ ระราชอาํ นาจดา้ นการปกครองน้นั ถูกโอนมาเป็นของ รัฐบาล พลเรือน และทหาร พระมหากษตั ริยจ์ ึงทรงใชพ้ ระราชอาํ นาจผา่ นฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ ฝ่ ายบริหาร และฝ่ายตลุ า การ พระองคม์ ิไดใ้ ชพ้ ระราชอาํ นาจ แตม่ ีองคก์ รหรือหน่วยงานรับผิดชอบต่าง ๆกนั ไป เช่น ประเทศไทย องั กฤษ และญี่ป่ ุนในปัจจุบนั เป็นตน้ พระมหากษตั ริย์ของไทย หากนบั ยอ้ นอดีตประวตั ิศาสตร์ไทยต้งั แต่สมยั โบราณ คาํ วา่ ”กษตั ริย”์ หรือนกั รบผยู้ ่งิ ใหญ่ ศึกษาไดจ้ ากในสมยั กรุงสุโขทยั มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก จะมีความใกลช้ ิดกบั ประชาชนมาก เช่น ในสมยั ราชวงศพ์ ระร่วง กษตั ริยจ์ ะมีพระนามข้ึนตน้ วา่ “พ่อขนุ ” เรียกวา่ พ่อขนุ ศรีอินทราทิตย์ พ่อขนุ รามคาํ แหง ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาไดร้ ับ
คติพราหมณ์มาจากขอมเรียกวา่ เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึง พระมหากษตั ริยท์ รงเป็นเทพมาอวตารเพ่อื ปกครองมวลมนุษย์ ทาํ ให้ชนช้นั กษตั ริยม์ ีสิทธิอาํ นาจมากท่ีสุดในอาณาจกั ร และห่างเหินจากชนช้นั ประชาชนมาก ในสมยั ราชวงศอ์ ู่ทอง จึงมีพระนามข้ึนตน้ วา่ “สมเดจ็ ” เรียกวา่ สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1(พระเจา้ อ่ทู อง) สมเดจ็ พระ ราเมศวร หรือในสมยั รัตนโกสินทร์ แห่งมหาจกั รีบรมราชวงศ์ เร่ิมดว้ ยรัชกาลท่ี 1 ถึงรัชกาลปัจจุบนั คือรัชกาลท่ี 10 ซ่ึงเป็นการยกยอ่ งเทิดทูลสถาบนั องคพ์ ระมหากษตั ริย์ จึงมีพระนามข้ึนตน้ วา่ พระบาทสมเดจ็ เช่น พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลท่ี 5) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช (รัชกาลท่ี 9)ดงั น้นั คาํ วา่ “พระมหากษตั ริยข์ องไทย” อาจมีคาํ เรียกท่ีแตกตา่ งกนั ตามประเพณีนิยมหรือธรรมเนียมท่ีเคยปฏิบตั ิสืบตอ่ กนั มา เช่น เรียกวา่ พระราชา เจา้ มหาชีวิต เจา้ ฟ้า เจา้ แผน่ ดินพอ่ เมือง พระเจา้ แผน่ ดิน พระเจา้ อยหู่ วั หรือในหลวง ฯลฯ และพระมหากษตั ริยเ์ ป็นไดด้ ว้ ยการสืบสันตติวงศ์ หรือโดยการยดึ อาํ นาจจากพระมหากษตั ริยพ์ ระองคเ์ ดิมแลว้ ปราบดาภิเษกตนเองข้ึนเป็นพระมหากษตั ริย์ ท้งั น้ี ในการสืบสันตติวงศต์ อ่ กนั มาโดยเช้ือพระวงศ์ เรียกวา่ พระ ราชวงศ์ เม่ือสิ้นสุดการสืบทอดโดยเช้ือพระวงศ์ ดว้ ยเหตุอื่นใดก็ตาม พระมหากษตั ริยพ์ ระองคใ์ หม่ จะเป็นตน้ พระ ราชวงศใ์ หมห่ รือเป็นผสู้ ถาปนาพระราชวงศ์ พระมหากษตั ริยไ์ ทยกบั รัฐธรรมนูญ ในอดีตพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นเจา้ ของชีวิตและเจา้ แผน่ ดิน กลา่ วคือ ทรงพระบรมเดชานุภาพเป็นลน้ พน้ โดยหลกั แลว้ จะโปรดเกลา้ ฯ ใหผ้ ใู้ ดสิ้นชีวิตก็ยอ่ มกระทาํ ได้ และทรงเป็นเจา้ ชีวติ ของท่ีดินตลอดทวั่ ราชอาณาจกั ร แตเ่ ม่ือ ภายหลงั มีการเปล่ียนแปลงการปกครองเมื่อวนั ท่ี 24 มิถนุ ายน พ.ศ. 2475 ระบบการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชยเ์ ป็ นระบอบประชาธิปไตยซ่ึงมีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นประมขุ ทาํ ใหพ้ ระราชสถานะของ พระมหากษตั ริยไ์ ดเ้ ปล่ียนแปลงไปดว้ ยคือ ทรงเปลี่ยนฐานะเป็นพระมหากษตั ริยใ์ นระบอบประชาธิปไตยที่มี รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่บทในการใชพ้ ระราชอาํ นาจท้งั ปวง พระราชสถานะและพระราชอาํ นาจของพระมหากษตั ริย์ รูปแบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไดก้ าํ หนดไวใ้ นรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบบั อนั เป็นกฎหมายแมบ่ ท สูงสุดในการปกครองประเทศ จะตอ้ งกล่าวถึงสถาบนั พระมหากษตั ริยไ์ วใ้ นรัฐธรรมนูญ เพราะรูปแบบประมขุ ของ ประเทศไทย คือ พระมหากษตั ริยท์ ่ีสืบเนื่องกนั มาอยา่ งยาวนาน ตามประเพณีการปกครองไทยในระบอบ ประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมขุ และตามรัฐธรรมนูญพระมหากษตั ริยจ์ ะมีพระราชสถานะและ ตาํ แหน่งหนา้ ท่ีตา่ ง ๆ มี 2 ประการ คือ
1) พระราชสถานะและพระราชอาํ นาจของพระมหากษตั ริยท์ ่ีบญั ญตั ิไวใ้ นรัฐธรรมนูญ เป็นการกล่าวถึง พระมหากษตั ริยต์ ามบทบญั ญตั ิของรัฐธรรมนูญแตล่ ะฉบบั เช่น พระมหากษตั ริยเ์ ป็นองคพ์ ระประมขุ หรือ พระมหากษตั ริยเ์ ป็นอคั รศาสนูปถมั ภก รวมท้งั ทรงดาํ รงตาํ แหน่งจอมทพั ไทยดงั ปรากฎในพระราชบญั ญตั ิ ธรรมนูญการปกครองแผน่ ดินสยามชว่ั คราว พทุ ธศกั ราช 2475 (พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) หมวด 2 กษตั ริย์ มาตรา 3 กลา่ ววา่ “กษตั ริยเ์ ป็นประมขุ สูงสุดของประเทศ พระราชบญั ญตั ิก็ ดี คาํ วนิ ิจฉยั ของศาลก็ดี การอ่ืน ๆซ่ึงจะมีบางกฎหมายระบุไวโ้ ดยเฉพาะก็ดี จะตอ้ งกระทาํ ในนามของกษตั ริย”์ และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540 (สมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพติ ร) หมวดที่ 2 พระมหากษตั ริย์ มาตรา 8 กลา่ ววา่ “องคพ์ ระมหากษตั ริยท์ รงดาํ รงอยใู่ นฐานะอนั เป็นที่ เคารพสักการะ ผใู้ ดจะละเมิดมิได้ ผใู้ ดจะกลา่ วหาหรือฟ้องร้องพระมหากษตั ริยใ์ นทางใด ๆ มิได”้ ซ่ึงบทบญั ญตั ิ เร่ืองน้ีไดร้ ับอิทธิพลมาจากรัฐธรรมนูญของญ่ีป่ นุ ที่สอดคลอ้ งกบั ความคิดความเชื่อของคนไทย ท้งั น้ีดว้ ยมีความ ประสงคท์ ่ีจะสาํ แดงพระราชสถานะอนั สูงสุดของพระมหากษตั ริยใ์ หป้ ระจกั ษ์ คติการปกครองประชาธิปไตย พระมหากษตั ริยท์ รงอยเู่ หนือความรับผิดชอบทางการเมือง จนเป็นเหตุใหเ้ กิดหลกั กฎหมายรัฐธรรมนูญท่ีวา่ “พระมหากษตั ริยไ์ มท่ รงกระทาํ ผิด” (The King can do no wrong) ซ่ึงหมายถึงผใู้ ดจะฟ้องร้องหรือกล่าวหา พระมหากษตั ริยใ์ นทางใด ๆ ไมไ่ ด้ ไม่วา่ จะเป็นในทางคดีแพง่ หรือคดีอาญาก็ตาม 2) พระราชสถานะและพระราชอาํ นาจของพระมหากษตั ริยต์ ามประเพณีการปกครอง ตามหลกั ทว่ั ไป พระมหากษตั ริยม์ ีพระราชอาํ นาจนอกเหนือจากที่กล่าวขา้ งตน้ คือ แตเ่ ดิมพระมหากษตั ริยม์ ีอาํ นาจสิทธิขาดในทุก ๆ เรื่อง และทุก ๆ กรณีแตผ่ เู้ ดียว ตอ่ มาเมื่อมีรัฐธรรมนูญเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรจาํ กดั พระราชอาํ นาจของ พระมหากษตั ริย์ ถา้ กรณีใดไม่มีบทบญั ญตั ิไวใ้ นรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกาํ หนดขอบเขตหรือเง่ือนไขของการใช้ พระราชอาํ นาจของพระมหากษตั ริยไ์ วพ้ ระมหากษตั ริยก์ ็จะยงั คงมีพระราชอาํ นาจเช่นน้นั อยโู่ ดยผลของธรรมเนียม ปฏิบตั ิ (Convention) ซ่ึงมีคา่ บงั คบั เป็นรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกนั เช่น พระราชอาํ นาจในภาวะวกิ ฤต กลา่ วคือ เมื่อ เกิดวิกฤตร้ายแรงทางการเมืองถึงการเผชิญหนา้ ระหวา่ งฝ่ ายตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเป็นเหตกุ ารณ์ 14 ตลุ าคม 2516 หรือ 17 - 20 พฤษภาคม 2535 ก็ดี จะเห็นวา่ พระมหากษตั ริยท์ รงเขา้ มาระงบั เหตรุ ้อนใหส้ งบเยน็ ลงไดอ้ ยา่ งอศั จรรย์ เป็นตน้ หรือกรณีพระราชอาํ นาจในการยบั ย้งั ร่างกฎหมาย กรณีของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2540 โดยหลกั แลว้ ร่างกฎหมายไมว่ า่ จะร่างรัฐธรรมนูญแกไ้ ขเพิม่ เติม ร่างพระราชบญั ญตั ิหรือร่างพระราชบญั ญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนูญ เมื่อไดร้ ับความเห็นชอบจากรัฐสภาแลว้ นายกรัฐมนตรีตอ้ งนาํ ทลู เกลา้ ทูลกระหม่อม ภายใน 20 วนั เพ่อื พระมหากษตั ริยท์ รงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลว้ บงั คบั ใชเ้ ป็นกฎหมาย ได้ และในกรณีที่พระมหากษตั ริยไ์ มท่ รงเห็นชอบดว้ ยและพระราชทานคืนมายงั รัฐสภาหรือเมื่อพน้ 90 วนั แลว้ มิได้
พระราชทานคืนมา รัฐสภาจะตอ้ งปรึกษาร่างรัฐธรรมนูญแกไ้ ขเพม่ิ เติมถา้ รัฐสภามีมติยนื ยนั ตามเดิมดว้ ยคะแนน เสียงไม่นอ้ ยกวา่ 2 ใน 3 ของจาํ นวนสมาชิกท้งั หมดเท่าที่มีอยขู่ องท้งั สองสภาแลว้ นายกรัฐมนตรีตอ้ งนาํ ร่าง กฎหมายน้นั ข้ึนทลู เกลา้ ถวายอีกคร้ังหน่ึง เม่ือพระมหากษตั ริยม์ ิไดท้ รงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมา ภายใน 30 วนั นายกรัฐมนตรีตอ้ งนาํ รัฐธรรมนูญแกไ้ ขเพ่มิ เติม หรือพระราชบญั ญตั ิ หรือพระราชบญั ญตั ิประกอบ รัฐธรรมนูญน้นั ประกาศในราชกิจจานุเบกษาใชบ้ งั คบั เป็นกฎหมายได้ เสมือนหน่ึงวา่ พระมหากษตั ริยไ์ ดท้ รงลง พระปรมาภิไธยแลว้ (มาตรา 94) เป็นตน้ สถาบนั พระมหากษตั ริยก์ ่อใหเ้ กิดคุณประโยชนอ์ ยา่ งมากมายมหาศาลตอ่ ประเทศชาติมาต้งั แตโ่ บราณจวบจน ปัจจุบนั น้ี ท้งั ในฐานะที่ก่อใหเ้ กิดการสร้างชาติ การกเู้ อกราชของชาติการรักษาและพฒั นาชาติ มีสาระสาํ คญั ท่ีควร แก่การนาํ มาศึกษา คือ 1) พระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นศนู ยร์ วมจิตใจของประชาชน พระมหากษตั ริยท์ รงทาํ ใหเ้ กิดความสาํ นึกเป็ นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั แมว้ า่ สถาบนั การเมืองการปกครองจะแยกสถาบนั นิติบญั ญตั ิ บริหาร ตลุ าการ แต่ตอ้ งใหอ้ าํ นาจของตน ภายใตพ้ ระปรมาภิไธย ทาํ ใหท้ ุกสถาบนั มีจุดรวมกนั อาํ นาจที่ไดม้ าจากแหล่งเดียวกนั คือ พระมหากษตั ริย์ นอกจากน้ีพระมหากษตั ริยย์ งั ทาํ ใหเ้ กิดความสาํ นึกเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ระหวา่ งหม่ชู นภายในชาติ โดยท่ีต่าง เคารพสักการะและจงรักภกั ดีตอ่ พระมหากษตั ริยร์ ่วมกนั แมจ้ ะมีความแตกตา่ งกนั ในดา้ นเช้ือชาติ เผา่ พนั ธุ์ ศาสนา กม็ ีความสมานสามคั คีกลมเกลียวกนั ในปวงชนท้งั หลาย ทาํ ใหเ้ กิดความเป็นปึ กแผน่ และเป็นพลงั ท่ีสาํ คญั ยงิ่ ของ ชาติ กล่าวไดว้ า่ พระมหากษตั ริยเ์ ป็นศูนยร์ วมของชาติเป็นศนู ยร์ วมจิตใจ ก่อใหเ้ กิดความสมานสามคั คี และเป็น อนั หน่ึงอนั เดียวกนั ของคนในชาติ เกิดเอกภาพท้งั ในทางการเมืองการปกครองในหม่ปู ระชาชนอยา่ งดียง่ิ พระมหากษตั ริยท์ รงรักใคร่ห่วงใยประชาชนอยา่ งย่งิ ทรงโปรดประชาชนและทรงใหเ้ ขา้ เฝ้าฯ อยา่ งใกลช้ ิด ทาํ ให้ เกิดความจงรักภกั ดีแน่นแฟ้นมากข้ึนไมเ่ ส่ือมคลายพระองคเ์ สด็จพระราชดาํ เนินไปทกุ แห่งไมว่ า่ จะเป็ นถิ่น ทรุ กนั ดารหรือมีอนั ตรายเพยี งไรเพื่อทรงทราบถึงทุกขส์ ุขของประชาชน และพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ อยา่ งกวา้ งขวางโดยไม่จาํ กดั ฐานะ เพศ วยั ประชาชนก็มีความผกู พนั กบั พระมหากษตั ริยอ์ ยา่ งลึกซ้ึงกวา้ งขวางแน่น แฟ้นมน่ั คง จนยากที่จะมีอาํ นาจใดมาทาํ ใหส้ ่นั คลอนได้ 2) พระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นสัญลกั ษณ์แห่งความตอ่ เน่ืองของชาติ สถาบนั พระมหากษตั ริยเ์ ป็นสถาบนั ประมุขของ ชาติสืบตอ่ กนั มาโดยไม่ขาดสายขาดตอนตลอดเวลา ไม่วา่ รัฐบาลจะเปล่ียนแปลงไปกี่ชุดกี่สมยั ก็ตาม แต่สถาบนั พระมหากษตั ริยย์ งั คงอยเู่ ป็นความตอ่ เน่ืองของประเทศชาติ ช่วยใหก้ ารปกครองไมม่ ีช่องวา่ งแต่มีความต่อเนื่อง ตลอดเวลา เพราะสาเหตุท่ีมีพระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมุขอยมู่ ิไดเ้ ปล่ียนแปลงไปตามรัฐบาลดว้ ย
3) พระมหากษตั ริยไ์ ทยทรงเป็นพุทธมามกะและอคั รศาสนูปถมั ภก ทาํ ใหเ้ กิดความสมั พนั ธแ์ น่นแฟ้นระหวา่ งคน ในชาติแมจ้ ะมีศาสนาตา่ งกนั เพราะพระมหากษตั ริยท์ รงอุปถมั ภท์ ุกศาสนาแมว้ า่ พระองคจ์ ะทรงเป็นพุทธมามกะ จึงก่อใหเ้ กิดพลงั ความสามคั คีในชาติ ไม่บาดหมางกนั ดว้ ยการมีศาสนาตา่ งกนั 4) พระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นพลงั ในการสร้างขวญั และกาํ ลงั ใจของประชาชน พระมหากษตั ริยท์ รงเป็นที่มาแห่ง เกียรติยศท้งั ปวง ก่อใหเ้ กิดความภาคภูมิ ปี ติยนิ ดี และเกิดกาํ ลงั ใจในหมู่ประชาชนทว่ั ไปท่ีจะรักษาคุณงามความดี มานะพยายามกระทาํ ความดี โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เมื่อพระองคท์ รงไวซ้ ่ึงความดีงามตลอดเวลา ทาํ ใหป้ ระชาชนผู้ ปฏิบตั ิดีปฏิบตั ิชอบมีกาํ ลงั ใจที่จะทาํ งานเสียสละต่อไป จึงเสมือนแรงดลใจผลกั ดนั ใหผ้ มู้ ีเจตนาดี ประกอบคุณงาม ความดีม่งุ มนั่ ในการปฏิบตั ิอยา่ งเขม้ แขง็ ท้งั ในส่วนประชาชน ส่วนราชการหรือรัฐบาล 5) พระมหากษตั ริยท์ รงมีส่วนสาํ คญั ในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และทาํ ใหก้ ารบริหารงานประเทศ เป็นไปดว้ ยดี พระมหากษตั ริยท์ รงข้ึนครองราชยด์ ว้ ยความเห็นชอบยอมรับของประชาชน โดยมีรัฐสภาทาํ หนา้ ที่ แทนพระองคจ์ ึงไดร้ ับการเทิดทูนยกยอ่ งเสมือนผแู้ ทนอนั อยใู่ นฐานะเป็นที่เคารพสกั การะของประชาชนดว้ ย การที่ พระมหากษตั ริยท์ รงมีพระราชอาํ นาจท่ีจะยบั ย้งั พระราชบญั ญตั ิ หรือพระราชทานคาํ แนะนาํ ตกั เตือน คาํ ปรึกษา และการสนบั สนุนในกิจการต่าง ๆ ท้งั ของรัฐบาล รัฐสภา และศาล ตามรัฐธรรมนูญจดั ไดว้ า่ พระองคท์ รงมีส่วน ร่วมอนั สาํ คญั ในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและก่อใหเ้ กิดผลดีในการบริหารการปกครองประเทศอยา่ ง นอ้ ยก็ช่วยใหฝ้ ่ายปฏิบตั ิหนา้ ท่ีท้งั หลายเกิดความสาํ นึก เกิดความระมดั ระวงั รอบคอบมิใหเ้ กิดความเสียหายตอ่ ส่วนรวมมากพอสมควร พระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุขและทรงเป็นกลางทางการเมืองการกาํ หนดหลกั การสืบ สนั ตติวงศไ์ วอ้ ยา่ งชดั เจนโดยกฎมณเฑียรบาลและรัฐธรรมนูญเป็นเคร่ืองประกนั วา่ จะทรงเป็นกลางทางการเมือง ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง และทาํ ใหส้ ามารถยบั ย้งั ทว้ งติงใหก้ ารปกครองประเทศเป็นไปโดยสุจริตยตุ ิธรรมเพ่ือประชาชน โดยส่วนรวม ซ่ึงตา่ งจากประมขุ ของประเทศที่มาจากการเลือกต้งั ที่จะตอ้ งยดึ นโยบายของกลุ่มหรือพรรคการเมือง เป็ นหลกั 6) พระมหากษตั ริยท์ รงแกไ้ ขวกิ ฤตการณ์ สถาบนั พระมหากษตั ริยเ์ ป็นกลไกสาํ คญั ในการยบั ย้งั แกไ้ ขวกิ ฤตการณ์ท่ี ร้ายแรงในประเทศได้ ไม่ทาํ ใหเ้ กิดความแตกแยกภายในชาติอยา่ งรุนแรงจนถึงตอ้ งตอ่ สู้กนั เป็นสงครามกลางเมือง หรือแบง่ แยกกนั เป็นประเทศเล็กประเทศนอ้ ยขจดั ปัดเป่ ามิใหเ้ หตุการณ์ลุกลามและทาํ ใหป้ ระเทศเขา้ สู่ภาวะปกติ ได้ เพราะพระมหากษตั ริยเ์ ป็นท่ียอมรับของทุกฝ่ ายไม่วา่ จะเป็นดา้ นประชาชน รัฐบาล หน่วยราชการ กองทพั นิสิต - นกั ศึกษาปัญญาชนท้งั หลาย หรือกลมุ่ ต่าง ๆ แมก้ ระทง่ั ชนกลุม่ นอ้ ยในประเทศ อนั ไดแ้ ก่ ชาวไทยภูเขาชาวไทย มสุ ลิม เป็นตน้
7) พระมหากษตั ริยท์ รงส่งเสริมความมน่ั คงของประเทศ โดยการยดึ เหนี่ยวจิตใจของประชาชนและกองทพั พระมหากษตั ริยท์ รงดาํ รงตาํ แหน่งจอมทพั ไทยจึงทรงใส่พระทยั ในการพฒั นากองทพั ท้งั ทางวตั ถแุ ละจิตใจ ทรง เยยี่ มเยยี นปลอบขวญั ทหาร พระราชทานของใชท้ ี่จาํ เป็นทรงช่วยเหลืออนุเคราะห์ ผเู้ สียสละเพ่อื ชาติ ทาํ ใหเ้ กิดขวญั และกาํ ลงั ใจแก่ทหาร ขา้ ราชการอยา่ งดียงิ่ พร้อมท่ีจะรักษาความมน่ั คงและเอกราชของชาติอยา่ งแน่นแฟ้น 8) พระมหากษตั ริยท์ รงมีส่วนเสริมสร้างสมั พนั ธไมตรีระหวา่ งประเทศ พระมหากษตั ริยใ์ นอดีตไดท้ รงดาํ เนิน วเิ ทโศบายไดอ้ ยา่ งดีจนสามารถรักษาเอกราชไวไ้ ด้ โดยเฉพาะสมยั การลา่ เมืองข้ึนในรัชกาลที่ 4 และรัชกาลท่ี 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สาํ หรับพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั รัชกาลปัจจุบนั ก็ทรงดาํ เนินการใหเ้ กิดความเขา้ ใจอนั ดี ความสัมพนั ธ์อนั ดีระหวา่ งประเทศต่าง ๆ กบั ประเทศไทย โดยเสดจ็ พระราชดาํ เนินเป็นทูตสนั ถวไมตรีกบั ประเทศ ตา่ ง ๆ ไม่นอ้ ยกวา่ 31 ประเทศ ทาํ ใหน้ โยบายต่างประเทศดาํ เนินไปอยา่ งสะดวกและราบร่ืน นอกจากน้นั ยงั ทรง เป็นผแู้ ทนประเทศไทยตอ้ นรับประมุขประเทศ ผนู้ าํ ประเทศ เอกอคั รราชทูต และทูตสันถวไมตรีจากต่างประเทศ อีกดว้ ย 9) พระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นผนู้ าํ ในการพฒั นาและปฏิรูปเพอ่ื ประโยชน์ของประเทศชาติ การพฒั นาและการปฏิรูปท่ี สาํ คญั ๆ ของชาติส่วนใหญ่พระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นผนู้ าํ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงปพู ้นื ฐาน ประชาธิปไตย โดยการจดั ต้งั กระทรวงตา่ ง ๆทรงส่งเสริมการศึกษาและเลิกทาส ปัจจุบนั พระมหากษตั ริยท์ รง เก้ือหนุนวิทยาการสาขาตา่ ง ๆทรงสนบั สนุนการศึกษาและศิลปวฒั นาธรรม ทรงริเร่ิมกิจการอนั เป็นการแกป้ ัญหา หลกั ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยจะเห็นวา่ โครงการตามพระราชดาํ ริส่วนใหญ่มุ่งแกป้ ัญหาหลกั ทาง เกษตรกรรมเพือ่ ชาวนา ชาวไร่ และประชาชนผยู้ ากไร้และดอ้ ยโอกาสอนั เป็นชนส่วนใหญข่ องประเทศ เช่น โครงการฝนหลวง ชลประทาน พฒั นาที่ดิน พฒั นาชาวเขา เป็นตน้ 10) พระมหากษตั ริยท์ รงมีส่วนเก้ือหนุนระบอบประชาธิปไตย บทบาทของพระมหากษตั ริยม์ ีส่วนช่วยเป็นอยา่ ง มากท่ีทาํ ใหป้ ระชาชนบงั เกิดความเช่ือมน่ั ในระบอบประชาธิปไตย เพราะการท่ีประชาชนเกิดความจงรักภกั ดีและ เชื่อมน่ั ในสถาบนั พระมหากษตั ริยจ์ ึงมีผลส่งใหป้ ระชาชนเกิดความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยอนั มี พระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมุขดว้ ย เน่ืองจากเห็นวา่ เป็ นระบอบที่เชิดชูสถาบนั พระมหากษตั ริยอ์ นั เป็นที่เคารพ สกั การะของประชาชนนน่ั เอง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110