Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ไทย

ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ไทย

Published by panyaponphrandkaew2545, 2021-08-22 09:15:46

Description: ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ไทย

Search

Read the Text Version

เพลงเรือเป็นที่สนุกสนาน เมื่อเสร็จหนา้ นากม็ ีการทอดกฐิน ลอยกระทง งานรื่นเริงตา่ ง ๆ ของชาว บา้ นมกั ทาํ ควบคู่ ไปกบั พธิ ีการของชาววงั เช่น พระราชพธิ ีจองเปรียญตาม พระประทีป ซ่ึงต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นลอยกระทงทรง ประทีป พระราชพธิ ี สงกรานต์ พระราชพิธีแรกนาขวญั พิธีกรรมเหลา่ น้ีสะทอ้ นวิถีชีวิตของชาว อยธุ ยาที่ผกู พนั อยู่ กบั ธรรมชาติแม่น้าํ ลาํ คลองอยา่ งเหนียวแน่น อยธุ ยาเจริญข้ึนมาโดยตลอด การคา้ สร้างความมง่ั คงั่ ใหพ้ ระคลงั ท่ีมี สิทธ์ิซ้ือสินคา้ จากเรือสินคา้ ตา่ งประเทศทุกลาํ ไดก้ ่อนโดยไม่เสียภาษี ความมง่ั คงั่ ของราชสาํ นกั นาํ ไปสู่การสร้างวดั วาอารามตา่ ง ๆ การทาํ นุ บาํ รุงศาสนาและการก่อสร้างพระราชวงั ใหใ้ หญโ่ ตสง่างาม ในสายตาของชาว ตา่ งประเทศแลว้ กรุงศรีอยธุ ยาเป็นมหานคร อนั ย่งิ ใหญ่ ที่มีพระราชวงั เป็นศูนยก์ ลาง โยสเซาเตน็ พอ่ คา้ ชาว ฮอลนั ดาท่ี เขา้ มายงั กรุงศรีอยธุ ยาในสมยั สมเดจ็ พระจเาปราสาททองไดบ้ นั ทึกไวว้ า่ กรุงศรีอยธุ ยาเป็นครที่ใหญ่โต โอ่อา่ วจิ ิตรพสิ ดาร และพระมหากษตั ริย์ สยามเป็นบคุ คลท่ีร่าํ รวยท่ีสุดในภาคตะวนั ออกน้ี พระนครแห่งน้ี ภายนอกอาจดูสงบงดงามและร่มเยน็ จากสายตา ของคนภายนอก แตแ่ ทจ้ ริงแลว้ บลั ลงั ก์ แห่งอาํ นาจภายในของกรุงศรี อยธุ ยาไมเ่ คยสงบ เมื่อสมเดจ็ พระเอกาทศรถเสดจ็ สวรรคต การแยง่ ชิงอาํ นาจได้ ดาํ เนินมาอยา่ งต่อเนื่อง จนถึงปี พ.ศ.๒๑๗๒ ราชวงศส์ ุโขทยั ท่ีครองราชย์ สืบตอ่ กนั มาต้งั แต่สมยั ของพระมหา ธรรมราชากถ็ ูกโคน่ ลม้ พระเจา้ ปราสาททองเสดจ็ ข้ึนครองราชย์ และสถาปนาราชวงศป์ ราสาททองข้ึน ใหม่ แมจ้ ะ ครองบลั ลงั กจ์ ากการโคน่ ลม้ ราชวงศอ์ ่ืนลง ยคุ สมยั ของ พระองคแ์ ละสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชที่ยาวนานถึง ๖๐ ปี น้นั กลบั เรียกไดว้ า่ เป็นช่วงเวลาท่ีกรุงศรีอยธุ ยาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด พระเจา้ ปราสาททองทรงมุง่ พฒั นา บา้ นเมืองท้งั ทางดา้ นศิลปกรรมและการคา้ กบั ต่างประเทศ ทรงโปรดใหส้ ร้างวดั ไชยวฒั นารามริมฝ่ัง แม่น้าํ เจา้ พระยาข้ึนดว้ ยคติเขาพระสุเมรุจาํ ลอง อนั เป็นแบบอยา่ งที่ไดร้ ับ อิทธิพลมาจากปราสาทขอม พร้อมกนั น้ีกไ็ ดม้ ี การคิดคน้ รูปแบบทางศิลป กรรมใหม่ ๆ ข้ึน เช่นพระเจดียย์ อ่ มมุ ไมส้ ิบสอง พระพุทธรูปทรงเคร่ืองแบบ อยธุ ยาอนั งดงามกไ็ ดร้ ับการฟ้ื นฟขู ้ึนมาในสมยั น้ี ทางดา้ นการคา้ กบั ต่างประเทศ หลงั จากที่โปรตเุ กสเขา้ มาคา้ ขายกบั กรุงศรี อยธุ ยาจนทาํ ใหเ้ มืองลิสบอนของโปรตุเกสกลายเป็ นศนู ย์ กลางการคา้ เครื่องเทศและพริกไทยในยโุ รปนานเกือบ ศตวรรษแลว้ ฮอลนั ดาจึงเร่ิมเขา้ มาสร้างอิทธิพลแขง่ กรุงศรีอยธุ ยาสร้างไมตรีดว้ ยการใหส้ ิทธิพิเศษบางอยา่ งแก่ พวก ดตั ช์ เพื่อถ่งดุลกบั ชาวโปรตุเกสที่เน่ิมกา้ วร้าวและเรียกร้องสิทธิพิเศษเพ่ิม ข้ึนทกุ ขณะ พอถึงสมยั พระเจา้ ปราสาททอง การคา้ ของฮอลนั ดาเจริญรุ่งเรือง ข้ึนมาก จึงเริ่มแสดงอิทธิพลบีบค้นั ไทย ประกอบกบั พระคลงั ใน สมยั น้นั ได้ ดาํ เนินการผกู ขาดสินคา้ หลายชนิด รวมท้งั หนงั สัตวท์ ี่เป็นสินคา้ หลกั ของ ชาวดตั ช์ ทาํ ใหเ้ กิดความไม่ พอใจถึงข้นั จะใชก้ าํ ลงั กนั ข้ึน ถึงสมยั ของสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ฮอลนั ดากค็ ุกคามหนกั ข้ึน ในท่ีสุดกเ็ ขา้ ยดึ เรือสินคา้ ของพระนารายณ์ท่ีชกั ธงโปรตเุ กสในอา่ วตงั เก๋ีย ต่อมาไมน่ านกน็ าํ เรือ ๒ ลาํ เขา้ มาปิ ดอา่ วไทย เรียกร้อง ไมใ่ หจ้ า้ งชาว จีน ญ่ีป่ ุน และญวนในเรือสินคา้ ของอยธุ ยา เพือ่ ปิ ดทางไม่ใหอ้ ยธุ ยาคา้ ขายแขง่ ดว้ ย มีการเจรจากนั

ในทา้ ยที่สุด ซ่ึงผลจากการเจรจาน้ีทาํ ให้ ฮอลนั ดาไดส้ ิทธ์ิผกู ขาดหนงั สัตวอ์ ยา่ งเดิม เพอ่ื ถว่ งดุลอาํ นาจกบั ฮอลนั ดที่ นบั วนั จะเพิม่ ข้ึนทุกขณะ สมเด็จพระนารายณ์จึงหนั ไปเอาใจองั กฤษกบั ฝร่ังเศสแทน ในช่วงน้ีเองความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งกรุงสยามกบั ฝรั่งเศสเจริญรุ่งเรืองอยา่ งท่ีสุด บคุ คลผหู้ น่ึงท่ีกา้ วเขา้ มาในช่วงน้ีและต่อไปจะไดม้ ี บทบาท อยา่ งมากในราชสาํ นกั สยาม กค็ ือ คอนแสตนติน ฟอลคอน ฟอลคอนเป็นชาวกรีกท่ีเขา้ มารับราชการในแผน่ ดิน สมเด็จพระนารายณ์ราวกลาง รัชสมยั และเจริญกา้ วหนา้ จนข้ึนเป็นพระยาวิชาเยนทร์ในเวลาอนั รวดเร็ว เวลาเดียว กนั กบั ที่ฟอลคอนกา้ วข้ึนมามีอาํ นาจในราชสาํ นกั ไทย ฝร่ังเศสในราชสาํ นกั กของ พระเเจา้ หลุยส์ที่ ๑๔ ที่เขา้ มา ติดตอ่ การคา้ และเผยแพร่ศาสนากพ็ ยายามเกล้ียกล่อม ใหส้ มเด็จพระนารายณ์หนั มาเขา้ รีตนิกกายโรมนั คาทอลิก ตามอยา่ งประเทศฝร่ังเศส ในช่วงเวลาน้ีไดม้ ีการส่งคณะทตู สยามเดินทางไปฝร่ังเศสเพ่อื เจริญสมั พนั ธไมตรี ทางฝร่ังเศสเองกส็ ่ง คณะทูตเขา้ มาในสยามบ่อยคร้ัง โดยมีจุดประสงคห์ ลกั คือชกั ชวนใหพ้ ระนารายณ์ทรงเขา้ รีต ฟอลคอนเองซ่ึง เปลี่ยนมานบั ถือนิกาย โรมนั คาทอลิกตามภรรยา ไดดส้ มคบกบั ฝร่ังเศสคิดจะเปลี่ยนแผน่ ดินสยามใหเ้ ป็น เมืองข้ึน ของฝรั่งเศส ดงั เช่นใน พ.ศ. ๒๒๒๘ โดยราชทตู เชอวาเลีย เดอโชมองต,์ ปี พ.ศ. ๒๒๓๐ โดยลาลูแบร์ ก็กลบั ไม่ ประสบความสาํ เร็จในการเปล่ียนใหพ้ ระเจา้ แผน่ ดิน-สยามหนั มาเขา้ รีต ไม่นานชาวสยามก็เร่ิมชิงชงั ฟอลคอนมาก ข้ึน อิทธิพลของฟอลคอนท่ีมีต่อราช สาํ นกั กสยามก็เพ่มิ มากข้ึนทกุ วนั ปี พ.ศ. ๒๒๓๑ สมเดจ็ พระนารายณ์ทรงประ ชวน หนกั ไมส่ ามารถวา่ ราชกาลได้ มีรับส่งั ใหฟ้ อลคอนรีบลาออกจากราชการและไป เสียจากเมืองไทย แต่ก็ชา้ ไป ดว้ ยเกิดความวนุ่ วายข้ึนเสียก่อน พระเพทราชาและ คณะผไู้ มพ่ อใจฝรั่งเศสจบั ฟอลคอนไปประหารชีวติ เมื่อสมเด็จ พระนารายณ์เสดจ็ สวรรคตในเดือนตอ่ มาพระเพทราชาก็เสดจ็ ข้ึนเถลิงราชสมบตั ิแทน การเขา้ มาของยโุ รปจาํ นวน มากในสมยั ของสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททองและสมเดจ็ พระนารายณ์ นอกจากจะทาํ ใหบ้ า้ นเมืองมีความมง่ั คงั่ แลว้ ยงั กา้ วหนา้ ไปดว้ ยวิทยา การสมยั ใหมท่ ้งั ทางดา้ นสถาปัตยกรรม การแพทย์ ดาราศาสตร์ การทหาร มีการ ก่อสร้าง อาคาร ป้อมปราการ พระท่ีนง่ั ในพระราชวงั เพม่ิ เติมดว้ ยเทคโนโลยแี บบ ตะวนั ตก นอกจากน้ีภาพวาดของ ชาวตะวนั ตกยงั แสดงใหเ้ ห็นวา่ มีการส่องกลอ้ งดู ดาวในสมยั สมเด็จพระนารายณ์ดว้ ย เมื่อส้ินรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ความขดั แยง้ ภายในเม่ืองจากการแยง่ ชิงราช สมบตั ิเกิดข้ึนอยู่ ตลอดเวลา ทาํ ใหก้ ารติดต่อกบั ต่างประเทศซบเซาลงไป ต้งั แตร่ ัช สมยั สมเด็จพระเพทราชาจนถึงพระเจา้ ทา้ ยสระ มี การก่อสร้างสิ่งใหม่ๆเพียงไม่ก่ี อยา่ ง คร้ันถึงสมยั พระเจา้ บรมโกศ บา้ นเมืองกก็ ลบั เจริญรุ่งเรืองข้ึนมาอีกคร้ังในช่วง ระยะเวลาหน่ึง จนกลา่ วไดว้ า่ ยคุ สมยั ของพระองคน์ บั เป็นยคุ ทองของศิลปวทิ ยา การอยา่ งแทจ้ ริงก่อนที่กรุงศรี อยธุ ยาจะตกต่าํ ไปจนถึงกาลลม่ สลาย ในรัชกาลน้ีไดม้ ีการบรู ณปฏิสังขรณ์พระราชวงั และวดั วาอารามต่างๆ ศิลปกรรม เฟ่ื องฟูข้ึนมาอยา่ งมากท้งั ในดา้ นลวดลายปนู ป้ัน การลงรักปิ ดทอง การช่างประดบั มุก การแกะสลกั

ประตูไม้ ทางดา้ นวรรณคดีกม็ ีกวีเกิดข้ึนหลายคน ท่ีโดเด่นและ เป็นท่ีรู้จกั คือ เจา้ ฟ้าธรรมาธิเบศร ผนู้ ิพนธ์กาพยเ์ ห่ เรือ ส่วยการมหรสพก็มีการฟ้ื น ฟูบทละครนอกละครในข้ึนมาเลน่ กนั อยา่ งกวา้ งขวาง กรุงศรีอยธุ ยาถูกขบั กลอ่ ม ดว้ ยเสียงดนตรัและความรื่นเริงอยตู่ ลอดเวลา แต่ทา่ มกลางความสงบสุขและรุ่งเรืองทางศิลปวฒั นธรรม ความ ขดั แยง้ ค่อยๆ ก่อตวั ข้ึน การแยง่ อาํ นาจท้งั ในหมูพ่ ระราชวงศ์ ขนุ นาง ทาํ ใหอ้ ีกไม่ถึง ๑๐ ปี ตอ่ มากรุงศรีอยธุ ยากเ็ สีย แก่พพม่าในสมยั ของพระเจา้ เอกทศั น์ เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ กรุงศรีอยธุ ยาในสมยั ของพระเจา้ บรมโกศจนถึงสมยั ของพระเจา้ เอกทศั น์น้นั คลา้ ยกบั พลุท่ีจุดข้ึนสวา่ ง โร่บนทอ้ งฟ้าชวั่ เวลาเพยี งไมน่ านแลว้ กด็ บั วบู ลงทนั ที วนั กรุงแตกเมื่อ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ เลา่ กนั วา่ ในกาํ แพง เมืองมีผคู้ นหนีพม่า มาแออดั อยนู่ บั แสนคน ปรากฏวา่ ไดถ้ กู พม่าฆ่าตายไปเสียกวา่ คร่ึง ที่เหลือกห็ นี ไปอยตู่ ามป่ า ตามเขา พม่าไดป้ ลน้ สะดม เผาบา้ นเรือน พระราชวงั และวดั วาอาราม ต่างๆจนหมดส้ิน นอกจากน้ียงั หลอมเอาทอง ท่ีองคพ์ ระและกวาดตอ้ นผคู้ นกลบั ไปจาํ นวนมาก อารยธรรมท่ีส่งั สมมากวา่ ๔๐๐ ปี ของกรุงศรีอยธุ ยาก็ถกู ทาํ ลาย ลงอยา่ งราบคาบเมื่อสิ้นสงกรานตป์ ี น้นั พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ในสมยั กรุงศรีอยุธยา ลาํ ดับ พระนาม ปี ท่ีครองราชย์ พระราชวงศ์ ๑ สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจา้ อู่ทอง) ๑๘๙๓ -๑๙๑๒ อูท่ อง (๑๙ ปี ) ๒ สมเด็จพระราเมศวร (โอรสพระเจา้ อ่ทู อง) ครองราชย์ ๑๙๑๒ - ๑๙๑๓ (๑ ปี ) อู่ทอง คร้ังท่ี ๑ ๓ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขนุ หลวงพะงวั่ ) ๑๙๑๓ - ๑๙๓๑ (๑๘ สุพรรณภมู ิ ปี ) ๔ สมเดจ็ พระเจา้ ทองลนั (โอรสขนุ หลวงพะงวั่ ) ๑๙๓๑ (๗ วนั ) สุพรรณภมู ิ ๕ สมเดจ็ พระราเมศวร ครองราชยค์ ร้ังที่ ๒ ๑๙๓๑ - ๑๙๓๘ (๗ ปี ) อูท่ อง ๖ สมเด็จพระราชาธิราช (โอรสพระราเมศวร) ๑๙๓๘ – ๑๙๕๒(๑๔ อ่ทู อง ปี )

๗ สมเดจ็ พระอินราชาธิราช (เจา้ นครอินทร์) โอรสพระ ๑๙๕๒ - ๑๙๖๗ (๑๖ สุพรรณภูมิ อนุชาของขนุ หลวงพระงวั่ ปี ) ๘ สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจา้ สามพระ ๑๙๖๗ – ๑๙๙๑(๑๖ ปี ) สุพรรณภูมิ ยา) โอรสเจา้ นครอินทร์ ๙ สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ (โอรสเจา้ สามพระยา) ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑ (๔๐ สุพรรณภมู ิ ปี ) ๑๐ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (โอรสพระบรมไตร ๒๐๓๑ - ๒๐๓๔ (๓ สุพรรณถูมิ โลกนาถ) ปี ) ๑๑ สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ (โอรสพระบรมไตร ๒๐๓๔ – ๒๐๗๒ (๓๘ สุพรรณภูมิ โลกนาถ) ปี ) ๑๒ สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี๔(พระอนุชาต่างมารดา ๒๐๗๒ - ๒๐๗๖ (๔ สุพรรณภมู ิ พระรามาธิบดีท่ี ๒) ปี ) ๑๓ สมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร (โอรสพระบรม ๒๐๗๖ – ๒๐๗๗ (๑ สุพรรณภูมิ ราชาธิราชที่ ๔) ปี ) ๑๔ สมเดจ็ พระไชยราชาธิราช (โอรสพระรามาธิบดีที่ ๒) ๒๐๗๗ – ๒๐๘๙(๑๒ สุพรรณภูมิ ปี ) ๑๕ สมเด็จพระยอดฟ้า (พระแกว้ ฟ้า) (โอรสพระไชย ๒๐๘๙ - ๒๐๙๑ (๒ ปี ) สุพรรณภูมิ ราชาธิราช) ๑๖ ขนุ วรวงศาธิราช (สาํ นกั ประวตั ิศาสตร์บางแห่งไม่ ๒๐๙๑ (๔๒ วนั ) อ่ทู อง ยอมรับวา่ เป็นกษตั ริย)์ ๑๗ สมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ (พระเฑียรราชา) ๒๐๙๑ - ๒๑๑๑ (๒๐ สุพรรณภูมิ ปี ) ๑๘ สมเดจ็ พระมหินทราธิราช (โอรสพระมหาจกั รพรรดิ) ๒๑๑๑ – ๒๑๑๒ (๑ ปี ) สุพรรณภมู ิ

๑๙ สมเด็จพระมหาธรรมราชา (ราชบตุ รเขยในพระมหา ๒๑๑๒ – ๒๑๓๓(๒๑ สุโขทยั จกั รพรรด์ิ) ปี ) ๒๐ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (โอรสพระมหาธรรม ๒๑๓๓ – ๒๑๔ (๑๕ สุโขทยั ราชา) ปี ) ๒๑ สมเดจ็ พระเอกาทศรถ (โอรสพระมหาธรรมราชา) ๒๑๔๘ - ๒๑๕๓ (๕ สุโขทยั ปี ) ๒๒ พระศรีเสาวภาคย์ (โอรสพระเอกาทศรถ) ๒๑๕๓ - ๒๑๕๔ (๑ สุโขทยั ปี ) ๒๓ สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม (โอรสพระเอกาทศรถ) ๒๑๕๔ - ๒๑๗๑ (๑๗ สุโขทยั ปี ) ๒๔ สมเดจ็ พระเชษฐาธิราช (โอรสพระเจา้ ทรงธรรม) ๒๑๗๒ (๘ เดือน) สุโขทยั ๒๕ สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ (โอรสพระเจา้ ทรงธรรม) ๒๑๗๒ (๒๘ วนั ) สุโขทยั ๒๖ สมเด็จพระเจา้ ปราสาททอง (ออกญากลาโหมสุริ ๒๑๗๒ - ๒๑๙๙ (๒๗ ปราสาท ยวงค)์ ปี ) ทอง ๒๗ สมเด็จเจา้ ฟ้าไชย (โอรสพระเจา้ ปราสาททอง) ๒๑๙๙ (๓ - ๔ วนั ) ปราสาท ทอง ๒๘ พระศรีสุธรรมราชา (อนุชาพระเจา้ ปราสาททอง) ๒๑๙๙ (๓ เดือน) ปราสาท ทอง ๒๙ สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช (โอรสพระเจา้ ปราสาท ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ (๓๒ ปราสาท ทอง) ปี ) ทอง ๓๐ สมเด็จพระเพทราชา ๒๒๓๑ - ๒๒๔๖ (๑๕ บา้ นพลู ปี ) หลวง

๒๑ สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ่ี ๘ (พระเจา้ เสือ) ๒๒๔๖ – ๒๒๕๑ (๖ บา้ นพลู ปี ) หลวง ๓๒ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทา้ ยสระ (โอรสพระเจา้ เสือ) ๒๒๕๑ – ๒๒๗๕ บา้ นพลู (๒๔ ปี ) หลวง ๓๓ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ (โอรสพระเจา้ เสือ) ๒๒๗๕ - ๒๓๐๑ (๒๖ บา้ นพลู ปี ) หลวง ๓๔ สมเด็จพระเจา้ อทุ ุมพร (โอรสพระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ) ๒๓๐๑ (๒ เดือน) บา้ นพลู หลวง ๓๕ สมเดจ็ พระท่ีนงั่ สุริยาสน์อมรินทร์ (พระเจา้ เอกทศั น)์ ๒๓๐๑ - ๒๓๑๐ (๙ ปี ) บา้ นพลู หลวง ประวตั ศิ าสตร์ไทยสมยั กรุงธนบุรี กรุงธนบุรี เป็นราชธานีของไทย ในช่วง พ.ศ. ๒๓๑๐ - ๒๓๒๕ มีท่ีต้งั ณ ฝั่งตะวนั ตกของแมน่ ้าํ เจา้ พระยา ท่ีเมือง ธนบุรีเดิมหลงั จากกรุงศรีอยธุ ยาตอ้ งเสียแก่พมา่ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ แลว้ สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช ก็ไดท้ รงสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ข้ึน พระราชทานนามวา่ \"กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร\" เม่ือจุลศกั ราช ๑๑๓๐ ปี ชวด สมั ฤทธิศก ตรงกบั พ.ศ. ๒๓๑๐ จวบจนถึง พ.ศ. ๒๓๒๕ นบั เป็นเวลาแห่งราชธานีเพียง ๑๕ ปี เท่าน้นั ชุมนุม และ ก่อนท่ีจะสถาปนากรุงธนบุรี แมก้ รุงศรีอยธุ ยา จะถกู ทาํ ลายยอ่ ยยบั พม่าก็มิไดร้ ุกรานดินแดนสยามท้งั หมด ทหารพมา่ มีกาํ ลงั เพียงควบคุมใน เมืองหลวง และ เมืองใกลเ้ คียงเท่าน้นั หลงั จากเสด็จส้ินการปลน้ สะดม พม่ายกเลิกทพั กลบั ไป เหลือไวแ้ ตเ่ พียง กองทพั เลก็ ๆ ประมาณ ๓,๐๐๐ คน มีสุก้ีพระนายกอง เป็นผดู้ ูแลรักษากรุงศรีอยธุ ยา ต้งั คา่ ยอยทู่ ่ีบา้ นโพธ์ิสามตน้ พร้อมกนั น้นั พมา่ ไดต้ ้งั นายทองอิน ซ่ึงเป็นคนไทย ใหไ้ ปเป็นผดู้ ูแลรักษาเมืองธนบุรีไวแ้ ทนพม่า ดงั น้นั หวั เมือง อื่นๆ ที่ปลอดจากการรุกรานของพม่า จึงต้งั ตนเป็นใหญ่ไมข่ ้ึนตอ่ ใคร เรียกวา่ ชุมนุม โดยท้งั หมดมีท้งั หมด ๕ ชุมนุม ไดแ้ ก่ ชุมนุมพระเจา้ ตาก (ต้งั หลงั สุด) ชุมนุมเจา้ พระยาพษิ ณุโลก ชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราช ชุมนุมเจา้ พิ มาย และ ชุมนุมพระเจา้ ฝางการต้งั ตวั แผนที่ป้อมเมืองธนบุรี สมยั สมเด็จพระเพทราชา

สาเหตุของการหลบหนี ขณะท่ีกรุงศรีอยธุ ยาทาํ สงครามกบั พมา่ อยนู่ ้นั พระยาตากไดเ้ ห็นความอ่อนแอของสมเด็จพระเจา้ เอก ทศั น์ และมองไมเ่ ห็นหนทางที่จะเอาชนะขา้ ศึกได้ จึงไม่อยากอยรู่ ่วมปฏิบตั ิหนา้ ท่ีราชการตอ่ ไปบงั เกิดข้ึนหลาย คร้ัง ดงั น้ี พระยาตากคุมทหารออกไปรบนอกเมือง และสามารถรบชนะขา้ ศึกได้ แต่ทางการไมส่ ่งทหารมาเพ่มิ จึง ตอ้ งเสียคา่ ยน้นั ไปอีก พระยาตากไดร้ ับบญั ชาใหย้ กกองทพั เรือออกไปรบพร้อมกบั พระยาเพชรบุรี แต่พระยาตาก เห็นวา่ พม่ามีพลที่มากกวา่ จึงหา้ มไม่ใหพ้ ระยาเพชรบุรีไปออกรบ แต่พระยาเพชรบรุ ีไม่เชื่อฟัง จึงออกไปรบ และ เสียชีวติ ในสนามรบ ทาํ ใหพ้ ระยาตากถูกกล่าวหาว่าทิง้ ใหพ้ ระยาเพชรบรุ ีเป็ นอนั ตราย ๓ เดือนก่อนกรุงแตก พมา่ ยกกองมาปลน้ ทางเหนือของพระนคร พระเจา้ ตากเห็นการ จึงจาํ เป็นตอ้ งขออนุญาตจากกรุงใหใ้ ช่ปื นใหญ่ แต่ทาง กรุงไม่อนุญาต พระยาตากจึงคิดวา่ ถา้ ยงั เป็นอยา่ งน้ี กรุงศรีอยธุ ยาจะตอ้ งแตก พระยาตากจึงตดั สินใจตีฝ่าวงลอ้ ม ของพม่าออกไป พร้อมกบั ขนุ นางนายทหารผใู้ หญ่ตีฝ่ าวงลอ้ มพมา่ โดยนายทหารและขนุ นางผใู้ หญ่มี พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชยั ราชา หลวงราชเสนา ขนุ อภยั ภกั ดี และ หมื่นราชเสน่หา ออกไปต้งั คา่ ยที่ วดั พชิ ยั เม่ือ เสาร์ เดือนยี่ ข้ึน ๔ ค่าํ ปี จอ จุลศกั ราช ๑๑๒๘ ตรงกบั วนั ที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๑๐ พอไปถึงบา้ นสาํ บณั ฑิตเวลา เท่ียงคืนเศษ ก็แลเห็นแสงเพลิงไหมจ้ ากพระนครการเดินทางไปยงั เมืองจนั ทบุรี เมืองระยอง พระยาตากไดน้ าํ ทพั ผา่ นบา้ นโพสามหาร บา้ นบางดง ซ่ึงมีแตท่ หารพมา่ ผา่ น หนองไมท้ รุง เมือง นครนายก เมืองปราจีนบุรี ลงใตผ้ า่ นพทั ยา สัตหีบ ตลอดทางมีคนออ้ มนอ้ มเป็นพรรคพวกจาํ นวนมาก พระยาตาก นาํ ทพั เลียบชายฝ่ัง จนมาถึงเขตเมืองระยอง ผรู้ ้ังเมืองระยองเห็นวา่ ทพั พระยาตากเป็นทพั ใหญ่ จึงพากรมการเมือง ไปตอ้ นรับนอบนอ้ มและที่เมืองระยองน้ีเอง ท่ีพระยาตากไดต้ ้งั ตนเป็นเจา้ ดว้ ยความเห็นชอบของบรรดาขนุ นาง และ กลุม่ ชน แต่ต่อมา นายบุญรอด แขนอ่อน นายบญุ มาซ่ึงเป็นนอ้ งภริยาของพระยาจนั ทบรุ ี ท่ีไดเ้ ขา้ มาถวายตวั เขา้ รับราชการ ไดก้ ราบทูลความรับใหท้ รงทราบวา่ ขนุ รามหมื่นสอ้ ง นายทองอยู่ นกเลก็ และ พรรคพวกการเมือง ระยองคิดร้าย เจา้ ตากจึงทรงวางแผนซอ้ นตีตอ้ นพวกคิดร้ายแตกพ่ายไป เม่ือเจา้ ตากไดเ้ มืองระยองแลว้ ทรงส่งคน ไปเกล้ียกล่อมพระยาจนั ทบุรี แลว้ ออกตามจบั ขนุ รามหม่ืนสอ้ ง กบั นายทองอยู่ นกเลก็ ต่อไป และในท่ีสุด นาย ทองอยู่ นกเลก็ ก็ไดม้ าออ่ นนอ้ ม พระยาตากจึงทรงแต่งต้งั ให้ นายทองอยู่ นกเลก็ เป็น พระยาอนุราชบุรีศรี มหาสมทุ ร ปกครองเมืองชลบุรีตอ่ ไป เมืองจนั ทบรุ ีเจา้ ตากทรงพิจารณาเห็นว่า เมืองจนั ทบุรีเป็นเมืองท่ีใหญ่ และยงั อดุ มสมบรู ณ์ บา้ นเรือนเป็ นปกติสุขอยู่ เจา้ ตากจึงทรงเกล้ียกลอ่ มเมืองจนั ทบุรีใหม้ าช่วยกูเ้ อกราชพระยาจนั ทบุรี รับคาํ ไมตรีในช่วงแรก แตแ่ ลว้ พระยาจนั ทบุรีกลบั ไปร่วมมือกบั ขนุ รามหม่ืนสอ้ ง วางแผนลวงใหเ้ จา้ ตากยกกองทพั เขา้ ไปตีเมืองจนั ทบุรี แลว้ ค่อยกาํ จดั เสียในภายหลงั แต่พระยาตากทรงรู้ทนั จึงทรงหยดุ ย้งั อยหู่ นา้ เมืองในขณะน้นั หลวงนายศกั ด์ิ (หมดุ ) ถกู เจา้ เมืองจนั ทบรุ ีคุมขงั อยู่ ไดห้ นีออกมาสมทบเจา้ ตาก เพราะรู้จกั คุน้ เคยกนั มาก่อน หลวง

นายศกั ด์ิไดม้ อบจีนพรรคพวกให้ ๕๐๐ คน กบั เงินส่วยสาอากร ๓๐๐ ชง่ั ท่ีเก็บจากเจา้ เมืองจนั ทบรุ ีเมื่อเจา้ ตากทรง พจิ ารณาเห็นวา่ พระยาจนั ทบุรีหลงเช่ือคาํ ของขนุ รามหม่ืนส้อง ไม่ยอมออ่ นนอ้ มใหแ้ ลว้ จึงตรัสใหท้ หารท้งั ปวง เท อาหารทิง้ ทบุ หมอ้ ทุบตอ่ ยหมอ้ แกงจนแหลกหมด แลว้ จึงตรัสวา่ วนั น้ีเราจะเอาเมืองจนั ทบรุ ีใหไ้ ด้ ใหไ้ ปหาขา้ ว ของกินกนั ในเมือง หากไมไ่ ดก้ จ็ งตายเสียใหส้ ้ินดว้ ยกนั เถิดคร้ันตกดึกประมาณ ๓ นาฬิกา เจา้ ตากกส็ ามารถบกุ เขา้ เมืองได้ ตรงกบั วนั ที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๑๐ เจา้ ตากจึงสามารถรวบรวมหัวเมืองตะวนั ออก ไดแ้ ก่ ชลบุรี และ ระยอง จนั ทบุรีได้ การสถาปนากรุงธนบุรี เมื่อพระเจา้ ตากทรงขบั ไลพ่ มา่ ออกจากกรุงศรีอยธุ ยาแลว้ กร็ วบรวมผคู้ น ทรัพย์ สมบตั ิ และส่ิงต่างๆ ซ่ึงสุก้ีพระนายกองยงั มิไดน้ าํ ไปยงั พม่า นาํ กลบั มายงั ค่ายที่เมืองธนบุรี ปรากฏวา่ ท่ีเมืองลพบุรี มีพระบรมวงศานุวงศข์ องราชวงศอ์ ยธุ ยามาพาํ นกั อยเู่ ป็นจาํ นวนมาก พระเจา้ ตากจึงส่งั ใหค้ นไปอญั เชิญมายงั เมือง ธนบรุ ี พระองคท์ รงขดุ พระบรมศพของสมเด็จพระเจา้ เอกทศั นข์ ้ึนมาถวายพระเพลิงตามราชประเพณี ตอ่ จากน้นั พระองคก์ ท็ รงคิดที่จะปฏิสังขรณ์พระนครศรีอยธุ ยาใหก้ ลบั คืนเป็นดงั เดิม แต่แลว้ หลงั จากตรวจดูความพินาจของ เมือง ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ พยพผคู้ นเคล่ือนลงมาทางใต้ ต้งั ราชธานีใหมข่ ้ึนที่เมืองธนบรุ ี เรียกนามวา่ กรุงธนบุรีศรีมหาสมทุ ร เหตผุ ลท่ีทรงยา้ ยราชธานี ถึงแมว้ า่ กรุงศรีอยธุ ยาจะเป็นราชธานีท่ีมีชยั ภมู ิดี มีแม่น้าํ ลอ้ มรอบ แตพ่ ระเจา้ ตาก ไมม่ ีทหารเพยี งพอท่ีจะปกป้องพระนครได้ จึงอาจจะทาํ ใหข้ า้ ศึก บุกเขา้ มาโดยงา่ ย กรุงศรีอยธุ ยาอยใู่ นทาํ เลท่ีขา้ ศึก เขา้ มาสะดวก พมา่ รู้ประตทู างเขา้ ออกและจุดอ่อนของกรุงศรีแลว้ จึงทาํ ใหเ้ สียเปรียบต่อการป้องกนั พระนครกรุง ศรีอยธุ ยาทรุดโทรมมาก ยากแก่การบูรณะสังขร อยธุ ยาอยไู่ กลจากทะเล ซ่ึงไมส่ ะดวกในการคา้ ขาย เหตผุ ลท่ีทรง เลือกเมืองธนบุรีธนบรุ ีมีแม่น้าํ ใหญก่ วา้ งไหลผา่ น เม่ือขา้ ศึกมา จึงสามารถข้ึนเรือหนีไปท่ีเมืองจนั ทบุรีได้ ธนบุรีมี ป้อมอยู่ คือ ป้อมวชิ ยั ประสิทธ์ิ หรือ ป้อมวิไชเยนทร์ ท่ีสร้างไวต้ ้งั แตส่ มเด็จพระนารายณ์มหาราช หลงเหลืออยู่ พอที่จะใชป้ ้องกนั ขา้ ศึกได้ ธนบุรีต้งั อยบู่ นเกาะเหมือนอยธุ ยา ธนบุรีต้งั อยปู่ ากแม่น้าํ เจา้ พระยา เป็นเสน้ ทางท่ีเมือง เหนือท้งั ปวงจะไดค้ า้ ขาย จึงสามารถกีดกนั มิใหห้ วั เมืองเหลา่ น้นั ต้งั ตนเป็นใหญ่ ซ้ือหาอาวธุ จากตา่ งประเทศได้ ธนบุรีต้งั อยใู่ กลท้ ะเล สะดวกแก่การคา้ มาก ซ่ึงตา่ งจากอยธุ ยาที่ตอ้ งขนลงเรือเลก็ ก่อน ธนบรุ ีเป็นเมืองเก่า มีวดั เก่าแก่มากมาย ดงั น้นั จึงไม่ตอ้ งสร้างวดั ข้ึนมาใหม่ท้งั หมด ธนบรุ ีมีคลองมาก ดินดี น้าํ มาก จึงสามารถทาํ ไร่ทาํ สวน ไดต้ ลอดท้งั ปี การปกครองการปกครองในสมยั กรุงธนบรุ ีน้นั ยดื ถือแบบการแบบกรุงศรีอยธุ ยา โดยแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ดงั น้ี การปกครองส่วนกลาง กรุงธนบุรีเป็นศนู ยก์ ลาง มีอคั รมหาเสนาบดี ๒ ตาํ แหน่ง

สมุหนายก' เป็นอคั รมหาเสนาบดีฝ่ ายพลเรือน เป็นผดู้ ูแลหวั เมืองฝ่ ายเหนือ ท้งั ในราชการฝ่ ายทหาร และ พลเรือน ในฐานะเจา้ เสนาบดีกรมมหาดไทย ผเู้ ป็นจะมียศเป็น เจา้ พระยาจกั รี'หรือท่ีเรียกวา่ ออกญาจกั รี สมุหพระกลาโหม' เป็นอคั รมหาเสนาบดีฝ่ ายทหาร เป็นผดู้ ูแลหวั เมืองฝ่ ายใตท้ ้งั ปวง ยศน้นั ก็จะมี เจา้ พระยามหา เสนา'หรือท่ีเรียกวา่ ออกญากลาโหม ส่วนจตสุ ดมภน์ ้นั ยงั มีไวเ้ หมือนเดิม มีเสนาบดีเป็นผดู้ ูแล และมีพระยาโกษาธิบดี เป็นผดู้ ูแลอีกทอดหน่ึง ซ่ึงไดแ้ ก่ กรมเวยี ง กรมวงั กรมคลงั และ กรมนา การปกครองส่วนภูมิภาค หวั เมืองช้นั ใน จะมีผรู้ ้ังเมือง เป็นผปู้ กครอง จะอยรู่ อบ ๆ ไมไ่ กลจากราชธานี เมืองพระยามหานคร จะแบง่ ออกไดเ้ ป็น เมืองเอก โท ตรี จตั วา มีเจา้ เมืองเป็นผปู้ กครอง เมืองประเทศราช คือเมือง ท่ีจะตอ้ งส่งเครื่องราชบรรณาการมาใหก้ รุงธนบุรี ซ่ึงในขณะน้นั จะมี นครศรีธรรมราช เชียงแสน เชียงใหม่ ลาํ ปาง ลาํ พนู พะเยา แพร่ น่าน ปัตตานี ไทรบุรี ตรังกานู มะริด ตะนาวศรี พุทไธมาศ พนมเปญ จาํ ปาศกั ด์ิ หลวงพระบาง และ เวียงจนั ทน์ ฯลฯ เศรษฐกิจในช่วงแรกๆ ค่อนขา้ งท่ีจะมีปัญหาดา้ นเศรษฐกิจเพราะเกิดปัญหาขา้ วยากหมาก แพงไม่เพียงพอกบั ความตอ้ งการของประชาชน วิธีแกแ้ รกๆ พระเจา้ ตากสินไดส้ ละทรัพยส์ ่วนพระองคใ์ หซ้ ้ือขา้ ว แจกกบั ประชาชน แตก่ ย็ งั ไม่พออยดู่ ี จนภายหลงั พระองคจ์ ึงใหร้ าษฎรทุกคนช่วยกนั ปลูกขา้ วในบริเวณรอบๆ พระบรมมหาราชวงั เพราะมีดินที่อุดมสมบูรณ์ และทาํ ท้งั นาปรังและนาปี เพ่อื ใหข้ า้ วเพยี งกบั ความตอ้ งการของ ราษฎร ส่วนเรื่องคา้ ขายคาดวา่ น่าจะมีการคา้ ขายกบั ชาวจีนบา้ งบางส่วน และเราเองกไ็ ดร้ ับความช่วยเหลือจากคน จีนในบางส่วน สินคา้ ท่ีขายคงเป็นขา้ ว สภาพเศรษฐกิจของกรุงธนบุรีไม่ค่อยดี เพราะยงั มีปัญหาพวกพ่อคา้ จากต่าง ถิ่นไมค่ ่อยกลา้ เขา้ มาทาํ การคา้ ขาย เนื่องจากกลวั ภยั สงครามในเมืองธนบรุ ี เนื่องจากกรุงธนบุรีมีการตอ่ สู้และทาํ สงครามกบั พม่าอยตู่ ลอดเวลาสังคมเป็นสงั คมเลก็ ๆ เพราะมีคนนอ้ ยวฒั นธรรมรัชสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชแมจ้ ะไม่ยาวนานนกั ไดฟ้ ้ื นฟูปรับปรุงบา้ นเมืองในดา้ นวฒั นธรรมเป็นอนั มากเช่น ดา้ นศาสนาได้ แตง่ ต้งั พระสังฆราช ดา้ นศิลปะผลงานไมเ่ ด่นชดั ดา้ นการศึกษาเด็กผชู้ ายจะมีโอกาสไดเ้ รียนเทา่ น้นั วรรณกรรม ถึงแมว้ า่ กรุงธนบุรีจะดาํ รงอยเู่ ป็นเวลาอนั ส้นั วรรณกรรม วรรณคดีท้งั หลายถูกทาํ ลายลง แต่ก็มีเวลาท่ีจะมาฟ้ื นฟู ศิลปะวฒั นธรรม สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรี (พ.ศ. ๒๒๗๗ - พ.ศ. ๒๓๒๕ ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๑๑ - พ.ศ. ๒๓๒๕) เป็นพระมหากษตั ริยพ์ ระองคเ์ ดียวแห่งกรุงธนบุรี และเป็นพระมหากษตั ริยพ์ ระองค์ เดียวแห่งสยามประเทศที่มาจากเช้ือสายจีน มีพระนามเดิมวา่ สิน พระองคเ์ ป็นโอรสของพระบรมราชชนก ไหฮอง

และพระบรมราชชนนี นกเอ้ียง (ภายหลงั เฉลิมพระนามเป็นกรมสมเด็จพระเทพามาตย)์ เสดจ็ พระราชสมภพในวนั อาทิตย์ เดือน ๕ ข้ึน ๑๕ ค่าํ ปี ขาล จุลศกั ราช ๑๐๙๖ เวลาประมาณ ๕ โมงเชา้ ตรงกบั วนั ท่ี ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๒๗๗ ในรัชสมยั สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษตั ริย์ ณ วนั พุธ เดือนอา้ ย แรม ๔ ค่าํ จุลศกั ราช ๑๑๓๐ ปี ชวด สัมฤทธิศก ตรงกบั วนั ท่ี ๒๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๓๑๑ รวมสิริดาํ รงราชสมบตั ิ ๑๕ ปี เสด็จสวรรคตในวนั เสาร์เดือน ๕ แรม ๙ ค่าํ จ.ศ.๑๑๔๔ ปี ขาล ตรงกบั วนั ท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ รวมพระ ชนมพรรษา ๔๘ พรรษาพระองคเ์ ป็นหน่ึงในพระมหากษตั ริยท์ ี่ยงิ่ ใหญ่ท่ีสุดแห่งสยามประเทศ ผทู้ รงกอบกู้ อิสรภาพใหช้ าวสยาม พระองคท์ รงมีพระปรีชาสามารถในดา้ นการสร้างชาติใหเ้ ป็นปึ กแผน่ มน่ั คง การฟ้ื นฟู บา้ นเมืองและศิลปวฒั นธรรมชองชาติ พระองคจ์ ึงไดร้ ับการทลู เกลา้ ฯ ถวายพระราชสมญั ญาวา่ สมเด็จพระเจา้ ตาก สินมหาราช ในสมยั จอมพล ป. พบิ ูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อน่ึง ประชาชนทว่ั ไปนิยมเรียกพระองคว์ า่ พระ เจา้ ตาก พระราชประวตั ิจดหมายเหตโุ หรไดบ้ นั ทึกไวว้ า่ สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช เสดจ็ พระราชสมภพเมื่อวนั อาทิตย์ เดือน ๕ ข้ึน ๑๕ ค่าํ ปี ขาล จุลศกั ราช ๑๐๙๖ เวลาประมาณ ๕ โมงเชา้ ซ่ึงตรงกบั วนั ที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๒๗๗ มีหนงั สือพงศาวดารไดก้ ล่าวไวว้ า่ ในรัชสมยั ของสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ มีชาวจีนแตจ้ ๋ิวคนหน่ึง นามวา่ ไหฮอง (ในหนงั สือการเมืองไทยสมยั พระเจา้ กรุงธนบรุ ี ของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ระบวุ า่ ไหฮอง ไมใ่ ช่ช่ือ บุคคล แตเ่ ป็นชื่อตาํ บลในมณฑลกวางตงุ้ ) ไดเ้ ป็นนายอากรบอ่ นเบ้ีย มีบรรดาศกั ด์ิเป็น ขนุ พฒั ต้งั บา้ นเรือนอยใู่ กล้ บา้ นของเจา้ พระยาจกั รี สมหุ นายก คร้ันเวลาลว่ งมาถึง ๕ ปี ขาล พ.ศ. ๒๒๗๗ ขนุ พฒั มีบตุ รชายคนหน่ึงชื่อ หยง เกิดแต่ นางนกเอ้ียง ซ่ึงเป็ นชาวไทย ทารกคนน้ีคลอดได้ ๓ วนั มีงูเหลือมใหญ่เล้ือยเขา้ ไปขดรอบตวั ทารก เป็น ทกั ขิณาวฏั ขนุ พฒั ผเู้ ป็นบิดาเกรงวา่ เร่ืองน้ีอาจลางร้ายแก่สกุล จึงยกบุตรคนน้ีใหแ้ ก่เจา้ พระยาจกั รี[๖] แลว้ เจา้ พระยาจกั รีไดเ้ ล้ียงไวเ้ ป็นบตุ รบญุ ธรรม และต้งั แตเ่ จา้ พระยาจกั รีไดเ้ ดก็ นอ้ ยคนน้ีมา ลาภผลกเ็ กิดมากมูลพนู เพิม่ มง่ั คงั่ ข้ึนแต่ก่อน เจา้ พระยาจกั รีจึงกาํ หนดเอาเหตุน้ีขนานนามใหว้ า่ สิน จากหลกั ฐานท่ีอาลกั ษณ์ของจีนจดบนั ทึก ไวใ้ นพระราชพงศาวดารวงเช็ง แผน่ ดินพระเจา้ เขียนหลง กลา่ วถึงพระราชประวตั ิของพระองคไ์ วว้ า่ \"บิดาเจิ้งเป็น ชาวมณฑลกวางตุง้ ไปทาํ มาคา้ ขายอยทู่ ่ีเสียมล่อก๊ก และเกิดเจ้ิงเจาที่นน่ั เม่ือเจ้ิงเจาเติบใหญ่ เป็นผมู้ ีความสามารถ ไดเ้ ขา้ รับราชการอยใู่ นเสียมลอ่ ก๊ก เม่ือเจ้ิงเจารบชนะพม่า ฯ แลว้ ราษฎรทว่ั ประเทศยกข้ึนเป็นเจา้ ครองประเทศ (\" เจ้ิงเจา\"คือสมเด็จพระเจา้ ตากสิน ออกเสียงตามสาํ เนียงปักกิ่ง ถา้ เป็นแตจ้ ิ๋วออกเสียงวา่ \"แตเ้ จียว\" ส่วน\"เสียมล่อก๊ก\" น้นั หมายถึงประเทศไทย) คร้ันเมื่อเด็กชายสิน อายไุ ด้ ๙ ขวบ เจา้ พระยาจกั รีนาํ เขา้ ฝากใหเ้ ลา่ เรียนหนงั สืออยใู่ น สาํ นกั ของพระอาจารยท์ องดี วดั โกษาวาส ต่อมาไดเ้ ขา้ ถวายตวั รับราชการเป็นมหาดเลก็ อยใู นรัชสมยั สมเด็จพระ เจา้ อยหู่ วั บรมโกศ เมื่ออายไุ ด้ ๑๓ ปี เจา้ พระยาจกั รีไดจ้ ดั งานมงคลตดั จุกนายสิน เป็นการเอิกเกริกและในระหวา่ ง น้นั มีผ้งึ หลวงมาจบั ท่ีเพดานเบญจารดน้าํ ปรากฏอยถู่ ึง ๗ วนั จึงหนีไป และในระหวา่ งน้ี นายสินไดพ้ ยายามศึกษา

หาความรู้ในภาษาตา่ งประเทศ มี ภาษาจีน ภาษาญวน และ ภาษาแขก จนสามารถพูดคลอ่ งไดท้ ้งั ๓ ภาษา ตอ่ มา ไดร้ ับราชการภายใตห้ ลวงนายศกั ด์ินายเวร (ภายหลงั เป็นเจา้ พระยาจกั รีศรีองครักษ)์ ตอ่ มาเมื่อมีอายไุ ด้ ๒๐ ปี บริบูรณ์ เจา้ พระยาจกั รีไดจ้ ดั การอปุ สมบทเป็นพระภิกษุให้ ในระหวา่ งอปุ สมบทพระภิกษุสินไดอ้ อกบิณฑบาต พร้อมกบั พระภิกษุ ทองดว้ ง เป็นประจาํ เพราะรับราชการเป็นมหาดเล็กทาํ งานดว้ ยกนั มาหลายปี ท้งั สองมีความรัก ใคร่กลมเกลียวกนั มาก ไดอ้ ุปสมบทพร้อมกนั พระภิกษุสินไดด้ าํ รงอยใู่ นสมณเพศถึง ๓ พรรษา ที่วดั โกษาวาส แลว้ จึงลาสิกขาบทออกมารับราชการใหม่ ใน ตาํ แหน่งมหาดเลก็ รายงาน คร้ันถึงรัชสมยั สมเด็จพระเจา้ เอกทศั น์ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ล่ือนตาํ แหน่ง เป็น หลวงยกกระบตั ร ไปรับราชการอยทู่ ่ีเมืองตากเมื่อเจา้ เมืองตากถึงแก่อนิจกรรม ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ต้งั ใหห้ ลวงยกกระบตั รเป็ น พระยาตากตอ่ มาเม่ือมีขา้ ศึกพม่ามาลอ้ มกรุงศรีอยธุ ยา พระยาตากก็ไดถ้ กู เรียกตวั ใหล้ ง มาช่วยงานราชการในกรุงศรีอยธุ ยา พระยาตากทาํ การสู้รบกบั ขา้ ศึกดว้ ยความเขม้ แขง็ สามารถยง่ิ มีบาํ เหนจ็ ความชอบในสงคราม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ล่ือนตาํ แหน่งเป็น พระยาวชิรปราการ ผสู้ าํ เร็จราชการเมือง กาํ แพงเพชร แตย่ งั มิไดข้ ้นึ ไปปกครองเมืองกาํ แพงเพชร เพราะติดราชการสงครามกบั พมา่ อยทู่ ี่กรุงศรีอยธุ ยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๙ เสียก่อน พ.ศ. ๒๓๑๐ หลงั จากเสียกรุงศรีอยธุ ยาคร้ังท่ี ๒ พระยาตาก ก็รวบรวมคนไปต้งั เป็นชุมนุมพระเจา้ ตากที่เมืองจนั ท บูร (จนั ทบุรี) และมากอบกูเ้ อกราช และสร้างเมืองหลวงใหม่ท่ี กรุงธนบุรีพระราชกรณียกิจ (ก่อนครองราชย)์ ฝ่าวง ลอ้ มทหารพมา่ ในวนั ที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๐๙ ซ่ึงตรงกบั วนั เสาร์ ข้ึน ๔ ค่าํ เดือนย่ี จุลศกั ราช ๑๑๒๘ ปี จอ อฐั ศก พระยาวชิรปราการ (ยศในขณะน้นั ) เห็นวา่ กรุงศรีอยธุ ยาคงตอ้ งเสียทีแก่พม่า จึงตดั สินใจร่วมกบั พระยาพชิ ยั ดาบ หกั พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา ขนุ อภยั ภกั ดี พร้อมดว้ ยทหารกลา้ ราว ๕๐๐ คน มีปื นเพียง กระบอกเดียว แต่ชาํ นาญดา้ นอาวธุ ส้นั ยกกาํ ลงั ออกจากคา่ ยวดั พชิ ยั ตีฝ่ าวงลอ้ มทหารพมา่ ไปทางทิศตะวนั ออก โดยต้งั ใจวา่ จะกลบั มากูก้ รุงศรีอยธุ ยากลบั คืนใหไ้ ดโ้ ดยเร็ว พระยาวชิรปราการ ตอ้ งการยดึ เมืองจนั ทบุรีไวเ้ ป็นที่มน่ั เพอ่ื รวบรวมกาํ ลงั กลบั มาตีพม่า จึงสง่ั ทหารทุกคนวา่ เมื่อ กินขา้ วปลาอาหารอ่ิมแลว้ ใหท้ บุ หมอ้ ขา้ วหมอ้ แกงทิ้งเสีย คืนน้ีเราจะตีเมืองจนั ทบุรีใหไ้ ด้ แลว้ พรุ่งน้ีเราจะกินขา้ ว เชา้ กนั ในเมืองจนั ทห์ ลงั จากที่พระยาตากพาไพร่พลตีฝ่ าวงลอ้ มพมา่ มงุ่ ไปยงั หวั เมืองชายทะเลดา้ นตะวนั ออก ประมาณ ๓ เดือน พม่าก็เขา้ ยดึ กรุงศรีอยธุ ยาไดใ้ นวนั ท่ี ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ พมา่ จุดไฟเผาเมืองจนวอดวาย พระเจา้ มงั ระกษตั ริยพ์ ม่ามีพระบรมราชโองการให้ทาํ ลายทุกอยา่ งให้ยอ่ ยยบั แลว้ ใหจ้ บั พระเจา้ แผน่ ดิน พระบรม วงศานุวงศ์ และรวบรวมสมบตั ิท้งั หมดของอยธุ ยาส่งกลบั ไปพม่า ขา่ วกรุงแตกไดแ้ พร่กระจาย ขณะที่พระยาตาก

อยทู่ ี่เมืองระยอง พระยาตากจึงไดป้ ระกาศตนเป็นผนู้ าํ ในการที่จะฟ้ื นฟูพระพทุ ธศาสนา และกอบกูก้ รุงศรีอยธุ ยาให้ กลบั รุ่งเรืองดงั เดิมพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั เลขา กลา่ วถึงคาํ พดู ของพระยาตากไวต้ อนหน่ึงวา่ ตวั เราคิด จะซ่องสุมประชาราษฎรในแขวงหวั เมืองใหไ้ ดม้ าก แลว้ จะยกกลบั ไปกูก้ รุงใหค้ งคืนเป็นราชธานีดงั เก่า แลว้ จดั ทาํ นุบาํ รุงสมณพราหมณาประชาราษฎร ซ่ึงอนาถาหาท่ีพาํ นกั มิไดใ้ หร้ ่มเยน็ เป็นสุขานุสุข แลว้ จะยอยกพระบวร พุทธศาสนาใหโ้ ชตนาการข้ึนเหมือนอยา่ งแตก่ ่อน เราจะต้งั ตวั เป็นเจา้ ข้ึนใหค้ นท้งั หลาย ยาํ เกรงจงมาก ซ่ึงจะก่อกู้ แผน่ ดินจึงจะสาํ เร็จโดยงา่ ย ทา่ นท้งั หลายจะเห็นประการใด บรรดาแมท่ พั นายกองท่ีสวามิภกั ด์ิต่างพร้อมใจกนั ยกพระยาตากข้ึนเป็นผนู้ าํ ขบวนการกอบกูแ้ ผน่ ดิน และเรียกพระ ยาตากวา่ เจา้ ตาก นบั ต้งั แตน่ ้นั มา ถึงแมจ้ ะเป็นเสมือนผลู้ ะเมิดกฎหมายบา้ นเมือง แต่เจา้ ตากกร็ ะวงั ตนมิไดค้ ิดต้งั ตวั เป็นกบฏ ใหเ้ รียกคาํ ส่งั วา่ พระประศาสนอ์ ยา่ งเจา้ เมืองเอกเทา่ น้นั เจา้ ตากไดน้ าํ ไพร่พลท้งั ไทยและจีนเดินทางต่อไป ยงั ฝ่ังทะเลดา้ นตะวนั ออก รอเวลาที่จะกอบกูแ้ ผน่ ดินจากพม่า ทุกข้นั ตอนของแผนกอบกูเ้ อกราช ลว้ นแสดงถึง อจั ฉริยะในดา้ นยทุ ธวิธีทางทหาร ท้งั ทางบกและทางน้าํ ของเจา้ ตาก เสน้ ทางเดินทพั ของพระยาตาก พระยาตากพา ไพร่พลตีฝ่าวงลอ้ มของทพั พมา่ ออกจากกรุงศรีอยธุ ยามุง่ ตรงไปยงั บา้ นโพธ์ิสังหาญ หรือ โพธ์ิสาวหาญ รุ่งเชา้ ได้ ต่อสู้กบั กองทหารพมา่ ทหารไทยฆา่ ฟันทหารพม่าลม้ ตายแตกหนีไป พระยาตากจึงนาํ ทหารเดินทางต่อ และไปต้งั ค่ายพกั อยบู่ า้ นพรานนก ใหพ้ วกทหารไปเที่ยวหาอาหาร มาเล้ียงกนั ขณะน้นั มีทหารพม่ากองหน่ึง ซ่ึงมีทหารมา้ ประมาณ ๓๐ คน ทหารเดินเทา้ ประมาณ ๒๐๐ คน เดินทาง มาจากแขวงเมืองปราจีนบุรี สวนทางมาพบทหารพระยาตากที่เที่ยวหาเสบียงอาหาร ทหารพม่ากไ็ ล่จบั และ ติดตาม มายงั บา้ นพรานนก พระยาตากจึงใหท้ หารแยกออกซุ่มสองทาง ตนเองข้ึนขี่มา้ พร้อมกบั ทหารอีก ๔ คน ควบตรง ไปไลฟ่ ันทหารมา้ พมา่ ทหารพมา่ ไม่ทนั รู้ตวั ตกใจถอยกลบั ไปปะทะกบั ทหารเดินเทา้ ของตนเอง เกิดการอลหมา่ น ทหารไทยท่ีซุ่มอยสู่ องขา้ งจึงแยกเป็นปี กกาตีโอบทหารพมา่ ไวส้ องขา้ ง แลว้ ไล่ฟันทหารพม่า ลม้ ตายและแตกหนี ไป พวกราษฎรที่หลบซ่อนพม่าอยู่ คร้ันเห็นพระยาตากรบชนะพม่า ก็ดีใจพากนั เขา้ มาสมคั รเป็นพรรคพวก พระยา ตากจึงใหร้ าษฎรเหล่าน้นั ไปเกล้ียกล่อมหวั หนา้ นายซ่องมาสวามิภกั ด์ิ นาํ ชา้ ง มา้ พาหนะและเสบียงอาหารมามอบ ให้ นายซ่องใหญท่ ่ีไมย่ อมอ่อนนอ้ ม กถ็ ูกปราบปรามจนราบคาบ ริบพาหนะ ผคู้ น ชา้ งมา้ และศาสตราวธุ ไดเ้ ป็น จาํ นวนมาก หลงั จากน้นั พระยาตากจึงยกกองทหารไปทาง นาเริง เมืองนครนายก ผา่ นด่านกบแจะ ขา้ มลาํ น้าํ ปราจีนบุรี ไปต้งั พกั อยชู่ ายดงศรีมหาโพธ์ิ ขา้ งฝั่งตะวนั ออก พม่าที่ต้งั ทพั อยปู่ ากน้าํ เจา้ โลใ้ ตเ้ มืองปราจีนบรุ ียกพล ตามมา พระยาตากก็นาํ ทหารไล่ติดตามฆา่ ฟันทหารพมา่ ลม้ ตายลงเป็นจาํ นวนมาก ที่เหลือกห็ นีแตกกระจดั กระจาย ไป นบั แตน่ ้นั มา พมา่ ก็มิไดต้ ิดตามกองทพั พระยา ตากอีกต่อไป พระยาตากไดย้ กกองทพั ผา่ นเมืองฉะเชิงเทรา ชลบุรี แลว้ จึงเดินทางตอ่ ไปยงั บา้ นนาเกลือ แขวงเมืองบางละมงุ เม่ือถึงเมืองระยอง เจา้ เมืองระยองซ่ึงไดย้ นิ กิติ

ศพั ทข์ องพระยาตากก็ยอมออ่ นนอ้ มเชิญให้ เขา้ เมือง พระยาตากใชเ้ วลาไม่ถึงเดือนนบั จากตีหกั ออกจากกรุงศรี อยธุ ยาก็ยดึ เมืองระยองเป็ นที่มน่ั ได้ ความ สามารถของพระยาตากในการรวบรวม คนไทยไดเ้ ป็นจาํ นวนมากเช่นน้ี แสดงถึงศกั ยภาพของพระยาตากท่ีมี เหนือกล่มุ อื่น ๆ ในการกอบกูก้ รุงศรีอยธุ ยา เส้นทางเดินทพั ของพระยาตาก พระราชวิเทโศบายในการยดึ จนั ทบุรีพระยาตากเดินทพั จากระยองผา่ นแกลงเขา้ บางกระจะ มงุ่ ยดึ จนั ทบรุ ีซ่ึงเป็น เมืองใหญ่ เพือ่ ใชเ้ ป็นฐาน กาํ ลงั ฟ้ื นฟูขวญั ของไพร่พล เจา้ เมืองจนั ทบุรีไมย่ อมสวามิภกั ด์ิ พระยาตากจึงตอ้ งใช้ จิตวทิ ยาในดา้ นการรบ มาใชก้ บั แมท่ พั นายกอง เพือ่ ตอ้ งการรบใหช้ นะ โดยสั่งใหท้ บุ หมอ้ ขา้ วหมอ้ แกงหมายไปกิน อาหารม้ือเชา้ ในเมือง ถา้ ตีเมืองไมไ่ ดก้ ็ตอ้ งอดตายคร้ันถึงเวลาค่าํ พระยาตากจึงไดส้ ัง่ ใหท้ หารไทยจีนลอบเขา้ ไป อยู่ ตามสถานท่ีที่ไดว้ างแผนไวแ้ ลว้ ใหค้ อยฟังสญั ญาณเขา้ ตีเมืองพร้อมกนั มิใหส้ ่งเสียงจนกวา่ จะเขา้ เมืองได้ จึงให้ โห่ข้ึนใหพ้ วกอื่นรู้ พอไดฤ้ กษเ์ วลา ๓ นาฬิกา เจา้ ตากก็ข้ึนคอชา้ งพงั คีรีบญั ชร ใหย้ งิ ปื นสญั ญาณ บอกพวกทหาร เขา้ ตีเมืองพร้อมกนั ส่วนพระยาตากกไ็ สชา้ งเขา้ พงั ประตเู มือง ชาวเมืองที่ประจาํ การอยกู่ ็ยงิ ปื นใหญ่เขา้ ใส่ นายทา้ ย ชา้ งเกรงวา่ พระยาตากจะถูกยงิ จึงเก่ียวชา้ งใหถ้ อยออกมา พระยาตากชกั ดาบออกมา จะฟัน นายทา้ ยชา้ งจึงไดข้ อ ชีวติ ไว้ แลว้ ไสชา้ งเขา้ ชนทาํ ใหบ้ านประตูเมืองพงั ลง ทหารพระยาตากจึงกรูกนั เขา้ เมืองได้ พวกชาวเมืองตา่ งพากนั ละทิง้ หนา้ ที่หนีไป ส่วนพระยาจนั ทบุรีกพ็ าครอบครัวลงเรือหนีไปยงั เมืองบนั ทายมาศเมื่อค่าํ วนั เสาร์ เดือนยี่ ข้ึน ๔ ค่าํ ปี จอ พ.ศ. ๒๓๐๙ ตรงกบั วนั ท่ี ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๐๙ พระยาตาก ไดต้ ดั สินใจยกกาํ ลงั ออกจากค่ายวดั พิชยั ตี ฝ่าพม่าไปทางทิศตะวนั ออก ทพั ของพระยาตากไดผ้ า่ นไปต้งั พกั และหาเสบียงอาหารที่บา้ นพรานนก ไดต้ ่อสูก้ บั พมา่ ท่ีไลต่ ิดตามมาจนแตกพ่ายไป พวกราษฎรที่หลบซ่อนเร้นพม่าอยู่ ต่างก็พากนั มาเป็นพวกดว้ ยจาํ นวนมาก พระ ยาตากไดค้ ุมทหารไปปราบนายซ่องเมืองนครนายกจากน้นั ไดย้ กทพั ผา่ นเมืองนครนายก ขา้ มลาํ น้าํ เมืองปราจีน ไป ต้งั พกั ท่ีชายดงศรีมหาโพธ์ิ ทางดา้ นฝ่ังตะวนั ตก แลว้ ไปรบกบั พมา่ อีกคร้ังท่ีปากน้าํ เจา้ โล้ เมืองฉะเชิงเทรา ซ่ึง กองทพั พมา่ กองสุดทา้ ยไปรอดกั อยู่ ณ ที่น้นั เมื่อพระยาตากไดช้ ยั ชนะพมา่ แลว้ ไดย้ กทพั ผา่ นเขต เมืองชลบรุ ี บา้ น หวั ทองหลาง พานทอง บางปลาสร้อย บา้ นนาเกลือ นาจอมเทียน ทุ่งไก่เต้ีย ชายทะเลสัตหีบ หินโด่งและน้าํ เก่า เขต เมืองระยอง พระองคไ์ ดม้ ีความคิดที่จะรวบรวมเมืองชายทะเลตะวนั ออก ต้งั แต่เมืองบางละมุง เมืองชลบุรี เมือง จนั ทบุรี เมืองตราด ไวเ้ ป็ นพวกเดียวกนั เพื่อช่วยกนั ปราบปรามพม่า ที่ลอ้ มกรุงศรีอยธุ ยาและทรงเลง็ เห็นวา่ เมือง จนั ทบุรีเป็นเมืองใหญ่กวา่ หวั เมืองอ่ืน มีเจา้ ปกครองอยเู่ ป็นปกติ มีกาํ ลงั คนและอาหารอยบู่ ริบรู ณ์ ชยั ภมู ิกเ็ หมาะที่ จะเป็นที่ต้งั มนั่ ยงิ่ กวา่ หวั เมืองใกลเ้ คียง จึงไดต้ ีเมืองจนั ทบุรี และใชเ้ ป็นที่มน่ั สาํ คญั ในการเตรียมกาํ ลงั มากอบกเู้ อก ราช ๐๓.๐๐ น. พระยาตากข้ึนชา้ งพงั คีรีบญั ชร โดยส่งั ใหห้ ลวงพชิ ยั อาสา(พระยาพิชยั ดาบหกั ) ทหารผไู้ วใ้ จชุมพล ทหารหนา้ ชา้ งพระที่นง่ั และสั่งใหย้ งิ ปื นสัญญาณเขา้ พร้อมกนั ทุกดา้ น พระยาตากขบั ชา้ งเขา้ พงั ประตเู มือง ส่วน พวกท่ีอยใู่ นเมืองก็ไดต้ อบโต้ โดยการระดมยิงปื นสวนออกมาเช่นเดียวกนั นายทา้ ยชา้ งซ่ึงเกรงวา่ ลูกปื นจะมาถูก

พระยาตาก จึงเก่ียวชา้ งถอยออกมา แตพ่ ระยาตากขดั ใจชกั ดาบหนั มาจะฟันนายทา้ ยชา้ ง แต่นายทา้ ยชา้ งไดต้ กใจ ร้องขอชีวิตเอาไว้ แลว้ ขบั ชา้ งเขา้ ร้ือบานประตูเมืองจนพงั ลง พวกทหารก็กรูเขา้ ไปในเมืองได้ หลงั จากพวกในเมือง รู้วา่ พระยาตากพงั ประตูเมืองไดก้ ็ตา่ งพากนั ตกใจ ต่างคนตา่ งละทิง้ หนา้ ที่พากนั หนีกระจดั กระจาย ส่วนตวั พระยา จนั ทบุรีพาครอบครัวหนีไปยงั เมืองพทุ ไธมาศพระยาตากตีเมืองจนั ทบุรีได้ ณ วนั อาทิตย์ เดือน ๗ แรม ๓ ค่าํ จุล ศกั ราช ๑๑๒๙ ปี กุน นพศก เพลา ๓ ยามเศษ ตรงกบั วนั ที่ ๑๕ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๓๑๐ หลงั จากเสียกรุงศรีอยธุ ยาแลว้ ๒ เดือนเมื่อยดึ เมืองจนั ทบุรีไดแ้ ลว้ พระยาตากไดเ้ คลื่อนทพั ไปยงั เมืองตราด พวกกรมการและราษฎรเกิดความ เกรงกลวั ต่างพากนั มาออ่ นนอ้ มโดยดี ท่ีปากน้าํ เมืองตราดมีเรือสาํ เภาจีนมาทอดท่นุ อยหู่ ลายลาํ พระยาตาก ไดเ้ รียก นายเรือมาพบ แต่พวกจีนนายเรือขดั ขืนต่อสู้ พระยาตากจึงลงเรือรบ คุมกองเรือไปลอ้ มสาํ เภาจีน เหล่าน้นั ไดท้ าํ การตอ่ สูก้ นั อยปู่ ระมาณคร่ึงวนั พระยาตากกย็ ดึ สาํ เภาจีนไวไ้ ดห้ มด ไดท้ รัพยส์ ินส่ิงของมา เป็นจาํ นวนมาก เป็นที่ น่าสงั เกตวา่ เรือรบไทยสมยั น้นั มีขนาดพอ ๆ กบั เรือยาวท่ีใชแ้ ข่งตามแมน่ ้าํ เมือ่ สามารถเขา้ ตียดึ เรือสาํ เภาขนาด ใหญ่ที่ใชเ้ ดินทะเลและมีปื นใหญป่ ระจาํ เรือดว้ ยไดน้ ้นั แสดงวา่ แม่ทพั เรือและทหารเรือ จะตอ้ งมีความสามารถมาก ภาพประธานดา้ นหลงั พระบรมรูปสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช จาํ ลองจากพระบรมราชานุสาวรีย์ ณ สวนสาธารณะทุง่ นาเชย อาํ เภอเมือง จงั หวดั จนั ทบุรี การสถาปนากรุงธนบุรี เม่ือสมเด็จพระเจา้ ตากสินทรงขบั ไลพ่ มา่ ออกจากกรุงศรีอยธุ ยาแลว้ ก็รวบรวมผคู้ น ทรัพยส์ มบตั ิ และส่ิงตา่ งๆ ซ่ึงสุก้ีพระนายกองยงั มิไดน้ าํ ไปยงั พมา่ นาํ กลบั มายงั คา่ ยที่เมืองธนบุรี ปรากฏวา่ ท่ีเมือง ลพบุรี มีพระบรมวงศานุวงศข์ องราชวงศอ์ ยธุ ยามาพาํ นกั อยเู่ ป็นจาํ นวนมาก พระเจา้ ตากจึงสง่ั ใหค้ นไปอญั เชิญ มายงั เมืองธนบุรี พระองคท์ รงขดุ พระบรมศพของสมเด็จพระเจา้ เอกทศั น์ ข้ึนมาถวายพระเพลิงตามโบราณราช ประเพณี ตอ่ จากน้นั พระองคก์ ท็ รงคิดที่จะปฏิสังขรณ์พระนครศรีอยธุ ยาใหก้ ลบั คืนเป็นดงั เดิม แตแ่ ลว้ หลงั จาก ตรวจดูความพนิ าจของเมือง จึงไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ พยพผคู้ นเคลื่อนลงมาทางใต้ ต้งั ราชธานีใหมข่ ้ึน ที่เมืองธนบุรี เรียกนามวา่ กรุงธนบุรีศรีมหาสมทุ ร ดูบทความหลกั ไดท้ ่ี กรุงธนบรุ ี ปราบดาภิเษกพระราชวงั กรุง ธนบรุ ี (วงั เดิม) เป็นพระราชวงั หลวงของสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช ต้งั อยรู่ ิมฝ่ังแมน่ ้าํ เจา้ พระยาบริเวณปาก คลองบางกอกใหญ่ ในพ้นื ที่ท่ีเคยเป็นท่ีต้งั ของป้อมวไิ ชยเยนทร์ ที่สร้างข้ึนในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ปัจจุบนั ใชเ้ ป็นสถานที่ทาํ การของ กองบญั ชาการกองทพั เรือ หลงั จากสร้างพระราชวงั บนฝั่งตะวนั ตกของแม่น้าํ เจา้ พระยาแลว้ เมื่อทรงจดั การบา้ นเมืองเรียบร้อยพอสมควร บรรดาแมท่ พั นายกอง ขนุ นาง ขา้ ราชการท้งั ฝ่ายทหาร และพลเรือน ตลอดท้งั สมณะพราหมณาจารยแ์ ละอาณาประชาราษฎร์ท้งั หลาย จึงพร้อมกนั กราบบงั คมทูลอญั เชิญ ข้ึนทรงปราบดาภิเษก เป็ นพระมหากษตั ริย์ ณ วนั พธุ เดือนอา้ ย แรก ๔ ค่าํ จุลศกั ราช ๑๑๓๐ ปี ชวด สมั ฤทธิศก ตรง กบั วนั ที่ ๒๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๓๑๑ ทรงพระนามวา่ พระศรีสรรเพชญ์ หรือ สมเดจ็ พระบรมราชาที่ ๔ แตเ่ รียกขาน

พระนามของพระองคต์ ิดปากวา่ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสิน หรือ สมเดจ็ พระเจา้ กรุงธนบุรี จดหมายเหตขุ องคณะ บาทหลวงฝร่ังเศส ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๙ มองซิเออร์คอร์ เขียนจดหมายเลา่ แก่ มองเซนเยอร์บรีโกต์ วา่ \"เม่ือวนั ท่ี ๔ เดือนมีนาคม ปี น้ี (๒๓๑๑) ขา้ พเจา้ ไดม้ าถึงบางกอก และ \"เม่ือขา้ พเจา้ ไดม้ าถึงบางกอก พระยาตาก พระเจา้ แผน่ ดินพระองคใ์ หมไ่ ดท้ รงตอ้ นรับขา้ พเจา้ อยา่ งดี\" พระราชกรณียกิจ(ขณะท่ีครองราชย)์ สามารถจาํ แนกออกไปสองดา้ นคือ ๑.การสร้างชาติใหเ้ ป็นปึ กแผน่ มน่ั คง ๒. การฟ้ื นฟูบา้ นเมืองทาํ นุบาํ รุงศิลปวฒั นธรรมของชาติ การสร้างชาติใหเ้ ป็นปึ กแผน่ มน่ั คงการปกป้องแผน่ ดินการปกป้องแผน่ ดินเป็ นพระราชกรณียกิจท่ีสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช ไดก้ ระทาํ ตลอดพระชนมช์ ีพ ซ่ึงนอก จากการตอ่ สู้เพื่อรวมแผน่ ดินแลว้ ยงั ตอ้ งป้องกนั หวั เมือง ชายแดนอีกดว้ ย ตลอดรัชสมยั สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชทรงทาํ สงครามกบั พมา่ ถึง ๙ คร้ัง แต่ดว้ ยพระ อจั ฉริยะภาพ ทางยทุ ธวิธีและความเช่ียวชาญในการรบของทหาร จึงทาํ ใหท้ พั ไทยรบชนะพมา่ ทกุ คร้ัง สงครามคร้ัง ท่ี ๑ รบพม่าที่บางกงุ้ พ.ศ. ๒๓๑๐ สงครามคร้ังท่ี ๒ พม่าตีเมืองสวรรคโลก พ.ศ. ๒๓๑๓ สงครามคร้ังที่ ๓ ไทยตี เมืองเชียงใหม่คร้ังแรก พ.ศ. ๒๓๑๓ - พ.ศ. ๒๓๑๔ สงครามคร้ังท่ี ๔ พม่าตีเมืองพชิ ยั คร้ังที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๑๕ สงครามคร้ังท่ี ๕ พม่าตีเมืองพชิ ยั คร้ังที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๖ สงครามคร้ังท่ี ๖ ไทยตีเมืองเชียงใหม่ คร้ังท่ี ๒ พ.ศ. ๒๓๑๗ สงครามคร้ังที่ ๗ รบพมา่ ท่ีบางแกว้ เมืองราชบรุ ี พ.ศ. ๒๓๑๗ สงครามคร้ังที่ ๘ อะแซหวนุ่ ก้ีตีหวั เมือง เหนือ พ.ศ. ๒๓๑๘ สงครามคร้ังที่ ๙ พมา่ ตีเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๓๑๙ สงครามคร้ังน้ีถือวา่ เป็นการรบคร้ังสุดทา้ ยที่ไทยรบกบั พม่าใน สมยั กรุงธนบรุ ี เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกไดร้ ับการสถาปนาใหเ้ ป็นสมเด็จเจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก มียศอยา่ งเจา้ ตา่ งกรม คงดาํ รงตาํ แหน่งสมหุ นายกการศึกสงครามดงั กลา่ วน้ี ส่งผลใหพ้ ระราชอาณาจกั รไทยเป็นเอกราชและมี ความมน่ั คงสืบตอ่ มาจนถึง ปัจจุบนั อาณาเขตประเทศไทยในรัชสมยั สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชแผนท่ีแสดง อาณาเขตประเทศไทย ในรัชสมยั -สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชในสมยั กรุงธนบรุ ีไดม้ ีการรวบรวมหัวเมืองต่างๆ เขา้ มาในพระราชอาณาจกั ร ไดแ้ ก่ ธนบรุ ี อา่ งทอง สิงห์บรุ ี ลพบุรี อทุ ยั ธานี นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา นครนายก ชลบรุ ี ระยอง จนั ทบุรี ตราด นครชยั ศรี นครปฐม สุพรรณบรุ ี ราชบุรี สมทุ รสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี กาญจนบุรี และประจวบคีรีขนั ธส์ มเดจ็ พระเจา้ ตากสิน ไดท้ รงตอ่ สู้เพ่ือขยายพระราชอาณาจกั รเกือบตลอดรัชกาล อาณาเขตของ ประเทศไทยในสมยั น้นั ทิศเหนือ ไดด้ ินแดนหลวงพระบาง และเวยี งจนั ทน์ ทิศใต้ ไดด้ ินแดนกะลนั ตนั ตรังกานู และไทรบุรี ทิศตะวนั ออก ไดด้ ินแดนลาว เขมร ทางฝ่ังแมน่ ้าํ โขงจดอาณาเขตญวน ทิศตะวนั ตก จรด ดินแดนเมาะตะมะ ไดด้ ินแดน เมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี

ดา้ นการปกครอง หลงั จากที่กรุงศรีอยธุ ยาแตก กฎหมายบา้ นเมืองกระจดั กระจายสูญหายไปมาก จึงทรง พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ าํ การสืบเสาะ คน้ หามารวบรวมไวไ้ ดป้ ระมาณ ๑ ใน ๑๐ และโปรดฯใหช้ าํ ระกฎหมาย เหลา่ น้นั ฉบบั ใดยงั เหมาะแก่กาลสมยั ก็โปรดฯ ใหค้ งไว้ ฉบบั ใดไม่เหมาะก็โปรดใหแ้ กไ้ ขเพ่มิ เติมกม็ ี ยกเลิกไปกม็ ี ตราข้ึนใหมก่ ม็ ี และเป็นการแกไ้ ขเพื่อราษฎรไดร้ ับผลประโยชนม์ ากข้ึน เช่น โปรดฯ ใหแ้ กไ้ ขกฎหมายวา่ ดว้ ยการ พนนั ใหอ้ าํ นาจการตดั สินลงโทษข้ึนแก่ศาลแทนนายตราสิทธ์ิขาด และยงั หา้ มนายตรานายบ่อนออกเงินทดรองใหผ้ ู้ เล่น เกาะกมุ ผกู มดั จาํ จองเร่งรัดผเู้ ล่น กฎหมายพกิ ดั ภาษอี ากรก็เกือบไม่มี เพราะผลประโยชนแ์ ผน่ ดินไดจ้ ากการคา้ สาํ เภามากพอแลว้ กฎหมายวา่ ดว้ ยการจุกช่องลอ้ มวงกย็ งั ไมต่ ราข้ึน เปิ ดโอกาสใหร้ าษฎรไดเ้ ฝ้าแหนตามรายทาง โดยไมม่ ีพนกั งานตาํ รวจแม่นปื นคอยยงิ ราษฎร ซ่ึงแมแ้ ตช่ าวต่างประเทศก็ยงั ชื่นชมในพระราชอธั ยาศยั น้ี เช่น มอง เซนเยอร์ เลอบอง ไดบ้ รรยายไวใ้ นจดหมายถึงผอู้ าํ นวยการคณะตา่ งประเทศวา่ บรรดาคนท้งั หลายเรียกพระเจา้ ตาก วา่ พระเจา้ แผน่ ดิน แต่พระเจา้ ตากเองวา่ เป็นแตเ่ พยี งผรู้ ักษากรุงเท่าน้นั พระเจา้ ตากหาไดท้ รงประพฤติเหมือนอยา่ ง พระเจา้ แผน่ ดินก่อนๆไม่ และในธรรมเนียมของพระเจา้ แผน่ ดินฝ่ายทิศตะวนั ออกที่ไม่เสด็จออกใหร้ าษฎรเห็น พระองคด์ ว้ ยกลวั จะเสื่อมเสียพระเกียรติยศน้นั พระเจา้ ตากไมท่ รงเห็นชอบดว้ ยเลย พระเจา้ ตากทรงพระปรีชา สามารถยงิ่ กวา่ คนธรรมดา เพราะฉะน้นั จึงไม่ทรงเกรงวา่ ถา้ เสด็จออกใหร้ าษฎรพลเมืองเห็นพระองค์ และถา้ จะทรง มีรับสั่งดว้ ยแลว้ จะทาํ ใหเ้ สียพระราชอาํ นาจลงแต่อยา่ งใด เพราะพระองคม์ ีพระราชประสงคท์ อดพระเนตรการท้งั ปวงดว้ ยพระเนตรของพระองคเ์ อง และจะทรงฟังการท้งั หลายดว้ ยพระกรรณของพระองคเ์ องท้งั สิ้น เนื่องจาก ตลอดรัชสมยั ของสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช เป็นช่วงเวลาที่มีการทาํ ศึกสงครามเกือบ ตลอดเวลา จึงทาํ ใหไ้ มม่ ี เวลาที่จะชาํ ระพระราชกาํ หนดกฎหมายต่างๆ ทาํ ให้ตอ้ งใชก้ ฎหมายที่มีมาต้งั แต่ คร้ังกรุงศรีอยธุ ยา โดยใหก้ รมวงั หรือกระทรวงวงั เป็นผรู้ ับผดิ ชอบในการพิจารณาวา่ คดีใดควรข้ึนศาลใด แลว้ ส่งคดีไปยงั ศาลกรมน้นั ๆ โดยไดแ้ บ่ง งานศาลออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ ฝ่ ายรับฟ้อง มีหนา้ ที่ในการเขียนคาํ ฟ้องและพจิ ารณารูปคดีวา่ ควรจะฟ้อง หรือไม่ ก่อนจะส่งข้ึนศาลเพ่อื พิจารณา เรื่องปรับไหมและลงโทษผกู้ ระทาํ ผิดฝ่ ายตรวจสาํ นวนและพิพากษา ฝ่ายน้ี เดิมเป็นหนา้ ที่ของพราหมณ์ผเู้ ชี่ยวชาญกฎหมายแขนงต่างๆ จาํ นวน ๑๒ คน โดยเรียกวา่ \"ลูกขนุ ณ ศาลหลวง\" ต่อมาไดม้ ีคนไทยที่เช่ียวชาญกฎหมายเขา้ มาทาํ หนา้ ที่น้ีดว้ ย คณะลูกขนุ ณ ศาลหลวงน้ีจะไม่มีอาํ นาจในการปรับ หรือลงโทษแต่อยา่ งใดอยา่ งไรก็ตาม ในรัชกาลของพระเจา้ ตากสิน พระองคจ์ ะทรงใช้ ศาลทหาร เป็นส่วนใหญ่ โดยใน การตดั สินคดีทุกคร้ัง แมพ้ ระองคจ์ ะตดั สินใหล้ งโทษสูงสุดแลว้ แตก่ ็จะมีรับสัง่ ใหท้ ยอยการลงโทษจาก ข้นั ต่าํ สุดก่อน ซ่ึงหลายคร้ังจะปรากฏวา่ นกั โทษที่มีความผิดร้ายแรงก็มกั จะไดร้ ับการพระราชทานอภยั โทษ หนกั โดย ใหไ้ ปกระทาํ การอยา่ งอ่ืนเป็นการไถโ่ ทษแทน

ดา้ นเศรษฐกิจ สภาพบา้ นเมืองหลงั จากเสียกรุง ทาํ ใหส้ ภาพเศรษฐกิจตกต่าํ อยา่ งมาก มีประมาณคร่ึงราช อาณาเขตคร้ังกรุงศรอยธุ ยาเป็นราชธานี มีมณฑลกรุงเทพฯ มณฑลอยธุ ยา มณฑลราชบุรี มณฑลนครชยั ศรี มณฑล นครสวรรค์ มณฑลปราจีน และมณฑลจนั ทบรุ ี คร้ังน้นั มีมณฑลจนั ทบุรีเพียงมณฑลเดียวที่นบั วา่ ปกติ ส่วนมณฑล ที่เหลือถูกพมา่ ยา่ํ ยยี บั เยนิ เป็นเมืองร้าง ขาดการทาํ ไร่นาถึง ๒ ปี ผคู้ นที่เหลือจากการถูกพม่ากวาดตอ้ นไปตา่ งพา กนั อพยพหลบหนีแตกกระจดั พลดั พราก เที่ยวซุ่มซ่อนอยตู่ ามป่ าดงโดยมาก ตอ้ งทรงเกล้ียกลอ่ มผคู้ นใหก้ ลบั มาอยู่ ถิ่นเดิม เม่ือผคู้ นมาอยรู่ วมกนั มากเขา้ ไม่ชา้ ก็เกิดการอตั คตั เสบียงอาหารไม่เพียงพอ ทรงสามารถแกไ้ ขความ ขดั ขอ้ งไดโ้ ดยปัจจุบนั ทนั ด่วน จึงทรงบริจาคพระราชทรัพยส์ ่วนพระองคซ์ ้ือขา้ วสารและเครื่องนุ่งห่มในราคาสูง เพ่ือแจกจ่ายใหแ้ ก่ประชาชน ท้งั น้ีทาํ ใหเ้ กิดผลดีปยา่ งยงิ่ ๒ ประการคือ ประการที่ ๑ ชาวตา่ งเมืองทราบข่าว พากนั บรรทุกขา้ วของมาขายดว้ ยหวงั กาํ ไรงาม เมื่อมีของมาขายมาก ราคากถ็ ูกลง ประการท่ี ๒ เม่ือประชาชนทราบ กิตติศพั ทท์ ่ีสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชทรงมีพระเมตตาต่อประชาราษฎร์ก็พากนั มาสวามิภกั ด์ิ ทาํ ใหม้ ีพลเมือง เพ่มิ ข้ึน สมยั กรุงธนบุรี เป็นสมยั ท่ีตอ้ งสร้างชาติบา้ นเมืองกนั ใหม่ พระองคท์ รงทาํ นุบาํ รุงการคา้ ขายทางเรืออยา่ งเตม็ ที่ ทรง คา้ ขายกบั จีน เป็นประจาํ ทรงแตง่ สาํ เภาหลวงออกไปขายหลายสาย ทางตะวนั ออกถึงเมืองจีน ทางตะวนั ตกถึง อินเดีย ผลกาํ ไรท่ีไดจ้ ากการคา้ สาํ เภามีมากพอที่จะช่วยบรรเทาการเก็บภาษอี ากรจากราษฎรในระยะแรกซ่ึงราษฎร ยงั ต้งั ตวั ไม่ได้ สภาพเศรษฐกิจดีข้ึนกวา่ ตอนตน้ รัชกาล โดยมีรายไดจ้ ากภาษีขาเขา้ และภาษขี าออกจากเรือสินคา้ ตา่ งชาติ ไดแ้ ก่ จีนและชวาที่เขา้ มาคา้ ขายกบั ไทยสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช ทรงส่งเสริมการนาํ สินคา้ พ้นื เมือง ไปขายทางเรือ ซ่ึงอาํ นวยผลประโยชน์อยา่ งใหญห่ ลวงตอ่ งานสร้างชาติ ทาํ ใหร้ าษฎรมีงานทาํ มีรายได้ ท้งั ทรงมี พระราชประสงคท์ ี่จะฝึกใหค้ นไทยเชียวชาญการคา้ ขาย ป้องกนั มิใหก้ ารคา้ ตากอยใู่ นมือชนต่างชาติ และรักษา ประโยชนข์ องสินคา้ พ้นื เมืองมิใหถ้ กู ทอดทิ้ง พระองคท์ รงพยายามผกู ไมตรีกบจีนเพอ่ื ประโยชนท้งั ในดา้ นความ มน่ั คงของชาติและประโยชน์ในดา้ นการคา้ อยา่ งไรก็ตาม การแกไ้ ขเศรษฐกิจและสภาพบา้ นเมือง ยงั มีปัญหาอยู่ บา้ ง ดงั ท่ีบาดหลวงชาวฝรั่งเศสช่ือ มอรซิเยอร์ เลอบอง ซ่ึงเขา้ มาในเมืองไทยเม่ือ พ.ศ. ๒๓๑๘ จดบนั ทึกไวใ้ นช่วง พ.ศ. ๒๓๑๘ ดงั น้ี“จนถึงเวลาเด๋ียวน้ี อาหารการกินในเมืองน้ียงั แพงมาก เพราะบา้ นเมืองไมเ่ ป็นอนั ทาํ มาหากินมา เป็นเวลา ๑๕ ปี แลว้ และในเวลาน้ียงั หาสงบทีเดียวไม่ สมเด็จพระเจา้ ตากสินทรงกงั วลพระทยั ในเรื่องน้ีเคยมีพระราชดาํ รัสวา่ บคุ คลผใู้ ดเป็นอาทิคือเทวดา บุคคลผมู้ ีฤทธ์ิ มาประสิทธ์ิมากระทาํ ให้ขา้ วปลาอาหารบริบูรณ์ข้ึน ใหส้ ตั วโ์ ลกเป็นสุขได้ แมน้ ผนู้ ้นั จะปรารถนาพระพาหาแห่งเรา ขา้ งหน่ึง กอ็ าจตดั บริจาคแก่ผนู้ ้นั ได้

ดา้ นศาสนา ถึงแมว้ า่ ในรัชสมยั ของพระองค์ บา้ นเมืองจะตกอยใู่ นภาวะสงครามเกือบตลอดเวลา แต่ พระองคก์ ลบั มิไดท้ รงละเลยงานดา้ นศาสนจกั ร ไดท้ รงมุ่งมนั่ ทาํ นุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนาใหเ้ จริญรุ่งเรือง เหมือน เมื่อคร้ังกรุงศรีอยธุ ยา พระราชกรณียกิจดา้ นฟ้ื นฟูพระพุทธศาสนามีดงั น้ี การจดั ระเบียบสังฆมณฑล ทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ระเบียบสังฆมณฑลทนั ทีภายหลงั การสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี คร้ังท่ียกทพั ไป ปราบ ชุมนุมเจา้ พระฝางเมื่อทรงเห็นวา่ พระสงฆท์ างฝ่ ายหวั เมืองเหนือมวั หมอง กไ็ ดอ้ าราธนาพระราชาคณะ จากในกรุง ไปส่งั สอน ทาํ ใหพ้ ระสงฆก์ ลบั บริสุทธ์ิและเป็นปกติสุขข้ึนการรวบรวมพระไตรปิ ฎก สมเดจ็ พระเจา้ ตากสิน ยงั ได้ ทรงมงุ่ มนั่ ในการสืบเสาะคน้ หาตน้ ฉบบั พระไตรปิ ฎกท่ียงั เหลืออยหู่ ลงั จาก เสียกรุง เพ่อื นาํ มาคดั ลอกจาํ ลองไว้ สาํ หรับการสร้างพระไตรปิ ฎกฉบบั หลวงตอ่ ไป ซ่ึงจะเห็นไดจ้ าก เมื่อคราวที่เสดจ็ ไปปราบชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราชในปี พทุ ธศกั ราช ๒๓๑๒ ไดม้ ีรับส่งั ใหข้ อยมื คมั ภีร์ พระไตรปิ ฎกจากนครศรีธรรมราชบรรทุกเรือ เขา้ มาคดั ลอกในกรุงธนบุรี และในปี ถดั มาในคราวท่ีเสด็จ ไปปราบชุมนุมเจา้ พระฝางท่ีเมืองอตุ รดิตถ์ ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหน้ พระไตรปิ ฎกลงมาเพือ่ ใชส้ อบทานกบั ตน้ ฉบบั ที่ไดจ้ ากเมืองนครศรีธรรมราชซ่ึงนบั เป็นประโยชน์อยา่ งยงิ่ ในการสงั คายนาพระไตรปิ ฎก ในสมยั ต่อมาการสมโภชพระแกว้ มรกต ดูไดท้ ่ี พระพทุ ธมหามณีรัตนปฏิมากรภาย หลงั จากท่ีรบชนะเมืองเวียงจนั ทน์ สมเด็จพระเจา้ ตากสินทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ ญั เชิญพระแกว้ มรกต และ พระบางกลบั มายงั กรุงธนบุรีดว้ ย โดยใหจ้ ดั ขบวนเรือพยหุ ยาตรามโหฬารถึง ๒๔๖ ลาํ และเสด็จพระราชดาํ เนินข้ึน ไปรับดว้ ยพระองคเ์ อง แลว้ ใหอ้ ญั เชิญพระแกว้ มรกตไปประดิษฐานไว้ ณ พระอโุ บสถ วดั อรุณราชวราราม ตอ่ มา รัชกาลท่ี ๑ ไดอ้ ญั เชิญพระแกว้ มรกตไปประดิษฐานไว้ ณ พระอุโบสถ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม ซ่ึงอยใู่ นเขต พระบรมมหาราชวงั การบูรณะปฏิสงั ขรณ์วดั สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช ทรงสละพระราชทรัพยส์ ่วนพระองค์ เพอื่ บรู ณะปฏิสังขรณ์วดั วาอารามตา่ งๆ เป็นจาํ นวนมาก และทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหย้ กฐานะข้ึนเป็นพระ อารามหลวง เช่น วดั อินทารามวรวหิ าร, วดั หงส์รัตนาราม และวดั อรุณราชวรารามพระราชกาํ หนดวา่ ดว้ ยศีลสิกขา สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ รากฎหมายวา่ ดว้ ยวตั รปฏิบตั ิในทางธรรมวนิ ยั ของ พระสงฆ์ เมื่อปี พุทธศกั ราช ๒๓๑๖ โดยถือเป็นตน้ ฉบบั กฎหมายพระสงฆฉ์ บบั แรกของไทย และทรงนาํ แนวคิด ทางพระพุทธศาสนา มาใชเ้ ป็นหลกั ในการจดั ระเบียบสงั คมในสมยั น้นั ดว้ ยและหลงั จากกอบกแู้ ผน่ ดินไดแ้ ลว้ พระองคไ์ ดท้ รงอญั เชิญพระบรมศพสมเด็จพระ-เจา้ เอกทศั มาจดั ถวายพระเพลิงอยา่ งสมพระเกียรติและยงั ทรงรับ อุปการะบรรดา เจา้ ฟ้า พระองคฟ์ ้า พระราชโอรส ตลอดท้งั พระเจา้ หลานเธอของพระมหากษตั ริยก์ รุงศรีอยธุ ยาทุก พระองค์ ดว้ ยความกตญั �ู ในตอนปลายรัชสมยั ของสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชไดเ้ กิดกบฎข้ึนท่ีกรุงศรีอยธุ ยา พวกกบฎไดป้ ลน้ จนพระยา อินทรอภยั ผรู้ ักษากรุงเก่าจนตอ้ งหลบหนีมายงั กรุงธนบรุ ี สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชมีรับส่งั ใหพ้ ระยาสรรค์

ข้ึนไปสืบสวนเอาตวั คนผิดมาลงโทษ แตพ่ ระยาสรรคก์ ลบั ไปเขา้ กบั พวกกบฎ และยกพวกมาปลน้ พระราชวงั ท่ีกรุง ธนบุรีในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๔ บงั คบั ใหส้ มเด็จพระเจา้ ตากสินออกผนวช และคุมพระองคไ์ วท้ ่ีพระอโุ บสถ วดั อรุณราชวราราม แลว้ พระยาสรรคไ์ ดต้ ้งั ตนเป็นพระเจา้ แผน่ ดินเหตกุ ารณ์ภายหลงั จากน้นั ไม่แน่ชดั โดยมีความ เช่ือหลายกระแส อาทิสมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก (ทองดว้ ง) และ เจา้ พระยาสุรสีห์ (บุญมา) ซ่ึงไปราชการทพั เมืองกมั พชู า และยกกาํ ลงั เขา้ ตีเมืองเสียมราฐ เมื่อทราบขา่ วการจลาจลในกรุงธนบรุ ี จึงรีบยกทพั กลบั ขณะน้นั เป็น เดือน เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เม่ือสมเด็จเจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกมาถึงในวนั ท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ก็ได้ สืบสวนเร่ืองราวความวนุ่ วายที่เกิดข้ึน และจบั กมุ ผูก้ ่อการกบฎมาลงโทษ รวมท้งั ใหข้ า้ ราชการปรึกษาพิจารณา ความที่มีผฟู้ ้องร้อง กล่าวโทษวา่ สมเด็จพระเจา้ ตากสินทรงเป็นตน้ เหตุ เน่ืองจากพระองคท์ รงเสียพระสติ เพ่ือมิให้ เกิดปัญหายงุ่ ยากอีก สมเด็จพระเจา้ ตากสินจึงถกู สาํ เร็จโทษและเสดจ็ สวรรคต ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ พระชนมายไุ ด้ ๔๘ พรรษา พระองคป์ ระสูติ และสวรรคต ในเดือนเดียวกนั และบางฉบบั ก็บอกวา่ ในวนั เดียวกนั ซ่ึงยงั ไมม่ ีใคร ทราบเป็นท่ีแน่ชดั ในขณะท่ีนกั ประวตั ิศาสตร์บางส่วนเช่ือวา่ สมเด็จเจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก และ เจา้ พระยาพระ ยาสุรสีห์ ไดฉ้ วยโอกาสดงั กลา่ วเขา้ ยดึ ครองแผน่ ดินและต้งั ตนเป็นกษตั ริยเ์ สียเอง เนื่องจากพระเจา้ ตากน้นั เป็นท่ี เคารพบชู าของประชาชนเป็นอยา่ งมาก จึงหาเหตวุ า่ พระเจา้ ตากเสียสติและดาํ เนินการสาํ เร็จโทษนกั ประวตั ิศาสตร์ บางส่วนเช่ือวา่ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชไมไ่ ดถ้ ูกสาํ เร็จโทษ แตท่ รงจงใจสละราชบลั ลงั กเ์ พอ่ื จะไดม้ ิตอ้ ง ชาํ ระเงินกจู้ ากประเทศจีน เมื่อทรงไดร้ ับการปล่อยตวั อยา่ งลบั ๆ แลว้ จึงเสด็จลงเรือสาํ เภาไปประทบั ที่เขาขนุ พนม จงั หวดั นครศรีธรรมราชเสดจ็ สวรรคตท่ีนน่ั ในปี พ.ศ. ๒๓๖๘ถวายสร้อยพระนามมหาราช และการสร้างพระบรม ราชานุสาวรีย์ ศาลพระเจา้ ตากสิน จงั หวดั ตาก ยคุ กรุงรัตนโกสินทร์ กรุงรัตนโกสินทร์ หรือ \"กรุงเทพมหานคร\" เป็ นราชธานีของไทย ต้งั อยทู่ างตะวนั ออกของแมน่ ้าํ เจา้ พระยา ตรงขา้ มกบั ท่ีต้งั ของกรุงธนบรุ ี โดยพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไดเ้ สดจ็ ข้ึนครองราชสมบตั ิ เม่ือวนั ท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ และทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนาพระนครข้ึน โดยทาํ พธิ ีต้งั เสาหลกั เมืองของ พระนครใหม่ เม่ือวนั อาทิตย์ เดือน ๖ ข้ึน ๑๐ ค่าํ เวลาย่าํ รุ่งแลว้ ๔๕ นาที ตรงกบั วนั ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ท้งั น้ี ไดพ้ ระราชทานนามของพระนครวา่ \"กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์มหินทรายทุ ธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศนม์ หาสถาน อมรพมิ ารอวตารสถิต สกั กะทตั ติยะ วษิ ณุกรรมประสิทธ์ิ\" แปลวา่ พระนครอนั กวา้ งใหญด่ ุจเทพนคร เป็นท่ีสถิตยข์ องพระแกว้ มรกต เป็นพระมหานครที่ไม่มีใครรบชนะ มี ความงามอนั มนั่ คงและเจริญยงิ่ เป็นเมืองหลวงท่ีบริบูรณ์ไปดว้ ยแกว้ เปราะน่าร่ืนรมยย์ ง่ิ พระราชนิเวศน์ใหญ่โต มากมาย เป็นวมิ านของเทพผอู้ วตารลงมา ซ่ึงทา้ วสกั กเทวราช พระราชทานให้

พระวษิ ณุกรรมลงมาเนรมิตไว้ เรียกส้นั ๆ วา่ \"กรุงเทพฯ\" \"กรุงเทพมหานคร\" หรือ \"กรุงรัตนโกสินทร์\" ซ่ึงคาํ วา่ กรุงเทพในตอนตน้ ช่ือน้นั สนั นิษฐานวา่ มากจากช่ือหนา้ ของ อยธุ ยา วา่ กรุงเทพทราราวดีศรีอยธุ ยา (ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงแปลงสร้อยพระนามพระนครจาก \"บวรรัตนโกสินทร์\" เป็น \"อมร รัตนโกสินทร์\") รัตนโกสินทร์ (ร.๑ - ร.๓) หลงั จากอาณาจกั รธนบุรีส้ินสุด ราชวงศใ์ หม่ก็ข้ึนครองอาํ นาจและเปล่ียนเป็ นยคุ ของ \"รัตนโกสินทร์\" ซ่ึงจนถึง ปัจจุบนั ยงั คนเป็นราชวงศน์ ้ีอยู่ รวมไดท้ ้งั สิ้น ๙ รัชกาลพอดี พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจกั รีบรมนาถฯ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ. ๒๒๗๙ - พ.ศ. ๒๓๕๒ ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕ - พ.ศ. ๒๓๕๒ ) รัชกาลท่ี ๑ แห่งราชจกั รีวงศ์ เสด็จ พระบรมราชสมภพเม่ือ วนั พธุ เดือน ๔ แรม ๕ ค่าํ ปี มะโรงอฐั ศก เวลา ๓ ยาม ตรงกบั วนั ที่ ๒๐ มีนาคม พทุ ธศกั ราช ๒๒๗๙ ในรัชกาลของสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ เป็นบุตรคนที่ ๔ ของสมเดจ็ พระปฐมบรมมหาชนก (พระนามเดิม \"ทองดี\") และพระอคั รชายา (พระนามเดิม \"หยก\"หรือ ดาวเรือง) ทรงมีพระเชษฐา พระเชษฐภคิณี พระอนุชาร่วม พระชนก ประกอบดว้ ย สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี (นามเดิมวา่ สา) พระเชษฐภคินีพระองใหญ่ พระเจา้ รามณรงค์ (บรรดาศกั ด์ิสมยั กรุงศรีอยธุ ยาวา่ เป็นที่ ขนุ รามณรงค)์ พระเชษฐา สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (นามเดิมวา่ แกว้ ) พระเชษฐภคินีพระองคน์ อ้ ย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (นามเดิมวา่ ทองดว้ ง) สมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาสุรสิงหนาท (นามเดิมวา่ บุญมา) พระอนุชา สมเดจ็ พระเจา้ บรม วงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้าลา กรมหลวงจกั รเจษฎา (นามเดิมวา่ ลา) พระอนุชา ตา่ งพระชนนี พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ กุ กรมหลวงนรินทรเทวี (นามเดิมวา่ ก)ุ พระขนิษฐา ตา่ งพระชนนี พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปราบดาภิเษกข้ึนครองราชย์ เป็นพระเจา้ แผน่ ดินแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เม่ือวนั ท่ี ๖ เมษายน พทุ ธศกั ราช ๒๓๒๕ (ตรงกบั วนั เสาร์ เดือน ๕ แรม ๙ ค่าํ ปี ขาล จตั ราศก จุลศกั ราช ๑๑๔๔ ) ขณะมีพระชนมายไุ ด้ ๔๕ พรรษาพระนาม เตม็ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระนามเตม็ วา่ \"สมเด็จ พระบรมราชาธิราชรามาธิบดีศรีสินทรบ รมมหาจกั รพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาศกรวงศ์ องคป์ รมาธิเบศร์ ตรีภวู เนตรวรนายก ดิลก รัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทยั คโรมนต์ สกลจกั รวาลาธิเมนทรต์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทราธาดาธิบดี

ศรีสุวบิ ูลย์ คุณอกณิฐ ฤทธิราเมศวรมหนั ต์ บรมธรรมิกราชาธิเบศร์ โลกเชฐวสิ ุทธ์ิ รัตนมงกุฏประเทศคตา มหา พุทธางกูร บรมบพติ ร\" ตราพระราชลญั จกรประจาํ รัชกาลที่๑รูปอุณาโลมผกู ตราน้ีข้ึนในวโรกาสกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒ ครองราชย์ ๒๗ ปี พระชนมายุ ๗๔ พรรษา องคป์ ฐมกษตั ริยแ์ ห่งราชวงศจ์ กั รี เสดจ็ พระราชสมภพ เม่ือวนั ที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙ ตรงกบั วนั พธุ แรม ๕ ค่าํ เดือน ๔ ปี มะโรง ไดร้ ับราชการ ต้งั แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยา เป็นหลวงยกกระบตั รเมือง ราชบุรี เป็นพระยาราชนรินทรในกรมพระตาํ รวจ เจา้ พระยาจกั รี และสมเด็จพระยามหากษตั ริยศ์ ึก สมหุ นายกและ แม่ทพั ใหญ่ในสมยั กรุงธนบุรี ทรงปราบดาภิเษกข้ึนครองราชยเ์ ป็นพระเจา้ แผน่ ดินแห่งกรุงสยาม เม่ือวนั ท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงยา้ ยเมืองหลวงจากกรุงธนบุรีมาเป็นกรุงเทพมหานคร เร่ิมสร้าง พระบรมมหาราชวงั และสร้างวดั พระศรีรัตนศาสดารามเป็นท่ีประดิษฐานพระแกว้ มรกตเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ ทรงเป็นนกั รบและ ตรากตราํ การสงครามมาต้งั แตป่ ลายสมยั กรุงศรีอยธุ ยา ตลอดสมยั กรุงธนบุรีและในรัชสมยั ของพระองคเ์ อง ใน ดา้ นการศาสนา ไดโ้ ปรดใหม้ ีการสังคายนา ชาํ ระพระไตรปิ ฎก พร้อมท้งั อรรถกถาฎีกาฯลฯณวดั มหาธาตโุ ปรด เกลา้ ฯใหส้ ร้างหอมณเฑียรธรรมข้ึนในบริเวณวดั พระแกว้ พระบรมมหาราชวงั สาํ หรับเป็นที่เกบ็ คมั ภีร์ ทาง พระพุทธศาสนา และทรงจดั การปกครองคณะสงฆใ์ หเ้ รียบร้อย พระราชานุกิจ (กิจวตั รประจาํ วนั ) ของพระองค์ ตลอดรัชสมยั เป็นที่น่าประทบั ใจ พระองคท์ รงงานต้งั แต่เชา้ ตรู่ จนดึกด่ืนทุกวนั มิไดข้ าด เร่ิมต้งั แต่ ทรงบาตรถวาย ภตั ตาหารพระสงฆ์ ฟังรายงานจากพระคลงั มหาสมบตั ิ ออกรับพระ บรมวงศานุวงศ์ และขนุ นาง ฟังรายงานและ วนิ ิจฉยั คดีจาก จางวางและปลดั กรมตาํ รวจ วนิ ิจฉยั เหตุการณ์บา้ นเมืองท้งั ขา้ ราชการจากฝ่ ายทหารและพลเรือน แลว้ จึงเสวยพระกระยาหารเชา้ แลว้ พบขา้ ราชการฝ่ ายใน หลงั พระกระยาหารค่าํ ทรงฟังพระธรรมเทศนา ฟัง รายการใชจ้ ่ายเงินคลงั การก่อสร้าง เสร็จแลว้ เสดจ็ ออกรับขนุ นาง ท้งั ฝ่ ายทหารและพลเรือน กรมท่านาํ ใบบอกหัว เมืองมากราบทูลทรงวินิจฉยั ปัญหาตา่ ง ๆ อยจู่ น ๔ ท่มุ หรือดึกกวา่ น้นั แลว้ จึงเสดจ็ ข้ึน พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลัย รัชกาลท่ี ๒ พ.ศ. ๒๓๕๒ - ๒๕๖๗ ครองราชย์ ๑๕ ปี พระชนมายุ ๕๘ พรรษาเสด็จพระราชสมภพ เม่ือ วนั ท่ี ๒๔ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๓๑๐ พระนามเดิมวา่ ฉิม เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ก่อนข้ึนครองราชยท์ รงดาํ รงพระยศเป็น เจา้ ฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ตาํ แหน่งพระมหาอุปราชกรม พระราชวงั บวรสถานมงคล พระองคม์ ีความสามารถทางอกั ษรศาสตร์เป็นอยา่ งดี ทรงร่วมนิพนธว์ รรณคดี กบั

สมเดจ็ พระราชบิดาไวห้ ลายเรื่อง ไดแ้ ก่ อุณรุท รามเกียรต์ิ อิเหนา และดาหลงั ซ่ึงเรียกวา่ พระราชนิพนธใ์ นรัชกาล ที่ ๑ นอกจากน้ียงั ไดท้ รงนาํ บทละครเก่ามานิพนธข์ ้ึนใหม่ ไดแ้ ก่ ไกรทอง คาวี ไชยเชษฐ์ สังขท์ อง มณีพิไชย ฯลฯ ดา้ น ดนตรี ทรงเป็นเอตทคั คะในทาง สีซอสามสาย ดา้ นศิลปะ โปรดการเขียนลวดลายอนั วิจิตรงดงาม ตวั อยา่ งที่เด่นชดั ปรากฏท่ีบานประตูวดั สุทศั นเ์ ทพวราราม เมื่อปฐมวยั ได้ ทรงติดตามพระราชบิดาไปในงานสงครามแทบทุกคร้ัง ต้งั แตพ่ ระชมมายไุ ด้ ๘ พรรษา ทรงผนวช เม่ือพระชนมายุ ๒๒ พรรษา ทรงจาํ พรรษา ณ วดั ราชาธิวาส (วดั สมอ ราย) เป็นเวลา ๑พรรษา ลาผนวชแลว้ ทรงอภิเษกสมรสกบั พระเจา้ หลานเธอ เจา้ ฟ้าหญิงบุญรอด ซ่ึงตอ่ มาไดร้ ับ สถาปนาเป็นสมเดจ็ พระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ในรัชสมยั ของพระองค์ ประเทศโปรตเุ กส และประเทศองั กฤษ ไดส้ ่งผแู้ ทนทางการทูต มาเจริญสัมพนั ธไมตรีเป็นคร้ังแรก ในสมยั รัตนโกสินทร์ คือ ไดส้ ่งมา เม่ือ พ.ศ. ๒๓๖๑ และ พ.ศ. ๒๓๖๓ ตามลาํ ดบั ดา้ นกฎหมาย ทรงปรับปรุงและออกกฎหมายต่าง ๆ ไดแ้ ก่ กฎหมายหา้ มขายฝ่ิน สญั ญาเก่ียวกบั การซ้ือขายที่ดิน พนิ ยั กรรม และกฎหมายอาญาอื่น ๆ เช่น ความผดิ เก่ียวกบั การลงโทษ ท้งั ฝ่ าย อาณาจกั รและพทุ ธจกั ร สุนทรภู่ กวีเอกของไทย มีช่ือเสียงเป็นที่รู้จกั กนั ทวั่ ไปในรัชกาลน้ี พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าอย่หู วั รัชกาลที่ ๓ ครองราชย์ ๒๖ ปี (พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔) พระชนมายุ ๖๔ พรรษาเสด็จพระราชสมภพ เม่ือวนั ท่ี ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๓๐ มีพระนามเดิมวา่ พระองคเ์ จา้ ทบั เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั และเจา้ จอมมารดาเรียบ ก่อนข้ึนครองราชยท์ รงดาํ รงพระยศเป็นกรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์ ไดท้ รงเคยวา่ ราชการ มาหลายตาํ แหน่ง เช่น กรมท่า (กระทรวงการต่างประเทศ) กรมพระคลงั มหาสมบตั ิ กรมตาํ รวจ และผวู้ า่ ความในศาลฎีกา ในรัชสมยั ของพระองค์ เจา้ อนุวงศเ์ วยี งจนั ทร์ เอาใจออกห่าง กระดา้ งกระเด่ือง เป็นกบฎไปเขา้ กบั ญวณ แลว้ ฉวยโอกาสยกทพั เขา้ ตีเมืองอุบล ร้อยเอด็ ตวั เจา้ อนุวงศเ์ องยกทพั จากเวียงจนั ทร์ลงมาตีเมือง นครราชสีมาไดแ้ ลว้ ใหท้ พั หนา้ เขา้ ตีสระบุรี พระองคไ์ ดจ้ ดั ทพั ใหญเ่ ตรียมรับศึกในกรุงเทพ ฯ ไดจ้ ดั การป้องกนั พระนคร วางกาํ ลงั รายรอบเมืองต้งั แต่ทุง่ บางเขนถึง ท่งุ หวั ลาํ โพง จดั กาํ ลงั ทหารไปต้งั รับที่สระบุรี ทพั เจา้ อนุวงศ์ ไดก้ วาดตอ้ นผคู้ นไปเวียงจนั ทร์ทกุ วนั คุณหญิงโม ภรรยาปลดั เมืองนครราชสีมา เป็นหวั หนา้ รวบรวมพวกเชลย ไทยตอ่ สู้ พอทพั จากกรุงเทพ ฯ ยกข้ึนไปช่วย เจา้ อนุวงศจ์ ึงถอยทพั กลบั ไปเวียงจนั ทร์ โดยวางกาํ ลงั คอยตา้ นทาน กองทพั ไทย ที่ยกไปตีเวียงจนั ทร์ไวท้ ี่เมืองหล่มเก่า และเมืองภูเขียว โปรดให้กรมพระราชวงั บวรเป็นแม่ทพั ยกทพั ผา่ นนครราชสีมา ข้ึนไปตีเวียงจนั ทร์สายหน่ึง อีกสายหน่ึงใหก้ รมหม่ืนสุรินทร์รักษเ์ ป็นแม่ทพั ยกไปตีฝ่ ายเจา้ อนุวงศ์ ที่มายดึ เมืองอุบล และเมืองร้อยเอด็ แลว้ ไปบรรจบกบั กองทพั ใหญท่ ี่เวียงจนั ทร์ อีกสายหน่ึงให้เจา้ พระยา

อภยั ภธู รเป็นแม่ทพั ยกไปตีฝ่ ายเจา้ อนุวงศท์ ่ีเมืองหล่มสกั แลว้ ไปบรรจบทพั ใหญท่ ี่เวียงจนั ทร์ กองทพั ไทยปราบ กบฏเจา้ อนุวงศไ์ ดร้ าบคาบ ตีกรุงเวียงจนั ทร์แตก จบั เจา้ อนุวงศไ์ ด้ ในปี พ.ศ. ๒๓๗๑เสร็จศึกแลว้ ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ แตง่ ต้งั คุณหญิงโม เป็นทา้ วสุรนารี ในรัชกาลของพระองค์ ประเทศไทยไดเ้ ร่ิมเปิ ดประเทศรับชาวยโุ รปอยา่ ง กวา้ งขวาง องั กฤษ และ สหรัฐอเมริกา ส่งทตู เขา้ มาเจริญสมั พนั ธไมตรีกบั ไทย การคา้ ขายกบั องั กฤษรุ่งเรืองมาก บางคราว มีเรือสินคา้ เขา้ มาจอดในแมน่ ้าํ เจา้ พระยาถึง ๕๐ ลาํ ทาง สหรัฐอเมริกาไดส้ ่งมิชชนั นารีเขา้ มาสอนศาสนา และนาํ เอาวชิ าการแพทยแ์ ผนใหม่ โรงพิมพห์ นงั สือพมิ พ์ และสอนภาษาองั กฤษใหค้ นไทย ผทู้ ี่ควรไดร้ ับเกียรติ ในผลงานน้ี คือ หมอบรัดเลย์ ทรงโปรดใหม้ ีประกาศหา้ มนาํ ฝ่ินเขา้ มาขายในประเทศ และใหเ้ ก็บฝิ่นท่ีมีอยู่ ใน ประเทศ นาํ ไปเผาท้งั หมด ดา้ นพระศาสนา ทรงทาํ นุบาํ รุงพทุ ธศาสนา สร้างวดั ใหม่ ๙ วดั บูรณะวดั เก่า ๖๐ วดั โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระนอนใหญท่ ่ีวดั โพธ์ิ และในรัชกาลน้ี ไดม้ ีกวแี กว้ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เกิดข้ึน คือ สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ( พระองค์ วาสุกรี พระราช โอรสในรัชกาลท่ี ๑ ) สภาพเศรษฐกิจและสังคม สภาพทางเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศ ในสมยั แรกต้งั กรุงรัตนโกสินทร์ยงั คงอยู่ ในรูปแบบของเศรษฐกิจพอยงั ชีพ กล่าวคือยงั ไม่มีการแบ่งงานกนั ทาํ แต่ละครอบครัวตอ้ งผลิตของที่จาํ เป็นทุกอยา่ ง ข้ึนมาใชเ้ อง ที่ดินกย็ งั วา่ งเปล่าอยมู่ าก ในขณะท่ีแรงงานเพอ่ื ประกอบการผลิตยงั มีอยนู่ อ้ ย เพราะสภาพสังคม ขณะน้นั แรงงานคนส่วนใหญต่ อ้ งอทุ ิศใหก้ บั การเขา้ เวรรับราชการและรับใชม้ ูลนายเวลาท่ีเหลือเพยี ง ส่วนนอ้ ยจึง เป็นเรื่องของการทาํ มาหาเล้ียงชีพและครอบครัวผลผลิตที่ไดส้ ่วนหน่ึงจึงเป็นไปตามความตอ้ งการของครัวเรือน และอีกส่วนหน่ึงส่งเป็นส่วยใหก้ บั ทางราชการการคา้ ภายในประเทศจึงมีนอ้ ยเพราะวา่ ทรัพยากรมีจาํ กดั และความ ตอ้ งการของแตล่ ะทอ้ งถ่ินไมแ่ ตกต่างกนั การคมนาคมไม่สะดวกจวบจนถึงสมยั รัชกาลที่ ๓ การคา้ ภายในประเทศ จึงเร่ิมขยายตวั เพราะ ชาวจีนเขา้ มามีบทบาททางการคา้ โดยทาํ หนา้ ที่เป็นพอ่ คา้ คนกลางนาํ ส่งสินคา้ เขา้ -ออกตาม ทอ้ งถ่ินตา่ ง ๆในส่วนท่ีเป็ นรายรับ - รายจ่ายของแผน่ ดินน้นั กลา่ วไดว้ า่ รายรับไม่สมดุลกบั รายจ่าย รายจ่ายส่วน ใหญใ่ นสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ เป็นไปเพ่ือการสร้างและบรู ณะบา้ นเมือง รายจ่ายในการป้องกนั ประเทศการ บาํ รุงศาสนานอกจากน้ีก็ยงั มีรายจ่ายเบ้ียหวดั ขา้ ราชการ และค่าใชจ้ ่ายภายในราชสาํ นกั รายจ่ายตามประเภทท่ีกล่าว มาขา้ งตน้ น้นั นบั วา่ มีจาํ นวนสูง เพราะบา้ นเมืองเพ่งิ อยใู่ นระยะก่อร่างสร้างตวั ซ้าํ ยงั มีศึกสงครามอยเู่ กือบตลอดเวลา รายจ่ายที่เพ่มิ มากข้ึนน้นั เม่ือเทียบกบั รายไดข้ องแผน่ ดินซ่ึงยงั คงมีท่ีมาเหมือนสมยั กรุงศรีอยธุ ยาและกรุงธนบรุ ี จึง เป็นส่ิงที่ผูป้ กครองตอ้ งแสวงหายรายไดใ้ หเ้ พม่ิ มากข้ึนรายไดข้ องรัฐบาลในสมยั ตน้ รัตนโกสินทร์จาํ แนกไดด้ งั น้ี ๑. ส่วย คือ เงินหรือส่ิงของท่ีไพร่เอามาเสียภาษีแทนแรงงานถา้ ไม่ตอ้ งการชาํ ระ เป็นเงิน กอ็ าจจะทดแทนดว้ ย ผลิตผลที่มีอยใู่ นทอ้ งท่ี ๆ ไพร่ผนู้ ้นั อาศยั อยเู่ ช่นดีบุกดินประสิว นอกจากน้ีส่วยยงั เรียกเก็บจาก หวั เมืองต่าง ๆ และ บรรดาประเทศราช

๒. ฤชา คือ การเสียคา่ ธรรมเนียมท่ีประชาชนจ่ายเป็นค่าตอบแทนการบริการ ของรัฐบาล รัฐบาลจะกาํ หนดเรียก เกบ็ เป็นอยา่ ง ๆ ไป เช่น คา่ ธรรมเนียมโรงศาลคา่ ธรรมเนียมการออกโฉนด หรือคา่ ธรรมเนียมกรรมสิทธ์ิ เป็นตน้ ๓. อากร คือ เงินที่พ่อคา้ เสียใหแ้ ก่รัฐบาลในการขอผกู ขาดสมั ปทาน เช่น การจบั ปลา การเก็บของป่ าตม้ กลน่ั สุรา และต้งั บ่อนการพนนั เป็นตน้ ส่วนอีกประเภทหน่ึง คือ การเรียกเก็บผลประโยชน์ที่ราษฎรทาํ ไดจ้ ากการ ประกอบการต่างๆเช่นทาํ นาทาํ ไร่การเกบ็ อากร ค่านา ในสมยั รัชกาลท่ี ๒ กาํ หนดใหร้ าษฎรเลือกส่งได้ ๒ รูปแบบ คือ ส่งเป็นผลิตผลหรือตวั เงิน เช่น ถา้ ส่งเป็นเงินให้ส่งไร่ละหน่ึงสลึง อากรประเภทอื่นยงั มีอีก เช่น อากรสวน อากรตลาด เป็นตน้ ๔. ภาษีอากรและจงั กอบภาษีอากร หมายถึง การเก็บภาษีจากสินคา้ เขา้ และสินคา้ ออก ภาษเี ขา้ มีอตั ราการเก็บท่ีไม่ แน่นอนประเทศใดท่ีมีสมั พนั ธไมตรีดีตอ่ ไทยก็จะเก็บ ภาษีนอ้ ยกวา่ เรือของประเทศท่ีไปมาคา้ ขายเป็นคร้ังคราว หาก แตใ่ นสมยั รัชกาลท่ี ๒ อตั ราที่กาํ หนดใหเ้ กบ็ คือร้อยละ ๘ โดยตลอดส่วนชาวจีนน้นั ใหค้ ิดอตั ราร้อยละ ๔ ส่วนภาษสี ินคา้ ออกเกบ็ ในอตั ราท่ีแตกต่างไปตามชนิดของสินคา้ ๕. จงั กอบ คือคา่ ผา่ นด่านซ่ึงเรียกเก็บจากสินคา้ และขนาดของพาหนะท่ีบรรทกุ ด่านท่ีเก็บจงั กอบเรียกวา่ ขนอน หรือด่านภาษกี ารเก็บจงั กอบมี ๒ ประเภท คือประเภทแรก เป็นการเก็บค่าผา่ นด่านขนอนท้งั ทางบกและทางน้าํ เรียกเก็บจากสินคา้ คา้ ของราษฏรโดยชกั สินคา้ น้นั เป็นส่วนลดอีกประเภทหน่ึงคือ เกบ็ ตามอตั ราขนาดของ ยานพาหนะที่ขนสินคา้ ผา่ นด่าน โดยจะวดั ตามความกวา้ งของปากเรือ เรียกวา่ \"ค่าปากเรือ\" ในสมยั รัตนโกสินทร์น้ี แมเ้ ศรษฐกิจหลกั ของสงั คมจะเป็นไปแบบเดิมคือ การ เกษตรกรรม โดยอาศยั ธรรมชาติ แต่ทางราชการก็พยายาม สนบั สนุนช่วยเหลือในการชลประทานการคา้ กบั ต่างประเทศกด็ าํ เนินเป็นล่าํ เป็นสันข้ึนกวา่ ในสมยั ก่อนเพราะไทย มีสินคา้ ออกคือ ผลิตผลทางการเกษตร ซ่ึงเป็นที่ตอ้ งการของประเทศทางตะวนั ตก รัตนโกสินทร์ (ร.๔ - ร.๙ ) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว รัชกาลที่ ๔ ครองราชย์ ๑๖ ปี ( พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๑๑ ) พระชมมา ยุ ๖๖ พรรษา เสด็จพระราชสมภพเม่ือวนั ที่ ๑๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๓๔๗ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั และสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี มีพระนามเดิมวา่ เจา้ ฟ้ามหามาลา เม่อื พระชนมายไุ ด้ ๙ พรรษา ไดร้ ับสถาปนาเป็นเจา้ ฟ้ามงกุฎ มีพระราชอนุชาร่วมพระราชมารดา คือ เจา้ ฟ้าจุฬามณี ซ่ึง ตอ่ มาไดร้ ับสถาปนาเป็น พระบาทสมเด็จพระป่ิ นเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมื่อพระชนมายไุ ด้ ๒๑ พรรษา ไดอ้ อกผนวชตาม ประเพณีและอยใู่ นเพศบรรพชิต ตลอดรัชสมยั รัชกาลที่ ๓ เม่ือรัชกาลท่ี ๓ สวรรคต จึงไดล้ าสิกขามาข้ึนครองราชย์ สมบตั ิ ระหวา่ งท่ีทรงผนวชประทบั อยทู่ ่ีวดั มหาธาตุ แลว้ ทรงยา้ ยไปอยวู่ ดั ราชาธิวาส (วดั สมอราย) พระองคไ์ ดท้ รง

ต้งั คณะสงฆ์ ชื่อ \" คณะธรรมยตุ ินิกาย \" ข้ึน ตอ่ มาทรงยา้ ยไปอยวู่ ดั บวรนิเวศวิหาร ไดร้ ับแตง่ ต้งั เป็นพระราชาคณะ และไดเ้ ป็นเจา้ อาวาสวดั บวรนิเวศองคแ์ รก ทรงรอบรู้ภาษาบาลีและแตกฉานในพระไตรปิ ฎก นอกจากน้นั ยงั ศึกษา ภาษาลาตินและภาษาองั กฤษจนสามารถใชง้ านไดด้ ี ในรัชสมยั ของพระองค์ องั กฤษสหรัฐอเมริกา และฝร่ังเศส ต่างกส็ ่งทตู มาขอทาํ สนธิสัญญาในเรื่อง สิทธิสภาพ นอกอาณาเขตใหแ้ ก่คนในบงั คบั ของตนและสิทธิการคา้ ขายเสรี ต่อมาไทยไดท้ าํ สัญญาไมตรีกบั ประเทศนอร์เวย์ เบลเยยี่ มและอิตาลี และไดท้ รงส่งคณะทตู ออกไปเจริญพระราชไมตรีกบั ตา่ งประเทศ นบั เป็นคร้ังท่ีสองของไทย นบั ตอ่ จากสมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยไปยงั ประเทศองั กฤษและฝร่ังเศส ทรงจา้ งชาวยโุ รปมารับราชการ ในไทย ในหนา้ ท่ีล่ามแปลเอกสารตาํ รา ครูฝึกวชิ าทางทหารและตาํ รวจและงานดา้ นการช่าง ทรงต้งั โรงพมิ พข์ อง รัฐบาล ต้งั โรงกษาปณ์เพือ่ ผลิตเงินเหรียญ แทนเงินพดดว้ งและเบ้ียหอยท่ีใชอ้ ยเู่ ดิม มีโรงสีไฟ โรงเลื่อยจกั ร เปิ ดที่ ทาํ การศลุ กากร ตดั ถนนสายหลกั ๆ ไดแ้ ก่ ถนนบาํ รุงเมือง ถนนเฟื่ องนคร ถนนเจริญกรุง และถนนสีลม มีรถมา้ ข้ึน ใชค้ ร้ังแรก ขดุ คลองผดุงกรุงเกษม คลองมหาสวสั ด์ิ คลองภาษีเจริญ คลองดาํ เนินสะดวก และคลองหวั ลาํ โพง ดา้ น การปกครองไดจ้ ดั ต้งั ตาํ รวจนครบาลศาลแกไ้ ขกฎหมายใหท้ นั สมยั ใหเ้ สรีภาพในการนบั ถือศาสนา ดา้ นศาสนา ได้ สร้างวดั ราชประดิษฐ์ วดั มงกุฎกษตั ริยารามและวดั ปทมุ วนาราม เป็นตน้ ทรงเชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์ สามารถ คาํ นวณการเกิดจนั ทรุปราคาและสุริยปุ ราคาไดอ้ ยา่ งแม่นยาํ ทรงคาํ นวณการเกิดสุริยปุ ราคาหมดดวงในวนั ข้ึน ๑ คา่ํ เดือน ๑๐ ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ณ ตาํ บลหวา้ กอ(คลองวาฬ) จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ความเปลยี่ นแปลงสมยั รัชกาลท่ี ๔ ๑. การแกไ้ ขเปลี่ยนแปลงประเพณีบางประการ มีรับส่งั ใหเ้ ลิกประเพณีเขา้ เฝ้าตวั เปล่าไมใ่ ส่เส้ือ ทาํ ให้ ฝรั่งเลิกดูถูกเหยยี ดหยามคนไทย พระราชทานพระบรมราชานุญาต ใหฝ้ ร่ังท่ีอยใู่ นกรุงไดม้ ีโอกาสเขา้ เฝ้าทาํ ให้ นานาประเทศทางตะวนั ตกเร่ิมมีไมตรีจิตต่อ ประเทศไทย พระราชทานพระบรมราชานุญาตใหร้ าษฎรไดม้ ีโอกาส เขา้ เฝ้าชมพระราชบารมีอยา่ งใกลช้ ิดได้ และหากเจา้ ของบา้ นเรือนใดมีประสงคจ์ ะถวายความเคารพเป็นพิเศษก็ให้ แตง่ เคร่ืองบูชาที่หนา้ บา้ นแลว้ คอยเฝ้าอยทู่ ่ีเคร่ืองบูชาน้นั จึงเกิดประเพณีต้งั เคร่ืองบูชารับเสด็จต้งั แต่น้นั มา ๒. การปรับปรุงบ้านเรือนตามแบบตะวนั ตก ๒.๑ ส่งเสริมการศึกษาภาษาองั กฤษไดท้ รงริเร่ิมไหม้ ีการศึกษาเล่าเรียนภาษาองั กฤษ ข้ึนใน พระบรมมหาราชวงั เป็นคร้ังแรกทรงเห็นเหตุการณ์ไกลวา่ ต่อไปภายหนา้ เราจะตอ้ งคบคา้ สมาคมกบั ชาวตะวนั ตก มากข้ึนทกุ ที จาํ เป็นจะตอ้ งรู้ภาษาตา่ งประเทศไวใ้ นราชการดว้ ย โดยไดท้ รงขอ ใหส้ ตรีในคณะมิชชนั นารีอเมริกา เขา้ ไปสอนภาษาองั กฦษ ใหแ้ ก่บรรดากุลสตรีช้นั สูง ถึงในพระราชฐาน ผทู้ ่ีเขา้ ไปสอนมี นาง ดี.บี. บรัดเลย์ นาง สตี

เฟน มตั ตนู นางเจ.ซี. โจนนางแอนนา เลียวโนเวนส์ (คนไทยทว่ั ไปรู้จกั กนั ในนามวา่ “แหมม่ แอนนา”) และหมอ จนั ด-เลชาวอเมริกนั ๒.๒ จา้ งชาวตา่ งชาติเขา้ รับราชการเพ่ือใหร้ าชการบา้ นเมืองไดเ้ จริญกา้ วหนา้ ไปดว้ ยดี ให้ทนั ตอ่ สถานการณ์ของโลก จึงไดท้ รงวา่ จา้ ง ไหช้ าวตา่ งชาติเขา้ มารับราชการ เปลี่ยนแปลงปรับปรุงกิจการบา้ นเมืองใน ดา้ นตา่ ง ๆ ๒.๓ กาํ เนิดมีธงชาติใชเ้ ป็นคร้ังแรกเราไดท้ าํ สัญญาเปิ ดการคา้ ขายกบั ประเทศตะวนั ตก มีเรือกาํ ปั่น ของชาวยโุ รปและชาวอเมริกาเขา้ มาคา้ ขายในกรุงเทพฯทวีมากข้ึน กงสุลต่างประเทศกเ็ ขา้ มาต้งั อยใู่ นกรุงเทพฯ หลายแห่ง ซ่ึงตา่ ง ก็มีธงชาติของตนข้ึน ทาํ ใหม้ ีความจาํ เป็นท่ีจะตอ้ งมีธงชาติไทย ไดโ้ ปรดใหใ้ ชธ้ งชาติที่รัชกาลท่ี ๒ ไดป้ ระดิษฐข์ ้ึนเป็นธงชาติไทยแต่ใหเ้ อารูปจกั รออกเสีย คงมีแต่รูปชา้ งเผือกอยกู่ ลางผนื ธงสีแดง ๒.๔ สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไดท้ รงริเร่ิมสร้างเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ข้ึนเป็นคร้ังแรก สาํ หรับ พระราชทานเป็นบาํ เหน็จความดีความชอบแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ขา้ ราชการ และชาวตา่ งประเทศ ซ่ึงนบั ไดว้ า่ ประเทศเราเป็นประเทศแรก ในทวีปเอเชียที่มีเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ข้ึน ท้งั น้ีมีมูลเหตุมาจากการที่พระองค์ ทรงคบ คา้ สมาคมกบั ชาวต่างประเทศ แลว้ ไดท้ รงทราบวา่ ในประเทศตา่ ง ๆ ทางตะวนั ตกน้นั มีเคร่ืองหมายยศทาํ เป็นดาว และรูปตา่ ง ๆติดประดบั เส้ือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์รุ่นแรกสุดของประเทศไทย ไดโ้ ปรดใหส้ ร้างข้ึนเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๐๐ มีลกั ษณะเป็นเพียงแต่ดาวดาราสาํ หรับติดเส้ือ คนทว่ั ไปนิยมเรียกวา่ “ ตรา ” ทรงพระราชดาํ ริเอาลายตรา ประจาํ ตาํ แหน่ง มาทาํ ลายดาราเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ ๓. กวแี ละวรรณกรรม ในดา้ นวรรณกรรมกไ็ ดท้ รงเอาพระทยั ใส่ทาํ นุบาํ รุงเป็นอยา่ งดี เพราะพระองค์ ทา่ นทรงเป็นนกั ศึกษาอยา่ งแทจ้ ริง แตว่ รรณกรรมท่ีเกิดในรัชกาลน้ีมีรสแปลกแนวใหม่ต่างจากที่เคยมีมาแต่โบราณ กวแี ละวรรณกรรมรัชกาลที่ ๔ ที่สาํ คญั เช่น นิราศลอนดอนเป็นตน้ ๔ . ศิลปกรรม ๔.๑ สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมในยคุ น้ีไดห้ นั เหไปทางตะวนั ตกมากข้ึน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ สิ่งก่อสร้างของทางฝ่ายราชการบา้ นเมือง อนั ไดแ้ ก่ พระราชวงั สราญรมย์ พระราชวงั นนั อทุ ยาน พระนครคีรีท่ี จงั หวดั เพชรบรุ ี ท้งั น้ีจะสังเกตไดจ้ ากสิ่งก่อสร้างเหล่าน้ีวา่ มกั ทาํ ช่องประตุหนา้ ต่างโคง้ ตามแบบสถาปัตยกรรม ตะวนั ตกส่วนสถาปัตยกรรมแบบไทยแทจ้ ริงในรัชกาลน้ีท่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ ปราสาทเทพบิดร ในวดั พระศรีรัตนศาสดา ราม พระที่นงั่ อาภรณ์พโิ มกข์ ในพระบรมมหาราชวงั ฯลฯส่วนที่เป็นเจดียน์ ้นั ที่สาํ คญั ไดแ้ ก่ พระปฐมเจดีย์ จงั หวดั

นครปฐม ซ่ึงไดอ้ อกแบบคิดสร้างข้ึนใหม่สวมพระเจดียอ์ งคเ์ ดิมไวภ้ ายในเป็นท่ีเชิดหนา้ ชูตาแก่บา้ นเมืองมาจนทกุ วนั น้ี พระมหาเจดีย์ ประจาํ รัชกาลที่ ๔ ในวดั พระเชตุพน ฯ ซ่ึงโปรดใหจ้ าํ ลองแบบมาจากพระเจดียศ์ รีสุริโยทยั ๔.๒ ภาพเขียนฝาผนงั ภาพเขียนฝาผนงั ที่สาํ คญั ในรัชกาลน้ี ไดแ้ ก่ ในพระอุโบสถและพระวหิ ารวดั บวรนิเวศวหิ าร และที่พระอุโบสถวดั ราชประดิษฐ์ ฯ ภาพเขียนช้ินเอกดงั กล่าวมาน้ี เป็นฝีมือของพระภิกษุ “ ขรัว อินโข่ง ” จิตรกรเอกในยคุ น้นั ซ่ึงเป็นบุคคลแรกของเมืองไทยที่ริเร่ิมเขียนภาพแบบฝร่ังข้ึน คือเป็นภาพสามมิติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี ๕ แห่งพระบรม ราชจกั รีวงศ์ พระบรมราชสมภพ เมื่อ วนั องั คาร เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่าํ ปี ฉลู ๒๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เป็นพระราชโอรสองคท์ ่ี ๙ ในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และเป็ นที่ ๑ ในสมเดจ็ พระเทพศิรนทรามาตย์ เสวยราชสมบตั ิ เม่ือวนั พฤหสั บดี เดือน ๑๑ ข้ึน ๑๕ ค่าํ ปี มะโรง (พ.ศ. ๒๔๑๑) รวม สิริดาํ รงราชสมบตั ิ ๔๒ ปี เสด็จสวรรคต เม่ือวนั เสาร์ เดือน ๑๑ แรม ๔ ค่าํ ปี จอ (๒๓ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๕๓) ดว้ ยโรคพระวกั กะ รวมพระชนมพรรษา ๕๘ พรรษา พระองคท์ รงปกครองอาณาประชาราษฎร ใหร้ ่มเยน็ เป็นสุข ทรงโปรดการเสด็จประพาสตน้ เพือ่ ใหไ้ ดท้ รงทราบถึง ความเป็นอยทู่ ี่แทจ้ ริงของราษฎร ทรงสนพระทยั ในวิชาความรู้ และวิทยาการแขนงตา่ ง ๆ อยา่ งกวา้ งขวาง และ นาํ มาใชบ้ ริหารประเทศให้ เจริญรุดหนา้ อยา่ งรวดเร็ว พระองคจ์ ึงไดร้ ับถวายพระราชสมญั ญานามวา่ สมเดจ็ พระปิ ย มหาราช และมีความหมายวา่ พระมหากษตั ริยท์ ี่ทรงเป็นท่ีรักยง่ิ ของปวงชน พระราชประวตั ิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชสมภพเมื่อวนั ท่ี ๒๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ที่ประสูติแตก่ รมสมเดจ็ พระเทพศิรินท รามาตย์ (ตอ่ มาภายหลงั ในสมยั รัชกาลที่ ๖ ไดม้ ีการเปล่ียนแปลงพระนามเจา้ นายฝ่ ายในใหถ้ กู ตอ้ งชดั เจนตาม โบราณราชประเพณีนิยมยคุ ถดั มาเป็น สมเดจ็ พระเทพศิรินทราบรมราชินี) ไดร้ ับพระราชทานนามวา่ สมเด็จเจา้ ฟ้า ชายจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพมหามงกฎุ บรุ ุษยรัตนราชวรววิ งศว์ รุตมพงศบริพตั ร สิริวฒั นราชกมุ าร พระองคท์ รงมี พระขนิษฐาและพระอนุชารวม ๓ พระองค์ ไดแ้ ก่ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้าจนั ทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิ กระษตั ริย์ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้าจาตุรนตร์ ัศมี กรมพระ-จกั รพรรดิพงศ์ และ สมเด็จพระราชปิ ตลุ าบรม พงศาภิมขุ เจา้ ฟ้าภาณุรังษสี วา่ งวงศ์ กรมพระยาภาณุพนั ธุ วงศว์ รเดชวนั ท่ี ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๐๔ สมเด็จเจา้ ฟ้า ชายจุฬาลงกรณ์ ไดร้ ับการสถาปนาใหข้ ้ึนทรงกรมเป็น สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมหมื่น พฆิ เนศวรสุร และเม่ือ พ.ศ. ๒๔๐๙ พระองคท์ รงผนวชตามราชประเพณี ณ วดั บวรนิเวศวหิ าร ภายหลงั จากการทรง

ผนวช พระองคไ์ ดร้ ับการ เฉลิมพระนามาภิไธยข้ึนเป็น สมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขนุ พินิต ประชานาถ เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๑๐โดยทรงกาํ กบั ราชการกรมมหาดเลก็ กรมพระคลงั มหาสมบตั ิ และกรมทหารบก วงั หนา้ วนั ที่ ๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๑๐พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสด็จสวรรคตภายหลงั ทรงเสดจ็ ออก ทอดพระเนตรสุริยปุ ราคา โดยก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จะสวรรคตน้นั ไดม้ ี พระราชหตั ถเลขาไวว้ า่ \"พระราชดาํ ริทรงเห็นวา่ เจา้ นายซ่ึงจะสืบพระราชวงศต์ อ่ ไปภายหนา้ พระเจา้ นอ้ งยาเธอก็ ได้ พระเจา้ ลกู ยาเธอกไ็ ด้ พระเจา้ หลานเธอกไ็ ด้ ใหท้ า่ นผหู้ ลกั ผใู้ หญ่ปรึกษากนั จงพร้อม สุดแลว้ แต่จะเห็นดีพร้อม กนั เถิด ทา่ นผใู้ ดมีปรีชาควรจะรักษาแผน่ ดินไดก้ ใ็ หเ้ ลือกดูตามสมควร\" ดงั น้นั เม่ือพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เสดจ็ สวรรคต จึงไดม้ ีการประชุมปรึกษาเรื่องการถวายสิริราชสมบตั ิแด่พระเจา้ แผน่ ดินพระองคใ์ หม่ ซ่ึงในท่ีประชุมน้นั ประกอบดว้ ยพระบรมวงศานุวงศ์ ขา้ ราชการช้นั ผใู้ หญ่ และพระสงฆ์ โดยพระเจา้ นอ้ งยาเธอกรม หลวงเทเวศร์วชั รินทร์ ไดเ้ สนอสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขนุ พินิตประชานาถ พระราชโอรสพระองคใ์ หญใ่ นพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ข้ึนเป็นพระเจา้ แผน่ ดิน ซ่ึงท่ีประชุมน้นั มี ความเห็นพอ้ งเป็นเอกฉนั ท์ ดงั น้นั พระองคจ์ ึงไดร้ ับการทูลเชิญใหข้ ้ึนครองราชสมบตั ิต่อจากสมเด็จพระราชบิดา [๓] โดยในขณะน้นั ทรงมีพระชนมายเุ พียง ๑๕ พรรษา ดงั น้นั จึงไดแ้ ตง่ ต้งั เจา้ พระยาศรีสุริยวงศ์ เป็นผสู้ าํ เร็จ ราชการแทนพระองค์ จนกวา่ พระองคจ์ ะทรงมีพระชนมพรรษครบ ๒๐ พรรษา โดยทรงประกอบพระราชพิธีบรม ราชาภิเษกคร้ังแรก เมื่อวนั ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ โดยไดร้ ับการเฉลิม พระปรมาภิไธยวา่ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบฎั วา่ \" พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพ ยมหามงกฏุ บุรุษรัตนราชรววิ งศ วรุตมพงศบริพตั ร วรขตั ิยราชนิกโรดม จาตุรันบรมมหาจกั รพรรดิราชสงั กาศ อภุ โตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จกั รีบรมนาถ อดิศวรราช รามวรังกรู สุภาธิการรังสฤษด์ิ ธญั ลกั ษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยคุ ล ประสิทธิ สรรพศภุ ผลอุดม บรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วสิ ิษฐศกั ด์ิ สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขตั ิยราชประยรู มลู มุขราชดิลกมหาปริวารนายกอนนั ต มหนั ตวรฤทธิเดช สรร วิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธ์ิวรยศมโหดมบรมราชสมบตั ิ นพปดลเศวตฉตั ราดิฉัตร สิริรัตโน ปลกั ษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิตสรรพทศทิศวชิ ิตชสั กลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทร มหารามาธิ ราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พทุ ธาทิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลยศกั ด์ิอรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตล หฤทยั อโนปมยั บญุ การสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพติ ร พระ

จุฬาลงกรณ์เกลา้ เจา้ อยหู่ วั \" เม่ือพระองคท์ รงมีพระชนมายคุ รบ ๒๐ พรรษา จึงทรงลาผนวชเป็นพระภิกษุ และไดม้ ี การจดั พระราชพิธีบรมราชาภิเษกคร้ังท่ี ๒ ข้ึน เมื่อวนั ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๖ โดยไดร้ ับการเฉลิมพระ ปรมาภิไธยในคร้ังน้ีวา่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โดยมีพระนาม ตามจารึกในพระสุบรรณบฎั วา่ \"พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกฏุ บรุ ุษรัต นราชรวิวงศ วรุตมพงศบริพตั ร วรขตั ิยราชนิกโรดม จาตุรันบรมมหาจกั รพรรดิราชสงั กาศ อภุ โตสุชาติสังสุทธ เคราะหณี จกั รีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการรังสฤษด์ิ ธญั ลกั ษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนต มางคประนตบาทบงกชยคุ ล ประสิทธิสรรพศุภผลอดุ ม บรมสุขมุ มาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวเิ ศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศกั ด์ิสมญาพินิตประชานาถเปรมกระมลขตั ิยราชประยรู มลู มุขราชดิลก มหาปริวาร นายกอนนั ต มหนั ตวรฤทธิเดช สรรวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธ์ิวรยศมโหดมบรมราช สมบตั ิ นพปดลเศวตฉตั ราดิฉตั ร สิริรัตโนปลกั ษณมหา-บรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวชิ ิตชยั สกลมไหสวริยม หาสวามินทร์ มเหศวรมหินทร มหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พทุ ธาทิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลย ศกั ด์ิอรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทยั อโนปมยั บุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิก หาราชาธิราช บรมนาถบพติ ร พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั \"พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสด็จสวรรคต ดว้ ยโรคพระวกั กะ เม่ือวนั ท่ี ๒๓ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เวลา ๒.๔๕ นาฬิกา รวมพระชนมายไุ ด้ ๕๘ พรรษา พระราชลญั จกรประจาํ พระองค์ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี ๕ ครองราชย์ ๔๒ ปี (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓) พระชนมายุ ๕๘ พรรษาเสดจ็ พระราชสมภพเมื่อวนั ที่ ๒๐ กนั ยายน พ.ศ.๒๓๙๖ มีพระนามเดิมวา่ เจา้ ฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็ นพระราช โอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ ก่อนข้ึนครองราชยท์ รงดาํ รง พระยศเป็น กรมขนุ พินิตประชานาถ พระองคไ์ ดท้ รงสร้างความเจริญรุ่งเรืองใหแ้ ก่ประเทศนานปั การ ทรงบริหาร ประเทศกา้ วหนา้ ทดั เทียมนานาอารยประเทศ ทรงประกาศเลิกทาส ปรับปรุงระบบการศาล ต้งั กระทรวงยตุ ิธรรม ปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ส่งเสริมการศึกษาอยา่ งกวา้ งขวางในหมปู่ ระชาชนทว่ั ไป ต้งั กระทรวงธรรมการ ต้งั โรงเรียนฝึกหดั ครู ส่งนกั เรียนไทยไปศึกษาในยโุ รป สร้างการรถไฟ โดยทรงเปิ ดเสน้ ทางเดินรถไฟสายกรุงเทพ ฯ ถึงนครราชสีมา เมื่อวนั ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๑ สร้างโรงไฟฟ้า จดั ใหม้ ีการเดินรถรางข้ึนในกรุงเทพ ฯ จดั ต้งั การ ไปรษณียโ์ ทรเลข เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๑ สร้างระบบการประปาฯลฯ ดา้ นการตา่ งประเทศ ทรงมีวิสยั ทศั นก์ วา้ งไกลยง่ิ นกั ไดท้ รงนาํ ประเทศไทยให้ รอดพน้ จากการเป็นเมืองข้ึนของ ชาติตะวนั ตกไดต้ ลอดรอดฝ่ัง โดยดาํ เนินวเิ ทโศบาย ผกู สมั พนั ธไมตรีกบั ประเทศมหาอาํ นาจเพือ่ คานอาํ นาจ

พระองคไ์ ดเ้ สร็จประพาสยโุ รป ถึงสองคร้ัง โดยไดเ้ สร็จเยอื นประเทศ ฝร่ังเศส รัสเซีย เยอรมนี องั กฤษ ออสเตรีย ฮงั การี เบลเยย่ี ม อิตาลี สวีเดน และเดนมาร์ก เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงแต่งต้งั ราชทตู ไปประจาํ ประเทศตา่ ง ๆ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ไดแ้ ก่ อิตาลี เยอรมนั เนเธอร์แลนด์ เบลเยีย่ ม ออสเตรีย ฮงั การี เดนมาร์ก สวีเดน โปรตเุ กส นอร์เว และ สเปน องั กฤษ ในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. ๒๔๒๗รัสเซียในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ และญ่ีป่ ุนใน ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ พระองคท์ รงปกครองอาณาประชาราษฎร ใหเ้ ป็นสุขร่มเยน็ โปรดการเสดจ็ ประพาสตน้ เพอ่ื ใหไ้ ด้ ทรงทราบความเป็นอยทู่ ่ีแทจ้ ริงของพสกนิกร ทรงสนพระทยั ในวชิ าความรู้ และวทิ ยาการแขนงตา่ ง ๆ อยา่ ง กวา้ งขวาง และนาํ มาใชบ้ ริหารประเทศให้ เจริญรุดหนา้ อยา่ งรวดเร็ว พระองคจ์ ึงไดร้ ับถวายพระราชสมญั ญานาม วา่ สมเด็จพระปิ ยะมหาราช ดา้ นการพระศาสนา ทรงทาํ นุบาํ รุง และจดั การใหเ้ หมาะสม เจริญรุ่งเรือง ทรงสถาปนามหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลยั ข้ึน ณ วดั มหาธาตุ และมหามงกฎุ ราชวิทยาลยั ข้ึน ณ วดั บวรนิเวศวิหาร เพือ่ ใหเ้ ป็นสถานศึกษาพระปริยตั ิธรรม และวิชาการช้นั สูง นอกจากน้นั ยงั ทรงสร้างวดั เทพศิรินทราวาส และวดั เบญจมบพิตร ซ่ึงนบั วา่ เป็นสถาปัตยกรรม ที่งดงามยงิ่ แห่งหน่ึงของกรุงเทพ ฯ ความเปลี่ยนแปลงสมยั รัชกาลที่ ๕ ทรงปฎิรูปการปกครองเพ่ือรวบรวมอาํ นาจ เขา้ สู่ส่วนกลาง การปฎิรูปการปกครองสรุปเป็นข้นั ๆ คือ การบริหารราชการส่วนกลาง ๑ . ต้งั สภาการแผน่ ดิน ๑.๑ รัฐมนตรีสภา สมาชิกสภาน้ีประกอบดว้ ยขนุ นางผใู้ หญท่ ี่มีบรรดาศกั ด์ิช้นั พระยาท้งั ส้ิน ไม่มี เจา้ พระยาหรือพระบรมวงศานุวงศ์ มีสมาชิก ๑๒ คน รัฐมนตรีสภาน้ีทาํ หนา้ ท่ีถวายคาํ ปรึกษาเร่ืองราชการแผน่ ดิน พจิ ารณาร่างพระราชบญั ญตั ิ พระราชกาํ หนดกฎหมายต่างๆ ๑.๒ องคมนตรีสภา ทาํ หนา้ ที่เป็นสภาท่ีปรึกษาราชการในพระองคแ์ ละมีหนา้ ท่ีช่วยปฎิบตั ิราชการแผน่ ดิน แต่ การต้งั ท้งั สองสภาข้ึนน้ี ไมส่ ามารถบรรลุผลสมดงั พระราชประสงคไ์ ด้ เพราะสมาชิกไมร่ ู้จกั และเขา้ ใจในการพดู อภิปราย งานของสภาจึงไมส่ ามารถดาํ เนินได้ สภาท้งั สองน้ีต้งั อยไู่ ดไ้ ม่นานจึงเลิกลม้ ไป ๒. ปฎิรูปองคก์ ารบริหารทรงจดั ต้งั กระทรวงเพิ่มข้ึนใหมอ่ ีก ๖ กระทรวง รวมกบั ของเดิมท่ีมีอยแู่ ลว้ ๖ กระทรวงรวมเป็นจาํ นวนท้งั ส้ิน ๑๒ กระทรวง ซ่ึงตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๓๕ กรมต่าง ๆ เหล่าน้ีไดร้ ับการยกฐานะข้ึน เป็นกระทรวง และตาํ แหน่งเจา้ กระทรวงคือ เสนาบดี กรมท่ีมีอยเู่ ดิม ไดแ้ ก่ ๑. กรมมหาดไทย มีอาํ นาจและหนา้ ที่ บงั คบั บญั ชาหวั เมืองฝ่ ายเหนือ และเมืองลาวประเทศราช ๒. กรมพระกลาโหม มีอาํ นาจและหนา้ ท่ีบงั คบั บญั ชาหวั

เมืองฝ่ ายใต้ ตะวนั ออก ตะวนั ตก และ เมืองมลายปู ระเทศราช ๓. กรมทา่ มีอาํ นาจและหนา้ ที่บงั คบั บญั ชากรมท่า อยา่ งเดียว ไม่ตอ้ งบงั คบั บญั ชาหวั เมือง ๔. กรมวงั มีอาํ นาจและหนา้ ท่ีบงั คบั บญั ชาเก่ียวกบั ในพระราชสาํ นกั และ กรมที่ใกลเ้ คียงราชการ ในพระองค์ ๕. กรมเมือง มีอาํ นาจและหนา้ ท่ีบงั คบั บญั ชาการโปลิสและ การบญั ชีคน คือ กรมสุรัสวดี และควบคุมคนโทษ ๖. กรมนา มีอาํ นาจและหนา้ ที่บงั คบั บญั ชาการเพาะปลูกและการคา้ ขาย การป่ าไม้ บ่อแร่ กรมที่ต้งั ข้ึนใหม่ ๑. กรมพระคลงั มีอาํ นาจและหนา้ ท่ีบงั คบั บญั ชาการภาษอี ากรและการเงินที่เป็ นรายรับ รายจ่ายของแผน่ ดิน ๒. กรมยตุ ิธรรม มีอาํ นาจและหนา้ ท่ีบงั คบั บญั ชาการศาลสาํ หรับที่จะชาํ ระความรวมกนั ท้งั คดี แพ่ง อาญา นครบาล และอุทธรณ์ท้งั แผน่ ดิน ๓. กรมยทุ ธนาธิการ มีอาํ นาจและหนา้ ที่บงั คบั บญั ชาการทหารบก และทหารเรือ ซ่ึงจะมีผบู้ ญั ชาการทหารบกทหารเรือต่างหากอีกดว้ ย ๔ .กรมธรรมการ มีอาํ นาจและหนา้ ที่บงั คบั บญั ชาเก่ียวกบั พระสงฆ์ โรงเรียนและโรงพยาบาลทว่ั พระราชอาณาจกั ร ๕. กรมโยธาธิการ มีอาํ นาจและหนา้ ที่ บงั คบั บญั ชาเกี่ยวกบั การก่อสร้าง ทาํ ถนน ขดุ คลอง และการช่างทว่ั ไป ไปรษณียโ์ ทรเลข การรถไฟ ๖. กรมมุรธาธร มีอาํ นาจและหนา้ ท่ีเป็นพนกั งานรักษาพระราชลญั จกร รักษาพระราชกาํ หนดกฎหมาย และหนงั สือราชการท้งั ปวง ตอ่ มาไดท้ รงแกไ้ ขปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผน่ ดินใหเ้ รียบร้อยรัดกุมดียง่ิ ข้ึน ในตอนปลายรัชกาลเหลือ กระทรวงต่างๆอยู่ ๑๐ กระทรวง คือ ๑. กระทรวงมหาดไทย ๒. กระทรวงกลาโหม ๓. กระทรวงนครบาล ๔. กระทรวงการต่างประเทศ ๕. กระทรวง พระคลงั มหาสมบตั ิ ๖. กระทรวงวงั ๗. กระทรวงเกษตราธิการ ๘. กระทรวงยตุ ิธรรม ๙. กระทรวงโยธาธิการ ๑๐. กระทรวงธรรมการ การบริหารส่วนภมู ิภาค จดั เป็นมณฑลเทศาภิบาล ใหอ้ ยใู่ นความปกครองดูแลของกระทรวงมหาดไทย ท้งั หมด แต่ละมณฑลประกอบดว้ ยเมืองตา่ งๆหลายเมืองมารวมกนั ใน พ.ศ. ๒๔๔๙ จดั แบ่งเป็น๑๘ มณฑล เช่น มณฑลกรุงเทพฯ มณฑลพษิ ณุโลก มณฑลปราจีน มณฑลราชบุรี มณฑลนครราชสีมา ฯลฯ แต่ละมณฑลมี กอง ขา้ หลวงเทศาภิบาล ออกไปทาํ หนา้ ท่ีปกครองดูแลประจาํ มณฑลคณะส่วนการปกครองทอ้ งท่ีไดจ้ ดั แบง่ เป็น หมู่บา้ น มีผใู้ หญบ่ า้ นปกครอง ,ตาํ บล มีกาํ นนั ปกครอง ,อาํ เภอ มีนายอาํ เภอปกครอง,เมือง มีเจา้ เมืองปกครอง มณฑล มีขา้ หลวงเทศาภิบาลปกครอง การปกครองแบบน้ีทาํ ใหป้ ระชาชนในทอ้ งถ่ินไดร้ ู้จกั วถิ ีทางประชาธิปไตยข้นั พ้นื ฐานโดยใหม้ ีการเลือกผใู้ หญ่บา้ น กาํ นนั กนั เอง ส่วนเจา้ เมืองกจ็ ะทาํ อะไรตามใจชอบไม่ไดแ้ ลว้ เพราะมีขา้ หลวงเทศาภิบาลมาคอยดูแลแทนรัฐบาล และในสมยั ก่อนที่เจา้ เมืองเป็นผกู้ ินเมืองจากภาษที ุกอยา่ ง ก็กินเฉพาะเงินเดือนขา้ ราชการเทา่ น้นั

การบริหารส่วนทอ้ งถิ่น รัชกาลท่ี ๕ ทรงให้ราษฎรมีส่วนในการปกครองและบริหารงานของทอ้ งที่ที่ตน อาศยั อยดู่ ว้ ยตนเองจึงทรงต้งั สุขาภิบาล เป็นคร้ังแรก สุขาภิบาลแห่งแรก คือ สุขาภิบาลท่าฉลอม ท่ีจงั หวดั สมทุ รสาคร เม่ือ พ. ศ . ๒๔๔๘ ไดม้ ีการต้งั คณะกรรมการ สุขาภิบาลข้ึน เก็บภาษโี รงร้านใหเ้ ป็นรายไดข้ องสุขาภิบาลจดั บาํ รุงทอ้ งท่ีของตน สุขาภิบาลมีหนา้ ที่ รักษาความสะอาดในทอ้ งถ่ิน ป้องกนั และรักษาสาธารณสมบตั ิ บาํ รุงรักษาถนนหนทาง ตลาด ใหก้ ารศึกษาช้นั ตน้ แก่ประชาชน พ.ศ. ๒๔๕๑ ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯใหป้ ระกาศใช้ พระราชบญั ญตั ิการสุขาภิบาล ร.ศ. ๑๒๗ โดยแบง่ เป็น ๒ ระดบั คือ สุขาภิบาลเมือง และ สุขาภิบาลตาํ บล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอย่หู ัว รัชกาลที่ ๖ ครองราชย์ ๑๖ ปี (พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๖๘) พระชนมายุ ๔๖ พรรษาเสด็จพระราชสมภพ เม่ือวนั ท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ มพี ระนามเดิมวา่ สมเด็จเจา้ ฟ้ามหาวชิราวธุ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้ -เจา้ อยหู่ วั และสมเด็จพระศรีพชั รินทราบรมราชินีนาถ ไดร้ ับสถาปนาเป็นสมเด็จเจา้ ฟ้า กรมขนุ เทพ ทวาราวดี เม่ือพระชนมายไุ ด้ ๘ พรรษา เมื่อพระชนมายไุ ด้ ๑๑ พรรษา ไดเ้ สดจ็ ไปศึกษาวิชาการที่ประเทศองั กฤษ ทรงศึกษาในมหาวิทยาลยั ออกซ์ฟอร์ด และศึกษาวชิ าการทหารบก ท่ีโรงเรียนนายร้อยแซนดเ์ ฮิสต์ ไดร้ ับสถาปนา เป็นสมเดจ็ พระบรม โอรสาธิราชสยามมงกฎุ ราชกุมาร เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๓๗ เสดจ็ กลบั ประเทศไทยแลว้ ทรงเขา้ รับ ราชการในตาํ แหน่งจเรทพั บก และทรงบญั ชาการทหารมหาดเลก็ ดาํ รงพระยศพลเอก เสด็จข้ึนครองราชสมบตั ิ เมื่อ วนั ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ไดท้ รงปรับปรุงดา้ นการศึกษาของไทย โปรดใหต้ ราพระราชบญั ญตั ิประถมศึกษา ใหเ้ ป็นการศึกษาภาคบงั คบั ทรงต้งั กระทรวงการทหารเรือ กองเสือป่ า และกองลูกเสือ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรมศิลปากร โรงไฟฟ้าหลวงสามเสน คลงั ออมสิน กรมสถิติพยากรณ์ กรมสรรพากร กรมตรวจเงินแผน่ ดิน กรม มหาวิทยาลยั กรมรถไฟหลวง และเปิ ดเดินรถไฟไปเชื่อมกบั มลายู ต้งั สถานเสาวภาและกรมร่างกฎหมาย ทรง เปล่ียนการใช้ รัตนโกสินทรศก (ร.ศ) เป็นพุทธศกั ราช (พ.ศ.) พระองคไ์ ดท้ รงปลูกฝังความรักชาติใหเ้ กิดข้ึนในหมู่ ประชาชาวไทย ทรงเป็นศิลปิ น และส่งเสริมงานประพนั ธ์เป็นอยา่ งมาก ทรงเป็นผนู้ าํ ในการประพนั ธว์ รรณคดีไทย ท้งั ท่ีเป็นร้อยแกว้ และร้อยกรอง ทรงเขียนหนงั สือทางดา้ นประวตั ิศาสตร์ และดา้ นการทหารไวเ้ ป็นจาํ นวนมาก ประมาณถึง ๒๐๐ เร่ือง พระองคจ์ ึงไดร้ ับถวายพระราชสมญั ญานามวา่ สมเด็จพระมหาธีรราชเจา้ ทรงเป็น นกั ปราชญท์ ่ียง่ิ ใหญ่พระองคห์ น่ึงของไทย

การปกครองประเทศ ไดท้ รงเจริญรอยตามสมเด็จพระราชบิดา สานต่องานท่ียงั ไม่เสร็จสิ้น ในรัชสมยั ของพระองค์ ไดเ้ กิดสงครามโลกคร้ังท่ี ๑ โดยมีสมรภูมิอยใู่ นทวีปยโุ รป ทรงตดั สินพระทยั ประกาศสงครามกบั เยอรมนั โดยเขา้ ร่วมกบั สมั พนั ธมิตร ไดส้ ่งทหารไทยไปร่วมรบ ณ ประเทศฝร่ังเศส ผลท่ีสุดไดเ้ ป็นฝ่ ายชนะสงคราม ทาํ ใหไ้ ทย ไดร้ ับการแกไ้ ขสนธิสญั ญา ท่ีไทยเสียเปรียบต่างประเทศไดเ้ ป็นอนั มาก ความเปลย่ี นแปลงสมัยรัชกาลที่ ๖ ๑. การศึกษา ๑.๑ การขยายการศึกษาถึงข้นั อุดมศึกษา โปรดใหป้ รับปรุงและขยายกิจการโรงเรียนมหาดเลก็ ที่ได้ ต้งั ข้ึนในรัชกาลท่ี ๕ ใหย้ กฐานะข้ึนเป็น โรงเรียนขา้ ราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ใหย้ กฐานะจากโรงเรียนเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ซ่ึงนบั เป็นมหาวทิ ยาลยั แห่งแรก ของเมืองไทย โดยใหอ้ ยใู่ นสงั กดั ของกระทรวงธรรมการ ๑.๒ บาํ รุงอาชีวศึกษา โปรดใหเ้ ร่ิมบาํ รุงการศึกษาทางดา้ นอาชีวะข้ึนเพ่ือเป็นการฝึกใหพ้ ลเมืองไดม้ ีความรู้ใน การประกอบอาชีพของตนตามสมควรแก่อตั ภาพ สามารถเล้ียงตวั เองได้ โดยไม่ตอ้ งหวงั พ่งึ อาชีพรับราชการ และ เพ่ือใหป้ ระชาชนท้งั หลายคลายความนิยมในการเป็ นขา้ ราชการไปดว้ ย โดยไดจ้ ดั ใหม้ ี งานแสดงศิลปหตั ถกรรม ของนกั เรียนข้ึน ไดก้ าํ เนิดโรงเรียนเพาะช่าง จดั ต้งั โรงเรียนฝึกหดั ครูสตรีข้ึนโดยพระราชทานนามวา่ “ โรงเรียน เบญจมราชาลยั ” จดั ต้งั โรงเรียนพาณิชยการข้ึนอีกดว้ ย ๑.๓ ตราพระราชบญั ญตั ิโรงเรียนราษฎร์ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๖๑ เพื่อควบคุมใหอ้ ยใู่ นความเป็นระเบียบเรียบร้อยอนั ดี และดาํ เนินการสอนตามหลกั สูตร ดงั ที่โรงเรียนประเภทอื่น ๆ ปฏิบตั ิกนั อยู่ ๑.๔ ตราพระราชบญั ญตั ิประถมศึกษา ใน พ.ศ. ๒๔๖๔ ไดโ้ ปรดใหต้ ราพระราชบญั ญตั ิประถมศึกษาข้ึน เพอ่ื บงั คบั ใหเ้ ด็กทกุ คนที่มีอายตุ ้งั แต่ ๗ ปี บริบุรณ์ข้ึนไปตอ้ งเขา้ เรียนหนงั สือในโรงเรียนจนถึงอายุ ๑๔ ปี บริบูรณ์ โดย ไมเ่ สียค่าเลา่ เรียน ๑.๕ เกิดการศึกษาประชาบาล ไดเ้ ร่ิมกาํ เนิดโรงเรียนชนิดใหม่น้ีข้ึนอีกประเภทหน่ึงคือ โรงเรียนประชาบาล อยู่ ในความดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนประเภทน้ีลว้ นเป็นโรงเรียนประถมศึกษา เงินคา่ ใชจ้ ่ายสาํ หรับ โรงเรียนประชาบาลน้ี ไดม้ าจากเงิน “ ศึกษาพลี ” ซ่ึงเรียกเก็บเป็นรายปี จากประชาชน หรือไดจ้ ากวธิ ีอื่นใดซ่ึง อุปราชหรือสมหุ เทศาภิบาลเป็นผกู้ าํ หนดข้ึน นอกจากน้ียงั อาจไดเ้ งินอุดหนุนของกระทรวงศึกษาธิการ การเก็บเงิน

ค่าศึกษาพลี ชายทุกคนที่มีอายรุ ะหวา่ ง ๑๘ – ๖๐ ปี ตอ้ งเสียเงินศึกษาพลีปี ละไมต่ ่าํ กวา่ ๑ บาท แตไ่ ม่เกิน ๓ บาท ผู้ ท่ีไดร้ ับการยกเวน้ ไมเ่ สียเงินค่าศึกษาพลี คือ ผทู้ ่ีทาํ มาหากินไม่ได้ พระภิกษสุ ามเณร บาทหลวง ทหาร ตาํ รวจ ฯลฯ ๑.๖ ต้งั โรงเรียนในพระบรมราชูปถมั ภ์ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ อาพระทยั ใส่ในการศึกษา การสร้างโรงเรียนเป็นอนั มาก พระองคท์ รงเห็นวา่ วดั น้นั มีไวม้ ากมายแลว้ ควรจะยตุ ิการสร้างกนั ได้ จึงโปรดให้ สร้างโรงเรียนข้ึนแทน ไดแ้ ก่ โรงเรียนมหาดเลก็ หลวง ( โรงเรียนวชิราวธุ วิทยาลยั ) โรงเรียนราชวิทยาลยั โรงเรียน พรานหลวง โรงเรียนมหาดเลก็ หลวงเชียงใหม่ โรงเรียนเลา่ น้ีพระองคไ์ ดพ้ ระราชทานพระราชทรัพยส์ ่วนพระองค์ ใหเ้ ป็นคา่ ใชจ้ ่ายในการดาํ รงกิจการของโรงเรียนโดยตลอด ๒. การแกไ้ ขเปลี่ยนแปลงขนบประเพณีของบา้ นเมือง ๒.๑ ใชพ้ ุทธศกั ราชเป็ นศกั ราชในราชการเนื่องจากรัตนโกสินทร์ศก หรือ ร.ศ. ซ่ึงเราใชเ้ ป็นศกั ราชในราชการมา แต่สมยั รัชกาลที่ ๕ ตวั เลขยงั เป็นจาํ นวนท่ีนอ้ ยเหลือเกิน เพราะ ร.ศ. เพ่งิ เริ่มตน้ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๒๕ น่ีเอง ถา้ ตอ้ งการ นบั ถอยหลงั ในเหตุการณ์ท่ีล่วงมาแลว้ เป็นร้อยปี ยอ่ มเกิดความยงุ่ ยาก และอีกประการหน่ึงคือ นานาอารยประเทศ ท้งั หลายน้นั เขาลว้ นใชศ้ กั ราชของศาสนาท่ีเขานบั ถือท้งั ส้ิน จึงโปรดใหใ้ ชพ้ ุทธศกั ราชเป็นศกั ราชในราชการ และ โปรดใหว้ นั ท่ี ๑ เมษายนเป็นวนั ข้ึนปี ใหม่ดว้ ย ต้งั แต่ พ.ศ.๒๔๕๖ เป็นตน้ มา ๒.๒ ตราพระราชบญั ญตั ิขนานนามสกลุ ทรงเห็นวา่ บรรดาชนชาติท้งั หลายที่มีความเจริญแลว้ ยอ่ มมีชื่อสกลุ ใช้ กนั เป็นหลกั ฐาน และนามสกลุ น้ียงั มีประโยชน์ในการกาํ หนดชื่อเรียกของบุคคลแตล่ ะคนใหแ้ น่นตายตวั ลงไปได้ กบั ยงั เป็นเครื่องเตือนใจใหบ้ คุ คลท้งั หลายเพยี รประพฤติแต่ในส่ิงที่ดีงาม เพ่อื รักษาเกียรติและศกั ด์ิศรีของสกลุ ของ แต่ละคนอีกดว้ ย โดยใหต้ ราพระราชบญั ญตั ิข้ึนเมื่อ วนั ที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ และเร่ิมใชบ้ งั คบั ต้งั แตว่ นั ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ ๒.๓ กาํ หนดคาํ นาํ หนา้ นามสตรีสตรีของเราแตเ่ ดิมน้นั ใชค้ าํ นาํ นามกนั วา่ “ อาํ แดง ” ทรงดาํ ริวา่ ไม่เหมาะสม จึง โปรดใหว้ างระเบียบคาํ นาํ หนา้ นามสตรีไวเ้ ป็นหลกั ฐาน ในพระราชกฤษฎีกาใหใ้ ชค้ าํ นาํ นามสตรี ตราเมื่อวนั ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๐ โดยกาํ หนดใหผ้ ทู้ ี่ยงั เป็นโสดอยใู่ ชค้ าํ นาํ นามของตนวา่ “ นางสาว ” และผทู้ ่ีมีสามีแลว้ นาํ หนา้ นามวา่ “ นาง ” ๒.๔ เปล่ียนแปลงการนบั เวลาแต่เดิมไทยมีการนบั เวลาเป็นโมงเป็นท่มุ ซ่ึงไม่เป็นการสะดวกแก่วงการธุรกิจใน ปัจจุบนั โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งกบั การติดต่อสื่อสารกบั ชนชาวยโุ รปและอเมริกา จึงใหเ้ ปลี่ยนระยะทุม่ โมงเป็น “ นาฬิกา ”

๒.๕ ใหใ้ ชเ้ วลามาตรฐานไดย้ ดึ ถือเอาเวลากรีนิชประเทศองั กฤษเป็นมาตรฐานในการนบั เวลา ประเทศไทยจะมี เวลาเร็วกวา่ เวลากรีนิช ๗ ชวั่ โมง จึงโปรดใหก้ าํ หนดเวลาในประเทศไทยเสียใหม่ ใหต้ รงกบั เวลาของสหพนั ธรัฐม ลายา ทาํ ใหเ้ วลาของประเทศไทยเราเร็วข้ึนกวา่ เดิม ๑๘ นาที ๒.๖ ตรากฎมนเทียรวา่ ดว้ ยการสืบสนั ตติวงศเ์ นื่องจากแต่เดิม ผใู้ ดจะเป็นพระเจา้ แผน่ ดินคนต่อไปยอ่ มแลว้ แต่ พระเจา้ แผน่ ดินองคท์ ี่สวรรคตจะมอบราชสมบตั ิให้ ดงั น้นั ยอ่ มที่จะทาํ ใหเ้ กิดความไมใ่ สงบเรียบร้อยในเร่ืองการ สืบราชสมบตั ิข้ึนมาไดจ้ ึงโปรดตรากฎมนเทียรวา่ ดว้ ยการสืบสนั ติวงศข์ ้ึนไวเ้ ป็นหลกั เม่ือพ.ศ. ๒๔๖๗ ๒.๗ เปล่ียนแปลงการแต่งกายสตรีการแตง่ กายของสตรีไทยน้ี ในสมยั รัชกาลท่ี ๕ ภายหลงั จากเสด็จประพาส ยโุ รปคราวแรก ก็ไดม้ ีการเปล่ียนแปลงไปตามชาวตะวนั ตกเป็นอนั มาก คร้ันมาในราวตอนกลางสมยั รัชกาลท่ี ๖ น้ี สตรีไทยริเร่ิมนิยมการไวผ้ มยาวเกลา้ เป็นมวย หรือไวผ้ มบ๊อบแบบชาวตะวนั ตก ไดเ้ ร่ิมนุ่งผา้ ซิ่นเป็นผา้ ถุงแทนโจง กระเบน พระองคไ์ ดโ้ ปรดใหส้ ตรีในพระราชสาํ นกั ของพระองคแ์ ต่งกายตามแบบดงั กลา่ วน้ีต้งั แตเ่ ม่ือปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ๓. การใชธ้ งไตรรงค์ มีประกาศของราชการเมื่อวนั น้ี ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ใหใ้ ชธ้ งไตรรงคเ์ ป็นธงชาติ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอย่หู ัวรัชกาลที่ ๗ ครองราชย์ ๙ ปี (พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๗) พระชนมายุ ๔๘ พรรษา เสดจ็ พระราชสมภพเม่ือวนั ท่ี ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๖ มีพระนามเดิมวา่ สมเด็จเจา้ ฟ้าประชาธิปกศกั ดิเดชน์ เป็นพระราชโอรสพระองคเ์ ลก็ ของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และสมเด็จศรีพชั รินทราบรมราชินีนาถ ไดร้ ับสถาปนาเป็นกรมขนุ สุโขทยั ธรรมราชา เม่ือพระชนมายไุ ด้ ๑๒ พรรษา ไดเ้ สดจ็ ไปศึกษาวชิ าการทหารบก ท่ีประเทศองั กฤษ และฝร่ังเศส สาํ เร็จการศึกษา แลว้ เสดจ็ กลบั ประเทศไทย เขา้ รับราชการท่ีกองพนั ทหารปื นใหญ่ ที่ ๑ รักษาพระองค์ ในตาํ แหน่งผบู้ งั คบั กองร้อย ตอ่ มาไดร้ ับราชการในตาํ แหน่ง ผบู้ งั คบั การโรงเรียนนายร้อยทหารบกช้นั ปฐม ปลดั กรมเสนาธิการทหารบก ผู้ บญั ชาการกองพลทหารบกที่ ๒ แลว้ ไดท้ รงกรมเป็ นกรมหลวงสุโขทยั ธรรมราชา เสด็จข้ึนครองราชสมบตั ิ เมื่อ วนั ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ในช่วงเวลาที่ เศรษฐกิจของประเทศและของโลกกาํ ลงั ทรุดหนกั อนั เป็นผล เน่ืองมาจากสงครามโลก คร้ังที่ ๑ ซ่ึงพระองคก์ ไ็ ดท้ รงแกไ้ ขอยา่ งเตม็ พระกาํ ลงั ความสามารถจนประเทศไทย ได้ รอดพน้ จากวิกฤติการณ์น้นั ได้ ในรัชสมยั ของพระองค์ ไทยสามารถติดต่อกบั นานาประเทศทางวิทยุ และโทรเลขไดโ้ ดยทวั่ ไปเป็นคร้ังแรก ทรง พระราชทานนามหอสมุดแห่งชาติ พมิ พพ์ ระไตรปิ ฎกเล่มใหม่ สร้างโรงเรียนวชิราวธุ วทิ ยาลยั เปิ ดเดินรถไฟไปถึง

ชายแดนไทยติดต่อกบั เขมร แกไ้ ขระบบการจดั เก็บภาษอี ากรใหม่ ต้งั สถานีวทิ ยกุ ระจายเสียงแห่งประเทศไทย ประกาศพระราชบญั ญตั ิเงินตรา และทรงตรากฎหมายอื่น ๆ อีกเป็นจาํ นวนมาก สร้างสะพานพระปฐมบรมราชา นุสรณ์ (สะพานพระพุทธยอดฟ้า ฯ) วนั ท่ี ๒๔ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎร์ ไดป้ ฏิวตั ิเปล่ียนแปลงการ ปกครอง ตอ่ มาเมื่อวนั ที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พระองคไ์ ดต้ ดั สินพระทยั สละราชสมบตั ิ ต่อมาไดเ้ สด็จสวรรคต เม่ือวนั ที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ณ ประเทศองั กฤษ พระราชหตั ถเลขาท่ีทรงลาออกจากราชบลั ลงั ค์ มีความ ตอนหน่ึงวา่ \"ขา้ พเจา้ มีความเตม็ ใจที่จะสละอาํ นาจอนั เป็นของขา้ พเจา้ อยเู่ ดิมใหแ้ ก่ราษฎรโดยทว่ั ไป แตข่ า้ พเจา้ ไม่ ยนิ ยอมยกอาํ นาจท้งั หลายของขา้ พเจา้ ใหแ้ ก่ผใู้ ด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใชอ้ าํ นาจโดยสิทธิขาดและโดยไมฟ่ ังเสียง อนั แทจ้ ริงของประชาราษฎร\" การปฏิวตั ิสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ คือการปฏิวตั ิเพ่ือเปล่ียนแปลงการปกครองของ ประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยไ์ ปเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร ในวนั ที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ การเตรียมการเปล่ียนแปลงกองกาํ ลงั ของคณะราษฎร ถา่ ย ณ บริเวณหนา้ วงั ปารุสกวนั คณะราษฎรไดม้ ีการประชุม เตรียมการหลายคร้ัง รวมถึงไดม้ ีการลม้ เลิกแผนการบางแผนการ เช่น การเขา้ ยดึ อาํ นาจในวนั พระราชพธิ ีถือน้าํ พพิ ฒั นส์ ัตยาซ่ึงตรงกบั วนั ท่ี ๑๖ มิถุนายน แต่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง จนกระทงั่ สุดทา้ ยไดข้ อ้ สรุปวา่ จะดาํ เนินการ ในเชา้ วนั ศุกร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ซ่ึงเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสด็จประทบั ที่วงั ไกลกงั วล ทาํ ใหเ้ หลือขา้ ราชการเพียงไมก่ ่ีคนอยใู่ นกรุงเทพในการวางแผนดงั กลา่ วกระทาํ ท่ีบา้ น ร.ท. ประยรู ภมรมนตรี ในวนั ท่ี ๑๒ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยมีเป้าหมายสาํ คญั ในการวางแผนควบคุมสมเดจ็ เจา้ ฟ้ากรมพระ นครสวรรคว์ รพินิต ซ่ึงเป็ นผสู้ าํ เร็จราชการรักษาพระนคร โดยมีการเลื่อนวนั เขา้ ดาํ เนินการหลายคร้ังเพอ่ื ความ พร้อมประชาชนหลง่ั ไหลเขา้ มาดูเหตกุ ารณ์ ณ ลานพระราชวงั ดุสิตหลงั จากน้นั ยงั ไดม้ ีการประชุมกาํ หนดแผนการ เพม่ิ เติมอีกที่บา้ นพระยาทรงสุรเดช โดยมีการวางแผนวา่ ในวนั ที่ ๒๔มิถนุ ายนจะดาํ เนินการอยา่ งไร และมีการแบ่ง งานใหแ้ ต่ละกลมุ่ แบง่ ออกเป็น ๔ หน่วยดว้ ยกนั คือ หน่วยท่ี ๑ ทาํ หนา้ ท่ีทาํ ลายการส่ือสารและการคมนาคมท่ีสาํ คญั เช่น โทรศพั ท์ โทรเลข ดาํ เนินการโดยท้งั ฝ่าย ทหารบกและพลเรือน ทหารบกจะทาํ การตดั สายโทรศพั ทข์ องทหาร ส่วนโทรศพั ทก์ ลางท่ีวดั เลียบมี นายควง อภยั วงศ์ นายประจวบ บนุ นาค นายวลิ าศ โอสถานนท์ ดาํ เนินการ โดยมีทหารเรือทาํ หนา้ ที่อารักขา ส่วนสายโทรศพั ท์ และสายโทรเลขตามทางรถไฟและกรมไปรษณียเ์ ป็ นหนา้ ท่ีของ หลวงสุนทรเทพหสั ดิน หม่อมหลวงอุดม สนิท วงศ์ หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ เป็นตน้ ซ่ึงหน่วยน้ียงั รับผดิ ชอบคอยกนั มิใหร้ ถไฟจากต่างจงั หวดั แลน่ เขา้ มาดว้ ย โดยเร่ิมงานต้งั แต่เวลา ๐๖.๐๐ น.

หน่วยท่ี ๒ เป็นหน่วยเฝ้าคุม โดยมากเป็นฝ่ ายพลเรือนผสมกบั ทหาร ทาํ หนา้ ที่ควบคุมตวั เจา้ นายและบุคคลสาํ คญั ตา่ ง ๆ เช่น สมเด็จเจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรคว์ รพนิ ิต จากวงั สวนผกั กาดมายงั พระท่ีนงั่ อนนั ตสมาคม พระประยทุ ธ์ อริยนั่ จากกรมทหารบางซื่อ เป็นตน้ นอกจากน้ียงั มีการวางแผนใหเ้ ตรียมรถยนตส์ าํ หรับลากปื นใหญ่มาต้งั เตรียมพร้อมไว้ โดยทาํ ทีท่าเป็นตรวจตรารถยนตอ์ ีกดว้ ย โดยหน่วยน้ีดาํ เนินงานโดย นายทวี บณุ ยเกตุ นายจรูญ สืบ แสง นายต้วั ลพานุกรม หลวงอาํ นวยสงคราม เป็นตน้ โดยฝ่ ายน้ีเร่ิมงานต้งั แต่เวลา ๐๑.๐๐ น. หน่วยที่ ๓ เป็นหน่วยปฏิบตั ิการเคลื่อนยา้ ยกาํ ลงั ซ่ึงทาํ หนา้ ที่ประสานท้งั ฝ่ ายทหารบกและทหารเรือ เช่น ทหารเรือ จะติดไฟเรือรบ และเรือยามฝั่ง ออกเตรียมปฏิบตั ิการณ์ตามลาํ น้าํ ไดท้ นั ที หน่วยท่ี ๔ เป็นฝ่าย \" มนั สมอง \" มี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหวั หนา้ ทาํ หนา้ ท่ีร่างคาํ แถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลกั กฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ รวมท้งั การเจรจากบั ตา่ งประเทศเพื่อทาํ ความเขา้ ใจภายหลงั การ ปฏิบตั ิการสาํ เร็จแลว้ แมว้ า่ ทางคณะราษฎรจะพยายามที่ทาํ ลายหลกั ฐานต่าง ๆ แลว้ ยงั มีขา่ วเลด็ รอดไปยงั ทาง ตาํ รวจ ซ่ึงไดอ้ อกหมายจบั กลมุ่ ผกู้ ่อการ ๔ คน คือ หลวงประดิษฐม์ นูธรรม พ.ต. หลวงพิบลู สงคราม ร.ท. ประยรู ภมรมนตรี และ นายต้วั ลพานุกรม อยา่ งไรกต็ ามเม่ือนาํ เขา้ แจง้ แก่สมเด็จเจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรค์ วรพินิต กถ็ กู ระงบั เร่ืองไวก้ ่อน เน่ืองจากไมท่ รงเห็นวา่ น่าจะเป็นอนั ตราย และใหท้ าํ การสืบสวนใหช้ ดั เจนก่อน ภูมิหลงั ทางประวตั ิศาสตร์สังคมอาจกล่าวไดว้ า่ \"กบฏ ร.ศ. ๑๓๐\" เป็นแรงขบั ดนั ใหค้ ณะราษฎร ก่อการปฏิบตั ิ เปล่ียนแปลงการปกครอง โดยภายหลงั การยดึ อาํ นาจแลว้ พระยาพหลพลพยหุ เสนาไดเ้ ชิญผนู้ าํ การกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ไปพบและกล่าวกบั ขนุ ทวยหาญพิทกั ษ์ (เหลง็ ศรีจนั ทร์) วา่ \"ถา้ ไม่มีคณะคุณ ก็เห็นจะไม่มีคณะผม\" และหลวง ประดิษมนูธรรมก็ไดก้ ล่าวในโอกาสเดียวกนั วา่ \"พวกผมถือวา่ การปฏิวตั ิคร้ังน้ีเป็นการกระทาํ ต่อเน่ืองจากการ กระทาํ เม่ือ ร.ศ. ๑๓๐\" พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั อานนั ทมหิดลรัชกาลที่ ๘ ครองราชย์ ๑๓ ปี (พ.ศ.๒๔๗๗- ๒๔๘๙) พระชนมายุ ๒๑ พรรษาเสดจ็ พระราชสมภพ เม่ือ วนั ท่ี ๒๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ณ เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนั ทรงเป็นพระราชโอรสองคท์ ่ีสองของสมเดจ็ พระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรม บรมราชชนก และสมเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อพระชนมายไุ ด้ ๓ เดือน ไดต้ ามเสดจ็ พระบรมชนกนาถและพระราชมารดา ไปประทบั อยู่ ณ ประเทศฝร่ังเศสและสหรัฐอเมริกา จนพระชนมายไุ ด้ ๓ พรรษา จึงเสด็จกลบั ประเทศไทย เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลงั เปล่ียนแปลงการปกครอง สมเด็จพระราชชนนีไดน้ าํ เสด็จไปประทบั อยู่ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เม่ือพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสละราชสมบตั ิ เมื่อ วนั ที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ข้ึนครองราชย์ เมื่อพระชนมายไุ ด้

๑๐พรรษา จึงตอ้ งมีคณะผสู้ าํ เร็จราชการแผน่ ดินปฏิบตั ิหนา้ ที่แทนพระองค์ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหม่ืนอนุวรรตน์ จาตรุ งต์ เป็นประธาน ตอ่ มาพระองคเ์ จา้ อาทิตยท์ ิพอาภา เป็น ประธาน พระองคม์ ีน้าํ พระราชหฤทยั เป่ี ยมดว้ ยพระ เมตตากรุณาในพสกนิกร โปรดการ ศึกษา การกีฬา การช่างและการดนตรี ไดเ้ สดจ็ ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวติ - เซอร์แลนด์ เม่ือสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ สงบ ไดเ้ สด็จนิวตั ิประเทศไทย เมื่อวนั ท่ี ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ผสู้ าํ เร็จ ราชการแทนพระองค์ จึงไดถ้ วายราชกิจ เพื่อใหท้ รงบริหารโดยพระราชอาํ นาจ เมื่อวนั ที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ ไดเ้ กิดเหตกุ ารณ์อนั ไมค่ าดฝัน พระองคต์ อ้ งอาวธุ ปื น เสดจ็ สวรรคต ณ ท่ีนงั่ บรมพมิ านในพระบรมมหาราชวงั ยงั ความเศร้าสลด และความอาลยั รักจากพสกนิกรเป็นที่ยง่ิ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระมหากษตั ริยร์ ัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศจ์ กั รี เสด็จข้ึน ครองราชยต์ ้งั แต่ ๙ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๙ จนถึงปัจจุบนั ทรงพระสถานะประมุขแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั ร โดยมีสถิติวา่ ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐท่ีมีพระชนมชีพอยแู่ ละทรงอยใู่ นตาํ แหน่งยาวนานท่ีสุดในโลก พระองคไ์ ดร้ ับการถวายพระราชสมญั ญาวา่ สมเด็จพระภทั รมหาราช มีความหมายวา่ พระมหากษตั ริยผ์ ปู้ ระเสริฐยง่ิ ต่อมามีการถวายพระราชสมญั ญาใหม่วา่ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เม่ือ พ.ศ. ๒๕๓๐ และ พระภมู ิพลมหาราช อนุโลมตามธรรมเนียมเช่นเดียวกบั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ท่ีทรงไดร้ ับ พระราชสมญั ญาวา่ พระปิ ยมหาราช อน่ึง ประชาชนทว่ั ไปนิยมเรียกพระองคว์ า่ ในหลวง คาํ ดงั กลา่ วคาดวา่ ยอ่ มา จาก \"ใน (พระบรมมหาราชวงั ) หลวง\" บา้ งกว็ า่ เพ้ยี นมาจากคาํ วา่ \"นายหลวง\" ซ่ึงแปลวา่ เจา้ นายผเู้ ป็นใหญ่ พระราชประวตั ิพระบรมฉายาลกั ษณ์ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั (ขวา) สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี (กลาง) และ พระเชษฐาธิราช ถา่ ยเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๘๑ โดยมี กรมพระยาชยั นาทนเรนทร ทรงเป็นผฉู้ ายพระรูป สามารถเห็นพระองคใ์ นกระจกดา้ นหลงั ซ่ึงพระองคไ์ ดป้ ระทบั นงั่ อยู่ ตรงขา้ ม และสมเดจ็ ยา่ น้นั พระองคไ์ ด้ ประทบั อยทู่ างซา้ ยติดกบั พระเชษฐาธิราชพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภมู ิพลอดุลยเดชมหาราช เสดจ็ พระราช สมภพในราชสกุลมหิดล อนั เป็นสายหน่ึงในพระบรมราชจกั รีวงศ์ พระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมาทอ์ อเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวนั จนั ทร์ เดือนอา้ ย ข้ึน ๑๒ ค่าํ ปี เถาะ นพศก จุลศกั ราช ๑๒๘๙ ตรงกบั วนั ที่ ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ เหตทุ ่ีพระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา เน่ืองจากพระบรมราชชนก และพระบรมราชชนนี กาํ ลงั ทรงศึกษาวิชาการอยทู่ ่ีนนั่ ใกลส้ ถานที่พระราชสมภพ มีจตั รุ ัสแห่งหน่ึงซ่ึง นายกเทศมนตรีเมืองเคมบริดจ์ ขอพระราชทานพระนามวา่ “จตั รุ ัสภูมิพลอดุลเดช”(KingBhumibolAdulyadej Square) เพ่ือเป็นเกียรติแก่เมืองเคมบริดจ์ และโรงพยาบาลอนั เป็นที่พระราชสมภพ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟ้าจุฬา

ภรณวลยั ลกั ษณ์ อคั รราชกุมารี ไดเ้ สด็จไปทรงรับมอบในพิธีอุทิศจตั ุรัสเมื่อวนั ท่ี ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๓ ตอ่ มา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ ฯ ไปทรงเปิ ดผา้ แพรคลุมป้ายแผน่ จารึกพระราชประวตั ิ เม่ือวนั ท่ี ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๕ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู ิพลอดุลยเดชเป็นพระโอรสองคท์ ี่ ๓ ในสมเด็จเจา้ ฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวง สงขลานครินทร์ (สมเดจ็ พระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวกิ รม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาล ตะละภฎั (ชู กระมล) (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ทรงมีพระนามขณะน้นั วา่ พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ภมู ิพลอดุล เดช ทรงมีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจา้ พ่ีนางเธอ เจา้ ฟ้ากลั ยาณิ วฒั นา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล สมเดจ็ พระศรีนค รินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองคเ์ ป็นการลาํ ลองวา่ เลก็ พระนาม ภูมิพลอดุลเดช ไดร้ ับ พระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เม่ือวนั ท่ี ๑๔ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ โดยทรง กาํ กบั ตวั สะกดภาษาองั กฤษวา่ Bhumibala Aduladeja โดยในระยะแรกสะกดเป็นภาษาไทยวา่ \"ภูมิพลอดุลเดช\" ตอ่ มาทรงเขียนวา่ \"ภมู ิพลอดุลยเดช\" ทรงเขียนท้งั สองแบบ จนมานิยมใชแ้ บบหลงั ซ่ึงมีตวั \"ย\" สะกด มาจนถึง ปัจจุบนั เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๑ ไดเ้ สดจ็ กลบั สู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซ่ึงทรงสาํ เร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตร บณั ฑิตเกียรตินิยม มหาวิทยาลยั ฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา พร้อมดว้ ยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเดจ็ พระพี่นางเธอ และสมเดจ็ พระเชษฐาธิราช โดยประทบั ณ วงั สระปทมุ ต่อมาวนั ท่ี ๒๔ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรม ราชชนกสวรรคต ขณะท่ีพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระชนมายไุ มถ่ ึง ๒ ปี การศึกษา พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่อเจริญพระชนมายไุ ด้ ๕ ปี เสดจ็ เขา้ ศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี จนถึงเดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงเสดจ็ พระราชดาํ เนินไปประทบั ณ เมืองโลซาน ประเทศสวติ เซอร์แลนด์ พร้อมดว้ ย พระบรมราชชนนี พระเชษฐภคินี และสมเดจ็ พระบรมเชษฐาธิราช เพ่อื การศึกษาและพระพลานามยั ของสมเดจ็ พระบรมเชษฐาธิราช จากน้นั ทรงเขา้ ศึกษาตอ่ ช้นั ประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือน กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ทรงศึกษาวิชาภาษาฝร่ังเศส ภาษาเยอรมนั และภาษาองั กฤษ แลว้ ทรงเขา้ ช้นั มธั ยมศึกษาใน โรงเรียนเอกอล นูเวล เดอ ลา ซืออิส โรมองต์ เมืองแชลลี-ซือ-โลซาน พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่อพระองคเ์ จา้ อานนั ทมหิดล ผเู้ ป็นพระบรมเชษฐาธิราช เสดจ็ ข้ึนครองราชยเ์ ป็นพระมหากษตั ริย์ รัชกาลท่ี ๘ แห่งราชวงศจ์ กั รี ทรงไดร้ ับการสถาปนาฐานนั ดรศกั ด์ิเป็น สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าภูมิพลอดุย เดช เม่ือวนั ที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ ไดโ้ ดยเสด็จฯ สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหิดล เสด็จนิวตั ประเทศไทย เป็นเวลา ๒ เดือน โดยประทบั ที่พระตาํ หนกั จิตรลดารโหฐาน พระราชวงั ดุสิต จากน้นั เสดจ็ กลบั ไปศึกษาต่อที่ สวติ เซอร์แลนดจ์ นถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ทรงรับประกาศนียบตั รทางอกั ษรศาสตร์ จากโรงเรียนยมิ นาส คลาซีค กงั โต นาล แลว้ ทรงเขา้ ศึกษาตอ่ ณ มหาวทิ ยาลยั โลซาน แผนกวทิ ยาศาสตร์ โดยเสด็จนิวตั ประเทศไทยเป็นคร้ังที่สอง ประทบั ณ พระท่ีนง่ั บรมพมิ าน ในพระบรมมหาราชวงั เสดจ็ ข้ึนครองราชย์ เหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลท่ี ๘ วนั ที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหา อานนั ทมหิดลเสด็จสวรรคตอยา่ งกะทนั หนั โดยตอ้ งพระแสงปื นท่ีพระกระหมอ่ ม ณ พระที่นงั่ บรมพมิ าน สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ไดต้ ดั สินพระทยั รับตาํ แหน่งพระมหากษตั ริย์ เสด็จข้ึนครองราชสมบตั ิ สืบราชสนั ตติวงศใ์ นวนั เดียวกนั น้นั แต่เนื่องจากยงั มีพระราชกิจดา้ นการศึกษา จึงทรงอาํ ลาประชาชนชาวไทย เสด็จพระราชดาํ เนินไปศึกษาตอ่ ณ มหาวทิ ยาลยั แห่งเดิม แต่เปล่ียนสาขาจากวทิ ยาศาสตร์ ไปเป็นสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ซ่ึงจาํ เป็นสาํ หรับตาํ แหน่งประมขุ ของประเทศการตดั สินพระทยั ของพระบาทสมเดจ็ พระ เจา้ อยหู่ วั ไม่เพียงแต่ทาํ ใหป้ ระเทศไทยและคนไทยคลายความโศกเศร้า จากการท่ีตอ้ งเสียพระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหิดลเท่าน้นั แตย่ งั ทาํ ใหป้ ระเทศไทยไดพ้ ระเจา้ อยหู่ วั พระองคใ์ หม่ ที่ทรงมีพระราชปณิธานอนั แน่วแน่ ที่จะอุทิศพระวรกายและพระราชหฤทยั เพื่อประโยชนส์ ุขของประชาชน ทรงต้งั พระราชสัตยาธิษฐาน ในพระราชพธิ ีบรมราชาภิเษกเดิมทีพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงต้งั พระราช หฤทยั วา่ จะทรงครองราชสมบตั ิเฉพาะในช่วงการจดั งานพระบรมศพของพระบรมเชษฐาเทา่ น้นั เพราะยงั ทรงพระ เยาวแ์ ละไมเ่ คยเตรียมพระองคใ์ นการเป็นพระมหากษตั ริยม์ าก่อน เหตุการณ์หน่ึงเกิดข้ึนในขณะท่ีพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ประทบั รถพระที่นง่ั เสดจ็ พระราชดาํ เนินไปยงั สนามบินดอนเมือง เพ่ือทรงศึกษาเพิ่มเติมท่ี สวติ เซอร์แลนด์ ทรงไดย้ นิ เสียงราษฎรคนหน่ึงตะโกนลน่ั วา่ \"ในหลวง อยา่ ทิง้ ประชาชน\" ทาํ ใหท้ รงนึกตอบ บุคคลผนู้ ้นั ในพระราชหฤทยั วา่ \"ถา้ ประชาชนไมท่ ิง้ ขา้ พเจา้ แลว้ ขา้ พเจา้ จะทิง้ ประชาชนอยา่ งไรได\"้ เป็นเร่ืองน่า อศั จรรยใ์ จวา่ ตอ่ มาอีกประมาณ ๒๐ ปี ขณะทรงเยย่ี มราษฎรในตา่ งจงั หวดั ทรงไดพ้ บชายผรู้ ้องตะโกนคนน้นั ชาย ผนู้ ้นั กราบบงั คมทลู วา่ ท่ีเขาร้องตะโกนออกไปเช่นน้นั เพราะรู้สึกวา้ เหวแ่ ละใจหาย เขาเห็นพระพกั ตร์เศร้ามาก จึง ร้องไปเหมือนคนบา้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงตอบวา่ \"นน่ั แหละ ทาํ ใหเ้ รานึกถึงหนา้ ที่ จึงตอ้ งกลบั มา\" ทรงประสบอุบตั ิเหตุทางรถยนตร์ ะหวา่ งประทบั ในตา่ งประเทศ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพบกบั หม่อม ราชวงศส์ ิริกิต์ิ กิติยากร และทรงประสบอุบตั ิเหตุทางรถยนต์ เม่ือวนั ที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ไดเ้ ขา้ รักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลในเมืองโลซาน โดย ม.ร.ว. สิริกิต์ิ ไดม้ ีโอกาสเย่ยี มเป็นประจาํ จนหายประชวร นบั ต้งั แต่น้นั มาท้งั สองพระองคก์ ็มีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งใกลช้ ิด

พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงหม้นั กบั ม.ร.ว.สิริกิต์ิ เมื่อวนั ที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ เสด็จพระราชดาํ เนินนิวตั พระนครในปี ถดั มา โดยประทบั ณ พระท่ีนง่ั อมั พรสถาน ตอ่ มา วนั ที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั การพระราชพธิ ีราชาภิเษกสมรส กบั หมอ่ มราชวงศส์ ิริกิต์ิ กิติยากร ณ พระตาํ หนกั สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพนั วสั สาอยั ยกิ าเจา้ ใน วงั สระปทุม ซ่ึงในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสน้ี มีพระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนาหมอ่ ม ราชวงศห์ ญิงสิริกิต์ิ กิติยากร ข้ึนเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิต์ิพระราชพธิ ีบรมราชาภิเษก พระราชพธิ ีบรมราชาภิเษก ในรัชกาลที่ ๙ วนั ท่ี ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรด กระหม่อมใหต้ ้งั การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอยา่ งโบราณราชประเพณีข้ึน ณ พระท่ีนง่ั ไพศาลทกั ษณิ เฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบฏั วา่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช มหิตลาธิ เบศรามาธิบดี จกั รีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพติ ร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการวา่ \"เราจะ ครองแผน่ ดินโดยธรรม เพ่ือประโยชนส์ ุขแห่งมหาชนชาวสยาม\" และในโอกาสน้ี มีพระบรมราชโองการโปรด เกลา้ ฯ ใหเ้ ฉลิมพระนามาภิไธย สมเดจ็ พระราชินีสิริกิต์ิ เป็น สมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินี ทรงผนวช เม่ือ พ.ศ. ๒๔๙๙ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ฯ ออกผนวชเป็นเวลา ๑๕ วนั ระหวา่ งวนั ที่ ๒๒ ตลุ าคม - ๕ พฤศจิกายน ณ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม มีสมณนามวา่ ภูมิพโลภิกขุ และเสด็จฯ ไปประทบั จาํ พรรษา ณ พระตาํ หนกั ป้ันหยา วดั บวรนิเวศวหิ าร ระหวา่ งที่ผนวช ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินี เป็นผสู้ าํ เร็จราชการแทน พระองค์ ในภายหลงั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จึงไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ฉลิมพระนามาภิไธย เป็นสมเดจ็ พระนาง เจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ในวนั เฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธนั วาคม ปี เดียวกนั น้นั พระราชโอรส-ธิดา พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภมู ิพลอดุลยเดช และ สมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราช โอรส และพระราชธิดา ๔ พระองค์ ดงั น้ี สมเด็จพระเจา้ ลูกเธอ เจา้ ฟ้าอุบลรัตนราชกญั ญา สิริวฒั นาพรรณวดี ประสูติ ณ สถานพยาบาลมองซวั ซี นครโล ซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เม่ือวนั ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๔ ต่อมาไดท้ รงลาออกจากฐานนั ดรศกั ด์ิแห่งราชวงศ์ (ปัจจุบนั ทรงพระนามวา่ ทูลกระหมอ่ มหญิงอุบลรัตนราชกญั ญา สิริวฒั นาพรรณวดี) เพ่อื ทรงสมรสกบั นายปี เตอร์ เจนเซ่น ชาวอเมริกนั ทรงมีพระโอรส ๑ องค์ และพระธิดา ๒ องค์ สมเดจ็ พระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟ้าวชิราลงกรณ บรมจกั รยาดิศรสนั ตติวงศ เทเวศรธาํ รงสุบริบาล อภิคุณประการมหิต ลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควฒั น์ บรมขตั ติยราชกุมาร ประสูติ ณ พระท่ีนงั่ อมั พรสถาน

เม่ือวนั ที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ตอ่ มา ทรงไดร้ ับการสถาปนา ข้ึนเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้า มหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงอภิเษกสมรสกบั หม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร (ปัจจุบนั ทรงพระ นามวา่ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ โสมสวลี พระวรราชาทินดั ดามาตุ), นางสาวยวุ ธิดา ผลประเสริฐ (หรือ หม่อมสุจาริณี มหิดล ณ อยธุ ยา ปัจจุบนั คือ คุณสุจาริณี วิวชั รวงศ)์ และ นางสาวศรีรัศม์ิ อคั รพงศป์ รีชา (หรือ หมอ่ มศรีรัศม์ิ มหิดล ณ อยธุ ยา ปัจจุบนั ทรงพระนามวา่ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ศรีรัศม์ิ พระวรชายาฯ) ทรง มีพระโอรส ๑ พระองค์ กบั ๔ องค์ และ พระธิดา ๒ พระองค์ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวฒั นาดุลโสภาคย์ ประสูติ ณ พระที่นงั่ อมั พรสถาน เม่ือวนั ท่ี ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ตอ่ มา ทรงไดร้ ับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจา้ ฟ้ามหาจกั รีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิ ยชาติ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษาฯ ประจาํ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ สมเด็จพระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟ้าจุฬาภรณวลยั ลกั ษณ์ อคั รราชกุมารี ประสูติ ณ พระท่ีนง่ั อมั พรสถาน เมื่อวนั ท่ี ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ทรงอภิเษกสมรสกบั นาวาอากาศเอก วรี ะยทุ ธ ดิษยะศริน (ในขณะน้นั มียศเรืออากาศโท) ทรงมีพระธิดา ๒ พระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี สมเด็จพระ เจา้ ลูกเธอ เจา้ ฟ้าจุฬาภรณวลยั ลกั ษณ์ อคั รราชกมุ ารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกญั ญา สิริวฒั นาพรรณวดี และ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ศรีรัศม์ิ พระวรชายาฯ หน่วยที่ 11 สถาบันหลกั ของชาตไิ ทย สถาบนั หลกั ของชาติ สถาบนั หลกั ของชาติ ประกอบดว้ ย ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ ซ่ึงเป็นสถาบนั ท่ีอยกู่ บั สังคมไทย มาชา้ นาน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ สถาบนั พระมหากษตั ริยซ์ ่ึงเป็นเสาหลกั ในการสร้างชาติใหเ้ ป็นปึ กแผน่ เป็นศูนยร์ วม จิตใจของปวงชน เป็นบ่อเกิดของความรัก ความสามคั คี นาํ พาประเทศชาติใหผ้ า่ นพน้ ภยั นานาประการ ไมว่ า่ จะ เป็นภยั รุกรานของประเทศอื่น ภยั จากการล่าอาณานิคมและการแผข่ ยายลทั ธิการปกครอง อีกท้งั สถาบนั พระมหากษตั ริยม์ ีบทบาทสาํ คญั ในการพฒั นาความเป็นอยขู่ องประชาชนในทว่ั ทกุ ภูมิภาค โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ใน ทอ้ งถิ่นที่ห่างไกลส่งผลใหม้ ีการยกระดบั คุณภาพชีวิตของประชาชนในทกุ มิติ และเป็นรากฐานใหป้ ระเทศชาติมี ความมน่ั คงสืบมาจนถึงปัจจุบนั

ชนชาติไทยในอดีต จึงถือวา่ สถาบนั พระมหากษตั ริย์ เป็นสถาบนั สูงสุดของชาติท่ีมีบทบาทสาํ คญั ในการเป็นผนู้ าํ รวมประเทศชาติใหเ้ ป็นปึ กแผน่ และพระมหากษตั ริยท์ ุกพระองคป์ กครอง ดูแลและบริหารประเทศชาติโดยใช้ หลกั ธรรม ที่เป็นคาํ สอนของศาสนา ดว้ ยความเขม้ แขง็ ของสถาบนั พระมหากษตั ริย์ ท่ีมีความศรัทธาเลื่อมใสใน สถาบนั ศาสนา ท่ีเป็นเสมือนเครื่องยดึ เหน่ียวทางจิตใจใหค้ นในชาติประพฤติปฏิบตั ิในทางที่ดีงาม เพราะทกุ ศาสนา ลว้ นแต่สอนใหค้ นประพฤติ และคอยประคบั ประคองจิตใจใหด้ ีงาม มีความศรัทธาในการบาํ เพญ็ ตนตามรอยพระ ศาสดาของแต่ละศาสนา และเมื่อพระมหากษตั ริยเ์ ป็นผทู้ ี่ประพฤติตนอยใู่ นธรรม และปกครองแผน่ ดินโดยธรรม แลว้ ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ตา่ งอยดู่ ว้ ยความร่มเยน็ เป็นสุข จึงทาํ ใหส้ ถาบนั ชาติ ท่ีเป็นสญั ลกั ษณ์เปรียบเสมือนอาณา เขตผนื แผน่ ดินท่ีเราอยอู่ าศยั มีความมน่ั คง พฒั นาและยนื หยดั ไดอ้ ยา่ งเทา่ เทียมอารยประเทศ ดงั น้นั สถาบนั ชาติ สถาบนั ศาสนา และสถาบนั พระมหากษตั ริย์ จึงเป็นสถาบนั หลกั ของชาติไทย ท่ีไมส่ ามารถแยกจากกนั ได้ สามารถ ยดึ เหนี่ยวจิตใจของปวงชนชาวไทยและคนในชาตมิ าจวบจนทุกวนั น้ี “ชนชาติไทย” เป็นชนชาติที่มีรากเหงา้ ทางประวตั ิศาสตร์และความเป็นมาที่ยาวนานไมแ่ พช้ าติใดในโลก เรามี แผน่ ดินไทยที่อดุ มสมบรู ณ์ ในน้าํ มีปลา ในนามีขา้ ว มีพืชพนั ธุ์ธญั ญาหารท่ีอุดมสมบรู ณ์ มีภมู ิอากาศ และภมู ิ ประเทศท่ีเป็นชยั ภมู ิ อากาศไมร่ ้อนมาก ไม่หนาวมากมีความหลากหลายของแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ มี ท่ีราบลมุ่ แม่น้าํ ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก มีภูเขา มีทะเลที่มีความสมดุลและสมบรู ณ์เพยี บพร้อมเป็นท่ี หมายปองของนานาประเทศ นอกจากน้ี ชนชาติไทยยงั มีขนมธรรมเนียม ประเพณีและวฒั นธรรมที่ดีงาม หลากหลาย งดงาม เป็นเอกลกั ษณ์ของชาติที่โดดเด่น ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีลูกหลานไทยทุกคนควรมีความภาคภูมิใจท่ีได้ เกิดมาเป็นคนไทย ในแผน่ ดินไทย แตก่ ่อนที่จะสามารถรวมชนชาติไทยใหเ้ ป็นปึ กแผน่ ทาํ ใหล้ กู หลานไทยไดม้ ี แผน่ ดินอาศยั อยอู่ ยา่ งร่มเยน็ เป็นสุขหลายชว่ั อายคุ นมาจวบจนทุกวนั น้ี บรรพบรุ ุษของชนชาติไทยในอดีต ทา่ นได้ สละชีพเพอื่ ชาติ ใชเ้ ลือดทาแผน่ ดิน ตอ่ สูเ้ พ่อื ปกป้องดินแดนไทย กอบกเู้ อกราชดว้ ยหวงั ไวว้ า่ ลูกหลานไทยตอ้ งมี แผน่ ดินอยู่ ไมต่ อ้ งไปเป็นทาสของชนชาติอ่ืน ซ่ึงการรวมตวั มาเป็นชนชาติไทยที่มีท้งั คนไทยและแผน่ ดินไทยของ บรรพบุรุษไทยในอดีต ก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทาํ ไดโ้ ดยง่าย ตอ้ งอาศยั ความรัก ความสามคั คี ความกลา้ หาญ ความ เสียสละอดทน และสิ่งท่ีสาํ คญั คือ ตอ้ งมีศนู ยร์ วมใจท่ีเป็นเสมือนพลงั ในการต่อสูแ้ ละผนู้ าํ ที่มีความชาญฉลาดดา้ น การปกครองและการรบ คือ สถาบนั พระมหากษตั ริยท์ ่ีอยคู่ ูค่ นไทยมาชา้ นาน และหากลูกหลานไทยและคนไทยทกุ คนไดศ้ ึกษาพงศาวดารและประวตั ิศาสตร์ชาติไทย กจ็ ะเห็นวา่ ดว้ ยเดชะพระบารมีและพระปรีชาสามารถของบูรพ มหากษตั ริยข์ องไทยในอดีตที่เป็นผนู้ าํ สามารถรวบรวมชนชาติไทยใหเ้ ป็นปึ กแผน่ แมว้ า่ เราจะเคยเสียเอกราชและ ดินแดนมามากหมายหลายคร้ัง บรู พมหากษตั ริยไ์ ทยกส็ ามารถกอบกูเ้ อกราชและรวบรวมชนชาวไทยใหเ้ ป็น ปึ กแผน่ ไดเ้ สมอมา และเหนือส่ิงอ่ืนใดพระมหากษตั ริยไ์ ทยทุกพระองค์ เป็นพระมหากษตั ริยท์ ี่ปกครอง

ประเทศชาติดว้ ยพระบารมีและทศพธิ ราชธรรม ใชธ้ รรมะและคาํ สง่ั สอนของพระพุทธองคม์ าเป็นแนวในการ ปกครอง ทาํ ใหค้ นในชาตอิ ยรู่ ่วมกนั อยา่ งร่มเยน็ เป็ นสุข สมกบั คาํ ที่วา่ “ประเทศไทย เป็นประเทศแผน่ ดินธรรม แผน่ ดินทอง” แผน่ ดินธรรม หมายถึง แผน่ ดินท่ีมีผปู้ ฏิบตั ิธรรม และการปฏิบตั ิธรรมน้นั หมายถึงการปฏิบตั ิหนา้ ที่อยา่ งถกู ตอ้ ง แผน่ ดินทอง หมายถึง แผน่ ดินท่ีประชาชนไดร้ ับประโยชน์ และความสุขอยา่ งทว่ั ถึงตามควรแก่อตั ภาพ ชาติ การจะรับรู้ความเขา้ ใจในความเป็นชาติหรือความรู้สึกที่หวงแหนความเป็นชาติไดน้ ้นั ผเู้ รียนมีความจาํ เป็นท่ีจะตอ้ ง เขา้ ใจบริบทของความเป็ นชาติเสียก่อน ดงั น้ี ความหมาย ความสําคญั ของชาติ ชาติ หมายถึง กล่มุ คนท่ีมีภาษา วฒั นธรรม และเช้ือชาติ ประวตั ิศาสตร์เดียวกนั หรือใกลเ้ คียงกนั มีแผน่ ดิน อาณา เขตการปกครอง ท่ีเป็นระบบ เป็นสัดส่วน มีผนู้ าํ หรือรัฐบาลท่ีใชอ้ าํ นาจ หรือมีอาํ นาจอธิปไตยที่นาํ มาใชใ้ นการ ปกครองประชาชนตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน กลา่ ววา่ ชาติ หมายถึง ประเทศประชาชนท่ีเป็น พลเมืองของประเทศ กลมุ่ ชนที่มีความรู้สึกในเร่ืองเช้ือชาติ ศาสนา ภาษา ประวตั ิความเป็นมา ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวฒั นธรรมอยา่ งเดียวกนั หรืออยใู่ นปกครองรัฐบาลเดียวกนั “ความจงรักภกั ดีต่อชาติน้นั คือ ความสาํ นึกตระหนกั ในคุณของแผน่ ดิน อนั เป็นที่เกิดที่อาศยั ซ่ึงทาํ ให้บคุ คลเกิด ความภูมิใจในชาติกาํ เนิดและมงุ่ มนั่ ท่ีจะธาํ รงรักษาประเทศชาติไว้ ใหเ้ ป็นอิสระมน่ั คงตลอดไป” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั (รัชกาลท่ี 9) ในพธิ ีถวายสัตยป์ ฏิญาณและสวนสนามของ ทหารรักษาพระองค์ ณ ลานพระราชวงั ดุสิต 3 ธนั วาคม พ.ศ. 2529 เมื่อพจิ ารณาคาํ ท่ีมีความหมายใกลเ้ คียงกนั น้นั ก็จะพบวา่ คาํ วา่ “ชาติ” น้นั ใกลเ้ คียงกบั คาํ วา่ “ประเทศ” หรือ คาํ วา่ “รัฐ” อยไู่ มน่ อ้ ย คือ หมายถึง ชุมนุมแห่งมนุษยซ์ ่ึงต้งั อยใู่ นดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน มีอาํ นาจอธิปไตยท่ี จะใชไ้ ดอ้ ยา่ งอิสระ และมีการปกครองอยา่ งเป็นระเบียบเพ่ือประโยชน์ของบรรดามนุษยท์ ี่อยรู่ ่วมกนั ความเป็ นมาของชนชาติไทย เป็นสิ่งที่ตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจก่อนที่เก่ียวขอ้ งกบั ความเป็นมาของชนชาติไทยน้นั ยงั ไม่มีการสรุปเป็นประเดน็ ท่ี สามารถยนื ยนั ไดช้ ดั เจน เพราะการพิจารณาความเป็นมาของชนชาติไทยน้นั ตอ้ งพจิ ารณาจากหลกั ฐานหรือ

งานวจิ ยั การคน้ ควา้ ทางวิชาการที่หลากหลายจากนกั วิชาการไทยและตา่ งประเทศ อีกท้งั ยงั ตอ้ งพจิ ารณามิติทาง เอกสาร โบราณคดี เช้ือชาติหรือชาติพนั ธุ์ ภาษา และวฒั นธรรม ดงั น้ี 1) สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ ขอ้ มลู ที่ปรากฏในพระนิพนธเ์ ร่ือง “แสดงบรรยาย พงศาวดารสยาม และลกั ษณะการปกครองสยามแต่โบราณ”เป็นการนาํ ขอ้ มูลของนกั วิชาการตะวนั ตกมาประกอบ สรุปวา่ ถ่ินด้งั เดิมของชนชาติไทยอยทู่ างตอนใตข้ องจีน แถบมณฑลยนู นาน กวา่ งโจว กวางสี จนกระทง่ั จีนแผ่ อิทธิพลทางการปกครองลงมา จนทาํ ใหผ้ คู้ นในบริเวณน้นั ตอ้ งอพยพลงมาถึงบริเวณลุ่มแม่น้าํ เจา้ พระยาตอนบน 2) หลวงวจิ ิตรวาทการ ขอ้ มลู ที่เสนอผา่ นผลงานเรื่อง “งานคน้ ควา้ เรื่องชนชาติไทย” ไดอ้ ธิบายวา่ ถ่ินเดิมของชน ชาติไทยอยบู่ ริเวณตอนกลางของจีนแถบมณฑลเสฉวนต้งั ถ่ินฐานกระจดั กระจายต้งั แต่แนวแม่น้าํ พรหมบตุ รไป จนถึงทะเลจีนใตแ้ ถบอ่าวตงั เกี๋ย 3) ขอ้ มูลของจิตร ภมู ิศกั ด์ิ ผา่ นผลงานเร่ือง “ความเป็นมาของคาํ สยามไทยลาว และขอม และลกั ษณะทางสังคมของ ช่ือชนชาติ” ไดศ้ ึกษาผา่ นการวเิ คราะห์ภาษา และตาํ นานทอ้ งถ่ินของภาคเหนือ ไดส้ รุปวา่ ถ่ินกาํ เนิดของคนไทยน้นั ครอบคลมุ บริเวณกวา้ งใหญ่ทางตอนใตข้ องจีน เวียดนาม ลาว เขมร ภาคเหนือของไทย พม่า ไปจนถึงรัฐอสั สัมของ อินเดีย เน่ืองจากมีพ้นื ฐานทางนิรุกติศาสตร์ท่ีคลา้ ยคลึงกนั 4) ขอ้ มูลของศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร นกั วิชาการคนสาํ คญั ของประเทศไทย ทา่ นไดศ้ ึกษาวิเคราะหจ์ าก หลกั ฐานของชาวตะวนั ตกท้งั ทางดา้ นภาษาศาสตร์ประวตั ิศาสตร์ โบราณคดี และมานุษยวทิ ยา รวมไปถึงการลง พ้นื ที่ดว้ ยตนเอง ไดส้ รุปไวว้ า่ ถ่ินเดิมของคนไทยน่าจะอยบู่ ริเวณมณฑลกวางสี ทางใตข้ องจีน เนื่องจากในเขต ดงั กลา่ วเป็นพ้ืนที่กลุม่ ชนที่มีความหลากหลายท้งั ทางวฒั นธรรมและประเพณี ขอ้ มูลประวตั ิความเป็นมาส่วนใหญ่จะอธิบายใกลเ้ คียงกนั ในลกั ษณะของการอพยพลงใตจ้ ากจีน แลว้ แผข่ ยายลง หลกั ปักฐานอยใู่ นบริเวณกวา้ งทางภาคเหนือของไทยเกิดเป็นเมืองและเมืองขนาดใหญท่ ี่ขยายตวั เป็นอาณาจกั ร ตามมา กลา่ วอีกนยั หน่ึง ต้งั แตท่ ี่สมยั ไทยอพยพลงมาน้นั ดินแดนแหลมทองเป็ นท่ีอยขู่ องชนชาติมอญ ละวา้ ของ ขอม พวกมอญอยทู่ างตะวนั ตกของลุ่มแม่น้าํ เจา้ พระยาไปจรดมหาสมุทรอินเดีย พวกละวา้ มีอาณาเขตอยใู่ นบริเวณ ภาคกลาง มีเมืองนครปฐมเป็นเมืองสาํ คญั พอถึงพทุ ธศตวรรษที่ 14 ขอมซ่ึงอยทู่ างตะวนั ออกมีอาํ นาจมากข้ึนเขา้ ยดึ เอาดินแดนพวกละวา้ ไปไวใ้ นอาํ นาจ แลว้ แบง่ การปกครองเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนภาคเหนือ และส่วนภาคใต้ ต่อมา ในพุทธศตวรรษที่ 16 สมดุลอาํ นาจในการแยง่ ชิงพ้ืนท่ีไดเ้ ปลี่ยนแปลงไป มอญกบั ขอมสู้รบกนั จนเสื่อมอาํ นาจลง และในช่วงเวลาน้นั สุโขทยั ไดป้ รากฏข้ึนมาอยา่ งชดั เจนในหนา้ ประวตั ิศาสตร์ไทย

จากร่องรอยหลกั ฐานทางเอกสารทางประวตั ิศาสตร์ตา่ ง ๆ มีการยนื ยนั และเช่ือวา่ ประวตั ิศาสตร์ของชนชาติไทยใน แหลมทอง (Golden Khersonese) เร่ิมตน้ เมื่อประมาณ พ.ศ. 800(พทุ ธศตวรรษท่ี 8 - 12) เป็นตน้ มา โดยมีดินแดน ของอาณาจกั รและแควน้ ตา่ ง ๆ เช่น อาณาจกั รฟนู นั ต้งั อยบู่ ริเวณทางทิศตะวนั ตกและชายทะเลของอ่าวไทย และมี อาณาจกั รหริภญุ ชยั ทางเหนืออาณาจกั รศรีวชิ ยั ทางใต้ และมีอาณาจกั รทวารวดี (พทุ ธศตวรรษท่ี 12) บริเวณลุ่ม แม่น้าํ เจา้ พระยาตอนล่าง เป็นตน้ และไดร้ วมตวั เป็นปึ กแผน่ มีพระมหากษตั ริยไ์ ดส้ ถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั เป็น ราชธานีแห่งแรกของชนชาติไทย ราวปี พ.ศ. 1762 โดยพ่อขนุ ศรีนาวนาํ ถม พระราชบิดาของพอ่ ขนุ ผาเมอื งเป็น ผปู้ กครองอาณาจกั รจากหลกั ฐานและขอ้ มลู ขา้ งตน้ น้ี รวมถึงสมมติฐานของแหลง่ อารยธรรมต่าง ๆของโลก ซ่ึง ส่วนใหญ่แหล่งกาํ เนิดของชนชาติกลมุ่ ในอดีตจะอยบู่ ริเวณลุ่มแมน่ ้าํ อาทิ แหลง่ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ต้งั อยู่ บริเวณที่ราบล่มุ ระหวา่ งแมน่ ้าํ ไทกริส (Tigris) ทางตะวนั ออก และแม่น้าํ ยเู ฟรติส (Euphrates) ทางตะวนั ตกหรือ อารยธรรมอินเดียโบราณหรืออารยธรรมล่มุ แม่น้าํ สินธุ ต้งั อยบู่ ริเวณลมุ่ แมน่ ้าํ เป็นตน้ ดงั น้นั จึงมีความเป็นไปไดท้ ่ี ชนกล่มุ ต่าง ๆ ที่เคยอาศยั ในล่มุ แม่น้าํ เจา้ พระยาหรือบริเวณรอบอ่าวไทย มีการรวมตวั กนั เป็นปึ กแผน่ มีการพฒั นา เป็นชุมชน สังคม และเมืองจนกลายมาเป็นอาณาจกั รต่าง ๆ ของชนชาติไทยตามพงศาวดาร การรวมไทยเป็ นปึ กแผ่น ภายหลงั การล่มสลายของอาณาจกั รอยธุ ยา ใน พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรีไดพ้ ยายามกอบกเู้ อกราชและ ศกั ด์ิศรีของอาณาจกั รกลบั คืนมา หลงั จากการสถาปนาอาณาจกั รธนบุรีข้ึน ตอ้ งเผชิญกบั สงครามภายนอกจาก กองทพั พมา่ และสงครามภายใน คือการปราบชุมนุมที่แยง่ ชิงความเป็นใหญ่แตกกนั เป็นก๊กเป็นเหลา่ ช่วงเวลาผา่ น ไปจนถึง พ.ศ. 2325อาณาจกั รรัตนโกสินทร์เป็นแผน่ ดินไทยที่พอจะเรียกไดว้ า่ “เป็นปึ กแผน่ ” ข้ึนมาบา้ ง ถึงแมว้ า่ ในเวลาตอ่ มาจะเกิดสงครามเกา้ ทพั ที่เป็นศึกใหญ่ในสมยั รัตนโกสินทร์ แตก่ ็ถือวา่ เป็นช่วงแห่งสันติสุขมาได้ ยาวนาน ความเป็นปึ กแผน่ ของความมน่ั คงของสยามเด่นชดั มากข้ึนในสมยั จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มี การเปล่ียนช่ือประเทศจากสยาม เป็น “ไทย” กล่าวอีกนยั หน่ึง“การสร้างชาติ” ไดเ้ กิดข้ึนอยา่ งสมบรู ณ์ในยคุ สมยั น้ี คือ มีครบท้งั อาณาเขต ดินแดน ประชากร อาํ นาจอธิปไตย รัฐบาล ไปจนถึงสัญลกั ษณ์ของชาติท่ีแสดงถึงเอกลกั ษณ์ วฒั นธรรมไทย เช่น ภาษาไทย และธงชาติไทย เป็นส่ิงสาํ คญั ท่ีผคู้ นในยคุ ปัจจุบนั จะตอ้ งอนุรักษห์ วงแหนให้ สามารถดาํ รงสืบไปในอนาคตแหลง่ กาํ เนิดของชนชาติไทย จะอพยพมาจากท่ีใด จะมีการพิสูจนห์ รือไดร้ ับการ ยอมรับหรือไม่ คงไมใ่ ช่ประเด็นสาํ คญั ท่ีจะตอ้ งพสิ ูจนห์ าความจริง คงปลอ่ ยใหเ้ ป็นเรื่องของนกั ประวตั ิศาสตร์หรือ นกั วชิ าการ แตค่ วามสาํ คญั อยทู่ ่ีลกู หลานคนไทยทุกคนท่ีอาศยั อยบู่ นพ้นื แผน่ ดินไทย ตอ้ งไดเ้ รียนรู้และตอ้ งยอมรับ

วา่ การรวมชนชาติไทยใหเ้ ป็นปึ กแผน่ และอยสู่ ุขสบายจนถึงปัจจุบนั น้ี คนไทยและลูกหลานไทยทุกคนตอ้ ง ตระหนกั ถึงบุญคุณของบรรพบรุ ุษไทยและพระปรีชาสามารถของบูรพมหากษตั ริยไ์ ทยในอดีตทีสามารถรวบรวม ชนชาวไทย ปกป้องรักษาเอกราชและรวบรวมชาติไทยใหเ้ ป็นปึ กแผน่ จึงเป็นพระราชกรณียกิจที่สาํ คญั ของ พระมหากษตั ริยไ์ ทยในอดีต ซ่ึงหากจะยอ้ นรอยไปศึกษาพงศาวดารฉบบั ตา่ ง ๆ รวมถึงประวตั ิศาสตร์ชาติไทย ต้งั แต่ยคุ ก่อนการสถาปนากรุงสุโขทยั ใหเ้ ป็นราชธานีแห่งแรกของชนชาวไทยแลว้ การสถาปนาราชธานีทกุ ยคุ ทกุ สมยั ไม่วา่ จะเป็นการสถาปนากรุงศรีอยธุ ยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ รวมไปถึงการกอบกูเ้ อกราชหลงั จากการ เสียกรุงศรีอยธุ ยาท้งั 2 คร้ัง ลว้ นเป็นวรี กรรมและบทบาทอนั สาํ คญั ของพระมหากษตั ริยไ์ ทยท้งั ส้ิน พระมหากษตั ริย์ไทยกบั การรวมชาติ การรวมชาติไทยใหเ้ ป็นปึ กแผน่ เป็นบทบาทที่สาํ คญั ของพระมหากษตั ริยไ์ ทยในอดีต หากรัฐใดแควน้ ใด ไม่มีผนู้ าํ หรือพระมหากษตั ริยท์ ี่เขม้ แขง็ มีพระปรีชาสามารถท้งั ดา้ นการรบการปกครองรวมถึงดา้ นการคา้ เศรษฐกิจการคลงั รัฐน้นั หรือแควน้ น้นั ยอ่ มมีการเสื่อมอาํ นาจลงและถกู ยดึ ครองไปเป็นเมืองข้ึนหรือประเทศราชภายใตก้ ารปกครอง ของชนชาติอ่ืน การถกู ยดึ ครองหรือไปเป็นเมืองข้ึนภายใตก้ ารปกครองของอาณาจกั รอื่นในอดีต สามารถทาํ ได้ หลายกรณี อาทิ การยอมสิโรราบโดยดี โดยการเจริญไมตรีและส่งบรรณาการถวาย โดยไม่มีศึกสงครามและการ เสียเลือดเน้ือ สถาบนั พระมหากษตั ริย์ ไดม้ ีบทบาทสาํ คญั ในการรวมชาติใหเ้ ป็นปึ กแผน่ รวมถึงการปกป้อง ประเทศชาติและมาตุภมู ิสืบไวใ้ หล้ ูกหลานไทยไดม้ ีแผน่ ดินอยู่ ซ่ึงหากชนชาติไทยในอดีต ไม่มีผนู้ าํ หรือกษตั ริยท์ ่ีมี พระปรีชาสามารถ ในวนั น้ีอาจไมม่ ีชาติไทยหลงเหลืออยใู่ นแผนท่ีโลก หรือชนชาติไทยอาจตอ้ งตกไปอยภู่ ายใต้ การปกครองของชาติใดชาติหน่ึง บทบาทของพระมหากษตั ริย์ไทยในการรวมชาติ บทบาทของพระมหากษตั ริยไ์ ทยในการรวมชาติ ในสมยั รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3หรือในสมยั รัตนโกสินทร์ ตอนตน้ น้นั ความเป็นปึ กแผน่ มน่ั คงของอาณาจกั รเกิดข้ึนจากการปรับปรุงการปกครอง ประมวลกฎหมายการ บูรณปฏิสงั ขรณ์วดั วาอาราม ทาํ นุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนา เกิดเป็นยคุ ทองของการฟ้ื นฟูวรรณคดี นาฏศิลป์ ดนตรีไทย การคา้ และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองโดยเฉพาะกบั จีน เกิดเป็น “เงินถุงแดง” ที่นาํ มาใช้ ในช่วงวกิ ฤตของประเทศ ภายหลงั ความพา่ ยแพข้ องอาณาจกั รพม่า และราชวงศช์ ิงของจีนในการทาํ ศึกกบั องั กฤษ พระมหากษตั ริยไ์ ทยใน ช่วงเวลาน้นั ไดต้ ระหนกั ถึงภยั ของ “ลทั ธิลา่ อาณานิคม” เป็นอยา่ งดีและทรงตระหนกั วา่ สยามน้ีตอ้ งมีการปรับตวั และพฒั นาตนเองใหร้ อดพน้ จากภยั ร้ายจากการคุกคามของชาติตะวนั ตกที่เด่นชดั เร่ิมตน้ เม่ือองั กฤษเขา้ มาขอทาํ

สนธิสญั ญาเบาวร์ ิงกบั สยาม ในสมยั รัชกาลท่ี 4 ต่อมาเกิดวกิ ฤต ร.ศ. 112 ในสมยั รัชกาลท่ี 5 พระเจา้ นโปเลียนที่ 3 แห่ง ฝรั่งเศสนาํ เรือปื นเขา้ มาถึงแมน่ ้าํ เจา้ พระยาใกลพ้ ระบรมมหาราชวงั บีบบงั คบั ใหส้ ยามยกดินแดนฝ่ังซา้ ยของ แมน่ ้าํ โขงใหอ้ ยใู่ ตอ้ าณตั ิของฝร่ังเศส พร้อมท้งั เรียกร้องคา่ เสียหายดว้ ยจาํ นวนเงินกวา่ 2 ลา้ นฟรังก์ เป็ นอีกคร้ังที่ อิสรภาพของสยามอยใู่ นจุดที่อาจตกเป็นเมืองข้ึนหรืออาณานิคมของมหาอาํ นาจตะวนั ตก ในช่วงเวลาดงั กลา่ วแมว้ า่ จะมีภยั รอบดา้ น อริราชศตั รูเก่าอยา่ งพม่า หรือญวนพา่ ยแพแ้ ก่ชาติตะวนั ตกไปแลว้ ถึง กระน้นั สยามกลบั มีความเป็น “ปึ กแผน่ ” อยา่ งที่ไมเ่ คยมีมาก่อนผา่ นการเป็น “สมบูรณาญาสิทธิราชย”์ ของ พระมหากษตั ริยโ์ ดยเฉพาะในสมยั รัชกาลที่ 5 ท่ีอาํ นาจของกษตั ริยช์ ่วยดลบนั ดาลใหเ้ กิดความผาสุกของราษฎร เกิด เป็นการ “เลิกระบบไพร่ทาส” ในสมยั รัชกาลที่ 6 ความเป็นชาติไดเ้ ด่นชดั ข้ึน ชื่อของประเทศสยามไดร้ ับการยอมรับวา่ ทดั เทียมกบั หลายชาติ ตะวนั ตก เม่ือทรงส่งทหารอาสาชาวสยามเขา้ ร่วมสงครามโลก คร้ังท่ี 1ในภาคพ้นื ยโุ รป สถาบนั หลกั ของประเทศ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ กเ็ กิดข้ึนในสมยั น้ีสัญลกั ษณ์ของชาติ เช่น ธงไตรรงคก์ เ็ กิดข้ึนเพอื่ เป็นตวั แทนของ ชาติสยามในโอกาสต่าง ๆ ศาสนา ศาสนา เป็นลทั ธิความเชื่อของมนุษย์ เกี่ยวกบั การกาํ เนิดและสิ้นสุดของโลก หลกั ศีลธรรมตลอดจนลทั ธิพิธีที่ กระทาํ ตามความเชื่อน้นั ๆ จะเห็นไดว้ า่ แต่ละประเทศน้นั จะยดึ คาํ ส่งั สอนของศาสนาเป็นหลกั ในการปกครอง ประเทศ และมีการกาํ หนดศาสนาเป็นศาสนาประจาํ ชาติ นอกจากศาสนาจะมีอิทธิพลตอ่ การปกครองของประเทศ แลว้ ยงั มีอิทธิพลต่อวฒั นธรรมของแตล่ ะประเทศเช่น ประเทศไทยมีการหลอ่ พระพทุ ธรูปเป็นงานศิลปะ วฒั นธรรม การไหว้ การเผาศพ วฒั นธรรมเหล่าน้ีไดร้ ับอิทธิพลมาจากศาสนาเหมือนกนั ดงั น้นั ศาสนาจึงเป็นสถาบนั ที่สาํ คญั ต่อประเทศมาก ศาสนาพทุ ธ ศาสนาพทุ ธ ไดเ้ ผยแผเ่ ขา้ มาในดินแดนประเทศไทยเป็นคร้ังแรก โดยพระเถระชาวอินเดีย เม่ือประมาณ พ.ศ. 236 โดยการอุปถมั ภข์ องพระเจา้ อโศกมหาราช แห่งอินเดียซ่ึงในขณะน้นั ประเทศไทยรวมอยใู่ นดินแดนท่ีเรียกวา่ สุวรรณภมู ิ มีอาณาเขตกวา้ งขวาง มีหลายประเทศรวมกนั ในดินแดนส่วนน้ี มีจาํ นวน 7 ประเทศ ไดแ้ ก่ ประเทศไทย พมา่ ศรีลงั กา ญวน กมั พูชาลาว และมาเลเซีย ซ่ึงพระพุทธศาสนาท่ีเขา้ มาในคร้ังน้นั เป็นนิกายหินยานหรือเถรวาท แบบด้งั เดิมมีพุทธศาสนิกชนเลื่อมใสศรัทธาไดบ้ วชเป็นพระภิกษเุ ป็นจาํ นวนมาก และไดส้ ร้างวดั สถปู เจดียไ์ ว้

สกั การะบูชา ตอ่ มาภายหลงั กษตั ริยใ์ นสมยั ศรีวชิ ยั ทรงนบั ถือพระพุทธศาสนาแบบมหายาน จึงทาํ ใหศ้ าสนาพทุ ธ นิกายมหายานเผยแผเ่ ขา้ มาสู่ดินแดนประเทศไทยทางตอนใต้ ซ่ึงไดม้ ีการรับพระพทุ ธศาสนาท้งั แบบเถระวาท แบบ มหายาน และศาสนาพราหมณ์ที่เขา้ มาใหม่ จึงทาํ ใหป้ ระเทศไทยมีผนู้ บั ถือพระพุทธศาสนาท้งั 2 แบบ มีพระสงฆ์ ท้งั 2 ฝ่ าย ไดแ้ ก่ นิกายเถรวาท และมหายาน จากพงศาวดารและหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ พระพทุ ธศาสนา เป็นศาสนาท่ีสงั คมไทยส่วนใหญ่นบั ถือมาต้งั แต่ ในอดีต และสืบทอดกนั มาเป็นชา้ นาน ดงั น้นั พระพุทธศาสนาจึงมีบทบาทสาํ คญั ของวถิ ีชีวิตคนไทย รวมถึง วฒั นธรรมและประเพณี จนประเทศไทยไดช้ ื่อวา่ เป็ นศนู ยก์ ลางของพระพุทธศาสนาของโลกโดยมี “พทุ ธมณฑล” เป็นศนู ยก์ ลางแห่งพุทธศาสนาโลกตามมติของการประชุมองคก์ ารสหประชาชาติ เมื่อวนั ที่ 20 พ.ค. 2548 ในสมยั รัตนโกสินทร์ พระมหากษตั ริยท์ ุกพระองคท์ รงมีพระมหากรุณาธิคุณตอ่ สถาบนั ศาสนา มาเป็นลาํ ดบั อาทิ เมื่อวนั ท่ี 14 สิงหาคม พ.ศ. 2489 รัชกาลที่ 9 เสดจ็ ข้ึนครองราชย์ พระองคไ์ ดท้ รงแสดงพระองคเ์ ป็นพุทธมาม กะต่อหนา้ สงั ฆมณฑล ณ พระอุโบสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเดจ็ พระสังฆราชเป็นประธาน เม่ือวนั ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2494 รัชกาลที่ 9 ทรงปฏิบตั ิตามโบราณราชประเพณีดว้ ยการเสดจ็ ทรงออกผนวช ณ พระอโุ บสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม พระองคท์ รงรับการบรรพชาเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ไดร้ ับสมณนาม จากพระอุปัชฌายจ์ ารวา่ “ภูมิพโลภิกข”ุ จากน้นั เสด็จประทบั ณ พระตาํ หนกั ป้ันหยา วดั บวรนิเวศ โดยพระองคท์ รง ปฏิบตั ิพระธรรมวินยั ตามแบบอยา่ งพระภิกษุโดยเคร่งครัดรัชกาลที่ 9 ทรงอุปสมบทนาคหลวงมาตลอด โดยเร่ิมปี แรกเมื่อวนั ท่ี 6 กรกฎาคมพ.ศ. 2489 ไดเ้ สด็จฯ พระราชดาํ เนินไปในพระราชพธิ ีทรงบาํ เพญ็ พระราชกศุ ล ณ พระ อุโบสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม มีหม่อมเจา้ สุนทรากร วรวรรณ หม่อมเจา้ อาชวดิศดิศกลุ หมอ่ มราชวงศย์ นั ตเทพ เทวกลุ และ นายเสมอ จิตรพนั ธ์ เป็นนาคหลวง นอกจากน้นั รัชกาลที่ 9 ยงั เสด็จฯ พระราชดาํ เนินไปในงานพิธีทางศาสนา ที่ประชาชนและทางราชการจดั ข้ึนในที่ ต่าง ๆ มิไดข้ าด อีกท้งั ยงั ทรงสร้างพระพุทธรูปข้ึน ในโอกาสสาํ คญั เป็นจาํ นวนมาก หลงั จากที่รัชกาลที่ 10 ไดท้ รงข้ึนครองราชยเ์ ป็นพระมหากษตั ริยล์ าํ ดบั ท่ี 10 แห่งราชวงศจ์ กั รี พระองคท์ รงเสดจ็ พระราชดาํ เนินไปปฏิบตั ิพระราชกิจทางพระพุทธศาสนาอยา่ งสม่าํ เสมอ เช่น เสดจ็ พระราชดาํ เนินเปล่ียนเครื่อง ทรงพระพทุ ธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล เสด็จพระราชดาํ เนินไปทรงบาํ เพญ็ พระราชกุศลในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา เช่น วนั วสิ าขบชู า วนั อาสาฬหบชู า วนั เขา้ พรรษา และการถวายผา้ พระกฐินหลวงตามวดั ตา่ ง ๆ เป็นตน้

ศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสตเ์ ป็นศาสนาท่ีพฒั นาหรือปฏิรูปมาจากศาสนายดู าห์ ซ่ึงมีประวตั ิศาสตร์มาต้งั แตป่ ระมาณ 2,000 ปี ก่อน คริสตกาล ชนเผา่ หน่ึงเป็ นบรรพบุรุษของชาวยวิ ต้งั ถ่ินฐานอยณู่ ดินแดนเมโสโปเตเมีย มีหวั หนา้ เผา่ ชื่อ “อบั ราฮมั ” (อบั ราฮมั เป็นศาสดาของศาสนายดู าห)์ ไดอ้ า้ งตนวา่ ไดร้ ับโองการจากพระเจา้ ใหอ้ พยพชนเผา่ ไปอยใู่ นดินแดนท่ี เรียกวา่ แผน่ ดินคานาอนั (บริเวณประเทศอิสราเอลในปัจจุบนั ) โดยอบั ราฮมั กล่าววา่ พระเจา้ กาํ หนดและสญั ญาให้ ชนเผา่ น้ีเป็นชนชาติท่ียง่ิ ใหญต่ อ่ ไป การท่ีพระเจา้ สัญญาจึงก่อใหเ้ กิดพนั ธสัญญาระหวา่ งพระเจา้ กบั ชนชาวยวิ ดงั น้นั ในเวลาต่อมาจึงเรียกคมั ภีร์ของศาสนายดู าหแ์ ละศาสนาคริสตว์ า่ “พนั ธสัญญา” ศาสนาคริสตเ์ ขา้ มาในประเทศไทยยคุ เดียวกบั การล่าอาณานิคมของลทั ธิจกั รวรรดินิยมโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ชาว โปรตเุ กส ชาวสเปน และชาวดตั ช์ ที่กาํ ลงั บุกเบิกเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตซ้ ่ึงนอกจากกลมุ่ ท่ีมีจุดประสงค์ คือ ล่า เมืองข้ึนและเผยแพร่ศาสนาพร้อมกนั เช่น จกั รวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศส มาไดเ้ มืองข้ึนในอินโดจีน เช่น ประเทศ เวียดนาม กมั พชู า ลาว โดยลกั ษณะเดียวกบั โปรตุเกสและสเปน ในขณะที่ประเทศไทยรอดพน้ จากการเป็นเมืองข้ึน ส่วนหน่ึงอาจเพราะการเปิ ดเสรีในการเผยแพร่ศาสนา ทาํ ใหล้ ดความรุนแรงทางการเมืองลง ศาสนาคริสตท์ ่ีเผยแพร่ ในไทยเป็นคร้ังแรกเป็นนิกายโรมนั คาทอลิก ปรากฏหลกั ฐานวา่ ในปี พ.ศ. 2110 (ค.ศ. 1567) มีมิชชนั นารี คณะดอ มินิกนั 2 คน เขา้ สอนศาสนาใหช้ าวโปรตเุ กส รวมถึงชาวพ้นื เมืองท่ีเป็นภรรยา ศาสนาคริสตไ์ ดร้ ับพระราชทานพระบรมราชูปถมั ภเ์ ช่นเดียวกบั ศาสนาอื่น โดยรัชกาลที่ 9 ทรงอุดหนุนกิจการของ ศาสนาคริสตต์ ามวาระโอกาสต่าง ๆ อยเู่ สมอ สามารถสร้างโรงเรียนโรงพยาบาล โบสถแ์ ละประกอบศาสนกิจได้ ทวั่ ทุกภาคของประเทศ ไดเ้ สด็จพระราชดาํ เนินไปในงานพิธีสาํ คญั ๆ ของศาสนาคริสตเ์ ป็นประจาํ ที่สาํ คญั ที่สุด คือ เสด็จพระราชดาํ เนินเยอื นนครรัฐวาติกนั เมื่อคร้ังเสด็จพระราชดาํ เนินเยอื นทวปี ยโุ รปเมื่อ 1 ตลุ าคม พ.ศ. 2503 เพ่อื กระชบั พระราชไมตรีระหวา่ งประเทศไทยกบั คริสตจกั ร ณ กรุงวาติกนั เม่ือพระสนั ตะปาปา จอหน์ ปอล ที่ 2 ประมุขแห่งคริสตจกั รโรมนั คาธอลิก เสดจ็ เยอื นประเทศไทยอยา่ งเป็น ทางการในฐานะพระราชอาคนั ตกุ ะ เมื่อวนั ที่ 10 - 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2527คร้ังน้นั นบั วา่ เป็นกรณีพเิ ศษอยา่ งยงิ่ เพราะไมเ่ คยปรากฏมาก่อนวา่ ประมขุ คริสตจกั รโรมนั คาทอลิกจะเสดจ็ มาเยอื นประเทศไทยเช่นน้ี ไดเ้ สดจ็ ออกทรง รับ ณ พระที่นง่ั จกั รีมหาปราสาทอยา่ งสมพระเกียรติ สาํ หรับรัชกาลท่ี 10 พระองคเ์ สด็จพระราชดาํ เนินแทนพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช ไปเป็น องคป์ ระธานในพิธีเปิ ด อาคารคริสตจกั ร ใจสมาน เมื่อวนั ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2522 เสดจ็ พระราชดาํ เนินแทน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook