Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน_1567488750

การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน_1567488750

Published by ปาริชาติ ปิติพัฒน์, 2019-09-21 12:15:28

Description: การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน_1567488750

Search

Read the Text Version

46

47 เอกสารประกอบการเรียนรู้ เรือง การจดั การเรียนรู้โดยใช้วจิ ยั เป็ นฐาน

48

49 การจัดการเรยี นรู้โดยใช้วิจยั เป็ นฐาน อาจารย์ ดร.มารุต พัฒผล สาขาการวจิ ัยและพัฒนาหลกั สูตร บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เค้าโครงสาระสําคญั 1. แนวคดิ เกียวกับการเรียนรู้สู่การคิดและการวจิ ัย 2. สมรรถนะของครูนกั วิจยั 3. การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็ นฐาน 4. การถอดบทเรียน การแลกเปลียนเรียนรู้ และสุ ทรียสนทนา มารุ ต พฒั ผล : 2554

50 สังคมปัจจบุ ันเป็ นสังคมฐานความรู้ (knowledge – based society) เป็ นสังคมแห่งการสร้างสรรค์ (creative – based society) และการเรียนรู้ตลอดชีวติ (lifelong learning) พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และทแี ก้ไข เพิมเติมฉบับที 3 พ.ศ. 2554 มาตรา 7 มีใจความตอน หนึงว่าในกระบวนการเรยี นรู้ต้องมุ่งปลูกฝังให้ผู้เรียน รู้จกั พงึ ตนเอง มีความริเริมสร้างสรรค์ ใฝ่ รู้ และเรี ยนรู้ด้ วยตนเองตลอดชี วิต วิชยั วงษ์ใหญ่ : 2554 “การเรียนรู้” ไม่จาํ กดั อยู่เฉพาะห้องสีเหลยี ม การเรียนรู้มอี ยู่รอบตัว จะเกิดทีชุมชนหรือทบี ้าน สามารถนําไปปรับใช้กับชีวติ ได้จริง วิชัย วงษใ์ หญ่ : 2554

51 มาตรา 22 ผู้เรียนสําคญั ทีสุด มาตรา 23 มาตรา 24 พั ฒนาเต็ม ตา มศั กย ภา พ ความรู้ มาตรา 26 คณุ ธรรมจรยิ ธรรม บูรณาการ การจั ดกระ บว นการเรีย นร้ ู กระบ วนการ เรี ยนร้ ู ใช้ผลการวิจัยสนบั สนุน ผ้ ูเรี ยน กา รประเมิ นต าม สภ าพจ รงิ ใช้ผลการประเมินเพอื พฒั นาผู้เรียน วชิ ยั วงษ์ใหญ่ : 2554 มาตรา 24 (5) ได้ กําหนดไว้ว่าการจดั กระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษา และหน่วยงานทีเกียวข้องส่งเสริมและสนับสนุน ให้ผู้สอนสามารถจัด บรรยากาศ สภาพแวดล้อม สือการเรียน และอํานวยความสะดวก เพอื ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทังสามารถใช้การวจิ ัย เป็ นส่วนหนึงของกระบวนการเรียนรู้ ทังนีผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ ไปพร้อมกันจากสือการเรียนการสอนและแหลง่ วทิ ยาการประเภทต่างๆ มารุต พฒั ผล : 2554

52 การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็ นฐาน การจัดการเรียนรู้ทีมุ่งเน้น ให้ผู้เรียนใช้การวจิ ัยเป็ นกระบวนการเรียนรู้ ใช้ ผลการวิจัยมาออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ รวมทังผู้สอนทําวิจัยควบคู่กบั การจัดการเรียนรู้ มารตุ พฒั ผล : 2554 การจัดการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็ นฐาน (Research – Based Instruction) เป็ นกระบวนการพฒั นาผู้เรียน ให้สามารถใช้กระบวนการวจิ ัยเป็ นเครอื งมอื ในการแสวงหาความรู้ คดิ ค้นหาคาํ ตอบ และส่งเสริมให้ผู้เรียนเกดิ คณุ ลักษณะการเรียนรู้ ของตนเองตลอดชีวิต ผู้สอนมีบทบาทจัดการเรียนรู้ โดยยึดผู้เรียนเป็ นสําคัญ และเรียนตามศักยภาพ ของตนเอง ด้วยกระบวนการวจิ ยั มารุต พฒั ผล : 2554

53 ผลการวิจยั ทีผ่านมา พบว่า การทีครูใช้การจดั การเรียนรู้ โดยใช้วจิ ัยเป็ นฐาน จะส่ งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีคณุ ภาพ มีความรู้ ในเนือหาสาระและคุณลักษณะด้านการใฝ่ รู้ และการเรียนรู้ ด้ วย ตนเองผ่ านกระบวนการวิ จยั (สถาพร ภผู าใจ. 2554 , สราวุธ ชัยยอง. 2552 , จริยา สมาคม. 2552 , ดวงทิพย์ กรีมนตรี. 2551 , ภิญญาพชั ญ์ กาวินคํา. 2549 , วรรวสิ า มูณีผล. 2547) มารุต พฒั ผล : 2554 กระบวนทัศน์ใหม่การจัดการเรยี นรู้โดยใช้วิจัยเป็ นฐาน จากพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 และทีแกไ้ ขเพิมเติม (ฉบับที 3) พุทธศกั ราช 2553 มาตรา 24(5) ผู้สอนต้องมกี ระบวนทัศน์ใหม่ คือ การทํางาน, การจัดการเรียนรู้ และการวิจัยเป็ นเรืองเดียวกนั ทีเราสามารถบูรณาการเข้ากนั ได้ มารุ ต พฒั ผล : 2554

54 รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้วจิ ัยเป็ นฐาน 1. ผู้สอนนําผลการวิจัยมาใช้ในการจดั การเรียนรู้ 2. ผู้เรยี นศึกษาค้นคว้าผลการวิจยั ในการเรยี นรู้ 3. ผู้เรยี นใช้ การวิจยั เป็ นกระบวนการเรียนรู้ 4. ผู้สอนทําวิจยั ควบคู่กับการจัดการเรียนรู้ มารุ ต พฒั ผล : 2554 แนวทางที 1 ผู้สอนนําผลการวิจัยมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ มารุ ต พฒั ผล : 2554

55 ตวั อย่างผลการวิจัยทีผ่านมา - ผลการวจิ ัยการเรียนรู้ทีสมดลุ ของสมองสองซีก - ผลการวิจัยทฤษฎีเซลล์กระจกเงา - ผลการวจิ ัยวิธีการจัดการเรยี นรู้กบั ปริมาณการเรียนรู้ - ผลการวจิ ัยการแลกเปลยี นเรียนรู้ - ผลการวจิ ัยการถอดบทเรยี น มารุ ต พฒั ผล : 2554 เซลล์สมองและเส้ นใยประสาท คนเราโดยทวั ไปจะมจี าํ นวนเซลสมอง ทเี พยี งพอตอ่ การคดิ และการดํารงชีวิต เซลล์สมองไม่สามารถเพิมจํานวนได้ แต่พฒั นาการของสมองเกดิ จาก การเพมิ ขึนของ “เส้นใยประสาท (Dendrites)” สมองสามารถพฒั นาได้ตลอดเวลา หากเราใช้สมองในการคดิ อยู่เสมอ ซึงจะทําให้สมองสร้างเส้นใยประสาทเพมิ ขึน มารุ ต พัฒผล : 2554

56 : 2554 การตรวจสอบการใช้สมองของผู้เรียน คําชีแจง ให้ผ้เู รยี นอ่านข้อความในแต่ละข้อแล้วเลอื กสิงทีตรงกบั ตนเอง ซกี ซ้ าย ซีกขวา 1. ไม่ชอบความเสียง 1. ชอบความเสียง 2. เริมงานใหม่เมอื งานเก่าเสรจ็ แล้ว 2. เริมงานใหมข่ ณะทีงานอนื ยังไม่เสร็จ 3. ใช้เหตุผลในการทาํ งาน 3. ใช้จินตนาการและความรู้สกึ ในการทํางาน 4. พยายามหาวิธีการทาํ งานทีดที ีสุด 4. พยายามหาวธิ ีการใหมๆ่ ในการทํางาน 5. คิดเรืองราวต่ างๆ เป็ นภาษาในสมอง 5. คิดเรอื งราวต่ างๆ เป็ นภาพในสมอง 6. กําหนดเวลาการทาํ งานชัดเจน 6. กาํ หนดเวลาทาํ งานอยา่ งคร่าวๆ 7. กําหนดกฎเกณฑ์การทํางานอยา่ งเป็ นระบบ 7. กาํ หนดกฎเกณฑ์การทาํ งานแบบยืดหยนุ่ 8. ต้ องการวิธีการทํางานทีชัดเจน 8. แสวงหาวิธีการทํางานด้วยตนเอง มารุต พัฒผล : 2554

57 ! : 2554 ทฤษฎเี ซลล์กระจกเงา (Mirror Neuron Theory ) นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวทิ ยาลยั พาร์ม่า ประเทศอติ าลี พบว่าสมองของลิงมเี ซลล์ชนิดหนึง ทาํ หน้าทีเลยี นเบบพฤติกรรม ทาํ ให้ลงิ แสดงอาการ ท่าทาง นิสัยเหมอื นลิงตัวอนื การวจิ ัยต่อมาพบว่าในสมองคนมีเซลล์ชนิดนีเหมอื นกัน เรียกเซลล์ชนิดนีว่า เซลล์กระจกเงา มารุต พฒั ผล : 2554

58 เซลล์กระจกเงา หรอื Mirror Neuron ทําหน้าทีสะท้อนภาพคนอนื ๆ ทีเรามองเห็น เสมอื นว่าเป็ นกระจกเงาทีสะท้อนภาพทุกอย่างเข้าไป โดยการทาํ งานของเซลล์กระจกเงานี จะกระตุ้นให้สมองส่วนอนื ๆ เกิดกระบ วนการทํา งานต่ อเนื องตามมา สุ ดท้ ายจะทํา ให้ เรามีค วามรู้ สึ ก เช่นเดียวกนั กบั คนทเี รากาํ ลังจ้องมองอยู่ มารตุ พฒั ผล : 2554 ทสี ําคัญคอื นักวิทยาศาสตร์ พบว่า เซลล์กระจกเงา มีผลทําให้มนุษย์เลยี นแบบพฤตกิ รรมทีเหน็ มารตุ พฒั ผล : 2554

59 พ่อแม่ คอื กระจกเงาของลูก ครูอาจารย์ คือกระจกเงาของศิษย์ มารตุ พฒั ผล : 2554 กระจกเงาเรามไี ว้ส่องหน้า ให้รู้ว่าดีเด่นเป็ นไฉน ครูอยากรู้ตัวครูเป็ นอย่างไร เชิญดูเด็กทไี ด้สังสอนมา เด็กนันไซร้เปรียบได้ดังกระจก ไม่ต้องยกขึนดูกร็ ู้ว่า ครูมลี กั ษณะลว้ นควรบูชา หรือว่าเลวหนักหนาน่าอบั อาย อนั กระจกบานนมี ีสมบตั ิ ภาพแน่ชัดสิงเปื อนไมเ่ ลือนหาย แต่ถ้าตัวดีแน่แม้ตวั ตาย ภาพยงั ฉายคนเห็นงามเด่นเอย ม.ล.ปิ น มาลากลุ มารตุ พฒั ผล : 2554

60 วธิ ีการจัดการเรียนรู้กับปริมาณการเรยี นรู้ของผู้เรียน บรรยาย 5% อ่าน 10% สือเคลือนไหว 20% สาธติ 30% อภิปรายกลุ่ม 50% ปฏิบตั ิจริง 75% สอนผู้อืนต่ อ 90% มารุต พฒั ผล : 2554 การแลกเปลียนเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ทีเปิ ดโอกาสให้ผู้เรยี นหรือสมาชิก ของกลุ่มมสี ่ วนร่วมในกจิ กรรมทุกขันตอน สามารถ แสดงผลงานและความคิดเห็น แลกเปลยี นประสบการณ์ ซึงกนั และกัน โดยมีผู้นาํ กลุ่มหรือผู้สอนสรุปสาระสําคัญ เพอื สร้างสรรค์องค์ความรู้ การแลกเปลยี นเรียนรู้ จะก่อให้เกิดคุณลกั ษณะความเคารพในความเป็ นมนษุ ย์ และใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของผู้อนื มารตุ พฒั ผล : 2554

61 การถอดบทเรียน (Lesson - Learned) (After Action Review) มารุต พฒั ผล : 2554 การถอดบทเรียน หมายถงึ การวเิ คราะห์สิงทีได้เรียนรู้หลงั เสร็จสินการปฏบิ ัติ หรือการทํากิจกรรมต่างๆ เพือจัดการความรู้ ทเี ป็ นประโยชน์ ส่งผลทาํ ให้การปฏบิ ัติ หรือการทํากจิ กรรมเหล่านนั มปี ระสิทธิภาพสูงขึน เป็ นการกระตนุ้ ให้คณะทาํ งานเกิดความตืนตัว และมคี วามรู้สึกผูกพัน (involve) อยู่กบั สิงทที ํา มารุต พฒั ผล : 2554

62 แนวทางที 2 ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าผลการวจิ ัยในการเรียนรู้ มารุ ต พฒั ผล : 2554 แหล่งศึกษาค้นคว้า มารุต พฒั ผล : 2554 1. วารสารการวิจัย 2. วารสารการวจิ ัยเฉพาะสาขา 3. วทิ ยานพิ นธ์ / ปริญญานิพนธ์ 4. บทคดั ย่องานวจิ ัย 5. สารานุกรม 6. ตํารา 7. พจนานุกรม 8. แหล่งข้อมูล online

63 เอกสาร online เชอื ถอื ไดน้ ้อย หนังสือพมิ พ์ ร่ างเอกสาร ต่าง ๆ ระดบั ค วามเชือถือได้ เอกสารการประชมุ วทิ ยานิพนธ์ เชือถือได้สู ง วารสารทวั ไป มารุต พฒั ผล : 2554 วารสารวิชาการทมี ี peer review หนังสือ ตาํ รา ผลการวิจยั สารานกุ รม ประเภทของแหล่งข้อมลู online .com A commercial site .edu A college or university .gov The government .org An organization .net A community network มารุต พฒั ผล : 2554

64 แนวทางที 3 ผู้เรียนใช้การวิจยั เป็ นกระบวนการเรียนรู้ มารุ ต พฒั ผล : 2554 สาระสําคญั ทีควรเรียนรู้ - กระบวนการเรียนรู้ทมี ีประสิทธิภาพ - หน่วยการเรยี นรู้ทีผู้เรียนใช้การวิจัยเป็ นกระบวนการเรยี นรู้ - กระบวนการเรียนรู้ทีสามารถนํามาใช้ในการเรียนรู้ โดยใช้วิจัยเป็ นฐาน - ตัวอย่างหน่วยการเรียนรู้ทีผู้เรียนใช้กระบวนการวจิ ัย เป็ นกระบวนการเรียนรู้ มารุ ต พฒั ผล : 2554

65 กระบวนการเรียนรู้ทีมปี ระสิทธิภาพ 1. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม 2. การเรียนรู้มีลกั ษณะเป็ นแนวราบ มีปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกบั ผู้เรียนผู้เรียนกบั ผู้เรียน 3. มกี ารแลกเปลียนเรยี นรู้ สร้างความมันใจ และความชัดเจนในสิงทีเรยี นรู้ 4. การเรยี นรู้แบบบูรณาการตามสภาพจริง 5. สอดคล้องกบั ธรรมชาติผู้เรยี นทีเป็ น Gen Y , Z มารุ ต พฒั ผล : 2554 หน่วยการเรียนรู้ ความรู้ทีครบวงจรในเรืองหนึง โดยนาํ main concept มาเรียบเรียงกัน แล้วกําหนดหวั เรือง (Theme) จัดกิจกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ตามความสนใจ ความต้องการ หรือปัญหาของผู้เรียน โดยมีผู้สอนเป็ นผู้เอืออํานวยความสะดวกในการเรียนรู้ เพอื ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้ (learning outcome) ทกี ําหนด วิชัย วงษ์ใหญ่ : 2554

66 ผลการเรียนรู้ Learning Outcome คือสิงทผี ู้เรียนแสดงให้ปรากฏ ภายหลงั เมอื ผ่านการเรียนรู้ทผี ู้สอน คาดหวงั ไว้ในช่วงเวลาทกี าํ หนด จุดประสงค์การเรียนรู้ Learning Objective คอื สิงทีผู้เรียนจะต้องให้ความสาํ คญั ว่าจะเรียนรู้อะไรบ้าง วิชยั วงษใ์ หญ่ : 2554 Keywords คาํ ศัพท์ทีเป็ นกุญแจ สําหรับเปิ ดไขดึงเอาความทรงจําออกมาใช้ สําหรับจดั ระเบียบและใช้ประโยชน์จากสารสนเทศ วิชัย วงษใ์ หญ่ : 2554

67 การเรียนรู้ทีฝังลึก Deep Knowledge 1. ข้ อมูล 2. หวั ข้อ 3. SUB CONCEPT Deep Knowledge 4. MAIN CONCEPT วชิ ัย วงษใ์ หญ่: 2554 กระบวนเรียนรู้ โดยใช้วจิ ัยเป็ นฐาน มารุ ต พฒั ผล : 2554

68 กระบวนการวิจยั สําหรับผู้เรียน 1. ขันกาํ หนดปัญหา 2. ขันเก็บรวบรวมข้อมูล 3. ขันวิเคราะห์ข้อมูล 4. ขันสรุปผล 5. ขันแลกเปลียนเรียนรู้ มารุ ต พฒั ผล : 2554 ข้อกาํ หนดการนํากระบวนการวิจัยสําหรับผู้เรียน ไปดาํ เนินการจัดการเรียนรู้ 1. ออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ให้ครบทุกขันตอน ของกระบวนการ และจะข้ามขันตอน หรือสลับขันตอนไม่ได้ 2. ใช้ แต่ละขันตอนเป็ นตัวตังโดยมกี จิ กรรมแทรก 3. ใช้ ทกั ษะกระบวนการอนื ๆ บูรณาการไปกับกิจกรรมทีผู้เรียนปฏิบัติ มารุ ต พฒั ผล : 2554

69 ประเภทการวจิ ัยทีผู้เรียนสามารถนํามาใช้ เป็ นกระบวนการเรียนรู้ 1. การวจิ ัยเชิงบรรยายหรือพรรณนา 2. การวจิ ัยเชิงทดลอง 3. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ มารุ ต พฒั ผล : 2554 การวิจัยเชิงบรรยายหรือพรรณนา (Descriptive research) เป็ นการวจิ ัยเพือค้นหาข้อเท็จจริงในสภาพการณ์หรือภาวการณ์ ของสงิ ทเี ป็ นอยู่ในปัจจุบนั ว่าเป็ นอย่างไร การวิจยั ประเภทนี มักจะทาํ การสํารวจ หรือหาความสมั พันธ์ต่าง ๆ เกียวกบั พฤติกรรม ความเชือ ความคดิ เห็น และเจตคติ เช่น การสํารวจพฤติกรรมการกนิ อาหารเช้าของนักเรียน มารุ ต พฒั ผล : 2554

70 การวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental research) เป็ นการวิจยั เพอื ค้นหาความสัมพนั ธ์เชิงเหตุและผล ของปรากฏการณ์ต่างๆ การวิจยั ประเภทนตี ้องมสี งั เกตตวั แปรตาม ทีเปลยี นแปลงไปอันเนืองมาจากตัวแปรตน้ เพือจะได้ทราบว่า ตัวแปรต้นเป็ นสาเหตุทที ําให้เกิดการเปลยี นแปลงหรือไม่ เช่น การทดลองคณุ สมบัติความตึงของผิวนาํ มารุ ต พฒั ผล : 2554 การวจิ ัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical research) เป็นการวจิ ัยเพอื ค้นหาข้ อเทจ็ จริงของเหตกุ ารณ์ทผี ่านมาแลว้ ในอดีต โดยมีจุดมุง่ หมายทจี ะบันทกึ อดีตอย่างมีระบบและมีความชัดเจน จากการรวบรวมตรวจสอบ และวิเคราะห์เหตุการณ์ เพือค้ นหาข้อเท็จจริง ทีจะนาํ มาสรุปอย่างมีเหตผุ ล การวิจัยประเภทนีต้องอ้างองิ เอกสาร วตั ถุโบราณ บุคคลทีมีอยู่ ซงึ โดยส่วนใหญ่แล้วมักไม่ใช้สถิติ เช่น การวิจัยความเป็ นมาของประเพณใี นท้องถิน มารุ ต พฒั ผล : 2554

71 บทบาทของครูยุคใหม่ 1. เป็ นนักออกแบบและพัฒนา - ออกแบบหลักสูตร - ออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ - ออกแบบการวดั และประเมนิ ผล 2. เป็ นนักจัดการเรียนรู้ - เอืออาํ นวยความสะดวกในการเรยี นรู้ - ใช้ระบบการดูแลช่วยเหลอื ผู้เรียน วชิ ัย วงษใ์ หญ่ : 2554 3. เป็ นนักสร้างสรรค์ - คิดค้นและสร้างสือ นวตั กรรมการเรียนรู้ 4. เป็ นนักวจิ ัยค้นคว้า - การทาํ งาน การจัดการเรียนรู้ การวจิ ัย 5. เป็ นผู้เชือมโยง LinkedIn ประสาน - ผู้ปกครอง ชุมชน ผู้เรียน วชิ ัย วงษ์ใหญ่ : 2554

72 กระบวนการเรียนรู้ทีมีประสิทธิภาพ 1. การเรียนรู้แบบมสี ่ วนร่วม 2. การเรียนรู้มลี กั ษณะเป็ นแนวราบ มปี ฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกบั ผู้เรยี น ผู้เรียนกับผู้เรยี น 3. มกี ารแลกเปลยี นเรียนรู้ สร้างความมนั ใจ และความชัดเจนในสิงทีเรียนรู้ 4. การเรียนรู้แบบบูรณาการตามสภาพจริง วิชยั วงษใ์ หญ่ : 2554 Teaching Learning 1. ให้ข้อมูล สาระ 1. กระตุ้นให้มีการอภปิ ราย 2. ให้คําตอบทีถกู ต้อง แลกเปลยี นเรียนรู้ 3. การสือสารทางเดียว 4. กําหนดงานให้ผู้เรียน 2. พยายามกระตุ้นให้คิดและตงั คาํ ถาม 5. กาํ หนดวัตถุประสงค์ 3. การสือสารสองทาง และทศิ ทางการเรียน มีปฏิสัมพนั ธ์กับผู้สอนและผู้เรียน 4. ประสานงานในกจิ กรรมการเรียนรู้ กับผเู้ รียน 5. ผ้เู รียนสามารถกาํ หนดวัตถุประสงค์ และทิศทางการเรยี นรู้ วชิ ยั วงษ์ใหญ่ : 2554

73 SAGE ON THE STAGE GUIDE ON THE SIDE : 2554 ตุมเหหิ กิจจํ กาตพพํ ผู้ทํา คือพวกเธอทังหลาย อกขาตาโร ตถาคตา ตถาคต เป็ นเพียงผู้ชีบอกเท่านัน วชิ ัย วงษใ์ หญ่ : 2554

74 หลักการวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ 1. ตนเอง การปฏิบัติ ระหว่างเรียน ติดตามผล การทดสอบ ก่ อนเรีย น หลงั เรยี น การสังเกต รายงานตนเอง 2. ผู้สอน การสือสาร 3. ผู้เกียวข้ อง วชิ ัย วงษ์ใหญ่ : 2554 หลักการวัดและประเมนิ ผลตามสภาพจริง 1. ใช้ผู้ประเมนิ หลายๆ คน (ผ้เู รียน เพอื น ผู้สอน ผ้เู กียวข้อง) 2. ใช้วิธี / เครืองมอื วัดหลายๆ ชนิด (การสังเกต การปฏิบตั ิ การทดสอบ การรายงานตนเอง) 3. วัดหลายๆ ครังในแต่ละช่วงเวลาของการเรียนรู้ (กอ่ นเรียน ระหว่างเรียน สินสุด ติดตามผล) 4. สะท้อนผลการประเมินสู่การพัฒนาผู้เรียน มารตุ พฒั ผล : 2554

75 กรณีตัวอย่าง ผู้เรียนใช้การวิจัย เป็ นกระบวนการเรียนรู้ มารตุ พฒั ผล : 2554 มารุต พฒั ผล : 2554

76 สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ชัน ป. 2 ภาคเรียนที 1 หน่วยการเรียนรู้ที 1 เรือง องค์ประกอบของดอกไม้ เวลา 2 ชัวโมง 1. ผลการเรียนรู้ (Learning Outcome) มีความรู้ ความเข้าใจและความสามารถในการคิดวิเคราะห์เกียวกบั องค์ปร ะกอบของดอกไม้ โดยใช้ กระบวนการวิจัย และมีวนิ ยั 2. ความคดิ รวบยอดหลัก (Main Concept) ก้ านดอก มวี ินยั กลีบดอก องค์ ป ระกอบ ของดอกไม้ กระ บว นการวิ จยั การคดิ วิเคราะห์ เกสร มารตุ พฒั ผล : 2554 3. หัวขอ้ สาระการเรียนรู้ 3.1 กา้ นดอก 3.2 กลีบดอก 3.3 เกสร 4. สมรรถนะ มคี วามสามารถในการคดิ วิเคราะห์ 5. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ มีวินยั 6. จุดประสงค์การเรียนรู้ 6.1 ใช้กระบวนการวิจยั สํารวจองค์ประกอบของดอกไม้ได้ 6.2 สามารถระบุองค์ประกอบของดอกไม้ได้ 6.3 มคี วามสามารถในการคิดวเิ คราะห์ 6.4 วินยั ในการปฏิบัติกจิ กรรมการเรียนรู้ มารตุ พฒั ผล : 2554

77 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 7.1 ขันกาํ หนดปัญหา 1) ผ้เู รียนร่วมกนั สังเกตดอกไมท้ ีครู เตรียมมาให้ 2) ผู้เรยี นร่วมกันแลกเปลียนเรยี นรู้สิงทสี ังเกตได้ 3) ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันกาํ หนดปัญหาองค์ประกอบของดอกไม้ และผู้เรียนร่วมกันสํารวจองค์ประกอบของดอกไม้ในสถานทจี ริง 7.2 ขนั เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 4) ผูเ้ รียนร่วมกนั สังเกตดอกไม้จริงชนิดตา่ งๆ ทีมีอยู่ในบริเวณโรงเรียน แล้วจดบันทึกสงิ ทสี ังเกตพบ จํานวน คนละ 3 ดอก 7.3 ขันวิเคราะห์ข้อมูล 5) ผู้เรียนแต่ละคนนําข้อมูลทีตนเองบนั ทึกได้จากการสงั เกต มาวิเคราะห์หาองค์ประกอบของดอกไม้ มารุต พฒั ผล : 2554 7.4 ขนั สรุปผล 6) ผเู้ รียนแต่ละคนสรปุ องค์ประกอบของดอกไม้ของตนเอง 7.5 ขันแลกเปลยี นเรียนรู้ 7) ผูเ้ รยี นแต่ละคนนาํ เสนอผลการวิเคราะห์องค์ประกอบของดอกไม้ของตนเอง 8) ผูเ้ รยี นร่วมกนั แลกเปลยี นเรียนรู้ผลการศึกษาซึงกันและกัน 9) ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกนั ลงสรปุ องค์ประกอบของดอกไม้อีกครัง รวมทงั ระบหุ น้าทแี ละความเกยี วข้องขององค์ประกอบแตล่ ะส่ วนของดอกไม้ 8. สือการเรียนรู้ / แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนงั สือเรยี น 8.2 เอกสาร online 8.3 ห้องสมดุ 8.4 บริเวณโรงเรียน มารตุ พฒั ผล : 2554

78 9. การวัดและประเมินผล วิธกี ารวดั เครอื งมือวัด เกณฑ์ การสังเกต แหล่งข้อมูล (ร้อยละของ จุดประสงค์การเรยี นรู้ คะแ นนเต็ ม) 1. ใช้กระบวนการวิจยั สาํ รวจ องค์ ปร ะกอบ ของดอกไม้ ได้ แบบสังเกต ผู้เรียน 80% 2. สามารถระบุองค์ของดอกไม้ได้ การถาม คาํ ถามระหวา่ งเรยี น ผู้เรยี น 80% 3. มีความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ การสังเกต แบบสงั เกต ผ้ ูเรี ยน 80% 4. มีวนิ ัยในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ การสังเกต แบบสังเกต ผู้เรียน 80% มารุต พัฒผล : 2554 10. บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ 1. สาระสําคญั …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 2. สมรรถนะ …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 3. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ………………………………………………………….………………………………… …………………………………………………………………………………………… 4. ทักษะการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 5. สิงทีผู้สอนต้องพฒั นา …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… มารตุ พฒั ผล : 2554

79 แบบประเมินความรู้เกียวกับองค์ประกอบของดอกไม้ คําชแี จง เขยี นระดับคะแนนลงในช่องผลการประเมิน โดยใช้ เกณฑ์การใหค้ ะแนนดังนี 1 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติได้เมอื ได้รับความช่ วยเหลือจากครู 2 คะแนน หมายถึง ปฏิบตั ิได้เมอื ศึกษาความรู้เพมิ เติมด้วยตนเอง และมีความถกู ต้อง 3 คะแนน หมายถงึ ปฏิบตั ิได้ดว้ ยตนเองในทันที และมีความถูกตอ้ ง ชือ - สกลุ ผลการประ เมิ น ระบุความเกยี วข้อง ขององค์ ปร ะกอบ ระบุ ระบุหน้าที รวม องค์ประกอบ ขององค์ประกอบ แต่ ละส่วนของดอกไม้ ของดอกไม้ แต่ละส่วนของดอกไม้ มารุต พัฒผล : 2554 แบบสังเกตพฤติกรรมการคดิ วเิ คราะห์ คาํ ชีแจง 1. แบบสังเกตนใี ช้สังเกตพฤติกรรมการคิดวิเคราะห์ของผู้เรยี น 2. เขียนคะแนนในช่องผลการประเมิน โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนต่อไปนี 1 คะแนน หมายถงึ ปฏิบัติได้เมือได้รบั ความช่วยเหลือจากครู 2 คะแนน หมายถงึ ปฏิบัตไิ ด้เมือศกึ ษาความรู้เพิมเตมิ ด้วยตนเอง และมีความถูกต้ อง 3 คะแนน หมายถึง ปฏิบตั ิได้ด้วยตนเองในทันที และมคี วามถูกต้ อง ผลการ ปร ะเมิ น ชือ - สกลุ การ การจดั การสรปุ อยา่ ง การประยกุ ตใ์ ช้ การคาดการณ์ รวม จาํ แนก หม วด หมู่ สมเหตุสมผล ในสถานการณ์ใหม่ บนพืนฐานข้อมลู มารุต พฒั ผล : 2554

80 แบบสังเกตพฤติกรรมความมวี ินยั คาํ ชีแจง 1. แบบสังเกตนีมีผู้สงั เกต 3 ฝ่ าย คอื ตนเอง เพือน และครู 2. เขียนระดับคะแนนลงในช่องผลการสงั เกต โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนดังนี 1 คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมเมือได้รับคาํ สงั จากครู 2 คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมเมือได้รับการกระตุ้นจากครู 3 คะแนน หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมด้วยตนเอง ชือ - สกลุ ผลการสงั เกต รับผดิ ชอบ รวม ตังใจ ปฏิบัติงาน อดทน ต่อตนเอง ในการเรียนรู้ บรรลุเป้ าหมาย ต่ อสิงยวั ยุ แ ละส่ ว นรว ม ลงชือผูส้ ังเกต ....................... .................... ...................... (ตนเอง เพอื น ผู้สอน) มารตุ พัฒผล : 2554

81 มารตุ พฒั ผล : 2554 สาระการเรยี นรู้ สงั คมศกึ ษาฯ ระดับชัน ป. 5 ภาคเรียนที 1 หน่วยการเรยี นรู้ เรือง ความสามคั คี เวลา 3 ชวั โมง 1. ผลการเรียนรู้ (Learning Outcome) เข้าใจความหมายและสําคญั ของความสามัคคี แนวทางการเสริมสร้ างความสามคั คี โดยใช้ กระบวนการวิจยั มคี วามสามารถในการสือสาร และมีพฤติกรรมความสามัคคี 2. ความคิดรวบยอดหลัก (Main Concept) พฤติกรรมความสามัคคี ความหมาย คว าม สําคั ญ คว ามส ามั คคี กระบวนการวจิ ัย การสอื สาร แนวทางการส่งเสรมิ มารตุ พฒั ผล : 2554

82 3. หวั ข้อสาระการเรียนรู้ 3.1 ความหมายของความสามคั คี 3.2 ความสาํ คัญของความสามัคคี 3.3 การส่งเสริมความสามัคคี 4. สมรรถนะ มคี วามสามารถในการสือสาร 5. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ มคี วามสามคั คใี นหมู่คณะ 6. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 6.1 สามารถระบคุ วามหมายและความสาํ คญั ของความสามคั คไี ด้ 6.2 สามารถใช้กระบวนการวิจยั หาแนวทางการส่ งเสรมิ ความสามคั คไี ด้ 6.3 มคี วามสามารถในการสือสาร 6.4 มีความสามัคคีในการปฏิบตั ิกจิ กรรมการเรียนรู้ มารตุ พฒั ผล : 2554 7. กิจกรรมการเรยี นรู้ 7.1 ขันกําหนดปญั หา 1) ผู้เรียนร่วมกันศกึ ษาพระบรมราโชวาท และพระราชดํารัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั กยี วกบั ความสามัคคี 2) ผู้เรยี นร่วมกันอภิปรายความหมาย ความสําคญั ของความสามคั คี 3) ผู้เรยี นร่วมกันกาํ หนดปัญหาแนวทางการส่งเสริมความสามคั คี 7.2 ขันเก็บรวบรวมขอ้ มูล 4) ผเู้ รียนร่วมกนั สํารวจความคิดเห็นของครูในโรงเรียนเกยี วกับแนวทาง การส่งเสริมความสามคั คี 7.3 ขันวิเคราะห์ข้อมูล 5) ผู้เรียนร่วมกนั วเิ คราะห์แนวทางการส่งเสริมความสามคั คี โดยใช้เทคนิคการนาํ เสนอตามความสนใจ มารตุ พฒั ผล : 2554

83 7.4 ขันสรุปผล 6) ผู้เรียนร่วมกนั นําเสนอผลการวิเคราะห์แนวทางการส่ งเสรมิ ความสามคั คี 7.5 ขันแลกเปลียนเรียนรู้ 7) ผู้เรยี นร่วมกันอภปิ รายเกยี วกบั แนวทางการส่งเสริมความสามัคคี และการปฏบิ ัตติ นเพือส่งเสรมิ ความสามคั คีในหมู่คณะ 8. สือการเรยี นรู้ / แหล่งเรียนรู้ 8.1 พระบรมราโชวาท และพระราชดาํ รสั เกยี วกับความสามคั คี 8.2 ผู้สอนในโรงเรียน มารุต พัฒผล : 2554 9. การวดั และประเมินผล วิ ธีการ วดั เครืองมือวั ด เกณฑ์ การถาม แหล่งข้อมูล (ร้อยละของ จุ ดป ระส งค์ กา รเ รีย นร้ ู คะแนนเต็ม) 1. สามารถระบุความหมาย และความสําคัญของความสามัคคไี ด้ คาํ ถามระหวา่ งเรยี น ผู้เรียน 80% 2. สามารถระบุแนวทางการส่ งเสริม การถาม คําถามระหว่างเรียน ผู้เรียน 80% ความสามัคคไี ด้ 3. มีความสามารถในการสอื สาร การสั งเ กต แบบสงั เกต ผู้เรียน 90% แบบสังเกต ผู้เรียน 90% 4. มีความสามัคคใี นการปฏิบัติกจิ กรรม การสังเกต การเ รีย นร้ ู มารตุ พฒั ผล : 2554

84 10. บันทกึ หลงั การจดั การเรยี นรู้ 1. สาระสําคญั …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 2. สมรรถนะ …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 3. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ………………………………………………………….………………………………… …………………………………………………………………………………………… 4. ทักษะการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 5. สิงทผี ู้สอนตอ้ งพฒั นา …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… มารตุ พฒั ผล : 2554 แบบประเมนิ ความรู้เกียวกับความสามัคคี คําชแี จง เขียนระดับคะแนนลงในช่องผลการประเมิน โดยใช้ เกณฑ์การใหค้ ะแนนดังนี 1 คะแนน หมายถงึ ปฏบิ ัติได้เมอื ไดร้ ับความช่ วยเหลอื จากครู 2 คะแนน หมายถงึ ปฏิบัติได้เมอื ศึกษาความรู้เพมิ เตมิ ดว้ ยตนเอง และมคี วามถูกต้อง 3 คะแนน หมายถึง ปฏิบตั ิได้ด้วยตนเองในทนั ที และมีความถูกตอ้ ง ผ ลการ ปร ะเ มิน ชือ - สกลุ ระบุ ระบุความสาํ คัญ ระบุแนวทาง ความหมาย ของความ การส่ งเสริม รวม ของควา มส ามัค คี สามคั คี ความสามคั คี มารุต พฒั ผล : 2554

85 แบบสั งเกตพฤติ กรรมการสื อสาร คาํ ชีแจง เขียนคะแนนความสามารถในการสอื สารแต่ละด้านลงในช่ องผลการสังเกต 1 คะแนน หมายถึง ปฏิบตั ิด้วยตนเองยังไม่ค่อยได้ ต้องได้รบั การช่ วยเหลือ 2 คะแนน หมายถึง ปฏบิ ัติได้ดว้ ยตนเอง แต่ต้องได้รับคาํ แนะนาํ เพมิ เติม 3 คะแนน หมายถึง ปฏบิ ัติได้ดว้ ยตนเอง สามารถเป็ นแบบอย่างของเพือนได้ ชือ - สกลุ ผลการสังเกต รวม รับผดิ ชอบ เคารพ สร้างสัมพันธภาพ แลกเปลยี น ในการสือสาร ผู้ร่วมสือสาร กบั ผู้ร่วมสือสาร ความคิดเหน็ มารตุ พฒั ผล : 2554 แบบสังเกตพฤติกรรมความสามคั คี คาํ ชีแจง 1. แบบสังเกตนมี ีผู้สังเกต 3 ฝ่ าย คอื ตนเอง เพอื น และครู 2. เขยี นระดับคะแนนลงในช่องผลการสังเกต โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนดงั นี 1 คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมเมือได้รบั คําสังจากครู 2 คะแนน หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมเมือได้รับการกระตุ้นจากครู 3 คะแนน หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมด้ วยตนเอง ชือ - สกลุ ผลการสงั เกต รวม ร่ วมปฏบิ ัตงิ าน ทําในสิงที ขยันทาํ ตาม ร่วมรับผล เพอื ส่วนรวม เป็ นประโยชน์ หน้าที การกระทาํ ลงชอื ผ้สู ังเกต .................. ................................................ (ตนเอง เพอื น ผู้สอน) มารุ ต พัฒผล : 2554

86 มามรุ าตรุตพ ัฒพผัฒลผ:ล๒:๕2๕5๓54 สาระการเรยี นรู้ สุขศึกษาและพละศกึ ษา ระดับชัน ป. 6 ภาคเรียนที 1 หน่วยการเรยี นรู้ เรอื ง โรคทมี ากบั นําท่วม เวลา 3 ชัวโมง 1. ผลการเรียนรู้ (Learning Outcome) รู้และเข้าใจโรคทีมากับนาํ ท่วม วิเคราะห์อาการ การรกั ษา และการป้ องกนั โดยใช้กระบวนการวิจัย และมีความใฝ่ เรียนรู้ 2. ความคดิ รวบยอดหลกั (Main Concept) ชนดิ ของโรค ใฝ่ เรียนรู้ โรคที ม ากบั อาการ คิ ดวิเคราะ ห์ นําท่วม การรกั ษา กระ บว นการวิ จัย การป้ องกนั มารตุ พฒั ผล : 2554

87 3. หัวข้อสาระการเรียนรู้ 3.1 โรคฉีหนู โรคอหวิ าตกโรค ไข้ไทฟอยด์ โรคตับอกั เสบ โรคตาแดง โรคไข้เลอื ดออก 3.2 อาการของโรค 3.3 การรักษาโรค 3.4 การป้ องกันโรค 4. สมรรถนะ มีความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ 5. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ มีความใฝ่ เรียนรู้ 6. จุดประสงค์การเรียนรู้ มารุต พฒั ผล : 2554 6.1 สามารถระบโุ รค อาการ และการรกั ษาโรคทีมากับนาํ ท่วมได้ 6.2 สามารถระบุการป้ องกันโรคทีมากับนําท่วมได้ 6.3 มีความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ 6.4 มีความใฝ่ เรยี นรู้ 7. กจิ กรรมการเรียนรู้ 7.1 ขันกาํ หนดปัญหา 1) ผเู้ รยี นดรู ูปภาพข่าวนําท่วมและแลกเปลียนเรยี นรู้ ในประเด็นทสี นใจ 2) ผสู้ อนกาํ หนดปัญหาวา่ โรคทมี ากบั นําท่วมมีโรคอะไรบ้าง แต่ละโรค มอี าการอย่างไร มีวธิ กี ารรักษาอย่างไร และสามารถป้ องกนั ได้อยา่ งไร 7.2 ขันเก็บรวบรวมข้อมูล 3) ผเู้ รยี นแบ่งกลุ่มร่วมกนั ศึกษาค้นควา้ โรคทีมากบั นําท่วม อาการ การรักษา และการป้ องกันโรคทมี ากบั นําท่วม จากแหล่งข้อมูลทีสนใจ พร้อมทงั จดบนั ทกึ ไว้ 7.3 ขนั วิเคราะห์ข้อมลู 4) ผ้เู รยี นแต่ละกลุ่มร่วมกนั วิเคราะห์ข้อมลู ทศี ึกษาค้นควา้ มาได้เพอื ตอบคาํ ถาม วา่ โรคทีมากบั นาํ ทว่ มมีโรคอะไรบ้าง แต่ละโรค มอี าการอย่างไร มวี ธิ กี ารรักษาอย่างไร และสามารถป้ องกนั ได้ อย่างไร มารุต พฒั ผล : 2554

88 7.4 ขนั สรุปผล 5) ผู้เรยี นทุกกล่มุ ร่วมกันสรปุ ผลการศกึ ษาค้นควา้ โรคทีมากบั นําท่วม อาการ วิธกี ารรกั ษา และการป้ องกัน 7.5 ขันแลกเปลียนเรยี นรู้ 6) ผู้เรียนร่วมกนั นาํ เสนอผลการศึกษาค้นควา้ หน้าชันเรียน 7) ผูเ้ รยี นร่วมกันถอดบทเรียนและแลกเปลยี นเรยี นรู้ 8. สือการเรียนรู้ / แหล่งเรียนรู้ 8.1 ภาพข่าวนาํ ท่วม หนังสือเรยี น 8.2 ภมู ิปัญญาท้องถนิ ผ้สู อนในโรงเรียน 8.3 เอกสาร online เกยี วกบั โรคทีมากบั นาํ ท่วม 8.4 ห้องสมุด มารตุ พัฒผล : 2554 9. การวดั และประเมินผล จุดประสงค์การเรยี นรู้ วิ ธีการ วัด เ ครืองมือวั ด เกณฑ์ แหล่งข้อมูล (ร้อยละของ 1. สามารถระบุโรค อาการ การรายงาน แบ บประ เมิ น การรายงาน คะแนนเต็ม) ผู้เรียน 80% และการรักษา โรคทีมากับนาํ ท่วมได้ หน้าชันเรียน 2. สามารถระบุการป้ องกนั โรค การรายงาน แบบประเมิน ผู้เรยี น 80% ทีมากบั นาํ ท่วมได้ หน้ าชั นเ รีย น การรายงาน ผ้ ู เรีย น 90% 3. มีความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ การสังเกต แบบสงั เกต 4. มีความใฝ่ เรียนรู้ การสังเกต แบบสงั เกต ผู้เรยี น 90% มารตุ พัฒผล : 2554

89 10. บันทึกหลงั การจดั การเรียนรู้ 1. สาระสําคัญ …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 2. สมรรถนะ …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 3. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ………………………………………………………….………………………………… …………………………………………………………………………………………… 4. ทักษะการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 5. สิงทีผู้สอนต้องพฒั นา …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… มารตุ พฒั ผล : 2554 แบบประเมินความรู้เกียวกบั โรคทมี ากบั นาํ ท่วม คําชแี จง เขยี นระดับคะแนนลงในช่องผลการประเมนิ โดยใช้ เกณฑ์การให้คะแนนดังนี 1 คะแนน หมายถึง นาํ เสนอความรู้ได้ไม่ชัดเจน ต้องให้เพอื นช่วยเหลือ 2 คะแนน หมายถงึ นาํ เสนอความรู้ได้ โดยต้องอ่านตน้ ฉบบั ทเี ตรียมไว้ล่ วงหน้า 3 คะแนน หมายถงึ นาํ เสนอความรู้ได้ถกู ต้อง โดยพดู อธบิ ายจากความเข้าใจของตนเอง ผลการประ เมิ น ชือ - สกลุ ชนดิ อา กา ร การ การ ข องโรค ข องโรค ป้ องกนั โรค รกั ษาโรค รวม มารตุ พฒั ผล : 2554

90 แบบสังเกตพฤติกรรมการคิดวเิ คราะห์ คาํ ชีแจง 1. แบบสั งเกตนีใช้สังเกตพฤตกิ รรมการคดิ วเิ คราะห์ของผู้เรยี น 2. เขียนคะแนนในช่องผลการสังเกต โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนต่อไปนี 1 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติได้เมือได้รบั ความช่วยเหลอื จากครู 2 คะแนน หมายถงึ ปฏบิ ัตไิ ด้เมือศกึ ษาความรู้ เพิมเติมด้วยตนเอง และมีความถู กต้ อง 3 คะแนน หมายถึง ปฏิบตั ิได้ด้วยตนเองในทันที และมคี วามถูกต้ อง ผล ก าร สั งเก ต ชือ - สกลุ การ การจดั การสรุปอย่าง การประยกุ ต์ใช้ การคาดการณ์ รวม จําแนก หม วด หมู่ สมเหตุสมผล ในสถานการณ์ใหม่ บนพืนฐานข้อมลู มารุต พฒั ผล : 2554 แบบสังเกตพฤติกรรมใฝ่ เรียนรู้ คาํ ชีแจง 1. แบบสังเกตนีมผี ู้สังเกต 3 ฝ่ าย คือ ตนเอง เพอื น และครู 2. เขยี นระดบั คะแนนลงในช่องผลการสังเกต โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนดังนี 1 คะแนน หมายถึง ปฏิบัตเิ มอื ได้รับคําสังจากครู 2 คะแนน หมายถงึ ปฏบิ ัตเิ มือได้รบั การกระตุ้นจากครู 3 คะแนน หมายถงึ ปฏิบัตดิ ้วยตนเอง ชือ - สกุล ผลก าร สั งเ กต ร วม การค้นคว้า การจดบันทึก การสอบถาม การรับฟงั ลงชือผสู้ ังเกต ....................... .................... ...................... (ตนเอง เพอื น ผสู้ อน) มารตุ พัฒผล : 2554

91 มารุต พฒั ผล : 2554 สาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ ระดับชัน ป.6 ภาคเรยี นที 1 หน่วยการเรยี นรู้ที 1 เรือง เปิ ดประตูสู่อาเซียน เวลา 2 ชัวโมง 1. ผลการเรียนรู้ (Learning Outcome) รู้และเข้าใจความเป็นมาของประชาคมอาเซียน การพัฒนาตนเองสู่การเป็นพลเมืองอาเซียน โดยใช้ กระบวนการวิจยั มคี วามสามารถในการคิดวเิ คราะห์ และรับผดิ ชอบ 2. ความคดิ รวบยอดหลัก (Main Concept) ความเป็ นมา ความรบั ผดิ ชอบ เ ปิ ด ปร ะตู ประเท ศสม าชิ ก กระบวนการวจิ ัย สู่ อาเ ซี ย น การพั ฒนาต นเอง คดิ วเิ คราะห์ สู่ ประช าคมอาเซี ย น มารุต พฒั ผล : 2554

92 3. หัวขอ้ สาระการเรยี นรู้ 3.1 ความเป็นมาของประชาคมอาเซียน 3.2 ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน 4. สมรรถนะ ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ 5. คุณลกั ษณะทพี งึ ประสงค์ ความรบั ผดิ ชอบ 6. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 6.1 ระบุความเป็ นมาของประชาคมอาเซยี นได้ 6.2 ระบุแนวทางการพฒั นาตนเองไปสู่ประชาคมอาเซยี นได้ 6.3 มคี วามสามารถในการคิดวิเคราะห์ 6.4 มคี วามรับผิดชอบในการปฏิบัติกจิ กรรมการเรยี นรู้ มารตุ พฒั ผล : 2554 7. กิจกรรมการเรียนรู้ 7.1 ขนั กาํ หนดปัญหา 1) ผู้เรยี นร่วมกนั ศึกษาแผนทีโลก และร่วมกนั หาประเทศไทยในแผนที 2) ผู้สอนตังคําถามเกยี วกบั ประชาคมอาเซยี น ได้แก่ ความเป็ นมา ประเทศสมาชิก และการพั ฒนา ตนเองสู่ ประ ชาคม อา เซี ย น 7.2 ขนั เกบ็ รวบรวมข้อมูล 3) ผู้เรยี นร่วมกนั ศึกษาค้นคว้าเกยี วกบั ความเป็นมา ประเทศสมาชิก จากแหล่งการเรยี นรู้ต่างๆ และจดบันทึกอย่างเป็ นระบบ 4) ผู้เรยี นร่วมกันสอบถามความคิดเห็นของผู้สอนในโรงเรียนเกียวกบั แนวท างการพัฒนาตนเอง สู่ ป ระชา คมอาเซี ย น 7.3 ขนั วิเคราะห์ข้อมูล 5) ผู้เรียนวิเคราะห์แนวทางการพฒั นาตนเองสู่ประชาคมอาเซียน มารุต พฒั ผล : 2554

93 7.4 ขนั สรุปผล 6) ผู้เรยี นร่วมกนั สรุปแนวทางการพัฒนาตนเองสู่ ประชาคมอาเซี ยน 7.5 ขนั แลกเปลียนเรียนรู้ 7) ผู้เรียนร่วมกันทาํ กจิ กรรมประชาสัมพันธ์เกยี วกับประชาอาเซยี น และการพัฒนาตนเอง สู่ ป ระชา คมอาเ ซี ย น 8) ผู้เรียนและผู้สอนร่วมกนั ประเมินผลการทาํ กิจกรรมประชาสมั พนั ธ์เกยี ว กบั ประชาคม อาเซียน และการพัฒนาตนเองสู่ประชาคมอาเซียน และแลกเปลยี นเรียนรู้ซึงกนั และกนั 8. สอื การเรียนรู้ / แหล่งเรยี นรู้ 8.1 หนังสือเรยี น 8.2 ภูมิปัญญาท้องถนิ 8.3 เอกสาร online เกยี วกบั ประชาคมอาเซียน 8.4 ห้องสมุด มารุต พฒั ผล : 2554 9. การวัดและประเมนิ ผล จุดประสงค์การเรยี นรู้ วิ ธีการ วัด เครืองมอื วัด เกณฑ์ แหล่งข้อมูล (ร้อยละของ 1. ระบุความเป็นมาของประชาคม การตรวจสอบ แบ บต รวจ ส อบ อาเซี ย นได้ จากการรายงาน การรายงาน คะแนนเต็ม) หน้าชันเรยี น หน้ าชั นเรีย น ผู้เรียน 80% 2. ระบุแนวทางการพัฒนาตนเอง การตรวจสอบ แบบตรวจสอบ ผ้ ู เรี ยน 80% ไปสู่ ประชาคมอาเซียนได้ จากการรายงาน การรายงาน หน้ าชั นเรี ยน หน้ าชั นเ รีย น 3. มีความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การสังเกต แบบสงั เกต ผู้เรียน 80% 4. มีความรับผดิ ชอบในการปฏิบัติ การสั งเกต แบบสงั เกต ผู้เรียน 90% กิจกรรมการเรียนรู้ มารตุ พัฒผล : 2554

94 10. บนั ทกึ หลงั การจดั การเรยี นรู้ 1. สาระสาํ คญั …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 2. สมรรถนะ …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 3. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ………………………………………………………….………………………………… …………………………………………………………………………………………… 4. ทักษะการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 5. สิงทีผู้สอนตอ้ งพฒั นา …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… มารตุ พฒั ผล : 2554 แบบประเมินความร้เู กียวกับประชาคมอาเซียน คาํ ชีแจง เขียนระดบั คะแนนลงในช่องผลการประเมิน โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนดงั นี 1 คะแนน หมายถงึ นําเสนอความร้ไู ด้ ไม่ชัดเจน ต้ องให้เพือนช่วยเหลือ 2 คะแนน หมายถึง นําเสนอความรู้ได้ โดยต้ องอ่านต้ นฉบับทเี ตรียมไว้ล่วงหน้า 3 คะแนน หมายถงึ นาํ เสนอความร้ไู ด้ ถูกต้ อง โดยพูดอธบิ ายจากความเข้าใจของตนเอง ผลการประเมิน ชือ - สกลุ ความเป็ นมา ประเ ท ศสม าชิ ก สาระสาํ คัญ การพฒั นา รวม กฎบัตรอาเซยี น ตนเอง มารุต พัฒผล : 2554

95 แบบสั งเกตพ ฤติกรรมการคิด วิเคราะห์ คําชีแจง 1. แบบสังเกตนใี ช้สังเกตพฤตกิ รรมการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน 2. เขียนคะแนนในช่องผลการสังเกต โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนต่อไปนี 1 คะแนน หมายถงึ ปฏิบัติได้เมือได้รบั ความช่วยเหลือจากครู 2 คะแนน หมายถงึ ปฏบิ ัติได้เมอื ศึกษาความรู้ เพิมเตมิ ดว้ ยตนเอง และมีความถูกต้ อง 3 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติได้ด้วยตนเองในทันที และมีความถูกต้ อง ผลการสงั เกต ชือ - สกลุ การ การจัด การสรปุ อยา่ ง การประยกุ ต์ใช้ การคาดการณ์ รวม จําแนก หม วด หมู่ สมเหตุสมผล ในสถานการณ์ใหม่ บนพืนฐานขอ้ มลู มารุต พัฒผล : 2554 แบบสังเกตพฤติกรรมความมีวินัย คํา ชี แจ ง 1. แบบสงั เกตนีมีผู้สังเกต 3 ฝ่ าย คือ ตนเอง เพอื น และครู 2. เขยี นระดับคะแนนลงในช่องผลการสงั เกต โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนดังนี 1 คะแนน หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมเมือได้รับคําสงั จากครู 2 คะแนน หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมเมอื ได้รบั การกระตุ้นจากครู 3 คะแนน หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมด้วยตนเอง ชือ - สกุล ผลการสงั เกต รับผดิ ชอบ รวม ตังใจ ปฏิบัตงิ าน อดทน ตอ่ ตนเอง ในการเรยี นรู้ บรรลุเป้ าหมาย ต่ อสิงยัวยุ แ ละส่ ว นรว ม ลงชอื ผูส้ ังเกต ....................... .................... ...................... (ตนเอง เพอื น ผสู้ อน) มารุต พฒั ผล : 2554