กระบวนทัศนก์ ารโค้ช เพือ่ เสรมิ สรา้ งการเรยี นรู้ แบบ Hands – On และ Minds – On รองศาสตราจารย์ ดร.วชิ ยั วงษใ์ หญ่ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.มารุต พัฒผล
กระบวนทัศนก์ ารโค้ชเพื่อเสรมิ สรา้ งการเรยี นรู้ แบบ Hands – On และ Minds – On รองศาสตราจารย์ ดร.วิชัย วงษใ์ หญ่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มารุต พัฒผล
กระบวนทัศน์การโคช้ เพอ่ื เสริมสรา้ งการเรียนรู้ แบบ Hands – On และ Minds – On รองศาสตราจารย์ ดร.วชิ ยั วงษ์ใหญ่ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.มารุต พฒั ผล พิมพค์ รง้ั ที่ 2 มนี าคม 2560 จานวน 500 เลม่ ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสานกั หอสมดุ แหง่ ชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data รองศาสตราจารย์ ดร.วชิ ยั วงษใ์ หญ,่ ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.มารุต พฒั ผล. กระบวนทัศน์การโคช้ เพ่ือเสริมสร้างการเรยี นรแู้ บบ Hands – On และ Minds - On. – กรงุ เทพฯ : จรลั สนทิ วงศ์การพิมพ์, 2560. 50 หน้า. 1. การเรียนรู.้ I. ชื่อเรือ่ ง ISBN 978-616-382-415-8 ราคา 100 บาท สงวนลิขสิทธิเ์ นือ้ หาและภาพประกอบ ตามพระราชบญั ญตั ลิ ขิ สทิ ธ์ิ พิมพท์ ี่ บรษิ ทั จรัลสนิทวงศก์ ารพิมพ์ จากัด 233 ซอยเพชรเกษม 102/2 แขวงบางแคเหนอื เขตบางแค กรุงเทพมหานคร 10160 โทรศัพท์ 02-809-2281-3 แฟกซ์ 02-809-2284 www.fast-book.com e-mail: [email protected]
คานา หนังสือ “กระบวนทัศน์การโค้ชเพ่ือเสริมสร้างการเรียนรู้แบบ Hands – On และ Minds - On” เลม่ นี้ เรยี บเรียงข้ึนจากเอกสารทาง วิชาการท้ังในและต่างประเทศ รวมท้ังประสบการณ์การพัฒนาครูใน สถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ทั้งในสังกัดสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (สพฐ.), สานักงานคณะกรรมการ การศึกษาเอกชน (สช.), กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ สถานศกึ ษาในสังกัดกองบัญชาการตารวจตระเวนชายแดน (ตชด.) มีความมุ่งหมายเพื่อสง่ เสริมความรูค้ วามเข้าใจเกี่ยวกับการโค้ช เพ่อื เสริมสรา้ งการเรยี นรู้แบบ Minds - On ซึง่ เป็นทกั ษะท่ีสาคญั อย่าง ยงิ่ ในการเรียนรสู้ ่ิงต่างๆ อย่างฝังลึก โดยมุ่งหวังให้ผู้สอนใช้วิธีการโค้ช ใหผ้ ู้เรยี นไดใ้ ชศ้ ักยภาพของตนเองอยา่ งเต็มความสามารถผ่านการสรา้ ง แรงบันดาลใจ การต้ังคาถามกระตุ้นการคิด การเสริมแรงทางบวก การสร้างแรงจูงใจภายใน ตลอดจนการให้คาช้ีแนะต่างๆ ท่ีเป็น ประโยชน์ เพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการคิด การเรียนรู้การสร้างสรรค์ ตอ่ ไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มจะให้ประโยชนต์ ่อผู้อ่านได้มาก พอสมควร และขอขอบคุณคณะครูและนักเรียนทุกคนที่ได้ร่วม แลกเปล่ยี นเรียนรูใ้ นการเขยี นหนังสอื เลม่ นี้ดว้ ยดีตลอดมา รองศาสตราจารย์ ดร.วชิ ัย วงษใ์ หญ่ ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.มารตุ พฒั ผล
สารบญั เรือ่ ง หนา้ Mind: จิตใจ ความคดิ สตปิ ญั ญา ............................................... 1 Hands–On , Minds–On: การเรียนรทู้ ีเ่ นน้ มิตทิ างดา้ นจติ ใจ สมาธิ กระบวนการคดิ และสติปญั ญา............................................ 3 แนวทางการโค้ชเพอื่ เสริมสร้างการเรียนรู้ แบบ Hands–On และ Minds–On............................................................................. 6 บทบาทของโค้ชทีเ่ สรมิ สรา้ งการเรยี นรู้ แบบ Hands–On และ Minds–On............................................................................. 13 การเสรมิ พลัง (Empower) ในการเรียนรู้ แบบ Hands–On และ Minds–On............................................................................. 16 เซลล์กระจกเงา (Mirror neuron) สาหรบั การพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรมในการเรยี นรู้แบบ Hands–On และ Minds–On............ 19 การเสรมิ สร้างความสุขในการเรียนรูส้ าหรบั การเรียนรู้ แบบ Hands–On และ Minds–On............................................... 22 กระบวนการเรยี นรทู้ ี่เสรมิ สรา้ งสมาธิ กระบวนการคดิ การสร้างสรรค์ และสตปิ ญั ญาในการเรียนรู้แบบ Hands–On และ Minds–On............................................................................ 27 บทสรปุ ........................................................................................... 41 บรรณานุกรม.................................................................................. 45
บัญชีแผนภาพ แผนภาพ หน้า 1 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการเรียนร้แู บบ Minds – On และการเรียนรู้แบบ Hands – On......................................... 7
บญั ชตี าราง หนา้ แผนภาพ 23 1 บทบาทการโค้ชทเ่ี สรมิ สรา้ งความสขุ ในการเรียนรู้
Minds จติ ใจ ความคดิ สติปญั ญา Minds แปลเป็นภาษาไทยได้หลายคาได้แก่ จิต ใจ จิตใจ ความคิด ความทรงจา สติปัญญา ซึ่งเป็นปัจจัยที่สาคัญท่ีทาให้บุคคล สามารถใช้กระบวนการคิด การรับรู้ การใช้เหตุผล การแก้ปัญหา การ วิเคราะห์ การตัดสินใจ การใช้วิจารณญาณ ตลอดจนการเรียนรู้ สงิ่ ตา่ งๆ รอบตวั คาว่า Minds เป็นคาท่ีค่อนข้างมีความหมายกว้าง โดยมี การศึกษาค้นคว้าวิจัยทางวิชาการทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในทางพระพุทธศาสนา อยา่ งไรกต็ ามในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมุ่งเน้นการอธิบายความหมายของคาว่า Minds ว่าเป็นจิตใจ ความคดิ สมาธิ และสติปัญญาของบุคคล ซึ่งนาไปสู่การรับรู้ การคิด ระดบั พ้ืนฐานและการคิดระดับสงู ตลอดจนการเรียนรู้
2 ผู้สอนหรือโค้ชในปัจจุบันมีบทบาทและหน้าที่สาคัญ อีกประการหนึ่งคือ การดแู ลเอาใจใส่จิตใจของผู้เรยี น ด้วยการดูแลเอาใจใส่มิติทางความคิดและจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกของผู้เรียน การเติมปัจจัยทางบวกและสร้างสรรค์ให้กับ ผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง เพ่ือให้จิตใจของผู้เรียนมีความเข้มเข็งและมี ความสุข พร้อมท่ีจะฟันฝ่าอุปสรรค การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การวางแผนชีวิต และทักษะการใช้ชีวิต เพ่ือที่เขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ มีท้ังความรู้ ความคิด สติปัญญาและจิตใจที่ดีงาม เป็นกาลังสาคัญ ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติใหเ้ จริญก้าวหนา้ สืบไป กล่าวโดยสรุป “Minds” คือ จิตใจ ความคิด และสติปัญญาท่ีมีอยู่ในผู้เรียนทุกคน ซ่ึงต้องได้รับการดูแลเอาใจ ใส่จากผู้สอนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเติมปัจจัยทางบวกหรือพลัง ทางบวกเป็นแรงขับให้ผู้เรียนเกิดความเชื่อมั่นในตนเองว่ามีศักยภาพ ทจี่ ะเรียนรู้และสร้างสรรค์สงิ่ ตา่ งๆ ได้ดว้ ยตนเอง
3 Hands–On , Minds–On การเรียนรทู้ เี่ น้นมิตทิ างดา้ นจติ ใจ สมาธิ กระบวนการคิด และสตปิ ัญญา การเรียนรู้แบบ Hands – On และ Minds – On เป็น การเรียนรู้ท่ีเน้นมิติทางด้านจิตใจ ความคิดและสติปัญญา การลงมือ ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีจิตใจจดจ่อ มีสมาธิ โดยให้ ความสาคัญกับคุณค่าของสิ่งที่เรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการ ทางความคดิ และแก่นของความรู้หรือสาระสาคญั (core concepts) การเรียนรู้แบบ Hands – On และ Minds – On ทาให้ ผู้เรียนมีสมาธิ มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ มีความสุขในการเรียนรู้ เห็นคุณค่าในตนเอง ภาคภูมิใจในตนเอง เชื่อมั่นในตนเอง เคารพผู้อ่ืน มีจติ อาสาและจิตสาธารณะซึ่งเป็นปัจจัยหนง่ึ ของความเป็นพลเมือง
4 มีกระบวนการคิดและกระบวนการเรียนรู้ตลอดจนมี องค์ความรู้ที่แม่นยาในสาระสาคัญที่เรียนแบบบูรณาการ และสามารถ นาไปใช้ในชีวิตประจาวันไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ การเรียนรแู้ บบ Hands – On และ Minds – On มุ่งเน้น การให้ความสาคัญกับการบูรณาการสาระสาคัญ กระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนอย่างลงตัว ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ อย่างหลากหลาย โดยที่กิจกรรมการ เรียนรู้เหล่าน้ีจะเป็นปัจจัยส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียน ใส่ใจใน สาระสาคญั core concept) ของการเรียนรู้ มที ักษะการเรยี นรู้ ทักษะ การคิดและท่สี าคัญคือคุณลักษณะต่างๆ ท่เี ป็นมติ ทิ างดา้ นจติ ใจ การเรียนรู้แบบ Minds – On มีความสัมพันธ์กับการ เรียนรู้แบบ Hands – On คือ การเรียนรู้แบบ Minds – On มุ่งเน้น กระบวนการคิดต่างๆ โดยเฉพาะการคิดข้ันสูง เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดไตร่ตรอง การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดอย่างเป็นระบบ การคิดสังเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น ซ่ึงการ คดิ ดังกล่าวจะนาไปสู่การเปลีย่ นแปลงทางดา้ นจติ ใจ ทกั ษะการคิด และ การเรียนร้หู รอื สติปญั ญา อย่างไรก็ตามการเรียนรู้แบบ Minds – On ไม่ได้ หมายความว่าห้ามลงมือปฏิบัติ การลงมือปฏิบัติยังมีความสาคัญอยู่ แต่การปฏิบัตินั้นจะต้องมีกระบวนการคิดบูรณาการอยู่ด้วย เรียกว่า
5 “ลงมือทาอย่างมีสมาธิและกระบวนการคิด” ไม่ใช่ทาอย่างเดียว โดยไม่คิดสว่ นการเรียนร้แู บบ Hands – On มุ่งเน้นที่การลงมือปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ท่นี าไปสูค่ วามร้คู วามเข้าใจในสาระสาคญั สรุปก็คือ การเรียนรู้แบบ Minds – On ผู้เรียนสามารถใช้ กระบวนการคิด จิตใจจดจ่ออยู่กับการเรียนรู้ ลงมือปฏิบัติกิจกรรม ส่วนการเรียนรู้แบบ Hands – On มุ่งให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรม การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองซง่ึ การเรยี นรทู้ ้งั สองมคี วามสมั พนั ธ์กนั การเรยี นรู้ ใชก้ ระบวนการคิด การเรยี นรู้ แบบ Minds – On ลงมือปฏบิ ตั ิ การเรยี นรู้ ลงมอื ปฏิบตั ิ การเรยี นรู้ แบบ Hands – On แผนภาพ 1 ความสมั พันธ์ระหวา่ งการเรยี นรู้แบบ Minds – On และการเรยี นรแู้ บบ Hands - On
6 แนวทางการโค้ชเพอื่ เสรมิ สรา้ ง การเรยี นรแู้ บบ Hands–On และ Minds–On กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Minds – On มุ่งให้ผู้เรียนได้ใช้ กระบวนการคิดและการลงมือปฏิบัติอยู่บนสาระสาคัญของการ เรยี นรู้ (core concepts) แบบบูรณาการ เพื่อให้เกิดความรู้ความ เขา้ ใจที่ลกึ ซึ้ง ตลอดจนการเปลยี่ นแปลงทางดา้ นจิตใจ พัฒนามิติด้านจิตใจ ผ่านการปฏิบัติกิจกรรม การเรียนรู้ร่วมกัน ช่วยเหลือเก้ือกูลซึ่งกันและกัน แบ่งปันกัน โดยการ ลดการแข่งขันแต่เพ่ิมความร่วมมือ ในการเรียนรู้ สร้างความเมตตา กรุณาในจติ ใจของผู้เรียนให้มากๆ ตลอดจนการคิด การสื่อสาร และทา สงิ่ ต่างๆ ดว้ ยความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ
7 การเรียนรู้แบบบูรณาการ เป็นการจัด มวลประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีครบวงจรในเรื่องหน่ึงๆ ซ่ึงเกิดจากการ นาสาระสาคัญ core concept) รวมท้ังสมรรถนะและคุณลักษณะอัน พงึ ประสงค์ของผู้เรยี นมาผสมผสานกนั อย่างลงตวั มีความสอดคล้องกับ ความต้องการ ความถนัด ความสนใจ ธรรมชาติ วิถีชีวิตของผู้เรียน ตลอดจนสิ่งแวดลอ้ ม วฒั นธรรม ประเพณี ความเช่ือ ค่านิยมของชุมชน เพือ่ ให้ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรแู้ บบองคร์ วม การพัฒนากระบวนการคิดของผู้เรียน เปน็ ภารกจิ ทส่ี าคัญของโค้ชทุกคนในการพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะการคิด ต่างๆ ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย กิจกรรมการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพจะมีลักษณะบูรณาการสาระสาคัญ core concept) ตา่ งๆ เข้าด้วยกนั ผเู้ รียนได้ฝึกทักษะ การคิดด้านต่างๆ อย่างมีชีวิตชีวา สนุกสนาน มีความสุข โดยท่ีผู้สอนใช้การวัดและประเมินผลอย่างเป็น ระบบชดั เจน นาผลการประเมนิ มาพฒั นาผเู้ รียนอยา่ งตอ่ เนื่อง การคิด (thinking) เป็นการกระทาทุกส่ิงทุกอย่าง ในสมอง เช่น การระลึกความทรงจาหรือความรู้ การทาความเข้าใจ การวิเคราะห์ การตีความ การตรวจสอบทบทวน การคาดการณ์ใน อนาคต การให้เหตุผล การประเมินคุณค่า การตัดสินใจ การวางแผน การออกแบบ เป็นตน้
8 การคดิ แบ่งเปน็ 2 ระดับ ไดแ้ ก่ 1. การคดิ ขนั้ พ้นื ฐาน เชน่ การจา (remembering) การทาความเขา้ ใจ understanding) การประยุกต์ใช้ applying) 2. การคดิ ขัน้ สูง (higher – order thinking) เชน่ การคดิ วิเคราะห์ analytical thinking) การคดิ สังเคราะห์ synthesis thinking) การคิดประเมนิ ค่า evaluate thinking) การคดิ สรา้ งสรรค์ creative thinking) การคดิ วจิ ารณญาณ critical thinking) การคิดอย่างเป็นระบบ systematic thinking) การคดิ แกป้ ญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ creative problem solving) การคิดวิเคราะห์ (analytical thinking) คือ การคิด จาแนกแยกแยะองคป์ ระกอบตา่ งๆ ของสิง่ ท่ีใหญ่กว่า และการพิจารณา ความเก่ียวข้องกันระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจและรู้จักสิ่งน้ันมากย่ิงข้ึน เช่น การจาแนกองค์ประกอบของ ดอกไม้ท่ีประกอบดว้ ย กา้ นดอก กลบี ดอก และเกสร เปน็ ต้น
9 การคิดสังเคราะห์ (synthesis thinking) คือ การคิด ผสมผสานจากการคิดวิเคราะห์องค์ประกอบย่อยๆ ของสิ่งใดสิ่งหน่ึง เขา้ ด้วยกันอย่างเป็นระบบ ทาให้มีความซับซ้อนมากขึ้น และมีลักษณะ เป็นองค์รวมไม่แยกส่วน เช่น การผสมผสานความรู้เก่ียวกับการออก กาลังกาย ความรู้เกี่ยวกับดัชนีมวลกาย BMI) และความรู้เก่ียวกับ ความอ้วน นาไปสู่การสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ด้านการออกกาลังกาย เพอ่ื ลดน้าหนัก เปน็ ตน้ การคิดเชิงเหตุผล (rational thinking) คือ การคิด เช่ือมโยงความสัมพันธ์ของเหตุและผลว่าสาเหตุท่ีทาให้เกิดผลคืออะไร หรือผลที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุอะไร บนพ้ืนฐานของความรู้และข้อมูล ต่างๆ เชน่ การใหเ้ หตุผลว่าเพราะเหตุใดการตัดไม้ทาลายป่าจึงเป็นการ ทาลายสง่ิ แวดลอ้ ม เปน็ ตน้ การคิดเชิงตรรกะ (logical thinking) คือ การอ้างความ จริงอย่างใดอย่างหน่ึงแล้วนาไปสู่การลงสรุปไปยังส่ิงอื่นอย่างมีเหตุผล เช่น การอ้างความจริงว่า 1) สสารทุกชนิดต้องการท่ีอยู่ 2) อากาศเป็น สสาร ดงั น้นั สรปุ ได้วา่ อากาศตอ้ งการทอี่ ยู่ เป็นต้น การคิดเชิงระบบ (system thinking) คือ 1) การคิดใน เรื่องใดเรอื่ งหน่งึ ท่มี องภาพรวมว่าเปน็ ระบบใหญ่ ซงึ่ ประกอบด้วยระบบ ยอ่ ยท่มี คี วามสมบูรณ์ในตัวเองหลายระบบ และระบบย่อยเหล่าน้ันต่าง
10 มคี วามสมั พันธก์ ัน 2) การคิดในลกั ษณะวงจรของสาเหตุและผล cycle loop) ในเร่ืองใดเรื่องหน่ึงที่มีความเช่ือมโยงกัน เช่น การคิดเก่ียวกับ ระบบของร่างกายมนุษย์ซึ่งเป็นระบบใหญ่ ประกอบด้วยระบบย่อยๆ ไดแ้ ก่ ระบบหายใจ ระบบหมุนเวยี นโลหิต ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบต่อม ไร้ท่อ ระบบขับถ่าย ระบบห่อหุ้มร่างกาย ระบบโครงกระดูก ระบบ กลา้ มเนอื้ ระบบประสาท ระบบสืบพันธ์ุ เปน็ ตน้ การคดิ อย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) คือ การ คิดพิจารณาและประเมินข้อมูลหลักฐานต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับเร่ืองท่ีคิด ด้วยความมีสติปัญญา มีเหตุผล นาไปสู่การกาหนดสมมติฐานและการ ตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การคิดพิจารณาและประเมินข้อมูล หลักฐานต่างๆ ว่าการแต่งกายชุดนักเรียนที่ถูกระเบียบช่วยส่งเสริม บุคลิกภาพทด่ี ีของนักเรยี นจรงิ หรือไม่ เปน็ ต้น การสะท้อนคิด (reflective thinking) คือ การคิด ทบทวนในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน reflection in action) อดีต reflection on action) หรืออนาคต reflection for action) อยา่ งมเี หตผุ ล โดยใช้ความรู้ ขอ้ มลู หลกั ฐาน ประสบการณ์ นาไปสู่การ ปรับปรุงและพัฒนาให้ดีข้ึน เช่น การทบทวนพฤติกรรมความสนใจใน เรียนรู้ของตนเองจนได้ข้อสรุปในการปรับปรุงและพัฒนาตนเองในการ เรียนรู้คร้ังตอ่ ไป เปน็ ต้น
11 การคิดริเร่ิม (initiative thinking) คือ การคิดแสวง แนวทางหรือวิธีการใหม่ๆ ที่นาไปสู่การปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งท่ียังไม่ เคยทามาก่อน และเป็นส่ิงที่เป็นประโยชน์ การคิดริเร่ิมเป็นพ้ืนฐาน ของการคิดสร้างสรรค์ เช่น การคิดนาวัสดุเหลือใช้มาสร้างเป็น ผลติ ภณั ฑ์ใหม่ เปน็ ตน้ การคิดสรา้ งสรรค์ (creative thinking) คือ การคิดสร้าง นวัตกรรม ซ่ึงอาจเป็นแนวคิดใหม่ แนวทางใหม่ วิธีการใหม่ กระบวนการใหม่ เทคนิคใหม่ ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ ท่ีสามารถนาไปใช้ ประโยชน์ได้ การคิดสร้างสรรค์เป็นพื้นฐานของการสร้างสรรค์ นวัตกรรม เช่น การคิดค้นพัฒนานวัตกรรมอาหารที่ผลิตมาจากพืชผัก ธรรมชาติ ท่มี ีประโยชน์ และอยู่ในความสนใจของผบู้ ริโภค เปน็ ต้น การวัดและประเมินผล เป็นเคร่ืองมือ ตรวจสอบกระบวนการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ท้ังนี้เพื่อ การวางแผนพัฒนาผู้เรียนตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการพัฒนา ตามศักยภาพ ผลการวิจัยค้นพบว่าหากผู้โค้ชดาเนินการวัดและ ประเมินผลตามสภาพจริงจะส่งผลทาให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนสูงข้ึน ถ้าผู้โค้ชได้ออกแบบการประเมินที่มีคุณภาพ และสะท้อน ผลการประเมนิ ไปสกู่ ารพัฒนาผูเ้ รยี นอย่างต่อเนอื่ ง
12 จากท่ีกล่าวมาสรุปได้เป็นแนวทางการโค้ชเพื่อเสริมสร้าง การเรียนรูแ้ บบ Minds – On ประกอบดว้ ย 1. พฒั นามติ ิทางดา้ นจิตใจของผเู้ รยี น 2. จดั ประสบการณก์ ารเรยี นรูแ้ บบบูรณาการ 3. กระตนุ้ ให้ผเู้ รียนใช้กระบวนการคดิ core concept และลงมอื ปฏบิ ตั ิ 4. ประเมินผลตามสภาพจริงและสะท้อนผล สกู่ ารพัฒนาผเู้ รียน
13 บทบาทของโคช้ ที่เสรมิ สรา้ ง การเรียนรแู้ บบ Hands–On และ Minds–On ด้วยเหตุท่ีการเรียนรู้แบบ Minds – On ผู้เรียนมีบทบาท เป็นผู้ใช้กระบวนการคิด การลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เพ่ือนาไปสู่การ เรียนรู้ทางด้านจิตใจ กระบวนการคิด และสติปัญญา ดงั นนั้ บทบาทของโคช้ ที่เสริมสรา้ งการเรยี นรแู้ บบ Minds – On จึงมคี วามสาคัญมากในการสง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดการเรียนรู้ดงั กล่าว โค้ชที่สามารถเสริมสร้างการเรียนรู้แบบ Minds – On จาเป็นต้องมีบทบาทที่สาคัญหลายประการเพื่อเป็นปัจจัยส่งเสริม ประสทิ ธิภาพในการโค้ชการเรียนรู้แบบ Minds - On แบ่งเป็นบทบาท ด้านการเรียนรู้และบทบาทด้านการเสรมิ พลงั การเรียนรู้ ดงั ต่อไปนี้
14 บทบาทดา้ นการเรยี นรู้ - มีนิสัยรกั การเรียนรสู้ งิ่ ใหมอ่ ย่างต่อเนอ่ื ง - ชอบการพัฒนาตนเองให้มคี วามรทู้ ท่ี นั สมัย - แสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรทู้ ีห่ ลากหลาย - ใชเ้ ทคโนโลยใี นการเรียนรู้ - คิดไตรต่ รองทบทวนประสบการณข์ องตนเอง - แสวงหานวัตกรรมในการจดั การเรียนรู้ - ชอบการเรียนรู้ดว้ ยตนเองมากกว่าการรับความรู้ - แลกเปลยี่ นเรยี นรู้กับเพือ่ นรว่ มวิชาชีพ - รับฟงั ความคิดเหน็ ของบคุ คลอน่ื - ตัดสินใจบนหลกั ฐานขอ้ มลู ทเี่ ช่ือถอื ได้ - เรยี นรูธ้ รรมชาติของบุคคลอืน่ ได้ดี - มีความไวตอ่ ความรสู้ กึ - ชา่ งสงั เกตและจดจา - ปรับเปล่ยี นวิธีการคิดไดส้ อดคล้องกับสถานการณ์ - มคี วามยืดหย่นุ ในวธิ กี ารทางาน - มคี วามสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ - มคี วามสามารถในการสร้างสรรค์นวตั กรรม - เขา้ ใจอารมณ์ความรสู้ ึกของบคุ คลอ่นื ไดด้ ี - มีความรู้ในเนื้อหาสาระและ core concept แมน่ ยา - มีความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ - กระตือรอื ร้นในการปฏิบัติงาน
15 บทบาทด้านการเสริมพลงั การเรียนรู้ - สร้างความไว้เนือ้ เชือ่ ใจใหก้ บั ผู้เรียน - ให้กาลงั ใจในการเรียนรแู้ ละพัฒนาตนเองแก่ผู้เรยี น - ให้อภัยในความผิดพลาดของผเู้ รยี น - ให้โอกาสในการปรับปรงุ แก้ไขแก่ผู้เรียน - ใจเย็นในการรอคอยคาตอบจากผเู้ รียน - ให้ความเมตตากรณุ าแก่ผเู้ รยี นอยา่ งเทา่ เทียมกนั - ใจกวา้ งยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ของผเู้ รยี น - มคี วามอดทนในการชว่ ยเหลือผเู้ รยี น - ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภยั แก่ผ้เู รียน - ตง้ั คาถามกระตุ้นการคิดขน้ั สงู ของผเู้ รียน - สะทอ้ นผลกลบั การเรยี นรู้อย่างสร้างสรรค์ - ใชภ้ าษาทางบวกในการสอื่ สารกับผูเ้ รียน - ชี้แนะการรคู้ ิด cognitive guide) แกผ่ ูเ้ รยี น - สร้างแรงจงู ใจให้กบั ผเู้ รยี นโดยเฉพาะแรงจูงใจภายใน - เปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นใชก้ ระบวนการคิดของตนเอง - สรา้ งความเช่อื มัน่ ในตนเองให้กบั ผเู้ รยี น - ให้ความรสู้ ึกการมคี ณุ คา่ ในตนเองแกผ่ ู้เรียน - สง่ เสริมการแลกเปล่ียนเรียนรู้เกีย่ วกบั core concept ระหว่างผเู้ รยี น - ยอมรบั ในความสาเร็จทางการเรียนร้ขู องผูเ้ รยี น - ชแ้ี นะแนวทางการปรับปรุงและพฒั นาตนเองแกผ่ ู้เรียน
16 การเสริมพลัง (Empower) ในการเรียนรู้แบบ Hands–On และ Minds–On การเสรมิ พลัง เป็นการปรับเปลี่ยนความคิดความรู้สึก ข อ ง ผู้ เ รี ย น ใ ห้ มี ค ว า ม เ ช่ื อ มั่ น ใ น ค ว า ม รู้ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง ต น เ อ ง ตลอดจนการ ทาให้ศักยภาพท่ีแฝงอย่ภู ายในตัวผูเ้ รียนปรากฏออกมา ด้วยการให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ กับเพื่อน สนับสนุนให้คิดและตัดสินใจด้วยตนเอง ในการแก้ไขปัญหา ที่เกิดข้ึน ตลอดจนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ มีความตระหนักและการ ยอมรับตนเอง จนทาให้ผู้เรียนสามารถสร้างพลังให้กับตนเองหรือ แรงจูงใจภายในได้ เช่ือมั่นว่าตนเองมีศักยภาพและความสามารถ ในการเรยี นรแู้ ละกระทาสิง่ ต่างๆ จนประสบความสาเรจ็
17 แนวปฏิบัติของโค้ชเพ่ือเสริมพลังการเรียนรู้แบบ Minds – On มดี ังตอ่ ไปนี้ 1. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความรู้ความสามารถ เกี่ยวกับ core concept ในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ การแสดงความ คิดเหน็ ตลอดจนการคิดและตดั สินใจดว้ ยตนเอง 2. เสริมสร้างให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และ ความคดิ เห็นระหว่างผเู้ รียนดว้ ยกนั เองและระหว่างผู้เรียนกบั โค้ช 3. สนับสนุนองค์ความรู้ ทักษะ และทรัพยากร ตา่ งๆ ทีม่ คี วามจาเปน็ ต่อการกระตุ้นให้เกิด core concept การเรียนรู้ สง่ิ ใหมใ่ ห้กับผ้เู รยี นแตล่ ะคนอย่างเหมาะสม 4. เสริมสร้างให้ผู้เรียนมีทักษะและกระบวนการ ทางานเปน็ ทมี การชว่ ยเหลือซึ่งกนั และกนั 5. ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และสารสนเทศท่ีจาเป็นต่อการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองอยา่ งต่อเนอ่ื ง 6. สร้างบรรยากาศความไวว้ างใจซึง่ กันและกัน
18 7. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกและกาหนดวิธีการ เรยี นรู้ดว้ ยตนเองดว้ ยความรบั ผิดชอบและการมวี นิ ัยในตนเอง 8. ให้ความช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาทางการ เรียนรู้ท่เี กดิ ขน้ึ และเป็นอปุ สรรคตอ่ การเรียนรู้ของผูเ้ รยี น 9. สนับสนุนผู้เรียนให้มีความเช่ือมั่นและกล้าหาญ ในการคิดและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล กล้าเผชิญปัญหาที่ท้าทาย ความคิดและความสามารถ 10. ให้ข้อมูลย้อนกลับการเรียนรู้แก่ผู้เรียนอย่าง สร้างสรรค์ เสนอแนะจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนาพร้อมกับแนวทางการ พัฒนาใหก้ บั ผเู้ รียน
19 เซลลก์ ระจกเงา (Mirror neuron) สาหรับการพฒั นาคุณธรรมจริยธรรม ในการเรียนรู้แบบ Hands–On และ Minds–On นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยพาร์ม่า Parma University) ประเทศอิตาลี ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเซลล์กระจกเงา โดยการ ศกึ ษาวิจยั ครง้ั แรกๆ ได้ทาการศึกษาในลิงตอ่ มาจึงทาการศึกษาในคน จากการทดลองในลิงพบว่า เซลล์สมองบางส่วนจะถูก กระตุน้ เมื่อลิงใช้มือเคล่ือนไหว เช่น หยิบจับสิ่งของ นอกจากน้ีเซลล์สมอง ยังถูกกระตุ้น เม่ือเห็นลิงตัวอ่ืนทากิจกรรมต่างๆ อีกด้วย ต่อมา พวกเขาพบว่าภายในสมองของคนเรามีเซลล์ชนิดหนึ่งซ่ึงภายหลังได้ต้ัง ช่อื ว่า เซลลก์ ระจกเงา (Mirror Neuron)
20 เซลล์กระจกเงา เป็นเซลล์ประสาทชนิดหน่ึงในสมองท่ี ทางานก่อนพลังงานกล premotor) เป็นเซลล์ประสาทที่อยู่ส่วนหน้า ของสมอง สามารถทางานได้อย่างกระตือรือร้นเมื่อได้สังเกตการ กระทาของบุคคลอ่ืน เซลล์กระจกเงา หรือ Mirror Neuron จะทาหน้าท่ี สะท้อนภาพคนอ่ืนๆ ที่เรามองเห็นเสมือนหน่ึงว่า มันเป็นกระจกเงาท่ีสะท้อนภาพทุกอย่างเข้าไป ภาพท่ีถูกสะท้อนเข้าไปโดยการทางานของเซลล์ กระจกเงานี้จะกระตุ้นให้สมองส่วนอื่นๆ ของเรา เกิดกระบวนการทางานอย่างต่อเน่ืองตามมา ส า ม า ร ถ น า ม า ป ร ะ ยุ ก ต์ ใ ช้ โ ด ย ก า ร เ ป็ น ตั ว แบบที่ดีของผู้เรียนอย่างต่อเนื่องสม่าเสมอก็จะมี ส่ ว น ท า ใ ห้ ผู้ เ รี ย น มี คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ แ ล ะ พ ฤ ติ ก ร ร ม ท่ี พึ ง ปรารถนาได้
21 “พอ่ แม่ คอื ตวั แบบของลูก ครู คอื ตวั แบบของนักเรียน ต้องการใหน้ ักเรียนเปน็ อย่างไร กระทาส่งิ นั้นให้พวกเขาเห็น”
22 การเสริมสร้างความสุขในการเรยี นรู้ สาหรบั การเรยี นรู้แบบ Hands – On และ Minds – On ความสุขในการเรียนรู้ เป็นตัวแปรท่ีสาคัญที่สุด ในการเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะเป็นทั้งเหตุปัจจัยท่ีส่งเสริมการเรียนรู้ และเปน็ ผลทเี่ กิดจากการท่ีผูเ้ รียนไดเ้ รยี นรู้ ดังนั้นโค้ชจึงควรให้ความสาคัญกับความสุขในการเรียนรู้ ใหม้ าก โดยการโค้ชใหผ้ ูเ้ รยี นมีความสขุ เป็นลาดบั แรก ถ้าเรานาระดับข้ันของความสุข 5 ข้ัน ตามท่ีพระพรหม คุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตโต) ได้เสนอไว้ มาวิเคราะห์ทาให้เห็นบทบาท ของโค้ชที่เสริมสร้างความสุขในการเรยี นรู้ ดงั ตารางต่อไปนี้
23 ตาราง 1 บทบาทการโคช้ ท่ีเสรมิ สรา้ งความสุขในการเรียนรู้ ข้นั ของความสขุ บทบาทการโคช้ ทเี่ สรมิ สร้างความสขุ ในการเรยี นรู้ ขั้นท่ี 1 - ฝกึ ให้ผู้เรยี นใชส้ ่อื และเทคโนโลยใี นการสืบเสาะ ความสุขจากการ แสวงหาความรู้ เสพวัตถุ - ฝึกให้ผู้เรยี นเรยี นรู้จากส่อื ทต่ี ่นื เต้น ดงึ ดดู ความสนใจ ข้นั ที่ 2 - ฝึกใหผ้ ู้เรยี นให้การยอมรบั การชมเชย ความสุขจากการให้ การใหก้ าลังใจแกเ่ พ่อื น - ฝกึ ให้ผู้เรยี นใหค้ วามช่วยเหลือเพื่อน - ฝกึ ให้ผู้เรยี นให้คาแนะนาที่เป็นประโยชน์ตอ่ เพื่อน - ฝึกใหผ้ เู้ รยี นใหเ้ พื่อนยืมสิ่งของอุปกรณก์ ารเรยี น - ฝกึ ให้ผเู้ รยี นใหค้ าชมเชย ใหก้ าลงั ใจเพื่อน - ฝกึ ใหผ้ ู้เรยี นให้ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรงุ แกไ้ ข ผลงาน
24 ตาราง 1 บทบาทการโค้ชท่เี สริมสรา้ งความสขุ ในการเรยี นรู้ ตอ่ ) ข้ันของความสขุ บทบาทการโคช้ ทเ่ี สริมสรา้ งความสขุ ในการเรยี นรู้ ขั้นที่ 3 ความสขุ จากการ - ให้โอกาสผู้เรียนปฏิบตั ิงานเตม็ ความสามารถ ดาเนินชวี ติ ถูกตอ้ ง - ฝกึ ให้ผูเ้ รยี นประเมินและปรบั ปรงุ ตนเอง สอดคล้องกับ อย่างตอ่ เนื่อง ธรรมชาติ - ฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นพูดและทาในสิง่ ท่เี ปน็ จรงิ - ฝกึ ใหผ้ ูเ้ รยี นแลกเปลย่ี นเรียนรรู้ ว่ มกนั ข้ันที่ 4 ความสุขจาก - ฝึกให้ผเู้ รยี นรบั รู้ความคดิ อารมณ์ ของตนเอง ความสามารถ - ฝึกใหผ้ ูเ้ รยี นคดิ ทางบวกตอ่ สถานการณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ ในการปรุงแต่ง - ฝกึ ใหผ้ ้เู รยี นค้นหาขอ้ ดีท่ีแฝงอยูใ่ นภาระงานต่างๆ - ฝกึ ให้ผเู้ รยี นมคี วามคดิ ยดื หยุน่ ไม่ยึดตดิ ขั้นที่ 5 ความสุขเหนอื การ - ฝึกการมสี ติรตู้ ัวและสมาธิ ปรงุ แตง่ - ฝึกให้ผู้เรยี นรู้จกั การใช้เหตผุ ลพจิ ารณาส่ิงตา่ งๆ ตามความเป็นจรงิ - ฝกึ ให้ผู้เรยี นให้รู้จักการปล่อยวาง อเุ บกขา) ด้วยสตแิ ละปัญญา
25 ผลการวิจัยทผี่ า่ นมา มีขอ้ ค้นพบว่า ปัจจัยท่ีทาให้ผู้เรียน มีความสุขในการเรียนรู้ประกอบด้วยปัจจัยของผู้เรียนเอง และ ปัจจยั ของผสู้ อน ปจั จัยของผู้เรียน ประกอบด้วย 1) ความภาคภูมใิ จในตนเอง 2) ความสามารถในการปรับตวั 3) เจตคติตอ่ ผสู้ อน ปจั จัยของผสู้ อน ประกอบดว้ ย 1) การจัดการเรียนร้ทู ีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั 2) คุณลักษณะของผู้สอน 3) มคี วามรักและเมตตาต่อผู้เรียน ด้วยเหตุน้ีการทาให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้จึงต้อง สร้างความภาคภูมิใจในตนเองของผู้เรียน คือ การรับรู้คุณค่าที่มี ในตนเอง มคี วามเชอ่ื มัน่ ในคณุ คา่ ของตนเอง น อ ก จ า ก น้ี ยั ง ต้ อง พั ฒ น า ผู้ เ รี ย น ใ ห้ รู้ จั ก ป รั บ ตั ว ต่อสถานการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม ในการเผชิญปัญหาและ อุปสรรคต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการเรียน โดยการคิดแก้ปัญหาอย่าง รอบคอบและสรา้ งสรรค์ ใชเ้ หตุผล ตลอดจนการกลา้ เผชิญกบั ปญั หา
26 แนวทางการโคช้ ที่เสรมิ สร้างความสุขในการเรียนรู้ มดี งั ตอ่ ไปน้ี 1. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย โดยแสดงถึง ความเป็นมิตร ยิ้มแย้ม ให้กาลังใจ และให้คาแนะนา เมื่อผู้เรียน ตอ้ งการความช่วยเหลอื 2. ชี้แนะ กากับ ฝึกฝน และอานวยความสะดวก ให้ผู้เรียนไดเ้ รียนร้ตู ามขั้นตอนทนี่ าไปสู่การบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ 3. ให้ความสาคัญกับพฤติกรรมต่างๆ ที่ผู้เรียน แสดงออกถึงความไมเ่ ขา้ ใจ ให้การเสรมิ แรง และให้กาลงั ใจผเู้ รยี น 4. จัดสถานการณ์การเรียน บรรยากาศ ให้เอ้ือต่อ การเรยี นรแู้ ละแบบการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น 5. ใช้คาถามกระตุ้นใหผ้ เู้ รียนคิด วิเคราะห์ และเพิ่ม แรงบันดาลใจในการเรยี นรู้เพื่อพัฒนาตนเองให้มีความสขุ ในการเรียนรู้ 6. ปรับกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะกับระดับ ความสามารถของผเู้ รียน
27 กระบวนการเรยี นรู้ ท่เี สรมิ สร้างสมาธิ กระบวนการคดิ การสรา้ งสรรค์ และสติปัญญา ในการเรียนรู้ แบบ Hands–On และ Minds–On กระบวนการเรียนรู้ท่ีโค้ชควรนาไปใช้พัฒนา กระบวนการคิด สมาธิ และสติปัญญาของผู้เรียน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดงั นี้ 1) กระบวนการทางสมอง (Cognitive) 2) กระบวนการทกั ษะปฏิบัติ (Psycho-motor) 3) กระบวนการทางเจตคติ (Affective)
28 1) กระบวนการทางสมอง (Cognitive) กระบวนการสรา้ งความร้คู วามเข้าใจ 1) ข้ันสงั เกต / ตระหนัก 2) ขนั้ วางแผนปฏิบตั ิ 3) ขั้นลงมือปฏิบัติ 4) ขั้นพฒั นาความร้คู วามเข้าใจ 5) ขน้ั สรปุ กระบวนการสร้างความคดิ รวบยอด 1) ขน้ั สังเกต / รบั รู้ 2) ข้ันจาแนกความแตกต่าง 3) ขน้ั หาลักษณะร่วม 4) ข้นั ระบชุ ่อื ความคิดรวบยอด 5) ขั้นทดสอบและนาไปใช้ กระบวนการสร้างความคิดวิจารณญาณ 1) ขนั้ สังเกต / รับรู้ 2) ขั้นอธิบาย 3) ขัน้ รบั ฟงั 4) ขน้ั เชือ่ มโยงความสัมพันธ์ 5) ขั้นวจิ ารณ์ 6) ขั้นสรุป
29 กระบวนการเรียนทางภาษา 1) ขนั้ ทาความเขา้ ใจสัญลักษณ์ สอ่ื รูปภาพ เครอื่ งหมาย 2) ขั้นสรา้ งความคิดรวบยอด 3) ขั้นสื่อสารความคดิ 4) ขั้นพัฒนาความสามารถ กระบวนการฟัง 1) ฟงั แลว้ จบั ประเด็นได้ 2) ฟงั แล้ววเิ คราะห์ได้ 3) ตีความได้ 4) ประเมินคุณค่าได้ 5) จดบันทึกได้ กระบวนการวเิ คราะห์ 1) การจาแนก 2) การจัดหมวดหมู่ 3) การสรุปอยา่ งสมเหตุผล 4) การประยุกต์ใช้ในสถานการณใ์ หม่ 5) การคาดการณบ์ นพนื้ ฐานข้อมลู
30 กระบวนการตัดสินใจ 1) กาหนดปัญหา 2) วิเคราะห์แยกแยะประเด็น 3) กาหนดทางเลอื ก จดั ลาดบั ประเมนิ 4) วางแผนทางเลือกท่เี ปน็ ประโยชน์ เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลการตดั สินใจท่ีดี ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ 1) การแก้ปญั หา 2) การให้เหตผุ ล 3) การสอื่ สาร สอื่ ความหมายทางคณิตศาสตร์ 4) การเช่อื มโยง 5) ความคิดสร้างสรรค์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 1) ขั้นสร้างความสนใจ 2) ขั้นสารวจค้นหา 3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรปุ 4) ข้ันขยายความรู้ 5) ข้ันประเมิน
31 กระบวนการแกป้ ัญหา 1) แสดงความเขา้ ใจปญั หา 2) วางแผนและลงมือปฏิบตั ิ 3) ใชค้ วามพยายามในการทางาน 4) อธบิ ายวิธีการแก้ปัญหา 5) แสดงผลการทางานได้อย่างชัดเจน การให้เหตผุ ลแบบองิ หลกั การ 1) ใชห้ ลักฐานจากความรเู้ ดิม 2) ใช้ขอ้ อ้างอิงท่ีมลี ักษณะทั่วไป ไปสู่การสรา้ งข้อสรปุ 3) ความนา่ เชอื่ ถือของขอ้ สรุป 4) มีคาตอบ / ได้ความรู้ใหม่ การให้เหตุผลแบบอิงประสบการณ์ 1) ใช้หลกั ฐานจากประสบการณ์ 2) ใช้ข้ออา้ งองิ ที่มีลักษณะเฉพาะ ไปสกู่ ารสรา้ งข้อสรปุ 3) ความน่าเชือ่ ถอื ของขอ้ สรุป 4) มคี าตอบ / มีความร้ใู หม่
32 กระบวนการส่ือสาร สอื่ ความหมาย และการนาเสนอ 1) ใชภ้ าษาและสญั ลักษณ์ทางคณติ ศาสตร์ ในการสอ่ื สาร สอื่ ความหมาย และนาเสนอ 2) จัดระบบและเชือ่ มโยงความคิดทางคณิตศาสตร์ 3) ส่อื สารความคิดทางด้านคณติ ศาสตร์ อย่างต่อเนอื่ ง กระบวนการเชือ่ มโยง 1) การสรา้ งแรงจูงใจให้ผู้เรยี นเกิดความสนใจ (การเชื่อมโยงระหวา่ งส่งิ เรา้ กับการตอบสนอง) 2) การเชื่อมโยงขอ้ มลู ภายในกบั ข้อมลู ภายนอก 3) การเชือ่ มโยงเครอ่ื งหมายสญั ลักษณ์ 4) การเชอ่ื มโยงประสบการณก์ ับสิ่งแวดลอ้ ม 5) การเข้าใจและฝึกฝนจนเกิดความรู้ ทักษะ กระบวนการคดิ สรา้ งสรรค์ 1) วเิ คราะหแ์ นวคิดและจดั กลุม่ 2) สังเคราะห์และสรา้ งแนวคิดใหม่ 3) ทบทวนแนวคดิ ใหม่ 4) ตกแต่งความคิดใหมใ่ ห้สมบูรณ์
33 กระบวนการทางประวตั ศิ าสตร์ 1) การรวบรวมและคัดเลือกหลักฐาน 2) การวเิ คราะห์และประเมนิ คณุ คา่ หลักฐาน 3) การตีความหมายหลกั ฐาน 4) การสงั เคราะหข์ ้อมูล 2) กระบวนการทกั ษะปฏิบตั ิ (Psycho-motor) ทกั ษะกระบวนการ 9 ขั้น 1) ขน้ั ตระหนักในปญั หาและความจาเปน็ 2) ขั้นคดิ วิเคราะห์ วจิ ารณ์ 3) ขั้นสร้างทางเลือกทหี่ ลากหลาย 4) ขั้นประเมินและเลือกทางเลือก 5) ขน้ั ปฏบิ ัติ 6) ขั้นปฏิบัตดิ ้วยความชืน่ ชม 7) ขัน้ ประเมินผลระหว่างปฏบิ ัติ 8) ข้นั ปรบั ปรุงให้ดีขึน้ อย่เู สมอ 9) ขนั้ ประเมินผลรวมเพื่อให้เกดิ ความภาคภูมิใจ
34 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1) สงั เกต 2) การวดั 3) จาแนกประเภท 4) การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปส – สเปส และ สเปส – เวลา 5) การคานวณ 6) การจัดกระทาและส่อื ความหมายข้อมลู 7) การลงความเหน็ ขอ้ มูล 8) การพยากรณ์ 9) การต้งั สมมตฐิ าน 10) การกาหนดนิยามเชงิ ปฏิบตั ิการ 11) การกาหนดและควบคมุ ตัวแปร 12) การทดลอง 13) การตีความหมายและลงสรปุ ขอ้ มลู
35 กระบวนการฟัง 1) ได้ยนิ ได้ยนิ แหลง่ ของเสยี ง ประสาทหจู ะรับเสยี ง 2) รับรู้ สมองจาแนกเสียงไปตามลกั ษณะโครงสร้าง ไวยากรณ์ของแต่ละเสยี ง 3) ขน้ั เขา้ ใจ สมองทาความเข้าใจ วิเคราะห์ ตคี วามท่ีได้ฟังออกมาเป็นความหมาย 4) ขั้นพิจารณา สารท่ีไดร้ บั มาเช่ือถือได้ หรือไม่เปน็ ประโยชนต์ อ่ ตนเองหรอื ไม่ 5) การนาไปใช้ นาสิ่งทมี่ ีความรู้ความเข้าใจไปใช้ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ด้านใดดา้ นหนง่ึ กระบวนการอ่าน 1) เตรียมการอา่ น 2) การอา่ น 3) แสดงความคิดเห็น 4) อา่ นสารวจ 5) การขยายความคดิ
36 กระบวนการอ่าน (2) 1) การรับร้คู า - ร้จู กั และจารปู คาได้ สามารถอ่านออกเสยี งได้ 2) การเขา้ ใจประโยคหรือสารทีอ่ า่ น - การแปลความ การตคี วามได้ 3) การตอบสนองต่อสาร เมื่อเข้าใจสาระ - มีความคิด เห็นดว้ ย ไม่เหน็ ดว้ ย พอใจ ไม่พอใจ 4) การบูรณาการความคดิ - การรวบรวมสรุปความคดิ มาผสมผสาน เปรยี บเทียบกบั ประสบการณ์เก่า - สมองจะเลือกรับและจดจาเฉพาะสิ่งที่ ต้องการ กระบวนการกลุ่ม 1) ขั้นกาหนดเป้าหมาย 2) ขน้ั วางแผน 3) ขั้นคน้ หาคาตอบ 4) ขั้นประเมนิ ผล 5) ขัน้ ประยุกต์ใช้
37 กระบวนการสรา้ งผลงานจิตกรรม 1) การเตรยี มเฟรม 2) การร่างภาพ 3) การเขียนภาพลายเสน้ 4) ระบายสีในกลุ่มน้าหนกั สี 5) ปดิ ทองคาเปลวในสว่ นทต่ี ้องการ 6) แตม้ สโี ดยรวมขน้ั ตอนสุดท้าย กระบวนการเทคโนโลยี 1) การกาหนดปัญหา 2) รวบรวมขอ้ มูล 3) แสวงหาวิธกี ารแกป้ ัญหา 4) เลอื กวธิ กี าร 5) ออกแบบและปฏิบตั ิการ 6) ทดสอบ 7) ปรับปรุงแก้ไข 8) ประเมนิ ผล กระบวนการทางาน 1) การวเิ คราะหง์ าน 2) การวางแผนการทางาน 3) การปฏิบตั ิตามขั้นตอน 4) การประเมินผล
38 กระบวนการสร้างทักษะการปฏบิ ัติ 1) ขน้ั สงั เกต / รบั รู้ 2) ข้ันทาตามแบบ 3) ขั้นทาเองโดยไม่มีแบบ 4) ขน้ั ฝกึ ใหช้ านาญ กระบวนการสรา้ งและการปฏิบตั ิ 1) ข้ันสงั เกต / รบั รู้ 2) ขนั้ ทาตามแบบ 3) ขั้นทาเองโดยไม่มแี บบ 4) ขน้ั ฝึกให้ชานาญ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1) การต้งั คาถาม / การกาหนดปัญหา 2) การสร้างสมมตฐิ าน 3) การเก็บรวบรวมข้อมลู 4) การวเิ คราะห์และแปลความหมาย 5) การลงข้อสรปุ และการส่ือสาร
39 3) กระบวนการทางเจตคติ (Affective) กระบวนการสรา้ งความตระหนัก 1) ข้ันสังเกต / รับรู้ 2) ขั้นวิจารณ์ 3) ขั้นสรุป กระบวนการสร้างเจตคติ 1) ขั้นสังเกต / รบั รู้ 2) ขัน้ วเิ คราะห์ 3) ขน้ั สรุป กระบวนการสร้างค่านิยม 1) ขั้นสังเกต และตระหนัก 2) ขั้นประเมนิ เชิงเหตผุ ล 3) ขั้นกาหนดคา่ นยิ ม 4) ขั้นวางแผนปฏิบตั ิ 5) ขั้นปฏบิ ตั ิด้วยความชน่ื ชม
40 9 รสแหง่ วรรณคดี 1) ความรัก ความยินดี 2) ความร่ืนเริง 3) ความสงสาร 4) ความเกร้ียวกราด 5) ความกลา้ หาญ 6) ความกลวั หรือทุกขเวทนา 7) ความเกลียดชงั 8) ความประหลาดใจ 9) ความสงบสนั ติ โค้ชที่ดีจะใช้กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสม และสอดคล้องกับธรรมชาติของสาระสาคัญของการ เรียนรู้ core concepts) สง่ิ สาคญั อีกประการหนึง่ ทีข่ าด ไมไ่ ด้คือ ในระหว่างการทากิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน คือ การมีสติและสมาธิอยู่กับกิจกรรมที่ปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ท่ีฝังลึก เป็นความรู้ความ เข้าใจและทักษะติดตัวตลอดไป
41 บทสรุป 1. Minds แปลเป็นภาษาไทยได้หลายคาได้แก่ จิต ใจ จิตใจ ความคิด ความทรงจา สติปัญญา ซึ่งเป็นปัจจัยที่สาคัญที่ทาให้ บุคคลสามารถใชก้ ระบวนการคิด การรับรู้ การใช้เหตุผล การแก้ปัญหา การวิเคราะห์ การตัดสินใจ การใช้วิจารณญาณ ตลอดจนการเรียนรู้ สิ่งตา่ งๆ รอบตัว 2. การเรียนรู้ท่ีเน้นมิติทางด้านจิตใจ ความคิด สมาธิ และ สติปัญญา หรือการเรียนรู้แบบ Minds – On หมายถึง การปฏิบัติ กิจกรรมการเรยี นรู้ของผู้เรียนท่ีให้ความสาคัญกับคุณค่าของสิ่งท่ีเรียนรู้ กระบวนการเรยี นรู้ กระบวนการทางความคิด และแก่นของความรู้หรือ สาระสาคญั core concepts)
42 3. กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Minds – On มุ่งให้ผู้เรียนได้ใช้ กระบวนการคิดและการลงมือปฏิบัติท่ีจิตใจจดจ่ออยู่กับสาระสาคัญ ของการเรียนรู้ (core concepts) แบบบูรณาการ เพื่อให้เกิด ความรคู้ วามเข้าใจท่ีลึกซงึ้ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางด้านจติ ใจ 4. โค้ชที่สามารถเสริมสร้างการเรียนรู้แบบ Minds – On จาเป็นต้องมีบทบาทที่สาคัญหลายประการเพ่ือเป็นปัจจัยส่งเสริม ประสิทธภิ าพในการโค้ชการเรียนรู้แบบ Minds - On แบ่งเป็นบทบาท ดา้ นการเรยี นรูแ้ ละบทบาทดา้ นการเสรมิ พลงั การเรียนรู้ 5. การเสริมพลัง เป็นการปรับเปลี่ยนความคิดความรู้สึกของ ผู้เรียนให้มีความเช่ือม่ันในความรู้ความสามารถของตนเอง ตลอดจน การ ทาให้ศกั ยภาพทแี่ ฝงอยู่ภายในตวั ผู้เรียนปรากฏออกมา 6. เซลล์กระจกเงา เป็นเซลล์ประสาทชนิดหน่ึงในสมองที่ ทางานก่อนพลังงานกล premotor) เป็นเซลล์ประสาทที่อยู่ส่วนหน้า ของสมอง สามารถทางานได้อย่างกระตือรือร้นเม่ือได้สังเกตการ กระทาของบุคคลอ่ืน 7. ความสุขในการเรียนรู้ เป็นตัวแปรที่สาคัญท่ีสุด ในการ เรยี นรู้ของผเู้ รยี น เพราะเปน็ ทัง้ เหตุปัจจัยท่ีส่งเสริมการเรียนรู้ และเป็น ผลทเ่ี กิดจากการทผ่ี ้เู รยี นได้เรยี นรู้
43 8. โค้ชที่ดีจะใช้กระบวนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมและสอดคล้อง กับธรรมชาตขิ องสาระสาคัญของการเรียนรู้ ส่ิงสาคัญอีกประการหนึ่งท่ี ขาดไมไ่ ดค้ อื ในระหวา่ งการทากจิ กรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน คือ การมี สติและสมาธิอยูก่ บั กิจกรรมทปี่ ฏิบตั ิ *************************************************
Search