147 68. การพิมพส์ มดุ งานบางส่วน เมื่อกาหนดพ้นื ทตี่ ้องการพิมพแ์ ล้วจะปรากฏอยู่ทีส่ ว่ นใด ก. ชอื่ เครือ่ งพมิ พ์ (Printer) ข. ส่งิ ทพ่ี มิ พ์ (Print What) ค. ชว่ งระยะท่พี มิ พ์ (Print Range) ง. จานวนชุดที่พมิ พ์ (Number of copies) จ. ตัวอยา่ งกอ่ นพิมพ์ (Print Preview) 69. ถ้าตอ้ งการใหข้ ้อมูลในแถวที่ 1-2 ของแผ่นงานปรากฏทกุ หนา้ กระดาษจะต้องกาหนดที่ใด ก. เมนพู ิมพ์ (Print) ข. พ้นื ที่พิมพ์ (Print Area) ค. พมิ พเ์ ซลล์ (Print Titles) ง. หวั เร่อื งที่จะพมิ พ์ (Print Titles) จ. คาส่ังหนา้ ที่จะพมิ พ์ (Page order) 70. บัญชใี ดท่ีตอ้ งปดิ บญั ชเี ข้าบญั ชีทนุ ก. เจ้าหน้ี ข. เงนิ เดอื น ค. รายได้ค่าบริการ ง. ถอนใช้ส่วนตวั จ. เงินสด 71. บัญชกี าไรขาดทุนเป็นบัญชีหมวดใด ก. หมวด 1 ข. หมวด 2 ค. หมวด 3 ง. หมวด 4 จ. หมวด 5 72.ขอ้ ใดคือการปิดบัญชถี อนใช้สว่ นตวั ก. เดบิตถอนใช้สว่ นตวั เครดติ กาไรขาดทุน ข. เดบิตทุน เครดิตถอนใช้ส่วนตัว ค. เดบติ ถอนใช้ส่วนตัว เครดิตทนุ ง. เดบิตกาไรขาดทุน เครดิตถอนใชส้ ่วนตวั จ. ขอ้ ข และ ค ถกู 73. บญั ชหี มวดใดท่ีไมย่ อดยอดคงเหลอื ยกไป ก. หมวดสนิ ทรัพย์ ข. หมวดหนีส้ ิน ค. หมวดทุน ง. หมวดคา่ ใชจ้ ่าย ฉ. หมวด รายได้
148 74. เป็นขนั้ ตอนใดในการสร้างแบบฟอร์มบัญชีแยกประเภททั่วไป ก. การอ้างอิงผังบัญชี ข. การกาหนดชื่อบัญชีแยกประเภท ค. การสรา้ งสตู รในการใชง้ านบัญชแี ยกประเภท ง. การจัดทาแบบฟอรม์ บัญชแี ยกประเภท จ. การตัง้ ชอ่ื แผน่ งานบญั ชแี ยกประเภท 75. ในการให้แสดงผลเม่ือขอ้ มูลถกู ป้อนลงในเซลล์ต้องใชฟ้ ังกช์ นั่ ใด ก. Vlookup ข. If ค. Data Validation ง. Data จ. Format Painter 76. ช่ือบญั ชเี จ้าหนี้ในสมุดบญั ชีแยกประเภทยอ่ ยเจ้าหนส้ี ามารถใชก้ ารอา้ งองิ วิธใี ด ก. อ้างองิ ขอมลู แผ่นงานไปยังกลุ่มขอ้ มูลเจ้าหน้ี ข. อ้างองิ แผ่นงานไปยงั ผังบญั ชี ค. ใช้คาส่ัง If ง. ใช้คา สั่ง Vlookup รว่ มกบั คา สงั่ Data Validation จ. ใช้คา สง่ั Format Painter 77. ในชอ่ งยอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภทยอ่ ยเจ้าหน้ใี นบรรทดั แรกตอ้ งใส่สูตรอย่างไร ก. = G5 ข. =G6 ค. =H5 ง. =H6 จ. =G5+H5 78. ขอ้ ใดหมายถึง Legend ก. พืน้ ทแ่ี ผนภมู ิ ข. คาอธิบายรายการในแผนภูมิ ค. รปู ภาพในแผนภูมิ ง. ชนดิ แผนภูมิ จ. รูปแบบพน้ื ท่ีแผนภูมิ
149 79. ขอ้ ใดคือคาสงั่ การใสต่ ารางข้อมูลลงในแผนภูมิ ก. Add Chart Element -> Data Label ข. Add Chart Element -> Data Table ค. Add Chart Element -> Chart Treadline ง. Add Chart Element -> Gridline จ. Add Chart Element -> Chart Title 80. ข้อใดคือส่วนประกอบ Chart Title ก. ชือ่ แผนภูมิ ข. ช่ือแกน ค. แกน ง. คาอธบิ ายแผนภูมิ จ. ถกู ทกุ ข้อ 81.ขอ้ ใดคือคาสง่ั ใส่คาอธิบายปา้ ยชอื่ ข้อมลู ก. Add Chart Element -> Legend ข. Add Chart Element -> Treadline ค. Add Chart Element -> Gridlines ง. Add Chart Element -> Data Label จ. Add Chart Element -> Data 82. เม่อื ต้องการสรา้ งแผนภมู ิ เลอื กใช้แท็บใด ก. Home ข. Insert ค. Page Layout ง. View จ. Desing 83. หากต้องการสลับขอ้ มลู แถวและคอลัมน์หลังจากสร้างแผนภูมิแลว้ ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้อง ก. คลิกแท็บ Layout คลิกปุ่ม Switch Row/Column ข. คลิกแท็บ Data คลิกปมุ่ Switch Row/Column ค. คลิกแท็บ Format คลิกปมุ่ Switch Row/Column ง. คลิกแท็บ Design คลกิ ปมุ่ Switch Row/Column จ. คลกิ แท็บ View คลิกปุม่ Switch Row/Column 84. คาสั่งใดไม่ปรากฎท่แี ทบ็ Layout ก. Legend ข. Data Table ค. Data Tables ง. Chart Title จ. Select Data
150 85. ถา้ มขี อ้ มลู ชุดเดียวควรใช้แผนภมู ิชนดิ ใด ก. แผนภมู เิ ส้น ข. แผนภมู ิวงกลม ค. แผนภูมิกระจาย ง. แผนภูมแิ ทง่ แนวนอน จ. แผนภูมิแทง่ ทรงกระบอก 86. Legend เป็นส่วนประกอบใดของแผนภูมิ ก. สญั ลักษณแ์ ทนคา่ ข้อมูล ข. พน้ื ท่ีของแผนภูมิ ค. แกนของขอ้ มูล ง. ช่ือแผนภมู ิ จ. ชุดขอ้ มูล 87. ขอ้ ใดคือการสรา้ งกระดาษทาการ ก. คัดลอกแผ่นงานจากงบทดลองแลว้ เปลย่ี นชื่อแผ่นงาน ข. แทรกแผน่ งานเพ่ิมเปลย่ี นชือ่ แผ่นงาน ค. อา้ งอิงข้อมลู จากฐานขอ้ มูล ง. สรา้ งรูปแบบกระดาษทาการ จ. แยกรายการทเ่ี กยี่ วข้องงบการเงนิ ออกจากกนั 88. ขอ้ มลู ในกระดาษทาการนามาจากท่ีใด ก. งบแสดงฐานะการเงนิ ข. งบกาไรขาดทนุ ค. สมุดรายวนั ทว่ั ไป ง. บญั ชแี ยกประเภท จ. งบทดลอง 89. จากรปู ช่องขายสินค้าในงบกาไรขาดทุนจะอ้างองิ เซลลข์ ้อใด ก. =C17 ข. =G17 ค. =E17 ง. =D17 จ. =F17
151 90. ข้อใดคอื ความหมายของสูตร =IF(F29<> ““,F29,””) ก. ถ้า F 29 เปน็ ชอ่ งวา่ งไมใ่ หแ้ สดงค่าในเซลล์ F29 ข. ถา้ F 29 เป็นช่องว่างใหแ้ สดงค่าในเซลล์ F29 ค. ถา้ F 29 ไม่เป็นช่องวา่ งให้แสดงคา่ ในเซลล์ F29 ถ้าไมใ่ ชใ่ หเ้ ซลล์เป็นชอ่ งว่าง ง. ถ้า F 29 ไม่เป็นชอ่ งวา่ งใหแ้ สดงค่าในเซลล์ F29 จ. ถา้ F 29 เปน็ ช่องวา่ งให้แสดงค่าในเซลล์ F29 ถา้ ไม่ใช่ให้เซลลเ์ ปน็ ชอ่ งวา่ ง 91. จากรปู กาหนดการพมิ พ์แบบขอ้ ใด ก. ให้พิมพเ์ ซลล์ที่ถูกเลือกไว้ดา้ นบนทกุ แผ่น ข. พมิ พ์ทั้งส่วนหัวคอลมั นแ์ ละหัวแถว ค. พมิ พเ์ ฉพาะพน้ื ที่ที่เลอื ก ง. พิมพ์สว่ นหวั ของคอลมั น์ด้วย จ. พมิ พ์เฉพาะแผน่ งานท่กี าลงั ทางาน 92. การอา้ งอิงเซลล์ในงบกาไรขาดทุนใหอ้ า้ งอิงจากข้อใด ก. ทเ่ี ลขทบ่ี ญั ชีหมวด 1 กบั 3 ข. ทเ่ี ลขทบี่ ัญชีหมวด 2 กับ 3 ค. ท่ีเลขทีบ่ ญั ชหี มวด 3 กบั 4 ง. ทเี่ ลขที่บญั ชหี มวด 4 กับ 5 จ. ที่เลขท่ีบญั ชหี มวด 2 กับ 3 93. ชอ่ งยอดรวมสดุ ท้ายของทกุ จะใช้สูตรหรอื ฟงั ก์ช่นั ใด ก. SUMIF ข. COUNTIF ค. SUM ง. PRODUCT จ. COUNT 94. ข้อใดคอื ความหมายของสูตร =IF(G28>F28, “กาไรสทุ ธิ”, “ขาดทุนสุทธิ”) ก. ถา้ G28 มากกว่า F28 ให้แสดงขอ้ ความ กาไรสทุ ธิ ข. ถา้ G28 นอ้ ยกว่า F28 ใหแ้ สดงข้อความ กาไรสุทธิ ถ้าไมใ่ ชใ่ หแ้ สดงข้อความ ขาดทุนสุทธิ ค. ถ้า G28 น้อยกว่า F28 ให้แสดงข้อความ กาไรสทุ ธิ ง. ถา้ G28 มากกว่า F28 ให้แสดงข้อความ กาไรสุทธิ ถ้าไมใ่ ช่ให้แสดงขอ้ ความ ขาดทุนสุทธิ จ. ไมม่ ขี ้อใดถกู
152 95. การสร้างตารางสรุปผลขอ้ มูลตอ้ งใชค้ าสงั่ ใด ก. Insert> PivotTable ข. Option >PivotChart ค. Option > PivotTable ง. Insert > PivotChart จ. Insert > Slicer 96. คาส่ัง Refresh จะกระทาเมื่อใด ก. เมื่อมกี ารตง้ั ชอื่ ฟลิ ด์ ข. เมือ่ มีการป้อนข้อมูล ค. เมอ่ื มีการเปลย่ี นแปลงขอ้ มลู ง. เมอ่ื มีการตั้งชอื่ คอลมั น์ จ. ถูกทกุ ข้อ 97. จากรูป ฟิลด์จะแสดงในตารางสรุปผลแบบใด. ก. เรียงลาดับข้อมูลตามคอลมั น์ ข. แสดงขอ้ มูลทีเ่ ปน็ การคานวณ ค. เรยี งลาดับข้อมูลตามแถว ง. แสดงส่วนหัวของขอ้ มูล จ. ไม่มีขอ้ ใดถกู 98. จะแสดงผลตามข้อใด ก. แสดงข้อความในแนวนอน ข. แสดงข้อความในแนวตัง้ ค. แสดงผลรวมในแนวนอน ง. แสดงผลรวมในแนวตงั้ จ. แสดงผลการนับข้อมูลในแนวตั้งและแนวนอน 99. Drag fields between areas below เป็นคาส่ังในการทาตามข้อใด ก. เลือกฟิลด์ให้แสดงผลตามหวั ขอ้ โดยการดับเบลิ คลกิ พน้ื ทีเ่ พื่อแสดงผลรายงาน ข. เลือกฟลิ ด์ให้แสดงผลตามหัวข้อโดยการคลกิ เลือกหัวเพอ่ื แสดงผลรายงาน ค. เลอื กฟิลด์ใหแ้ สดงผลตามหวั ขอ้ โดยการคลิกที่เซลลใ์ นตารางเพื่อแสดงผลรายงาน ง. เลอื กฟลิ ด์ใหแ้ สดงผลตามหวั ข้อโดยการลากไปพนื้ ที่เพ่ือแสดงผลรายงาน จ. ไม่มขี ้อใดถูก 100. การเรียงลาดับข้อมูลจากนอ้ ยไปมาก หรือจากมากไปน้อยต้องเลือกที่กลุ่มเคร่อื งมือใด ก. Sort & Filter ข. Active Field ค. Insert Slicer ง. Data จ. PivotTable
153 เฉลยแบบทดสอบชดุ ที่ 2 วิชาการประยกุ ต์โปรแกรมตารางงานเพ่ืองานบญั ชี 20201-2106 ขอ้ ท่ี เฉลย 1 ตอบ ข. Microsoft Office Excel 2 ตอบ ก. มีระบบเงนิ เดือน 3 ตอบ ข. Special Software 4 ตอบ ค. เซลล์ตามแนวตง้ั 5 ตอบ ง. แถบสตู ร(Formula Bar) 6 ตอบ ค. เซลล์ทอ่ี ยู่ในคอลัมน์ A แถว 1 7 ตอบ ข. การคานวณ 8 ตอบ จ. ถกู ท้งั ขอ้ ก. และข้อ ข. 9 ตอบ ก. New Sheet (เพม่ิ เวริ ก์ ชีต ) 10 ตอบ ข. รหัสพนกั งาน 11 ตอบ จ. กดป่มุ Ctrl + O 12 ตอบ ข. Data 13 ตอบ จ. คลิกท่ีเมนู File เลอื กท่ีปุ่ม Home 14 ตอบ ค. Insert 15 ตอบ ก. ปุ่ม Ctrl 16 ตอบ ง. ป้อนข้อมูลช่วง 17 ตอบ ข. คลกิ ท่ีเลอื ก Sheet ท่ีต้องการแทรกโดยคลิกเมาสซ์ า้ ยคา้ งไว้ แล้วทาการลากไปยงั ตาแหน่ง ทตี่ อ้ งการ 18 ตอบ ก. คลกิ เมาสข์ วาที่หวั แถวทตี่ ้องการแทรก จะปรากฏเมนขู ึน้ มาใหท้ าการเลอื กที่ Insert 19 ตอบ ค. คลกิ เลอื กคอลัมน์ท่ีติดกันโดยการกดป่มุ Shift คา้ งไว้ จากนั้นคลิกขวา จะปรากฎเมนูขึ้น และเลือก Column width ปอ้ นตวั เลขความกวา้ งทต่ี ้องการ 20 ตอบ จ. ถูกทุกข้อ 21 ตอบ ข. Quick Access 22 ตอบ ง. กด F12 และทาการบันทึก 23 ตอบ จ. View (มมุ มอง) 24 ตอบ ข. การหาผลรวม 25 ตอบ ง. ######## 26 ตอบ ง. =Bahttext( ) 27 ตอบ จ. เพ่มิ หลกั ทศนิยม 28 ตอบ ก. TRUE 29 ตอบ ค. Border
154 30 ตอบ ง. AVERAGE 31 ตอบ ง. C2&D2 32 ตอบ ง. Close Entire 33 ตอบ ข. New Sheet 34 ตอบ ค. 35 ตอบ ง. อา้ งองิ เลขท่ีบญั ชีในสมดุ รายวนั ทวั่ ไปและบญั ชแี ยกประเภททั่วไป 36 ตอบ ค. ทางบทดลอง 37 ตอบ ง. จัดข้อความใหอ้ ยู่ตรงการกลางแถว 38 ตอบ ค. 39 ตอบ ค. Format as Table 40 ตอบ ง. วันทีเ่ กดิ รายการ 41 ตอบ จ. การเช่ือมโยงข้อมลู จากชที วเิ คราะห์ เซลล์ I5 42 ตอบ ค. =แยกประเภท!C7 43 ตอบ ข. Pencil Footing 44 ตอบ ค. งบทดลองตอ้ งมยี อดรวมด้านเดบิตเท่ากับยอดรวมดา้ นเครดิต 45 ตอบ ก. =SUM(D6:D30) 46 ตอบ ค. ดา้ นเดบิต ของงบกาไรขาดทนุ 47 ตอบ ค. เดบิตงบแสดงฐานะการเงิน 48 ตอบ ข. >= 49 ตอบ จ. & 50 ตอบ ก. =COUNTA 51 ตอบ ก. = 52 ตอบ ค. ถา้ เซลล์ C2 มีค่ามากกว่าหรือเทา่ กับ 10 ให้แสดงข้อความว่า ผา่ น ถา้ ไมถ่ งึ 10 ให้แสดง ไม่ ผ่าน 53 ตอบ จ. ให้แสดงคา่ ในคอลัมนท์ ี่ 3 54 ตอบ ก. งบกาไรขาดทุนด้านเดบิต 55 ตอบ ง. 6,000 บาท 56 ตอบ ง. เดบติ บญั ชีค่าเชา่ จ่ายล่วงหน้า 6,000 เครดติ บัญชีค่าเชา่ 6,000 57 ตอบ ง. งบแสดงฐานะการเงิน 58 ตอบ ง. Financial Statement 59 ตอบ ง. ผลการดาเนนิ งานของกิจการ 60 ตอบ ค. ยอดรวมรายได้ 61 ตอบ ข. =E25+E26-E27 62 ตอบ จ. Data Validation
155 63 ตอบ ก. Define Name 64 ตอบ ง. =if(C2<>””,C3*5,””) 65 ตอบ ง. เซลล์ท่ีใช้ในการอ้างอิง 66 ตอบ ค. บัญชีกาไร (ขาดทนุ ) สุทธิ 67 ตอบ ข. เดบิต สินค้าคงเหลอื ปลายงวด เครดิต ต้นทุนขาย 68 ตอบ ข. สิง่ ท่ีพิมพ์ (Print What) 69 ตอบ ง. หัวเรื่องทจ่ี ะพมิ พ์ (Print Titles) 70 ตอบ ง. ถอนใช้ส่วนตัว 71 ตอบ ค. หมวด 3 72 ตอบ ข. เดบิต ทุน เครดิต ถอนใชส้ ่วนตัว 73 ตอบ ง. หมวดค่าใช้จ่าย 74 ตอบ จ. การตงั้ ชอ่ื แผน่ งานบญั ชีแยกประเภท 75 ตอบ ข. If 76 ตอบ ก. อ้างองิ ขอมลู แผน่ งานไปยังกลุ่มขอ้ มลู เจา้ หน้ี 77 ตอบ ค. =H5 78 ตอบ ข. คาอธิบายรายการในแผนภมู ิ 79 ตอบ จ. Add Chart Element -> Chart Title 80 ตอบ ก. ช่ือแผนภูมิ 81 ตอบ ก. Add Chart Element -> Legend 82 ตอบ ข. Insert 83 ตอบ ง. คลิกแทบ็ Design คลิกปุ่ม Switch Row/Column 84 ตอบ จ. Select Data 85 ตอบ ข. แผนภมู วิ งกลม 86 ตอบ ก. สญั ลกั ษณ์แทนคา่ ขอ้ มูล 87 ตอบ ก. คัดลอกแผ่นงานจากงบทดลองแล้วเปล่ียนช่ือแผ่นงาน 88 ตอบ จ. งบทดลอง 89 ตอบ ค. =E17 90 ตอบ ค. ถา้ F 29 ไม่เป็นช่องวา่ งให้แสดงคา่ ในเซลล์ F29 ถ้าไมใ่ ช่ให้เซลลเ์ ป็นช่องว่าง 91 ตอบ ก. ให้พมิ พเ์ ซลล์ท่ีถกู เลอื กไว้ด้านบนทกุ แผ่น 92 ตอบ ง. ทเ่ี ลขทีบ่ ญั ชีหมวด 4 กับ 5 93 ตอบ ค. SUM 94 ตอบ ง. ถา้ G28 มากกว่า F28 ให้แสดงข้อความ กาไรสุทธิ ถ้าไม่ใช่ให้แสดงข้อความ ขาดทุนสุทธิ 95 ตอบ ก. Insert> PivotTable 96 ตอบ ค. เมือ่ มีการเปล่ยี นแปลงข้อมลู
156 97 ตอบ ก. เรยี งลาดบั ขอ้ มูลตามคอลมั น์ 98 ตอบ ง. แสดงผลรวมในแนวตง้ั 99 ตอบ จ. ไมม่ ีขอ้ ใดถูก 100 ตอบ ก. Sort & Filter
157 แผนการจดั การเรยี นรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยท.ี่ ......................... สอนครัง้ ท่ี...................... ชอ่ื หน่วย................................................................................. ชั่วโมงรวม..................... จานวนชวั่ โมง................ 10. บันทกึ หลงั สอน 10.1 ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. 10.2 ผลการเรยี นรู้ของนักเรยี น นกั ศึกษา ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. 10.3 แนวทางการพฒั นาคุณภาพการเรียนรู้ ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................
158 นิยามศัพทท์ ่ีเก่ียวข้องกบั การเขียนแผนการจัดการเรียนรมู้ ่งุ เนน้ สมรรถนะ 1. จุดประสงค์รายวิชาหมายถึงข้อความที่ระบุคุณลักษณะการเรียนรู้และความสามารถท่ีครูต้องการให้ เกิดขึ้นกับนักเรียนหลงั จากท่นี กั เรียนไดผ้ ่านกจิ กรรมการเรียนการสอนในเร่ืองหรือบทหนง่ึ ๆแลว้ 2. สมรรถนะรายวิชาหมายถึงข้อความที่แสดงความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ความเข้าใจทักษะ ปฏิบัติและทักษะด้านความคิดในการปฏิบัติงานโดยให้เขียนครอบคลุม 3 ดา้ นคือพุทธิพิสัยทักษะพิสยั และจติ พิสัย แล้ว (กาหนดไว้ในหลักสูตร) 3. คาอธิบายรายวิชา (Course Description) หมายถงึ การเขยี นบรรยายถึงส่ิงตา่ งๆที่ครูจะต้องสอนซึ่ง อาจจะอยู่ในรปู หวั ขอ้ เร่ืองในภาคทฤษฎีหรอื ในลกั ษณะงานย่อยต่างที่จะต้องมีการฝึกหัดให้แกผ่ ู้เรียนในวิชาปฏิบัติ ซึ่งได้จากการวเิ คราะหง์ านแลว้ (กาหนดไวใ้ นหลักสตู ร) 4. หน่วยการเรียนรู้หมายถึงข้อความที่แสดงถึงหัวข้อเรื่องท่ีจะสอนซ่ึงในการกาหนดหัวข้อเร่ือง (Topic Analysis) สามารถทาได้โดยใช้แผนภูมิปะการัง (Coral Pattern) หรือ Scalar Pattern ซ่ึงอาจเป็นหัวข้อหลัก (Main Element) และหวั ขอ้ ยอ่ ย (Element) โดยตอ้ งกาหนดจานวนชั่วโมงและสปั ดาห์ในการสอน (ไม่เกนิ 18 สัปดาห)์ ในหนว่ ยการ เรียนรู้แต่ละหน่วยต้องกาหนดสมรรถนะท่ีเกิดข้ึนกับผู้เรียนให้ครบท้ัง 3 ด้านได้แก่ด้านความรู้ทักษะและ คณุ ลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ 5. สาระสาคัญหมายถึงความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเน้ือหาหลักการวิธีการท่ีต้องการจะให้ผู้เรียนได้รับ หลงั จากเรยี นรู้ในหน่วยน้ัน 6. สมรรถนะประจาหน่วยหมายถงึ ความสามารถทผ่ี ู้เรยี นแสดงออกท้ังทางด้านความรูท้ กั ษะคณุ ลกั ษณะท่ี พงึ ประสงคข์ องหน่วยนัน้ 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้หมายถงึ ขอ้ ความทแี่ สดงถึงผเู้ รียนเกิดจาดการเรียนรู้และเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม โดยผ้เู รียนแสดงพฤตกิ รรมน้นั มี 3 ด้านคอื 7.1 ความรู้ (Knowledge) หมายถึงพฤติกรรมด้านสมองท่ีเก่ียวกับสติปัญญาความรู้ความคิดความ เฉลียวฉลาดความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพซ่ึงเป็นความสามารถทางสติปัญญา พฤตกิ รรมทางพุทธิพิสยั 6 ระดบั ได้ 7.1.1 ความรู้ความสามารถในการเก็บรักษามวลประสบการณ์ต่างๆจากการท่ีไดร้ ับรู้ไว้และระลึก สง่ิ นน้ั ได้เมอ่ื ต้องการเปรียบดังเทปบนั ทึกเสยี งหรอื วีดิทัศน์ท่ีสามารถเก็บเสยี งและภาพของเรอื่ งราวต่างๆได้สามารถ เปิดฟังหรอื ดภู าพเหลา่ น้ันไดเ้ มื่อตอ้ งการ 7.1.2 ความเข้าใจเป็นความสามารถในการจับใจความสาคัญของส่ือและสามารถแสดงออกมาใน รปู ของการแปลความตีความคาดคะเนขยายความหรอื การกระทาอน่ื ๆ 7.1.3 การนาความรไู้ ปใช้เปน็ ขั้นท่ีผู้เรยี นสามารถนาความรปู้ ระสบการณ์ไปใช้ในการแก้ปญั หาใน สถานการณต์ ่างๆได้ซงึ่ จะต้องอาศัยความร้คู วามเขา้ ใจจึงจะสามารถนาไปใชไ้ ด้ 7.1.4 การวิเคราะห์ผู้เรียนสามารถคิดหรือแยกแยะเรื่องราวสิ่งต่างๆออกเป็นส่วนย่อยเป็น องค์ประกอบที่สาคญั ได้และมองเหน็ ความสมั พันธข์ องส่วนท่เี ก่ียวข้องกันความสามารถในการวิเคราะห์จะแตกตา่ ง กนั ไปแลว้ แตค่ วามคดิ ของแต่ละคน 7.1.5 การสังเคราะห์ความสามารถในการท่ีผสมผสานส่วนย่อยๆเข้าเป็นเรื่องราวเดียวกันอย่างมี ระบบเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่สมบูรณ์และดีกว่าเดิมอาจเป็นการถ่ายทอดความคิดออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่ายการ กาหนดวางแผนวิธีการดาเนินงานข้ึนใหม่หรืออาจจะเกิดความคิดในอันที่จะสร้างความสัมพันธ์ ของส่ิงท่ีเป็น นามธรรมขน้ึ มาในรปู แบบหรือแนวคดิ ใหม่
159 7.1.6 การประเมินค่าเป็นความสามารถในการตัดสินตีราคาหรือสรุปเกี่ยวกับคุณค่าของส่ิงต่างๆ ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมซ่ึงอาจเป็นไปตามเนื้อหาสาระในเร่ืองนั้นๆหรืออาจเป็น กฎเกณฑท์ ่สี ังคมยอมรับก็ได้ 7.2 ทักษะหมายถึงจดุ ประสงค์ทมี่ ุ่งพฒั นาพฤติกรรมทเ่ี กี่ยวกับการกระทา (Doing) ของผูเ้ รียนเกี่ยวกับ ทักษะความชานาญพฤตกิ รรมดา้ นทักษะพสิ ยั ประกอบดว้ ยพฤติกรรมย่อยๆ 5 ข้นั ดงั นี้ 7.2.1 เลียนแบบเป็นการให้ผู้เรยี นได้รับรู้หลักการปฏิบัติท่ีถูกต้องหรือเป็นการเลือกหาตัวแบบท่ี สนใจ 7.2.2 ทาได้ตามแบบเป็นพฤติกรรมท่ีผู้เรียนพยายามฝึกตามแบบที่ตนสนในและพยายามทาซ้า เพอื่ ทีจ่ ะใหเ้ กดิ ทกั ษะตามแบบท่ตี นสนใจให้ได้หรอื สามารถปฏิบัติงานได้ตามขอ้ เสนอแนะ 7.2.3 ทาได้ถูกต้องแม่นยาพฤติกรรมสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยเคร่ืองช้ีแนะ เมอ่ื ไดก้ ระทาซา้ แล้วก็พยายามหาความถกู ต้องในการปฏิบัติ 7.2.4 ทาได้ต่อเน่ืองประสานกันหลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบท่ีเป็นของตัวเองจะกระทาตาม รปู แบบนน้ั อย่างตอ่ เน่ืองจนปฏิบัติงานที่ยุ่งยากซับซ้อนไดอ้ ย่างรวดเรว็ ถูกต้องคล่องแคล่วการที่ผ้เู รียนเกดิ ทักษะได้ ต้องอาศยั การฝกึ ฝนและกระทาอยา่ งสม่าเสมอ 7.2.5 ทาได้อย่างเป็นธรรมชาติพฤติกรรมท่ีได้จากการฝึกอย่างต่อเน่ืองจนสามารถปฏิบัติได้ คลอ่ งแคลว่ วอ่ งไวโดยอัตโนมัตเิ ป็นไปอย่างธรรมชาติ 7.3 คุณลักษณะที่พึงประสงค์หมายถึงพฤติกรรมที่เกิดข้ึนในจิตใจของผู้เรียนเกี่ยวข้องกับความรู้สึก หรืออารมณ์เช่นเจตคติ (Attitude) ค่านิยม (Value) ความสนใจ (Interest) รวมท้ังปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งคุณลักษณะท่พี งึ ประสงค์แบง่ ได้ 5 ระดับได้ 7.3.1 รับรู้เป็นความรสู้ กึ ทีเ่ กดิ ข้นึ ต่อปรากฏการณห์ รือสิ่งเรา้ อยา่ งใดอย่างหนง่ึ ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของส่ิงเร้านั้นว่าคืออะไรแล้วจะแสดงออกมาในรูปของความรู้สึกที่ เกิดขน้ึ 7.3.2 ตอบสนองเป็นการกระทาท่ีแสดงออกมาในรูปของความเต็มใจยนิ ยอมและพอใจตอ่ ส่ิงเร้า นั้นซ่งึ เป็นการตอบสนองท่เี กดิ จากการเลือกสรรแล้ว 7.3.3 เหน็ คุณค่าการเลอื กปฏิบัติในสง่ิ ท่เี ป็นที่ยอมรบั กันในสงั คมการยอมรับนับถอื ในคุณค่านนั้ ๆ หรือปฏิบตั ิตามในเร่อื งใดเร่อื งหนึง่ จนกลายเปน็ ความเชอื่ แล้วจงึ เกิดทัศนคตทิ ่ีดีในส่ิงนั้น 7.3.4 จัดระบบคุณค่าการสร้างแนวคิดจัดระบบของค่านิยมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์ถ้า เข้ากนั ได้กจ็ ะยดึ ตอ่ ไปแตถ่ า้ ขัดกนั อาจไมย่ อมรับอาจจะยอมรับค่านิยมใหมโ่ ดยยกเลิกค่านิยมเก่า 7.3.5 พัฒนาเป็นลักษณะนิสัยการนาค่านิยมที่ยึดถือมาแสดงพฤติกรรมที่เป็นนิสัยประจาตัวให้ ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งท่ีถูกต้องดีงามพฤติกรรมด้านน้ีจะเก่ียวกับความรู้สึกและจิตใจซึ่งจะเร่ิมจากการได้รับรู้จาก ส่งิ แวดล้อมแล้วจงึ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าโต้ตอบขยายกลายเป็นความรู้สกึ ด้านตา่ งๆจนกลายเป็นค่านิยมและยังพัฒนาต่อไป เป็นความคิดอุดมคตซิ ง่ึ จะควบคมุ ทศิ ทางพฤตกิ รรม 8. เน้ือหาวิชาสาระการเรียนรู้(Information) หมายถึงรายละเอียดที่เชื่อมโยงกับสาระสาคัญและ สอดคล้องกบั ใบเนือ้ หาสาระ (Information Sheet) มักจะเขียนเนื้อหาสาระการเรยี นร้จู ากการรวบรวมจากหนังสือ วารสารงานวิจยั ประสบการณ์ผ้สู อนฯลฯแล้วเรียบเรียงความสาคญั และจาเป็นออกเป็น 3 ระดบั ดงั นี้ 8.1 เน้ือหาท่ีจะต้องรู้(Must Know) เป็นเนื้อหาท่ีจะต้องนามาใช้ในการเรียนการสอนเพราะ สาคัญและจาเป็นมากในการเรียนรู้หากขาดเน้ือหาส่วนนี้แล้วผู้เรียนจะไม่สามารถบรรลุผลตามวัตถุประสงค์การ สอนนั้นๆข้อสังเกตของเนื้อหาส่วนนี้ก็คือเป็นใจความสาคัญหรือกฎพ้ืนฐานต่างๆซ่ึงอาจต้องใช้เวลาสาหรับการให้ เน้ือหาในสว่ นนีม้ าก
160 8.2 เนื้อหาที่ควรรู้ (Should Know) เป็นเน้ือหาท่ีมีความสาคัญรองลงมาที่จะช่วยให้การทา ความเข้าใจหรือชว่ ยในการเรียนเนื้อหาทตี่ ้องร้เู ปน็ ไปดว้ ยความรวดเรว็ และชดั เจนยิ่งข้ึนเนอ้ื หาในสว่ นนี้จงึ ทาหนา้ ท่ี เป็นส่วนช่วยเสริมการเรียนการจัดการเรียนการสอนอาจไม่จาเป็นต้องเน้นเน้ือหาในส่วนน้ีมากเท่ากับเน้ือหาที่ จะตอ้ งรซู้ ง่ึ สาคญั ต่อผูเ้ รียนมากกว่า 8.3 เน้ือหาท่นี ่าจะรู้ (Could Know) เป็นเนื้อหาท่ีมีความสาคัญและความจาเป็นน้อยอาจจะไม่ ต้องสอนหากแต่มีเวลาเหลืออาจหยิบยกมากล่าวเพิ่มเติมก็ได้เพราะจะช่วยเสริมให้การเรียนรู้ในส่วนเนื้อหานั้นๆ กว้างไกลมากข้ึนในการเรียนการสอนซ่ึงมีช่วงเวลาจากัดอาจจะมอบหมายให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้ารายละเอียด เนือ้ หาส่วนน้ดี ้วยตนเองก็ได 9. กิจกรรมการจดั การเรยี นรู้หมายถึงกระบวนการวธิ ีการจดั การเรียนรตู้ า่ งๆท่ผี ้สู อนจัดใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การ เรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กาหนดรวมท้ังทักษะกระบวนการและคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ลักษณะของ กิจกรรมหรอื กระบวนการจดั การเรียนร้ยู กตวั อยา่ งเปน็ การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการ MIPP 9.1 การนาเข้าสบู่ ทเรยี น 9.1.1 ข้ันสนใจ (Motivation) การกระตุ้นความสนใจให้ผู้เรียนเกิดความอยากเรียนรู้ในเน้ือหาโดยใช้สื่อประกอบ คาถามแบบกว้างๆเพื่อให้ผู้เรียนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมที่ครูใช้ในการดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือเตรียมตัว นักเรียนก่อนเร่ิมเรียนและก่อนที่ครูจะสอนเน้ือหาทุกวิชาซึ่งเป็นการเตรียมนักเรียนให้รู้ว่ากาลังเรียนเรื่องอะไร สามารถนาเอาความรู้และทักษะที่นักเรียนมีอยเู่ ดิมมาสัมพันธ์กบั บทเรียนทค่ี รกู าลังจะสอนได้โดยการหากิจกรรมที่ เรา้ ความสนใจของนักเรียนแลว้ เช่อื มโยงไปสู่บทเรยี นซง่ึ จะทาใหน้ ักเรียนเขา้ ใจบทเรยี นไดด้ ีย่งิ ข้ึน 9.2 การเรยี นรู้ 9.2.1 ข้ันศึกษาข้อมลู (Information) ผู้สอนต้องเลือกเนื้อหาที่ต้องรู้ (Must know) มาสอนก่อนเช่นการสอนเร่ือง เครอ่ื งมือวดั ต้องสอนวิธีการอา่ นกอ่ นแล้วจงึ สอนวธิ ีการใชง้ านวิธกี ารบารงุ รกั ษาและการบอกชอื่ ชิ้นส่วนต่างๆ 9.2.2 ข้นั พยายาม (Application) ผู้สอนตอ้ งมแี บบฝกึ หดั การปฏิบตั เิ พื่อใหผ้ เู้ รียนใช้ความรู้ ทไี่ ด้เรยี นมาแก้ปญั หาพัฒนาทกั ษะและเปน็ การเปลีย่ นกจิ กรรมเพื่อไม่ใหเ้ กดิ ความเบื่อหนา่ ยในการเรยี นรู้ 9.3 การสรปุ 9.3.1 ขั้นสาเร็จผล (Progress) ผู้สอนต้องมีการเฉลยแบบฝึกหัดเพ่ือให้ผู้เรียนตรวจปรับ ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่ได้เรียนมาและเป็นการเปล่ียนกิจกรรมเพ่ือเพิ่มความสนใจและเป็นการสรุปซ้าใน เนอ้ื หาครสู ามารถจัดกิจกรรมเรยี นรู้อนื่ ๆที่เหมาะสมกับเนอื้ หาวชิ าได้ 10. ส่ือการเรียนรู้/แหลง่ การเรยี นรู้หมายถงึ ส่ิงต่างๆที่ใช้เปน็ เครื่องมอื หรือชอ่ งทางสาหรบั ทาใหก้ ารสอน ของครูถึงผู้เรียนและทาให้ผู้เรียนและทาให้ผู้เรียนเรียนตามจุดประสงค์ได้ดีและมีความเข้าใจในเนื้อหาท่ีจะเรียนรู้ ได้แก่ส่อื ส่งิ พมิ พส์ ือ่ โสตทัศน์หุ่นจาลองหรอื ของจรงิ เป็นตน้ 11. เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้หมายถึงเอกสารท่ีครูจัดทาข้ึนเพ่ือใช้ประกอบการเรียนการของ นักเรียนได้แก่ใบปฏิบัติงาน (Operation Sheet) ใบส่ังงาน (Job Sheet) ใบมอบหมายงาน (Assignments Sheet) 11.1 ใบปฏิบัติงาน (Operation Sheet) หมายถึงเอกสารที่เป็นข้อมูลที่ใช้เป็นแนวทางในการ ฝกึ ปฏบิ ตั ิ
161 11.2 ใบสัง่ งาน (Job Sheet) หมายถึงเอกสารทใี่ ช้ประกอบการฝึกอบรมหรอื การเรยี นทางดา้ น ปฏิบัติโดยการกาหนดให้ผู้เรียนปฏิบัติงานตามคาส่ังเพ่ือให้เกิดทักษะตามวัตถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมท่ีวเิ คราะห์ได้ จากข้ันตอนการทางานได้อย่างปลอดภัย 11.3 ใบมอบหมายงาน (Assignments Sheet) หมายถึงเอกสารที่ครูผู้สอนมอบหมายงานให้ ผูเ้ รยี นไปฝึกปฏบิ ตั ิดว้ ยตนเองนอกเหนอื จากเวลาการเรยี นการสอน 12. การบูรณาการ/ความสัมพันธ์กบั วิชาอื่นหมายถึงการเรียนรู้ที่เช่ือมโยงศาสตรส์ าขาต่างๆท่ีสัมพันธ์ เก่ียวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกันเพื่อใหเ้ กิดองค์ความรู้ที่มีความหมายมีความหลากหลายและสามารถนาไปใช้ ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวัน 13. การวัดและประเมนิ ผลหมายถึงการตรวจสอบจดุ ประสงคใ์ นการเรยี นรทู้ ีก่ าหนดไวใ้ นแผนการเรียนรู้ เชน่ แบบทดสอบแบบประเมินทักษะแบบสังเกตแบบบนั ทกึ พฤติกรรมผเู้ รียนและแบบสัมภาษณ์เปน็ ต้น 13.1 การวดั และประเมินผลก่อนเรียนหมายถึงการวดั และประเมนิ ผลความรู้/ทกั ษะพ้ืนฐานเป็น การตรวจสอบเพอ่ื ดวู า่ ผู้เรียนมคี วามรู้ /ทกั ษะพ้ืนฐานกอ่ นหนา้ ที่จะเรียนในบทเรยี นนัน้ ๆมากน้อยเพียงใดสามารถที่ จะเรียนต่อไปได้เลยหรือควรที่จะปรับพ้ืนความรู้/ฝึกทักษะพ้ืนฐานบางส่วนหรือท้ังหมดเสียก่อนการวัดและ ประเมินผลความรู้/ทักษะพืน้ ฐานทาเพอ่ื ให้ไดข้ อ้ มูลบางอยา่ งทต่ี ้องการมาจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนข้อสรุปของ การประเมนิ ผลจงึ มิได้อยู่ท่ีการสอบไดส้ อบตกแต่เป็นการพิจารณาถึงสมรรถภาพพื้นฐานของผเู้ รียนเท่านนั้ ดว้ ยเหตุ นีว้ ิธีการและเครอื่ งมือวดั ผลจงึ อาจจะทาโดยการสัมภาษณ์การสอบขอ้ เขียนสัน้ ๆหรอื พิจารณาจากผลงานที่ผู้เรียน เคยปฏิบัตมิ าแล้วกไ็ ด้สาหรับบทเรียนที่ตอ่ เน่ืองหรือกลุ่มผเู้ รียนซึ่งครูคนเดียวกันเคยได้สอนมาอาจไมต่ ้องมีการวัด และประเมนิ ผลกอ่ นเรียนก็ไดท้ ั้งนเ้ี พราะว่าครูผสู้ อนมีข้อมูลของผเู้ รียนอยู่แลว้ 13.2 การวัดและประเมินผลขณะเรียนหมายถึงเพื่อให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจใน เนื้อหาสว่ นตา่ งๆท่ีรบั จากการเรียนการสอนไปว่ามีอยู่เพียงพอท่ีจะใช้แก้ปญั หาต่างๆไดห้ รือไมเ่ พียงใดฉะน้นั คะแนน จากการวัดและประเมินผลความรู้ความเข้าใจในบทเรียนต่างๆจึงเป็นเคร่ืองมือที่สาคัญในการวินิจฉัยการจัดการ เรยี นการสอนซ่ึงจะไมเ่ กี่ยวข้องกบั การประเมินผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนแตอ่ ย่างใดเพราะกิจกรรมดังกลา่ วอยูใ่ นช่วง ขั้นพยายามของกระบวนการเรยี นรเู้ ทา่ น้ัน 13.3 การวัดและประเมินผลหลังเรียนหมายถึงวัดและประเมินเมือ่ จบการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เพื่อตรวจสอบผลการเรยี นผู้เรียนโดยเทียบกับจุดประสงค์หรือผลการเรียนรู้นอกจากนี้การวัดและประเมินผลหลัง เรียนอาจเป็นขอ้ มูลกอ่ นเรยี นในระดบั ต่อไป 14. บันทึกหลังสอนหมายถึงเป็นการสรุปและแสดงผลการนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปใช้ว่า สามารถจัดกิจกรรมได้บรรลุผลการเรียนรู้หรือไม่มีปัญหาและอุปสรรคใดบ้างท่ีต้องแก้ไขมีพฤติกรรมของผู้เรียน ใดบา้ งท่ตี อ้ งพฒั นาอย่างตอ่ เนอื่ ง 14.1 ผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้หมายถึงผลประเมินการใช้แผนการสอนเป็นการประเมิน ตนเอง 14.1.1 จดุ ประสงค์(Objective) จดุ ประสงค์แตล่ ะขอ้ ท่กี าหนดไวใ้ นแผนเหมาะสมเพียงใด ควรปรบั ปรุงเพียงใดและสอนตามตรงจุดประสงค์ที่วางแผนไว้มากน้อยเพยี งใด 14.1.2 หอ้ งเรียน/ห้องฝกึ งานมีความเหมาะสมเพยี งใด 14.1.3 เนอื้ หาทีม่ ใี นแผนเหมาะสมเพียงใดสอนเนื้อหาตามท่ีวางแผนไวไ้ ดม้ ากน้อยเพยี งใด 14.1.4 กิจกรรมการเรยี นการสอนที่วางแผนไวเ้ หมาะสมเพยี งใดจดั การเรียนร้ไู ดต้ าม กจิ กรรมที่วางแผนไวไ้ ดม้ ากน้อยเพยี งใด 14.1.5 ส่ือการสอนทีว่ างแผนไว้ในแผนการจดั การเรยี นรู้เหมาะสมเพียงใดนามาใช้สอนมาก นอ้ ยเพยี งใด
162 14.1.6 เครื่องมือ/อปุ กรณ์เครือ่ งมอื เครื่องจกั รวัสดฝุ กึ อปุ กรณ์ช่วยสอนอ่ืนๆที่วางแผนไว้ เหมาะสมเพียงใดใชต้ ามแผนมากนอ้ ยเพยี งใด 14.1.7 เวลาท่ีใชเ้ วลาทว่ี างแผนไวเ้ หมาะสมเพยี งใดปฏบิ ตั ิการสอนไดต้ ามเวลามากน้อย เพยี งใด 14.1.8 การวัดและประเมินผลที่ออกแบบไว้ในแผนเหมาะสมเพยี งใดนาไปใชว้ ัดประเมินผล ครบกระบวนการตามทีว่ างแผนไวม้ ากน้อยเพียงใด 14.2 ผลการเรยี นรู้ของนกั เรยี นนกั ศกึ ษาหมายถงึ ตัวผ้เู รียนท่ีจะเขา้ มาเรียนในหลักสูตรรายวชิ าท่ี พัฒนาขึ้นจะต้องตรวจสอบคุณสมบัติต่างๆเช่นความรู้/ทักษะพ้ืนฐานลักษณะส่วนบุคคล (ถ้าจาเป็น) เป็นต้นให้ สอดคล้องตามความต้องก ารท่ี กาหนดไว้เป็น พื้น ฐานของผู้ที่ จะเข้ามาเรียน ใน หลักสูตร รายวิชาน้ั นผลจากก าร ตรวจสอบผลสัมฤทธ์ิในการเรียนข้อมูลจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิในการเรียนหลังจากศึกษาจบหลักสูตร รายวิชาที่ทดลองใช้แล้วจะบอกไดว้ า่ 1. โดยเฉล่ียแล้วผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิในการเรียนรายวิชาท่ีพัฒนารอ้ ยละเท่าไรอยู่ในเกณฑ์สูงหรือ ตา่ 2. จากการตรวจสอบมีปริมาณหรือจานวนผ้เู รียนเท่าไรสามารถผ่านรายวชิ าน้นั ไปไดแ้ ละมีจานวน เทา่ ไรควรศกึ ษาซา้ ใหม่อกี คร้งั หน่งึ 14.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้หมายถึงแนวทางการแก้ปัญหาของครูผู้สอนการ แก้ปัญหาอาจเป็นการแก้ปัญหาทันทีระหว่างปฏิบัติการสอนควรบันทึกไว้ด้วยหรือเสนอแนวทางแก้ปัญหาเพ่ือ ปรับปรงุ แผนจัดการเรยี นรู้ในการสอนคร้ังตอ่ ไป (Action Plan) เพ่ือพฒั นาคุณภาพการเรยี นรู้ แนวทางการจัดทารายละเอียดต่างๆสาหรับจัดทาแผนการเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะของสานักงาน คณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา
163 การวเิ คราะหห์ ัวข้อเรื่องโดยใช้ Coral และ Scalar Pattern เมอื่ ไดห้ วั ข้อเรื่องทจ่ี ะต้องสอนครบถว้ นแลว้ กน็ าหัวขอ้ เรื่องมาแยกยอ่ ยเปน็ หวั ข้อหลกั (Main Element) จากหัวข้อหลกั แยกตอ่ เป็นหวั ข้อยอ่ ย (Element) ซึ่งการวเิ คราะหห์ ัวข้อเร่ือง (Topic Analysis) 1. แบบ Scalar Pattern นิยมทากัน 2แบบคือ 2. แบบแผนภูมิปะการงั (Coral Pattern) ขน้ั ตอนการวิเคราะห์หวั ขอ้ เรอ่ื งเพอ่ื หาวตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม
164 การวิเคราะห์หัวข้อเร่ืองเพ่ือนาไปเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมโดยปกติจะนาหัวข้อหลัก (Main Element) มาเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมแต่ถ้านาหัวข้อหลักมาเขียนล้วไม่ครอบคลุมเน้ือหาก็นาหัวข้อย่อย (Element) มาเขยี นเพ่ิมเติมจนครอบคลุมเนอ้ื หาของหัวข้อเร่อื งและเนื้อหา A1 A2
165 B2 C2 คาอธบิ ายรายวิชา
166 จดุ ประสงค์รายวชิ า 1. 2. 3. สมรรถนะรายวิชา 1. 2. 3. 4. 5. คาอธบิ ายรายวชิ า
ใบวเิ คราะหผ์ งั สม
มรรถนะรายวิชา(ตวั อยา่ ง)
หน่วย ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้/รายการสอน กาหนดการสอน สัปดาห์ ชั่วโมง ท่ี ท่ี ท่ี สมรรถนะประจาหนว่ ย
169 กรอบการจัดการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการเปน็ เร่ือง/ชิ้นงาน/โครงการ และบรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง กจิ กรรมนกั เรียน ความพอประมาณ 1. ……………………………………………. 2. ……………………………………………. 3. ……………………………………………. ความมีเหตุผล 1. ……………………………………………. 2. ……………………………………………. 3. ……………………………………………. การมภี ูมคิ ุ้มกนั 1. ……………………………………………. 2. ……………………………………………. 3. ……………………………………………. เงอื่ นไขดา้ นความรู้และทักษะ 1. ……………………………………………. 2. ……………………………………………. 3. ……………………………………………. เงือ่ นไขด้านคุณธรรม 1. ……………………………………………. 2. ……………………………………………. 3. ……………………………………………. ผลกระทบเพอ่ื ความสมดลุ พรอ้ มรับการเปลี่ยนแปลง ด้านสังคม ดา้ นเศรษฐกิจ ดา้ นวฒั นธรรม ดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม ความรู้ ทกั ษะ พฤตกิ รรม
170 รายการตรวจสอบและอนญุ าตให้ใช้ เหน็ ควรอนญุ าตใหใ้ ช้การสอนได้ เห็นควรปรับปรงุ เก่ียวกับ ลงช่อื ( ) / หวั แผนกวชิ า / ควรอนญุ าตให้นาไปใชส้ อนได้ ลงช่อื ( ) ควรปรับปรุงเกย่ี วกับ. รองผ้อู านวยการฝ่ายวิชาการ อ่นื ๆ // อนุญาตให้นาไปใช้สอนได้ อื่น ๆ ลงชื่อ ( ) ผู้อานวยการวิทยาลัยการอาชีพเวยี งสระ //
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175