รายงานผลการวจิ ัยในชนั้ เรยี น การสร้างและการหาประสิทธภิ าพของเอกสารประกอบการเรยี นการสอน เรอ่ื ง จานวนเชงิ ซ้อน ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 โดย นายคเณศ สมตระกลู ตาแหน่ง ครู โรงเรยี นมธั ยมวัดเบญจมพบิตร สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 1 สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563
บันทกึ ข้อความ สว่ นราชการ โรงเรียนมธั ยมวดั เบญจมบพติ ร ท่ี ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 วนั ที่ 30 ธนั วาคม พ.ศ. 2563 เร่ือง รายงานการส่งวิจยั ในชัน้ เรียน ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 เรียน ผอู้ านวยการโรงเรยี นมธั ยมวัดเบญจมบพิตร ดว้ ยข้าพเจา้ นายคเณศ สมตระกูล ตาแหน่ง ครู โรงเรียนมธั ยมวดั เบญจมบพิตร ได้จดั ทารายงานวิจัย ในชั้นเรียน เรื่อง การสร้างและการหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอน เรื่อง จานวน เชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 เพื่อสร้างเอกสารประกอบการเรียนการสอน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ให้มีประสิทธ์ิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการ เรียนการสอน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลงั เรียน และความพงึ พอใจของนกั เรียนทีม่ ตี ่อเอกสารประกอบการเรยี น เรอ่ื ง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 จึงเรยี นมาเพอ่ื โปรดทราบ ลงชอ่ื (นายคเณศ สมตระกลู ) ตาแหนง่ ครู ความเห็นของรองผู้อานวยการสถานศึกษา ความเห็นของผ้อู านวยการสถานศึกษา ………………………………………………………………………….. ..................................................................................... .................................................................................... ..................................................................................... .................................................................................... ..................................................................................... .................................................................................... .................................................................................... ลงชือ่ ............................................................ ลงช่อื ............................................................ (วา่ ทร่ี อ้ ยตรีสพุ จน์ สวุ นิ ัย ) (นายพงศ์ไท ครี วี งศ์วัฒนา) รองผู้อานวยการโรงเรียนมธั ยมวดั เบญจมบพิตร ผูอ้ านวยการโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร
ช่ือเรือ่ ง การสร้างและการหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอน เรอื่ ง จานวนเชงิ ซ้อน ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ชอ่ื ผูว้ ิจัย นายคเณศ สมตระกลู ตาแหน่ง ครู ปกี ารศึกษา 2563 ภาคเรียนท่ี 2 บทคดั ย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างเอกสารประกอบการเรียนการสอน เร่ือง จานวน เชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร ให้มีประสิทธ์ิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ศกึ ษาดชั นีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียนการสอน เรอื่ ง ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5 เปรียบเทยี บ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ เอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ประชากรท่ใี ช้ในการวิจัย คือ นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนมธั ยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ท่ีกาลังเรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จานวน 2 หอ้ งเรียน มีนักเรยี นทั้งหมด 30 คน และกลุม่ ตัวอย่าง คอื นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจบพิตร สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต1 ที่กาลังเรียนอยู่ใน ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 จานวน 22 คน ได้มาโดยสมุ่ แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียนการสอน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยได้คะแนนแบบทดสอบระหว่างเรียนเฉลี่ยคือ 60.05 คะแนน จากคะแนนเต็ม 80 คะแนน ซ่ึงคิดเป็นร้อยละ 75.06 ของคะแนนรวมของคะแนนระหว่างเรียนทั้งหมด และคะแนน แบบทดสอบหลังเรียนเมื่อเรียนจากการใช้เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 5 แล้วได้คะแนนเฉลี่ย 14.91 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ซ่ึงคิดเป็นร้อยละ 74.55 ซ่ึงอยู่ในเกณฑท์ ่กี าหนดไว้ 2. การวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรยี น เท่ากับ 0.68 ซ่ึงแสดงว่า ผ้เู รยี นมคี วามสามารถในการเรยี นเพิ่มขึน้ รอ้ ยละ 68 3. การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) พบว่า คะแนนสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรอ่ื ง จานวนเชิงซ้อน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยคะแนนรวมก่อนเรียน คือ 87 คะแนน และคะแนนรวมหลังเรียน คือ 328 คะแนน นักเรยี นมพี ัฒนาการท่สี งู ข้นึ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .01 4. การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวน เชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.35 , S.D. = 0.82) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุด 1 ข้อ คือ นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้หรือค้นคว้าหาคาตอบ ด้วยตนเอง มคี วามพงึ พอใจระดบั มาก 9 ข้อ เรยี งลาดบั จากมากไปหาน้อยสามอนั ดับดังน้ี นักเรยี นได้ คิด วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และ เนื้อหา ครอบคลมุ และสอดคล้องกบั ผลการเรียนรู้
สารบญั หน้า บทคัดย่อ……………..………………………………………………………………………………………….....……………. ก สารบัญ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ข บทที่ 1 ความเป็นมาและความสาคัญ .......................................................................................... 1 วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษา ............................................................................................... 1 สมมติฐานของการศกึ ษา ................................................................................................... 2 ขอบเขตของการศึกษา .................................................................................................... 2 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ ............................................................................................................... 2 บทท่ี 2 เอกสารทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ........................................................................................................... 4 เอกสารประกอบการเรียน................................................................................................... 4 ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน....................................................................................................... 16 ความพึงพอใจ...................................................................................................................... 21 บทท่ี 3 วิธีดาเนนิ การศึกษา ........................................................................................................... 24 รูปแบบการศึกษา................................................................................................................ 24 ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง.................................................................................................. 25 เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการศึกษา................................................................................................... 25 วิธกี ารดาเนินการศกึ ษา....................................................................................................... 25 ระยะเวลาในการศกึ ษา........................................................................................................ 26 การวิเคราะห์ขอ้ มูล.............................................................................................................. 27 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล............................................................................................ 27 บทที่ 4 ผลการดาเนนิ การ............................................................................................................... 30 สญั ลักษณท์ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................... 30 ลาดับขน้ั ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ........................................................................................... 30 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล......................................................................................................... 31 บทท่ี 5 สรปุ อภปิ ราย และข้อเสนอแนะ........................................................................................ 36 สรุปผลการศึกษา................................................................................................................. 36 อภิปรายผล......................................................................................................................... 37 ขอ้ เสนอแนะ........................................................................................................................ 38 บรรณานกุ รม.................................................................................................................................... 39 ภาคผนวก........................................................................................................................................ 40
1 บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั คณิตศาสตร์ เป็นเคร่ืองมือในการศึกษาวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ตลอดจนศาสตรอ์ ่ืนๆ ที่เกี่ยวข้อง คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดารงชีวิต และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งข้ึน นอกจากน้ันคณิตศาสตร์ยังช่วยพัฒนาคน ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีความสมดุลทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญาและอารมณ์ สามารถคิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเป็น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมี ความสขุ คณิตศาสตร์ยังมีบทบาทสาคัญย่งิ ต่อการพฒั นาความคิดของมนษุ ย์ คือทาใหค้ ดิ อย่างมีเหตุผล เป็นระบบมีระเบียบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ทาใหส้ ามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ และแกป้ ัญหาไดอ้ ย่างถูกต้องและเหมาะสม นักการศึกษาส่วนใหญ่เช่ือว่านวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา จะช่วยให้การจัด การเรียนการสอนมีประสทิ ธภิ าพย่งิ ขึน้ เพราะนวตั กรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาต่างก็ผ่านระบบ การผลิตที่มีขั้นตอน และได้จัดระบบอย่างมีประสิทธิภาพท่ีสาคัญท่ีสุด คือนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทางการศกึ ษาเน้นบทบาทของผเู้ รียนให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การสอนจะได้ผลดีจาเปน็ ท่ีครูจะต้องใช้ ส่ือต่างๆ ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและตัวนักเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น การใช้เอกสารประกอบการเรียนมาช่วยในการจัดการเรียนการสอน ท่ีมีการจัดทาโดยศึกษาหลัก สาคญั ในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรียน มีความเป็นไปได้วา่ อาจจะมีส่วนทช่ี ่วยให้ผเู้ รียนสามารถ เรียนรแู้ ละเข้าใจคณติ ศาสตร์ได้มากยิง่ ข้นึ ด้วยเหตุผลท่ีกล่าวข้างต้น ผู้ศึกษาจึงสนใจที่จะสร้างเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) เพือ่ เพ่ิมประสิทธภิ าพในการสอน และพัฒนาสอื่ การสอนใหด้ ยี ง่ิ ขึ้น 1.2 วัตถุประสงคข์ องกำรศกึ ษำ 1. เพ่ือสร้างเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพ่ือศึกษาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 3. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อน เรียนและหลังเรียน ด้วยเอกสารประกอบการเรยี น เรอ่ื ง จานวนเชงิ ซอ้ น ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวน เชงิ ซอ้ น ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5
2 1.3 สมมตฐิ ำนของกำรศึกษำ 1. เพ่ือสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 มคี า่ สงู กว่าร้อยละ 60 3. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียน ด้วยเอกสาร ประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 แตกต่างกัน 4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชงิ ซอ้ น ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 อยใู่ นระดบั มาก 1.4 ขอบเขตของกำรศกึ ษำ 1. ประชำกรและกลมุ่ ตัวอย่ำง 1) ประชากร ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ท่ีกาลังเรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จานวน 2 หอ้ งเรยี น มีนักเรียนทั้งหมด 30 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจบพิตร สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ท่ีกาลังเรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จานวน 22 คน ไดม้ าโดยการสมุ่ แบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2. ตวั แปรท่ศี ึกษำ 1) ตัวแปรต้น คือ เอกสารประกอบการเรยี น เรือ่ ง จานวนเชิงซอ้ น ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ท่ผี ้วู ิจัยสรา้ งข้ึน 2) ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนจากเอกสารประกอบ การเรยี น เร่อื ง จานวนเชงิ ซ้อน ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 3. ระยะเวลำในกำรศกึ ษำ ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 ภายในเดือนธนั วาคม 2563 1.5 นิยำมศพั ท์เฉพำะ 1) เอกสารประกอบการเรียน หมายถึง เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ท่ผี ูว้ จิ ยั สร้างข้นึ 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ผลคะแนนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย เอกสารประกอบการเรียน เร่อื ง จานวนเชงิ ซอ้ น ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ท่ผี ู้วจิ ัยสรา้ งข้ึน
3 3) ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน หมายถึง เอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง จานวนเชงิ ซอ้ น ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ท่ผี ู้วิจยั สรา้ งขึ้น ท่มี ปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉล่ียร้อยละของนักเรียนที่ได้จากการทาเอกสาร ประกอบการเรยี น เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีที 5 ทผ่ี ้วู จิ ยั สรา้ งขึน้ 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละท่ีได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนจากการทาเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีผู้วิจัย สร้างขึ้น 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบจานวน 20 ข้อ ที่ใช้วัด ความรู้ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ทผี่ ู้วิจัยสร้างขน้ึ 5) ความพึงพอใจของนกั เรียน หมายถงึ ความคิดเหน็ หรือความรู้สกึ ของนกั เรียนทมี่ ีต่อการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 6) นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร แขวง ดุสิต เขต ดุสิต จังหวัด กรุงเทพฯ สังกัดสานักงานเขตพ้ืนการศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 จานวน 30 คน
4 บทที่ 2 เอกสำรที่เก่ียวขอ้ ง การศึกษาวิจัยผลการใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร จังหวัด กรุงเทพฯ ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลเอกสาร และงานวิจยั อน่ื ท่ีเกี่ยวขอ้ ง โดยมหี ัวขอ้ ตามลาดับตอ่ ไปน้ี 1. เอกสารประกอบการเรยี น 1.1 ความหมายของเอกสารประกอบการเรยี น 1.2 ความสาคัญของเอกสารประกอบการเรียน 1.3 จุดมุง่ หมายในการสร้างเอกสารประกอบการเรียน 1.4 จิตวทิ ยาและทฤษฎที เี่ ก่ยี วขอ้ งกับเอกสารประกอบการเรียน 1.5 หลักและขน้ั ตอนในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรียน 1.6 ขน้ั ตอนการสรา้ งเอกสารประกอบการเรียน 1.7 สว่ นประกอบทสี่ าคัญของเอกสารประกอบการเรียน 1.8 การหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรยี น 1.9 คุณคา่ และข้อจากดั ของเอกสารประกอบการเรียน 2. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน 2.1 ความหมายของผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น 2.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน 2.3 การสร้างเครือ่ งมือวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 3. ความพงึ พอใจ 3.1 ความหมายความพึงพอใจ 3.2 ทฤษฎีที่เกี่ยวขอ้ งกับความพึงพอใจ 4. งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 1. เอกสำรประกอบกำรเรียน 1.1 ควำมหมำยของเอกสำรประกอบกำรเรยี น เอกสารประกอบการเรียน ถือเป็นสิ่งสาคัญในการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ สามารถนาความรู้ท่ีได้ไปใช้ปฏิบัติได้จริง มีผู้รู้ให้ความหมายเก่ียวกับเอกสารประกอบ การเรยี นไวด้ งั นี้ นิรมล ศตวุฒิ และศักดิ์ศรี ปาณะกุล (2546, 10-11) กล่าวว่า เอกสารประกอบการสอน หมายถึง เอกสารวิชาการที่ผู้สอนวิชาใดวิชาหน่ึงเขียนและเรียบเรียงขึ้น เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการ
5 สอนหรือเป็นเอกสารเสริมให้ผู้เรียน ได้ศึกษาเพิ่มเติม ตัวอย่างเอกสารท่ีใช้เป็นแนวทางในการสอน เชน่ แผนการสอนระยะยาวแผนการสอนรายคาบ เคา้ โครงเน้ือหาวิชาทั้งวิชา เปน็ ต้น ตวั อย่างเอกสาร ทจี่ ดั ทาเป็นเอกสารเสริมให้ผูเ้ รียนไดศ้ กึ ษาเพ่มิ เตมิ เช่น สรุปสาระของเนื้อหาวชิ า พรอ้ มทัง้ แบบฝกึ หัด เปน็ ตน้ สนม ครุฑเมือง (2549,90) กล่าวว่า เอกสารประกอบการสอนเป็นเอกสารหรือส่ือที่สร้าง และเขียน เพ่ือใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชาใดวิชาหนึ่งตามหลักสูตรของสถาบันการศึกษา โดย ศึกษาความมุ่งหมายและเนื้อหาสาระของหลักสูตร เพ่ือนามาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่าง สอดคล้องกับสภาพการสอนจริง เอกสารประกอบการสอนต้องมีเน้อื หาสาระท่ีถูกต้อง มขี ้อมูลอ้างอิง มรี ะบบขนั้ ตอนในการเรยี นการจดั ทารปู เล่มอาจตพี ิมพ์หรอื ถ่ายสาเนาเย็บเล่มก็ได้ สุนันทา สุนทรประเสริฐ (ม.ป.ป., 2) กล่าวถึง เอกสารประกอบการเรียนการสอน คือ เอกสารท่ีจัดทาข้ึน เพ่อื ใชป้ ระกอบการเรยี นการสอนของครหู รอื ประกอบการเรยี นของนักเรียนในวชิ า ใดวชิ าหนึง่ ควรมีหวั เรื่อง จุดประสงค์ เน้ือหา สาระและกจิ กรรม เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ กดิ การเรียนรู้ตามที่ หลกั สูตรกาหนด ดังน้ัน สรุปได้ว่าเอกสารประกอบการเรียนการสอน หมายถึง ส่ือที่ผู้สอนเรียบเรียงขึ้นเพ่อื ใชป้ ระกอบการสอนวิชาใดวิชาหนง่ึ ตอ้ งมีเนอ้ื หาสาระท่ถี กู ตอ้ ง มีข้อมูลอ้างองิ มีระบบขน้ั ตอนในการ เรียนสาหรับให้ผู้เรียนได้ศึกษาเพ่ิมเติม เช่น สรุปสาระของเนื้อหาวิชา พร้อมทั้งแบบฝึกหัดควรมีหัว เรื่อง จุดประสงค์ เนื้อหา สาระและกจิ กรรมเพ่อื ใหผ้ ูเ้ รียนได้เกดิ การเรียนรู้ตามทหี่ ลักสูตรกาหนด 1.2 ควำมสำคญั ของเอกสำรประกอบกำรเรียน เอกสารประกอบการเรียนมคี วามสาคัญต่อการเรยี นรู้ ทาหน้าทถี่ า่ ยทอดความรู้ ความเขา้ ใจ ความรู้สึก เพ่ิมพูนทักษะและประสบการณ์ สร้างสถานการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน กระตุ้นให้เกิด การพฒั นาศกั ยภาพทางการคดิ ได้แก่ คดิ ไตร่ตรอง การคดิ สร้างสรรค์ และการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ ตลอดจนการสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มให้แก่ผู้เรยี น เอกสารประกอบการเรียนในยุค ปัจจุบันมีอิทธิพลสูงต่อการกระตุ้นให้ผู้เรียนกลายเป็นผู้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ความสาคัญของ เอกสารประกอบการเรยี น มดี งั น้ี ถวัลย์ มาศจรสั (2547, 5) กล่าวถึง ความสาคัญของเอกสารประกอบการเรยี น ไว้ดังน้ี 1. ชว่ ยขยายเนื้อหาในแบบเรยี นให้กว้างขวางขึ้น เอกสารประกอบการเรยี นจัดทาขนึ้ เพ่ือ จุดมุ่งหมายเฉพาะส่วนย่อยท่ีช่วยเน้น ขยายเนื้อหา และยังมีภาพประกอบทาให้เกิดความรู้ ความ เขา้ ใจไดก้ ว้างขวางขน้ึ ดีขนึ้ และงา่ ยขน้ึ 2. สร้างเสริมนิสัยการค้นคว้าและพัฒนาการอ่าน เอกสารประกอบการเรียนเด็กสามารถ อ่านไดอ้ ยา่ งมีอสิ ระ ไมจ่ ากดั สถานที่ เปน็ การเสริมสรา้ งลักษณะนสิ ยั ใหร้ กั การศึกษาค้นควา้ หาความรู้ ด้วยตนเอง ฝึกทักษะในการอ่านอยู่เสมอ ทงั้ ยังเปน็ การใชเ้ วลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์อกี ด้วย
6 3. ส่งเสริมให้เด็กมีนิสัยรักการอ่านหนังสือ เอกสารประกอบการเรียนมีเร่ืองราวเน้ือหาท่ี สนุกสนานเพลิดเพลิน มภี าพประกอบและเหมาะสมกบั วยั จงึ สามารถเรา้ ความสนใจท่จี ะอา่ นมากกว่า แบบเรยี น ซ่งึ จะปลูกฝงั ใหเ้ กดิ นสิ ัยรักการอา่ นในที่สุด 4. ช่วยชดเชยความบกพร่องทางด้านจิตใจของเด็ก เอกสารประกอบการเรียนมีเร่ืองราว สามารถชดเชยความร้สู กึ บกพร่องทางด้านจิตใจ เสรมิ สรา้ งคุณธรรมไดด้ ีกวา่ แบบเรยี นทั่วไป 5. ช่วยใหเ้ ดก็ ได้รบั ความเพลิดเพลินบันเทงิ ใจ ลบั สมองและสง่ เสริมเชาวน์ปัญญา เอกสาร ประกอบการเรยี นมีเน้อื หาสาระเป็นเร่ืองราวที่สนุกสนาน แฝงไว้ด้วยความรู้ มีความเหมาะสมกับวยั จงึ เปน็ สอ่ื สาคัญท่สี รา้ งความเพลดิ เพลนิ สง่ เสริมเชาว์ปัญญาใหแ้ กเ่ ด็ก กระทรวงศึกษาธิการ (2551, 6-7) กล่าวถึง ความสาคัญของการใช้เอกสารประกอบการ เรียนไวเ้ ป็นขอ้ ๆ ดงั น้ี 1. ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจความคิดรวบยอดไดง้ า่ ยข้นึ รวดเร็วข้นึ 2. ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนมองเหน็ ส่งิ ท่ีกาลงั เรยี นรูไ้ ดอ้ ยา่ งเป็นรปู ธรรมและเปน็ กระบวนการ 3. ชว่ ยให้ผเู้ รียนเรยี นรูด้ ้วยตนเอง ส่งเสรมิ ให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรค์ 4. สร้างสภาพแวดล้อม และประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีแปลกใหม่ ให้น่าสนใจ และทาให้ อยากรูอ้ ยากเห็น 5. สง่ เสริมการมกี ิจกรรมร่วมกนั ระหว่างผูเ้ รียน 6. เกื้อหนุนผู้เรียนที่มีความสนใจ และมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ต่างกันให้เรียนรู้ได้ เท่าเทยี มกนั 7. ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนบรู ณาการสาระการเรียนรตู้ า่ งๆ ให้เชื่อมโยงกนั 8. ช่วยให้ผู้เรยี นได้เรยี นรู้วธิ ีการใชส้ ือ่ และแหล่งขอ้ มลู ตา่ งๆ เพ่ือการคน้ ควา้ เพ่ิมเติม 9. ช่วยใหผ้ เู้ รยี นได้รบั การเรียนรใู้ นหลายมติ จิ ากส่อื ท่ีหลากหลาย 10. เชอ่ื มโยงโลกทอี่ ยู่ไกลตวั ผูเ้ รียนใหเ้ ขา้ มาสกู่ ารเรยี นรขู้ องผู้เรียน 11. สือ่ การเรยี นร้ตู า่ งๆ ยังช่วยกระตนุ้ ใหผ้ ้เู รียนไดร้ ับการพฒั นาด้านตา่ งๆ ดังนั้น สรุปได้ว่าเอกสารประกอบการเรียนเป็นสื่อการสอนที่สาคัญ ทาให้ผู้เรียนเกิดการ เรยี นรูไ้ ดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง เปน็ การส่งเสรมิ การค้นหา และการคน้ คว้า ทาใหผ้ เู้ รยี นรักการเรียนรู้เห็นคุณค่า ของตนเอง 1.3 จุดมงุ่ หมำยในกำรสร้ำงเอกสำรประกอบกำรเรยี น ด้านจุดมุ่งหมายในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนนั้น จะต้องให้เหมาะสมกับวัยของ ผเู้ รียนด้วย มีนักการศกึ ษาใหค้ วามรู้เก่ยี วกับจุดมงุ่ หมายในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนไว้ดังน้ี ถวัลย์ มาศจรัส (2547, 6) กล่าวว่า เอกสารประกอบการเรียนเป็นสื่อการเรียนการสอน อย่างหนึ่งท่ีกรมวิชาการส่งเสริมให้โรงเรียน ชุมชน ท้องถ่ิน ตลอดจนเอกชน จัดทาข้ึนเพื่อให้เด็กมี
7 โอกาสอ่านหนังสือท่ีมีสาระ สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของท้องถ่ิน มีความรู้ที่ กว้างขวางนอกเหนือจากการอ่านแบบเรียน มีความเหมาะสมกับวัย ความสนใจ ความต้องการและ พัฒนาการของผู้เรียน ซง่ึ จุดม่งุ หมายในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี นพอสรุปได้ ดังน้ี 1. เพือ่ เสริมสร้างจนิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์ 2. เพ่อื ช่วยใหเ้ ด็กมีหนังสอื ท่มี เี นอื้ หาสาระเหมาะสมกบั วยั 3. เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ดก็ รู้จกั ใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ 4. เพ่ือให้ความรู้ข่าวสารใหม่ๆ ข้อเท็จจริงท่ีถูกต้องที่นอกเหนอื จากแบบเรยี นในรปู แบบท่ี เหมาะสมกบั เด็ก 5. เพื่อเสริมสร้างนิสัยรักการอ่าน การค้นคว้า ซ่ึงเป็นคุณสมบัติท่ีดีและประโยชนต์ ่อไปใน อนาคต 6. เพ่ือช่วยพัฒนาการเรียนรู้ด้านภาษาของเด็กให้เจริญตามวัย และมีทักษะในการอ่าน 7. เพื่อให้เด็กได้รับความบันเทิง สนุกสนาน เพลิดเพลิน ได้รับความจรรโลงใจ มีความสุข 8. เพือ่ ช่วยปลูกฝงั คณุ ธรรม คา่ นิยม เจตคติละแบบอย่างที่ดขี องสังคม ตลอดจนเอกลักษณ์ ไทยใหบ้ งั เกิดแกเ่ ดก็ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549, 23) กล่าวว่า การนาเอกสารประกอบการเรียนไปใช้ใน การสอน เพือ่ ตอบสนองจดุ ม่งุ หมาย 4 ประการ ดงั น้ี 1. การใชเ้ อกสารประกอบการเรียน เพื่อใหเ้ ด็กแต่ละคนศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง 2. การใช้เอกสารประกอบการเรียน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธ์ิของนักเรียนที่เรียนอ่อนให้ สงู ขนึ้ โดยให้นกั เรยี นท่เี รียนช้าหรือต้องรับการฝกึ ฝนเป็นพเิ ศษไปศกึ ษาเพมิ่ เติม 3. การใช้เอกสารประกอบการเรียน เพื่อเสริมความรู้ของผู้เรียนท่ีมีอยู่แล้วให้มากขึ้นเป็น การศึกษาเพม่ิ เตมิ ความรู้ให้มากกว่าทคี่ รูสอน 4. การใช้เอกสารประกอบการเรียน เพ่ือการสอนในห้องเรียน โดยถือว่าเป็นส่ือการสอน อยา่ งหนงึ่ ดังนั้น สรุปได้ว่าจุดมุ่งหมายในการสร้างเอกสารประกอบการเรียน คือ ใช้เพ่ือเป็นเอกสาร ในการประกอบการเรียนการสอน โดยการสร้างเป็นรูปเล่ม เสริมความรู้ให้กับผู้เรียน ถือว่าเป็นส่ือที่ สาคัญในการสอนสาหรับครทู ี่ใช้ประกอบในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ท่ีดตี ่อไป 1.4 จติ วิทยำและทฤษฎีท่ีเกย่ี วข้องกับเอกสำรประกอบกำรเรียน จิตวิทยาและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเอกสารประกอบการเรียนหลักการเบื้องต้นทางจิตวิทยา ของการสอนเอกสารประกอบการเรียน คือ หลักการวางเงื่อนไข ขบวนการวางเงื่อนไข ถือเอา ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองเป็นหลัก สิ่งเร้า คือ อะไรก็ได้ที่ก่อหรือยังผลให้มี
8 ปฏิกิริยาจากอินทรยี ์ การตอบสนอง คือ ปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้า หลักการวางเง่ือนไขนใ้ี ช้เป็นพื้นฐานของ การสรา้ งเอกสารประกอบการเรียน ซ่งึ มีนักการศกึ ษาใหค้ วามรไู้ ว้ ดังนี้ สามารถ มีศรี (2547, 72) กล่าวว่า ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบการกระทาซ่ึง ค้นพบโดยสกนิ เนอร์ (Skinner) ทม่ี คี วามเหน็ สอดคล้องกับธอร์นไดค์ (Thorndike) วา่ การกระทาใดๆ ถ้าได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มให้เกิดการกระทานั้นอีก ส่วนการกระทาใดๆ ท่ีไม่มีการเสริมแรง ยอ่ มมีแนวโน้มใหค้ วามถ่ขี องการกระทาน้ันๆ ค่อยๆ หายไปและหายไปในที่สุด สมใจ นาคศรีสังข์ (2549, 32) กล่าวถึง ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเอกสารประกอบการเรยี นไว้ เปน็ ข้อๆ ดังน้ี 1. การสร้างเอกสารประกอบการเรยี นอาศัยพ้ืนฐานทางจิตวิทยาการเรียนรู้ของธอรน์ ไดค์ (Thorndike) ไว้ดังนี้ 1) สถานการณท์ ่ีเป็นปญั หาจะเป็นสิ่งเร้าใหผ้ เู้ รียนแสดงพฤติกรรมตอบสนอง 2) ผู้เรยี นจะแสดงพฤติกรรมตอบสนองหลายอยา่ ง เพ่ือแก้ปัญหานน้ั ๆ 3) ปฏิกริ ิยาการตอบสนองทีไ่ มท่ าใหเ้ กดิ ความพอใจจะถกู ตัดท้งิ ไปหรอื ลดนอ้ ยลง 2. กฎการเรียนรูข้ องธอรน์ ไดค์ 3 ประการ มีดังนี้ 1) กฎแห่งผล (Law of Effect) สรุปหลักการได้ว่า การเชื่อมโยงกันระหว่างสิ่งเร้ากับ การตอบสนองจะดียง่ิ ข้ึน เมอ่ื ผูเ้ รียนแนใ่ จว่าพฤตกิ รรมการตอบสนองของตนถูกต้อง การใหร้ างวัลจะ ช่วยเสริมการแสดงพฤติกรรมน้ันๆ อีก 2) กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) สรุปหลักการได้ว่า การที่มีโอกาสได้กระทา ซ้าๆ ในพฤติกรรมใดพฤติกรรมหน่ึงจะทาให้พฤติกรรมนั้นๆ สมบูรณ์ย่ิงขึ้น การฝึกหัดท่ีดี มีการ ควบคุมที่ดจี ะส่งเสรมิ ผลการเรยี นรู้ 3) กฎแหง่ ความพร้อม (Law of Readiness) สรุปหลกั การได้ว่า เม่ือมคี วามพร้อมที่จะ ตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมใดๆ ถ้ามีโอกาสได้กระทาย่อมเป็นท่ีพอใจ แต่ถ้าไม่พร้อมท่ีจะ ตอบสนองหรอื แสดงพฤตกิ รรม การบงั คบั ให้ทาย่อมทาใหเ้ กดิ ความไมพ่ อใจ จากกฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike) นาไปสู่การเรียนด้วยเอกสารประกอบการ เรียนอาศัยหลกั การดังน้ี 1. ผู้เรียนแต่ละคนจะเรยี นหรือเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการสังเกตจากผลการกระทาของตน 2. ผลของการกระทาท่เี กิดข้ึนบ่อยๆ คร้งั เรียกว่า การเสริมแรง 3. การให้การเสรมิ แรงในทนั ทีทันใดภายหลงั จากได้กระทาพฤติกรรมที่ต้องการแล้ว จะทา ใหผ้ ู้เรียนแสดงพฤติกรรมนั้นๆ ซ้าอกี 4. พฤติกรรมใดพฤติกรรมหน่ึงจะทาให้พฤติกรรมน้ันๆ สมบูรณ์ยิ่งข้ึน การฝึกหัดท่ีมีการ ควบคมุ ทดี่ จี ะส่งเสรมิ ผลการเรยี นรู้
9 5. การที่ไมใ่ ห้การเสรมิ แรงเลยหรือใหก้ ารเสรมิ แรงภายหลงั การกระทาของผู้เรียนชา้ เกินไป จะทาให้การกระทาซา้ นัน้ เกดิ ข้ึนชา้ ตามไปดว้ ย 6. การเสริมแรงท่ีให้ในระหว่างที่ผู้เรียนกระทาพฤติกรรมนั้นจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการ ทางานของผเู้ รียนใหค้ งอยนู่ านได้ โดยไม่ต้องมีการเสรมิ แรงอกี 7. พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนสามารถพัฒนาหรือค่อยๆ ดัดได้ โดยให้การเสริมแรงใน ลักษณะต่างๆ กัน ซึ่งเมื่อให้การเสรมิ แรงแล้ว จะทาให้ผู้เรียนกระทาพฤติกรรมดังกล่าวซา้ อีกและจะ ไมม่ ีการเสรมิ แรงถ้าหากวา่ ผู้เรยี นกระทาพฤติกรรมท่ไี มต่ ้องการ 8. การเสริมแรงจะทาให้กิจกรรมของผู้เรียนมีเพ่ิมมากข้ึน ทาให้ผู้เรียนก้าวหน้าไปได้เร็ว และเพิ่มความสนใจของผู้เรียนให้สูงข้ึน ซ่ึงเราเรียกการกระทาในลักษณะนี้ว่า ผลการจูงใจของการ เสรมิ แรง 9. พฤติกรรมของผู้เรียนสามารถพัฒนาจากพฤติกรรมท่ีมีรูปแบบง่ายๆ ไปสู่รูปแบบท่ียาก และซบั ซ้อนข้ึนได้ หลักการท่ีนามาใช้ในเอกสารประกอบการเรียนจากทฤษฎีของสกินเนอร์ (Skinner) (ไพจิต นิสากร, 2545, 52-53) มดี ังนี้ 1. เง่ือนไขการตอบสนองการเรียนรู้จาเป็นต่อการทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงของการ ตอบสนอง 2. การเสริมแรงเม่ือส่ิงมีชีวิตมีการตอบสนอง ผู้ฝึกสามารถให้ส่ิงเร้าใหม่ ซ่ึงอาจทาให้ อัตราการตอบสนองเปลี่ยนแปลง ถ้าสิ่งเร้าสามารถทาให้การตอบสนองเปลี่ยนแปลง เราเรียกสิ่งเร้า นนั้ วา่ ตัวเสรมิ แรง 3. การเสริมแรงทันทีทันใดหลังจากการมีการตอบสนองการเสริมแรงต้องเกิดข้ึนทันทีถ้า ไม่เช่นน้ัน ผเู้ รียนจะตอบสนองอกี อยา่ งหนงึ่ ในแบบทีเ่ ราไม่ต้องการ 4. ส่ิงเร้าที่มีเงื่อนไขเฉพาะ มีบางครั้งที่เราต้องการตอบสนองผู้เรียนเฉพาะ เราอาจทาได้ โดยใหส้ งิ่ เรา้ เฉพาะสาหรบั การตอบสนองทีเ่ ราต้องการ 5. การยุติการตอบสนอง ถ้าการตอบสนองนนั้ มีการเสริมแรงและมีอัตราในการตอบสนอง สูง เราอาจลดอัตราการตอบสนองให้ลดลงได้ 6. การดัดพฤติกรรม พฤติกรรมบางอย่างซับซ้อนมาก วิธีการที่สาคัญของการตอบสนอง เป็นข้ันๆ คือ การรู้ว่าขั้นสุดท้ายเป็นอะไร มีการเสริมแรงแต่ละขั้นไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากข้ันแรกและ เสริมแรงในข้นั สุดทา้ ย 1.5 หลกั กำรและขั้นตอนในกำรสร้ำงเอกสำรประกอบกำรเรยี น แนวทางในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรียน มนี กั การวิชาการใหค้ วามรเู้ ก่ียวกับหลักและ ขนั้ ตอนในการทาเอกสารประกอบการเรยี น ไวด้ งั นี้
10 เปรอื่ ง กมุ ุท (2541, 26) กล่าวถึง หลักและขน้ั ตอนในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนมี ดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตร เพื่อให้ทราบวา่ มีจุดมุ่งหมายอย่างไร จะสอนอะไร เน้ือหาที่จะสอนเปน็ อย่างไร ระดับไหน นอกจากนี้ ยังต้องศึกษาคู่มือครู แบบฝึกหัดต่างๆ หรืออาจสอบถามความรู้ซง่ึ จะ นาไปสกู่ ารเกดิ แนวคดิ ในการสร้างบทเรยี น 2. ตั้งจุดมุ่งหมาย การสร้างเอกสารประกอบการเรียนจะต้องสนองกับความต้องการของ ผ้เู รียน จุดม่งุ หมายทีต่ ั้งไว้ ผสู้ รา้ งจาเปน็ ต้องแจกแจงใหเ้ ป็นวัตถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 3. การวางขอบเขตของงานหรือการวางเค้าโครงเร่ืองท่ีจะทาให้ทราบลาดับก่อนเรียน หลังเรยี นของเอกสาร และป้องกนั การหลงลมื เร่ืองราวบางตอนไป 4. เขียนเอกสารประกอบการเรียนควรมลี กั ษณะ ดงั น้ี 1) แบ่งเนื้อหาเป็นหน่วยเล็กๆ แต่ละหน่วยจะต้องทาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ใน หนว่ ยถดั ไป 2) มีเน้อื หาและคาอธิบายทีด่ งึ ดูดใจผูเ้ รียน 3) ทาให้ผเู้ รยี นประสบผลสาเรจ็ ในการเรียนมากที่สดุ เท่าท่ีจะทาได้ 4) การเขียนเน้อื หาแตล่ ะตอนควรใหเ้ ชื่อมโยงไปถึงเน้อื หาทผ่ี ู้เรียนไดศ้ กึ ษามาก่อน เพอ่ื เป็นการทบทวนไปในตัว 5) ให้ทราบผลการตอบสนองหรือให้ทราบผลคาตอบท่ีถูกต้อง เพื่อเป็นการเสริมแรง เนอ้ื หาของบทเรียน ต้องเขียนด้วยภาษาที่ชัดเจน ถูกตอ้ งตามหลักภาษา และการใชภ้ าษาเน้ือหาต้อง ต่อเน่อื งตามลาดบั จากงา่ ยไปหายาก บางเน้ือหา อาจจะไมม่ คี าถามหรือคาตอบก็ได้ ข้อแนะนาในการสร้างและพัฒนาเอกสารประกอบการเรียนตามแนวทางของสกินเนอร์ มีดงั น้ี (เปรือ่ ง กมุ ทุ , 2541, 26-27) 1. ใหก้ ารเสรมิ แรงทันท่ที ี่ผเู้ รียนตอบสนองในเนอ้ื หาทุกคร้ัง 2. การเรียนเป็นแบบใหผ้ เู้ รียนตอบสนองต่อเนือ้ หาอย่างเห็นไดช้ ดั 3. ให้ผู้เรียนมโี อกาสตอบถูกมากที่สุด เพราะการตอบผดิ จะทาให้ขาดความเช่ือมัน่ และเกิด ความเบอ่ื หน่าย 4. แบ่งเนื้อหาออกเปน็ หนว่ ยเล็กๆ เรยี งตามลาดบั จากง่ายไปหายาก 5. ขจดั คาต่างๆ ที่จะทาใหผ้ เู้ รียนเดาคาตอบไดอ้ อกไป เพราะถา้ ผู้เรยี นเดาคาตอบได้จะไม่ เกดิ การเรยี นรู้ท่ีแทจ้ ริง 6. พยายามใหผ้ เู้ รยี นเหน็ ความแตกต่างของเนื้อหาอยา่ งชัดเจน 7. ควบคมุ ตัวแปรตา่ งๆ ใหค้ งท่ี เวน้ แตต่ วั แปรทเ่ี ป็นส่ิงเรา้ ใหผ้ ู้เรียนตอบสนองเทา่ นน้ั 8. ผูเ้ รยี นจะตอ้ งเขยี นคาตอบของตนเองลงในบทเรยี น
11 หลักการในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี น 12 ประการ (วัลยา ศรที ิตย์, 2547, 90-91) มดี งั น้ี 1. การคานึงถึงตัวผู้เรียน ได้แก่ อายุ พ้ืนฐานความรู้ หรือประสบการณ์เดิม ทักษะ ความสามารถในการสร้างและความต้องการของผู้เรียน 2. ผลท่ตี อ้ งการหรอื วัตถปุ ระสงค์ของบทเรยี นวา่ ตอ้ งการใหผ้ ู้เรียนเรยี นรอู้ ะไร 3. รูปแบบของบทเรียน ควรเสนอบทเรียนในรูปแบบตามความเหมาะสมของเน้ือหาวิชา ผูเ้ รยี น และวตั ถปุ ระสงค์ 4. เวลาของผู้เรียน ไม่มีการจากัดเวลาของผู้เรียน การเรียนจะดาเนินไปตามอัตรา ความสามารถของแต่ละบคุ คล โดยไม่คานงึ ถึงการทาเสร็จกอ่ นหรอื เสร็จหลงั ผู้อ่ืน 5. เน้ือหาวิชาจะต้องจัดแบ่งเป็นหัวเร่ืองใหญ่ๆ ก่อน แล้วแบ่งเป็นหัวเรื่องย่อยๆ เขียน เนื้อหาเป็นหน่วยย่อยเล็กๆ แต่ละหน่วยย่อย จะต้องทาให้เกิดความรู้ความเข้าใจหน่วยย่อยถัดไป เพ่ือให้การเรียนรู้ดาเนินไปทีละน้อยๆ ทีละข้ัน พยายามอย่าให้มีการกระโดดข้ามลาดับของเน้อื เร่ือง จัดลาดับจากเน้ือหาง่ายๆ ไปหาเนือ้ หาทีย่ ากขนึ้ ตามลาดับ 6. ให้มเี นอื้ หาและคาอธบิ ายที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรยี น 7. เนือ้ หาของแต่ละตอนควรเขยี นด้วยภาษาทชี่ ัดเจน ถกู ต้องตามหลกั ภาษา และเหมาะสม กับเนื้อหาความรู้และอายุของผู้เรียน เนื้อเรื่องถูกต้องตามหลักวิชา และมีความต่อเน่ืองกันในแต่ละ กรอบ 8. เนอ้ื หาแตล่ ะตอนจะตอ้ งนาเสนอเนื้อหาเฉพาะเรื่องอย่างชัดเจน และมคี าถามหรือคาสั่ง ให้ผเู้ รยี นตอบสนองต่อเรื่องนัน้ โดยตรง และไม่ควรมคี วามรูไ้ มเ่ กนิ กว่า 1 อยา่ ง 9. ใหม้ กี ารย้าทบทวนและทดสอบตนเอง 10. จะต้องให้ผู้เรียนรู้ผลของคาตอบว่าถูกหรือผิดทันที เพื่อช่วยการเรียนรู้ให้ดียิ่งข้ึนและ เป็นการให้การเสรมิ แรงในทนั ทีด้วย 11. มีการชีแ้ นะคู่กันไปกบั การตอบสนอง 12. ลดการช้ีแนะและการนาทางออกไปทีละน้อย จนกว่าจะหมดโดยส้ินเชิง เพ่ือช่วยให้ ผเู้ รยี นสามารถตอบสนองดว้ ยตนเองไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งในทีส่ ดุ ดังนน้ั สรปุ ไดว้ ่าหลกั และขั้นตอนในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี น คือ ครตู อ้ งคานงึ ถึง วัยของผู้เรียน เนื้อหาวิชา ความยากง่าย การใช้คาและภาษา ใช้ภาษาง่ายต่อการเข้าใจของผู้เรียน เน้ือหาชัดเจน เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน มีรูปแบบดึงดูดความสนใจของผู้เรียน มีคู่มือในการใช้ เอกสารประกอบการเรียน เพ่ือให้ผ้เู รยี นได้ศึกษาตามลาดับขน้ั ตอนได้อย่างถกู ตอ้ ง
12 1.6 ขนั้ ตอนกำรสรำ้ งเอกสำรประกอบกำรเรียน ข้ันตอนในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี นนนั้ ต้องศึกษาขั้นตอนในการสร้างให้ถูกตอ้ ง ตามหลกั การสร้าง ซึง่ มีนกั การศกึ ษาให้ความรู้ ไวด้ ังนี้ ไลซอทท์และวิลเลียม (อ้างถึงใน สมคิด สุประภา, 2546ม 46) กล่าวถึง ข้ันตอนการสร้าง เอกสารประกอบการเรยี น ไวด้ งั น้ี 1. เลอื กเรือ่ งท่จี ะนามาเขียนเปน็ เอกสารประกอบการเรยี น 2. กาหนดผู้เรียน การสร้างเอกสารประกอบการเรียนจะต้องพิจารณาให้รอบคอบว่า แบบเรียนนั้นเหมาะสมกับความสามารถทางสติปัญญา ภูมิหลัง และวัตถุประสงค์ของผู้เรียนหรือไม่ 3. กาหนดวัตถปุ ระสงค์ โดยเนน้ จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 4. กาหนดรูปแบบของการสร้างเอกสารประกอบการเรยี นวา่ จะเลอื กบทเรียนใด 5. จัดเตรียมวัสดแุ ละเนื้อหา วิเคราะห์เนือ้ หาให้เรยี งลาดับจากง่ายไปหายากเพ่ือให้ผู้เรียน เรียนได้งา่ ย 6. สร้างเน้ือหาในแต่ละตอน โดยอาศัยรูปแบบและเทคนิคเพื่อที่จะทาให้เอกสาร ประกอบการเรยี นชวนอา่ น 7. ทาการทดสอบขั้นแรก เพื่อหาข้อบกพร่องที่ผู้เขียนอาจคาดไม่ถึง เช่น การใช้ภาษา เป็นตน้ 8. ประเมินผลงานตามจุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม เพอ่ื หาว่าผเู้ รยี นบรรลจุ ุดประสงค์บนเรียน หรอื ไม่ หรอื ยังมขี ้อบกพร่องใด 9. ปรับปรุงแก้ไข สืบเนื่องมาจากประเมินผลเพ่ือหาข้อบกพร่องของเอกสารประกอบ การเรียนแล้ว ก็ต้องแกไ้ ขปรบั ปรงุ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพกอ่ นนามาใช้จริงและเผยแพรต่ ่อไป นิภา สุขเจริญชัย (2547, 39) กล่าวถึง ขั้นตอนในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนไว้ 9 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ต้ังจุดมุ่งหมายของบทเรียน (Objectives) การตั้งจุดมุ่งหมายของเอกสารประกอบการ เรยี นต้องต้ังเป็นจดุ มุง่ หมายเชงิ พฤตกิ รรม เพือ่ ให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมข้นั สดุ ท้าย 2. วิเคราะห์ภารกิจ (Task Analysis) คือ การจาแนกจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน ออกเป็นจุดมงุ่ หมายหรือภารกิจย่อยๆ หรือการจาแนกจุดมงุ่ หมาย เพ่ือให้เหน็ ลาดับข้นั ของการเรียน การสอน ตลอดจนการใช้สื่อการสอน การวิเคราะห์ภารกิจจะช่วยช้ีให้เห็นจุดมุง่ หมายของการเรยี นรู้ ว่าก่อนผเู้ รียนจะมีพฤตกิ รรมขัน้ สุดท้ายเขาจะตอ้ งทาอะไรกอ่ น 3. สร้างแบบทดสอบ (Prepare Test) แบบทดสอบมีความสาคัญต่อการสร้างเอกสาร ประกอบการเรียนเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ทราบถึงระดับพฤติกรรมของผู้เรียน ต้ังแต่เบ้ืองต้น พฤติกรรม ข้ันรองสุดท้ายและพฤติกรรมข้ันสุดท้าย ตามท่ีระบุไว้ในข้ันภารกิจก่อนเริ่มเรียนบทเรยี น
13 4. จดั ลาดบั ข้นั เนอื้ หา (Instructional Sequences) หลงั จากวิเคราะหภ์ ารกิจแลว้ จะตอ้ ง มีการกาหนดเน้ือหาและลาดบั ขน้ั ของการเรยี นรทู้ จี่ ะนาผู้เรียนไปสู่จุดมุ่งหมายสุดท้าย ในการจัดลาดับ เนื้อหา ผู้สร้างบทเรียนต้องเลือกวิธกี ารท่ีเหมาะสม โดยการเลือกลาดับเน้ือหาท่ีจะช่วยก่อใหเ้ กิดการ เรียนรไู้ ด้เทา่ นั้น 5. การเลือกสื่อ (Select Media) ส่ือท่ีใช้ในการประกอบการเรยี นจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียน เกิดความสนใจและเข้าใจในบทเรียนได้ดีและรวดเร็วข้ึน การเลือกส่ือขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของ การเรียนการสอน ผู้สรา้ งบทเรยี นอาจเลือกใชส้ ่ือตา่ งๆ ประกอบกันกไ็ ดข้ ้ึนอยกู่ ับความเหมาะสม 6. จัดทาเอกสารประกอบการเรียน การจัดลาดับเนื้อหาและส่ือในเอกสารประกอบ การเรียนจะต้องเป็นข้ันๆ ตามลาดบั ตอ่ เน่อื งกนั เพ่อื ช่วยให้ผู้เรียนคอ่ ยๆ เรียนและบรรลุพฤตกิ รรมขนั้ สดุ ท้าย ดงั น้นั เอกสารประกอบการเรยี นจะประกอบดว้ ยเนอื้ หาและการสอบ 7. ทดลองกบั ผเู้ รียนเป็นรายบุคคล (Individual Try-Out) นาบทเรยี นท่ีสรา้ งขึ้นไปทดลอง กับผู้เรียนเป็นรายบุคคลหรือกับผู้เรยี นกลุ่มเล็ก เพ่ือช่วยให้ทราบข้อมลู ย้อนกลับและความเหมาะสม ของลาดับข้ัน เนื้อหา การชี้แนะสื่อการเรียนการสอนตามทัศนะของผู้เรียน แล้วนาข้อมูลจากการ ทดสอบมาวเิ คราะหแ์ ละปรับปรงุ บทเรยี นตอ่ ไป 8. ทดลองในสภาพที่เป็นจริง (Field Try-Out) โดยการนาไปทดลองกับนักเรียนเป็นกลุ่ม ใหญ่ แล้วนาข้อมูลจากการทดลองมาวิเคราะห์และหาทางปรับปรุงใหม่ถ้ายังมีข้อบกพร่อง แต่ถ้า ผูเ้ รียนบรรลุถึงเป้าหมายแล้วก็แสดงว่าบทเรยี นน้ันนาไปใชไ้ ดอ้ ย่างกว้างขวาง 9. นาบทเรียนไปใช้ท่ัวไป เป็นข้ันสุดท้ายของการสร้างเอกสารประกอบการเรียน ในขั้นนี้ ผูส้ รา้ งยงั คงตอ้ งการข้อมูลยอ้ นกลับจากครูและนกั เรียน เพ่ือนามาปรับปรุงในการจัดทาครงั้ ตอ่ ไป สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550, 69) แบ่งขั้นตอนการสร้างเอกสาร ประกอบการเรียนไว้ดังนี้ 1. ศึกษาวธิ กี ารเขียนเอกสารประกอบการเรียนชนิดต่างๆ อย่างเขา้ ใจ 2. กาหนดและเลือกวิชาท่เี ขียน พร้อมทงั้ ระดับชนั้ สาหรบั ทจ่ี ะใชบ้ ทเรยี น 3. เลือกหน่วยการเรยี นว่าจะเขยี นเร่ืองใด 4. กาหนดหัวเร่ืองทจี่ ะเขยี นโดยศกึ ษาหลักสูตร ค่มู อื ครแู ละแบบเรยี น 5. ศึกษาลักษณะผูเ้ รียน ได้แก่ อายุ ระดบั ชัน้ พน้ื ความรู้ 6. ต้ังจุดมุง่ หมายทว่ั ไปและจดุ มุ่งหมายเชงิ พฤตกิ รรม 7. วางโครงเรอ่ื งจากงา่ ยไปหายากแตล่ ะตอนตอ่ เนื่องสมั พันธ์กัน 8. เขียนเอกสารประกอบการเรียนตามทก่ี าหนดไว้ตามจุดมุ่งหมาย 9. ไดร้ บั การตรวจ ตชิ ม แก้ไข จากผ้รู ้แู ละผู้ทรงคุณวุฒิ 10. นาบทเรียนไปปรบั ปรุงแล้วนาไปทดลองแบบ 1 ตอ่ 1
14 11. สรา้ งแบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรยี น 12. นาแบบเรียนไปทดลองกับกลุม่ เลก็ 10 พร้อมทัง้ บันทกึ เวลาของนักเรียนทกุ คน 13. ทดลองภาคสนาม เพ่ือหามาตรฐานของเอกสารประกอบการเรียนและนาไปใช้ต่อไป จากขั้นตอนในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนนั้น สรุปได้ว่า ผู้ที่สร้างจะต้องศึกษา ความรู้วิธีการสร้างเอกสารประกอบการเรียนให้เข้าใจ ศึกษาเอกสารในการสรา้ ง กาหนดเลือกวิชาท่ี เรียน กาหนดหนว่ ยการเรียนรู้ วัยของผู้เรียน ตั้งจุดประสงค์ ทาแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน ใหเ้ ปน็ ไปตามขั้นตอนดังกลา่ ว 1.7 สว่ นประกอบทส่ี ำคัญของเอกสำรประกอบกำรเรยี น ดา้ นสว่ นประกอบในการเขยี นเอกสารประกอบการเรียนน้ัน ต้องมีความรู้ในการทา เพอ่ื ให้ เอกสารประกอบการเรียนมีคุณภาพ และสามารถนามาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่าง เหมาะสม วัลยา ศรีทิตย์ (2547, 70) กล่าวถึง ส่วนประกอบที่สาคัญของเอกสารประกอบการเรียนมี ดงั น้ี 1. ชอื่ เรือ่ งเอกสารประกอบการเรียน 2. คานา 3. คาชี้แจง 4. สารบัญ 5. คาอธบิ ายคู่มือการใช้ 6. คาแนะนาในการเรยี นด้วยตนเอง 7. แบบทดสอบก่อนเรียน 8. เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น 9. สาระสาคัญและจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 10. เนื้อหา 11. แบบทดสอบหลังเรยี น 12. เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น 13. บรรณานุกรม โสภณ นุ่มทอง (2542, 9) กล่าวว่า เอกสารประกอบการเรียนเป็นเอกสารท่ีเน้นเนื้อหา แจกจา่ ยใหผ้ ูเ้ รียนไดศ้ กึ ษา และทากจิ กรรมท้ายเนือ้ หาน้นั ซึง่ มีเนื้อหาอย่างละเอียด มหี ัวข้อสอดคลอ้ ง กับหวั ข้อในแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยมีแบบรปู ดงั น้ี 1. เรอื่ ง.................................................................................................................................. 2. จุดประสงค์...............................นาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมหรือนาทางในแผนการ
15 จดั การเรยี นรมู้ าเขยี น เพอ่ื แจง้ ให้นักเรียนทราบ 3. เน้ือหา...............................เน้ือหาละเอียด มีหัวตรงกับจุดประสงค์นาทาง และตรงกับ หัวขอ้ เน้อื หาในแผนการจดั การเรยี นรู้ 4. กิจกรรม...............................เป็นกิจกรรมของนกั เรียน เม่ือได้ศึกษาเน้ือหาแล้ว อาจจะ เป็นแบบฝึกหัด แบบทดสอบ การศึกษาค้นคว้า การเขียนรายงานหรือกิจกรรมการทดลอง เป็นต้น ดังน้ัน ส่วนประกอบท่ีสาคัญของเอกสารประกอบการเรียน สรุปได้ดังนี้ ช่ือบท ช่ือหน่วย หัวข้อย่อย แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เนื้อหาเร่ืองท่ีสอน กิจกรรมท้ายบท คาถามท้าย บทเรยี น 1.8 กำรหำประสทิ ธภิ ำพของเอกสำรประกอบกำรเรยี น การหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ข้ันตอน (สมพร ขนั ธรัตน์, 2546, 88) ดังน้ี 1. การหาประสิทธภิ าพของแบบทดสอบของเอกสารประกอบการเรยี นทาไดโ้ ดย 1) หาความเที่ยงตรงของขอ้ สอบ 2) หาความเชอื่ มน่ั ของขอ้ สอบ 3) วิเคราะหข์ อ้ สอบ 2. การหาประสทิ ธิภาพตัวเอกสารประกอบการเรยี นทาได้โดย 1) ทดสอบแบบหน่งึ ตอ่ หน่งึ 2) ทดสอบแบบกลุ่มเลก็ 3) ทดสอบแบบภาคสนาม การหาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียนในข้ันท่ี 2 จะใช้วิธีการทางสถิติ 2 แบบ (สมพร ขนั ธรตั น์, 2546, 88) คือ 1. การใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เป็นการตั้งเกณฑ์ให้สอดคล้องกับหลักการของเอกสาร ประกอบการเรียนที่ว่า ในการเรียนเอกสารประกอบการเรียนเน้นให้ผู้เรียนทาถูกต้องให้มากท่ีสุดซ่ึง มากท่ีสุดคือ 80% โดยท่ี 80 ตัวแรก หมายถึง ผู้เรียนตอบคาถามภายในกรอบของเอกสาร ประกอบการเรียนได้ 80% ส่วน 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนโดยเฉลี่ยท่ีผู้เรียนทาได้จากการทา แบบทดสอบหลงั เรียนคดิ เป็นร้อยละ 80 2. การทดลองหาค่าความแตกต่างของคะแนนท่ไี ด้จากการทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียน ด้วยเอกสารประกอบการเรยี น 1.9 คุณค่ำและขอ้ จำกดั ของเอกสำรประกอบกำรเรียน คุณค่าของเอกสารประกอบการเรียน เอกสารประกอบการเรียนมีคุณค่า คือ สามารถ ส่งเสริมความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ดี ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนครู ช่วยประหยัดเวลาในการสอน
16 ของครู และเปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นได้เรียนดว้ ยตนเอง (ประหยดั จริ ะวรพงศ์, 2540, 48) ซึ่งประโยชน์ ของเอกสารประกอบการเรียนมี 8 ประการ (ชม ภูมิภาค, 2543, 46) ดงั น้ี 1. แกป้ ญั หาการขาดแคลนครไู ด้ 2. ทาให้สงั คมเปน็ สังคมแหง่ การเรียนรไู้ ด้ 3. ทาใหก้ ารศึกษานอกโรงเรยี นเปน็ ไปได้อย่างกว้างขวาง 4. ผเู้ รียนมีแรงจูงใจในการเรยี นสูง 5. ผู้เรียนได้ใช้การเรียนแบบสกรรมกิริยา ทาให้เข้าใจและมีความคงทนในการจามากขึ้น 6. เป็นการสอนความแตกต่างของบุคคลไดเ้ ปน็ อย่างดี 7. การเรียนเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ เรียนได้มาก ใช้เวลาน้อย เพราะรู้จุดมุ่งหมาย ขอ้ เสนอแนะไปทีละนอ้ ย 8. ผ้เู รยี นสามารถเลอื กจงั หวะเวลาการเรียนทเ่ี หมาะสมสาหรบั ตนเองได้ ข้อจากัดของเอกสารประกอบการเรียน ประหยัด จิระวรพงษ์ (2540, 48) กล่าวถึง ข้อจากดั ของเอกสารประกอบการเรียนมีหลายประการ ได้แก่ จากดั ดา้ นความต้องการความรพู้ ื้นฐาน ใช้แทนครูในการสอนให้บรรลุจุดมุ่งหมายบางอย่างไมไ่ ด้ ผู้เรียนอาจเบื่อหน่ายจากการทาซา้ ๆ ซากๆ ใชส้ อนเนอ้ื หาท่ีเกีย่ วกับการแสดงความคิดเห็น หรอื วพิ ากษว์ จิ ารณไ์ ม่ไดผ้ ลดี เพราะผูเ้ รียนถูกจากดั ใน การตอบสนอง จากการศึกษาเกี่ยวกับเอกสารประกอบการเรียนท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าการ จัดการเรียนการสอน โดยการใช้เอกสารประกอบการเรียนจะต้องอาศัยหลักความเข้าใจ รวมทั้ง จิตวิทยาและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเอกสารประกอบการเรียน ศึกษาหลักและขั้นตอนในการสร้าง เอกสารประกอบการเรยี น รวมท้งั สว่ นประกอบท่ีสาคญั ของเอกสารประกอบการเรียนให้ชัดเจน แล้ว ดาเนนิ การสร้างและหาประสิทธิภาพของเอกสารที่ประกอบการเรยี นตามข้ันตอนกอ่ นนาไปใช้จริงกับ กลุ่มประชากร ในส่วนของเอกสารประกอบการเรยี นท่ีผ้วู ิจัยสร้างขน้ึ นเ้ี ป็นบทเรียนที่เสนอเนื้อหาเป็น หน่วยยอ่ ย มีสรุปความรใู้ นแต่ละตอน มีแบบฝกึ ปฏิบัตกิ ิจกรรมทท่ี ้าทายใหค้ ้นหาคาตอบและสามารถ ทราบคาตอบไดท้ นั ที มภี าพประกอบทาใหน้ ่าสนใจและเข้าใจเนือ้ หาได้ดขี ึ้น 2. ผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน 2.1 ควำมหมำยของผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี น ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน (Academic Achievement) เป็นสมรรถภาพทางสมองในด้าน ตา่ งๆ ท่ีนกั เรยี นได้รบั จากประสบการณ์ ทง้ั ทางตรงและทางอ้อมจากครู ซึ่งมนี ักการศึกษาหลายท่าน ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ไวด้ ังน้ี สว่าง หลักเพชร (2541, 56) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและ ความสามารถของบุคคลที่พฒั นาการดขี ึ้น อันเกดิ จาการเรยี นการสอน การฝกึ อบรม ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถทางสมอง ความรู้ ความรู้สึก ค่านิยมตา่ งๆ
17 ชัยพล สขุ เอยี่ ม (2540, 9) กลา่ ววา่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการ เรียนรู้ของผู้เรียนด้านความรู้ ความจา ความเข้าใจ ซึ่งได้จากการวัดเป็นคะแนนของกลุ่มประชากรที่ ทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนและหลังเรียน จิตติมา พทุ ธเจริญ (2543, 19) ให้ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไว้ว่า เปน็ ผลของ ความสามารถทางสมองด้านต่างๆ ที่เกิดจากการเรยี นการสอน การฝึกฝนหรอื ประสบการณ์ต่างๆ ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ซ่ึงวัดได้โดยการนับเป็นคะแนนท่ีได้จากการตอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น ภายหลังจากท่เี รียนจบเน้ือหาทกี่ าหนดไว้ สมพร เชอ้ื พันธ์ (2547, 53) สรุปความหมายของผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น คือ ความสามารถ ความสาเร็จ และสมรรถภาพด้านต่างๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการเรียน การสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการ ตา่ งๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2548, 125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ขนาดของ ความสาเร็จทไี่ ด้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2549, 42) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ หรอื ผลสาเรจ็ ท่ไี ดร้ ับจากกจิ กรรมการเรยี นการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมและประสบการณ์ เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จาแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตาม ลักษณะของวตั ถุประสงคข์ องการเรียนการสอนทแี่ ตกตา่ งกัน จากความหมายกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสามารถใน การเรียน ซึ่งวัดได้จากการตอบแบบทดสอบระหว่างเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนที่ใช้เป็น แบบทดสอบวัดผลของความรู้ ความเข้าใจ และการนาความรู้ไปใช้ 2.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ ำงกำรเรยี น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ททางการเรียนมีนักการศึกษาหลายท่านกล่าวถึงแบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ไว้ดงั น้ี พิชิต ฤทธ์จิ รญู (2545, 96) แบ่งประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน เฉพาะกลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้กันโดยท่ัวไปในสถานศึกษา มีลักษณะเป็น แบบทดสอบขอ้ เขยี น แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบท่กี าหนดคาถามหรือปัญหาให้นกั เรียนตอบโดย แสดงความรู้ ความคดิ และเจตคติ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ 2) แบบทดสอบปรนัยหรือแบบให้ตอบส้ันๆ เป็นแบบทดสอบที่กาหนดให้นักเรียน
18 เขียนตอบสั้นๆ หรือมีคาตอบให้เลือกแบบจากัดคาตอบ นักเรียนไม่มีโอกาสแสดงความรู้ ความคิด ได้อย่างกว้างขวางเหมือนแบบทดสอบอัตนัย แบบทดสอบชนิดนี้แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบทดสอบถูก - ผิด แบบทดสอบเติมคา แบบทดสอบจบั คู่ และแบบทดสอบเลอื กตอบ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนท่ัวไปซึ่ง สร้างโดยผู้เช่ียวชาญ มีการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างดีจนมีคุณภาพ มีมาตรฐาน กล่าวคือ มี มาตรฐานในการดาเนินการสอบ วธิ ีการใหค้ ะแนนและการแปลความคะแนน พร้อมพรรณ อุดมสิน (2544, 29-33) แบ่งแบบทดสอบที่ครูผู้สอนสร้างข้ึนเองเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คอื 1. แบบอัตนัย (Subjective Test or Essay Test) เป็นแบบทดสอบที่กาหนดปัญหาหรือ คาถามและให้ผู้ตอบแสดงความรู้ ความเข้าใจ และความคิด ต้ังแต่กว้างที่สุดจนถึงแคบ หรือ เฉพาะเจาะจงตามท่ีโจทย์กาหนด ภายในระยะเวลาที่กาหนดให้ การใช้ภาษาในการเขียนตอบขนึ้ อยู่ กับตัวผู้สอบ แบบทดสอบนี้สามารถวัดได้หลายๆ ด้านในแต่ละข้อ เช่น วัดความสามารถในการใช้ ภาษา ความคดิ การจัดระเบียบของความรู้ การแสดงออกทางอารมณ์ เจตคติ และอน่ื ๆ 2. แบบปรนัย (Objecttive Test) หมายถึง แบบทดสอบที่กาหนดคาตอบให้ผู้ตอบต้อง ตัดสินใจเลือกข้อท่ีต้องการหรือพิจารณาข้อความที่ให้ว่าถูกหรือผิด ซ่ึงข้อสอบชนิดนี้แบ่งออกเป็น แบบถูกผิด (True - False) แบบเติมคา (Completion) และแบบเลือกตอบ (Multiple Choices) แบบทดสอบทั้งสองลักษณะดังกล่าวต่างก็มีข้อเด่นและข้อด้อยแตกต่างกัน ไม่มีกฎตายตัว ว่าครูตอ้ งใชป้ ระเภทใด แตค่ วรคานึงถึงจดุ ประสงคแ์ ละสภาพการณข์ องการใช้ นอกจากนี้ พิชติ ฤทธ์ิจรูญ (2545, 100) ใหห้ ลักเกณฑใ์ นการสร้างแบบทดสอบ ไว้ดังน้ี 1. ต้องนิยามพฤติกรรมหรอื ผลการเรยี นรู้ท่ีต้องการจะวดั ให้ชัดเจน โดยกาหนดในรูปแบบ ของจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ของบทเรียนหรือรายวิชา ดว้ ยคาที่เฉพาะเจาะจง สามารถวดั และสงั เกตได้ 2. ควรสร้างแบบทดสอบวัดให้ครอบคลุมผลการเรียนรู้ท่ีได้กาหนดไว้ทั้งหมด ท้ังในระดับ ความรู้ ความจา ความเขา้ ใจ การนาไปใช้ และระดับท่ซี ับซอ้ นมากขึ้น 3. แบบทดสอบท่ีสร้างข้ึนควรวัดพฤติกรรมหรือผลการเรียนรู้ ท่ีเป็นตัวแทนของกิจกรรม การเรียนรู้ โดยจะตอ้ งกาหนดตัวชวี้ ัดและขอบเขตของผลการเรียนรู้ท่ีจะวัด แล้วจงึ เขียนข้อสอบตาม ตวั ชวี้ ัดจากขอบเขตที่กาหนดไว้ 4. แบบทดสอบที่สร้างขึ้นควรประกอบด้วยข้อความชนิดต่างๆ ท่ีเหมาะสม สอดคล้องกับ การวดั พฤติกรรมหรอื ผลการเรียนรทู้ ่ีกาหนดไวใ้ ห้มากท่ีสดุ 5. ควรสร้างแบบทดสอบ โดยคานึงถึงแผนหรือวัตถุประสงค์ของการนาผลการทดสอบไป ใช้ประโยชน์ จะไดเขียนข้อสอบให้มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และทันใช้ตามแผนท่ีกาหนดไว้ เช่น การใช้แบบทดสอบก่อนการเรียน สาหรับตรวจสอบพ้ืนฐานความรู้ของนักเรียน เพ่ือการสอน
19 ซ่อมเสริม การใช้แบบทดสอบระหว่างการเรียนการสอน เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนและการใช้ แบบทดสอบหลงั การเรียนเพอื่ ตดั สินผลการเรยี น 6. แบบทดสอบท่ีสร้างขึ้นจะต้องทาให้การตรวจให้คะแนนไม่มีความคลาดเคลื่อนจาก การวัด ซ่ึงไม่ว่าจะนาแบบทดสอบไปทดสอบกับนักเรียนในเวลาท่ีแตกต่างกัน จะต้องได้ผลการวัด เหมือนเดิม จากการศึกษาเกี่ยวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สรุปได้ว่าการสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจะเลือกใช้ลักษณะใดรูปแบบใดควรคานึงถึงข้อเด่นและ ข้อดอ้ ยของแบบทดสอบแต่ละลักษณะที่แตกต่างกนั และตอ้ งคานงึ ถงึ จุดประสงค์และความเหมาะสม กับสภาพนักเรียน ซ่ึงแบบทดสอบท่ีสร้างต้องสามารถวัดพฤติกรรมการเรียนการสอนได้อย่าง ครอบคลุม 2.3 กำรสร้ำงเครอ่ื งมือวัดผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน การสร้างเคร่ืองมือวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหรือแบบทดสอบต้องกาหนดให้สอดคล้อง ตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ซงึ่ มนี ักการศกึ ษาหลายทา่ นกล่าวไว้ ดงั น้ี บลูม (Bloom อ้างถึงใน พนมพร ช่วยสกุล, 2548, 25) แบ่งจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยใช้ ระบบการแบ่งประเภท ออกเปน็ 3 ดา้ น คอื 1. ด้านพุทธิพิสยั (Cognitive Domains) เปน็ วตั ถุประสงค์ของการเรียนรทู้ ี่เก่ยี วกับความรู้ ความสามารถ และทักษะตา่ งๆ ทางสมอง 2. ด้านจิตพิสัย (Affective Domains) เป็นวัตถุประสงค์การเรียนรู้ท่ีเกี่ยวกับความรู้สึก เช่น ทัศนคติ ค่านยิ ม การปรบั ตวั ความสนใจ และพฤติกรรมตา่ งๆ 3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domains) เป็นวัตถุประสงค์การเรียนรู้เก่ียวกับการ กระทาอยา่ งมีทกั ษะ อุทุมพร จามรมาน (2548, 32) อธิบายข้ันตอนการสร้างเคร่ืองมือวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ไว้ว่า ขั้นท่ี 1 ขอบเขตผู้สร้างต้องตอบคาถามให้ได้ว่า จะสร้างเครื่องมือวัดอะไรและผู้ถูกวัดมี ลักษณะอยา่ งไร กระบวนการวดั จะทาอย่างไร ข้ันท่ี 2 จุดมุ่งหมายในการวดั จะต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการจัดการเรยี นการสอน ตามหลกั สตู ร และมีความชัดเจนมากพอที่จะวดั ได้ นอกจากนี้ พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543, 26-27) สรุปว่า แบบทดสอบ เพ่ือวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนควรประกอบด้วยลกั ษณะสาคัญต่อไปนี้ 1. มคี วามเทยี่ งตรง (Validity) หมายถงึ แบบทดสอบท่ีสามารถทาหน้าทว่ี ัดส่ิงที่ตอ้ งการวัด ได้อย่างถูกต้อง ตรงตามจุดมุ่งหมาย สอดคล้องกับเน้ือหาวิชา และครอบคลุมพฤติกรรมตรงตามท่ี
20 กาหนดไว้ในตารางวเิ คราะห์หลักสูตร หรอื จุดมุง่ หมายเชิงพฤติกรรมท่ีกาหนดไว้ในเนอ้ื หาแต่ละหน่วย ไดอ้ ยา่ งครบถ้วน 2. มีความเช่ือมั่น (Reliability) หมายถึง แบบทดสอบท่ีสามารถให้ผลคงท่ีไม่ว่าจะนาไป สอบวดั ก่ีคร้งั ก็ตาม 3. มีความเปน็ ปรนยั (Objectivity) คือ มีคุณสมบัติ 3 ประการ ตอ่ ไปน้ี 1) คาถามมีความชัดเจน เข้าใจตรงกัน 2) ต้องตรวจใหค้ ะแนนตรงกนั คือ มีมาตรฐานการให้คะแนนชัดเจน ทาใหผ้ ูต้ รวจไม่ว่า ใครก็ตาม ตรวจให้คะแนนไดต้ รงกัน 3) การแปลความหมายแบบตรงกนั คอื คะแนนที่ไดบ้ อกสถานภาพของผสู้ อบได้ตรงกัน 4. มีการถามลึก (Searching) หมายถึง คาถามจะไม่ถามแต่เพียงความรู้ ความจา ตามตารา หรือถามที่ครูสอน แต่ต้องให้เด็กนาความรู้ไปวิเคราะห์ วิจารณ์ และใช้ในสถานการณ์จริง 5. มคี วามยุติธรรม (Fair) หมายถึง ข้อคาถามของขอ้ สอบนั้นจะตอ้ งไมม่ ีชอ่ งทางแนะให้เด็ก ฉลาดใช้ไหวพริบในการเดาได้ถูก และไม่เปิดโอกาสให้เด็กเกียจคร้านตอบได้ นั่นคือ ข้อสอบต้อง ครอบคลมุ ทงั้ เนอื้ หาวิชาและสมรรถภาพทางสมอง 6. ลักษณะกระตุ้นเป็นแบบอย่างที่ดี (Exemplary) หมายถึง ข้อสอบต้องประกอบด้วย คาถามทจ่ี ะสรา้ งเป็นแบบอย่างที่ดใี หแ้ ก่ผู้เรียน ไม่ควรถามสิ่งทเ่ี ปน็ ตัวอยา่ งที่ไมเ่ หมาะสม 7. มีอานาจจาแนก (Discrimination) หมายถึง ข้อสอบน้ันสามารถแยกเด็กเก่งและ เดก็ อ่อนออกจากกนั ไดจ้ รงิ 8. มีความยาก (Difficulty) พอเหมาะ คอื ข้อสอบนน้ั จะตอ้ งไม่ยากเกินไป และง่ายเกินไป ผลการทดสอบโดยเฉลีย่ ควรเท่ากบั หรือสงู กวา่ 50% ของคะแนนเต็มเลก็ น้อย 9. มีลักษณะเฉพาะเจาะจง (Definite) คอื ต้ังคาถามและคาตอบท่ีมุง่ ถามเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างชัดเจน ไม่กากวม และไมถ่ ามแบบครอบจักรวาล 10. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ สามารถให้คะแนนเที่ยงตรงและเชื่อถือได้มากท่ีสุด ภายในเวลาท่ีสอบน้อยที่สุด ใชแ้ รงงาน และเงินทนุ นอ้ ยท่ีสดุ ดว้ ย จากาการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างเคร่ืองมือวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การสร้างเคร่ืองมือต้องกาหนดให้สอดคล้องตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านพุทธพิสัย ด้านจิตพิสัย ด้านทักษะพิสัย ซ่ึงต้องมีทั้งความเที่ยงตรง ความเชื่อม่ัน ความเป็นปรนัย การถามลึก ความยุติธรรม อานาจจาแนก ลักษณะกระตุ้นเป็นแบบอย่างที่ดี ความยาก ลักษณะเฉพาะเจาะจง และมปี ระสทิ ธิภาพ
21 3. ควำมพึงพอใจ 3.1 ควำมหมำยควำมพงึ พอใจ ความพึงพอใจ โดยท่ัวไปตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า “Satisfaction” ซ่ึงมีนักวิชาการให้ ความหมาย ไวด้ ังนี้ สุมาลี เมธโยดม (2542, 10) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความรู้สึกพอใจ ซึ่งมี ผลมาจากความสนใจและทัศนคติของบุคคลที่มีต่อส่ิงต่างๆ อาจเป็นการยอมรับหรอื ไมย่ อมรับในเชงิ ประมาณค่า ประกอบด้วย ความรู้สึกทางบวก คอื ชอบ พงึ พอใจ และความรูส้ ึกทางลบ ได้แก่ ไม่ชอบ ไม่พงึ พอใจ จิตติมา พุทธเจริญ (2543, 18) ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจ หมายถึง คุณภาพ สภาพ หรือระดบั ความชอบ ความพอใจ ซ่งึ เป็นผลิตผลมาจากความสนใจตา่ งๆ และทศั นคติของบุคคลท่ีมีต่อ สิ่งนั้นๆ ทัศนีย์ สิงห์เจริญ (2543, 19) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก หรือทัศนคติ ในทางที่ดีของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอน ความรู้สึกที่เกิดจากการได้รับตอบสนอง ท้ังทางด้าน ร่างกายและจิตใจ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยหรือองค์ประกอบต่างๆ ในการเรียน เช่น สภาพแวดล้อมในห้องเรียน เนื้อหาวิชาท่ีได้รับจากการเรียน ซึ่งทาให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ ในการเรียนการสอนจนประสบผลสาเร็จในการเรยี นได้ ทวดิ า พลสทิ ธิ์ (2546, 8) ทก่ี ล่าวว่า ความพึงพอใจ เป็นความคิด ทัศนคติหรือรสู้ ึกทางบวก ของบุคคลที่มีต่อส่ิงใดสิ่งหนึ่ง ความรู้สึกพึงพอใจจะเกิดขึ้นเม่ือบุคคลได้รับในส่ิงที่ต้องการหรือบรรลุ จดุ หมายในระดับหนึ่ง ซง่ึ ความรู้สกึ ดังกล่าวจะลดลงหรือไมน่ ้นั เกดิ ขน้ึ จากความต้องการหรือจุดหมาย นั้นได้รับการตอบสนองหรือไม่ ซ่ึงสอดคล้องกับ ศรีสกุล คุณีพงษ์ (2546 , 31) ท่ีกล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึง ความรู้สึกพึงพอใจจะเกิดขึ้นเม่ือ บุคคลได้รับในส่ิงท่ีต้องการหรือบรรลุจุดมุ่งหมายในระดับหน่ึง ซ่ึงความรู้สึกดังกล่าวจะลดลงหรือไม่ นั้น เกดิ ขน้ึ จากความต้องการหรอื จดุ หมายน้นั ไดร้ ับการตอบสนองหรือไม่ สุเมธ แสงประทีป (2546, 38) กลา่ ววา่ ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรู้สึกหรือทัศนคติของ คนท่ีมีต่อส่ิงใดสิ่งหนึ่ง บุคคลใดบุคคลหน่ึงในทางบวก จะแสดงออกมาในรูปของระดับความรู้สึกท่ี ชอบมาก ชอบน้อย คือ พอใจมาก พอใจนอ้ ย ตอ่ ส่งิ นน้ั ๆ หรอื บคุ คลนัน้ ๆ ความร้สู ึกพึงพอใจจะเกิดขึน้ เม่ือมีแรงจูงใจ และเมื่อความต้องการของบุคคลได้รับการตอบสนองสามารถลดความตึงเครียดจน ก่อใหเ้ กดิ ความสขุ สบายใจ จากการศึกษาเก่ียวกับความหมายของความพึงพอใจดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ความพึง พอใจ หมายถึง ความชอบ ความสนใจ ความยินดี และการให้ความร่วมมือของนักเรียนท่ีมีต่อ การเรยี น
22 3.2 ทฤษฎีทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความพึงพอใจ ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ ในเรื่องกฎแห่งความพร้อม (ทิศนา แขมมณี, 2544, 7) กฎนี้กล่าวถึงสภาพความพร้อมของผู้เรียน ท้ังทางด้านร่างกายและจิตใจ ความพร้อมทางร่างกาย หมายถึง ความพรอ้ มทางวุฒิภาวะและอวัยวะต่างๆ ของรา่ งกาย ทางด้านจิตใจ หมายถึง ความพรอ้ ม ที่เกิดจากความพึงพอใจเป็นสาคัญ ถ้าเกิดความพึงพอใจย่อมนาไปสู่การเรียนรู้ ถ้าเกิดความไม่ พงึ พอใจจะทาใหก้ ารเรยี นรูห้ ยุดชะงกั ไป การศึกษาเก่ียวกับความพึงพอใจน้ัน โดยทั่วไปนิยมศึกษากันในสองมิติ คือ มิติความ พึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานและมิติความพึงพอใจในการรับบริการ ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาใน รปู แบบผรู้ บั บริการ ซง่ึ มีนักการศกึ ษาใหค้ วามหมาย ไว้ดังนี้ ออสแคมปส์ (Oskamps, 1984, อ้างถงึ ใน ประภาภรณ์ สรุ ปวา่ 2544, 11) กล่าววา่ ความ พึงพอใจมคี วามหมายอยู่ 3 นยั คือ 1. ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพการณ์ที่ผลการปฏิบัติจริงได้เป็นไปตามท่ีบุคคลคาดหวงั ไว้ 2. ความพงึ พอใจ หมายถงึ ระดบั ของความสาเรจ็ ทเ่ี ปน็ ไปตามความต้องการ 3. ความพึงพอใจ หมายถึง งานทีไ่ ด้ตอบสนองตอ่ คุณคา่ ของบุคคล จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า “ความพึงพอใจ” หมายถึง ความรู้สึกท่ี เปน็ การยอมรับ ความรสู้ กึ ชอบ ความรูส้ กึ ทีย่ นิ ดีกบั การปฏบิ ตั งิ าน ทัง้ การให้บริการและการรับบริการ ในทุกสถานการณ์ ทุกสถานการณ์ที่ เบมาร์ค (Bemard, 1968 อ้างถึงใน อานวย บุญศรี, 2531) กล่าวถงึ สงิ่ จงู ใจทใ่ี ชเ้ ป็นเครือ่ งกระตุ้นบุคคลใหเ้ กิดความพงึ พอใจในงานไว้ 8 ประการ คือ 1. สิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุ ได้แก่ เงิน ส่ิงของ หรือสภาวะทางกายที่ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานเป็นการ ตอบแทน ชดเชย หรอื เป็นรางวัลท่เี ขาได้ปฏบิ ตั งิ านใหแ้ ก่หน่วยงานน้ันมาเปน็ อยา่ งดี 2. ส่ิงจูงใจท่ีเป็นโอกาสของบุคคลที่มิใช่วตั ถุ เป็นสิ่งจูงใจสาคัญที่ช่วยส่งเสริมความร่วมมอื ในการทางานมากกว่ารางวลั ท่ีเปน็ วตั ถุ เพราะส่งิ จงู ใจทีเ่ ป็นโอกาสนี้ บคุ ลากรจะไดร้ ับแตกตา่ งกนั เชน่ เกียรตภิ มู ิ การใช้สิทธพิ ิเศษ เปน็ ต้น 3. สภาพทางกายที่พึงปรารถนา หมายถึง ส่ิงแวดล้อมในการปฏิบัติงาน ได้แก่ สถานท่ี ทางาน เคร่ืองมือการทางาน ส่ิงอานวยความสะดวกในการทางานต่างๆ ซึ่งเป็นส่ิงอันก่อให้เกิด ความสขุ ทางกายในการทางาน 4. ผลประโยชน์ทางอุดมคติ หมายถึง สมรรถภาพของหน่วยงานท่ีสนองความต้องการ ของบคุ คลด้านความภาคภมู ใิ จทไ่ี ดแ้ สดงฝมี ือ การไดม้ โี อกาสชว่ ยเหลือครอบครัวตนเองและผู้อน่ื ท้ังได้ แสดงความภักดีต่อหนว่ ยงาน 5. ความดึงดูดใจในสังคม หมายถึง ความสัมพันธ์ฉันท์มิตร ถ้าความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดี
23 จะทาให้เกดิ ความผกู พันและความพอใจท่ีจะรว่ มงานกบั หน่วยงาน 6. การปรับสภาพการทางานให้เหมาะสมกับวิธีการและทัศนคติของบุคคล หมายถึง การ ปรบั ปรุงตาแหนง่ วิธีทางานใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสามารถของบคุ ลากร 7. โอกาสท่ีจะร่วมมือในการทางาน หมายถึง การเปิดโอกาสให้บุคลากรรู้สึกว่ามีส่วนร่วม ในงานเป็นบุคคลสาคัญคนหนึง่ ของหน่วยงาน มีความรู้สึกเท่าเทียมกันในหมู่ผู้ร่วมงานและมีกาลังใจ ในการปฏบิ ัตงิ าน 8. สภาพของการอยู่ร่วมกัน หมายถึง ความพอใจของบุคคลในด้านสังคมหรือความม่ันคง ในการทางานจากการศึกษาเก่ียวกับการวัดความพึงพอใจดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ เป็นเพียงปฏิกิริยาด้านความรู้สึกต่อส่ิงเร้าหรือส่ิงกระตุ้นท่ีแสดงออกมาในลักษณะผลลัพธ์สุดท้าย ของกระบวนการประเมิน โดยบ่งบอกถึงทิศทางของผลการประเมินว่าเป็นไปในลักษณะทิศทางบวก หรอื ทิศทางลบ หรือไมม่ ปี ฏิกริ ยิ าคือเฉยๆ ต่อสิง่ เรา้ หรือส่ิงกระต้นุ
24 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ กำรศึกษำ การสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที 5 โรงเรียน มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 1 ในครง้ั น้ี ผ้วู ิจัยได้ดาเนนิ การศึกษา ดงั น้ี 1. รปู แบบของการศกึ ษา 2. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 3. เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการศกึ ษา 4. วิธกี ารดาเนินการศกึ ษา 5. ระยะเวลาในการศกึ ษา 6. การวเิ คราะหข์ ้อมูล 1. รูปแบบกำรศึกษำ รปู แบบการศึกษาการสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่อื ง เวกเตอร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 โดยใช้รูปแบบกลุ่ม เดียวทดสอบก่อนศึกษา และหลังศึกษา (One Group Pretest-Posttest Design) (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2530, 60) ดงั ตารางที่ 1 ตางรางท่ี 1 รปู แบบการศกึ ษาแบบ The One Group Pretest–Posttest Design กลุ่ม ทดสอบกอ่ น กำรจัดกระทำ ทดสอบหลงั T2 a T1 X a แทน กลุม่ ตัวอยา่ ง T1 แทน การทดสอบกอ่ นการศึกษา (Pretest) X แทน การจดั กระทาหรือการให้ตัวแปรศกึ ษา (Treatment) T2 แทน การทดสอบหลังการศึกษา (Posttest)
25 2. ประชำกรและกลุ่มตวั อย่ำง ในการศึกษาผูว้ จิ ัยได้กาหนดประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง ดงั นี้ 1) ประชากร ประชากร ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 ท่ีกาลังเรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จานวน 2 ห้องเรยี น มนี ักเรียนทัง้ หมด 30 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจบพิตร สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 ท่ีกาลังเรียนอยู่ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 จานวน 22 คน ไดม้ าโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3. เครอื่ งมอื ท่ใี ชใ้ นกำรศึกษำ ในการศึกษาผรู้ ายงานไดใ้ ช้เครื่องมือในการศึกษา คร้งั น้ี 1. เอกสารประกอบการเรยี น เรือ่ ง จานวนเชิงซอ้ น ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 2. เคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 2) แบบทดสอบถามความพึงพอใจของนกั เรยี น 4. วิธีกำรดำเนนิ กำรศกึ ษำ ในการศึกษาผู้รายงานมขี ั้นตอนและดาเนินการศึกษาดงั นี้ 1. วธิ ีสร้างเคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการศกึ ษา 1.1 การสร้างเอกสารประกอบการเรยี น เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 มีข้ันตอนการสร้าง ดงั น้ี 1) ศึกษาทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับการสร้างเอกสารประกอบการเรียน และศึกษา เนื้อหาเก่ียวกับจานวนเชิงซ้อน เพื่อนามาใช้ในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนเร่ือง จานวนเชิงซอ้ น ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 2) สร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ให้ครอบคลุมเน้ือหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ เรียงลาดับความยากงา่ ย เพ่ือให้นักเรียนมีกาลังใจใน การทาเอกสารประกอบการเรยี น โดยมีเน้อื หาสอดคลอ้ งกบั แผนการจดั การเรียนรู้ 3) จัดพิมพ์เอกสารประกอบการเรียนทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 หอ้ ง 1 จานวน 22 คน
26 1.2 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมธั ยมศกึ ษา ปีท่ี 5 มขี ัน้ ตอนในการดาเนินการ ดงั นี้ 1) ศึกษาเอกสารเกย่ี วข้องกบั การเขียนข้อสอบ และวัดผลการศึกษาจากหนงั สอื การวดั ผล และการประเมินผลทางการศกึ ษา และการเขยี นคาถามแบบเลือกตอบ 2) วิเคราะห์หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ในระดับช้ันมัธยมศึกษา ปที ่ี 5 เพือ่ ใหส้ ามารถสรา้ งขอ้ สอบได้ครอบคลุ่มกับจดุ ประสงค์ และเนอ้ื หา 3) ชุดท่ี 1 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ระหว่างเรียน แบบปรนัย และอัตนัย เปน็ แบบทดสอบเอกสารประกอบการเรียน เรอ่ื ง จานวนเชงิ ซอ้ น ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 4) ชุดที่ 2 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ครอบคลุมเน้ือหา ชนิดเลือกตอบ (Multiple Choices) 5 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียนเปน็ ชดุ เดยี วกัน 5) นาแบบทดสอบไปใช้ในการทดลองตอ่ ไป 1.3 การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ ผู้วิจัยได้ดาเนินการศึกษาเพื่อดาเนินการ สรา้ งแบบสอบถามลาดบั ดังนี้ 1) ศึกษาหลักการ แนวคิดทฤษฎี ท่ีเก่ียวกับเอกสารประกอบการเรียนเรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 2) นาความรู้ท่ีได้จากการศึกษาเอกสารทั้งหมด สร้างแบบสอบถามท่ีตรงกับ ความคิดเห็นของนักเรียนเก่ียวกับเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษา ปที ี่ 5 ลกั ษณะคาถามเปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดับ ดังน้ี 5 หมายถึง มีความพงึ พอใจมากทีส่ ุด 4 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจมาก 3 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจปานกลาง 2 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย 1 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจนอ้ ยที่สดุ 3) นาแบบสอบถามใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากกลุ่มตัวอย่างตอ่ ไป 5. ระยะเวลำในกำรศึกษำ ระยะเวลาดาเนินการศึกษาการสร้างเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ดาเนินการศึกษาในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 ตั้งแต่ 1 ธันวาคม ถึง 31 ธนั วาคม 2563
27 6. กำรวเิ ครำะห์ข้อมลู ผู้วจิ ยั ไดด้ าเนนิ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตามลาดับขัน้ ตอนดังนี้ 1. วเิ คราะหค์ ุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ างการเรยี น ดงั น้ี 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หาค่าอานาจจาแนกของข้อสอบตามวิธี ของเบรนแนน (Brennan) และหาค่าความเช่ือมั่นของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ตามวิธีของโลเวทท์ (Lovett) 2) วเิ คราะหห์ าประสทิ ธิภาพของเอกสารประกอบ เรอ่ื ง จานวนเชิงซอ้ น ชัน้ มธั ยมศึกษา ปีที่ 5 ใช้ E1/ E2 3) หาค่าดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 4) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชงิ ซอ้ น ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 วเิ คราะหโ์ ดย t-test 5) การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซอ้ น ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ใชค้ ่าเฉล่ีย และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน สถิตทิ ่ีใช้ในกำรวเิ ครำะหข์ อ้ มูล สถติ ทิ ่ีใช้ทดสอบสมมตฐิ าน มดี งั น้ี 1. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ ของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ใช้ E1/ E2 1) การหาประสิทธิภาพกระบวนการเรยี น สตู ร E1 = F1 100 A1 เม่อื E1 หมายถึง ประสทิ ธิภาพของกระบวนการเรยี น F1 หมายถึง คะแนนเฉล่ียของคะแนนการทาแบบฝึกหัด A1 หมายถึง คะแนนเต็มของแบบฝึกหดั รวมกัน 2) การหาประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์ สตู ร E2 = F2 100 A2 เมอ่ื E2 หมายถงึ ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียน F2 หมายถึง คะแนนเฉลี่ยของคะแนนการทาแบบฝกึ หัด A2 หมายถงึ คะแนนเต็มของแบบฝกึ หัดรวมกนั
28 2. การหาค่าดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 ใช้สูตรในการหาค่าดัชนป้ี ระสทิ ธิผล ดังน้ี ดชั นีประสทิ ธผิ ล = ผลรวมคะแนนหลงั ทดลองของทกุ คน – ผลรวมคะแนนกอ่ นทดลองของทกุ คน (จานวนนกั เรียนคะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนกอ่ นทดลองของทุกคน 3. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการ ทดสอบค่า t ใกชร้สณูตีกรลุ่มตtัว=อยา่ งไมเ่ ปน็ อิสDระต่อกนั (t – test ชนดิ Dependent Samples) N D2 - ( D)2 N-1 เมือ่ t แทน ค่าสถติ ิท่ีจะใชเ้ ปรยี บเทยี บคา่ วิกฤต เพอื่ ทราบความมนี ัยสาคัญ D แทน ผลต่างระหว่างคู่คะแนน N แทน จานวนกลุ่มตัวอยา่ ง 4. การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ เอกสารประกอบการเรียน เร่อื ง จานวนเชงิ ซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ใชก้ ารหาค่าเฉล่ีย และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน 1) การหาค่าเฉลี่ย ( X ) คานวณจากสตู ร ดงั น้ี จากสตู ร X = X N เมื่อ X แทน ค่าเฉลย่ี ของคะแนน X แทน ผลรวมของคะแนน N แทน จานวนนกั เรยี นที่เปน็ กลุม่ ตวั อย่าง 2) ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) คานวณจากสตู รดงั นี้ จากสตู ร S.D. = N X2 - ( X)2 N(N - 1) เมอ่ื S.D. แทน สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน X แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมดในกลุ่ม N แทน จานวนนักเรียนท่เี ปน็ กลมุ่ ตัวอย่าง
29 เกณฑ์การให้คะแนนการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเก่ียวกับการแปรผลการวิเคราะหใ์ ช้เกณฑด์ งั น้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2541 : 112) 1.00 – 1.50 หมายความว่า มรี ะดับความพึงพอใจน้อยท่ีสดุ 1.51 – 2.50 หมายความว่า มรี ะดบั ความพึงพอใจน้อย 2.51 – 3.50 หมายความว่า มีระดับความพงึ พอใจปานกลาง 3.51 – 4.50 หมายความวา่ มีระดับความพงึ พอใจมาก 4.51 – 5.00 หมายความวา่ มีระดบั ความพึงพอใจมากทส่ี ดุ
30 บทท่ี 4 ผลกำรดำเนินกำร การศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้สร้างและใช้เอกสารประกอบเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรยี นมัธยมวัดเบญจมบพติ ร สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพื่อสร้างเอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง จานวนเชงิ ซ้อน ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ให้มี ประสิทธิภาพ 80/80 ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการเรียน จากการใช้เอกสารประกอบการเรียน และศึกษา ความพงึ พอใจของนกั เรียนท่ีมตี อ่ เอกสารประกอบการเรยี นเรื่อง จานวนเชิงซอ้ น ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 โดยมีลาดบั ข้ันตอน ดงั น้ี 1. สญั ลักษณท์ ่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู 2. ลาดบั ขนั้ ในการวเิ คราะห์ข้อมลู 3. ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล 1. สญั ลกั ษณท์ ่ใี ช้ในกำรวเิ ครำะห์ข้อมลู E1 / E2 คือ ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน E1 แทน ค่าเฉลี่ยรอ้ ยละของคะแนนแบบทดสอบระหว่างเรียน E2 แทน คา่ เฉลยี่ ร้อยละของคะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน t แทน สถิตทิ ดสอบที่ใชเ้ ปรยี บเทียบกบั ค่าวกิ ฤตเิ พือ่ ทราบความมีนยั สาคญั X แทน คา่ เฉล่ยี S.D. แทน คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน N แทน จานวนนกั เรียน D แทน คา่ ความแตกต่างระหวา่ งคะแนนหลงั การทดลองและก่อนทดลอง 2. ลำดบั ข้ันในกำรวเิ ครำะห์ข้อมลู ตอนที่ 1 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตอนท่ี 2 การวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5
31 ตอนที่ 3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลัง การเรยี นจากการใช้เอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง จานวนเชิงซอ้ น ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 5 ตอนที่ 4 การวิเคราะห์หาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชงิ ซอ้ น ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 3. ผลกำรวิเครำะหข์ ้อมลู ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 โดยใช้ E1/ E2 ผลปรากฏ ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 คะแนนเอกสารประกอบการเรยี น เรอ่ื ง จานวนเชงิ ซอ้ น คะแนนระหวา่ งเรยี น (คะแนนเตม็ 80 คะแนน) คะแนน คนท่ี คร้งั ท่ี 1 ครง้ั ท่ี 2 ครั้งท่ี 3 ครั้งท่ี 4 หลังเรียน (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) 1 14 19 12 12 12 2 13 18 14 12 10 3 17 15 15 10 13 4 18 17 12 10 12 5 16 16 15 18 20 6 12 12 12 15 20 7 13 15 16 17 12 8 12 18 20 18 12 9 19 14 20 19 12 10 18 15 15 18 12 11 16 15 16 18 12 12 17 15 17 19 15 13 13 12 12 16 12 14 18 12 15 17 20 15 19 12 14 19 20 16 15 12 15 17 15 17 17 13 15 19 19 ตารางท่ี 2 (ตอ่ )
32 คะแนนระหว่างเรยี น (คะแนนเต็ม 80 คะแนน) คะแนน คนท่ี คร้งั ที่ 1 ครงั้ ท่ี 2 ครัง้ ท่ี 3 ครง้ั ที่ 4 หลงั เรยี น (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) 18 15 14 14 14 12 19 15 19 12 12 18 20 16 16 12 13 20 21 14 14 12 12 18 22 12 15 12 12 12 รวม 1,321 328 X 60.05 14.91 รอ้ ยละ 75.06 74.55 จากตารางท่ี 2 พบว่า นักเรียนท่ีผ่านกระบวนการเรียนการสอนท่ีเรียนจากเอกสาร ประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ได้คะแนนทดสอบระหว่างเรียน เฉล่ีย 60.05 คะแนน จาก คะแนนเต็ม 80 คะแนน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 75.06 ของคะแนนรวมของคะแนนระหว่างเรียนทั้งหมด และคะแนนแบบทดสอบหลงั เรียนเมือ่ เรยี นจากการใช้เอกสารประกอบการเรยี น เรือ่ ง จานวนเชงิ ซอ้ น ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 แล้วได้คะแนนเฉลีย่ 14.91 จากคะแนนเตม็ 20 คะแนน ซ่งึ คดิ เป็นร้อยละ 74.55 ของคะแนนรวมของคะแนนหลงั เรยี นทง้ั หมด ตารางที่ 3 ประสิทธิภาพของแบบเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชงิ ซอ้ น คะแนนทดสอบระหวา่ งเรยี น คะแนนทดสอบหลงั เรยี น จานวนนักเรียน (80 คะแนน) (20 คะแนน) E1/ E2 22 75.06/74.55 คะแนน X E1 คะแนน X E2 1,321 60.05 75.06 328 14.91 74.55 จากตารางที่ 3 พบว่า ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 มปี ระสทิ ธิภาพเท่ากบั 75.06/74.55 ซง่ึ อยใู่ นเกณฑท์ ี่กาหนดไว้
33 ตอนท่ี 2 การวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวน เชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 1 การหาค่าดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ใชส้ ตู ร สวุ ิทย์ มลู คา และสนุ นั ทา สนุ ทรประเสรฐิ (2550) ดังนี้ ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล = ผลรวมคะแนนทดสอบหลังเรียน – ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน (จานวนนักเรยี น)(คะแนนเต็ม) - ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน 328 - 87 = (22 × 20) - 87 = 0.68 ดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ 5 เทา่ กบั 0.68 ซง่ึ แสดงวา่ ผูเ้ รยี นมคี วามสามารถในการเรียนเพ่มิ ข้ึนรอ้ ยละ 68 ตอนที่ 3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและ หลงั เรยี นดว้ ยเอกสารประกอบการเรียน เรอ่ื ง จานวนเชงิ ซ้อน ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้ t-test ตารางที่ 4 คะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนดว้ ยเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชงิ ซอ้ น คนท่ี คะแนนทดสอบกอ่ นเรียน คะแนนทดสอบหลงั เรยี น D D2 15 12 7 49 24 10 6 36 36 13 7 49 47 12 5 25 55 20 15 225 61 20 19 361 72 12 10 100 83 12 9 81 95 12 7 49 10 4 12 8 64 ตารางที่ 4 (ต่อ)
34 คนท่ี คะแนนทดสอบก่อนเรยี น คะแนนทดสอบหลังเรยี น D D2 11 5 12 7 49 12 4 15 11 121 13 4 12 8 64 14 6 20 14 196 15 2 20 18 324 16 3 15 12 144 17 6 19 13 169 18 4 12 8 64 19 2 18 16 256 20 1 20 19 361 21 5 18 13 169 22 3 12 9 81 รวม 87 328 241 3,037 จากตารางท่ี 4 พบว่าคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซอ้ น ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 โดยคะแนนรวมทดสอบก่อนเรยี นได้ 87 คะแนน และคะแนน ทดสอบหลังเรียนได้ 328 คะแนน พบว่า คะแนนสูงขึ้น ตารางที่ 5 การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธก์ิ ่อนเรียนและหลงั เรียน ดว้ ยเอกสารประกอบการเรียน เรอื่ ง จานวนเชงิ ซ้อน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 N D D2 t 22 241 3,037 *20.39 * มนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .01 จากตารางที่ 5 พบวา่ เม่อื เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอ่ นเรียนและหลังเรยี นด้วย เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 พบว่า นักเรียนมีพัฒนาการท่ี สูงข้นึ อย่างมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .01
35 ตอนที่ 4 การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มัธยมศกึ ษาเขต 1 ตารางท่ี 6 ความพึงพอใจของนกั เรียนที่มีตอ่ เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชงิ ซอ้ น ความพงึ พอใจของนักเรียน X S.D. แปลความหมาย 1. รูปแบบของเอกสารประกอบการเรียนน่าสนใจ…….…….. 4.14 1.08 พงึ พอใจมาก 2. การเร้าความสนใจ กระตือรอื รน้ อยากเรยี น คณติ ศาสตร…์ ……………………………………………….……….. 4.27 0.83 พึงพอใจมาก 3. เนอื้ หาชวนอ่านและใหค้ วามรเู้ ป็นอย่างดี……………………. 4.23 0.87 พงึ พอใจมาก 4. ใหค้ วามรแู้ ละเกดิ การเรยี นรู้ทใ่ี หม่ ๆ แก่นักเรยี น........... 4.36 0.90 พงึ พอใจมาก 5. ส่งเสริมให้นกั เรยี นมีความคิดริเรมิ่ สร้างสรรค.์ ................. 4.45 0.67 พงึ พอใจมาก 6. นักเรียนเขา้ ใจบทเรียนไดด้ ยี ่งิ ขนึ้ ..................................... 4.18 0.85 พงึ พอใจมาก 7. นกั เรยี นมโี อกาสได้เรยี นรหู้ รอื ค้นควา้ หาคาตอบ ดว้ ยตนเอง........................................................................ 4.59 0.73 พงึ พอใจมากทสี่ ุด 8. นกั เรียนมีอสิ ระในการตัดสนิ ใจ........................................ 4.32 0.78 พงึ พอใจมาก 9. เน้อื หาครอบคลมุ และสอดคลอ้ งกับผลการเรยี นรู้ ทค่ี าดหวังการเรียนรู้....................................................... 4.45 0.74 พึงพอใจมาก 10. นักเรยี นไดค้ ดิ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ อย่างมเี หตุผล............ 4.50 0.74 พึงพอใจมาก รวม 4.35 0.82 พงึ พอใจมาก จากตารางท่ี 6 พบว่า นักเรียนมีความพงึ พอใจตอ่ การเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงเซอ้ น โดยรวม อยู่ในระดบั มาก ( X = 4.35 , S.D. = 0.82) เมือ่ พิจารณาเปน็ รายข้อ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมากท่ีสุด 1 ข้อ คือ นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้หรือค้นคว้าหาคาตอบ ด้วยตนเอง มีความพงึ พอใจระดับมาก 9 ขอ้ เรียงลาดับจากมากไปหาน้อยสามอันดับดงั นี้ นกั เรยี นได้ คิด วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และเน้ือหา ครอบคลุมและสอดคลอ้ งกบั ผลการเรยี นรู้
36 บทที่ 5 สรปุ อภปิ รำย และข้อเสนอแนะ การศึกษาครั้งน้ีเป็นการศึกษาเพ่ือพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ผู้วิจัยสรุปผลการศึกษาได้ ดังนี้ 1. สรุปผลการศกึ ษา 2. อภิปรายผล 3. ข้อเสนอแนะ 1. สรปุ ผลกำรศึกษำ จาการศึกษาสามารถสรุปผลการสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ได้ดังน้ี 1. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้ E1/ E2 ปรากฏว่า นักเรียนท่ีผ่านกระบวนการเรียนการสอนท่ีเรียน เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยได้คะแนนแบบทดสอบ ระหว่างเรียนเฉล่ียคือ 60.05 คะแนน จากคะแนนเต็ม 80 คะแนน ซ่ึงคิดเป็นร้อยละ 75.06 ของ คะแนนรวมของคะแนนระหว่างเรียนทั้งหมด และคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนเม่ือเรยี นจากการใช้ เอกสารประกอบการเรยี น เรอื่ ง จานวนเชงิ ซ้อน ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 แลว้ ได้คะแนนเฉลย่ี 14.91 จาก คะแนนเต็ม 20 คะแนน ซ่ึงคิดเป็นร้อยละ 74.55 ของคะแนนรวมของคะแนนหลงั เรยี นท้ังหมด 2. การวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เท่ากับ 0.68 ซ่ึงแสดงว่า ผู้เรยี นมคี วามสามารถในการเรียนเพ่ิมขึน้ ร้อยละ 68 3. การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) พบวา่ คะแนนสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียนดว้ ยเอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง จานวนเชงิ ซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยคะแนนรวมก่อนเรียน คือ 87 คะแนน และคะแนนรวมหลังเรียน คือ 328 คะแนน นักเรียนมีพัฒนาการทสี่ ูงข้ึนอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01 4. การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวน เชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.35 , S.D. = 0.82) เมื่อพิจารณาเป็นรายขอ้ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุด 1 ข้อ คือ นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้หรือค้นคว้าหาคาตอบ
37 ดว้ ยตนเอง มคี วามพึงพอใจระดบั มาก 9 ข้อ เรยี งลาดบั จากมากไปหาน้อยสามอันดับดงั นี้ นกั เรยี นได้ คิด วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และ เน้ือหา ครอบคลุมและสอดคลอ้ งกับผลการเรียนรู้ 2. อภปิ รำยผล จากการศึกษาการสร้างเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษา ปที ่ี 5 มีข้อค้นพบที่สามารถนามาอภปิ รายผล ดงั น้ี 1. เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 75.06/74.55 อยู่ในเกณฑ์ที่ต้ังไว้ 75/75 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเอกสารประกอบ การเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องและเน้นหลักสาคัญในการจัดทาเอกสาร ประกอบการเรยี น และเรยี บเรยี งเน้อื หาให้ผูอ้ ่านเขา้ ใจงา่ ย 2. ดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 5 ผู้วิจัยได้ทาการศึกษาเท่ากับ 0.68 แสดงให้เห็นว่าเม่ือนักเรียนท่ีเรียนโดยใช้เอกสาร ประกอบการเรียน นักเรียนมีความรู้สูงข้ึนท้ังน้ีอาจเน่ืองมาจากผู้รายงานได้สร้างเอกสารประกอบ การเรยี น ที่มอี งค์ประกอบสาคัญในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรียน และผูอ้ า่ นเข้าใจในสงิ่ ที่ผู้วิจัย ตอ้ งการส่อื สาร 3. นักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 มีพัฒนาการสูงขึ้นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะ นกั เรียนทไี่ ด้ทาเอกสารประกอบการเรียนบ่อยๆ ย่อมทาใหเ้ กิดทกั ษะ มคี วามคลอ่ งแคลว่ และสามารถ ทาไดด้ ี ซ่ึงเปน็ ไปตามทฤษฎีการเรียนรู้ของ ธอรน์ ไดค์ เก่ยี วกบั กฎการฝึก (Law of Exercise) ซง่ึ สาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์เป็นสาระเกี่ยวกับทักษะ ผู้เรียนจะมีความรู้และทักษะท่ีดีจะต้องมีการฝึกฝน บ่อยๆ ดังนัน้ การฝึกทาเอกสารประกอบการเรียนบ่อยๆ จึงสง่ ผลต่อผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นท่สี งู ขึ้น 4. การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวน เชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง จานวนเชิงซ้อน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.35 , S.D. = 0.82) เม่ือพิจารณาเป็นรายขอ้ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุด 1 ข้อ คือ นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้หรือค้นคว้าหาคาตอบ ดว้ ยตนเอง มีความพึงพอใจระดับมาก 9 ข้อ เรยี งลาดบั จากมากไปหาน้อยสามอนั ดับดังน้ี นักเรยี นได้ คิด วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และเนื้อหา ครอบคลมุ และสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ ทงั้ นี้อาจเป็นเพราะนักเรียนไดเ้ รยี นรู้เอกสารประกอบการ เรียนที่ผู้วจิ ัยสร้างขึน้ สอดคล้องกับความตอ้ งการของผ้เู รียน เหมาะสมกบั วัย เนื้อเร่อื งเหมาะสม และ เร้าความสนใจผู้เรยี น
38 3. ขอ้ เสนอแนะ การสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีข้อเสนอแนะ ดังน้ี 1. ข้อเสนอแนะสาหรับการนาไปใช้ 1) ครูควรร้จู กั เด็กเป็นรายบุคคลและใช้เอกสารประกอบการเรยี น เรอื่ ง จานวนเชิงซ้อน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ให้เหมาะสมและความต้องการของนักเรียนจะสามารถพัฒนานักเรียนได้อย่าง เตม็ ศักยภาพ 2) ครูผู้สอนควรกระตุ้นและให้กาลังใจนักเรียนอย่างใกล้ชิดในขณะทาเอกสาร ประกอบการเรยี น เรอ่ื ง จานวนเชงิ ซอ้ น ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 2. ข้อเสนอแนะสาหรบั การศึกษาต่อไป 1) ควรมีการศึกษาและสร้างเอกสารประกอบการเรียนในหน่วยการเรียนอ่ืนๆ เพื่อเสริม ความเข้าใจนักเรียนมากยงิ่ ขึ้น 2) ควรมกี ารพฒั นาและสรา้ งเอกสารประกอบการเรียนท่ีให้นักเรียนสามารถพฒั นาตนเอง ไดม้ ากย่ิงข้นึ
39 บรรณำนุกรม ศกึ ษาธิการ, กระทรวง. (2560). ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณติ ศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ัน พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวจิ ัยเบอื้ งต้น. (พิมพ์ครงั้ ที่ 7). กรุงเทพฯ : สวุ ีริยาสาส์น. ปราณี กองจนิ ดา. (2549). การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นคณติ ศาสตร์และทกั ษะ การคิดเลขในใจของนกั เรยี นท่ีได้รับการสอนโดยใช้ค่มู อื . (วทิ ยานพิ นธ์ครศุ าสตร์ มหาบณั ฑติ , สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน สถาบันราชภัฏพระนครศรอี ยุธยา). พมิ พันธ์ เดชะคุปต์. (2548). การเรยี นการสอนที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลาง. กรงุ เทพฯ : เดอะมาสเตอร์กรุ๊ปแมเนจเม้นท์. วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน.์ (2549). นวตั กรรมตามแนวคิด Backward Design. มหาสารคาม : ภาควิชาหลกั สตู รและการสอนคณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. สมพร เช้อื พันธ์. (2547). การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นคณิตศาสตร์ของนกั เรยี น ชน้ั มธั ยมศึกษาชน้ั ปีท่ี 3 โดยใชว้ ธิ กี ารจัดการเรียนการสอนแบบสรา้ งองค์ความรู้ ด้วยตนเองกบั การจดั การเรยี นการสอนตามปกติ. (วทิ ยานพุ นธ์ครศุ าสตรมหาบัณฑิต, สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน สถาบนั ราชภฏั พระนครศรีอยธุ ยา). สามารถ มีศร.ี (2530). การสรา้ งแบบฝึกสาหรับเด็ก. กรงุ เทพฯ : บรรณกิจ. สุวทิ ย์ มูลคา และสุนนั ทา สนุ ทรประเสรฐิ . (2550). ผลงานทางวิชาการสู่...การเลอื่ นวิทยฐานะ. กรุงเทพฯ : อี เคบุคส์ สุนนั ทา สนุ ทรประเสรฐิ . (2547). แนวทางการผลิตนวัตกรรมการเรียนการสอนการผลติ ชุดการสอน. กรุงเทพฯ : ธรรมรักษ์การพิมพ.์
40 ภำคผนวก
แบบทดสอบก่อนเรียน หน้า 1 คณิตศาสตร์เพิ่มเติม 4 (ค32202) โรงเรยี นมธั ยมวัดเบญจมบพิตร เร่อื ง จานวนเชิงซ้อน ตอนที่ 1 แบบปรนัย 5 ตวั เลือก เลอื ก 1 คำตอบท่ีถูกท่สี ุด จำนวน 20 ข้อ (ขอ้ 1 - 20) 1. ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้เปน็ จำนวนจินตภำพแท้ 1) (5, 0) 2) (0, 8) 3) (7, -9) 4) (1, 8) 5) (-3, 0) 2. ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ผดิ 2) i + i2 + i3 + … + i121 = i 4) i + i2 + i3 + … + i723 = 1 1) i + i2 + i3 + … + i100 = 0 3) i + i2 + i3 + … + i254 = -1 + i 5) i + i2 + i3 + … + i201 = i 3. (3 + 2i) - (4 - 5i) มคี ่ำเท่ำกับข้อใดต่อไปนี้ 4) -6 - 3i 5) -1 + 7i 1) i 2) 10 + 2i 3) -5 - 3i 4. 2i(1 - i)(3 + 2i) มีคำ่ เท่ำกบั ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ี 4) -6 + 10i 5) -46 - 9i 1) -5 - 2i 2) -4 + 10i 3) 2 + 10i 5. ค่ำของ xy จำกสมกำร 19 + yi = 5 - 7i คอื ข้อใดต่อไปนี้ 5) 8 x + 2i 1) 2 2) 3 3) 5 4) 7 6. ถ้ำ x, y และ (2 + 3i)x2 - (3 - 2i)y = 2x - 3y + 15i แล้ว x + y มีค่ำเท่ำกับขอ้ ใด 1) 3 2) 5 3) 7 4) 9 5) 11 7. จำนวนเชิงซอ้ น z ที่สอดคลอ้ งกับสมกำร z(1 - 3i) = 2 + 7i คือขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ 1) 8 + 19i 2) -8 + 19i 3) -8 - 19i 4) - 19 - 13 i 5) - 19 + 13 i 10 10 10 10 8. จำนวนเชิงซ้อน z ทสี่ อดคลอ้ งกบั สมกำร z-1 (1 + 3i) = 1 - 3i คือข้อใดตอ่ ไปนี้ 1) 2 - 1 i 2) 3 - 1 i 3) - 1 + 3 i 4) - 1 - 3 i 5) 1 + 3 i 5 5 5 5 2 2 2 2 2 2
แบบทดสอบก่อนเรยี น หนา้ 2 คณติ ศาสตรเ์ พ่มิ เติม 4 (ค32202) โรงเรยี นมธั ยมวดั เบญจมบพิตร เร่ือง จานวนเชงิ ซอ้ น 9. จำนวนเชงิ ซ้อน z ที่สอดคลอ้ งกับสมกำร 3iz = 18 - 9i แลว้ z คอื ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ี 1) -3 + 6i 2) -3 - 6i 3) 3 - 6i 4) 3 + 6i 5) 3 10. ให้ z เปน็ จำนวนเชิงซ้อนใดๆ กรำฟของ z - 3 = 2 จะมลี กั ษณะตำมข้อใดตอ่ ไปนี้ 1) วงกลมจดุ ศนู ยก์ ลำง = (0, 0) , รศั มี = 1 2) วงกลมจุดศูนย์กลำง = (0, 0) , รัศมี = 2 3) วงกลมจุดศูนย์กลำง = (3, 0) , รศั มี = 1 4) วงกลมจดุ ศนู ยก์ ลำง = (0, 3) , รศั มี = 2 5) วงกลมจดุ ศนู ย์กลำง = (3, 0) , รศั มี = 2 11. รูปเชิงขวั้ ของจำนวนเชิงซ้อน z = 3 + 3i คือขอ้ ใดต่อไปน้ี 1) 3 2 (cos45o + isin45o ) 2) 3 2 (cos135o + isin135o ) 3) 2 (cos45o + isin45o ) 4) 2 (cos135o + isin135o ) 5) - 2 (cos45o + isin45o ) 12. กำหนดให้ z1 = 2(cos 5 + isin 5 ) และ z2= 3 (cos 7 + isin 7 ) 6 6 66 แล้ว z1 z2 มีคำ่ เทำ่ กับเทำ่ ใด 1) 3 + 3 i 2) 3+ 2i 3) 3 + 3 i 4) 3 i 5) 2 3 4 4 2 2 2 5) 1 - 3i 13. กำหนดให้ z1= 6(cos70o + isin70o ) และ z2= 3(cos10o + isin10o ) 5) i แล้ว z1 มคี ำ่ เทำ่ กับขอ้ ใดตอ่ ไปน้ี z2 1) 1 + 3 i 2) 1 - 3 i 3) 3i 4) 1 + 3i 22 22 14. จำนวนเชิงซอ้ น (1 - i)10 เทำ่ กับขอ้ ใดต่อไปน้ี 1) -32i 2) 32i 3) 30i 4) -30i 15. รำกท่ี 4 ของจำนวนเชิงซ้อนของ 1 มคี ่ำเทำ่ กับข้อใดตอ่ ไปนี้ 1) 2, -2, 2i, -2i 2) 2, -2, i, -2i 3) 2, -2, i, -i 4) 1, -1, i, -i 5) 1, -1, -2i, -2i
แบบทดสอบก่อนเรยี น หนา้ 3 คณติ ศาสตร์เพ่มิ เติม 4 (ค32202) โรงเรยี นมัธยมวัดเบญจมบพติ ร เรื่อง จานวนเชิงซ้อน 16. รำกที่ 3 ของ 8 มคี ่ำเทำ่ กับขอ้ ใดต่อไปนี้ 2) -2, - 3 - i, - 3 + i 4) 2, - 3 - i, - 3 + i 1) -2, -1 + 3i, -1 - 3i 3) 2, -1 + 3i, -1 - 3i 5) 2, 1 + 3i, -1 - 3i 17. รำกของสมกำร x4 + 5x2 + 4 = 0 คือข้อใดต่อไปน้ี 1) i, -i, 3i, -3i 2) 2, -2, 3i, -3i 3) i, -i, 2i, -2i 4) 1, -1, i, -i 5) 3, -3, 2i, -2i 18. รำกของสมกำร z2 + 2iz - 1 = 0 คือขอ้ ใดต่อไปนี้ 1) -1, 1 2) i 3) -i 4) i, -i 5) 1, -2 19. สมกำรพหุนำมทีม่ คี ำตอบเป็น -2, -3i และ 3i คือข้อใดต่อไปน้ี 1) x3 + 2x2 + 9x + 10 = 0 2) x3 + 2x2 + 9x + 18 = 0 3) x3 + 2x2 + 9x + 20 = 0 4) x2 - 2 2x + 3 = 0 5) x2 - 2 2x +2 = 0 20. สมกำรพหุนำมดกี รี 4 ท่ีมีสมั ประสิทธ์ิเปน็ จำนวนเตม็ และมี 3, -4, 3 + i เป็นคำตอบ คอื ขอ้ ใดต่อไปนี้ 1) x4 - 4x3 + 32x2 - 64x + 256 = 0 2) x4 - 4x3 + 5x2 - 64x + 200 = 0 3) x4 - 2x3 + 5x2 - 72x - 120 = 0 4) 2x4 - 2x3 + 5x2 - 64x + 256 = 0 5) x4 - 5x3 - 8x2 + 82x - 120 = 0
แบบทดสอบหลงั เรยี น หน้า 1 คณิตศาสตร์เพ่ิมเติม 4 (ค32202) โรงเรยี นมธั ยมวัดเบญจมบพิตร เร่อื ง จานวนเชิงซ้อน ตอนที่ 1 แบบปรนยั 5 ตวั เลือก เลอื ก 1 คำตอบท่ีถูกท่สี ุด จำนวน 20 ข้อ (ขอ้ 1 - 20) 1. ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้เปน็ จำนวนจินตภำพแท้ 1) (5, 0) 2) (0, 8) 3) (7, -9) 4) (1, 8) 5) (-3, 0) 2. ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ผดิ 2) i + i2 + i3 + … + i121 = i 4) i + i2 + i3 + … + i723 = 1 1) i + i2 + i3 + … + i100 = 0 3) i + i2 + i3 + … + i254 = -1 + i 5) i + i2 + i3 + … + i201 = i 3. (3 + 2i) - (4 - 5i) มคี ่ำเท่ำกับข้อใดต่อไปนี้ 4) -6 - 3i 5) -1 + 7i 1) i 2) 10 + 2i 3) -5 - 3i 4. 2i(1 - i)(3 + 2i) มีคำ่ เท่ำกบั ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ี 4) -6 + 10i 5) -46 - 9i 1) -5 - 2i 2) -4 + 10i 3) 2 + 10i 5. ค่ำของ xy จำกสมกำร 19 + yi = 5 - 7i คอื ข้อใดต่อไปนี้ 5) 8 x + 2i 1) 2 2) 3 3) 5 4) 7 6. ถ้ำ x, y และ (2 + 3i)x2 - (3 - 2i)y = 2x - 3y + 15i แล้ว x + y มีค่ำเท่ำกับขอ้ ใด 1) 3 2) 5 3) 7 4) 9 5) 11 7. จำนวนเชิงซอ้ น z ที่สอดคลอ้ งกับสมกำร z(1 - 3i) = 2 + 7i คือขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ 1) 8 + 19i 2) -8 + 19i 3) -8 - 19i 4) - 19 - 13 i 5) - 19 + 13 i 10 10 10 10 8. จำนวนเชงิ ซอ้ น z ทสี่ อดคลอ้ งกบั สมกำร z-1 (1 + 3i) = 1 - 3i คือข้อใดตอ่ ไปนี้ 1) 2 - 1 i 2) 3 - 1 i 3) - 1 + 3 i 4) - 1 - 3 i 5) 1 + 3 i 5 5 5 5 2 2 2 2 2 2
แบบทดสอบหลงั เรยี น หนา้ 2 คณติ ศาสตรเ์ พ่ิมเติม 4 (ค32202) โรงเรยี นมธั ยมวดั เบญจมบพิตร เร่ือง จานวนเชงิ ซอ้ น 9. จำนวนเชงิ ซ้อน z ที่สอดคลอ้ งกับสมกำร 3iz = 18 - 9i แลว้ z คอื ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ี 1) -3 + 6i 2) -3 - 6i 3) 3 - 6i 4) 3 + 6i 5) 3 10. ให้ z เปน็ จำนวนเชิงซ้อนใดๆ กรำฟของ z - 3 = 2 จะมลี กั ษณะตำมข้อใดตอ่ ไปนี้ 1) วงกลมจดุ ศนู ยก์ ลำง = (0, 0) , รศั มี = 1 2) วงกลมจุดศูนย์กลำง = (0, 0) , รัศมี = 2 3) วงกลมจุดศูนย์กลำง = (3, 0) , รศั มี = 1 4) วงกลมจดุ ศนู ยก์ ลำง = (0, 3) , รศั มี = 2 5) วงกลมจดุ ศนู ย์กลำง = (3, 0) , รศั มี = 2 11. รูปเชิงขว้ั ของจำนวนเชิงซ้อน z = 3 + 3i คือขอ้ ใดต่อไปน้ี 1) 3 2 (cos45o + isin45o ) 2) 3 2 (cos135o + isin135o ) 3) 2 (cos45o + isin45o ) 4) 2 (cos135o + isin135o ) 5) - 2 (cos45o + isin45o ) 12. กำหนดให้ z1 = 2(cos 5 + isin 5 ) และ z2= 3 (cos 7 + isin 7 ) 6 6 66 แล้ว z1 z2 มีคำ่ เทำ่ กับเทำ่ ใด 1) 3 + 3 i 2) 3+ 2i 3) 3 + 3 i 4) 3 i 5) 2 3 4 4 2 2 2 5) 1 - 3i 13. กำหนดให้ z1= 6(cos70o + isin70o ) และ z2= 3(cos10o + isin10o ) 5) i แล้ว z1 มคี ำ่ เทำ่ กับขอ้ ใดตอ่ ไปน้ี z2 1) 1 + 3 i 2) 1 - 3 i 3) 3i 4) 1 + 3i 22 22 14. จำนวนเชิงซอ้ น (1 - i)10 เทำ่ กับขอ้ ใดต่อไปน้ี 1) -32i 2) 32i 3) 30i 4) -30i 15. รำกท่ี 4 ของจำนวนเชิงซ้อนของ 1 มคี ่ำเทำ่ กับข้อใดตอ่ ไปนี้ 1) 2, -2, 2i, -2i 2) 2, -2, i, -2i 3) 2, -2, i, -i 4) 1, -1, i, -i 5) 1, -1, -2i, -2i
Search