รายงานผลการวิจัยในชัน้ เรยี น การสร้างและการหาประสิทธภิ าพของเอกสารประกอบการเรียนการสอน เรอื่ ง เวกเตอร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 โดย นายคเณศ สมตระกูล ตาแหน่ง ครู โรงเรยี นมธั ยมวดั เบญจมพบิตร สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 1 สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563
บนั ทกึ ขอ้ ความ ส่วนราชการ โรงเรยี นมัธยมวัดเบญจมบพิตร ที่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2563 วนั ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เร่อื ง รายงานการส่งวจิ ยั ในชนั้ เรียน ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2563 เรียน ผู้อานวยการโรงเรยี นมธั ยมวัดเบญจมบพติ ร ดว้ ยข้าพเจ้า นายคเณศ สมตระกลู ตาแหน่ง ครู โรงเรยี นมัธยมวดั เบญจมบพิตร ได้จัดทารายงานวจิ ัย ในช้ันเรียน เร่ือง การสร้างและการหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอน เรื่อง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพ่ือสร้างเอกสารประกอบการเรียนการสอน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มี ประสทิ ธิภ์ าพตามเกณฑ์ 80/80 ศึกษาดัชนีประสิทธผิ ลของเอกสารประกอบการเรยี นการสอน เรื่อง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และ ความพึงพอใจของนักเรียนที่มตี อ่ เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 จึงเรียนมาเพอื่ โปรดทราบ ลงช่อื (นายคเณศ สมตระกูล) ตาแหนง่ ครู ความเหน็ ของรองผอู้ านวยการสถานศึกษา ความเหน็ ของผู้อานวยการสถานศึกษา ………………………………………………………………………….. ..................................................................................... .................................................................................... ..................................................................................... .................................................................................... ..................................................................................... .................................................................................... .................................................................................... ลงชื่อ............................................................ ลงชอื่ ............................................................ (ว่าท่ีร้อยตรสี ุพจน์ สวุ ินัย ) (นายพงศไ์ ท ครี วี งศ์วฒั นา) รองผ้อู านวยการโรงเรียนมธั ยมวัดเบญจมบพิตร ผอู้ านวยการโรงเรียนมธั ยมวดั เบญจมบพติ ร
ช่ือเร่อื ง การสรา้ งและการหาประสิทธภิ าพของเอกสารประกอบการเรียนการสอน เรอื่ ง เวกเตอร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ชือ่ ผู้วิจยั นายคเณศ สมตระกลู ตาแหน่ง ครู ปกี ารศกึ ษา 2563 ภาคเรยี นที่ 1 บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างเอกสารประกอบการเรียนการสอน เรื่อง เวกเตอร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรยี นมธั ยมวดั เบญจมบพิตร ใหม้ ีประสิทธภ์ิ าพตามเกณฑ์ 80/80 ศึกษาดัชนี ประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรยี นการสอน เร่อื ง ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อเอกสาร ประกอบการเรียน เร่อื ง เวกเตอร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ประชากรทีใ่ ช้ในการวิจัย คือ นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรยี นมธั ยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่กาลังเรียนอยู่ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 2 ห้องเรียน มนี กั เรียนทงั้ หมด 31 คน และกลุ่มตัวอยา่ ง คอื นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจบพิตร สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต1 ท่ีกาลังเรียนอยู่ใน ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 22 คน ได้มาโดยส่มุ แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียนการสอน เร่ือง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยได้คะแนนแบบทดสอบระหว่างเรียนเฉล่ีย 64.06 คะแนน จากคะแนนเต็ม 80 คะแนน คดิ เปน็ ร้อยละ 80.06 แบบทดสอบหลังเรยี นเมื่อเรียนจากการใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้คะแนนเฉล่ีย 15.95 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 79.77 ซ่ึงอยูใ่ นเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ 2. การวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เท่ากับ 0.75 ซ่ึงแสดงวา่ ผเู้ รยี นมคี วามสามารถในการเรียนเพมิ่ ขึ้นรอ้ ยละ 75 3. การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรยี น ด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) พบว่า คะแนนสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียนดว้ ยเอกสารประกอบการเรยี น เร่ือง เวกเตอร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษา
ปีท่ี 5 โดยคะแนนรวมก่อนเรียน คือ 93 คะแนน และคะแนนรวมหลังเรียน คือ 351 คะแนน นักเรียน มีพฒั นาการท่สี ูงขน้ึ อย่างมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .01 4. การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรยี นท่ีมีต่อเอกสารประกอบการเรยี น เร่ือง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.07, S.D. = 0.41) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุด 1 ข้อ คือ การเร้าความสนใจ กระตือรือร้นอยากเรียนคณิตศาสตร์ มีความพึงพอใจระดับมาก 8 ข้อ เรียงลาดับจากมากไปหาน้อยสามอันดับดังนี้ รูปแบบของเอกสาร ประกอบการเรยี นน่าสนใจ เนื้อหาชวนอ่านและให้ความรู้เป็นอย่างดี และนกั เรยี นเข้าใจบทเรยี นได้ดี ยง่ิ ข้นึ อย่ใู นระดับปานกลาง 1 ข้อ คือ นักเรยี นมอี ิสระในการตัดสินใจ
สารบญั หน้า บทคัดย่อ……………..………………………………………………………………………………………….....……………. ก สารบัญ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ข บทที่ 1 ความเป็นมาและความสาคัญ .......................................................................................... 1 วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษา ............................................................................................... 1 สมมติฐานของการศกึ ษา ................................................................................................... 1 ขอบเขตของการศึกษา .................................................................................................... 2 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ ............................................................................................................... 2 บทท่ี 2 เอกสารทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ........................................................................................................... 4 เอกสารประกอบการเรียน................................................................................................... 4 ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน....................................................................................................... 16 ความพึงพอใจ...................................................................................................................... 21 บทท่ี 3 วิธีดาเนนิ การศึกษา ........................................................................................................... 24 รูปแบบการศึกษา................................................................................................................ 24 ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง.................................................................................................. 25 เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการศึกษา................................................................................................... 25 วิธกี ารดาเนินการศกึ ษา....................................................................................................... 25 ระยะเวลาในการศกึ ษา........................................................................................................ 26 การวิเคราะห์ขอ้ มูล.............................................................................................................. 27 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล............................................................................................ 27 บทที่ 4 ผลการดาเนนิ การ............................................................................................................... 30 สญั ลักษณท์ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................... 30 ลาดับขน้ั ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ........................................................................................... 30 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล......................................................................................................... 31 บทท่ี 5 สรปุ อภปิ ราย และข้อเสนอแนะ........................................................................................ 36 สรุปผลการศึกษา................................................................................................................. 36 อภิปรายผล......................................................................................................................... 37 ขอ้ เสนอแนะ........................................................................................................................ 38 บรรณานกุ รม.................................................................................................................................... 39 ภาคผนวก........................................................................................................................................ 40
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ควำมเป็นมำและควำมสำคัญ คณิตศาสตร์ เป็นเคร่ืองมือในการศึกษาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ตลอดจนศาสตรอ์ ่นื ๆ ที่เกี่ยวข้อง คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดารงชีวิต และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีย่ิงข้ึน นอกจากน้ันคณิตศาสตร์ยังช่วยพัฒนาคน ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีความสมดุลท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญาและอารมณ์ สามารถคิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเป็น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมี ความสุขคณติ ศาสตร์ยังมีบทบาทสาคญั ยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนษุ ย์ คือทาใหค้ ิดอยา่ งมเี หตุผล เป็นระบบมีระเบียบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างถ่ีถ้วนรอบคอบ ทาให้สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสนิ ใจ และแกป้ ญั หาไดอ้ ย่างถกู ต้องและเหมาะสม นักการศึกษาส่วนใหญ่เช่ือว่านวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา จะช่วยให้การจัด การเรยี นการสอนมปี ระสทิ ธิภาพยิ่งขน้ึ เพราะนวตั กรรมและเทคโนโลยีทางการศกึ ษาต่างก็ผา่ นระบบ การผลิตท่ีมีขั้นตอน และได้จัดระบบอย่างมีประสิทธิภาพที่สาคัญที่สุด คือนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทางการศึกษาเน้นบทบาทของผู้เรียนให้ผ้เู รียนเป็นศูนย์กลาง การสอนจะไดผ้ ลดีจาเปน็ ท่ีครูจะต้องใช้ สื่อต่างๆ ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและตัวนักเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึน การใช้เอกสารประกอบการเรียนมาช่วยในการจัดการเรียนการสอน ที่มีการจัดทาโดยศึกษาหลัก สาคญั ในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี น มคี วามเป็นไปได้วา่ อาจจะมีสว่ นทีช่ ่วยให้ผเู้ รยี นสามารถ เรียนรู้และเข้าใจคณติ ศาสตรไ์ ดม้ ากยงิ่ ข้นึ ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้น ผู้ศึกษาจึงสนใจที่จะสร้างเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) เพ่ือเพ่ิมประสทิ ธภิ าพในการสอน และพฒั นาส่ือการสอนให้ดยี ่ิงขน้ึ 1.2 วตั ถุประสงคข์ องกำรศกึ ษำ 1. เพ่ือสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ให้มี ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพอื่ ศึกษาดชั นปี ระสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง เวกเตอร์ ชนั้ มัธยมศึกษา ปที ี่ 5 3. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยเอกสารประกอบการเรยี น เร่อื ง เวกเตอร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5
2 1.3 สมมติฐำนของกำรศกึ ษำ 1. เพื่อสร้างเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มี ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพ่ือศกึ ษาดัชนปี ระสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เรอื่ ง เวกเตอร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษา ปที ี่ 5 มคี ่าสงู กวา่ ร้อยละ 60 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียน ด้วยเอกสาร ประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 แตกต่างกัน 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 อยู่ในระดบั มาก 1.4 ขอบเขตของกำรศึกษำ 1. ประชำกรและกลุ่มตัวอยำ่ ง 1) ประชากร ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ท่ีกาลังเรียนอยู่ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 2 ห้องเรียน มีนักเรียนท้ังหมด 31 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจบพิตร สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ท่ีกาลังเรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 22 คน ได้มาโดยการสุม่ แบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2. ตัวแปรที่ศึกษำ 1) ตัวแปรต้น คือ เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ที่ผวู้ จิ ัยสร้างข้ึน 2) ตวั แปรตาม คอื ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรียนทเ่ี รียนจากเอกสารประกอบการ เรียน เรอื่ ง เวกเตอร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 3. ระยะเวลำในกำรศึกษำ ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563 ภายในเดอื นกรกฎาคม 2563 1.5 นิยำมศพั ท์เฉพำะ 1) เอกสารประกอบการเรียน หมายถึง เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีผูว้ จิ ัยสร้างขนึ้ 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ผลคะแนนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย เอกสารประกอบการเรียน เรอื่ ง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5 ท่ีผวู้ จิ ยั สรา้ งขนึ้
3 3) ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน หมายถึง เอกสารประกอบการเรยี น เร่ือง เวกเตอร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ทผี่ ู้วิจัยสร้างขึ้น ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนท่ีได้จากการทาเอกสาร ประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที 5 ทผ่ี วู้ จิ ัยสรา้ งข้นึ 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละท่ีได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนจากการทาเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ผี วู้ จิ ยั สร้างขึน้ 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบจานวน 25 ข้อ ที่ใช้วัด ความรู้ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ช้ัน มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ท่ผี ู้วิจยั สร้างข้ึน 5) ความพงึ พอใจของนักเรียน หมายถึง ความคดิ เหน็ หรือความรู้สึกของนกั เรียนทม่ี ีต่อการ จัดกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น เร่ือง เวกเตอร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 6) นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร แขวง ดุสิต เขต ดุสิต จังหวัด กรุงเทพฯ สังกัดสานักงานเขตพื้นการศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 จานวน 31 คน
4 บทที่ 2 เอกสำรที่เก่ียวขอ้ ง การศึกษาวิจัยผลการใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ สาหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพติ ร จังหวัด กรุงเทพฯ ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลเอกสาร และงานวิจยั อน่ื ท่ีเกยี่ วขอ้ ง โดยมีหวั ขอ้ ตามลาดับตอ่ ไปน้ี 1. เอกสารประกอบการเรียน 1.1 ความหมายของเอกสารประกอบการเรยี น 1.2 ความสาคัญของเอกสารประกอบการเรียน 1.3 จุดมุง่ หมายในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี น 1.4 จิตวทิ ยาและทฤษฎีท่ีเกย่ี วขอ้ งกับเอกสารประกอบการเรยี น 1.5 หลักและขน้ั ตอนในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรียน 1.6 ขั้นตอนการสร้างเอกสารประกอบการเรียน 1.7 ส่วนประกอบที่สาคญั ของเอกสารประกอบการเรยี น 1.8 การหาประสทิ ธภิ าพของเอกสารประกอบการเรยี น 1.9 คุณคา่ และขอ้ จากดั ของเอกสารประกอบการเรียน 2. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน 2.1 ความหมายของผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น 2.2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 2.3 การสร้างเครอ่ื งมอื วดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 3. ความพงึ พอใจ 3.1 ความหมายความพงึ พอใจ 3.2 ทฤษฎที ี่เกี่ยวขอ้ งกบั ความพึงพอใจ 4. งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 1. เอกสำรประกอบกำรเรียน 1.1 ควำมหมำยของเอกสำรประกอบกำรเรยี น เอกสารประกอบการเรียน ถือเป็นสิ่งสาคัญในการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ สามารถนาความรู้ท่ีได้ไปใช้ปฏิบัติได้จริง มีผู้รู้ให้ความหมายเกี่ยวกับเอกสารประกอบ การเรยี นไวด้ งั นี้ นิรมล ศตวุฒิ และศักด์ิศรี ปาณะกุล (2546, 10-11) กล่าวว่า เอกสารประกอบการสอน หมายถึง เอกสารวิชาการท่ีผู้สอนวิชาใดวิชาหน่ึงเขียนและเรียบเรียงข้ึน เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการ
5 สอนหรือเป็นเอกสารเสริมให้ผู้เรียน ได้ศึกษาเพิ่มเติม ตัวอย่างเอกสารท่ีใช้เป็นแนวทางในการสอน เชน่ แผนการสอนระยะยาวแผนการสอนรายคาบ เค้าโครงเน้อื หาวิชาทง้ั วิชา เปน็ ตน้ ตวั อย่างเอกสาร ทจี่ ดั ทาเป็นเอกสารเสริมให้ผูเ้ รียนไดศ้ กึ ษาเพ่มิ เติม เช่น สรุปสาระของเนื้อหาวชิ า พรอ้ มทง้ั แบบฝึกหดั เปน็ ตน้ สนม ครุฑเมือง (2549,90) กล่าวว่า เอกสารประกอบการสอนเป็นเอกสารหรือสื่อท่ีสร้าง และเขียน เพ่ือใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชาใดวิชาหนึ่งตามหลักสูตรของสถาบันการศึกษา โดย ศึกษาความมุ่งหมายและเนื้อหาสาระของหลักสูตร เพ่ือนามาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่าง สอดคล้องกับสภาพการสอนจริง เอกสารประกอบการสอนต้องมีเน้ือหาสาระทถ่ี ูกต้อง มขี ้อมลู อา้ งอิง มรี ะบบขนั้ ตอนในการเรยี นการจดั ทารปู เล่มอาจตีพิมพ์หรอื ถา่ ยสาเนาเย็บเลม่ ก็ได้ สุนันทา สุนทรประเสริฐ (ม.ป.ป., 2) กล่าวถึง เอกสารประกอบการเรียนการสอน คือ เอกสารท่ีจัดทาข้ึน เพ่อื ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนของครูหรือประกอบการเรียนของนักเรียนในวิชา ใดวชิ าหนึง่ ควรมีหวั เรื่อง จุดประสงค์ เนอ้ื หา สาระและกจิ กรรม เพอ่ื ใหผ้ ้เู รียนไดเ้ กดิ การเรียนรู้ตามที่ หลกั สูตรกาหนด ดังน้ัน สรุปได้ว่าเอกสารประกอบการเรียนการสอน หมายถึง ส่ือท่ีผู้สอนเรียบเรียงขึ้นเพือ่ ใชป้ ระกอบการสอนวิชาใดวิชาหน่งึ ตอ้ งมเี นอื้ หาสาระท่ีถูกต้อง มขี ้อมูลอา้ งอิง มีระบบข้นั ตอนในการ เรียนสาหรับให้ผู้เรียนได้ศึกษาเพ่ิมเติม เช่น สรุปสาระของเนื้อหาวิชา พร้อมท้ังแบบฝึกหัดควรมีหัว เรื่อง จุดประสงค์ เนื้อหา สาระและกจิ กรรมเพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ กิดการเรียนรู้ตามที่หลกั สูตรกาหนด 1.2 ควำมสำคญั ของเอกสำรประกอบกำรเรียน เอกสารประกอบการเรียนมคี วามสาคญั ต่อการเรียนรู้ ทาหน้าท่ีถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก เพ่ิมพูนทักษะและประสบการณ์ สร้างสถานการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน กระตุ้นให้เกิด การพฒั นาศกั ยภาพทางการคดิ ได้แก่ คดิ ไตร่ตรอง การคดิ สร้างสรรค์ และการคดิ อย่างมีวิจารณญาณ ตลอดจนการสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มให้แก่ผู้เรยี น เอกสารประกอบการเรยี นในยุค ปัจจุบันมีอิทธิพลสูงต่อการกระตุ้นให้ผู้เรียนกลายเป็นผู้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ความสาคัญของ เอกสารประกอบการเรยี น มดี งั น้ี ถวัลย์ มาศจรสั (2547, 5) กลา่ วถึง ความสาคัญของเอกสารประกอบการเรยี น ไวด้ งั นี้ 1. ชว่ ยขยายเนื้อหาในแบบเรียนให้กว้างขวางขนึ้ เอกสารประกอบการเรยี นจัดทาขน้ึ เพื่อ จุดมุ่งหมายเฉพาะส่วนย่อยท่ีช่วยเน้น ขยายเนื้อหา และยังมีภาพประกอบทาให้เกิดความรู้ ความ เขา้ ใจไดก้ ว้างขวางขน้ึ ดีขนึ้ และงา่ ยขน้ึ 2. สร้างเสริมนิสัยการค้นคว้าและพัฒนาการอ่าน เอกสารประกอบการเรียนเด็กสามารถ อ่านไดอ้ ยา่ งมีอสิ ระ ไมจ่ ากดั สถานที่ เปน็ การเสริมสรา้ งลักษณะนสิ ัยใหร้ ักการศกึ ษาคน้ คว้าหาความรู้ ด้วยตนเอง ฝึกทักษะในการอ่านอยู่เสมอ ทง้ั ยงั เป็นการใช้เวลาวา่ งใหเ้ กดิ ประโยชน์อกี ด้วย
6 3. ส่งเสริมให้เด็กมีนิสัยรักการอ่านหนังสือ เอกสารประกอบการเรียนมีเร่ืองราวเน้ือหาท่ี สนุกสนานเพลิดเพลิน มภี าพประกอบและเหมาะสมกบั วยั จงึ สามารถเรา้ ความสนใจท่จี ะอา่ นมากกว่า แบบเรยี น ซ่งึ จะปลูกฝงั ใหเ้ กดิ นสิ ัยรักการอา่ นในที่สุด 4. ช่วยชดเชยความบกพร่องทางด้านจิตใจของเด็ก เอกสารประกอบการเรียนมีเร่ืองราว สามารถชดเชยความร้สู กึ บกพร่องทางด้านจิตใจ เสรมิ สรา้ งคุณธรรมไดด้ ีกวา่ แบบเรยี นทั่วไป 5. ช่วยใหเ้ ดก็ ได้รบั ความเพลิดเพลินบันเทงิ ใจ ลบั สมองและสง่ เสริมเชาวน์ปัญญา เอกสาร ประกอบการเรยี นมีเน้อื หาสาระเป็นเร่ืองราวที่สนุกสนาน แฝงไว้ด้วยความรู้ มีความเหมาะสมกับวยั จงึ เปน็ สอ่ื สาคัญท่สี รา้ งความเพลดิ เพลนิ สง่ เสริมเชาว์ปัญญาใหแ้ กเ่ ด็ก กระทรวงศึกษาธิการ (2551, 6-7) กล่าวถึง ความสาคัญของการใช้เอกสารประกอบการ เรียนไวเ้ ป็นขอ้ ๆ ดงั น้ี 1. ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจความคิดรวบยอดไดง้ า่ ยข้นึ รวดเร็วข้นึ 2. ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนมองเหน็ ส่งิ ท่ีกาลงั เรยี นรูไ้ ดอ้ ยา่ งเป็นรปู ธรรมและเปน็ กระบวนการ 3. ชว่ ยให้ผเู้ รียนเรยี นรูด้ ้วยตนเอง ส่งเสรมิ ให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรค์ 4. สร้างสภาพแวดล้อม และประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีแปลกใหม่ ให้น่าสนใจ และทาให้ อยากรูอ้ ยากเห็น 5. สง่ เสริมการมกี ิจกรรมร่วมกนั ระหว่างผูเ้ รียน 6. เกื้อหนุนผู้เรียนที่มีความสนใจ และมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ต่างกันให้เรียนรู้ได้ เท่าเทยี มกนั 7. ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนบรู ณาการสาระการเรียนรตู้ า่ งๆ ให้เชื่อมโยงกนั 8. ช่วยให้ผู้เรยี นได้เรยี นรู้วธิ ีการใชส้ ือ่ และแหล่งขอ้ มลู ตา่ งๆ เพ่ือการคน้ ควา้ เพ่ิมเติม 9. ช่วยใหผ้ เู้ รยี นได้รบั การเรียนรใู้ นหลายมติ จิ ากส่อื ท่ีหลากหลาย 10. เชอ่ื มโยงโลกทอี่ ยู่ไกลตวั ผูเ้ รียนใหเ้ ขา้ มาสกู่ ารเรยี นรขู้ องผู้เรียน 11. สือ่ การเรยี นร้ตู า่ งๆ ยังช่วยกระตนุ้ ใหผ้ ้เู รียนไดร้ ับการพฒั นาด้านตา่ งๆ ดังนั้น สรุปได้ว่าเอกสารประกอบการเรียนเป็นสื่อการสอนที่สาคัญ ทาให้ผู้เรียนเกิดการ เรยี นรูไ้ ดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง เปน็ การส่งเสรมิ การค้นหา และการคน้ คว้า ทาใหผ้ เู้ รยี นรักการเรียนรู้เห็นคุณค่า ของตนเอง 1.3 จุดมงุ่ หมำยในกำรสร้ำงเอกสำรประกอบกำรเรยี น ด้านจุดมุ่งหมายในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนนั้น จะต้องให้เหมาะสมกับวัยของ ผเู้ รียนด้วย มีนักการศกึ ษาใหค้ วามรู้เก่ยี วกับจุดมงุ่ หมายในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนไว้ดังน้ี ถวัลย์ มาศจรัส (2547, 6) กล่าวว่า เอกสารประกอบการเรียนเป็นสื่อการเรียนการสอน อย่างหนึ่งท่ีกรมวิชาการส่งเสริมให้โรงเรียน ชุมชน ท้องถ่ิน ตลอดจนเอกชน จัดทาข้ึนเพื่อให้เด็กมี
7 โอกาสอ่านหนังสือท่ีมีสาระ สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของท้องถ่ิน มีความรู้ที่ กว้างขวางนอกเหนือจากการอ่านแบบเรียน มีความเหมาะสมกับวัย ความสนใจ ความต้องการและ พัฒนาการของผู้เรียน ซง่ึ จุดม่งุ หมายในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี นพอสรุปได้ ดังน้ี 1. เพือ่ เสริมสร้างจนิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์ 2. เพ่อื ช่วยใหเ้ ด็กมีหนังสอื ท่มี เี นอื้ หาสาระเหมาะสมกบั วยั 3. เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ดก็ รู้จกั ใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ 4. เพ่ือให้ความรู้ข่าวสารใหม่ๆ ข้อเท็จจริงท่ีถูกต้องที่นอกเหนอื จากแบบเรยี นในรปู แบบท่ี เหมาะสมกบั เด็ก 5. เพื่อเสริมสร้างนิสัยรักการอ่าน การค้นคว้า ซ่ึงเป็นคุณสมบัติท่ีดีและประโยชนต์ ่อไปใน อนาคต 6. เพ่ือช่วยพัฒนาการเรียนรู้ด้านภาษาของเด็กให้เจริญตามวัย และมีทักษะในการอ่าน 7. เพื่อให้เด็กได้รับความบันเทิง สนุกสนาน เพลิดเพลิน ได้รับความจรรโลงใจ มีความสุข 8. เพือ่ ช่วยปลูกฝงั คณุ ธรรม คา่ นิยม เจตคติละแบบอย่างที่ดขี องสังคม ตลอดจนเอกลักษณ์ ไทยใหบ้ งั เกิดแกเ่ ดก็ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549, 23) กล่าวว่า การนาเอกสารประกอบการเรียนไปใช้ใน การสอน เพือ่ ตอบสนองจดุ ม่งุ หมาย 4 ประการ ดงั น้ี 1. การใชเ้ อกสารประกอบการเรียน เพื่อใหเ้ ด็กแต่ละคนศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง 2. การใช้เอกสารประกอบการเรียน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธ์ิของนักเรียนที่เรียนอ่อนให้ สงู ขนึ้ โดยให้นกั เรยี นท่เี รียนช้าหรือต้องรับการฝกึ ฝนเป็นพเิ ศษไปศกึ ษาเพมิ่ เติม 3. การใช้เอกสารประกอบการเรียน เพื่อเสริมความรู้ของผู้เรียนท่ีมีอยู่แล้วให้มากขึ้นเป็น การศึกษาเพม่ิ เตมิ ความรู้ให้มากกว่าทคี่ รูสอน 4. การใช้เอกสารประกอบการเรียน เพ่ือการสอนในห้องเรียน โดยถือว่าเป็นส่ือการสอน อยา่ งหนงึ่ ดังนั้น สรุปได้ว่าจุดมุ่งหมายในการสร้างเอกสารประกอบการเรียน คือ ใช้เพ่ือเป็นเอกสาร ในการประกอบการเรียนการสอน โดยการสร้างเป็นรูปเล่ม เสริมความรู้ให้กับผู้เรียน ถือว่าเป็นส่ือที่ สาคัญในการสอนสาหรับครทู ี่ใช้ประกอบในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ท่ีดตี ่อไป 1.4 จติ วิทยำและทฤษฎีท่ีเกย่ี วข้องกับเอกสำรประกอบกำรเรียน จิตวิทยาและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเอกสารประกอบการเรียนหลักการเบื้องต้นทางจิตวิทยา ของการสอนเอกสารประกอบการเรียน คือ หลักการวางเงื่อนไข ขบวนการวางเงื่อนไข ถือเอา ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองเป็นหลัก สิ่งเร้า คือ อะไรก็ได้ที่ก่อหรือยังผลให้มี
8 ปฏิกิริยาจากอินทรยี ์ การตอบสนอง คือ ปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้า หลักการวางเง่ือนไขนใ้ี ช้เป็นพื้นฐานของ การสรา้ งเอกสารประกอบการเรียน ซ่งึ มีนักการศกึ ษาใหค้ วามรไู้ ว้ ดังนี้ สามารถ มีศรี (2547, 72) กล่าวว่า ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบการกระทาซ่ึง ค้นพบโดยสกนิ เนอร์ (Skinner) ทม่ี คี วามเหน็ สอดคล้องกับธอร์นไดค์ (Thorndike) วา่ การกระทาใดๆ ถ้าได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มให้เกิดการกระทานั้นอีก ส่วนการกระทาใดๆ ท่ีไม่มีการเสริมแรง ยอ่ มมีแนวโน้มใหค้ วามถ่ขี องการกระทาน้ันๆ ค่อยๆ หายไปและหายไปในที่สุด สมใจ นาคศรีสังข์ (2549, 32) กล่าวถึง ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเอกสารประกอบการเรยี นไว้ เปน็ ข้อๆ ดังน้ี 1. การสร้างเอกสารประกอบการเรยี นอาศัยพ้ืนฐานทางจิตวิทยาการเรียนรู้ของธอรน์ ไดค์ (Thorndike) ไว้ดังนี้ 1) สถานการณท์ ่ีเป็นปญั หาจะเป็นสิ่งเร้าใหผ้ เู้ รียนแสดงพฤติกรรมตอบสนอง 2) ผู้เรยี นจะแสดงพฤติกรรมตอบสนองหลายอยา่ ง เพ่ือแก้ปัญหานน้ั ๆ 3) ปฏิกริ ิยาการตอบสนองทีไ่ มท่ าใหเ้ กดิ ความพอใจจะถกู ตัดท้งิ ไปหรอื ลดนอ้ ยลง 2. กฎการเรียนรูข้ องธอรน์ ไดค์ 3 ประการ มีดังนี้ 1) กฎแห่งผล (Law of Effect) สรุปหลักการได้ว่า การเชื่อมโยงกันระหว่างสิ่งเร้ากับ การตอบสนองจะดียง่ิ ข้ึน เมอ่ื ผูเ้ รียนแนใ่ จว่าพฤตกิ รรมการตอบสนองของตนถูกต้อง การใหร้ างวัลจะ ช่วยเสริมการแสดงพฤติกรรมน้ันๆ อีก 2) กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) สรุปหลักการได้ว่า การที่มีโอกาสได้กระทา ซ้าๆ ในพฤติกรรมใดพฤติกรรมหน่ึงจะทาให้พฤติกรรมนั้นๆ สมบูรณ์ย่ิงขึ้น การฝึกหัดท่ีดี มีการ ควบคุมที่ดจี ะส่งเสรมิ ผลการเรยี นรู้ 3) กฎแหง่ ความพร้อม (Law of Readiness) สรุปหลกั การได้ว่า เม่ือมคี วามพร้อมที่จะ ตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมใดๆ ถ้ามีโอกาสได้กระทาย่อมเป็นท่ีพอใจ แต่ถ้าไม่พร้อมท่ีจะ ตอบสนองหรอื แสดงพฤตกิ รรม การบงั คบั ให้ทาย่อมทาใหเ้ กดิ ความไมพ่ อใจ จากกฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike) นาไปสู่การเรียนด้วยเอกสารประกอบการ เรียนอาศัยหลกั การดังน้ี 1. ผู้เรียนแต่ละคนจะเรยี นหรือเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการสังเกตจากผลการกระทาของตน 2. ผลของการกระทาท่เี กิดข้ึนบ่อยๆ คร้งั เรียกว่า การเสริมแรง 3. การให้การเสรมิ แรงในทนั ทีทันใดภายหลงั จากได้กระทาพฤติกรรมที่ต้องการแล้ว จะทา ใหผ้ ู้เรียนแสดงพฤติกรรมนั้นๆ ซ้าอกี 4. พฤติกรรมใดพฤติกรรมหน่ึงจะทาให้พฤติกรรมน้ันๆ สมบูรณ์ยิ่งข้ึน การฝึกหัดท่ีมีการ ควบคมุ ทดี่ จี ะส่งเสรมิ ผลการเรยี นรู้
9 5. การที่ไมใ่ ห้การเสรมิ แรงเลยหรือใหก้ ารเสรมิ แรงภายหลงั การกระทาของผู้เรียนชา้ เกินไป จะทาให้การกระทาซา้ นัน้ เกดิ ข้ึนชา้ ตามไปดว้ ย 6. การเสริมแรงท่ีให้ในระหว่างที่ผู้เรียนกระทาพฤติกรรมนั้นจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการ ทางานของผเู้ รียนใหค้ งอยนู่ านได้ โดยไม่ต้องมีการเสรมิ แรงอกี 7. พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนสามารถพัฒนาหรือค่อยๆ ดัดได้ โดยให้การเสริมแรงใน ลักษณะต่างๆ กัน ซึ่งเมื่อให้การเสรมิ แรงแล้ว จะทาให้ผู้เรียนกระทาพฤติกรรมดังกล่าวซา้ อีกและจะ ไมม่ ีการเสรมิ แรงถ้าหากวา่ ผู้เรยี นกระทาพฤติกรรมท่ไี มต่ ้องการ 8. การเสริมแรงจะทาให้กิจกรรมของผู้เรียนมีเพ่ิมมากข้ึน ทาให้ผู้เรียนก้าวหน้าไปได้เร็ว และเพิ่มความสนใจของผู้เรียนให้สูงข้ึน ซ่ึงเราเรียกการกระทาในลักษณะนี้ว่า ผลการจูงใจของการ เสรมิ แรง 9. พฤติกรรมของผู้เรียนสามารถพัฒนาจากพฤติกรรมท่ีมีรูปแบบง่ายๆ ไปสู่รูปแบบท่ียาก และซบั ซ้อนข้ึนได้ หลักการท่ีนามาใช้ในเอกสารประกอบการเรียนจากทฤษฎีของสกินเนอร์ (Skinner) (ไพจิต นิสากร, 2545, 52-53) มดี ังนี้ 1. เง่ือนไขการตอบสนองการเรียนรู้จาเป็นต่อการทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงของการ ตอบสนอง 2. การเสริมแรงเม่ือส่ิงมีชีวิตมีการตอบสนอง ผู้ฝึกสามารถให้ส่ิงเร้าใหม่ ซ่ึงอาจทาให้ อัตราการตอบสนองเปลี่ยนแปลง ถ้าสิ่งเร้าสามารถทาให้การตอบสนองเปลี่ยนแปลง เราเรียกสิ่งเร้า นนั้ วา่ ตัวเสรมิ แรง 3. การเสริมแรงทันทีทันใดหลังจากการมีการตอบสนองการเสริมแรงต้องเกิดข้ึนทันทีถ้า ไม่เช่นน้ัน ผเู้ รียนจะตอบสนองอกี อยา่ งหนงึ่ ในแบบทีเ่ ราไม่ต้องการ 4. ส่ิงเร้าที่มีเงื่อนไขเฉพาะ มีบางครั้งที่เราต้องการตอบสนองผู้เรียนเฉพาะ เราอาจทาได้ โดยใหส้ งิ่ เรา้ เฉพาะสาหรบั การตอบสนองทีเ่ ราต้องการ 5. การยุติการตอบสนอง ถ้าการตอบสนองนนั้ มีการเสริมแรงและมีอัตราในการตอบสนอง สูง เราอาจลดอัตราการตอบสนองให้ลดลงได้ 6. การดัดพฤติกรรม พฤติกรรมบางอย่างซับซ้อนมาก วิธีการที่สาคัญของการตอบสนอง เป็นข้ันๆ คือ การรู้ว่าขั้นสุดท้ายเป็นอะไร มีการเสริมแรงแต่ละขั้นไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากข้ันแรกและ เสริมแรงในข้นั สุดทา้ ย 1.5 หลกั กำรและขั้นตอนในกำรสร้ำงเอกสำรประกอบกำรเรยี น แนวทางในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรียน มนี กั การวิชาการใหค้ วามรเู้ ก่ียวกับหลักและ ขนั้ ตอนในการทาเอกสารประกอบการเรยี น ไวด้ งั นี้
10 เปรอื่ ง กมุ ุท (2541, 26) กล่าวถึง หลักและขน้ั ตอนในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนมี ดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตร เพื่อให้ทราบวา่ มีจุดมุ่งหมายอย่างไร จะสอนอะไร เน้ือหาที่จะสอนเปน็ อย่างไร ระดับไหน นอกจากนี้ ยังต้องศึกษาคู่มือครู แบบฝึกหัดต่างๆ หรืออาจสอบถามความรู้ซง่ึ จะ นาไปสกู่ ารเกดิ แนวคดิ ในการสร้างบทเรยี น 2. ตั้งจุดมุ่งหมาย การสร้างเอกสารประกอบการเรียนจะต้องสนองกับความต้องการของ ผ้เู รียน จุดม่งุ หมายทีต่ ั้งไว้ ผสู้ รา้ งจาเปน็ ต้องแจกแจงใหเ้ ป็นวัตถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 3. การวางขอบเขตของงานหรือการวางเค้าโครงเร่ืองท่ีจะทาให้ทราบลาดับก่อนเรียน หลังเรยี นของเอกสาร และป้องกนั การหลงลมื เร่ืองราวบางตอนไป 4. เขียนเอกสารประกอบการเรียนควรมลี กั ษณะ ดงั น้ี 1) แบ่งเนื้อหาเป็นหน่วยเล็กๆ แต่ละหน่วยจะต้องทาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ใน หนว่ ยถดั ไป 2) มีเน้อื หาและคาอธิบายทีด่ งึ ดูดใจผูเ้ รียน 3) ทาให้ผเู้ รยี นประสบผลสาเรจ็ ในการเรียนมากที่สดุ เท่าท่ีจะทาได้ 4) การเขียนเน้อื หาแตล่ ะตอนควรใหเ้ ชื่อมโยงไปถึงเน้อื หาทผ่ี ู้เรียนไดศ้ กึ ษามาก่อน เพอ่ื เป็นการทบทวนไปในตัว 5) ให้ทราบผลการตอบสนองหรือให้ทราบผลคาตอบท่ีถูกต้อง เพื่อเป็นการเสริมแรง เนอ้ื หาของบทเรียน ต้องเขียนด้วยภาษาที่ชัดเจน ถูกตอ้ งตามหลักภาษา และการใชภ้ าษาเน้ือหาต้อง ต่อเน่อื งตามลาดบั จากงา่ ยไปหายาก บางเน้ือหา อาจจะไมม่ คี าถามหรือคาตอบก็ได้ ข้อแนะนาในการสร้างและพัฒนาเอกสารประกอบการเรียนตามแนวทางของสกินเนอร์ มีดงั น้ี (เปรือ่ ง กมุ ทุ , 2541, 26-27) 1. ใหก้ ารเสรมิ แรงทันท่ที ี่ผเู้ รียนตอบสนองในเนอ้ื หาทุกคร้ัง 2. การเรียนเป็นแบบใหผ้ เู้ รียนตอบสนองต่อเนือ้ หาอย่างเห็นไดช้ ดั 3. ให้ผู้เรียนมโี อกาสตอบถูกมากที่สุด เพราะการตอบผดิ จะทาให้ขาดความเช่ือมัน่ และเกิด ความเบอ่ื หน่าย 4. แบ่งเนื้อหาออกเปน็ หนว่ ยเล็กๆ เรยี งตามลาดบั จากง่ายไปหายาก 5. ขจดั คาต่างๆ ที่จะทาใหผ้ เู้ รียนเดาคาตอบไดอ้ อกไป เพราะถา้ ผู้เรยี นเดาคาตอบได้จะไม่ เกดิ การเรยี นรู้ท่ีแทจ้ ริง 6. พยายามใหผ้ เู้ รยี นเหน็ ความแตกต่างของเนื้อหาอยา่ งชัดเจน 7. ควบคมุ ตัวแปรตา่ งๆ ใหค้ งท่ี เวน้ แตต่ วั แปรทเ่ี ป็นส่ิงเรา้ ใหผ้ ู้เรียนตอบสนองเทา่ นน้ั 8. ผูเ้ รยี นจะตอ้ งเขยี นคาตอบของตนเองลงในบทเรยี น
11 หลักการในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี น 12 ประการ (วัลยา ศรที ิตย์, 2547, 90-91) มดี งั น้ี 1. การคานึงถึงตัวผู้เรียน ได้แก่ อายุ พ้ืนฐานความรู้ หรือประสบการณ์เดิม ทักษะ ความสามารถในการสร้างและความต้องการของผู้เรียน 2. ผลท่ตี อ้ งการหรอื วัตถปุ ระสงค์ของบทเรยี นวา่ ตอ้ งการใหผ้ ู้เรียนเรยี นรอู้ ะไร 3. รูปแบบของบทเรียน ควรเสนอบทเรียนในรูปแบบตามความเหมาะสมของเน้ือหาวิชา ผูเ้ รยี น และวตั ถปุ ระสงค์ 4. เวลาของผู้เรียน ไม่มีการจากัดเวลาของผู้เรียน การเรียนจะดาเนินไปตามอัตรา ความสามารถของแต่ละบคุ คล โดยไม่คานงึ ถึงการทาเสร็จกอ่ นหรอื เสร็จหลงั ผู้อ่ืน 5. เน้ือหาวิชาจะต้องจัดแบ่งเป็นหัวเร่ืองใหญ่ๆ ก่อน แล้วแบ่งเป็นหัวเรื่องย่อยๆ เขียน เนื้อหาเป็นหน่วยย่อยเล็กๆ แต่ละหน่วยย่อย จะต้องทาให้เกิดความรู้ความเข้าใจหน่วยย่อยถัดไป เพ่ือให้การเรียนรู้ดาเนินไปทีละน้อยๆ ทีละข้ัน พยายามอย่าให้มีการกระโดดข้ามลาดับของเน้อื เร่ือง จัดลาดับจากเน้ือหาง่ายๆ ไปหาเนือ้ หาทีย่ ากขนึ้ ตามลาดับ 6. ให้มเี นอื้ หาและคาอธบิ ายที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรยี น 7. เนือ้ หาของแต่ละตอนควรเขยี นด้วยภาษาทชี่ ัดเจน ถกู ต้องตามหลกั ภาษา และเหมาะสม กับเนื้อหาความรู้และอายุของผู้เรียน เนื้อเรื่องถูกต้องตามหลักวิชา และมีความต่อเน่ืองกันในแต่ละ กรอบ 8. เนอ้ื หาแตล่ ะตอนจะตอ้ งนาเสนอเนื้อหาเฉพาะเรื่องอย่างชัดเจน และมคี าถามหรือคาสั่ง ให้ผเู้ รยี นตอบสนองต่อเรื่องนัน้ โดยตรง และไม่ควรมคี วามรูไ้ มเ่ กนิ กว่า 1 อยา่ ง 9. ใหม้ กี ารย้าทบทวนและทดสอบตนเอง 10. จะต้องให้ผู้เรียนรู้ผลของคาตอบว่าถูกหรือผิดทันที เพื่อช่วยการเรียนรู้ให้ดียิ่งข้ึนและ เป็นการให้การเสรมิ แรงในทนั ทีด้วย 11. มีการชีแ้ นะคู่กันไปกบั การตอบสนอง 12. ลดการช้ีแนะและการนาทางออกไปทีละน้อย จนกว่าจะหมดโดยส้ินเชิง เพ่ือช่วยให้ ผเู้ รยี นสามารถตอบสนองดว้ ยตนเองไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งในทีส่ ดุ ดังนน้ั สรปุ ไดว้ ่าหลกั และขั้นตอนในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี น คือ ครตู อ้ งคานงึ ถึง วัยของผู้เรียน เนื้อหาวิชา ความยากง่าย การใช้คาและภาษา ใช้ภาษาง่ายต่อการเข้าใจของผู้เรียน เน้ือหาชัดเจน เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน มีรูปแบบดึงดูดความสนใจของผู้เรียน มีคู่มือในการใช้ เอกสารประกอบการเรียน เพ่ือให้ผ้เู รยี นได้ศึกษาตามลาดับขน้ั ตอนได้อย่างถกู ตอ้ ง
12 1.6 ขนั้ ตอนกำรสรำ้ งเอกสำรประกอบกำรเรียน ข้ันตอนในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี นนนั้ ต้องศึกษาขั้นตอนในการสร้างให้ถูกตอ้ ง ตามหลกั การสร้าง ซึง่ มีนกั การศกึ ษาให้ความรู้ ไวด้ ังนี้ ไลซอทท์และวิลเลียม (อ้างถึงใน สมคิด สุประภา, 2546ม 46) กล่าวถึง ข้ันตอนการสร้าง เอกสารประกอบการเรยี น ไวด้ งั น้ี 1. เลอื กเรือ่ งท่จี ะนามาเขียนเปน็ เอกสารประกอบการเรยี น 2. กาหนดผู้เรียน การสร้างเอกสารประกอบการเรียนจะต้องพิจารณาให้รอบคอบว่า แบบเรียนนั้นเหมาะสมกับความสามารถทางสติปัญญา ภูมิหลัง และวัตถุประสงค์ของผู้เรียนหรือไม่ 3. กาหนดวัตถปุ ระสงค์ โดยเนน้ จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 4. กาหนดรูปแบบของการสร้างเอกสารประกอบการเรยี นวา่ จะเลอื กบทเรียนใด 5. จัดเตรียมวัสดแุ ละเนื้อหา วิเคราะห์เนือ้ หาให้เรยี งลาดับจากง่ายไปหายากเพ่ือให้ผู้เรียน เรียนได้งา่ ย 6. สร้างเน้ือหาในแต่ละตอน โดยอาศัยรูปแบบและเทคนิคเพื่อที่จะทาให้เอกสาร ประกอบการเรยี นชวนอา่ น 7. ทาการทดสอบขั้นแรก เพื่อหาข้อบกพร่องที่ผู้เขียนอาจคาดไม่ถึง เช่น การใช้ภาษา เป็นตน้ 8. ประเมินผลงานตามจุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม เพอ่ื หาว่าผเู้ รยี นบรรลจุ ุดประสงค์บนเรียน หรอื ไม่ หรอื ยังมขี ้อบกพร่องใด 9. ปรับปรุงแก้ไข สืบเนื่องมาจากประเมินผลเพ่ือหาข้อบกพร่องของเอกสารประกอบ การเรียนแล้ว ก็ต้องแกไ้ ขปรบั ปรงุ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพกอ่ นนามาใช้จริงและเผยแพรต่ ่อไป นิภา สุขเจริญชัย (2547, 39) กล่าวถึง ขั้นตอนในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนไว้ 9 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ต้ังจุดมุ่งหมายของบทเรียน (Objectives) การตั้งจุดมุ่งหมายของเอกสารประกอบการ เรยี นต้องต้ังเป็นจดุ มุง่ หมายเชงิ พฤตกิ รรม เพือ่ ให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมข้นั สดุ ท้าย 2. วิเคราะห์ภารกิจ (Task Analysis) คือ การจาแนกจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน ออกเป็นจุดมงุ่ หมายหรือภารกิจย่อยๆ หรือการจาแนกจุดมงุ่ หมาย เพ่ือให้เหน็ ลาดับข้นั ของการเรียน การสอน ตลอดจนการใช้สื่อการสอน การวิเคราะห์ภารกิจจะช่วยช้ีให้เห็นจุดมุง่ หมายของการเรยี นรู้ ว่าก่อนผเู้ รียนจะมีพฤตกิ รรมขัน้ สุดท้ายเขาจะตอ้ งทาอะไรกอ่ น 3. สร้างแบบทดสอบ (Prepare Test) แบบทดสอบมีความสาคัญต่อการสร้างเอกสาร ประกอบการเรียนเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ทราบถึงระดับพฤติกรรมของผู้เรียน ต้ังแต่เบ้ืองต้น พฤติกรรม ข้ันรองสุดท้ายและพฤติกรรมข้ันสุดท้าย ตามท่ีระบุไว้ในข้ันภารกิจก่อนเริ่มเรียนบทเรยี น
13 4. จดั ลาดบั ข้นั เนอื้ หา (Instructional Sequences) หลงั จากวิเคราะหภ์ ารกิจแลว้ จะตอ้ ง มีการกาหนดเน้ือหาและลาดบั ขน้ั ของการเรยี นรทู้ จี่ ะนาผู้เรียนไปสู่จุดมุ่งหมายสุดท้าย ในการจัดลาดับ เนื้อหา ผู้สร้างบทเรียนต้องเลือกวิธกี ารท่ีเหมาะสม โดยการเลือกลาดับเน้ือหาท่ีจะช่วยก่อใหเ้ กิดการ เรียนรไู้ ด้เทา่ นั้น 5. การเลือกสื่อ (Select Media) ส่ือท่ีใช้ในการประกอบการเรยี นจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียน เกิดความสนใจและเข้าใจในบทเรียนได้ดีและรวดเร็วข้ึน การเลือกส่ือขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของ การเรียนการสอน ผู้สรา้ งบทเรยี นอาจเลือกใชส้ ่ือตา่ งๆ ประกอบกันกไ็ ดข้ ้ึนอยกู่ ับความเหมาะสม 6. จัดทาเอกสารประกอบการเรียน การจัดลาดับเนื้อหาและส่ือในเอกสารประกอบ การเรียนจะต้องเป็นข้ันๆ ตามลาดบั ตอ่ เน่อื งกนั เพ่อื ช่วยให้ผู้เรียนคอ่ ยๆ เรียนและบรรลุพฤตกิ รรมขนั้ สดุ ท้าย ดงั น้นั เอกสารประกอบการเรยี นจะประกอบดว้ ยเนอื้ หาและการสอบ 7. ทดลองกบั ผเู้ รียนเป็นรายบุคคล (Individual Try-Out) นาบทเรยี นท่ีสรา้ งขึ้นไปทดลอง กับผู้เรียนเป็นรายบุคคลหรือกับผู้เรยี นกลุ่มเล็ก เพ่ือช่วยให้ทราบข้อมลู ย้อนกลับและความเหมาะสม ของลาดับข้ัน เนื้อหา การชี้แนะสื่อการเรียนการสอนตามทัศนะของผู้เรียน แล้วนาข้อมูลจากการ ทดสอบมาวเิ คราะหแ์ ละปรับปรงุ บทเรยี นตอ่ ไป 8. ทดลองในสภาพที่เป็นจริง (Field Try-Out) โดยการนาไปทดลองกับนักเรียนเป็นกลุ่ม ใหญ่ แล้วนาข้อมูลจากการทดลองมาวิเคราะห์และหาทางปรับปรุงใหม่ถ้ายังมีข้อบกพร่อง แต่ถ้า ผูเ้ รียนบรรลุถึงเป้าหมายแล้วก็แสดงว่าบทเรยี นน้ันนาไปใชไ้ ดอ้ ย่างกว้างขวาง 9. นาบทเรียนไปใช้ท่ัวไป เป็นข้ันสุดท้ายของการสร้างเอกสารประกอบการเรียน ในขั้นนี้ ผูส้ รา้ งยงั คงตอ้ งการข้อมูลยอ้ นกลับจากครูและนกั เรียน เพ่ือนามาปรับปรุงในการจัดทาครงั้ ตอ่ ไป สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550, 69) แบ่งขั้นตอนการสร้างเอกสาร ประกอบการเรียนไว้ดังนี้ 1. ศึกษาวธิ กี ารเขียนเอกสารประกอบการเรียนชนิดต่างๆ อย่างเขา้ ใจ 2. กาหนดและเลือกวิชาท่เี ขียน พร้อมทงั้ ระดับชนั้ สาหรบั ทจ่ี ะใชบ้ ทเรยี น 3. เลือกหน่วยการเรยี นว่าจะเขยี นเร่ืองใด 4. กาหนดหัวเร่ืองทจี่ ะเขยี นโดยศกึ ษาหลักสูตร ค่มู อื ครแู ละแบบเรยี น 5. ศึกษาลักษณะผูเ้ รียน ได้แก่ อายุ ระดบั ชัน้ พน้ื ความรู้ 6. ต้ังจุดมุง่ หมายทว่ั ไปและจดุ มุ่งหมายเชงิ พฤตกิ รรม 7. วางโครงเรอ่ื งจากงา่ ยไปหายากแตล่ ะตอนตอ่ เนื่องสมั พันธ์กัน 8. เขียนเอกสารประกอบการเรียนตามทก่ี าหนดไว้ตามจุดมุ่งหมาย 9. ไดร้ บั การตรวจ ตชิ ม แก้ไข จากผ้รู ้แู ละผู้ทรงคุณวุฒิ 10. นาบทเรียนไปปรบั ปรุงแล้วนาไปทดลองแบบ 1 ตอ่ 1
14 11. สรา้ งแบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรยี น 12. นาแบบเรียนไปทดลองกับกลุม่ เลก็ 10 พร้อมทัง้ บันทกึ เวลาของนักเรียนทกุ คน 13. ทดลองภาคสนาม เพ่ือหามาตรฐานของเอกสารประกอบการเรียนและนาไปใช้ต่อไป จากขั้นตอนในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนนั้น สรุปได้ว่า ผู้ที่สร้างจะต้องศึกษา ความรู้วิธีการสร้างเอกสารประกอบการเรียนให้เข้าใจ ศึกษาเอกสารในการสรา้ ง กาหนดเลือกวิชาท่ี เรียน กาหนดหนว่ ยการเรียนรู้ วัยของผู้เรียน ตั้งจุดประสงค์ ทาแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน ใหเ้ ปน็ ไปตามขั้นตอนดังกลา่ ว 1.7 สว่ นประกอบทส่ี ำคัญของเอกสำรประกอบกำรเรยี น ดา้ นสว่ นประกอบในการเขยี นเอกสารประกอบการเรียนน้ัน ต้องมีความรู้ในการทา เพอ่ื ให้ เอกสารประกอบการเรียนมีคุณภาพ และสามารถนามาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่าง เหมาะสม วัลยา ศรีทิตย์ (2547, 70) กล่าวถึง ส่วนประกอบที่สาคัญของเอกสารประกอบการเรียนมี ดงั น้ี 1. ชอื่ เรือ่ งเอกสารประกอบการเรียน 2. คานา 3. คาชี้แจง 4. สารบัญ 5. คาอธบิ ายคู่มือการใช้ 6. คาแนะนาในการเรยี นด้วยตนเอง 7. แบบทดสอบก่อนเรียน 8. เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น 9. สาระสาคัญและจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 10. เนื้อหา 11. แบบทดสอบหลังเรยี น 12. เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น 13. บรรณานุกรม โสภณ นุ่มทอง (2542, 9) กล่าวว่า เอกสารประกอบการเรียนเป็นเอกสารท่ีเน้นเนื้อหา แจกจา่ ยใหผ้ ูเ้ รียนไดศ้ กึ ษา และทากจิ กรรมท้ายเนือ้ หาน้นั ซึง่ มีเนื้อหาอย่างละเอียด มหี ัวข้อสอดคลอ้ ง กับหวั ข้อในแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยมีแบบรปู ดงั น้ี 1. เรอื่ ง.................................................................................................................................. 2. จุดประสงค์...............................นาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมหรือนาทางในแผนการ
15 จดั การเรยี นรมู้ าเขยี น เพอ่ื แจง้ ให้นักเรียนทราบ 3. เน้ือหา...............................เน้ือหาละเอียด มีหัวตรงกับจุดประสงค์นาทาง และตรงกับ หัวขอ้ เน้อื หาในแผนการจดั การเรยี นรู้ 4. กิจกรรม...............................เป็นกิจกรรมของนกั เรียน เม่ือได้ศึกษาเน้ือหาแล้ว อาจจะ เป็นแบบฝึกหัด แบบทดสอบ การศึกษาค้นคว้า การเขียนรายงานหรือกิจกรรมการทดลอง เป็นต้น ดังน้ัน ส่วนประกอบท่ีสาคัญของเอกสารประกอบการเรียน สรุปได้ดังนี้ ช่ือบท ช่ือหน่วย หัวข้อย่อย แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เนื้อหาเร่ืองท่ีสอน กิจกรรมท้ายบท คาถามท้าย บทเรยี น 1.8 กำรหำประสทิ ธภิ ำพของเอกสำรประกอบกำรเรยี น การหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ข้ันตอน (สมพร ขนั ธรัตน์, 2546, 88) ดังน้ี 1. การหาประสิทธภิ าพของแบบทดสอบของเอกสารประกอบการเรยี นทาไดโ้ ดย 1) หาความเที่ยงตรงของขอ้ สอบ 2) หาความเชอื่ มน่ั ของขอ้ สอบ 3) วิเคราะหข์ อ้ สอบ 2. การหาประสทิ ธิภาพตัวเอกสารประกอบการเรยี นทาได้โดย 1) ทดสอบแบบหน่งึ ตอ่ หน่งึ 2) ทดสอบแบบกลุ่มเลก็ 3) ทดสอบแบบภาคสนาม การหาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียนในข้ันท่ี 2 จะใช้วิธีการทางสถิติ 2 แบบ (สมพร ขนั ธรตั น์, 2546, 88) คือ 1. การใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เป็นการตั้งเกณฑ์ให้สอดคล้องกับหลักการของเอกสาร ประกอบการเรียนที่ว่า ในการเรียนเอกสารประกอบการเรียนเน้นให้ผู้เรียนทาถูกต้องให้มากท่ีสุดซ่ึง มากท่ีสุดคือ 80% โดยท่ี 80 ตัวแรก หมายถึง ผู้เรียนตอบคาถามภายในกรอบของเอกสาร ประกอบการเรียนได้ 80% ส่วน 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนโดยเฉลี่ยท่ีผู้เรียนทาได้จากการทา แบบทดสอบหลงั เรียนคดิ เป็นร้อยละ 80 2. การทดลองหาค่าความแตกต่างของคะแนนท่ไี ด้จากการทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียน ด้วยเอกสารประกอบการเรยี น 1.9 คุณค่ำและขอ้ จำกดั ของเอกสำรประกอบกำรเรียน คุณค่าของเอกสารประกอบการเรียน เอกสารประกอบการเรียนมีคุณค่า คือ สามารถ ส่งเสริมความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ดี ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนครู ช่วยประหยัดเวลาในการสอน
16 ของครู และเปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นได้เรียนดว้ ยตนเอง (ประหยดั จริ ะวรพงศ์, 2540, 48) ซึ่งประโยชน์ ของเอกสารประกอบการเรียนมี 8 ประการ (ชม ภูมิภาค, 2543, 46) ดงั น้ี 1. แกป้ ญั หาการขาดแคลนครไู ด้ 2. ทาให้สงั คมเปน็ สังคมแหง่ การเรียนรไู้ ด้ 3. ทาใหก้ ารศึกษานอกโรงเรยี นเปน็ ไปได้อย่างกว้างขวาง 4. ผเู้ รียนมีแรงจูงใจในการเรยี นสูง 5. ผู้เรียนได้ใช้การเรียนแบบสกรรมกิริยา ทาให้เข้าใจและมีความคงทนในการจามากขึ้น 6. เป็นการสอนความแตกต่างของบุคคลไดเ้ ปน็ อย่างดี 7. การเรียนเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ เรียนได้มาก ใช้เวลาน้อย เพราะรู้จุดมุ่งหมาย ขอ้ เสนอแนะไปทีละนอ้ ย 8. ผ้เู รยี นสามารถเลอื กจงั หวะเวลาการเรียนทเ่ี หมาะสมสาหรบั ตนเองได้ ข้อจากัดของเอกสารประกอบการเรียน ประหยัด จิระวรพงษ์ (2540, 48) กล่าวถึง ข้อจากดั ของเอกสารประกอบการเรียนมีหลายประการ ได้แก่ จากดั ดา้ นความต้องการความรพู้ ื้นฐาน ใช้แทนครูในการสอนให้บรรลุจุดมุ่งหมายบางอย่างไมไ่ ด้ ผู้เรียนอาจเบื่อหน่ายจากการทาซา้ ๆ ซากๆ ใชส้ อนเนอ้ื หาท่ีเกีย่ วกับการแสดงความคิดเห็น หรอื วพิ ากษว์ จิ ารณไ์ ม่ไดผ้ ลดี เพราะผูเ้ รียนถูกจากดั ใน การตอบสนอง จากการศึกษาเกี่ยวกับเอกสารประกอบการเรียนท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าการ จัดการเรียนการสอน โดยการใช้เอกสารประกอบการเรียนจะต้องอาศัยหลักความเข้าใจ รวมทั้ง จิตวิทยาและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเอกสารประกอบการเรียน ศึกษาหลักและขั้นตอนในการสร้าง เอกสารประกอบการเรยี น รวมท้งั สว่ นประกอบท่ีสาคญั ของเอกสารประกอบการเรียนให้ชัดเจน แล้ว ดาเนนิ การสร้างและหาประสิทธิภาพของเอกสารที่ประกอบการเรยี นตามข้ันตอนกอ่ นนาไปใช้จริงกับ กลุ่มประชากร ในส่วนของเอกสารประกอบการเรยี นท่ีผ้วู ิจัยสร้างขน้ึ นเ้ี ป็นบทเรียนที่เสนอเนื้อหาเป็น หน่วยยอ่ ย มีสรุปความรใู้ นแต่ละตอน มีแบบฝกึ ปฏิบัตกิ ิจกรรมทท่ี ้าทายใหค้ ้นหาคาตอบและสามารถ ทราบคาตอบไดท้ นั ที มภี าพประกอบทาใหน้ ่าสนใจและเข้าใจเนือ้ หาได้ดขี ึ้น 2. ผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน 2.1 ควำมหมำยของผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี น ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน (Academic Achievement) เป็นสมรรถภาพทางสมองในด้าน ตา่ งๆ ท่ีนกั เรยี นได้รบั จากประสบการณ์ ทง้ั ทางตรงและทางอ้อมจากครู ซึ่งมนี ักการศึกษาหลายท่าน ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ไวด้ ังน้ี สว่าง หลักเพชร (2541, 56) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและ ความสามารถของบุคคลที่พฒั นาการดขี ึ้น อันเกดิ จาการเรยี นการสอน การฝกึ อบรม ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถทางสมอง ความรู้ ความรู้สึก ค่านิยมตา่ งๆ
17 ชัยพล สขุ เอยี่ ม (2540, 9) กลา่ ววา่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการ เรียนรู้ของผู้เรียนด้านความรู้ ความจา ความเข้าใจ ซึ่งได้จากการวัดเป็นคะแนนของกลุ่มประชากรที่ ทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนและหลังเรียน จิตติมา พทุ ธเจริญ (2543, 19) ให้ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไว้ว่า เปน็ ผลของ ความสามารถทางสมองด้านต่างๆ ที่เกิดจากการเรยี นการสอน การฝึกฝนหรอื ประสบการณ์ต่างๆ ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ซ่ึงวัดได้โดยการนับเป็นคะแนนท่ีได้จากการตอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น ภายหลังจากท่เี รียนจบเน้ือหาทกี่ าหนดไว้ สมพร เชอ้ื พันธ์ (2547, 53) สรุปความหมายของผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น คือ ความสามารถ ความสาเร็จ และสมรรถภาพด้านต่างๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการเรียน การสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการ ตา่ งๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2548, 125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ขนาดของ ความสาเร็จทไี่ ด้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2549, 42) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ หรอื ผลสาเรจ็ ท่ไี ดร้ ับจากกจิ กรรมการเรยี นการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมและประสบการณ์ เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จาแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตาม ลักษณะของวตั ถุประสงคข์ องการเรียนการสอนทแี่ ตกตา่ งกัน จากความหมายกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสามารถใน การเรียน ซึ่งวัดได้จากการตอบแบบทดสอบระหว่างเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนที่ใช้เป็น แบบทดสอบวัดผลของความรู้ ความเข้าใจ และการนาความรู้ไปใช้ 2.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ ำงกำรเรยี น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ททางการเรียนมีนักการศึกษาหลายท่านกล่าวถึงแบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ไว้ดงั น้ี พิชิต ฤทธ์จิ รญู (2545, 96) แบ่งประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน เฉพาะกลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้กันโดยท่ัวไปในสถานศึกษา มีลักษณะเป็น แบบทดสอบขอ้ เขยี น แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบท่กี าหนดคาถามหรือปัญหาให้นกั เรียนตอบโดย แสดงความรู้ ความคดิ และเจตคติ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ 2) แบบทดสอบปรนัยหรือแบบให้ตอบส้ันๆ เป็นแบบทดสอบที่กาหนดให้นักเรียน
18 เขียนตอบสั้นๆ หรือมีคาตอบให้เลือกแบบจากัดคาตอบ นักเรียนไม่มีโอกาสแสดงความรู้ ความคิด ได้อย่างกว้างขวางเหมือนแบบทดสอบอัตนัย แบบทดสอบชนิดนี้แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบทดสอบถูก - ผิด แบบทดสอบเติมคา แบบทดสอบจบั คู่ และแบบทดสอบเลอื กตอบ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนท่ัวไปซึ่ง สร้างโดยผู้เช่ียวชาญ มีการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างดีจนมีคุณภาพ มีมาตรฐาน กล่าวคือ มี มาตรฐานในการดาเนินการสอบ วธิ ีการใหค้ ะแนนและการแปลความคะแนน พร้อมพรรณ อุดมสิน (2544, 29-33) แบ่งแบบทดสอบที่ครูผู้สอนสร้างข้ึนเองเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คอื 1. แบบอัตนัย (Subjective Test or Essay Test) เป็นแบบทดสอบที่กาหนดปัญหาหรือ คาถามและให้ผู้ตอบแสดงความรู้ ความเข้าใจ และความคิด ต้ังแต่กว้างที่สุดจนถึงแคบ หรือ เฉพาะเจาะจงตามท่ีโจทย์กาหนด ภายในระยะเวลาที่กาหนดให้ การใช้ภาษาในการเขียนตอบขนึ้ อยู่ กับตัวผู้สอบ แบบทดสอบนี้สามารถวัดได้หลายๆ ด้านในแต่ละข้อ เช่น วัดความสามารถในการใช้ ภาษา ความคดิ การจัดระเบียบของความรู้ การแสดงออกทางอารมณ์ เจตคติ และอน่ื ๆ 2. แบบปรนัย (Objecttive Test) หมายถึง แบบทดสอบที่กาหนดคาตอบให้ผู้ตอบต้อง ตัดสินใจเลือกข้อท่ีต้องการหรือพิจารณาข้อความที่ให้ว่าถูกหรือผิด ซ่ึงข้อสอบชนิดนี้แบ่งออกเป็น แบบถูกผิด (True - False) แบบเติมคา (Completion) และแบบเลือกตอบ (Multiple Choices) แบบทดสอบทั้งสองลักษณะดังกล่าวต่างก็มีข้อเด่นและข้อด้อยแตกต่างกัน ไม่มีกฎตายตัว ว่าครูตอ้ งใชป้ ระเภทใด แตค่ วรคานึงถึงจดุ ประสงคแ์ ละสภาพการณข์ องการใช้ นอกจากนี้ พิชติ ฤทธ์ิจรูญ (2545, 100) ใหห้ ลักเกณฑใ์ นการสร้างแบบทดสอบ ไว้ดังน้ี 1. ต้องนิยามพฤติกรรมหรอื ผลการเรยี นรู้ท่ีต้องการจะวดั ให้ชัดเจน โดยกาหนดในรูปแบบ ของจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ของบทเรียนหรือรายวิชา ดว้ ยคาที่เฉพาะเจาะจง สามารถวดั และสงั เกตได้ 2. ควรสร้างแบบทดสอบวัดให้ครอบคลุมผลการเรียนรู้ท่ีได้กาหนดไว้ทั้งหมด ท้ังในระดับ ความรู้ ความจา ความเขา้ ใจ การนาไปใช้ และระดับท่ซี ับซอ้ นมากขึ้น 3. แบบทดสอบท่ีสร้างข้ึนควรวัดพฤติกรรมหรือผลการเรียนรู้ ท่ีเป็นตัวแทนของกิจกรรม การเรียนรู้ โดยจะตอ้ งกาหนดตัวชวี้ ัดและขอบเขตของผลการเรียนรู้ท่ีจะวัด แล้วจงึ เขียนข้อสอบตาม ตวั ชวี้ ัดจากขอบเขตที่กาหนดไว้ 4. แบบทดสอบที่สร้างขึ้นควรประกอบด้วยข้อความชนิดต่างๆ ท่ีเหมาะสม สอดคล้องกับ การวดั พฤติกรรมหรอื ผลการเรียนรทู้ ่ีกาหนดไวใ้ ห้มากท่ีสดุ 5. ควรสร้างแบบทดสอบ โดยคานึงถึงแผนหรือวัตถุประสงค์ของการนาผลการทดสอบไป ใช้ประโยชน์ จะไดเขียนข้อสอบให้มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และทันใช้ตามแผนท่ีกาหนดไว้ เช่น การใช้แบบทดสอบก่อนการเรียน สาหรับตรวจสอบพ้ืนฐานความรู้ของนักเรียน เพ่ือการสอน
19 ซ่อมเสริม การใช้แบบทดสอบระหว่างการเรียนการสอน เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนและการใช้ แบบทดสอบหลงั การเรียนเพอื่ ตดั สินผลการเรยี น 6. แบบทดสอบท่ีสร้างขึ้นจะต้องทาให้การตรวจให้คะแนนไม่มีความคลาดเคลื่อนจาก การวัด ซ่ึงไม่ว่าจะนาแบบทดสอบไปทดสอบกับนักเรียนในเวลาท่ีแตกต่างกัน จะต้องได้ผลการวัด เหมือนเดิม จากการศึกษาเกี่ยวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สรุปได้ว่าการสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจะเลือกใช้ลักษณะใดรูปแบบใดควรคานึงถึงข้อเด่นและ ข้อดอ้ ยของแบบทดสอบแต่ละลักษณะที่แตกต่างกนั และตอ้ งคานงึ ถงึ จุดประสงค์และความเหมาะสม กับสภาพนักเรียน ซ่ึงแบบทดสอบท่ีสร้างต้องสามารถวัดพฤติกรรมการเรียนการสอนได้อย่าง ครอบคลุม 2.3 กำรสร้ำงเครอ่ื งมือวัดผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน การสร้างเคร่ืองมือวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหรือแบบทดสอบต้องกาหนดให้สอดคล้อง ตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ซงึ่ มนี ักการศกึ ษาหลายทา่ นกล่าวไว้ ดงั น้ี บลูม (Bloom อ้างถึงใน พนมพร ช่วยสกุล, 2548, 25) แบ่งจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยใช้ ระบบการแบ่งประเภท ออกเปน็ 3 ดา้ น คอื 1. ด้านพุทธิพิสยั (Cognitive Domains) เปน็ วตั ถุประสงค์ของการเรียนรทู้ ี่เก่ยี วกับความรู้ ความสามารถ และทักษะตา่ งๆ ทางสมอง 2. ด้านจิตพิสัย (Affective Domains) เป็นวัตถุประสงค์การเรียนรู้ท่ีเกี่ยวกับความรู้สึก เช่น ทัศนคติ ค่านยิ ม การปรบั ตวั ความสนใจ และพฤติกรรมตา่ งๆ 3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domains) เป็นวัตถุประสงค์การเรียนรู้เก่ียวกับการ กระทาอยา่ งมีทกั ษะ อุทุมพร จามรมาน (2548, 32) อธิบายข้ันตอนการสร้างเคร่ืองมือวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ไว้ว่า ขั้นท่ี 1 ขอบเขตผู้สร้างต้องตอบคาถามให้ได้ว่า จะสร้างเครื่องมือวัดอะไรและผู้ถูกวัดมี ลักษณะอยา่ งไร กระบวนการวดั จะทาอย่างไร ข้ันท่ี 2 จุดมุ่งหมายในการวดั จะต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการจัดการเรยี นการสอน ตามหลกั สตู ร และมีความชัดเจนมากพอที่จะวดั ได้ นอกจากนี้ พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543, 26-27) สรุปว่า แบบทดสอบ เพ่ือวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนควรประกอบด้วยลกั ษณะสาคัญต่อไปนี้ 1. มคี วามเทยี่ งตรง (Validity) หมายถงึ แบบทดสอบท่ีสามารถทาหน้าทว่ี ัดส่ิงที่ตอ้ งการวัด ได้อย่างถูกต้อง ตรงตามจุดมุ่งหมาย สอดคล้องกับเน้ือหาวิชา และครอบคลุมพฤติกรรมตรงตามท่ี
20 กาหนดไว้ในตารางวเิ คราะห์หลักสูตร หรอื จุดมุง่ หมายเชิงพฤติกรรมท่ีกาหนดไว้ในเนอ้ื หาแต่ละหน่วย ไดอ้ ยา่ งครบถ้วน 2. มีความเช่ือมั่น (Reliability) หมายถึง แบบทดสอบท่ีสามารถให้ผลคงท่ีไม่ว่าจะนาไป สอบวดั ก่ีคร้งั ก็ตาม 3. มีความเปน็ ปรนยั (Objectivity) คือ มีคุณสมบัติ 3 ประการ ตอ่ ไปน้ี 1) คาถามมีความชัดเจน เข้าใจตรงกัน 2) ต้องตรวจใหค้ ะแนนตรงกนั คือ มีมาตรฐานการให้คะแนนชัดเจน ทาใหผ้ ูต้ รวจไม่ว่า ใครก็ตาม ตรวจให้คะแนนไดต้ รงกัน 3) การแปลความหมายแบบตรงกนั คอื คะแนนที่ไดบ้ อกสถานภาพของผสู้ อบได้ตรงกัน 4. มีการถามลึก (Searching) หมายถึง คาถามจะไม่ถามแต่เพียงความรู้ ความจา ตามตารา หรือถามที่ครูสอน แต่ต้องให้เด็กนาความรู้ไปวิเคราะห์ วิจารณ์ และใช้ในสถานการณ์จริง 5. มคี วามยุติธรรม (Fair) หมายถึง ข้อคาถามของขอ้ สอบนั้นจะตอ้ งไมม่ ีชอ่ งทางแนะให้เด็ก ฉลาดใช้ไหวพริบในการเดาได้ถูก และไม่เปิดโอกาสให้เด็กเกียจคร้านตอบได้ นั่นคือ ข้อสอบต้อง ครอบคลมุ ทงั้ เนอื้ หาวิชาและสมรรถภาพทางสมอง 6. ลักษณะกระตุ้นเป็นแบบอย่างที่ดี (Exemplary) หมายถึง ข้อสอบต้องประกอบด้วย คาถามทจ่ี ะสรา้ งเป็นแบบอย่างที่ดใี หแ้ ก่ผู้เรียน ไม่ควรถามสิ่งทเ่ี ปน็ ตัวอยา่ งที่ไมเ่ หมาะสม 7. มีอานาจจาแนก (Discrimination) หมายถึง ข้อสอบน้ันสามารถแยกเด็กเก่งและ เดก็ อ่อนออกจากกนั ไดจ้ รงิ 8. มีความยาก (Difficulty) พอเหมาะ คอื ข้อสอบนน้ั จะตอ้ งไม่ยากเกินไป และง่ายเกินไป ผลการทดสอบโดยเฉลีย่ ควรเท่ากบั หรือสงู กวา่ 50% ของคะแนนเต็มเลก็ น้อย 9. มีลักษณะเฉพาะเจาะจง (Definite) คอื ต้ังคาถามและคาตอบท่ีมุง่ ถามเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างชัดเจน ไม่กากวม และไมถ่ ามแบบครอบจักรวาล 10. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ สามารถให้คะแนนเที่ยงตรงและเชื่อถือได้มากท่ีสุด ภายในเวลาท่ีสอบน้อยที่สุด ใชแ้ รงงาน และเงินทนุ นอ้ ยท่ีสดุ ดว้ ย จากาการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างเคร่ืองมือวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การสร้างเคร่ืองมือต้องกาหนดให้สอดคล้องตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านพุทธพิสัย ด้านจิตพิสัย ด้านทักษะพิสัย ซ่ึงต้องมีทั้งความเที่ยงตรง ความเชื่อม่ัน ความเป็นปรนัย การถามลึก ความยุติธรรม อานาจจาแนก ลักษณะกระตุ้นเป็นแบบอย่างที่ดี ความยาก ลักษณะเฉพาะเจาะจง และมปี ระสทิ ธิภาพ
21 3. ควำมพึงพอใจ 3.1 ควำมหมำยควำมพงึ พอใจ ความพึงพอใจ โดยท่ัวไปตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า “Satisfaction” ซ่ึงมีนักวิชาการให้ ความหมาย ไวด้ ังนี้ สุมาลี เมธโยดม (2542, 10) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความรู้สึกพอใจ ซึ่งมี ผลมาจากความสนใจและทัศนคติของบุคคลที่มีต่อส่ิงต่างๆ อาจเป็นการยอมรับหรอื ไมย่ อมรับในเชงิ ประมาณค่า ประกอบด้วย ความรู้สึกทางบวก คอื ชอบ พงึ พอใจ และความรูส้ ึกทางลบ ได้แก่ ไม่ชอบ ไม่พงึ พอใจ จิตติมา พุทธเจริญ (2543, 18) ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจ หมายถึง คุณภาพ สภาพ หรือระดบั ความชอบ ความพอใจ ซ่งึ เป็นผลิตผลมาจากความสนใจตา่ งๆ และทศั นคติของบุคคลท่ีมีต่อ สิ่งนั้นๆ ทัศนีย์ สิงห์เจริญ (2543, 19) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก หรือทัศนคติ ในทางที่ดีของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอน ความรู้สึกที่เกิดจากการได้รับตอบสนอง ท้ังทางด้าน ร่างกายและจิตใจ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยหรือองค์ประกอบต่างๆ ในการเรียน เช่น สภาพแวดล้อมในห้องเรียน เนื้อหาวิชาท่ีได้รับจากการเรียน ซึ่งทาให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ ในการเรียนการสอนจนประสบผลสาเร็จในการเรยี นได้ ทวดิ า พลสทิ ธิ์ (2546, 8) ทก่ี ล่าวว่า ความพึงพอใจ เป็นความคิด ทัศนคติหรือรสู้ ึกทางบวก ของบุคคลที่มีต่อส่ิงใดสิ่งหนึ่ง ความรู้สึกพึงพอใจจะเกิดขึ้นเม่ือบุคคลได้รับในส่ิงที่ต้องการหรือบรรลุ จดุ หมายในระดับหนึ่ง ซง่ึ ความรู้สกึ ดังกล่าวจะลดลงหรือไมน่ ้นั เกดิ ขน้ึ จากความต้องการหรือจุดหมาย นั้นได้รับการตอบสนองหรือไม่ ซ่ึงสอดคล้องกับ ศรีสกุล คุณีพงษ์ (2546 , 31) ท่ีกล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึง ความรู้สึกพึงพอใจจะเกิดขึ้นเม่ือ บุคคลได้รับในส่ิงท่ีต้องการหรือบรรลุจุดมุ่งหมายในระดับหน่ึง ซ่ึงความรู้สึกดังกล่าวจะลดลงหรือไม่ นั้น เกดิ ขน้ึ จากความต้องการหรอื จดุ หมายน้นั ไดร้ ับการตอบสนองหรือไม่ สุเมธ แสงประทีป (2546, 38) กลา่ ววา่ ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรู้สึกหรือทัศนคติของ คนท่ีมีต่อส่ิงใดสิ่งหนึ่ง บุคคลใดบุคคลหน่ึงในทางบวก จะแสดงออกมาในรูปของระดับความรู้สึกท่ี ชอบมาก ชอบน้อย คือ พอใจมาก พอใจนอ้ ย ตอ่ ส่งิ นน้ั ๆ หรอื บคุ คลนัน้ ๆ ความร้สู ึกพึงพอใจจะเกิดขึน้ เม่ือมีแรงจูงใจ และเมื่อความต้องการของบุคคลได้รับการตอบสนองสามารถลดความตึงเครียดจน ก่อใหเ้ กดิ ความสขุ สบายใจ จากการศึกษาเก่ียวกับความหมายของความพึงพอใจดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ความพึง พอใจ หมายถึง ความชอบ ความสนใจ ความยินดี และการให้ความร่วมมือของนักเรียนท่ีมีต่อ การเรยี น
22 3.2 ทฤษฎีทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความพึงพอใจ ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ ในเรื่องกฎแห่งความพร้อม (ทิศนา แขมมณี, 2544, 7) กฎนี้กล่าวถึงสภาพความพร้อมของผู้เรียน ท้ังทางด้านร่างกายและจิตใจ ความพร้อมทางร่างกาย หมายถึง ความพรอ้ มทางวุฒิภาวะและอวัยวะต่างๆ ของรา่ งกาย ทางด้านจิตใจ หมายถึง ความพรอ้ ม ที่เกิดจากความพึงพอใจเป็นสาคัญ ถ้าเกิดความพึงพอใจย่อมนาไปสู่การเรียนรู้ ถ้าเกิดความไม่ พงึ พอใจจะทาใหก้ ารเรยี นรูห้ ยุดชะงกั ไป การศึกษาเก่ียวกับความพึงพอใจน้ัน โดยทั่วไปนิยมศึกษากันในสองมิติ คือ มิติความ พึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานและมิติความพึงพอใจในการรับบริการ ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาใน รปู แบบผรู้ บั บริการ ซง่ึ มีนักการศกึ ษาใหค้ วามหมาย ไว้ดังนี้ ออสแคมปส์ (Oskamps, 1984, อ้างถงึ ใน ประภาภรณ์ สรุ ปวา่ 2544, 11) กล่าววา่ ความ พึงพอใจมคี วามหมายอยู่ 3 นยั คือ 1. ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพการณ์ที่ผลการปฏิบัติจริงได้เป็นไปตามท่ีบุคคลคาดหวงั ไว้ 2. ความพงึ พอใจ หมายถงึ ระดบั ของความสาเรจ็ ทเ่ี ปน็ ไปตามความต้องการ 3. ความพึงพอใจ หมายถึง งานทีไ่ ด้ตอบสนองตอ่ คุณคา่ ของบุคคล จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า “ความพึงพอใจ” หมายถึง ความรู้สึกท่ี เปน็ การยอมรับ ความรสู้ กึ ชอบ ความรูส้ กึ ทีย่ นิ ดีกบั การปฏบิ ตั งิ าน ทัง้ การให้บริการและการรับบริการ ในทุกสถานการณ์ ทุกสถานการณ์ที่ เบมาร์ค (Bemard, 1968 อ้างถึงใน อานวย บุญศรี, 2531) กล่าวถงึ สงิ่ จงู ใจทใ่ี ชเ้ ป็นเครือ่ งกระตุ้นบุคคลใหเ้ กิดความพงึ พอใจในงานไว้ 8 ประการ คือ 1. สิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุ ได้แก่ เงิน ส่ิงของ หรือสภาวะทางกายที่ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานเป็นการ ตอบแทน ชดเชย หรอื เป็นรางวัลท่เี ขาได้ปฏบิ ตั งิ านใหแ้ ก่หน่วยงานน้ันมาเปน็ อยา่ งดี 2. ส่ิงจูงใจท่ีเป็นโอกาสของบุคคลที่มิใช่วตั ถุ เป็นสิ่งจูงใจสาคัญที่ช่วยส่งเสริมความร่วมมอื ในการทางานมากกว่ารางวลั ท่ีเปน็ วตั ถุ เพราะส่งิ จงู ใจทีเ่ ป็นโอกาสนี้ บคุ ลากรจะไดร้ ับแตกตา่ งกนั เชน่ เกียรตภิ มู ิ การใช้สิทธพิ ิเศษ เปน็ ต้น 3. สภาพทางกายที่พึงปรารถนา หมายถึง ส่ิงแวดล้อมในการปฏิบัติงาน ได้แก่ สถานท่ี ทางาน เคร่ืองมือการทางาน ส่ิงอานวยความสะดวกในการทางานต่างๆ ซึ่งเป็นส่ิงอันก่อให้เกิด ความสขุ ทางกายในการทางาน 4. ผลประโยชน์ทางอุดมคติ หมายถึง สมรรถภาพของหน่วยงานท่ีสนองความต้องการ ของบคุ คลด้านความภาคภมู ใิ จทไ่ี ดแ้ สดงฝมี ือ การไดม้ โี อกาสชว่ ยเหลือครอบครัวตนเองและผู้อน่ื ท้ังได้ แสดงความภักดีต่อหนว่ ยงาน 5. ความดึงดูดใจในสังคม หมายถึง ความสัมพันธ์ฉันท์มิตร ถ้าความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดี
23 จะทาให้เกดิ ความผกู พันและความพอใจท่ีจะรว่ มงานกบั หน่วยงาน 6. การปรับสภาพการทางานให้เหมาะสมกับวิธีการและทัศนคติของบุคคล หมายถึง การ ปรบั ปรุงตาแหนง่ วิธีทางานใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสามารถของบคุ ลากร 7. โอกาสท่ีจะร่วมมือในการทางาน หมายถึง การเปิดโอกาสให้บุคลากรรู้สึกว่ามีส่วนร่วม ในงานเป็นบุคคลสาคัญคนหนึง่ ของหน่วยงาน มีความรู้สึกเท่าเทียมกันในหมู่ผู้ร่วมงานและมีกาลังใจ ในการปฏบิ ัตงิ าน 8. สภาพของการอยู่ร่วมกัน หมายถึง ความพอใจของบุคคลในด้านสังคมหรือความม่ันคง ในการทางานจากการศึกษาเก่ียวกับการวัดความพึงพอใจดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ เป็นเพียงปฏิกิริยาด้านความรู้สึกต่อส่ิงเร้าหรือส่ิงกระตุ้นท่ีแสดงออกมาในลักษณะผลลัพธ์สุดท้าย ของกระบวนการประเมิน โดยบ่งบอกถึงทิศทางของผลการประเมินว่าเป็นไปในลักษณะทิศทางบวก หรอื ทิศทางลบ หรือไมม่ ปี ฏิกริ ยิ าคือเฉยๆ ต่อสิง่ เรา้ หรือส่ิงกระต้นุ
24 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ กำรศึกษำ การสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที 5 โรงเรียน มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 1 ในครง้ั น้ี ผ้วู ิจัยได้ดาเนนิ การศึกษา ดงั น้ี 1. รปู แบบของการศกึ ษา 2. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 3. เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการศกึ ษา 4. วิธกี ารดาเนินการศกึ ษา 5. ระยะเวลาในการศกึ ษา 6. การวเิ คราะหข์ ้อมูล 1. รูปแบบกำรศึกษำ รปู แบบการศึกษาการสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่อื ง เวกเตอร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 โดยใช้รูปแบบกลุ่ม เดียวทดสอบก่อนศึกษา และหลังศึกษา (One Group Pretest-Posttest Design) (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2530, 60) ดงั ตารางที่ 1 ตางรางท่ี 1 รปู แบบการศกึ ษาแบบ The One Group Pretest–Posttest Design กลุ่ม ทดสอบกอ่ น กำรจัดกระทำ ทดสอบหลงั T2 a T1 X a แทน กลุม่ ตัวอยา่ ง T1 แทน การทดสอบกอ่ นการศึกษา (Pretest) X แทน การจดั กระทาหรือการให้ตัวแปรศกึ ษา (Treatment) T2 แทน การทดสอบหลังการศึกษา (Posttest)
25 2. ประชำกรและกลมุ่ ตวั อย่ำง ในการศึกษาผวู้ ิจัยได้กาหนดประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ดังน้ี 1) ประชากร ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ท่ีกาลังเรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 2 หอ้ งเรียน มนี กั เรียนทั้งหมด 31 คน 2) กลุม่ ตัวอยา่ ง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจบพิตร สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่กาลังเรียนอยู่ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 22 คน ไดม้ าโดยการสมุ่ แบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3. เครื่องมือทีใ่ ชใ้ นกำรศึกษำ ในการศกึ ษาผู้รายงานได้ใช้เครื่องมือในการศึกษา คร้ังนี้ 1. เอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง เวกเตอร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 2. เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 1) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 2) แบบทดสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรยี น 4. วิธกี ำรดำเนนิ กำรศกึ ษำ ในการศึกษาผู้รายงานมีขน้ั ตอนและดาเนินการศึกษาดงั น้ี 1. วธิ สี รา้ งเครื่องมือท่ใี ช้ในการศึกษา 1.1 การสร้างเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 มีข้ันตอนการสร้าง ดังนี้ 1) ศึกษาทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับการสร้างเอกสารประกอบการเรียน และศึกษา เนื้อหาเกี่ยวกับเวกเตอร์ เพื่อนามาใช้ในการสร้างเอกสารประกอบการเรียนเรื่อง เวกเตอร์ ชั้น มัธยมศึกษาปที ่ี 5 2) สร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้ครอบคลุมเน้ือหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ เรียงลาดับความยากง่าย เพื่อให้นักเรียนมีกาลังใจใน การทาเอกสารประกอบการเรียน โดยมเี นื้อหาสอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ 3) จัดพิมพ์เอกสารประกอบการเรียนทดลองกับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 หอ้ ง 1 จานวน 22 คน
26 1.2 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษา ปที ี่ 5 มีขน้ั ตอนในการดาเนินการ ดังน้ี 1) ศึกษาเอกสารเก่ยี วข้องกับการเขียนข้อสอบ และวัดผลการศึกษาจากหนงั สอื การวัดผล และการประเมนิ ผลทางการศึกษา และการเขียนคาถามแบบเลือกตอบ 2) วิเคราะห์หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ในระดับช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี 5 เพือ่ ใหส้ ามารถสร้างขอ้ สอบไดค้ รอบคล่มุ กับจดุ ประสงค์ และเน้อื หา 3) ชุดท่ี 1 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิระหว่างเรียน แบบปรนัย และอัตนัย เป็นแบบทดสอบเอกสารประกอบการเรยี น เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 4) ชุดท่ี 2 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ครอบคลุมเนื้อหา ชนิดเลือกตอบ (Multiple Choices) 5 ตัวเลือก จานวน 25 ข้อ โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียนเป็นชุดเดยี วกนั 5) นาแบบทดสอบไปใช้ในการทดลองต่อไป 1.3 การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ ผู้วิจัยได้ดาเนินการศึกษาเพ่ือดาเนินการ สรา้ งแบบสอบถามลาดบั ดังนี้ 1) ศึกษาหลักการ แนวคิดทฤษฎี ท่ีเก่ียวกับเอกสารประกอบการเรียนเรื่อง เวกเตอร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 2) นาความรู้ที่ได้จากการศึกษาเอกสารท้ังหมด สร้างแบบสอบถามท่ีตรงกับ ความคิดเห็นของนักเรียนเกี่ยวกับเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ลกั ษณะคาถามเปน็ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดับ ดงั นี้ 5 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจมากทีส่ ุด 4 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจมาก 3 หมายถงึ มีความพึงพอใจปานกลาง 2 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจน้อย 1 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจนอ้ ยที่สุด 3) นาแบบสอบถามใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากกลุม่ ตวั อยา่ งต่อไป 5. ระยะเวลำในกำรศกึ ษำ ระยะเวลาดาเนินการศึกษาการสร้างเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ดาเนินการศึกษาในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 ต้ังแต่ 1 กรกฎาคม ถึง 14 กันยายน 2563
27 6. กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล ผู้วิจัยไดด้ าเนนิ การวเิ คราะห์ข้อมูล ตามลาดับขน้ั ตอนดังนี้ 1. วิเคราะห์คณุ ภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ างการเรยี น ดังน้ี 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หาค่าอานาจจาแนกของข้อสอบตามวิธี ของเบรนแนน (Brennan) และหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ตามวิธีของโลเวทท์ (Lovett) 2) วิเคราะหห์ าประสิทธิภาพของเอกสารประกอบ เร่อื ง เวกเตอร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 ใช้ E1/ E2 3) หาค่าดชั นีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรยี น เร่อื ง เวกเตอร์ ช้นั มธั ยมศึกษา ปีที่ 5 4) การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียน กอ่ นและหลงั เรียนด้วยเอกสาร ประกอบการเรยี น เรือ่ ง เวกเตอร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 วเิ คราะหโ์ ดย t-test 5) การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการใช้เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ใช้คา่ เฉล่ีย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน สถติ ิที่ใช้ในกำรวิเครำะหข์ ้อมูล สถิตทิ ่ีใช้ทดสอบสมมติฐาน มีดงั นี้ 1. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ ของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ใช้ E1/ E2 1) การหาประสทิ ธิภาพกระบวนการเรยี น สตู ร E1 = F1 100 A1 เมอื่ E1 หมายถึง ประสทิ ธิภาพของกระบวนการเรียน F1 หมายถึง คะแนนเฉลยี่ ของคะแนนการทาแบบฝึกหัด A1 หมายถึง คะแนนเต็มของแบบฝกึ หัดรวมกนั 2) การหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ สูตร E2 = F2 100 A2 เมือ่ E2 หมายถงึ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการเรยี น F2 หมายถงึ คะแนนเฉลี่ยของคะแนนการทาแบบฝกึ หัด A2 หมายถึง คะแนนเตม็ ของแบบฝกึ หัดรวมกนั
28 2. การหาคา่ ดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เรอ่ื ง เวกเตอร์ ชนั้ มธั ยมศึกษา ปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพติ ร สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 ใช้สูตรในการ หาค่าดชั นี้ประสิทธิผล ดงั นี้ ดชั นปี ระสิทธผิ ล = ผลรวมคะแนนหลังทดลองของทกุ คน – ผลรวมคะแนนกอ่ นทดลองของทกุ คน (จานวนนกั เรยี นคะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนกอ่ นทดลองของทุกคน 3. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการ ทดสอบค่า t กรณกี ลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกนั (t – test ชนดิ Dependent Samples) D ใช้สูตร t = N D2 - ( D)2 N-1 เมอ่ื t แทน คา่ สถิตทิ จี่ ะใช้เปรียบเทยี บค่าวิกฤต เพ่อื ทราบความมีนยั สาคญั D แทน ผลตา่ งระหวา่ งคคู่ ะแนน N แทน จานวนกลุ่มตัวอยา่ ง 4. การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ใชก้ ารหาคา่ เฉล่ีย และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน 1) การหาค่าเฉลย่ี ( X ) คานวณจากสูตร ดงั น้ี จากสูตร X = X เมอื่ X N แทน ค่าเฉล่ียของคะแนน X แทน ผลรวมของคะแนน N แทน จานวนนักเรยี นทเี่ ป็นกลุ่มตัวอยา่ ง 2) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) คานวณจากสูตรดงั น้ี จากสูตร S.D. = N X2 - ( X)2 N(N - 1) เมอื่ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมดในกลุ่ม N แทน จานวนนักเรยี นทเ่ี ปน็ กลุ่มตัวอย่าง
29 เกณฑ์การให้คะแนนการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเก่ียวกับการแปรผลการวิเคราะหใ์ ช้เกณฑด์ งั น้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2541 : 112) 1.00 – 1.50 หมายความว่า มรี ะดับความพึงพอใจน้อยท่ีสดุ 1.51 – 2.50 หมายความว่า มรี ะดบั ความพึงพอใจน้อย 2.51 – 3.50 หมายความว่า มีระดับความพงึ พอใจปานกลาง 3.51 – 4.50 หมายความวา่ มีระดับความพงึ พอใจมาก 4.51 – 5.00 หมายความวา่ มีระดบั ความพึงพอใจมากทส่ี ดุ
30 บทท่ี 4 ผลกำรดำเนนิ กำร การศึกษาคร้ังน้ีผู้ศึกษาได้สร้างและใช้เอกสารประกอบเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยมี จุดมุ่งหมายเพอ่ื สร้างเอกสารประกอบการเรยี น เร่ือง เวกเตอร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ 80/80 ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนก่อนและหลังการเรียน จากการใช้เอกสารประกอบการเรียน และศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนทีม่ ีต่อเอกสารประกอบการเรียนเร่ือง เวกเตอร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 โดยมีลาดบั ข้ันตอน ดงั น้ี 1. สญั ลักษณท์ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู 2. ลาดับขั้นในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ท่ใี ชใ้ นกำรวิเครำะหข์ ้อมูล E1 / E2 คือ ประสทิ ธภิ าพของเอกสารประกอบการเรยี น E1 แทน คา่ เฉลี่ยร้อยละของคะแนนแบบทดสอบระหว่างเรียน E2 แทน คา่ เฉลี่ยร้อยละของคะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี น t แทน สถิติทดสอบท่ีใชเ้ ปรยี บเทยี บกบั ค่าวิกฤตเิ พอื่ ทราบความมนี ัยสาคญั X แทน คา่ เฉลีย่ S.D. แทน คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน N แทน จานวนนกั เรียน D แทน คา่ ความแตกตา่ งระหว่างคะแนนหลังการทดลองและกอ่ นทดลอง 2. ลำดบั ขน้ั ในกำรวิเครำะห์ข้อมลู ตอนที่ 1 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ตอนท่ี 2 การวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5
31 ตอนท่ี 3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลัง การเรียนจากการใช้เอกสารประกอบการเรยี น เร่ือง เวกเตอร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ตอนท่ี 4 การวิเคราะห์หาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 3. ผลกำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้ E1/ E2 ผลปรากฏ ดังตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 คะแนนเอกสารประกอบการเรียน เรือ่ ง เวกเตอร์ คะแนนระหว่างเรยี น (คะแนนเตม็ 80 คะแนน) คะแนน คนท่ี คร้งั ท่ี 1 ครัง้ ท่ี 2 ครง้ั ที่ 3 คร้งั ที่ 4 หลังเรียน (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) 1 16 15 15 13 14 2 15 18 15 16 16 3 15 16 15 18 16 4 13 15 18 17 17 5 14 13 16 13 13 6 15 16 14 15 16 7 13 15 14 14 15 8 18 16 18 18 17 9 18 19 15 14 16 10 17 15 17 14 17 11 17 15 15 17 16 12 16 15 14 15 15 13 16 17 15 14 15 14 16 14 16 15 14 15 16 14 15 15 16 16 18 15 15 14 16 17 19 15 16 16 16 ตารางท่ี 2 (ตอ่ )
32 คะแนนระหวา่ งเรียน (คะแนนเตม็ 80 คะแนน) คะแนน คนท่ี ครงั้ ที่ 1 คร้ังท่ี 2 ครั้งที่ 3 ครงั้ ท่ี 4 หลังเรียน (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) (20 คะแนน) 18 17 16 17 16 16 19 16 16 17 16 15 20 20 20 20 20 20 21 18 18 19 17 19 22 18 17 18 17 16 รวม 1,409 351 X 64.06 15.95 ร้อยละ 80.06 79.77 จากตารางท่ี 2 พบว่า นักเรียนที่ผ่านกระบวนการเรียนการสอนท่ีเรียนจากเอกสาร ประกอบการเรยี น เรื่อง เวกเตอร์ ไดค้ ะแนนทดสอบระหว่างเรียน เฉลยี่ 64.06 คะแนน จากคะแนนเต็ม 80 คะแนน ซ่ึงคิดเป็นร้อยละ 80.06 ของคะแนนรวมของคะแนนระหว่างเรยี นทั้งหมด และคะแนน แบบทดสอบหลังเรียนเมื่อเรียนจากการใช้เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ 5 แล้วได้คะแนนเฉลี่ย 15.95 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 79.77 ของคะแนน รวมของคะแนนหลงั เรยี นทงั้ หมด ตารางที่ 3 ประสทิ ธิภาพของแบบเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ คะแนนทดสอบระหวา่ งเรยี น คะแนนทดสอบหลงั เรยี น จานวนนกั เรียน (80 คะแนน) (20 คะแนน) E1/ E2 22 80.06/79.77 คะแนน X E1 คะแนน X E2 1,409 64.06 80.06 351 15.95 79.77 จากตารางที่ 3 พบว่า ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5 มีประสทิ ธภิ าพเทา่ กบั 80.06/79.77 ซงึ่ อยู่ในเกณฑท์ ่กี าหนดไว้
33 ตอนท่ี 2 การวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง เวกเตอร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนมธั ยมวัดเบญจมบพิตร สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 1 การหาคา่ ดชั นปี ระสิทธผิ ลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ใชส้ ูตร สุวทิ ย์ มลู คา และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550) ดังนี้ ดชั นีประสิทธผิ ล = ผลรวมคะแนนทดสอบหลงั เรียน – ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี น (จานวนนกั เรียน)(คะแนนเต็ม) - ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรยี น 351 - 93 = (22 × 20) - 93 = 0.75 ดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 เทา่ กบั 0.75 ซึ่งแสดงว่า ผเู้ รยี นมคี วามสามารถในการเรียนเพิ่มข้นึ ร้อยละ 75 ตอนที่ 3 การวเิ คราะห์เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรียนก่อน และหลงั เรียน ดว้ ยเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 โดยใช้ t-test ตารางท่ี 4 คะแนนสอบก่อนและหลังเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ คนท่ี คะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนทดสอบหลังเรยี น D D2 12 14 12 144 21 16 15 225 32 16 14 196 43 17 14 196 55 13 8 64 68 16 8 64 74 15 11 121 85 17 12 144 97 16 9 81 10 6 17 11 121 ตารางท่ี 4 (ต่อ)
34 คนท่ี คะแนนทดสอบกอ่ นเรยี น คะแนนทดสอบหลงั เรียน D D2 11 4 16 12 144 12 5 15 10 100 13 8 15 7 49 14 2 14 12 144 15 3 16 13 169 16 2 16 14 196 17 1 16 15 225 18 6 16 10 100 19 4 15 11 121 20 2 20 18 324 21 6 19 13 169 22 7 16 9 81 รวม 93 351 258 3,178 จากตารางที่ 4 พบว่าคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรอื่ ง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 โดยคะแนนรวมทดสอบกอ่ นเรยี นได้ 93 คะแนน และคะแนนทดสอบ หลังเรียนได้ 351 คะแนน พบว่า คะแนนสงู ขึ้น ตารางที่ 5 การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธกิ์ ่อนเรยี นและหลงั เรยี น ด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 N D D2 t 22 258 3,178 *20.42 * มีนัยสาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .01 จากตารางที่ 5 พบวา่ เมื่อเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นก่อนเรยี นและหลังเรียนด้วย เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 พบว่า นักเรียนมีพัฒนาการที่สูงข้ึน อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .01
35 ตอนท่ี 4 การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 1 ตารางท่ี 6 ความพงึ พอใจของนกั เรียนทมี่ ตี อ่ เอกสารประกอบการเรยี น เร่อื ง เวกเตอร์ ความพึงพอใจของนักเรยี น X S.D. แปลความหมาย 1. รูปแบบของเอกสารประกอบการเรยี นน่าสนใจ…….…….. 4.17 0.38 พงึ พอใจมาก 2. การเรา้ ความสนใจ กระตือรือรน้ อยากเรยี น คณติ ศาสตร…์ ……………………………………………….……….. 4.65 0.48 พงึ พอใจมากทส่ี ุด 3. เนื้อหาชวนอา่ นและให้ความรเู้ ป็นอยา่ งดี……………………. 4.13 0.34 พึงพอใจมาก 4. ใหค้ วามรูแ้ ละเกิดการเรยี นร้ทู ี่ใหม่ ๆ แก่นกั เรียน........... 4.08 0.41 พงึ พอใจมาก 5. ส่งเสริมให้นกั เรยี นมคี วามคดิ ริเรม่ิ สร้างสรรค์.................. 4.04 0.36 พึงพอใจมาก 6. นักเรยี นเขา้ ใจบทเรียนได้ดยี งิ่ ขึน้ ..................................... 4.08 0.28 พงึ พอใจมาก 7. นกั เรยี นมโี อกาสไดเ้ รียนรูห้ รือคน้ ควา้ หาคาตอบ ด้วยตนเอง........................................................................ 4.00 0.52 พงึ พอใจมาก 8. นกั เรยี นมอี สิ ระในการตัดสนิ ใจ........................................ 3.39 0.49 พึงพอใจปานกลาง 9. เน้ือหาครอบคลมุ และสอดคลอ้ งกบั ผลการเรยี นรู้ ท่คี าดหวงั การเรยี นรู้....................................................... 4.08 0.28 พึงพอใจมาก 10. นักเรยี นไดค้ ิด วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ อย่างมีเหตุผล............ 4.08 0.41 พึงพอใจมาก รวม 4.07 0.41 พึงพอใจมาก จากตารางท่ี 6 พบวา่ นักเรยี นมีความพงึ พอใจตอ่ การเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรอ่ื ง เวกเตอร์ โดยรวม อย่ใู นระดบั มาก ( X = 4.07 , S.D. = 0.41) เมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายขอ้ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมากท่ีสุด 1 ข้อ คือ การเร้าความสนใจ กระตือรือร้นอยากเรียนคณิตศาสตร์ มีความพึงพอใจระดับมาก 8 ข้อ เรียงลาดับจากมากไปหาน้อยสามอันดับดังนี้ รูปแบบของเอกสาร ประกอบการเรยี นน่าสนใจ เนื้อหาชวนอา่ นและให้ความรู้เป็นอย่างดี และนกั เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดี ยงิ่ ขน้ึ อย่ใู นระดบั ปานกลาง 1 ขอ้ คือ นกั เรียนมีอิสระในการตดั สินใจ
36 บทท่ี 5 สรุป อภปิ รำย และขอ้ เสนอแนะ การศึกษาครั้งน้ีเป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ผ้รู ายงานสรุปผลการศึกษาได้ ดังน้ี 1. สรปุ ผลการศกึ ษา 2. อภปิ รายผล 3. ข้อเสนอแนะ 1. สรปุ ผลกำรศึกษำ จาการศึกษาสามารถสรุปผลการสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้ดังนี้ 1. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 5 โดยใช้ E1/ E2 ปรากฏว่า นักเรียนท่ีผ่านกระบวนการเรียนการสอนที่เรียนเอกสารประกอบ การเรียน เรอ่ื ง เวกเตอร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 โดยไดค้ ะแนนแบบทดสอบระหว่างเรียนเฉลี่ยคอื 64.06 คะแนน จากคะแนนเตม็ 80 คะแนน คิดเปน็ รอ้ ยละ 80.06 แบบทดสอบหลงั เรียนเมือ่ เรยี นจากการใช้ เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ได้คะแนนเฉลี่ยคือ 15.95 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 79.77 ซึ่งอยใู่ นเกณฑ์ทก่ี าหนดไว้ 2. การวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เท่ากับ 0.75 ซึ่งแสดงวา่ ผเู้ รยี นมีความสามารถในการเรียนเพิม่ ขึ้นรอ้ ยละ 75 3. การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) พบว่า คะแนนสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียนดว้ ยเอกสารประกอบการเรียน เรอื่ ง เวกเตอร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษา ปีท่ี 5 โดยคะแนนรวมก่อนเรียน คือ 93 คะแนน และคะแนนรวมหลังเรียน คือ 351 คะแนน นักเรียน มีพฒั นาการท่ีสูงข้นึ อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .01 4. การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรยี นท่ีมีต่อเอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.07, S.D. = 0.41) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมากท่ีสุด 1 ข้อ คือ การเร้าความสนใจ กระตือรือร้นอยากเรยี นคณิตศาสตร์ มีความพึงพอใจระดับมาก 8 ข้อ เรียงลาดับจากมากไปหาน้อยสามอันดับดังนี้ รูปแบบของเอกสาร
37 ประกอบการเรียนน่าสนใจ เนอื้ หาชวนอา่ นและให้ความรู้เป็นอย่างดี และนกั เรยี นเข้าใจบทเรียนได้ดี ยง่ิ ขึ้น อยู่ในระดับปานกลาง 1 ข้อ คือ นักเรียนมอี ิสระในการตัดสนิ ใจ 2. อภิปรำยผล จากการศึกษาการสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีขอ้ ค้นพบที่สามารถนามาอภปิ รายผล ดังน้ี 1. เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึน มีประสิทธิภาพ 80.06/79.77 อยู่ในเกณฑ์ที่ต้ังไว้ 80/80 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเอกสารประกอบ การเรียนท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น ศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องและเน้นหลักสาคัญในการจัดทาเอกสาร ประกอบการเรียน และเรยี บเรียงเน้อื หาให้ผูอ้ า่ นเขา้ ใจงา่ ย 2. ดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ผวู้ ิจยั ได้ทาการศึกษาเท่ากับ 0.75 แสดงให้เห็นวา่ เมอ่ื นกั เรียนทเี่ รยี นโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน นักเรียนมีความรู้สูงข้ึนทั้งนี้อาจเนื่องมาจากผู้รายงานได้สร้าง เอกสารประกอบการเรียน ที่มี องค์ประกอบสาคัญในการสร้างเอกสารประกอบการเรียน และผู้อ่านเข้าใจในสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการ สอ่ื สาร 3. นักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีพัฒนาการสูงข้ึนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะ นกั เรียนท่ไี ดท้ าเอกสารประกอบการเรยี นบอ่ ยๆ ย่อมทาใหเ้ กิดทักษะ มีความคลอ่ งแคล่ว และสามารถ ทาไดด้ ี ซง่ึ เป็นไปตามทฤษฎีการเรยี นรู้ของ ธอร์นไดค์ เก่ียวกับกฎการฝึก (Law of Exercise) ซึง่ สาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์เป็นสาระเก่ียวกับทักษะ ผู้เรียนจะมีความรู้และทักษะท่ีดีจะต้องมีการฝึกฝน บ่อยๆ ดงั นัน้ การฝึกทาเอกสารประกอบการเรียนบ่อยๆ จงึ สง่ ผลตอ่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนที่สูงขน้ึ 4. การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.07 , S.D. = 0.41) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมากท่ีสุด 1 ข้อ คือ การเร้าความสนใจ กระตือรือร้นอยากเรียนคณิตศาสตร์ มีความพึงพอใจระดับมาก 8 ข้อ เรียงลาดับจากมากไปหาน้อยสามอันดับดังน้ี รูปแบบของเอกสาร ประกอบการเรยี นน่าสนใจ เนือ้ หาชวนอา่ นและให้ความรู้เป็นอย่างดี และนักเรยี นเข้าใจบทเรยี นได้ดี ยิ่งขึ้น ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะนักเรียนได้เรียนรู้เอกสารประกอบการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสอดคล้องกับ ความต้องการของผูเ้ รียน เหมาะสมกบั วัย เนอ้ื เร่อื งเหมาะสม และเร้าความสนใจผู้เรียน
38 3. ข้อเสนอแนะ การสร้างเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะสาหรบั การนาไปใช้ 1) ครูควรรู้จักเด็กเป็นรายบุคคลและใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ให้เหมาะสมและความต้องการของนักเรียนจะสามารถพัฒนานกั เรียนได้อยา่ ง เต็มศักยภาพ 2) ครูผู้สอนควรกระตุ้นและให้กาลังใจนักเรียนอย่างใกล้ชิดในขณะทาเอกสาร ประกอบการเรยี น เรื่อง เวกเตอร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 2. ข้อเสนอแนะสาหรบั การศกึ ษาต่อไป 1) ควรมีการศึกษาและสร้างเอกสารประกอบการเรียนในหนว่ ยการเรียนอ่ืนๆ เพื่อเสริม ความเขา้ ใจนกั เรียนมากยิ่งขน้ึ 2) ควรมกี ารพฒั นาและสรา้ งเอกสารประกอบการเรียนท่ใี หน้ ักเรยี นสามารถพฒั นาตนเอง ไดม้ ากยง่ิ ขึ้น
39 บรรณำนุกรม ศกึ ษาธิการ, กระทรวง. (2560). ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณติ ศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ัน พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวจิ ัยเบอื้ งต้น. (พิมพ์ครงั้ ที่ 7). กรุงเทพฯ : สวุ ีริยาสาส์น. ปราณี กองจนิ ดา. (2549). การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นคณติ ศาสตร์และทกั ษะ การคิดเลขในใจของนกั เรยี นท่ีได้รับการสอนโดยใช้ค่มู อื . (วทิ ยานพิ นธ์ครศุ าสตร์ มหาบณั ฑติ , สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน สถาบันราชภัฏพระนครศรอี ยุธยา). พมิ พันธ์ เดชะคุปต์. (2548). การเรยี นการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลาง. กรงุ เทพฯ : เดอะมาสเตอร์กรุ๊ปแมเนจเม้นท์. วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน.์ (2549). นวตั กรรมตามแนวคิด Backward Design. มหาสารคาม : ภาควิชาหลกั สตู รและการสอนคณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. สมพร เช้อื พันธ์. (2547). การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นคณิตศาสตร์ของนกั เรยี น ชน้ั มธั ยมศึกษาชน้ั ปีท่ี 3 โดยใชว้ ธิ กี ารจัดการเรียนการสอนแบบสรา้ งองค์ความรู้ ด้วยตนเองกบั การจดั การเรยี นการสอนตามปกติ. (วทิ ยานพุ นธ์ครศุ าสตรมหาบัณฑิต, สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน สถาบนั ราชภฏั พระนครศรีอยธุ ยา). สามารถ มีศร.ี (2530). การสรา้ งแบบฝึกสาหรับเด็ก. กรงุ เทพฯ : บรรณกิจ. สุวทิ ย์ มูลคา และสุนนั ทา สนุ ทรประเสรฐิ . (2550). ผลงานทางวิชาการสู่...การเลอื่ นวิทยฐานะ. กรุงเทพฯ : อี เคบุคส์ สุนนั ทา สนุ ทรประเสรฐิ . (2547). แนวทางการผลิตนวัตกรรมการเรียนการสอนการผลติ ชุดการสอน. กรุงเทพฯ : ธรรมรักษ์การพิมพ.์
แบบทดสอบก่อนเรียน หนา้ 1 คณติ ศาสตรเ์ พ่ิมเติม 4 (ค32201) โรงเรยี นมธั ยมวัดเบญจมบพติ ร เรอ่ื ง เวกเตอร์ ตอนท่ี 1 แบบปรนัย 5 ตัวเลอื ก เลือก 1 คำตอบที่ถกู ท่สี ุด จำนวน 20 ขอ้ (ข้อ 1 - 20) 1. ขอ้ ใดตอ่ ไปนถี้ ูกตอ้ ง 1) ถำ้ u ขนำนกับ v แลว้ u = v 2) ถ้ำ u มีทิศทำงเดียวกบั v แลว้ u = v 3) ถ้ำ u ยำวเทำ่ กบั v แลว้ u = v 4) ถ้ำ u = v แลว้ u ทิศทำงตรงกันขำ้ มกับ v 5) ถ้ำ u = v แลว้ u มที ิศเดียวกับ v และ u ยำวเทำ่ กบั v 2. จำกรูปหกเหลยี่ มด้ำนเท่ำมุมเท่ำ ข้อใดตอ่ ไปนีไ้ ม่ถกู ต้อง A B E C 1) AB + BC = AC D 2) AE + ED = AB + BD 3) AF + FE + ED = AC + CD F 4) AC + CD + DE = AF + FD 5) AE + EB + BD + DA = BA + AB 3. ในรูป ABC เสน้ AD เปน็ เส้นมัธยฐำน BA = a และ BD = b จงหำวำ่ CA คอื ขอ้ ใดต่อไปนี้ 1) a A 2) b 3) a - b 4) a - 2b 5) a + 2b B DC 4. จำกรูป ABCD เปน็ รูปสเ่ี หล่ียมดำ้ นขนำน O เป็นจดุ กึ่งกลำงของเส้นทแยงมมุ BD กำหนด AB = u , AD = v แลว้ AO เท่ำกบั ขอ้ ใดต่อไปนี้ 1) u + v 2) u - v C D 3) 2v + 2u 4) v - u O 5) v + u 2 BA 2
แบบทดสอบก่อนเรียน หน้า 2 คณติ ศาสตรเ์ พิม่ เติม 4 (ค32201) โรงเรียนมธั ยมวัดเบญจมบพิตร เรื่อง เวกเตอร์ 5. กำหนดจุด A(1, 2), B(2, 3) และ C(5, 6) แลว้ AB + BC เท่ำกับข้อใดต่อไปน้ี 1) 2 2) 1 3) -4 4) 4 5) 4 4 2 4 4 2 6. กำหนดให้ CD = -3 และ C(2, 3) แลว้ พิกัดของจดุ D เทำ่ กบั ขอ้ ใดต่อไปนี้ 1 1) (1, 4) 2) (-1, 4) 3) (1, -4) 4) (-1, -4) 5) (1, 5) 7. กำหนดให้ A(-1, 3), B(x, y), C(4, 6) และ AB = -5 แล้ว BC เทำ่ กบั เวกเตอร์ข้อใดต่อไปน้ี 4 1) 10 2) -10 3) 10 4) -10 5) 10 1 1 -1 -1 2 8. กำหนดให้ u = ai - 2j และ v = 2i - 3j ถำ้ u ขนำนกับ v แลว้ a มีค่ำเท่ำกับขอ้ ใดต่อไปน้ี 1) 4 2) 3 3) 2 4) 3 5) 2 34325 1 9. ขนำดของเวกเตอร์ 1 มคี ่ำเทำ่ กบั ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ 3 1) 2 2) 5 3) 10 4) 11 5) 13 10. ถ้ำ u = ai + 12j และ u = 13 แลว้ a เท่ำกับข้อใดตอ่ ไปนี้ 1) 2 2) 5 3) 5 4) 10 5) 10 11. เวกเตอรท์ ีม่ ขี นำด 3 หน่วย และมีทศิ ตรงกันข้ำมกบั เวกเตอร์ 2 คือข้อใดต่อไปน้ี 4 1) 6 i + 12 j 2) 6 i - 12 j 3) - 6 i + 12 j 20 20 20 20 20 20 6 i- 12 j 6 i- 12 k 4) - 20 20 5) - 20 20 ก
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หนา้ 3 คณติ ศาสตร์เพิม่ เติม 4 (ค32201) โรงเรยี นมัธยมวดั เบญจมบพติ ร เรอ่ื ง เวกเตอร์ 12. กำหนดให้ u = 13, v = 2 และ u + v = 14 คำ่ ของ u v คือข้อใดต่อไปน้ี 1) -50 2) -26 3) -11.5 4) 11.5 5) 26 13. กำหนดมุมระหว่ำง u กับ v เป็น 60o และ u = 5, v = 8 แล้ว u - v มีค่ำเท่ำกับข้อใด ตอ่ ไปน้ี 1) 1 2) 7 3) 13 4) 113 5) 129 14. กำหนด u = 15, v = 8 และ u ต้ังฉำกกับ v แลว้ u + v คอื ข้อใดตอ่ ไปนี้ 1) 13 2) 15 3) 17 4) 19 5) 23 15. กำหนดให้ u = 2i - 3j, v = i - 5j แล้ว u v มคี ่ำเท่ำกบั ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ 5) -7k 1) 7i 2) 7j 3) -7i 4) -7 j 16. กำหนดให้ u = 2i + 3k, v = i + 5k แลว้ u v มีค่ำเท่ำกับข้อใดต่อไปนี้ 1) 7i 2) 7j 3) -7i 4) -7 j 5) -7k 17. ถ้ำ u = 2i + j - 3k , v = i - 2j + k แล้วเวกเตอร์ที่มีขนำด 3 หน่วย และตั้งฉำกกับ u และ v คือเวกเตอรใ์ นข้อใดตอ่ ไปน้ี 1) 3 (i + j + k) 2) 3 (i + j - k) 3) 3 (-i - j + k) 4) 3 (i - j - k) 5) 3 (-i + j - k) 18. กำหนดให้ AB = i + 3j + 4k และ AD = 3i - 2j + k แลว้ พื้นทขี่ องรูปสี่เหลย่ี มดำ้ นขนำน ABCD มคี ำ่ เท่ำกบั ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ 1) 5 3 2) 11 3 3) 8 4) 10 5) 11 19. พ้ืนท่ีของรูปสำมเหลี่ยมที่มีจุดยอดเป็น A(1, -1, 3), B(2, 3, -2) และ C(1, 1, 5) มีค่ำเท่ำกับข้อใด ต่อไปนี้ 1) 65 2) 83 3) 88 4) 97 5) 117 20. ทรงสเ่ี หลยี่ มดำ้ นขนำนทมี่ ี u = i + j, v = j + k , r = i + k เป็นด้ำน มีปริมำตรก่ีลกู บำศกห์ น่วย 1) 2.0 2) 2.5 3) 4.0 4) 5.5 5) 6.07
แบบทดสอบหลังเรยี น หนา้ 1 คณติ ศาสตรเ์ พมิ่ เตมิ 4 (ค32201) โรงเรยี นมธั ยมวัดเบญจมบพติ ร เรอ่ื ง เวกเตอร์ ตอนที่ 1 แบบปรนัย 5 ตัวเลอื ก เลือก 1 คำตอบที่ถกู ท่สี ุด จำนวน 20 ขอ้ (ข้อ 1 - 20) 1. ข้อใดตอ่ ไปนถี้ กู ต้อง 1) ถำ้ u ขนำนกบั v แลว้ u = v 2) ถ้ำ u มที ิศทำงเดียวกบั v แลว้ u = v 3) ถ้ำ u ยำวเท่ำกบั v แลว้ u = v 4) ถ้ำ u = v แลว้ u ทิศทำงตรงกันขำ้ มกับ v 5) ถ้ำ u = v แล้ว u มที ิศเดียวกับ v และ u ยำวเทำ่ กบั v 2. จำกรปู หกเหล่ยี มดำ้ นเท่ำมุมเท่ำ ข้อใดตอ่ ไปนีไ้ ม่ถกู ต้อง A B E C 1) AB + BC = AC D 2) AE + ED = AB + BD 3) AF + FE + ED = AC + CD F 4) AC + CD + DE = AF + FD 5) AE + EB + BD + DA = BA + AB 3. ในรปู ABC เสน้ AD เปน็ เส้นมัธยฐำน BA = a และ BD = b จงหำวำ่ CA คอื ขอ้ ใดต่อไปนี้ 1) a A 2) b 3) a - b 4) a - 2b 5) a + 2b B DC 4. จำกรูป ABCD เป็นรูปสเ่ี หล่ียมดำ้ นขนำน O เป็นจดุ กึ่งกลำงของเส้นทแยงมมุ BD กำหนด AB = u , AD = v แลว้ AO เท่ำกบั ขอ้ ใดต่อไปนี้ 1) u + v 2) u - v C D 3) 2v + 2u 4) v - u O 5) v + u 2 BA 2
แบบทดสอบหลังเรยี น หน้า 2 คณติ ศาสตร์เพิม่ เตมิ 4 (ค32201) โรงเรียนมธั ยมวัดเบญจมบพิตร เรื่อง เวกเตอร์ 5. กำหนดจุด A(1, 2), B(2, 3) และ C(5, 6) แลว้ AB + BC เท่ำกับข้อใดต่อไปน้ี 1) 2 2) 1 3) -4 4) 4 5) 4 4 2 4 4 2 6. กำหนดให้ CD = -3 และ C(2, 3) แลว้ พิกัดของจดุ D เทำ่ กบั ขอ้ ใดต่อไปนี้ 1 1) (1, 4) 2) (-1, 4) 3) (1, -4) 4) (-1, -4) 5) (1, 5) 7. กำหนดให้ A(-1, 3), B(x, y), C(4, 6) และ AB = -5 แล้ว BC เทำ่ กบั เวกเตอร์ข้อใดต่อไปน้ี 4 1) 10 2) -10 3) 10 4) -10 5) 10 1 1 -1 -1 2 8. กำหนดให้ u = ai - 2j และ v = 2i - 3j ถำ้ u ขนำนกับ v แลว้ a มีค่ำเท่ำกับขอ้ ใดต่อไปน้ี 1) 4 2) 3 3) 2 4) 3 5) 2 34325 1 9. ขนำดของเวกเตอร์ 1 มคี ่ำเทำ่ กบั ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ 3 1) 2 2) 5 3) 10 4) 11 5) 13 10. ถำ้ u = ai + 12j และ u = 13 แลว้ a เท่ำกับข้อใดตอ่ ไปนี้ 1) 2 2) 5 3) 5 4) 10 5) 10 11. เวกเตอรท์ ี่มีขนำด 3 หน่วย และมีทศิ ตรงกันข้ำมกบั เวกเตอร์ 2 คือข้อใดต่อไปน้ี 4 1) 6 i + 12 j 2) 6 i - 12 j 3) - 6 i + 12 j 20 20 20 20 20 20 6 i- 12 j 6 i- 12 k 4) - 20 20 5) - 20 20 ก
แบบทดสอบหลังเรียน หนา้ 3 คณติ ศาสตร์เพิม่ เติม 4 (ค32201) โรงเรยี นมัธยมวดั เบญจมบพติ ร เรอ่ื ง เวกเตอร์ 12. กำหนดให้ u = 13, v = 2 และ u + v = 14 คำ่ ของ u v คือข้อใดต่อไปน้ี 1) -50 2) -26 3) -11.5 4) 11.5 5) 26 13. กำหนดมุมระหว่ำง u กับ v เป็น 60o และ u = 5, v = 8 แล้ว u - v มีค่ำเท่ำกับข้อใด ตอ่ ไปน้ี 1) 1 2) 7 3) 13 4) 113 5) 129 14. กำหนด u = 15, v = 8 และ u ต้ังฉำกกับ v แลว้ u + v คอื ข้อใดตอ่ ไปนี้ 1) 13 2) 15 3) 17 4) 19 5) 23 15. กำหนดให้ u = 2i - 3j, v = i - 5j แล้ว u v มคี ่ำเท่ำกบั ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ 5) -7k 1) 7i 2) 7j 3) -7i 4) -7 j 16. กำหนดให้ u = 2i + 3k, v = i + 5k แลว้ u v มีค่ำเท่ำกับข้อใดต่อไปนี้ 1) 7i 2) 7j 3) -7i 4) -7 j 5) -7k 17. ถ้ำ u = 2i + j - 3k , v = i - 2j + k แล้วเวกเตอร์ที่มีขนำด 3 หน่วย และตั้งฉำกกับ u และ v คือเวกเตอรใ์ นข้อใดตอ่ ไปน้ี 1) 3 (i + j + k) 2) 3 (i + j - k) 3) 3 (-i - j + k) 4) 3 (i - j - k) 5) 3 (-i + j - k) 18. กำหนดให้ AB = i + 3j + 4k และ AD = 3i - 2j + k แลว้ พื้นทขี่ องรูปสี่เหลย่ี มดำ้ นขนำน ABCD มคี ำ่ เท่ำกับขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ 1) 5 3 2) 11 3 3) 8 4) 10 5) 11 19. พ้ืนท่ีของรูปสำมเหลี่ยมที่มีจุดยอดเป็น A(1, -1, 3), B(2, 3, -2) และ C(1, 1, 5) มีค่ำเท่ำกับข้อใด ต่อไปนี้ 1) 65 2) 83 3) 88 4) 97 5) 117 20. ทรงสีเ่ หลยี่ มด้ำนขนำนทมี่ ี u = i + j, v = j + k , r = i + k เป็นด้ำน มีปริมำตรก่ีลกู บำศกห์ น่วย 1) 2.0 2) 2.5 3) 4.0 4) 5.5 5) 6.07
Search