Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2 บทที่ 2 - 1

2 บทที่ 2 - 1

Published by sudarat3265, 2019-08-21 03:54:44

Description: 2 บทที่ 2 - 1

Search

Read the Text Version

ภาพเส้นทางข้นึ ลงเขาคาในอดตี เปน็ เส้นทางระหวา่ งลาํ นา้ํ คลองท่าทนกบั กลมุ่ โบราณสถานบนเขาคา ในปัจจบุ นั สามารถเดินขึน้ ลงได้ โดยมเี ส้นทางลดั เลาะไปตามคลองทา่ ทนจนถงึ ทต่ี งั้ ของสาํ นกั งานโบราณสถานเขาคา เขาคาลกู ที่ 2 ประกอบดว้ ยโบราณสถานก่อด้วยอฐิ จาํ นวน 4 แหง่ สระน้ําโบราณอีก 3 แหง่ คือ โบราณสถานหมายเลข 1 ปัจจุบนั ถูกทําลายจนไม่เห็นสภาพเดิม เห็นเพยี งแนวกําแพงอิฐล้อมรอบ เข้าใจ วา่ ใช้เปน็ ท่พี ักของนกั แสวงบุญเมอ่ื ข้นึ ถงึ ยอดเขา ก่อนเขา้ ทําพธิ ีในโบราณสถานหมายเลข 2 ตอ่ ไป ภาพอาคารหมายเลข 1 อาคารถูกทาํ ลายจนหมดสนิ้ หลงเหลอื เฉพาะแนวกําแพงล้อมรอบอาคาร ภาพท่เี ห็นเปน็ แนว กาํ แพงดา้ นตะวันตก พน้ื ทข่ี องอาคารหมายเลข 1 กวา้ งขวางทสี่ ุด นา่ จะใช้เป็นจดุ พกั ของคนทข่ี ึ้นมาบนเขาคา และ น่าจะมเี ทวรปู พระวิษณตุ ้ังอยู่ เพอ่ื ใชท้ ําพธิ ีกรรมตามความเช่อื ของศาสนาพราหมณเ์ ป็นเบ้ืองตน้

ภาพฐานเสาของอาคาร และ ธรณีประตู มปี รากฏอยใู่ นบริเวณพื้นที่ของอาคารโบราณสถานหมายเลข 1 เนือ่ งจาก อาคารหลังนถี้ ูกปรบั พ้นื ท่ีเพ่ือสรา้ งอาคารในศาสนาพุทธ แตก่ ย็ กเลิกไปไม่มีการก่อสร้างแต่อยา่ งใด ภาพบนั ไดขนึ้ ลงสระน้ํา และ ภาพสระนํา้ อยทู่ างซา้ ยมือกอ่ นกา้ วบันไดขึ้นส่อู าคารหลกั ซ่งึ เป็นอาคารประธาน สมัย โบราณมีความอดุ มสมบูรณ์ของปา่ ไมอ้ ยู่มาก สระน้ําจึงมแี หลง่ น้ําซบั คอยเตมิ เตม็ อยู่ตลอดเวลา น้ําจากสระแหง่ น้ี นําไปใชใ้ นพธิ ีสรงนาํ้ ศวิ ลึงคท์ ว่ี างอย่บู นฐานโยนโิ ทรณะ ท่ปี ระดษิ ฐ์อยใู่ นอาคารหมายเลข 2

ภาพบนั ไดทางขน้ึ อาคารประธาน ระหวา่ งทางข้นึ ซา้ ยมอื มสี ระนา้ํ กอ่ นขึ้นบันได เพือ่ ก้าวเขา้ สอู่ าคารหมายเลข 2 อนั เปน็ อาคารทใ่ี ช้ประกอบพิธีกรรมสําคัญตอ่ ไป ภาพโบราณสถานหมายเลข 2 เป็นอาคารขนาดใหญ่ทส่ี ุดบนเขาคา ใชใ้ นการประกอบพธิ กี รรมสําคัญของศาสนา พราหมณ์ มโี ยนโิ ทรณะวางอยู่ทเ่ี ดิม แตไ่ มเ่ หน็ ศวิ ะลงึ ค์ บนั ไดทางเขา้ อาคารหมายเลข 2 อยู่ทางด้านทศิ ตะวันตก

ภาพทอ่ โสมสตู ร หรอื อาจเปน็ ทอ่ ระบายน้าํ อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกของโบราณสถานหมายเลข 2 อาจใชใ้ นพิธีสรงน้ํา ศวิ ลึงคผ์ า่ นฐานโยนโิ ทรณะ สายนาํ้ ผา่ นท่อโสมสตู รไหลลงไหลเ่ ขาด้านทศิ ตะวันออก หรอื อาจเปน็ ทอ่ ระบายนํ้าธรรมดา ท่รี ะบายนํา้ ออกจากพนื้ ท่ีรอบอาคารหมายเลข 2 ทอ่ ดงั กลา่ วมี 2 อัน อยู่ทางทิศเหนือ 1 อยู่ทางทศิ ใต้ 1 ภาพโบราณสถานหมายเลข 3 ถดั จากโบราณสถานหมายเลข 2 ไปทางด้านทิศใต้ อาคารหลังนน้ี ่าจะใช้เป็นทพ่ี กั ของ พราหมณ์ผ้มู ีหนา้ ทด่ี ูแลศาสนสถานพราหมณ์บนเขาคา เป็นระดับเจ้าหนา้ ทร่ี องลงมาจากหัวหน้าพราหมณ์

ภาพอาคารหมายเลข 4 ตัง้ อยู่ทางทศิ ใตส้ ดุ เปน็ อาคารหลงั สดุ ทา้ ยบนเขาคาลกู ท่ี 2 มโี ยนิโทรณะสร้างเลียนแบบ ธรรมชาติวางอยู่ น่าจะใชร้ องรบั ศวิ ะลึงค์องคเ์ ลก็ ๆ ทีม่ ตี ิดตวั อยู่กบั พราหมณ์ทกุ คน อาคารหลังนน้ี ่าจะเป็นท่พี ักของ เหลา่ หัวหนา้ พราหมณ์ มหี นา้ ทคี่ วบคุมดแู ลศาสนสถานบนเขาคาท้งั หมด ภาพศวิ ลึงค์และกาํ แพงเกา่ เปน็ ศวิ ลงึ คท์ ตี่ ง้ั ประจาํ บนฐานโยนโิ ทรณะในอาคารหมายเลข 2 ศวิ ลงึ ค์เก็บรกั ษาไว้ท่ที าํ การโบราณสถานเขาคา ภาพกาํ แพงเกา่ ของอาคารหมายเลข 2 เป็นอาคารทส่ี มบรู ณท์ สี่ ุดในบรรดาอาคารท้งั 4 หลงั

ภาพฐานโยนโิ ทรณะ ภาพซา้ ยเปน็ โยนทิ ่ีตงั้ อยใู่ นอาคารหมายเลข 4 สาํ หรบั ให้เหลา่ พราหมณส์ รงนาํ้ ดว้ ยศิวลึงค์ ประจําตวั ภาพขวาเป็นโยนโิ ทรณะในอาคารหมายเลข 2 ใชว้ างศวิ ลึงค์ทเี่ ห็นอย่ขู า้ งบนโดยวางในชอ่ งทเ่ี จาะเอาไว้ 23. โบราณสถานถ้ําเขาพลีเมอื ง ตาํ บลสิชล อาํ เภอสชิ ล จงั หวดั นครศรธี รรมราช วนั ท่ี 27 มนี าคม 2557 นายเอนก สีหามาตย์ อธบิ ดีกรมศลิ ปากร เปดิ เผยวา่ ได้รับรายงานว่ามกี ารขุดพบศิวลงึ ค์ ทองคาํ 2 องค์ ซึ่งขุดคน้ พบจากถ้ําบนเขาพลเี มือง ต.สิชล อ.สิชล จ.นครศรธี รรมราช โดย นายเสกสันต์ นาคกลัด ชาวบ้านไดเ้ ข้าไปขดุ มูลค้างคาวในถาํ้ ดงั กลา่ ว พบแผ่นอิฐขนาด 16 ซม. ยาว 30 ซม. เรยี งกนั อย่จู งึ งดั แผน่ อฐิ ดงั กล่าว พบอิฐแผน่ รปู สเี่ หล่ียมจัตุรสั เมื่อยกอฐิ ขึ้น กพ็ บวา่ ภายในมีผอบทาํ ด้วยโลหะมี ฝาปิด เมื่อเปิดฝาผอบออกจงึ พบ ศวิ ลึงคท์ องคาํ จากการตรวจสอบของกรมศิลปากรพบว่าศิวลงึ ค์ ทองคาํ องค์แรกมขี นาดความสงู รวม 2 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8 ซม. นํ้าหนัก 12.7 กรัม สว่ นองค์ที่ 2 ขนาดสว่ นสงู รวม 2 ซม. เส้นผา่ ศูนย์กลาง 0.9 ซม. น้าํ หนัก 19 กรมั จากการประเมนิ อายุและลักษณะ ของศิวลึงค์ ซง่ึ เปน็ แบบประเพณีนิยมอยู่ในราวพทุ ธศตวรรษที่ 12 อายกุ วา่ พันปี จากการเปิดเผยของนายเสกสนั ต์ นาคกลัด ผพู้ บศวิ ลึงคท์ องคํา ยอมรับว่าตนคน้ พบศวิ ลงึ ค์ ทองคําทงั้ หมด 4 องค์ ไดข้ ายไปใหก้ ับนักสะสมของเกา่ โบราณในอําเภอสชิ ลอกี 2 องค์ ปจั จุบนั ศวิ ลึงค์ ทองคํากน็ า่ จะยงั อยูก่ ับนกั สะสมเหลา่ น้ัน ฟงั เสียงของชาวบา้ น พระสงฆอ์ งค์เจ้า และ นักโบราณคดีอสิ ระในพ้นื ท่ีอาํ เภอสชิ ล ต่างลง ความเห็นวา่ ศิวลงึ ค์ทองคาํ ทั้ง 4 องคน์ ้ี เจา้ ของต้องเป็นบุคคลสําคัญระดับกษัตริย์ หรือ เจ้าผู้ปกครอง แคว้น หมายถึงกษัตรยิ ์ของอาณาจักรตามพรลงิ ค์ แต่ไม่ทราบว่าทาํ ไมจงึ ถูกนาํ มาบรรจอุ ยใู่ นท่แี ห่งนี้

ภาพถาํ้ บนเขาพลีเมอื ง ต.สชิ ล อ.สชิ ล จ.นครศรธี รรมราช โดย นายเสกสนั ต์ นาคกลัด ชาวบา้ นไดเ้ ขา้ ไปขดุ มูล คา้ งคาวในถา้ํ ดงั กลา่ ว พบแผ่นอฐิ ขนาด 16 ซม. ยาว 30 ซม. เรียงกันอยจู่ ึงงัดแผน่ อฐิ ดงั กล่าว พบอฐิ แผน่ รปู ส่เี หล่ียม จตั ุรัส เม่อื ยกอฐิ ขึน้ กพ็ บวา่ ภายในมผี อบทาํ ดว้ ยโลหะมีฝาปดิ เมอื่ เปิดฝาผอบออกจงึ พบ ศวิ ลงึ คท์ องคํา ในภาพนาย เสกสันต์ นาคกลดั ยืนอยู่หน้าปากทางเข้าถาํ้ ทางซา้ ยมอื คอยบอกเลา่ เรือ่ งราวใหช้ าวบ้านฟงั

ผ้คู ้นพบไดป้ ระสานจะมอบศิวลึงค์ที่ขดุ พบให้กับกรมศิลปากร เพือ่ เกบ็ รักษาไว้เป็นสมบตั ิของ ชาติ โดยจะมพี ธิ ีมอบในวันท่ี 1 เมษายน 2557 จากนนั้ จะนาํ มาจัดแสดงเพ่ือให้ประชาชนได้ชมและ ศกึ ษาที่พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร 1 องค์ อกี 1 องค์จะนาํ ไปจดั แสดงที่พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช จากหลกั ฐานการคน้ พบวัตถุโบราณมากมาย ความคิดทีว่ า่ อาณาจักรตามพรลงิ ค์ต้ังอยู่ ที่อําเภอสิชลและอาํ เภอท่าศาลาน่าจะเป็นความจรงิ เกือบรอ้ ยเปอร์เซ็นต์ ภาพทางขนึ้ ไปยงั ถา้ํ ทพ่ี บศิวลงึ คท์ องคาํ ภาพอาคารทช่ี าวสิชลรวมกนั บริจาคเงนิ สร้าง เปน็ สถานที่ใชเ้ กบ็ ศวิ ลงึ ค์ ทองคาํ จําลอง ที่จะทาํ การสรา้ งขนึ้ มาใหม่ และ จะไดน้ ํามาเก็บไว้ ณ สถานท่ีแห่งนี้ ปัจจุบันยังไมแ่ ล้วเสรจ็

24. โบราณสถานบ้านนายอภิศักดิ์ ใจหา้ ว ตั้งอยู่ท่บี ้านสระกูด หมู่ 14 ตําบลเสาเภา อาํ เภอสิ ชล จังหวดั นครศรธี รรมราช แหล่งโบราณสถานมพี ้ืนที่ประมาณ 2 ไร่ อาณาเขต ทิศเหนอื ติดต่อกับถนน สายวดั สระใหญ่-ตน้ เหรยี ง ทศิ ใต้ ติดต่อกับทีน่ านางทองมา แก้วจนั ทร์ และนางถ่วั เพยี รไชยนนท์ ทิศ ตะวนั ออก ตดิ ต่อกับทีด่ นิ นางถ่ัว เพยี รไชยนนท์ ทิศตะวันตก ติดตอ่ กบั ที่ดนิ นายมี ศรไี หม หลักฐานที่ พบ แผน่ อฐิ กระจัดกระจายอยู่ท่ัวบริเวณโบราณสถาน จากบรเิ วณโบราณสถานไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 8 เมตร มีสระนํ้าโบราณ 1 สระ สระน้ํามสี ภาพทสี่ มบูรณ์ และ ห่างไปทางทิศเหนือประมาณ 20 เมตร มสี ระนํา้ โบราณอยู่อกี 1 สระ ภาพแหลง่ โบราณสถาน บ้านนายอภศิ ักดิ์ ใจหา้ ว พบแผ่นอิฐกระจายอยทู่ ว่ั สระน้ําโบราณ 2 สระ ในพนื้ ที่ 2 ไร่ ภาพฐานโยนีโทรณะ บ้านนายอาํ นวย ควน เรอื ง มสี ภาพสมบรู ณ์ดมี าก 25. โบราณสถานบา้ นนายอาํ นวย ควรเรอื ง (สระกดู 2) อยทู่ ่ีบา้ นสระกูด หมู่ 9 ตาํ บลเสาเภา อําเภอสชิ ล จงั หวดั นครศรีธรรมราช โบราณสถานสวนนายอาํ นวย ควนเรือง เป็นสวนยางประมาณ 8 ไร่ อยู่ทางทิศเหนือของเขาคา ห่างจากเขาคาราว 500 เมตร มคี ลองทา่ ทนคั่นอยู่ระหวา่ งแหลง่ โบราณสถาน ท้ังสองแหล่ง ลกั ษณะของแหล่งโบราณสถานมลี ักษณะเปน็ สีเ่ หล่ยี มผืนผา้ มรี อ่ งรอยคูน้ํากว้างประมาณ 3 เมตร ภายในแหลง่ โบราณสถานมกี ารพบฐานเสาโยนิโทรณะสภาพสมบูรณ์ กวา้ ง 86 เซนตเิ มตร ยาว 84 เซนตเิ มตร รอบวงกลมรอบนอกมีขนาด 51 เซนตเิ มตร รอบวงกลมวงในมีขนาด 30 เซนติเมตร มีเนนิ โบราณสถานมีขนาดความสูงประมาณ 2 เมตร กว้างประมาณ 4 ตารางเมตร ปัจจุบันนี้เหลือรอ่ งรอย เพียง 2 เนนิ นอกจากนี้ยังพบแผ่นอฐิ กระจดั กระจายอยู่ท่ัวบรเิ วณแหลง่ โบราณสถาน

ภาพวาดสภาพโบราณสถาน บ้านนายนวล สดุขาํ ตาํ บลฉลอง อําเภอสิชล 26. โบราณสถานสวนนายนวล สดุขาํ แหลง่ โบราณสถานสวนนายนวล สดุขาํ ต้ังอยู่ท่ีบ้าน พังกํา หมทู ่ี 8 ตําบลฉลอง อาํ เภอสิชล จงั หวัดนครศรีธรรมราช โบราณสถานสวนของนายนวล สดุขํา มี พน้ื ที่ประมาณ 2 ไร่ หลักฐานท่พี บ โบราณสถานนายนวล สดุขํา ปจั จบุ นั เป็นสวนเงาะพ้นื ที่มลี ักษณะ เป็นเนนิ เมอื่ มกี ารปรับพื้นท่ีเพอื่ ทาํ สวนพบชิ้นส่วนของสถาปัตยกรรม ดงั นี้ ธรณีประตู ทําดว้ ยหนิ ปูน ค้นพบจาํ นวน 3 ชิ้น คือ ช้ินที่ 1 มีขนาดกว้าง 53 เซนตเิ มตร ยาว 122 เซนติเมตร หนา 10 เซนตเิ มตร ขอบดา้ นที่มีรูวงกลมสลักให้ต่ําลงขนาดกว้าง 19 เซนตเิ มตร ลึก 5 เซนติเมตร ปัจจุบันยังเกบ็ รักษาอยใู่ น บรเิ วณนี้ ชนิ้ ที่ 2 มีขนาดกว้าง 79 เซนติเมตร ยาว 126 เซนติเมตร หนา 16 เซนตเิ มตร ปลายดา้ นหนงึ่ ชาํ รดุ ขอบมรี ู ทรงกลมสลักใหต้ ํ่าลงเช่นกัน ขนาดกว้าง 26 เซนตเิ มตร ลึก 5 เซนติเมตร ปจั จุบนั เก็บ รกั ษาที่วดั สธุ รรมาราม (วัดสระใหญ่) ชิน้ ท่ี 3 เกบ็ รักษาไว้ท่ีพพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ นครศรีธรรมราช แผ่นอฐิ มกี ระจัดกระจายอยูท่ ่ัวบริเวณแหลง่ โบราณสถาน มีท้งั ทส่ี มบรู ณ์และไม่สมบรู ณ์ แผ่นอฐิ ที่ สมบรู ณ์ มีขนาด กวา้ ง 20 เซนติเมตร ยาว 42 เซนติเมตร หนา 7 เซนติเมตร สระนา้ํ โบราณ รอบบรเิ วณ แหล่งโบราณคดีมีสระนํ้าโบราณจาํ นวน 3 สระ ปัจจุบันสระน้าํ โบราณมหี ญ้ารกปกคลุมอยู่ 27. วัดพระโอน (รา้ ง) หมู่ 13 ตําบลฉลอง อาํ เภอสชิ ล 8 องศา 54 ลปิ ดา 36 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 49 ลิปดา 48 พลิ ิปดาตะวันออก พบเนนิ โบราณรูปสี่เหล่ยี มผืนผ้า ขนาด 25x36 เมตร สงู ประมาณ 2 เมตร พบบ่อนาํ้ โบราณรปู สเ่ี หลย่ี มจตั ุรัส 1 บ่อ มีอายุประมาณพุทธศตวรรษท่ี 11-14 28. วัดเบกิ หมู่ 4 ตาํ บลฉลอง อําเภอสชิ ล 8 องศา 55 ลิปดา 12 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 51 ลิปดา 00 พิลปิ ดาตะวันออก พบเนนิ โบราณสถาน และ สระนํ้าโบราณ ช้ินสว่ นสถาปัตยกรรม ได้แก่ กรอบประตู จํานวน 3 ชน้ิ สถานท่ีตั้ง ตั้งอยูท่ บี่ ้านดอนม่วง หม่ทู ี่ 4 ตาํ บลฉลอง อําเภอสิชล จงั หวัด นครศรีธรรมราช มีพ้นื ที่ประมาณ 22 ไร่ อาณาเขต ทศิ เหนอื ติดต่อกับท่ีดนิ นายเอือ้ ม ใจห้าว ทิศใต้ ตดิ ตอ่ กบั ที่ดนิ นางเฟ่ือง เพชรช่วย ทิศตะวนั ออก ติดตอ่ กับทีด่ ินนายโสรตั น์ ใจห้าว ทิศตะวันตก ติดต่อกบั ท่ีดนิ ของ นายดวง พรหมคีรี ประวัติความเปน็ มา ในอดีตพ้ืนที่บรเิ วณวัดเป็นทลี่ มุ่ ทางน้าํ จึงใชเ้ ป็น เส้นทางคมนาคมของเรือสาํ เภา วันหน่งึ มเี รอื สําเภาลาํ หน่ึงเกดิ อับปางลง และ มีพระพุทธรปู ลักษณะเบกิ เนตรตกอย่ตู รงแอ่งนา้ํ บริเวณนนั้ ต่อมาเมอ่ื มีการสรา้ งวัดชาวบ้านตง้ั ชอื่ วัดวา่ วัดเบิกเนตร ภายหลังเรียก เพยี งสน้ั ๆ ว่าวัดเบกิ ลักษณะทั่วไป ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบ พ้นื ทรายภายในบรเิ วณวัดขาว สะอาด ภายในวัดร่มร่นื ด้วยต้นไม้ยนื ต้นสูงใหญ่นานาพันธุ์ มีไม้ผลประปราย ได้แก่ มะพรา้ ว มงั คุด

ทเุ รียน และ สวนยางพารา หลกั ฐานที่พบ หลักฐานทางประวัติศาสตรแ์ ละโบราณคดที ่ีค้นพบอยใู่ น บรเิ วณวัด มีดังนี้ 1.กรอบประตู ทาํ ด้วยหินปูน มีจาํ นวน 3 ชิน้ ชิ้นท่ี 1 มีขนาดยาว 159 เซนติเมตร กว้าง 56 เซนติเมตร หนา 11.5 เซนตเิ มตร วางอยู่ด้านหนา้ หอระฆัง ชิน้ ที่ 2 มีขนาดยาว 173 เซนตเิ มตร กว้าง 59 เซนตเิ มตร หนา 7.5 เซนตเิ มตร วางอยู่ด้านหน้าหอระฆัง ชนิ้ ท่ี 3 ชํารุดวางรองโยนิวางข้างหอระฆัง มี ขนาดยาว 123 เซนติเมตร กวา้ ง 51 เซนติเมตร หนา 6 เซนตเิ มตร 2.โยนิโทรณะ ทําดว้ ยหินปูน มขี นาด ยาว 112 เซนติเมตร กว้าง 89 เซนติเมตร รอบวงกลมมขี นาด 29 เซนติเมตร วางอย่ดู ้านขา้ งหอระฆงั 3. หนิ บดยา มีขนาดยาว 44 เซนติเมตร กว้าง 23 เซนตเิ มตร สงู 14 เซนติเมตร เก็บรกั ษาอยู่ในกุฏิเจา้ อาวาส 4.แผน่ อฐิ มสี ภาพสมบูรณ์ มขี นาดยาว 40 เซนติเมตร กว้าง 18.9 เซนตเิ มตร หนา 10 เซนติเมตร 5.เจดยี ท์ รงสีเ่ หลยี่ ม มลี กั ษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สบิ สอง ลดหล่ันเป็นสามช้ัน มฐี านสี่ เหลีย่ มรองรบั ซ่ึงอดีตเจา้ อาวาสไดก้ ่อสร้างครอ่ มเจดียอ์ งคเ์ กา่ เมอื่ พ.ศ. 2512 เพื่อป้องกนั การลักลอบ ขดุ หาสิ่งของมคี า่ ภายในเจดีย์ 6.พระพุทธรูปศลิ าทรายแดง สภาพชาํ รุด พระเศียรหักหายไป แขนทั้ง สองขา้ งขาดหาย ลกั ษณะน่ังขัดสมาธอิ ยู่หลงั พระประธานภายในอุโบสถ มีขนาดความสงู 60 เซนติเมตร หน้าตักกวา้ ง 50 เซนตเิ มตร 7.พระประธาน ภายในพระอุโบสถเปน็ ฝมี ือชา่ งศิลปะท้องถน่ิ มีขนาดความ สงู 378 เซนตเิ มตร หนา้ ตกั กว้าง 297 เซนติเมตร พระบริวาร เปน็ ฝมี ือช่างศิลปะท้องถิน่ มีขนาดความ สูง 170 เซนตเิ มตร หนา้ ตัก กวา้ ง 113 เซนติเมตร 8.พระพุทธรปู ยนื เคร่ืองทําด้วยไม้ พระเศยี รสวม เทริดโนรา ตกแตง่ ระบายสี มีขนาดความสงู 100 เซนตเิ มตร ฐานสูง 28 เซนตเิ มตร ปัจจุบนั เก็บรักษาอยู่ ในกุฏเิ จ้าอาวาส สถาปัตยกรรมของแหล่งศลิ ปกรรมวดั เบิก 9.พระอุโบสถ เปน็ พระอโุ บสถเกา่ แก่มี ลักษณะคร่ึงปูนครึ่งไม้ ด้านหน้าและด้านหลงั มปี ระตเู ขา้ ออกดา้ นละ 1 บาน ไม่มบี านหน้าต่าง ภายใน อโุ บสถมีเสาเรียงรายท้งั 2 ด้าน เพอ่ื ค้าํ หลังคาอุโบสถเอาไว้ ภายในประดษิ ฐานพระประธานซ่ึงเป็น พระพุทธรปู ปูนปั้นเก่าแก่ มีโตะ๊ หม่บู ูชาและโอ่งน้ํามนต์ มพี ระบริวารซา้ ยขวา ท้ังสององค์เป็นศิลปะสกุล ช่างท้องถ่ิน รอบพระอุโบสถมีใบเสมามฐี านสงู เป็นรูปสเี่ หลีย่ ม ทําด้วยอิฐดินเผาเป็นลวดลายกลบี ดอกไม้ ทง้ั 4 ด้าน หอระฆัง มีลักษณะรูปทรงสมยั ปัจจุบนั มี 2 ช้ัน ชั้นล่างแขวนกลอง ช้นั บนมีระฆังทองเหลอื ง แขวนอยู่ 2 อนั ด้านข้างหอระฆังมีช้ินส่วนโยนิโทรณะ กรอบประตู และ แผ่นอิฐวางอยู่ ภาพฐานโยนโิ ทรณะ แหลง่ โบราณสถาน วัดเบกิ ตรงบนั ไดทางขึ้นหอระฆัง ตาํ บล ฉลอง อาํ เภอสิชล

ภาพบานประตศู ิลา วางอยูท่ ห่ี อระฆังของวดั เบิก 1 ใน 2 บาน ทข่ี ดุ พบทีย่ ังหลงเหลืออยู่ เนื่องจากขาดความสนใจของ ผ้คู น ใครจะหยิบจะฉวย หรอื ชะลอไปไว้ที่ไหนก็ทาํ กันได้โดยสะดวก ไม่มใี ครดูแลหา้ มหวง ภาพบานประตศู ิลา ภาพท่ี 1 บานประตศู ิลาทวี่ ัดเบิกท่ียงั คงหลงเหลืออยู่ ภาพที่ 2 เปน็ อิฐของโบสถ์พราหมณ์ที่ เหลอื อยู่ วัดขนาดของอฐิ ได้ 12 x 6 x 3 นวิ้ ถือว่าใหญม่ าก ทงั้ 2 ภาพวางอยทู่ ่ีหอระฆงั ของวัดเบกิ

29. ถ้ําเขาพรง ถาํ้ เขาพรงตง้ั อยใู่ นพนื้ ท่ี หมู่ 15 ตําบลทุง่ ปรงั อาํ เภอสิชล จังหวดั นครศรีธรรมราช อยู่ห่างจากถนนสายนครศรีธรรมราช-สรุ าษฎรธ์ านี ทิศตะวันตก ประมาณ 6 กโิ ลเมตร โดยมีทางเขา้ 2 ทาง ทางเขา้ ท่ี 1 เข้าทางสีแ่ ยกจอมพบิ ูลย์ ทางเข้าที่ 2 เข้าทางสแ่ี ยกตน้ เหรียง ในอดีต เขาพรงเป็นภูเขาขนาดเลก็ ต้ังอยูช่ ายทะเล ภายในภูเขามีถ้าํ อยู่เรยี กว่าถ้ําเขาพรง ถํา้ เขาพรงเคยเปน็ ทอ่ี ยู่ อาศัยของมนุษยย์ ุคหินกลาง ชว่ งเวลา 6,000-10,000 ปี เพราะขุดพบขวานหนิ ขัดรูปสีเ่ หล่ียมคางหมู ภายในถา้ํ เขาพรงเมอ่ื หลายปกี ่อน ปจั จุบันเก็บรักษาไว้ทพี่ ิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาตินครศรีธรรมราช ใน สมยั ก่อนนํ้าทะเลทว่ มสูงเลยมาถึงเชงิ เขาพรง หน้ามรสมุ ชาวประมงมกั แล่นเรือเข้ามาหลบลมมรสมุ อยู่ท่ี เขาพรงแหง่ นี้ เลา่ กันวา่ รชั สมัยพระเจ้าคณุ าอรรณพเปน็ กษัตริย์ครองอาณาจักรตามพรลงิ ค์ (นครศรีธรรมราช) ประมาณปี พ.ศ.1472-1501 ต่อมาพระองค์ย้ายไปปกครองกรุงสวุ รรณปรุ ะ (ไชยา) การเดนิ ทางไปในครัง้ น้ันใชเ้ รอื เป็นพาหนะ เมื่อเดินทางมาถงึ ทีต่ งั้ เขาพรงเหน็ เปน็ ภูเขาสวยงามมีตลิ่งลาดเล็กน้อย จงึ แวะพกั เพ่อื หาฟนื หานาํ้ เติมเรือ เมื่อเดินข้นึ ไปบนภูเขาก็พบถ้ํา สาํ รวจขา้ งในกวา้ งขวางมีหลายตอนลึกเขา้ ไป มากมาย จึงชกั ชวนสมคั รพรรคพวกและบริวาร ใหช้ ่วยกันสร้างพระพทุ ธรปู ข้ึน 1 องค์ ไว้ทีห่ นา้ ถํ้า เพอ่ื ให้ มองเหน็ เขาพรงไดใ้ นระยะไกลเวลาแลน่ เรือผ่านมาทางน้ี ภาพซา้ ย มองจากบริเวณหนา้ ถาํ้ เขาพรงไปทางทิศตะวันออก ทมี่ องเหน็ สุดขอบฟา้ คอื ทะเลอ่าวไทย ทะเลอยหู่ า่ งจาก เขาพรงประมาณ 6 กโิ ลเมตร ภาพขวา คอื พ้ืนทห่ี นา้ ถา้ํ เขาพรง เคยประดษิ ฐานพระพุทธรปู ทพ่ี ระเจ้าคุณาอรรณพสร้าง เอาไว้ เพอ่ื ใชเ้ ป็นที่สังเกตของเรอื สําเภาท่ีแล่นผ่านเขาพรง ปจั จุบนั เหลอื เพยี งเศษซากของฐานพระพทุ ธรูป ตอ่ มาพระเจ้ามาราวโิ ชตุง ผ้เู ป็นบุตรของพระเจา้ คุณาอรรณพ ได้รับคาํ บอกเลา่ จากบิดาจึง ตระเตรียมผู้คนนายชา่ งและเสบยี งอาหารมาพรอ้ มสรรพ จัดเรอื มาหลายลําแล่นเรอื มาจนพบถํา้ เขาพรง จากน้ันจึงจดั สรา้ งพระไสยาสน์และพระพทุ ธรปู หลายองคจ์ นแลว้ เสร็จ จงึ จารึกไวท้ ่ีหนา้ ถํ้าเปน็ ภาษา ทมิฬบอกเหตุการณป์ ีทีส่ ร้างและนามผูส้ รา้ ง เพอ่ื สนองบุญคุณของพระบิดา

30. วัดเทพราช หมู่ 1 ตาํ บลเทพราช อําเภอสชิ ล 8 องศา 52 ลิปดา 12 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 51 ลปิ ดา 36 พลิ ปิ ดาตะวันออก ลักษณะเปน็ เนินรูปสเ่ี หลย่ี มจตั รุ ัสมุมมน ขนาดประมาณ 45-45 เมตร พบสระน้ํา 1 สระ และ ศิวลงึ คข์ นาดใหญม่ ีอายุประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 12-13 31. ถ้าํ จอมทอง หมู่ 6 ตําบลสิชล อาํ เภอสิชล 9 องศา 01 ลปิ ดา 48 พลิ ิปดาเหนอื 99 องศา 52 ลิปดา 12 พิลปิ ดาตะวันออก พบพระวษิ ณศุ ลิ า อายุกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 13 พบชนิ้ สว่ นสถาปตั ยกรรม ไดแ้ ก่ ธรณีประตู มีอย่ชู น้ิ หนง่ึ มีจารกึ อักษรปลั ลวะ รุ่นเดียวกับทพ่ี บในศลิ าจารกึ ณ หุบเขาช่องคอย อําเภอร่อนพบิ ลู ย์ พบกรอบประตู พบพระพทุ ธรปู มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 17-18 พบพระพมิ พด์ นิ เผาเป็นจาํ นวนมากมีอายุประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 12-19 32. วัดสระสีม่ ุม หมู่ 7 ตาํ บลสชิ ล อําเภอสิชล 9 องศา 02 ลปิ า 24 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 51 ลปิ ดา 00 พลิ ปิ ดาตะวันออก ยังไม่ทรายรายละเอียด 33. ถ้าํ เขาเหล็กหมายเลข 1 หมู่ 2 ตาํ บลท่งุ ใส อําเภอสชิ ล 9 องศา 06 ลปิ ดา 00 พลิ ิปดา เหนือ 99 องศา 49 ลปิ ดา 12 พิลิปดาตะวนั ออก ยงั ไมท่ ราบรายละเอยี ด 34. วดั จอมทอง หมู่ 2 ตาํ บลสชิ ล อําเภอสิชล 9 องศา 01 ลิปดา 12 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 52 ลิปดา 48 พลิ ปิ ดาตะวันออก เคยเป็นศาสนสถานของศาสนาพราหมณม์ าก่อน ขดุ พบพระวิษณสุ ก่ี ร พบ บานประตูศลิ า ธรณีประตูศิลา รวมท้ังสระนํ้าทม่ี ีอย่ภู ายในโบราณสถานด้วย เจ้าอาวาสวัดจอมทองได้ นําโบราณวัตถุบางช้ินมาให้ดดู ว้ ย เป็นโบราณวัตถทุ ่ีเก็บเอาไวใ้ นวัดจอมทอง ภาพพระวิษณุ วดั จอมทอง ตาํ บลสชิ ล อาํ เภอสิชล จงั หวดั นครศรีธรรมราช พุทธศตวรรษที่ 13-14 สวมหมวก ทรงสูง มี 4 กร แตล่ ะกรสนั นษิ ฐานวา่ ทรงอภยั มทุ รา 1 ทรงจกั ร 1 ทรงคทา 1 ทรงสงั ข์ 1

ภาพบานประตูและธรณปี ระตู วางกองอย่หู นา้ กุฏเิ จา้ อาวาสวดั จอมทอง เปน็ โบราณวัตถจุ ากซากโบสถ์พราหมณเ์ กา่ ทม่ี อี ยู่ท่ีวัดจอมทอง ก่อนแปรเปลย่ี นจากศาสนาพราหมณม์ าเปน็ ศาสนาพทุ ธในเวลาต่อมา 35. วดั นาขอม ตาํ บลสชิ ล อําเภอสิชล 9 องศา 00 ลิปดา 00 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 52 ลิปดา 48 พลิ ิปดาตะวนั ออก พบเนนิ โบราณสถานขนาดใหญ่ กลางเนนิ พบศิวลึงค์ 5 ช้ิน แตล่ ะชน้ิ มีขนาด ตา่ งกัน ตง้ั แต่ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่มาก อายุอยปู่ ระมาณพุทธศตวรรษท่ี 12-13 พบพระพิมพ์ ดนิ เผาศิลปะเขมร เป็นพระพุทธรปู ประทับนง่ั อยูใ่ นซมุ้ เรอื นแก้ว 6 องค์ องค์ประธานน่ังอยใู่ นซุ้มเรือนแกว้ ทรงปราสาทเขมร มีอายุประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 15-18 พบเคร่ืองถ้วยจนี แบบลายครามสมยั ราชวงศ์ เหมง็ เคร่ืองถ้วยสโุ ขทัย ลักษณะเป็นกระปกุ ขนาดเลก็ บรรจเุ ถ้าอัฐของคนตายนําไปบรรจุไวต้ ามเจดีย์ พบพระพทุ ธรปู ศิลปะท้องถ่นิ เมอื งนครศรีธรรมราช สร้างเม่อื ประมาณพุทธศตวรรษที่ 22 แหล่ง โบราณคดแี หง่ นเ้ี ดิมคงเป็นเทวสถานพราหมณ์ลทั ธิไศวนิกายมาก่อน จนพทุ ธศตวรรษท่ี 15 จงึ ได้ เปลี่ยนแปลงมาเป็นวัดในพระพุทธศาสนา มีอายุอยู่ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 12-22 สถานท่ตี ั้ง วัดนา ขอมต้งั อย่ทู ่ีบ้านนาขอม หมู่ท่ี 4 ตาํ บลสชิ ล อาํ เภอสชิ ล จังหวัดนครศรธี รรมราช มพี ื้นทปี่ ระมาณ 10 ไร่ 2 งาน 69 ตารางวา ทิศเหนอื ตดิ ตอ่ กับถนนสายต้นพยอม-สขี่ ดี ทศิ ใต้ ติดต่อกบั ท่ีดนิ นายสาย ชลสินธ์ุ ทิศ

ตะวันออก ตดิ ต่อกับ ท่ีดินนายสุนทร พรหมมาลา ทศิ ตะวันตก ติดต่อกับ ท่ีดินนายสุชาติ รักษ์ แกว้ ลกั ษณะท่วั ไป สภาพโดยท่ัวไปของวัดนาขอม มลี กั ษณะเป็นท่ีราบทุ่งนา รอบ ๆ บริเวณแหลง่ ศลิ ปกรรมจะเป็นทุ่งนา ชาวบ้านที่อาศยั อยู่ในบรเิ วณน้ีจะมีอาชีพทํานาเปน็ หลกั ปจั จุบนั พืน้ ทวี่ ัดนาขอม เปน็ ทท่ี าํ การขององค์การบริหารส่วนตาํ บลสิชล หลกั ฐานทพี่ บ วดั นาขอม เคยเป็นแหลง่ โบราณสถาน ขนาดใหญ่มาก่อน กลางเนินโบราณสถานพบศวิ ลึงค์ 5 องค์ แต่ละองคม์ ขี นาดและรปู แบบต่างกนั พบ ฐานโยนิโทรณะ ศิวลงึ ค์บางองคม์ อี ายอุ ย่ใู นราวครึ่งแรกของพทุ ธศตวรรษที่ 11 เมือ่ พ.ศ.2511 บริษทั รบั จา้ งสร้างถนนสายตลาดสิชล-สข่ี ดี ไดป้ รับพืน้ ทีใ่ นบริเวณนีเ้ ปน็ ทพ่ี ัก ทําให้โบราณวัตถุถกู ทาํ ลายไป มาก มีเศษแผ่นอิฐปรากฏอยเู่ พียงบางสว่ น นอกจากน้ียังมีสระน้าํ โบราณ (ร้าง) อยู่ทางด้านทิศใต้ ทศิ ตะวันออก และทิศตะวันออกเฉยี งใต้ ทิศละ 1 สระ ปัจจบุ นั พ้ืนท่วี ัดนาขอม องค์การบรหิ ารตําบลสชิ ลได้ ทาํ สัญญาเช่าเป็นที่ทาํ การขององค์การบรหิ ารสว่ นตําบลสชิ ล ภาพพระพมิ พด์ นิ เผา ศลิ ปะแบบเขมร เป็นพระพุทธรูป ประทับน่งั อยูใ่ นซุ้มเรือนแกว้ 6 องค์ องคป์ ระธานน่ังอยใู่ น ซุม้ เรอื นแก้วทรงปราสาทเขมร สรา้ งเม่อื ประมาณพุทธ ศตวรรษที่ 15-18 เป็นศิลปะเขมรเช่นเดยี วกับพระนางตรา ซึ่งขุดพบท่อี าํ เภอท่าศาลา ภาพศิวลงึ ค์ พบทวี่ ดั นาขอม (รา้ ง) ตําบลสชิ ล อาํ เภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ตงั้ แสดงอยู่ที่ พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรธี รรมราช 36. ถ้าํ เขาพุทธทอง ตาํ บลสีข่ ดี อาํ เภอสิชล 9 องศา 00 ลปิ ดา 36 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 50 ลิปดา 24 พิลิปดาตะวันออก ยงั ไมท่ ราบรายละเอียด 37. แหลง่ โบราณคดีบา้ นหัวทอน ในเขตตําบลเสาเภา อําเภอสิชล เป็นเนนิ ดินรูปส่ีเหล่ียมคาง หมมู มุ มน ขนาด 42x58 เมตร สูงประมาณ 5 เมตร พบศวิ ลงึ ค์หน่งึ ช้นิ มลี กั ษณะที่แสดงพฒั นาการ

ระหวา่ งกลุ่มศิวลึงคแ์ บบเหมือนจริงกับกลุม่ ประเพณีนิยม โดยมสี ัดส่วนของพรหมภาค วษิ ณุภาค และ รุทธภาค ไมเ่ ทา่ กนั สว่ นรทุ ธภาคมีขนาดใหญแ่ ละสงู กว่า มอี ายุอยู่ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 11 ถงึ กลาง พุทธศตวรรษท่ี 12 พบสระน้ําโบราณ และ บอ่ น้ําโบราณทรงกลมขนาดเส้นผา่ ศูนย์กลาง 3 เมตร 38. แหลง่ โบราณคดีบา้ นนาหัน อย่ใู นเขตตาํ บลฉลอง อําเภอสชิ ล มีลักษณะเป็นเนนิ ดินสูง ประมาณเจ็ดเมตร พบฐานเสาแผน่ ธรณีประตทู าํ จากหนิ ปูน 39. แหล่งโบราณคดีบ้านไสสบั เขตตําบลฉลอง อาํ เภอสิชล มลี กั ษณะเปน็ เนินสงู เหมือนจอม ปลวก พบอฐิ จํานวนมาก เม่ือขุดลงไปในเนินร้ืออฐิ ออกมาพบหนิ เมื่อขุดลกึ ลงไปจากผิวดินลึกหนง่ึ เมตร ได้พบฐานโยนโิ ทรณะ ฐานเสา และ ธรณีประตู 40. แหล่งโบราณคดบี า้ นไสหนิ อยใู่ นเขตตําบลเสาเภา อําเภอสชิ ล พบเนินโบราณสถานรูป สเี่ หลีย่ มผนื ผา้ ขนาด 53x90 เมตร สงู ประมาณ 2 เมตร พบชิน้ สว่ นสถาปตั ยกรรมได้แก่ ฐานเสา อาคาร และ สระนาํ้ โบราณ 2 สระ 41. สวนนายลิขิต เห็นจริง หมู่ 10 ตําบลเสาเภา อาํ เภอสิชล 8 องศา 54 ลิปดา 00 พิลปิ ดา เหนือ 99 องศา 53 ลปิ ดา 24 พลิ ปิ ดาตะวันออก ภาพศิวลงึ ค์ ในสวนของนายลขิ ิต เห็นจริง หมู่ 10 ตําบลเสาเภา อําเภอสิชล จงั หวดั นครศรธี รรมราช แสดงอยูท่ ี่พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ นครศรธี รรมราช นอกจากโบราณสถานของพราหมณท์ ีม่ ีรายละเอยี ดดงั กล่าวแลว้ ยงั มีโบราณสถานโบราณวัตถุ อีกเป็นจํานวนมาก ยังไม่ทราบรายละเอยี ด พบตามบา้ นของชาวบ้าน ดงั นี้ 42. บ้านนายขัน ใจห้าว หมู่ 11 ตาํ บลฉลอง อําเภอสชิ ล 8 องศา 50 ลิปดา 00 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 48 ลิปดา 36 พลิ ิปดา ตะวันออก 43. นานายเนอื ง จิตเขม้น ตาํ บลฉลอง อําเภอสิชล 8 องศา 54 ลปิ ดา 00 พลิ ิปดาเหนือ 99 องศา 49 ลปิ ดา 12 พลิ ิปดาตะวนั ออก 44. บ้านนางแกลม้ ควรเรอื ง ตําบลฉลอง อําเภอสชิ ล 8 องศา 55 ลิปดา 12 พิลิปดาเหนือ 99 องศา 50 ลิปดา 24 พลิ ิปดาตะวนั ออก 45. บ้านนางประเทือง คงทิม ตาํ บลฉลอง อําเภอสิชล 8 องศา 56 ลิปดา 24 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 50 ลปิ ดา 24 พิลปิ ดาตะวนั ออก 46. บ้านนายบพิศ คาํ เพ็ง เลขท่ี 73 ตําบลฉลอง อาํ เภอสิชล 8 องศา 55 ลิปดา 48 พิลิปดาเหนอื 99 องศา 49 ลิปดา 48 พลิ ิปดาตะวันออก 47. บา้ นนายพยอม ใจหา้ ว ตาํ บลฉลอง อาํ เภอสิชล 8 องศา 55

ลปิ ดา 12 พลิ ิปดาเหนอื 99 องศา 50 ลิปดา 24 พลิ ิปดาตะวันออก 48. บา้ นนายหมวก ด้วงย้ิม ตาํ บล ฉลอง อําเภอสชิ ล 8 องศา 54 ลิปดา 36 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 51 ลิปดา 36 พลิ ิปดาตะวนั ออก 49. บา้ นนายสมหมาย สวุ รรณ ตําบลทุ่งปรัง อําเภอสชิ ล 8 องศา 56 ลิปดา 24 พิลิปดาเหนอื 99 องศา 52 ลิปดา 48 พลิ ิปดาตะวันออก 50. บ้านนายบตุ ร วบิ ลู ศิลป์ หมู่ 8 ตําบลเทพราช อาํ เภอสชิ ล 8 องศา 51 ลปิ ดา 36 พลิ ิปดาเหนือ 99 องศา 51 ลิปดา 36 พิลิปดาตะวนั ออก 51. สวนนายผ่อง ใจหา้ ว หมู่ 8 ตาํ บลเทพราช อําเภอสชิ ล 8 องศา 56 ลปิ ดา 00 พลิ ิปดาเหนือ 99 องศา 52 ลปิ ดา 48 พิลิปดา ตะวนั ออก 52. บ้านนางคง คงแกว้ เลขที่ 71 หมู่ 9 ตําบลเทพราช อําเภอสชิ ล 8 องศา 52 ลิปดา 48 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 50 ลปิ ดา 24 พิลิปดาตะวันออก 53. ทุ่งนานางนุ่น รู้จาํ (บา้ นสสี า) ตําบล เปลย่ี น อาํ เภอสชิ ล 8 องศา 49 ลปิ ดา 12 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 51 ลปิ ดา 36 พิลปิ ดาตะวนั ออก โบราณสถานรูปสเ่ี หล่ยี มผนื ผา้ ขนาด 25x46 เมตร สูงประมาณ 4 เมตร พบแผ่นธรณปี ระตู สระน้ํา โบราณ 54. บ้านนายวิรตั น์ ชัยฤกษ์ เลขท่ี 72 หมู่ 6 ตําบลเสาเภา อาํ เภอสชิ ล 8 องศา 52 ลปิ ดา 36 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 54 ลปิ ดา 00 พลิ ิปดาตะวันออก 55. บ้านนายพริง้ อาจหาญ เลขที่ 12 หมู่ 9 ตาํ บลเสาเภา อําเภอสชิ ล 8 องศา 54 ลิปดา 36 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 54 ลิปดา 00 พิลปิ ดาตะวันออก 56. บา้ นนายสวา่ ง คดฉิม เลขท่ี 86 หมู่ 9 ตําบลเสาเภา อาํ เภอสิชล 8 องศา 54 ลปิ ดา 00 พลิ ปิ ดา เหนือ 99 องศา 52 ลิปดา 48 พิลิปดาตะวนั ออก 57. สวนของนายปลอด มน่ั คง (สระกูด 1) หมู่ 9 ตําบลเสาเภา อําเภอสิชล 8 องศา 54 ลิปดา 00 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 52 ลิปดา 48 พลิ ิปดาตะวันออก 58.นายเจริญ เพชรยก หมู่ 10 ตาํ บลเสาเภา อําเภอสิชล 8 องศา 52 ลิปดา 48 พลิ ิปดาเหนอื 99 องศา 52 ลปิ ดา 12 พลิ ิปดาตะวันออก 59. บ้านนายน่มิ แถมแก้ว หมู่ 10 ตาํ บลเสาเภา อาํ เภอสิชล 8 องศา 54 ลิปดา 00 พิลปิ ดาเหนอื 99 องศา 54 ลปิ ดา 00 พลิ ิปดาตะวนั ออก 60. สวนนายเนียบ เมืองดว้ ง หมู่ 10 ตําบลเสาเภา อําเภอสิชล 9 องศา 51 ลปิ ดา 36 พลิ ิปดาเหนือ 99 องศา 54 ลิปดา 00 พิลปิ ดา ตะวนั ออก 61. สวนของนายคลา้ ย สนมิ กาญจน์ หมู่ 14 ตําบลเสาเภา อําเภอสิชล 8 องศา 52 ลปิ ดา 12 พิลิปดาเหนอื 99 องศา 52 ลิปดา 48 พิลิปดาตะวันออก 62. บา้ นนางละไม มณโี ชติ ตําบลเสาเภา อําเภอสิชล 8 องศา 52 ลปิ ดา 48 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 55 ลิปดา 12 พิลปิ ดาตะวันออก 63. บา้ นนาย เชิม เหนอื กระจ่าง ตาํ บลเสาเภา อําเภอสิชล 8 องศา 52 ลปิ ดา 12 พลิ ิปดาเหนือ 99 องศา 54 ลิปดา 36 พลิ ิปดาตะวันออก 64. บ้านนายพาบ สมเขาใหญ่ ตําบลเสาเภา อําเภอสิชล 8 องศา 53 ลิปดา 24 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 53 ลปิ ดา 24 พลิ ปิ ดาตะวันออก 65. บา้ นนายสมนกึ จงหมาย ตําบลเสาเภา อําเภอสชิ ล 8 องศา 55 ลปิ ดา 12 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 52 ลิปดา 12 พลิ ิปดาตะวนั ออก ยังไมท่ ราบ รายละเอียด 66. บา้ นนายจรัล พัฒฉิม 67. บ้านนายทวย เพ็งรัตน์ 68. บ้านนายรนุ่ ใจหา้ ว 69. บา้ นนายนอง คงอนิ ทร์ 70. บา้ นนายมิตร ใจกว้าง 71. บ้านนายเกด็ ศรีเทพ 72. บา้ นนายเนอื ง ชรู ตั น์ 73. บ้านนายแฉล้ม คงทิม 74. บ้านนายเฉลิม คงทิม 75. บา้ นแชม่ ควรเรอื ง 76. วัดเขา นอ้ ย หมู่ 1 ตําบลเขาน้อย อาํ เภอสิชล 8 องศา 56 ลปิ ดา 24 พลิ ิปดาเหนือ 99 องศา 49 ลิปดา 12 พิลปิ ดาตะวนั ออก

77. โบราณสถานบ้านนายคิริ ณ นคร บ้านทา่ ควาย เลขที่ 109 หมู่ที่ 11 ตําบลฉลอง อําเภอสิ ชล จังหวัดนครศรธี รรมราช 8 องศา 54 ลิปดา 36 พิลิปดาเหนอื 99 องศา 49 ลิปดา 12 พิลิปดา ตะวันออก แหล่งโบราณสถานบ้านนายคริ ิ ณ นคร ปัจจุบันเป็นสวนเงาะ มพี นื้ ท่ีประมาณ 4-5 ไร่ ค้นพบ เนนิ โบราณสถานทมี่ ลี กั ษณะคอ่ นข้างกลม มีเสน้ ผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 40 เมตร สูงเหนือพื้นราบ ประมาณ 3-4 เมตร และ พบฐานโยนิโทรณะสภาพสมบรู ณม์ ีการสลักลวดลายงดงาม มีขนาดความยาว 109 เซนตเิ มตร ความกว้าง 100 เซนตเิ มตร รอบวงกลมดา้ นใน 23 เซนติเมตร ฐานสงู จากพนื้ ดิน 51 เซนติเมตร นอกจากนีย้ ังมแี ผน่ อิฐกระจัดกระจายอยรู่ อบ ๆ แหล่งโบราณสถาน ซึ่งแผ่นอฐิ ดงั กล่าวมี ขนาดยาว 36 เซนตเิ มตร กว้าง 20 เซนติเมตร หนา 8 เซนตเิ มตร ภาพฐานโยนิโทรณะ บา้ นนายศริ ิ ณ นคร มีสภาพ คอ่ นขา้ งสมบรู ณ์ดี 78. วดั สุธรรมาราม (วัดสระใหญ่) ตําบลเทพราช อาํ เภอสชิ ล จงั หวัดนครศรีธรรมราช จากการ ลงพื้นทสี่ าํ รวจศึกษาพบเห็นโบราณสถานและโบราณวัตถุหลายอยา่ ง สนั นิษฐานว่าสถานท่แี หง่ น้ีอาจ เปน็ พระราชวังของกษตั ริย์อาณาจกั รตามพรลงิ คย์ ุคที่ 1 มีศูนยก์ ลางความเจรญิ อยู่ในพน้ื ทอ่ี ําเภอสชิ ล และอําเภอทา่ ศาลา เมื่อพทุ ธศตวรรษที่ 7-13 จากการสอบถามเจ้าอาวาสวัดวัดสระใหญ่ และ ชาวบา้ นท่ี อย่ใู กล้กับวัดสระใหญ่กล่าวว่า สมัยก่อนมีการขุดพบแนวกาํ แพงก่อดว้ ยอฐิ แผน่ ใหญ่ขนาด 3x6x12 นวิ้ สันนิษฐานว่านา่ จะเป็นแนวกาํ แพงวงั ของกษัตรยิ ์ตามพรลิงค์ แนวกาํ แพงวงั กว้างไกลออกไปทางด้านทิศ ตะวนั ออก ข้ามถนนหน้าวัดสระใหญ่ทเี่ ห็นอยู่ในปจั จุบนั แนวกาํ แพงยงั มอี ยู่แตฝ่ ังลกึ อยใู่ ตด้ นิ ด้านหลงั วังกษตั ริยต์ ามพรลงิ ค์มสี ระนา้ํ ขนาดใหญ่ เข้าใจวา่ นา่ จะเป็นสระสรงของกษัตริย์ สระกวา้ งประมาณ 70x70 เมตร ขอบสระทั้ง 4 ด้านกรดุ ้วยหิน แตป่ ัจจุบันไม่เห็นกอ้ นหินอยูเ่ ลยคงถูกชาวบ้านนําไปสรา้ ง ส่ิงกอ่ สรา้ งของตน ก้อนหนิ ยังถกู นาํ ไปสรา้ งเป็นฐานรากของอาคารต่างๆ ภายในวัดสระใหญ่ เวลานี้จงึ มี กอ้ นหนิ วางอยรู่ มิ สระนํ้าเพยี งเล็กนอ้ ย นอกจากน้ียงั พบหินทสี่ กัดเป็นธรณีประตแู ละส่วนประกอบของ ประตู วางอยทู่ างด้านทิศตะวันออกของสระใหญ่ โดยถกู ทําเปน็ ฐานวางเทยี นธูปของบชู าอยู่หน้ารปู ปั้น ของพระเจ้าตาก ซงึ่ ทางวัดเข้าใจว่าพระเจา้ ตากสนิ เคยเสดจ็ มาประทับทีว่ ัดสระใหญ่ ขณะนี้รอบๆ สระ ใหญ่กาํ ลงั ก่อสรา้ งศาลาจํานวน 13 หลงั ซึ่งเท่ากบั เทศน์มหาชาตจิ าํ นวน 13 กณั ฑ์

ภาพสระนา้ํ วดั สระใหญ่ สระมขี นาดเทา่ เดิม แตค่ วาม สูงของขอบสระถกู ทาํ ใหต้ ่าํ ลงโดยนาํ ดนิ จากขอบสระไป ถมในพ้ืนทบี่ รเิ วณอื่นๆ ของวัด ภาพก้อนหนิ บรเิ วณขอบสระ เศษหนิ ท่ียังหลงเหลอื อยูห่ ลังจากทก่ี อ้ นหินส่วนใหญถ่ ูกนาํ ไปใช้กอ่ สร้างส่งิ ตา่ งๆ ในวดั และ ก่อนหนา้ น้ีก็ถูกชาวบ้านขนไปสรา้ งเปน็ ฐานรากของอาคารบ้านเรอื นของตน ภาพธรณปี ระตู โบราณวตั ถุของศาสนาพราหมณ์ทห่ี ลงเหลอื เพยี งเล็กน้อยท่วี ัดสระใหญ่ สอบถามชาวบ้านบอกว่า โบราณวัตถุบางสว่ นทขี่ ดุ พบถกู นาํ ไปไวท้ ่ีวดั ดอนใคร ตาํ บลกลาย อําเภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช 79. แหลง่ โบราณคดีบา้ นพรหมโลก ในเขตตําบลพรหมโลก อําเภอพรหมคีรี ต้ังอยรู่ ะหวา่ ง คลองปลายอวนกับคลองนอกทา่ เปน็ โบราณสถานที่อยู่นอกพื้นอําเภอสิชล และ อาํ เภอท่าศาลา อันเปน็ ศนู ยก์ ลางของอาณาจักรตามพรลิงคย์ คุ ท่ีหน่งึ แต่ก็เชื่อมโยงกบั โบราณสถานของพราหมณใ์ นเขตอําเภอ รอ่ นพิบลู ย์ เชน่ หุบเขาช่องคอย ที่แห่งนขี่ ุดพบศวิ ลงึ คข์ นาดใหญ่ มีอายุประมาณพุทธศตวรรษท่ี 12-14 80. แหลง่ โบราณคดีวัดพรหมโลก วัดพรหมโลกตั้งอยู่ทบ่ี า้ นนอกท่า หมู่ 1 ตําบลพรหมโลก จงั หวัดนครศรธี รรมราช มีพื้นท่ปี ระมาณ 17 ไร่ ดา้ นทิศเหนือติดถนนสายนํ้าตกพรหมโลก-บ้านนอกท่า ทิศใต้ติดกับถนนสายบ้านปลายอวน ทิศตะวันออกติดกบั โรงเรยี นวดั พรหมโลก ทิศตะวันตกติดกับ

โรงพยาบาลพรหมครี ี ในสมัยสงคราม 9 ทัพ มพี ระสงฆ์ในเมืองนครรูปหนึ่งเรยี กกันว่า ขรวั สที อง อยู่ที่ วัดพระสูงตรงบรเิ วณโรงเรยี นเบญจมราชูทิศเกา่ อพยพมาต้งั หลกั แหลง่ บรเิ วณวัดพรหมโลก เน่ืองจาก บริเวณนนั้ เปน็ ทงุ่ นาจงึ เรียกวัดทมี่ าพํานักวา่ วัดหัวทุ่ง ต่อมาวัดหัวทงุ่ รา้ งไประยะหน่ึง เมือ่ ทําการบูรณะ ข้นึ มาใหม่เรียกวา่ วัดพรหมโลก แหล่งศลิ ปกรรมวัดพรหมโลกมลี กั ษณะเป็นท่รี าบเชงิ เขา รอบบรเิ วณเป็นสวนผลไม้ เชน่ สวน เงาะ สวนทเุ รียน สวนมงั คุด ด้านทิศเหนอื มีคลองนอกท่าไหลผ่าน แหล่งโบราณคดวี ัดพรหมโลกปัจจุบนั เตม็ ไปด้วยอาคารบ้านเรอื น หน่วยงานสถานท่ีราชการ หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดี ดงั น้ี ภาพศิวลึงค์ และ โยนิโทรณะ พบที่อําเภอพรหมคีรี พื้นที่ ระหว่างคลองปลายอวนกับคลองนอกท่า ศวิ ลงึ ค์อยู่ท่ี จงั หวดั พงั งา ฐานโยนิโทรณะอยทู่ ีว่ ดั พรหมโลก โยนิโทรณะ สลกั ด้วยหินปูนเปน็ รปู สี่เหลย่ี มจัตุรัส กว้างด้านละ 54.50 เซนติเมตร ตางกลาง สลักเป็นชอ่ งรูปทรงกลมรีเพ่ือการประดิษฐานศวิ ลงึ ค์ ขอบของโยนิโทรณะทุกด้านสลักเป็นขอบนูนขึ้นมา โดยขอบต่อเชอ่ื มกับร่องน้ําที่ยน่ื ออกมาซงึ่ แตกหักไป รปู แบบทางศลิ ปะอาจสนั นิษฐานไดว้ ่า โบราณวัตถุ ชน้ิ น้มี ีอายใุ นชว่ งพุทธศตวรรษท่ี 12-14 ด้านสถาปัตยกรรมอ่ืนๆ ของวดั พรหมโลกมีดงั นี้ พระอุโบสถ ตัง้ อยู่ด้านหลังโรงธรรมศาลา กว้างประมาณ 6 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร สูง ประมาณ 10 เมตร รอบพระอโุ บสถมใี บเสมาปักแสดงขอบเขตพทั ธสีมาของวดั กุฏิ สรา้ งเป็นทรงปั้นหยาลักษณะศลิ ปะแบบภาคใต้ ยงั มีกฏุ ทิ พ่ี ระสงฆจ์ ําพรรษาอีกหลายหลังที่ สรา้ งขน้ึ เปน็ รูปแบบปจั จุบนั วัดพรหมโลกตง้ั อยูใ่ นตวั อําเภอพรหมครี ี อยู่ห่างจากตัวเมอื งนครศรีธรรมราช ไปตามถนนสาย นครศรธี รรมราช-นา้ํ ตกพรหมโลก ระยะทาง 22 กิโลเมตร ถึงสีแ่ ยกนอกทา่ ให้เล้ยี วซ้ายตามถนนสาย บา้ น นอกท่า-นาํ้ ตกพรหมโลกประมาณ 500 เมตร เหน็ วัดพรหมโลกตงั้ อยู่ทางซา้ ยมอื 81. วดั ปา่ ยางประดหู่ อม หมทู่ ่ี 1 ตาํ บลนาเรียง อาํ เภอพรหมครี ี จังหวัดนครศรีธรรมราช วัดปา่ ยางประดู่หอม มพี ืน้ ที่ประมาณ 14 ไร่ ทศิ เหนอื ตดิ ต่อกับบา้ นนายทวี ระวงั วงศ์ ทิศใต้ติดต่อกับถนนสาย กาํ แพงถม-เขาปนู ทศิ ตะวันออกติดต่อกับบ้านนายนอบ ป่าวงนา ทิศตะวันตกติดต่อกบั บ้านนายหนูเขมิ

อัฐฎาการณ์ ความเปน็ มา นายทวี ระวงั วงศ์ เลา่ ว่า บรเิ วณพ้นื ที่นเ้ี ม่ือก่อนมีตน้ ประดตู่ ้นหน่งึ ดอกมกี ล่ิน หอมฟุ้งไปท่ัวบริเวณ ชาวบ้านจึงเรยี กวัดนว้ี า่ วัดป่ายางประดู่หอม เดิมวัดน้ีเปน็ วัดร้าง มีต้นไมใ้ หญ่ จํานวนมากขึ้นปกคลมุ เช่น ตน้ ยาง ต้นประดู่ มีพระรูปหนงึ่ เรียกวา่ ทา่ นแก้วซ่ึงมคี วามชํานาญในการดู ฤกษย์ าม ไดช้ กั ชวนชาวบ้านมาช่วยกนั ถากถางสร้างวัดขึ้นมาใหมป่ ระมาณ 200-300 ปีมาแล้ว ลกั ษณะ ท่ัวไป ลกั ษณะภูมปิ ระเทศของวัดปา่ ยางประดู่หอม มีลักษณะภมู ปิ ระเทศเปน็ พืน้ ที่ราบเชิงเขา มีทีร่ าบ สลบั กบั ท่ีราบค่อนขา้ งเรยี บ มีต้นไมน้ อ้ ยใหญ่สลบั อยโู่ ดยทัว่ ไป ที่ราบดา้ นหนา้ เป็นที่ทํานา ดา้ นทิศ ตะวนั ตกและทิศเหนือเปน็ สวนยางพารา และ สวนผลไม้แบบสมรม อนั ได้แก่สวนมังคุด สวนเงาะ สวน ทุเรยี น วัดปา่ ยางประดู่หอมเปน็ วัดเลก็ ๆ ในชนบท ผูกพันกับชุมชนและชาวบ้านในบ้านป่าพรุและชมุ ชน ใกล้เคียง บรเิ วณภายในวัดปลูกต้นมังคุดไวเ้ ป็นร่มเงา จึงมบี รรยากาศทีร่ ่มรื่นไปด้วยตน้ ไม้ มที รายขาว สะอาดท่ัวบรเิ วณลานวัด หลกั ฐานที่พบ แหลง่ ศลิ ปกรรมวดั ป่ายางประดหู่ อมแห่งนี้ จากหลักฐานที่พบ อยู่ในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ 12-14 มพี ัฒนาการทางดา้ นประวตั ิศาสตรเ์ รื่อยมา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีทค่ี ้นพบ ณ แหลง่ ศิลปกรรมวัดป่ายางประดหู่ อม ได้แก่ ศวิ ะลึงค์ พบในทนี่ าของนาย ณรงค์ พทุ ธพฤกษ์ เม่ือ พ.ศ.2530 ทําด้วยหินทรายสร้างขึ้นโดยมลี ักษณะใกลเ้ คยี งกับศิวลงึ ค์ตามแบบ ธรรมชาติท่ยี งั มิไดพ้ ัฒนารูปแบบ ฐานมลี กั ษณะสีเ่ หลี่ยมสาํ หรบั ไปสวมกับฐานโยนิ มีขนาดรอบฐาน สีเ่ หลยี่ ม 34 เซนติเมตร สงู จากฐานถึงสว่ นยอด 62 เซนตเิ มตร ปจั จบุ ันชาวบ้านได้สรา้ งศาลาเก็บรกั ษาไว้ หน้าวัด ใบเสมาศิลาทรายแดง ฐานกว้าง 30 เซนตเิ มตร สูงจากพื้นดนิ ถงึ สว่ นยอด 57 เซนตเิ มตร ทาํ ด้วยหินทรายสีแดงมที ัง้ หมด 8 ใบ ใบเสมาไม่มีลวดลายใด ๆ หินบดยา พบจาํ นวน 2 ช้ิน อันแรกพบ บริเวณเมรุมาศเม่ือคร้ังปรบั พน้ื ท่ีสร้างเมรุมาศปี พ.ศ.2516 มสี ภาพชํารุด อกี ช้ินพบโดยบงั เอญิ ในปี พ.ศ. 2517 รอ่ งรอยซากเจดียม์ ีสภาพสมบรู ณ์ ชาวบา้ นเล่าว่าเมื่อก่อนดา้ นหนา้ ของวดั มซี ากเจดยี ์อยู่ดว้ ย เมอื่ มกี ารสร้างเมรุมาศจงึ ได้ปรับพื้นทเี่ พื่อสร้างเมรุมาศ เจดียจ์ งึ ถกู ไถปรับพนื้ ท่ีทําใหไ้ ม่เหลือรอ่ งรอยให้ เห็น ปจั จบุ ันหินบดยาทง้ั สองช้ินเก็บรักษาไว้ที่กุฏเิ จ้าอาวาส รปู ปน้ั ตาหมื่นปราบทวีป ขุดพบเฉพาะ สว่ นใบหน้า พบในพ้ืนที่ก่อสร้างโบสถ์ ต่อมาชาวบา้ นได้ปน้ั ตกแต่งใบหนา้ เพม่ิ เตมิ แลว้ นาํ มาประดิษฐาน คู่กบั ศิวลงึ ค์ ในบรเิ วณศาลาหน้าวัด ภาพศิวลงึ ค์ ขดุ พบจากทีน่ านายณรงค์ พทุ ธพฤกษ์ รูปป้นั ตาหมื่นปราบทวปี พบในพ้นื ทกี่ ่อสร้างโบสถ์

82. ฐานพระสยม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกรมิ ถนนท่าชี ตําบลในเมือง อําเภอเมอื ง จังหวดั นครศรธี รรมราช ส่วนของฐานโยนิโทรณะมีลักษณะเป็นทรงกลมแตกต่างจากท่ีอน่ื ๆ อย่างชดั เจน พบเหน็ ฐานโยนิโทรณะทรงกลมแบบน้นี อ้ ยมาก สว่ นใหญ่ฐานโยนิโทรณะมฐี านเปน็ รูปสเ่ี หลี่ยมจัตรุ ัส ภาพบนซา้ ยคืออาคารทส่ี ร้างครอบคลุมโบราณวัตถุ ถดั มาเปน็ ภาพฐานโยนโิ ทรณะทรงกลม และ ศิวลงึ คว์ าง อย่บู นฐานโยนโิ ทรณะ ชุดนเ้ี ป็นโบราณวตั ถทุ ี่มีมาแตเ่ ดิมประมาณพุทธศตวรรษท่ี 13 ตงั้ อยู่ ณ ที่ต้ังเดมิ สันนิษฐานได้ จากฐานโยนิโทรณะจมอยใู่ นดนิ ลกึ ประมาณ 50 เซนตเิ มตร สอดรับกับหลกั ฐานดา้ นธรณวี ทิ ยาทีบ่ ง่ ชีว้ า่ พนื้ ผิวดินจะ สงู ขึน้ เรื่อยๆ จากการทบั ถมของหนา้ ดินเมอ่ื เกดิ น้าํ ทว่ ม เพราะนาํ้ จะพาตะกอนมาทบั ถมทกุ ปี อฐิ ทีก่ อ่ ลอ้ มรอบฐานโยนิ โทรณะทรงกลมเป็นสิง่ ที่ทาํ ขึน้ ทหี ลงั สว่ นภาพของฐานโยนิโทรณะ และ ศวิ ลงึ คด์ า้ นล่างซา้ ย เป็นชุดฐานโยนโิ ทรณะ และ ศิวลงึ คท์ น่ี าํ มาจากทีอ่ ื่น วางอยู่ดา้ นหนา้ ของฐานโยนิโทรณะองคเ์ ดิม สาํ หรบั อาคารด้งั เดมิ จากการบูรณปฏิสังขรณ์ ถูกออกแบบเอาไวไ้ มท่ าํ ลายยงั เหน็ เป็นของเก่า มองเห็นไดจ้ ากรูปลา่ งขวา อยูล่ กึ ลงไปในดนิ ประมาณ 50 เซนตเิ มตร เชน่ เดียวกบั โบราณสถานโบราณวตั ถใุ นยคุ เดยี วกัน เชน่ พระบรมธาตุไชยา ทสี่ ร้างเมอ่ื ศตวรรษท่ี 11-13 ฐานด้งั เดมิ ของ พระบรมธาตไุ ชยาอยตู่ าํ่ กวา่ ผิวดนิ ในปัจจบุ ันประมาณ 1 เมตร จากการทบั ถมของตะกอนบนผวิ ดิน ฐานโยนิโทรณะและศิวลงึ คแ์ หง่ นี้ เป็นหลักฐานโบราณคดีของพราหมณ์เพียงแหง่ เดียว ที่สรา้ ง บนสันทรายหาดทรายแก้ว สันนิษฐานว่าสร้างข้ึนเม่ือคร้ังสรา้ งอาณาจกั รตามพรลงิ ค์ยุคท่ี 3 โดยมีเมือง นครศรธี รรมราชเป็นเมืองหลวง เพอ่ื ให้พราหมณ์ปุโรหิตเมอื งนครศรีธรรมราชใช้ประกอบพิธสี าํ คัญ ตาม ความเชอ่ื ของศาสนาพราหมณ์ ส่วนโบราณสถานของพราหมณท์ ม่ี ีอยู่ในปจั จบุ ัน เช่น หอพระอิศวร หอ พระนารายณ์ และ เสาชงิ ชา้ เปน็ โบราณสถานสนาดเลก็ ท่ีสร้างข้นึ มาทีหลงั

83. แหล่งโบราณคดวี ดั พระเพรง วดั พระเพรง ตําบลนาสาร อําเภอพระพรหม บรเิ วณท่ีตงั้ วัดพระเพรงคือสันทรายแรกทเี่ กิดขน้ึ ถัด มาจากพ้ืนทล่ี าดเทือกเขาหลวงทีอ่ ยูท่ างตะวันตก พบเทวรูปพระวษิ ณุประทับยืนบนปัทมอาสน์ อายุ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 10-11 ทาํ ดว้ ยสํารดิ สูง 19 เซนติเมตร รปู แบบเครื่องแต่งกายของพระวิษณุองค์ น้ี คลา้ ยคลึงกบั พระวิษณจุ ากวัดศาลาทงึ ที่ไชยา จังหวัดสุราษฏรธ์ านี มีเค้าโครงศลิ ปะอมราวดปี ะปนกบั ศิลปะคปุ ตะ การคาดผ้าวงโคง้ กว้างและปรากฏองคเพศตามแบบศลิ ปะอมราวดี ส่วนหมวกทรงกระบอก ท่ีประดับด้วยลวดลายแสดงความเก่ียวข้องกับศลิ ปะคปุ ตะ แบบศิลปกรรมพบว่าประติมากรรมนีม้ ีอายุ คอ่ นข้างเก่า แสดงถึงการเขา้ มาของไวษณพนิกายจากประเทศอินเดีย ทเ่ี ข้ามายงั คาบสมุทรมลายูโดย เขา้ มาทั้งจากอินเดียใตแ้ ละอินเดียเหนือ พระวษิ ณุคือผู้ดแู ลคุ้มครองโลกเป็นพระเจา้ สูงสุดของพราหมณ์ลัทธไิ วษณพนกิ าย มสี ่ีกรถือของ สี่อย่าง คอื จักร สังข์ คทา และ ธรณี ของแตล่ ะอยา่ งล้วนแสดงคุณสมบัตคิ วามย่งิ ใหญ่ของพระองคใ์ น ทกุ ดา้ น ทรงถือสงั ข์อนั แสดงให้เห็นวา่ พระองค์ทรงเปน็ เจา้ แหง่ แผน่ นํา้ พระวษิ ณทุ รงถอื สงั ขท์ ีพ่ ระโสณี ซา้ ย สว่ นพระหัตถ์บนซงึ่ หักหายไปแลว้ นั้น สันนิษฐานว่าทรงถอื คทา ระบบการถือแบบนี้เป็นระบบการ ถือของของพระวิษณทุ ่เี กา่ แก่ท่ีสดุ ในดนิ แดนไทยรวมถึงเก่าแก่ทีส่ ุดในเอเชยี อาคเนย์ 84. แหล่งโบราณคดวี ัดคนั นาราม วัดคันนารามต้งั อยทู่ ่ีบ้านนาสาร อาํ เภอพระพรหม บริเวณน้ีเป็นสันทรายแรกทีเ่ กิดขึ้นถดั มาจาก ลาดเชิงเขาหลวง นับจากบ้านเสาธง บ้านทา้ ยสําเภา และ เขาหนอกววั พบเศียรพระพุทธรปู ศลิ า สูง 30

เซนตเิ มตร เป็นพระพุทธรูปศลิ ปะอนิ เดียและชวา พระพักตรอ์ ่ิมรูปสี่เหล่ยี ม เม็ดพระศกรูปหอยใหญ่ ลกั ษณะเปน็ รูปกรวย พระเนตรเหลอื บมองตํ่า พระโอษฐเ์ ล็ก อนั เป็นลักษณะพระพทุ ธรปู แบบภาคใต้ มี อายุอยู่ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 14 85. แหล่งโบราณคดวี ัดโพธ์ทิ า่ เรอื (รา้ ง) ตําบลท่าเรือ อําเภอเมอื ง เดิมมีซากเจดยี ์อยู่เก้าองค์ มี พระพุทธรูปหนิ ทรายแดงสามองค์ เมือ่ มกี ารขดุ เจดยี พ์ บพระพิมพท์ ั้งที่เป็นดนิ เผาและเนอื้ ชนิ เงิน ศลิ ปะ ลพบุรี อายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษท่ี 18 พบช้ินส่วนสถาปัตยกรรมเสาหนิ แกะสลักลวดลายคล้ายกับ เสาหินทพ่ี บทแ่ี หล่งโบราณคดโี มคลาน แต่ท่ีโคนเสาแกะสลักลวดลายดอกไม้ พบแผ่นหินกว้างประมาณ 36 - 42 เซนติเมตร ยาวประมาณ 125 - 180 เซนตเิ มตร หนาประมาณ 21 - 30 เซนตเิ มตร จํานวนเจด็ แผ่น แกะสลักตรงกลางเป็นลายดอกไมห้ ้ากลีบ ท่ีบรเิ วณท้ังสองขา้ งของแผ่นหินแกะสลักเป็นรปู คลา้ ยบัว หัวเสา คลา้ ยกับศลิ ปะโจฬะตอนปลาย มอี ายุประมาณพุทธศตวรรษท่ี 19 86. แหลง่ โบราณคดีบ้านท่าเรือ ตาํ บลทา่ เรือ อําเภอเมอื ง พบเครื่องถ้วยชามจนี จาํ นวนมากจมอย่ใู นคลองท่าเรือ เป็นเครื่องถ้วย จีนสมัยราชวงศ์ถงั เป็นไหเคลอื บสเี ขยี วมะกอก อายุอยู่ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 12-15 เครื่องถ้วยจนี สมยั ราชวงศ์ซ้อง เช่น ตลับเคลอื บสีเขยี ว ชามเซลาดอนเคลือบสเี ขยี ว ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 18-19 87. แหล่งโบราณคดีวัดสระเหรยี งหรือวัดสระเนรมิต ตาํ บลเสาธง อําเภอร่อนพบิ ลู ย์ พบเนนิ โบราณ รูปสี่เหลี่ยมผนื ผา้ ขนาด 52-58 เมตร มีกําแพงแก้วก่ออิฐล้อมรอบทง้ั สีด่ า้ น เนนิ สูงประมาณ 4 เมตร มีคู น้ํากว้างประมาณ 10 เมตร ล้อมรอบ พบชิ้นส่วนอาคารสถาปัตยกรรมใตฐ้ านเสาอาคารส่เี สา ธรณีประตู หนิ ปูนหนงึ่ ชน้ิ เศษอิฐกระจายอยู่ทั่วไป ดา้ นทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต้ ห่างจากโบราณสถานประมาณ 100 เมตร มสี ระนา้ํ โบราณหนึ่งสระ ขนาดประมาณ 60x60 เมตร เนนิ ดินแหง่ นีน้ า่ จะเปน็ เทวาลัยของ พราหมณ์มากอ่ น มอี ายปุ ระมาณพุทธศตวรรษท่ี 12-14 ศลิ าจารึกหบุ เขาชอ่ งคอย บ้านอายเลา ม.5 ต.ทุ่งโพธ์ิ อ.จฬุ าภรณ์ จ.นครศรธี รรมราช จารกึ เป็นภาษาปลั ลวะความว่า “ถ้าคนดีอย่ใู นหมบู่ ้านของชนเหล่าใด ความสขุ และผลจกั มแี กค่ นเหลา่ น้ัน” เก่าแกแ่ ต่อกาลิโก

88. ศลิ าจารึกหบุ เขาชอ่ งคอย ศิลาจารึกหบุ เขาชอ่ งคอย เป็นศิลาจารึกพบท่บี ริเวณหุบเขาช่องคอย อาํ เภอร่อนพิบูลย์ จงั หวัด นครศรีธรรมราช พบเมื่อวนั ท่ี 10 กันยายน พ.ศ. 2522 โดย นายจรง ชกู ลิ่น และนายถวลิ ชว่ ยเกิด ซง่ึ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโคกสะท้อน หมูท่ ี่ 9 ตาํ บลควยเกย อําเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ เดนิ ทางไปในปา่ แถบเขาช่องคอย ซ่ึงอยู่ห่างจากบ้านโคกสะทอ้ น ตาํ บลควนเกย อาํ เภอรอ่ นพิบูลย์ ไป ทางทศิ ใตป้ ระมาณ 2 กม. ณ บริเวณหุบเขาช่องคอยน้ีเอง บุคคลท้ังสองไดพ้ บแผ่นหนิ กว้างใหญ่อยใู่ กล้ กับรอ่ งนํ้าระหว่างหุบเขา แผ่นหนิ ดังกล่าวมขี นาดกว้าง 1.60 ม. ยาว 6.83 ม. หนา 1.2 ม. บนแผ่นหนิ มี เสน้ เปน็ รอยลกึ ขีดไปมาเป็นรูปอักษร สง่ิ นคี้ ือศลิ าจารกึ หุบเขาชอ่ งคอย ครนั้ จัดตัง้ อําเภอจุฬาภรณ์โดย แยกออกจากอําเภอรอ่ นพิบูลย์ ปัจจุบันหบุ เขาชอ่ งคอยต้ังอยูท่ ี่บ้านอายเลา หมู่ 5 ต.ทงุ่ โพธ์ิ อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช ทางการทําถนนเขา้ ไปยงั ทตี่ ั้งของศลิ าจารกึ ก่อสร้างอาคารสถานที่เท่าที่จําเปน็ ต้องใช้ รวมทง้ั ชาวบา้ นจัดตั้งเปน็ กลุ่มดแู ลรบั ผิดชอบด้านต่างๆ ผู้เขียนเข้าไปสาํ รวจเมอื่ 21 กรกฎาคม 2561 ศลิ าจารึกสรา้ งข้นึ ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 10-11 เกา่ แกป่ รัมปราแต่อกาลิโก จารกึ เขาช่องคอย เป็นศลิ าจารึกของพราหมณ์ท่แี ล่นเรอื มาจากอินเดียใต้ เผยแผ่ศาสนาพราหมณ์ไศวนิกายบนคาบสมุทร มลายู ตัวอักษรเปน็ แบบเดียวกบั ท่ีปรากฏอย่ทู ่เี ขาคา เป็นพวกเดียวกบั กลมุ่ คนท่ีมาตั้งถนิ่ ฐานอย่ทู เี่ ขาคา ในเขตอําเภอสชิ ล รวมทงั้ ชมุ ชนพราหมณแ์ ละชุมชนชาวพุทธท่ีอําเภอทา่ ศาลา เช่น โมคลาน ไทรขาม ตา เณร ตุมปงั เกาะพระนารายณ์ วัดมเหยงคณ์ ดอนไคร เป็นตน้ หบุ ช่องเขาคอยไมใ่ ช่แหล่งอยู่อาศัยเพราะ ไม่มีสิ่งกอ่ สร้างอน่ื ใด เข้าใจว่าหมายเอาตน้ น้ําของหุบเขาชอ่ งคอยเป็นนา้ํ ศักด์สิ ทิ ธิ์ ตัวศิลาจารึกบันทกึ ไว้ 3 ตอน บนั ทึกเป็นภาษาปัลลวะเหมือนกับศิลาจารกึ วัดมเหยงคณท์ ี่ตาํ บลสระแกว้ อาํ เภอท่าศาลา หมายเหตุ นกั ประวตั ิศาสตร์ นกั โบราณคดี สนั นษิ ฐานว่าโบราณสถานและโบราณวัตถุของศาสนา พราหมณ์บนคาบสมุทรมลายู มอี ายุอย่ใู นช่วงพุทธศตวรรษท่ี 11 12 13 14 นา่ จะน้อยกวา่ ความเป็นจรงิ เพราะพราหมณม์ าถงึ คาบสมุทรมลายูช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 1 ส่วนพทุ ธเข้ามาช่วงพุทธศตวรรษท่ี 2

ตอนท่ี 1 มบี รรทดั เดยี ว (จารกึ นเี้ ปน็ ) ของผเู้ ป็นเจา้ แห่งวทิ ยาการ (พระศวิ ะ) ตอนท่ี 2 มี 4 บรรทัด 1. ขอความนอบนอ้ มจงมแี ก่ท่านผเู้ ปน็ เจา้ แหง่ ปา่ 2. ขอความนอบนอ้ มจงมแี ก่ท่านผู้เปน็ เจา้ แหง่ เทพทง้ั มวล 3. ชนทงั้ หลายผเู้ คารพตอ่ พระศวิ ะ ......อนั ท่านผเู้ จรญิ 4. (พระศิวะ) พึงให้มอี ยู่ ณ ที่นี้ จงึ มาเพอื่ ประโยชน์ (นัน้ ) ตอนท่ี 3 มี 2 บรรทัด 1.ถ้าคนดอี ยใู่ นหมบู่ า้ นของชนเหล่าใด 2.ความสุขและผลจกั มีแกค่ นเหล่านัน้ ศิลาจารึกที่หบุ เขาช่องคอย ได้แสดงขอบเขตของอาณาจักรตามพรลิงค์ เรมิ่ จากอําเภอสชิ ลทอ่ี ยู่ ทางทศิ เหนือ ถงึ อําเภอจุฬาภรณ์ที่อยทู่ างทิศใต้ ช่วงของอาณาจักรตามพรลงิ ค์ ยุคท่ี 1 (สิชล-ทา่ ศาลา) สภาพทางภมู ิศาสตรข์ องอาณาจกั รตามพรลิงค์ในช่วงเวลาน้ัน ในเขตอําเภอร่อนพิบูลย์ เข้าใจวา่ ท้อง ทะเลจะขึน้ มาถึงบ้านท้ายสาํ เภาและบา้ นเสาธง บริเวณนี้เปน็ พน้ื ลาดเชิงเขาหลวง ขดุ พบสว่ นท้ายของ เรอื สําเภาท่บี ้านท้ายสําเภา ขุดพบเสากระโดงของเรือสําเภาทบี่ า้ นเสาธง สว่ นท่ีอําเภอท่าศาลาทะเลอยู่ ปละออกสันทรายโมคลาน เน่อื งจากมีโบราณสถานโบราณวัตถุของพราหมณ์ สรา้ งอย่บู นสนั ทรายโม คลาน ยังพบพระศวิ ะที่วัดตาเณรบนสนั ทรายโมคลานเช่นกนั อย่ทู างทิศตะวันออกเฉียงเหนอื ของสเุ หร่า บา้ นตนี ดอน สว่ นทีร่ าบลุม่ ปละตกสันทรายโมคลานพบโยนโิ ทรณะทวี่ ัดนอกทุ่ง (ปัจจบุ ันเกบ็ รักษาอยทู่ ี่ วัดหญ้าปล้อง) พบโยนิโทรณะท่วี ดั ไทรขามในเขตตําบลดอนตะโกมบี างสว่ นเก็บไว้ที่วดั จนั พอ และ ท่ีราบ ล่มุ ปละตกสนั ทรายท่าสูงขดุ พบพระวิษณุ 2 องค์ ทวี่ ัดเกาะพระนารายณ์เขตตาํ บลไทยบรุ ี ทอ่ี าํ เภอสชิ ล โบราณสถานและโบราณวตั ถขุ องศาสนาพราหมณ์อยู่ปละตกสันทรายสิชล บนสันทรายสิชลไม่พบเห็น โบราณสถานโบราณวัตถุ แสดงว่าเวลานัน้ อาจยงั ไมเ่ กิดเปน็ สันทรายสชิ ล สอดคล้องกบั ศลิ าจารึกท่ีถ้าํ เขาพรงที่บนั ทึกว่า เขาพรงเปน็ ทห่ี ลบพายุของเรอื เดินทะเล เม่ือพทุ ธศตวรรษที่ 14 กษัตริย์แหง่ อาณาจกั ร ตามพรลงิ ค์ (นครศรธี รรมราช) แลน่ เรอื ไปเมอื งสุวรรณปุระ (ไชยา) ไดม้ าจอดเรือท่ีเชิงเขาพรงเพ่ือเสาะหา น้ําจดื จากน้ันจึงพาไพรพ่ ลขน้ึ เขาไปสรา้ งพระพุทธรูปเอาไวท้ ีป่ ากถํ้าเขาพรง เพ่ือใชเ้ ป็นท่สี งั เกตเวลา เดนิ เรือผ่านมา ปัจจบุ นั ระดับนา้ํ ทะเลในอ่าวไทยลดต่ําลงมาก เขาพรงจงึ อยูห่ า่ งจากทะเลหลายกิโลเมตร

ตอนที่ 3 ท่าศาลาชว่ งที่เป็นสว่ นหนงึ่ ของอาณาจกั รไทย ชว่ งพุทธศตวรรษที่ 18-19 ดนิ แดนสุวรรณภูมิประกอบด้วยแวน่ แควน้ นอ้ ยใหญม่ ากมายหลาย แคว้น เชน่ แคว้นตามพรลงิ คท์ ่ีนครศรีธรรมราช แควน้ เพชรบุรี (พริบพร)ี แควน้ ทวาราวดีทอ่ี ู่ทอง สพุ รรณบรุ ี และ นครปฐม แคว้นสุโขทัย แคว้นโยนก (เชียงแสน) สําหรับแควน้ โยนก (เชียงแสน) ถูก กองทัพของมอญโจมตเี มื่อปี พ.ศ.1731 ตอ่ มาถูกน้ําทว่ มซํ้าจนเมืองเชยี งแสนล่มสลายกลายเป็นเมอื งร้าง ตอ้ งยา้ ยเมืองไปอยทู่ เี่ วียงปรึกษาเป็นเวลา 94 ปี ต่อมาเกดิ แผ่นดินไหวทําใหเ้ วยี งปรึกษากลายเปน็ เมือง รา้ ง จนถึงสมัยของพญาเมง็ รายสร้างเมืองเชยี งรายเม่ือ พ.ศ.1805 จากน้ันพญาเมง็ รายสง่ กองทัพเขา้ ยึด ครองอาณาจกั รหรภิ ุญชยั (ลําพูน) ของพระนางจามเทวีเม่ือ พ.ศ.1835 รวบรวมเมืองตา่ งๆ เขา้ ดว้ ยกนั ก่อต้งั เปน็ อาณาจักรล้านนามีเมอื งเชยี งรายเปน็ ศูนย์กลาง แควน้ หงสาวดี (มอญ) แควน้ พุกาม (พม่า) ตอ่ มาแควน้ พุกามถูกโจมตีจากพวกมงโกลเมื่อ พ.ศ.1830 ไมน่ านจากน้ันพกุ ามก็กลายเป็นเมืองร้าง แคว้นเขมร (กัมพูชา) และ แควน้ จามปา (จาม) ในประเทศเวียดนาม เป็นตน้ ช่วงพ.ศ.1820-1825 แคว้นตามพรลงิ คท์ ่ีเมืองนครศรีธรรมราชลม่ สลายเน่ืองจากเกิดโรคระบาด เรยี กว่า ไขย้ มบน ชาวเมอื งนครศรธี รรมราชล้มตายเป็นจํานวนมาก พระเจา้ ศรีธรรมโศกราช (พระเจา้ พงศาสุระ) กษัตรยิ ์เมอื งนครศรีธรรมราชสวรรคตจากโรคระบาดในครงั้ น้ันด้วย เมอื งนครศรีธรรมราชจงึ กลายเป็นเมืองรา้ ง ชาวเมืองหลบหนีโรคร้ายไปอยู่ตามปา่ เขา ดังน้ัน แควน้ ตามพรลิงคท์ นี่ ครศรีธรรมราช จงึ ขาดผู้นํา เมือง 12 นักษัตรมีสภาพเปน็ รัฐอสิ ระ แตไ่ ม่มีใครทีม่ ีความสามารถรวบรวมเมอื ง 12 นักษัตร ใหก้ ลบั มาเปน็ รัฐอสิ ระและเป็นศนู ยก์ ลางของคาบสมุทรมลายไู ด้อีกเลย 3.1 ยคุ กรงุ สุโขทัย (พ.ศ.1780-1981) ยุคกรุงสุโขทัยสมยั พ่อขุนรามคําแหง พ.ศ.1822-1842 จากขอ้ ความในศิลาจารกึ หลกั ท่ี 1 มีบาง ตอนกลา่ วถึงเมืองนครศรธี รรมราชความว่า “เบอ้ื งตะวันตกเมอื งสโุ ขทัย มอี รัญญิก (อไรญกิ ) พอ่ ขุน รามคําแหงกระทําโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวกกว่าปู่ครูในเมอื งนี้ ทุกคน ลุกแตเ่ มอื งนครศรีธรรมราชมา ในกลางอรัญญิก (อไรญิก) มีพหิ ารอันณ่ึง มนใหญส่ งู งามแกก่ ม มีอัฎฐารสอันณึง่ ลกุ ยืน” ชว่ งท่พี อ่ ขนุ รามคําแหงเป็นกษัตริย์ครองแคว้นสุโขทยั แควน้ นครศรีธรรมราช เปน็ รัฐอิสระ ซง่ึ ตรงกับสมัยของพระเจา้ ศรธี รรมโศกราช (พระเจา้ จันทรภาณุ และ พระเจ้าพงศาสุระ) จนกระท่งั ประมาณ พ.ศ.1820-1825 แคว้นตามพรลิงค์ท่ีนครศรธี รรมราชลม่ สลายจากไข้ห่า บ้านเมอื ง ขาดผนู้ าํ แตเ่ มืองนครศรีธรรมราชก็ไม่ได้ตกเปน็ สว่ นหนึ่งของแคว้นสโุ ขทัยแต่อย่างใด ศลิ าจารกึ หลักท่ี 1 หน้า 4 กล่าววา่ “ปราบเบอ้ื งตะวนั ออก รอดสรลวง สองแคว สคา เท้าฝง่ั ของ ถงึ เวยี งจันทนเ์ วยี งคําเป็นท่ี แล้ว เบอื้ งหัวนอนรอดคนที พระบาง แพรก สุวรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรธี รรมราช ฝัง่ ทะเล สมุทรเป็นท่ีแล้ว เบือ้ งตะวันตกรอดเมืองฉอด เมอื ง...น หงสาวดี สมุทรหา เปน็ แดน เบ้อื งตีนนอน รอด เมอื งแพร่ เมืองน่าน เมือง...น เมืองพลัว พน้ ฝ่ังของ เมอื งชวาเปน็ ทแ่ี ลว้ “ จากศิลาจารึกหลกั ท่ี 1 แวน่ แคว้นที่ระบุอยู่ในศลิ าจารึกดังกลา่ ว คอื ดินแดนทส่ี ุโขทัยมีการติดต่อ มีความสัมพนั ธท์ างการทูต และ เก่ียวข้องในเร่อื งของการคา้ ขายแลกเปล่ียนสินคา้ มากกว่าทแี่ ว่นแควน้ ดังกล่าวจะตกเปน็

เมืองขึ้นของกรงุ สุโขทัย เพราะเขตแดนอาณาจกั รสุโขทยั ทิศตะวนั ตก ครอบคลุมถึงเมอื งหงสาวดีคิด ยังไงกเ็ ป็นไปไดย้ ากมาก หากมาดูเบื้องหวั นอน (ใต)้ ท่ีบันทึกว่าอาณาเขตของสโุ ขทัยถึงนครศรีธรรมราช กไ็ ม่น่าจะเปน็ ไปได้ เพราะทิศใตม้ ีอาณาจักรทวารวดีของพระเจ้าอูท่ องปกครองอยู่ จากนั้นพระเจ้าอู่ทอง องค์ถัดมาก็อพยพชาวเมอื งไปสร้างเมอื งใหมท่ ่หี นองโสน ก่อต้งั กรุงศรีอยุธยาเมอื่ พ.ศ.1893 นอกจากนี้ ทางตอนใตข้ องอาณาจกั รทวารวดียงั มีอาณาจักรเพชรบุรี ซึง่ กษัตรยิ ์ราชวงศป์ ัทมวงศป์ กครองอยู่ สว่ น เบอ้ื งตนี (เหนือ) ท่ีบอกวา่ ข้ามฝง่ั โขงไปถงึ เมืองชวา ไม่ทราบวา่ เมืองชวาคือเมอื งอะไรต้ังตรงส่วนไหนของ ภาคเหนอื และ ในเวลานั้นพระยาเมง็ รายกาํ ลังเป็นใหญ่อยทู่ เ่ี มืองเชียงราย เมอ่ื พ.ศ.1835 ยังสง่ กองทัพ โจมตีเมืองหริภุญชยั ของพระนางจามเทวี ผนวกเขา้ มาเป็นสว่ นหนง่ึ ของอาณาจักรลา้ นนา ดังนน้ั ศลิ า จารกึ ของพอ่ ขุนรามคําแหงจึงบันทกึ เอาเองตามใจชอบ ท่ีสําคัญแควน้ ตามพรลงิ ค์มีเช้ือสายกษัตรยิ ์ปัทม วงศ์ส่งไปปกครองเมืองเพชรบรุ ี ตํานานเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวว่า พ.ศ.1830 พระพนมทะเลศรีมเห สวัสดิทราธิราชผู้ครองเมืองเพชรบุรี หลานปู่ของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช (อาจเป็นหลานปู่ของพระเจ้า จนั ทรภาณุ) ทีส่ ง่ ไปปกครองเมอื งเพชรบรุ ี คร้ันอาณาจักรนครศรีธรรมราชลม่ สลายจากโรคระบาด ทําให้ พระเจ้าศรธี รรมโศกราช (พระเจ้าพงศาสุระ) ส้นิ พระชนม์จากโรคหา่ บา้ นเมอื งขาดผ้นู าํ พระพนมทะเล ศรีมเหสวสั ดิทราธิราชกษัตริย์เมอื งเพชรบรุ ี จึงสง่ พระพนมวังกับพระนางสะเดียงทองมาซ่อมแซมเมอื ง นครศรธี รรมราช มอบผูค้ นหลายร้อยคนรวมทง้ั มอบข้าวของเคร่อื งใช้ เดนิ ทางมาซอ่ มพระบรมธาตทุ ่ี นครศรีธรรมราช พระพนมวงั และพระนางสะเดียงทองยกพลมาต้งั หลักทีเ่ มืองจงสระ (อําเภอเวียงสระ จงั หวดั สุราษฎรธ์ าน)ี เนื่องจากเวลานนั้ เมืองนครศรธี รรมราชเปน็ เมืองรา้ ง พระพนมวังซอ่ มองค์พระบรม ธาตุ ซ่อมวัดวาอาราม ซอ่ มบ้านเมอื ง จดั ส่งผู้คนไปถางปา่ เป็นนาตามทีต่ ่างๆ ทั่วภาคใต้ เช่น สร้างนาทุ่ง เขน สร้างนาท่าทอง (เมืองทา่ ทอง) สร้างนาตระชน (เมืองสิชล) ใหน้ ายราชนายเขียวสรา้ งนาเมืองไชยา นายยอดสร้างนาเวยี งสระ กลา่ วเฉพาะที่ทา่ ศาลาบา้ นเรา พระพนมวังส่งคนมาถางปา่ เป็นนาที่ ทุ่งกะ โดน (บ้านโดน) ที่ ทุ่งไผ่ (ปจั จุบนั เป็นทีต่ ง้ั ของมหาวทิ ยาลัยวลัยลักษณ์) ให้นายอาย เจา้ ปา เอาคนไป สรา้ งป่าเปน็ นาแลรักษาพระใน วดั พะนังตรา (วัดนางตรา) ให้นายแก้ว นายใส ตั้งบ้านอยู่ กรุงชิง (นบพิ ตาํ ) เมอื งอลอง ใหน้ ายเชียงแสนอยู่ (เมอื งอลองปจั จุบันตําบลฉลอง อําเภอสชิ ล) ไชยคราม ใหน้ าย มงคลอยู่ (ไชยครามคอื ตําบลไชยคราม อําเภอดอนสัก จังหวดั สุราษฎรธ์ านี) เป็นต้น ยังมรี ายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ อีกว่าผู้ครองอาณาจักรเพชรบุรี (พริบพรี) พระพนมทะเลศรีสวัสดทิ ราธิ ราช มลี กู ชายช่ือพระพนมวัง มลี กู สะใภช้ ่อื พระนางสะเดยี งทอง พระพนมวงั กับนางสะเดียงทองเมอ่ื มา อยูท่ ่ีเมอื งจงสระกม็ ลี กู 3 คน คือ เจ้าศรีราชา เจ้าศรรี าชาเมยี ชือ่ นางสนสง่ ไปปกครอง เมืองสระอเุ ลา (ปจั จุบันคืออําเภอกาญจนดิษฐ์ จงั หวัดสรุ าษฎรธ์ านี) เจ้าสนตรา เป็นสตรีมีผัวชื่อพระอินทรราชาถูก ส่งไปปกครอง เมอื งตระหนอม สร้างนาศรีชนิ สร้างนาสะเพยี ง (เมืองตระหนอมปัจจบุ นั คือ อาํ เภอ ขนอม จงั หวัดนครศรีธรรมราช) เจา้ กมุ าร มเี มยี ช่ือนางจนั ทรถ์ กู สง่ ไปปกครอง เมืองทา่ ทอง สรา้ งนาทงุ่ เอน (เมืองท่าทองปัจจบุ ันคอื ตําบลท่าทอง อําเภอกาญจนดิษฐ์ จงั หวัดสรุ าษฎรธ์ านี)

ชือ่ ของบุคคลท่กี ลา่ วไว้ในตํานานเมอื งนครศรธี รรมราช บอกใหท้ ราบว่ามาจากคําในภาษาขอม เพราะคําวา่ พระพนม เป็นคําเรียกกษัตรยิ ์ของอาณาจักรขอม แสดงใหเ้ ห็นว่าบรรดาแวน่ แควน้ ในเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ ลว้ นเก่ยี วขอ้ งสัมพันธเ์ ปน็ เครอื ญาติเดยี วกนั เจ้าผู้ครองแควน้ ลว้ นมาจากราชวงศไ์ ศ เลนทร์ หรือ ราชวงศป์ ัทมวงศ์ เชน่ เมืองพระนคร เมอื งละโว้ เมอื งนครวัด เมืองนครธม ในประเทศกัมพูชา เมอื งจามปาของเวียดนาม เมืองทวาราวดี (อทู่ อง สพุ รรณบุรี นครปฐม) เมืองเพชรบรุ ี (พรบิ พร)ี เมอื ง ตามพรลิงค์ (นครศรธี รรมราช) เมืองศรีโพธิ์ (ไชยา) เมืองลังกาสุกะ (ปัตตาน)ี ในประเทศไทย เมืองปาเล็ม บัง เมืองมัชปาหิ เมืองบโุ รพุทโธ เมืองจมั บิ ในประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น เท่าทีส่ ังเกตจากบนั ทึกในศลิ า จารึกหลักต่างๆ ทุกยุคทกุ สมัยมักกล่าวถงึ ราชวงศ์ ไศเลนทร์ กนั อยูเ่ สมอ แสดงให้เหน็ วา่ ราชวงศ์ไศ เลนทร์เปน็ ราชวงศท์ ่ียืนหยัดเปน็ ราชวงศ์ของกษัตริย์ อยใู่ นดินแดนสวุ รรณภูมมิ าเป็นเวลานานนับร้อยนับ พนั ปี หลักฐานคร้งั สุดทา้ ยราชวงศ์ ไศเลนทร์ เปลย่ี นช่ือราชวงศ์เป็น ปัทมวงศ์ ในสมยั ของพระเจ้าศรี ธรรมาโศกราช (พระเจ้าจนั ทรภาณ)ุ ปลายพุทธศตวรรษท่ี 18 ตามทีเ่ ราเหน็ จากศิลาจารึกพบทว่ี ัดหวั เวียง อําเภอไชยา จงั หวัดสุราษฎร์ธานี แต่การเปลี่ยนราชวงศ์อาจเปลี่ยนมานานแล้ว กษัตรยิ ์ขอมสมยั ของ พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 ทอ่ี ยู่ในชว่ งตน้ พุทธศตวรรษท่ี 18 ใช้ปัทมวงศ์กนั มาก่อนสมัยของ พระเจา้ จันทรภาณุ ทอี่ ยูใ่ นชว่ งปลายพุทธศตวรรษท่ี 18 เปน็ เวลาหลายสิบปี พระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี 7 คือกษัตรยิ ์ ของขอมท่เี ปน็ ลูกหลานจากอาณาจกั รตามพรลิงค์ แห่งเมอื งนครศรธี รรมราช เปรียบเทียบอายุของพระ เจ้าจนั ทรภาณุกับพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างนครธมศูนย์กลางของอาณาจักรเขมรกลางพุทธศตวรรษที่ 18 พระเจ้าชัยวรมันท่ี 7 อาจมศี ักดเ์ิ ปน็ ทวดหรอื เปน็ ปู่ของพระเจา้ ศรธี รรมโศกราช (พระเจา้ จนั ทรภาณุ และ พระเจา้ พงศาสุระ) แห่งอาณาจกั รตามพรลงิ คเ์ มืองนครศรีธรรมราช ยอ้ นกลับมาทีเ่ มืองจงสระ พระพนมวงั นางสะเดียงทองท่ีมาพาํ นักทีเ่ มืองจงสระ แต่งเรือ 9 ลํา ให้แกแ่ ขกไปเป็นเจา้ เมืองทกุ เมอื งให้ เจอุมากนิ เมืองญี่หนเรยี กราชาประหมัด เจมรี ะบเู มียหน่ึงไปกิน เมืองจะนะเทพาใหช้ อื่ ราชาวังสะ เจสมู าเมียหน่ึงให้กินเมืองปาหังใชช้ ่ือราชาประเมสรา เจศรีสุดหราให้ ไปกินเมอื งตานใี หช้ ่ือราชาฤทธิ์เทวา แจะศรเี คเมียหน่ึงเจาะเสนใหไ้ ปกินเมืองสายให้ช่อื ราชาศรสี ลุ ตา่ น เจสาลีเมียหนึง่ ไปกนิ เมืองพัทลุงใหช้ ่อื ราชาพาหะระอุ เจศรีดาญังเมยี หนึ่งเจสเี ตประวังสาใหไ้ ปกนิ เมอื งไทรใหช้ ื่อราชาพิตมิ นั เจเปราะเมียหน่งึ เจสาวงั ให้ไปกนิ เมอื งละงใู ห้ชอื่ ราชายรุ า เจลาคานาญงั เมียหนง่ึ เจศรสี ะหลับให้ไปกินเมืองงอแจให้ช่ือราชาอะยู เจปะราสีเมียหนง่ึ เจนาวาให้ไปกนิ เมืองพลใู ห้ ชื่อราชาประเคน เจปารูเมียหน่งึ ส่งเบีย้ ปลี ะสามเกวียนสารา สง่ แขกไปกินเมืองแลว้ ไซร้ พระพนมวงั นาง สะเดยี งทองใหผ้ ูกส่วยทองปีละ 10 ตาํ ลงึ ทองทกุ เมือง โดยตั้งให้ เจสะหาปา เจสีลิเมา 2 คนนเ้ี ป็นทะ นายใช้ใหเ้ รียกสว่ ยทองทุกเมืองแล (ตํานานตอนนน้ี ่าจะคลาดเคลื่อนเพราะบางเมอื งไม่เปน็ อิสลาม) ครนั้ พระพนมวังทิวงคต เจา้ ศรรี าชานาํ กําลงั จากเมืองสระอุเลาเข้ายึดครองเมืองจงสระเอาไว้ได้ จัดการศพพระพนมวงั เสร็จแล้วนํากระดกู ธาตไุ ปบรรจุทเ่ี ขาอัศริจนั โดยก่อพระเจดียไ์ ว้ในถ้าํ และ ให้พนั วงั อยู่รักษาพระธาตุน้นั การซอ่ มองคพ์ ระธาตุและบา้ นเรือนในเมืองนครศรีธรรมราชเสรจ็ เรียบร้อย เจา้ ศรี ราชาและพระนางสนจึงยา้ ยมาอย่ทู ี่เมืองนครศรีธรรมราช สว่ นเมอื งจงสระกแ็ ต่งตงั้ พระยาดีอยู่เปน็

ผู้ปกครอง เอาไว้คานอํานาจกับกองกาํ ลงั จากเมืองอน่ื ๆ จากนน้ั เจ้าศรรี าชาก็แตง่ ตง้ั ให้เจา้ กุมารและนาง จันทร์กลับไปปกครองเมอื งท่าทองเหมอื นเดิม รวมท้งั สัง่ ใหส้ ร้างปา่ เป็นนา ให้นายหมันคงไปสรา้ งป่าเป็น นาที่ ตําบลพนัง (อาํ เภอปากพนัง) ให้นายศรที องเอาคนไปสรา้ งปา่ เป็นนาท่ี ตําบลบางจาก (ตาํ บลบาง จาก อาํ เภอเมอื ง จังหวดั นครศรธี รรมราช) ให้นายจัน นายพรมไชย นายเทพ ตง้ั บ้านอยู่ ตาํ บลเจา้ เหล็ก (น่าจะเป็นบ้านโรงเหล็ก อําเภอนบพติ ํา) ใหน้ ายสามบุรรี ัด นายพรฤๅไชย นายสวี ังไส เอาคนไปสรา้ งปา่ เปน็ นาที่ ตําบลหญิงปลดต่อพะนังตรา (วัดนางตรา ตําบลทา่ ศาลา อําเภอท่าศาลา) ใหน้ ายศรีเมือง นายปรชั ญา รับเอาคนไปสร้างป่าเป็นนาที่ หนองไผ่ (ทุง่ บา้ นไผ่) ท่ีท่งุ บ้านไผใ่ นปัจจุบนั มีวัดร้างรวมทั้งมี ชมุ ชนโบราณอยู่เปน็ จาํ นวนมาก เช่น วดั จันตก วัดจนั ออก วัดแสงแรง วดั คลองดนิ (เหนียว) วัด ดาน วัดขุนโขลง วัดกลาง วัดท่าคอย วดั มว่ งมอน วัดกลุ วดั นางตรา วัดเกาะพระนารายณ์ วัด นาเตย เปน็ ตน้ ท่สี ําคญั สถานทีแ่ ห่งนมี้ ี โบราณสถานตุมปัง ทไี่ ดอ้ ธิบายไว้แล้ว อนั เป็นวัดใน พระพุทธศาสนาลทั ธิมหายานยาน นาลกึ (ยงั ไม่พบหลกั ฐานวา่ เป็นสถานทีแ่ หง่ ใด) คลองกะโดน (นา่ จะเปน็ บ้านโดนอยู่ติดกับคลองท่าพุดบรเิ วณทีเ่ รียกว่าคลองอ้ายผลุง้ และคลองวังไทร) ต่อกับ ขมา้ ย (ยงั ไม่ทราบวา่ เป็นท่ใี ด) ใกล้กบั วดั ด่านหลวง (วัดดา่ นหลวงน่าจะเปน็ วัดคลองดนิ ท่มี อี ยู่ในปจั จุบัน) ให้ นายใสนายแก้วต้งั บา้ นอยู่ กรงุ ชิง (นบพติ าํ ) ใหน้ ายไชย นายจนั เอาคนไปสร้างปา่ เป็นนาที่ ตาํ บล กระแด๊ะ (บา้ นกระแด๊ะ หรือ คลองกระแดะ๊ อาํ เภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎรธ์ านี) เป็นตน้ มเี รอื่ งราวเกยี่ วกับพระพุทธสิหงิ ค์เรยี กว่า ตาํ นานพระพุทธสิหงิ ค์ ความวา่ พ่อขุนรามคาํ แหง แหง่ กรุงสโุ ขทัยขอพระพทุ ธสิหงิ คจ์ ากพระเจ้าพงศาสรุ ะ พระพทุ ธสิหงิ คอ์ งค์ท่ีพระเจา้ จนั ทรภาณมุ หาราช แห่งเมืองนครศรีธรรมราชทรงนํามาจากลงั กา กล่าวคอื พระเจา้ ศรีธรรมโศกราช (พระเจา้ จันทรภาณ)ุ ยก กองทัพจากอาณาจักรตามพรลิงค์ เมอื งนครศรธี รรมราช โดยใช้กองทพั เรอื จากเมืองไชยา กองทพั เรอื จากเมืองตรงั ขนทหารเรือทหารบกยกพลไปรบกับลังกา ครง้ั แรกพระเจ้าจันทรภาณมุ หาราชได้ชัยชนะ เหนอื ลังกา นําพระพทุ ธสิหิงค์จากลังกามาไว้ท่ีเมืองนครศรีธรรมราช ครน้ั ถงึ สมัยของพระเจา้ พงศาสุระ พ่อขุนรามคําแหงต้องการพระพทุ ธสหิ งิ ค์ดงั กลา่ ว พระเจา้ พงศาสุระจงึ มอบพระพุทธสหิ ิงค์ให้แกพ่ อ่ ขุน รามคาํ แหง ประวัติศาสตร์ชาติไทยสมยั กรงุ สโุ ขทัยบันทึกวา่ พระเจ้าพงศาสุระใหช้ ่างหลอพระพุทธสหิ งิ ค์ จาํ ลองเอาไวท้ เี่ มืองนครศรีธรรมราช พระพทุ ธสหิ งิ ค์ดงั กล่าวปจั จุบนั ประดษิ ฐานอยู่ทห่ี อพระหน้าศาลา กลางจงั หวัดนครศรีธรรมราช รูปแบบพระพทุ ธรูปองค์นเ้ี รียกว่า แบบขนมตม้ เรื่องราวเหตุการณ์ทเี่ กดิ ขึ้นท่ที า่ ศาลาในยุคกรุงสโุ ขทัย มบี อกไว้เปน็ เกร็ดเลก็ เกรด็ น้อย ดังกล่าว โดยเร่ืองราวส่วนใหญท่ ่มี ีอยู่ มีเน้ือหาเกี่ยวข้องเฉพาะเมืองนครศรีธรรมราชกบั เมอื ง สุโขทัย ซึ่งมอี ยู่ในศิลาจารึกหลกั ที่ 1 พ.ศ.1835 กล่าวถึงเร่อื งราวของพอ่ ขนุ รามคําแหงมหาราช ศลิ าจารกึ หลกั ท่ี 2 พ.ศ.1880-1910 พบทว่ี ัดศรชี ุมเมอื งเกา่ สโุ ขทยั ซึง่ กล่าวถึงเรอื่ งราวของพระ มหาเถรศรีศรัทธาราชจฬุ ามนุ ศี รรี ตั นลังกาทปี มหาสามี ศลิ าจารกึ หลกั ท่ี 3 พ.ศ.1900 พบท่วี ัด นครชมุ เมืองกาํ แพงเพชร กลา่ วถงึ พญาลอื ไทยโอรสของพญาเลอไทย พระนัดดาพระยาราม ราช เสวยราชยท์ ี่เมืองศรีสชั นาลยั สุโขทัยเมื่อปี 1890 นอกจากนี้ยังมศี ลิ าจารกึ อกี หลายหลกั เช่น ศิลาจารึกวดั ปา่ มะม่วง ศิลาจารึกวัดอโศการาม และ ศิลาจารึกวัดบูรพาราม เปน็ ต้น

3.2 ยคุ กรุงศรอี ยธุ ยา (พ.ศ.1893-2310) สมัยกรงุ ศรีอยุธยา อาณาจักรตามพรลิงคท์ เี่ มืองนครศรธี รรมราช รวมทงั้ เมอื ง 12 นักษัตร ต้อง ตกเป็นประเทศราชของอาณาจกั รอยุธยา โดยต้องส่งดอกไมเ้ งนิ ดอกไม้ทองแสดงความจงรกั ภกั ดแี ก่กรุง ศรีอยธุ ยา ในเวลาตอ่ มากรุงศรอี ยธุ ยาไดส้ ง่ คนมาปกครองควบคมุ ดูแลเมืองนครศรีธรรมราช ด้วยเหตนุ ้ี ราชวงศไ์ ศเลนทรห์ รือราชวงศ์ปัทมวงศท์ เี่ คยปกครองอาณาจกั รตามพรลงิ ค์มานาน ต้องสูญส้นิ อํานาจ ต้องสญู สน้ิ ราชวงศ์กลายมาเป็นคนธรรมดาสามัญ จากบดั นัน้ เปน็ ตน้ มาอาณาจักรตามพรลงิ คท์ ี่เมือง นครศรีธรรมราช ไม่สามารถพลกิ ฟนื้ คนื อํานาจมาเปน็ ศูนยก์ ลางบนคาบสมทุ รมลายูไดอ้ ีก ต้องตกอยู่ ภายใตก้ ารปกครองของกรุงศรอี ยธุ ยาเป็นเวลานานถงึ 417 ปี โดยแบง่ ออกเป็น 3 ช่วง ดงั น้ี 3.2.1 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น พ.ศ.1893 สมัยของสมเด็จพระรามาธิบดที ่ี 1 (พระเจา้ อู่ ทอง) ก่อนนพี้ ระเจา้ อยู่ทองเป็นกษัตรยิ ์ของอาณาจักรทวาราวดมี ีศนู ย์กลางที่เมืองอู่ทอง สนั นิษฐานว่า อาจเกิดโรคระบาดข้นึ ทีเ่ มืองอู่ทอง ประกอบกบั เมืองอู่ทองอยู่ห่างจากทะเลมากขึ้นทกุ ทีๆ เนอ่ื งจาก แผ่นดินงอกออกไปเร่ือยๆ พระเจา้ อทู่ องจงึ อพยพชาวเมอื งอูท่ องมาสรา้ งเมอื งใหม่ที่หนองโสนเรยี กวา่ กรุงศรีอยธุ ยา กรุงศรีอยธุ ยาย่ิงใหญข่ น้ึ เร่อื ยๆ ขยายเขตแดนถึงอาณาจกั รสุโขทยั ขยายเขตแดนเขา้ ไปใน อาณาจักรล้านนาทีเ่ มืองเชยี งใหม่ (ตอนหลังศนู ยก์ ลางอาณาจกั รลา้ นนายา้ ยจากเมืองเชียงรายมาอย่ทู ี่ เมืองเชยี งใหม)่ ทางใต้บนคาบสมุทรมลายู กรุงศรอี ยุธยาขยายอาณาเขตครอบคลุมถึงอาณาจกั รตามพร ลงิ ค์ทนี่ ครศรีธรรมราช แต่ก่อนถงึ สมัยของพระเจ้าอ่ทู องเมอ่ื ปี พ.ศ. 1893 ย้อนไปต้นพทุ ธศตวรรษที่ 19 ช่วง พ.ศ.1820-1825 เมืองนครศรธี รรมราชเกิดโรคห่า ชาวเมอื งนครศรีธรรมราชล้มตายลงเป็นอันมาก รวมท้งั พระเจา้ ศรีธรรมโศกราช (พระเจ้าพงศาสุระ) ส้นิ พระชนม์จากโรคห่าในครัง้ น้ี ผูค้ นพลเมืองอพยพ ไปอยู่ตามหบุ เขาหลวงในบริเวณต่างๆ เชน่ หุบเขาหลวงทร่ี อ่ นพิบูลย์ หุบเขาหลวงท่ีลานสกา (ครี ีวงศ)์ หุบเขาหลวงท่ีพรหมครี ี (พรหมโลก) หุบเขาหลวงที่นบพิตํา (กรุงชิง กรุงนาง) เปน็ ต้น ครนั้ พ.ศ.1830 ลกู หลานชาวเมืองนครศรีธรรมราชท่ีส่งไปปกครองเมืองเพชรบุรี เมือ่ เมืองนครศรธี รรมราชเกดิ ปญั หา ขึน้ มา จงึ สง่ ลกู หลานกลับมาซอ่ มแซมเมืองนครศรีธรรมราช ช่วงท่ีอาณาจกั รตามพรลิงค์ทีเ่ มือง นครศรีธรรมราชตกอยู่ในสภาพทย่ี าํ่ แย่ ลูกหลานของพระเจา้ ศรธี รรมโศกจากเมืองเพชรบุรี คือ พระพนม วงั กบั พระนางสะเดยี งทองถูกสง่ มาปกครองดูแลเมอื งนครศรธี รรมราช พระพนมวงั ตั้งหลักอยู่ท่เี มอื งจง สระ (เวยี งสระ) เมื่อพระพนมวังทิวงคต ลูกของพระพนมวังคอื เจา้ ศรีราชากับพระนางสน ทพี่ ระพนมวงั สง่ ไปปกครองเมอื งสระอเุ ลา นาํ กําลังเขา้ ยึดครองเมืองเวียงสระเอาไวไ้ ด้ ในขณะทีก่ ารซอ่ มแซมเมือง นครศรีธรรมราชเสร็จสนิ้ สมบรู ณ์ลงแลว้ เจา้ ศรีราชากบั พระนางสนจึงยา้ ยมาอยใู่ นเมอื งนครศรีธรรมราช เม่อื เจา้ ศรรี าชาทิวงคตลูก 3 คน ของเจา้ ศรรี าชาคือ เจ้าอู เจ้ากู และ เจา้ อยู่ ทําหนา้ ที่ปกครองดูแลเมือง นครศรธี รรมราช อย่างไรกต็ าม ลกู หลานพญาศรีธรรมโศกราชจากเมอื งเพชรบุรี ยงั ไม่สามารถพลกิ ฟ้ืน นครศรธี รรมราชให้กลบั มาเข็มแข็งเหมอื นเก่าได้ ไมส่ ามารถทําให้นครศรธี รรมราชกลับมาเป็นศนู ย์กลาง อํานาจบนคาบสมุทรมะลายู และ เวลาน้นั อาณาจักรใหมค่ อื กรุงศรีอยธุ ยาเข้มแขง็ ยิง่ ขน้ึ ทุกวนั ขยาย อาณาจกั รโดยส่งกองทพั เขา้ ควบคมุ เมอื งนครศรธี รรมราช รวมทั้งควบคุมเมือง 12 นักษัตร อาณาจกั ร

ตามพรลิงค์ท่เี มืองนครศรีธรรมราชจึงตกอยใู่ ตอ้ าํ นาจของกรงุ ศรีอยธุ ยา ต่อมากรุงศรอี ยธุ ยาสง่ คนมา ปกครองดูแลเมืองนครศรีธรรมราช ราชวงศไ์ ศเลนทร์หรือราชวงศป์ ัทมวงศ์ ของพระเจา้ ศรธี รรมโศกราช เมืองนครศรีธรรมราช ต้องสูญส้ินราชวงศ์ ลูกหลานของพญาศรีธรรมโศกราชกลายเปน็ ชาวเมืองธรรมดา สามัญไปในทส่ี ดุ 3.2.2 สมัยกรุงศรอี ยุธยาตอนกลาง ประมาณ พ.ศ.1950 พระราเมศวรแห่งกรงุ ศรอี ยธุ ยาตี ลา้ นนาไทยได้ นาํ พาชาวล้านนามาไวท้ ่เี มอื งนครศรีธรรมราช เปน็ การลดอํานาจของลา้ นนาไทยและเพมิ่ ประชากรใหเ้ มืองนครศรธี รรมราช ตามประวตั ิศาสตรเ์ มืองนครศรีธรรมราชกล่าวว่า ชาวลา้ นนาไทยได้ ซ่อมแซมกําแพงเมืองนครศรีธรรมราช ปักเสาไม้พูนดินทําเปน็ กําแพงเมือง แทนกําแพงเมืองดงั้ เดมิ ของ เมอื งนครศรธี รรมราช ทม่ี แี ต่แนวคนั ดินและคนู า้ํ ล้อมรอบ ทาํ ใหก้ าํ แพงเมอื งนครศรธี รรมราชมน่ั คงยงิ่ กว่า กอ่ น พ.ศ.1998 สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถเปลย่ี นฐานะเมืองนครศรธี รรมราช จากเมอื งพระยามหานคร มาเป็นหวั เมืองเอก เจ้าเมืองมบี รรดาศกั ด์ิเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมราช เมอื่ พ.ศ.2073 พงศาวดารฉบับพนั จนั ทนมุ าศบันทกึ ว่า กอ่ นการขึ้นครองราชย์ของพระมหาจกั รพรรดิราชาธิราช (พระเทียรราชา) เป็นสมัย ของพระยอดฟ้า พระเทยี รราชาทรงดํารงตาํ แหนง่ ผสู้ ําเร็จราชการแผน่ ดนิ คู่กับนางพระยาแม่เจ้าอยู่หวั ศรี สุดาจันทร์ ต่อมาเพ่อื หลบหลีกความกดดันจากเจ้าแมอ่ ยหู่ วั ศรสี ดุ าจันทร์ จึงเสด็จออกผนวช ครั้น พ.ศ. 2091 ขุนอินทรเทพ เจ้ากรมพระตํารวจขวาและคณะได้กําจัดขุนวรวงศาธริ าช และเจา้ แมอ่ ยูห่ ัวศรสี ุดา จนั ทร์ จงึ ได้อญั เชญิ พระเทียรราชา ให้ลาผนวชและขึน้ ครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหา จกั รพรรดิราชาธิราช (พระเทยี รราชา) เมอ่ื พระองค์ข้ึนครองราชย์แลว้ ทรงแตง่ ตัง้ ขนุ นางผู้มีความดี ความชอบ เชน่ ขนุ พิเรนทรเทพ สถาปนาเป็นสมเด็จพระธรรมราชาธิราชสาํ เร็จราชการเมอื งพิษณโุ ลก พระราชทานพระสวสั ดิราชร้ังตําแหนง่ พระวิสทุ ธิกษัตริย์ให้เปน็ พระอัครมเหสี ส่วน ขุนอนิ ทรเทพ ไดร้ บั การแต่งตงั้ เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช สาํ เรจ็ ราชการเมอื งนครศรธี รรมราช พระราชทานลูกพระสนม องคห์ นึ่ง เจียดทองคู่หนง่ึ พานทองคหู่ นง่ึ เต้านาํ้ ทอง กระบ่ี กัน้ หยัน่ เสล่ยี งงา เสลีย่ งกลบี บัว เครื่องสูง เปน็ ตน้ เม่อื พ.ศ.2100 ชาวโปรตุเกสทเ่ี ขา้ มาค้าขายแถบเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ เขา้ มาท่ีกรุงศรีอยธุ ยา และทนี่ ครศรธี รรมราช ทางกรุงศรีอยธุ ยาเห็นวา่ เมอื งนครศรีธรรมราชมีความสาํ คัญ จึงใหช้ า่ งชาว โปรตุเกสปรับปรงุ กาํ แพงเมอื งนครศรีธรรมราชใหแ้ ข็งแรงมัน่ คง ช่างชาวปอร์ตเุ กสจงึ สร้างทํากําแพงเมอื ง นครศรธี รรมราชดว้ ยอฐิ กําแพงเมอื งนครศรธี รรมราชจึงม่ันคงมานานนบั ร้อยปี 3.2.3 สมยั กรุงศรอี ยธุ ยาตอนปลาย สมัยพระนารายณม์ หาราช พ.ศ.2199-2231 เป็น ช่วงเวลาทก่ี รงุ ศรีอยธุ ยาเขม็ แข็งท่ีสุด แมท่ ัพเอกของพระนารายณ์คอื เจ้าพระยาโกษาธบิ ดี (เหล็ก) พระ นารายณส์ ่งกองทัพกรุงศรีอยุธยาบุกเข้ายดึ ครอง เมืองจิตตะกอง สเิ รยี ม ย่างก้งุ แปร ตองอู หงสาวดี เปน็ ต้น เมืองดังกลา่ วถูกผนวกเขา้ มาอย่ใู นอาํ นาจของกรุงศรีอยุธยา ในสมยั ของพระนารายณ์มหาราชเมอื ง นครศรธี รรมราชไดร้ ับการดแู ลเอาใจใสเ่ ปน็ อย่างดี สมเด็จพระนารายณโ์ ปรดใหส้ ร้างกําแพงเมอื ง นครศรีธรรมราชข้นึ ใหมต่ ามแบบฝรง่ั เรียกวา่ แบบชาโต (Chateau) กาํ แพงเมอื งนครศรีธรรมราชที่เหน็ อยูใ่ นปจั จุบัน เป็นกําแพงที่สร้างในสมยั พระนารายณม์ หาราช ในสมัยของพระเจา้ อยู่หัวบรมโกศ พ.ศ.

2275-2301 มีคาํ สัง่ แตง่ ต้ังพระยาไชยาธิเบศรเ์ ปน็ เจ้าพระยานครศรธี รรมราช คําส่ังดังกล่าวมชี ่ือเมือง และช่อื ของขา้ ราชการแตล่ ะเมอื งอยู่ด้วย น่าเสยี ดายท่ีคําสั่งแตง่ ต้งั ข้าราชการดังกล่าวยังหาไมพ่ บ จึงไม่ ทราบว่าท่าศาลาของเราในสมยั พระเจ้าอยู่หวั บรมโกศ มีเมอื งใดบ้างแต่ละเมอื งมีใครเป็นเจ้าเมอื ง มใี คร เป็นข้าราชการ เข้าใจวา่ คําสั่งแต่งตัง้ ข้าราชการดงั กล่าวสูญหายไป ช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาเม่ือ พ.ศ.2310 ซึง่ ในตอนนั้นกรุงศรอี ยธุ ยาถูกพมา่ เผาทําลายจนไม่หลงเหลอื อะไรเลย การสวรรคตของพระเจา้ อยู่หัวบรมโกศ บ้านเมืองระสา่ํ ระสายเกิดการแยง่ ราชสมบัติระหว่างพระ เจา้ อทุ ุมพร (ขนุ หลวงหาวัด) กับ พระเจา้ เอกทัศน์ (ขุนหลวงขเ้ี รอื น) เนอ่ื งจากพระเจา้ อย่หู ัวบรมโกศ แต่งตงั้ น้องคอื พระเจา้ อุทุมพรเปน็ อุปราช ใหพ้ ่ีคือพระเจา้ เอกทัศน์ออกผนวช โดยเหน็ วา่ พระเจา้ เอกทัศน์ โง่เขลาเบาปญั ญา ไม่สามารถทาํ หน้าท่เี ปน็ ผู้นําของกรุงศรอี ยุธยาได้ ครนั้ พระเจา้ อยู่หัวบรมโกศสวรรคต พระเจ้าอุทมุ พรขนึ้ เปน็ กษัตริย์ได้ 2 เดือน พระเจ้าเอกทัศน์ลาผนวชเขา้ มาในพระราชวงั พระเจ้าอุทุมพร จงึ สละราชสมบัติออกผนวชบา้ ง ครนั้ พม่ายกทัพมาโจมตีกรงุ ศรีอยุธยาเม่อื พ.ศ.2303 พระเจา้ เอกทศั น์ ไปนมิ นตใ์ หพ้ ระเจา้ อทุ ุมพรลาผนวชข้นึ เป็นกษัตริยส์ ู้ศึกพมา่ แต่โชคดที พ่ี ระเจา้ อลองพญากษัตริย์พม่า สวรรคตกองทพั พม่าจึงลา่ ถอยกลบั ไป ครน้ั พ.ศ.2307 พระเจ้ามงั ระกษัตริย์พม่ายกกองทพั มาเปน็ สอง ทางเขา้ โจมตีกรงุ ศรีอยธุ ยา ศึกครั้งนก้ี รุงศรีอยธุ ยาต้องเสียแกพ่ ม่าเม่ือ พ.ศ.2310 เรือ่ งราวของท่าศาลายุคกรงุ ศรอี ยุธยาไมห่ ลกั ฐานอะไรให้เห็น สมัยกรุงศรีอยธุ ยาสันนิษฐานว่า ดนิ แดนของท่าศาลาในปจั จุบนั ประกอบด้วยเมอื งเลก็ ๆ 5-6 เมอื ง อยู่ห่างจากเมืองนครศรธี รรมราชไป ทางทิศเหนือ เมอื งเหลา่ น้ีเปน็ แหล่งปลูกขา้ วเพอื่ ใช้เปน็ อาหาร เล้ยี งชาวเมืองนครศรธี รรมราช ชว่ งเวลาท่ีบา้ นเมืองเปน็ ปกตดิ อี ยู่ และ ขา้ วบางส่วนถกู เก็บสะสมเอาไวใ้ นยงุ้ ฉางเพ่ือใช้ในยาม เกิดศกึ สงคราม นอกจากน้ี เมอื งเลก็ ๆ 5-6 เมอื ง ในดินแดนของทา่ ศาลาถกู ใชเ้ ป็นแหล่ง เกณฑก์ องกาํ ลังทหาร ช่วงเวลาที่เมอื งนครศรธี รรมราชทําสงครามกับไทรบุรีหรอื ปัตตานี เวลาทีเ่ มือง ไทรบรุ ีหรือปัตตานีแข็งเมอื งไมย่ อมข้ึนกับไทย เจา้ เมืองหลายเมอื งจากทา่ ศาลาจะทําหนา้ ท่ีควบคุมกอง ทหาร พากองทหารไปรวมกับเมืองอนื่ ทเ่ี มืองนครศรธี รรมราช เพ่ือยกทัพลงใตไ้ ปปราบไทรบุรีหรือปัตตานี ตอ่ ไป เมอื งท่ีอยู่ในเขตอําเภอทา่ ศาลาได้แก่ เมอื งอินทรคีรี (อาํ เภอพรหมครี )ี เมอื งไทยบุรี (ท่า ศาลา ทา่ ขน้ึ หวั ตะพาน โพธิท์ อง ไทยบุรี ) เมืองรอ่ นกะหรอ (ตําบลกะหรอ) เมืองนบพติ าํ (อาํ เภอนบพติ าํ ) เมืองกลาย (ตาํ บลกลาย) เมอื งโมคลาน (ตาํ บลโมคลาน) ยังมเี มอื งทีอ่ ยู่ทาง เหนอื เช่น เมอื งอลอง (ฉลอง) เมืองตระชล (สิชล) เมอื งตระหนอม (ขนอม) เมอื งกาญจนดษิ ฐ์ (สระอุเลา) เมืองทา่ ทอง เมืองท่าอุแท เหนือสดุ คือเมืองท่าข้าม (เมืองพุนพิน) อยู่ริมแมน่ า้ํ หลวง (แมน่ ้ําตาปี) ถา้ ข้าม แมน่ ้าํ หลวงเปน็ เขตแดนของเมืองไชยา (ในพงศาวดารเมอื งไชยาเรียกว่าเมอื งบันไทสมอเป็นภาษาขอม เพราะไชยาเคยตกเปน็ เมืองขนึ้ ของขอม) เมืองไชยาเปน็ เมืองขนาดใหญ่ เป็นหนงึ่ ในเมือง 12 นกั ษัตร ท่ี

อยภู่ ายใต้การปกครองของเมืองนครศรธี รรมราชมาแต่โบราณ บางช่วงเมอื งไชยากเ็ คยเป็นศนู ยก์ ลางการ ปกครองบนคาบสมุทรมลายูเรียกวา่ อาณาจักรศรโี พธ์ิ (สุวรรณปุระ) ดงั น้ัน เมืองนครศรีธรรมราชก็ กลายเป็นสว่ นหนึ่งของอาณาจกั รศรีโพธิ์ ท้งั น้ี เพราะเมืองนครศรธี รรมราชกบั เมืองสุวรรณปุระมผี ู้นาํ มา จากราชวงศ์ไศเลนทร์หรอื ปัทมวงศ์เหมือนกนั อาจพูดไดว้ า่ เป็นเมอื งพเี่ มืองน้อง การท่ีเมอื งใดจะก้าวขึ้น เป็นผนู้ าํ บนคาบสมุทรมลายู ขนึ้ อยู่กบั สติปญั ญาบารมอี ํานาจและความเปน็ ผนู้ ําของเจ้าเมอื งน้ันๆ 3.3 ยุคกรงุ ธนบุรี พ.ศ.2310-2325 ภาพอนุสาวรยี พ์ ระบรมรปู ทรงม้าสมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบุรี สรา้ งประดษิ ฐานอยูท่ วี่ ดั เขาขนุ พนม ตาํ บลบา้ น เกาะ อําเภอพรหมคีรี จงั หวดั นครศรีธรรมราช ชาวเมอื ง นครศรธี รรมราชเชอ่ื ว่า พระเจา้ ตากสนิ หลบออกมาจากท่ี คุมขังเมอื งธนบรุ ี ทรงผนวชเปน็ พระสงฆม์ าจําพรรษาอยู่ ณ วดั เขาขุนพนม สําหรบั อนสุ าวรยี พ์ ระบรมรปู ทรงมา้ แห่งน้ี ลูกหลานและผู้มีจิตศรทั ธาเชอื่ มน่ั ในพระเจา้ ตาก สนิ ชว่ ยกนั สรา้ งถวาย พ.ศ.2310 กรงุ ศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ในปีเดยี วกนั นั้นพระยาตากสนิ รวบรวมกองกําลังทหารขบั ไล่ พม่าออกไปจากแผน่ ดนิ สยาม ใช้เมอื งธนบุรีเปน็ ศูนยก์ ลางในการรวมอาณาจักรสยาม สถาปนาตนเป็น พระเจา้ ตากสนิ ทําหนา้ ที่รกั ษาการผนู้ าํ ประเทศ เมอ่ื กรุงศรอี ยุธยาเสยี แก่พม่า เมอื งนครศรีธรรมราช รวมทัง้ เมอื งบนคาบสมทุ รมลายู เช่น เมอื งชมุ พร เมืองไชยา เมอื งท่าทอง เมอื งระนอง เมืองถลาง เมือง ตรัง เมืองพทั ลงุ เมอื งสงขลา เมอื งยะลา เมอื งปัตตานี เมืองสายบุรี เมืองกลนั ตนั เมอื งไทรบรุ ี เมอื งปะลศิ เมอื งปาหัง เมืองตรงั กานู เป็นต้น เม่ือกรุงศรีอยุธยาหมดสภาพการเป็นศูนย์กลาง ทุกเมืองดังกลา่ วตา่ งก็ เป็นอสิ ระ เมอื งหลกั ท่อี ยู่ตามภมู ภิ าคต่างๆ ต้ังตนเป็นผู้นํารวบรวมเมืองที่อย่ใู กล้ๆ เขา้ ด้วยกนั และคมุ กาํ ลังกันเอาไว้ หลวงสทิ ธิน์ ายเวรมหาดเล็ก (พระปลัดหนู) ผรู้ ้ังเมืองนครศรีธรรมราช เนือ่ งจากพระยาราช สภุ าวดีเจ้าเมอื งนครศรธี รรมราชถกู ถอดจากตาํ แหน่ง ตัง้ เมอื งนครศรธี รรมราชเป็นรฐั อสิ ระรวบรวม บา้ นเมืองบนคาบสมุทรมลายู แม้จะรวบรวมได้ไมห่ มดทุกเมอื งก็ตาม แต่ถอื วา่ เมอื งนครศรธี รรมราชใน เวลาน้ันมคี วามเขม้ แขง็ มาก พ.ศ.2312 สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ที รงใหเ้ จา้ พระยาจักรี (แขก) เป็นแม่ทพั ใหญ่ คุมกองกําลัง 5,000 คน ยกไปตีเมืองนครศรธี รรมราชทางบก เมอื่ ยกกองทัพข้ามแม่น้ําหลวง (แมน่ ้ําตาป)ี ไปถงึ ทา่ หมาก แขวงอาํ เภอลําพูน (ปัจจบุ ันอยู่ในพืน้ ที่จงั หวัดสรุ าษฎร์ธาน)ี แมท่ พั นายกองไม่สามัคคีเข้าตีคา่ ย ชุมนมุ เจา้ นครศรธี รรมราช (เมอื งทา่ ทอง) ไมพ่ รอ้ มกนั จงึ เสียทีแกก่ องทพั เมอื งนครศรีธรรมราช พระยาศรี พิพฒั น์ และ พระยาเพชรบุรี เสยี ชวี ติ ในสนามรบ พระยาจกั รี (แขก) จึงถอยทัพกลับไปตง้ั หลักอยู่ทีเ่ มือง

ไชยา เม่ือสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบรุ ีทราบข่าวการเสียทีแกก่ องทพั เมืองนคร จึงยกกองทัพเรือมีทหาร จํานวน 10,000 คน ลงไปช่วยเหลือ ครนั้ กองทพั เรอื ถึงเมอื งไชยาได้สง่ ทหารขนึ้ บกสมทบกบั ทหารของ พระยาจกั รี เดินทพั ไปทางบกเข้าตนี ครศรีธรรมราช ฝ่ายกองทพั เรือก็ล่องเรือตามไปถงึ ปากพญาทา่ น้ํา เมอื งนครศรธี รรมราช กองทัพบกรวมกับกองทัพเรอื เข้าตคี ่ายปากพญาพรอ้ มกัน อปุ ราชจันทรแ์ มท่ พั เมืองนครศรีธรรมราชถูกจบั กุม พระยานครศรีธรรมราช (หน)ู พร้อมกับครอบครัวหนไี ปสงขลา และ หนี ตอ่ ไปยงั เมอื งปัตตานี กองทัพของพระเจ้ากรุงธนบรุ ีจึงรุกไลเ่ ขา้ เมืองนครศรีธรรมราชได้โดยง่ายดาย พ.ศ.2313 สมเด็จพระเจ้ากรงุ ธนบรุ ียกกองทัพขึ้นไปปราบชุมนมุ เจ้าพระฝาง ตีไดเ้ มอื งพิษณุโลก แล้วตามไปตีเมืองสวางคบุรี เจ้าพระฝางสู้ไม่ได้ ในทส่ี ุดพระเจ้ากรงุ ธนบรุ ีสามารถปราบปรามชมุ นุมทัง้ 5 ชมุ นมุ รวมอาณาจกั รไทยเป็นปึกแผ่นได้ในท่ีสุด โดยศูนย์กลางอํานาจของไทยอยู่ที่เมืองธนบรุ ี 15 ปี หมายเหตุ มีเอกสารบางเลม่ บันทึกว่าชว่ งเกดิ สงครามเสยี กรุงคร้ังท่ี 2 (พ.ศ.2310) พระยาราชสุภาวดี เจา้ เมืองนครศรีธรรมราช นาํ กําลงั ทหารจากเมืองนครศรธี รรมราช ไปช่วยกรุงศรีอยธุ ยารบกับกองทัพ พม่า ขณะกาํ ลงั สูร้ บพระยาราชสภุ าวดสี ญู หายไป เข้าใจวา่ เสยี ชีวิตจากการส้รู บแบบตะลุมบอน ไม่ ปรากฏวา่ มีใครพบศพของพระยาราชสุภาวดี ในขณะท่ีเอกสารบางเลม่ บนั ทึกว่า พระยาราชสุภาวดที าํ ความผิดถูกถอดออกจากตําแหน่ง แต่งตงั้ ให้หลวงสทิ ธน์ิ ายเวรมหาดเลก็ เปน็ ผู้รัง้ เมอื งนครศรธี รรมราช คร้นั พระเจา้ ตากสนิ ตีเมอื งนครได้แต่งตงั้ ใหห้ ลาน คือ เจ้านราสรุ ิยวงศป์ กครองเมืองนครศรีธรรมราช เมอ่ื เจ้านราสรุ ิยวงศ์ทิวงคตเมื่อปี พ.ศ.2319 ปีเดียวกนั นี้พระเจ้ากรุงธนบุรยี กฐานะเมืองนครศรีธรรมราชเปน็ ประเทศนครศรีธรรมราช แต่งตัง้ หลวงสทิ ธนิ ายเวรมหาดเล็ก (พระปลัดหน)ู ผู้ร้งั เมืองนครศรีธรรมราช เป็น พระเจ้านครศรธี รรมราช ชว่ งนั้นท่าศาลาเปน็ เมืองสาํ คัญเมืองหนึง่ ของประเทศนครศรธี รรมราช (สาเหตุที่พระปลัดหนูทาํ หน้าทีร่ ง้ั เมืองนครศรีธรรมราช เพราะวา่ ก่อนเสียกรุงศรอี ยธุ ยา เจ้าเมือง นครศรธี รรมราช (พระยาราชสุภาวดี) กระทําความผิดถูกถอดออกจากตําแหนง่ เจ้าเมอื งนครศรีธรรมราช) หมายเหตุ สันนิษฐานว่าที่พระเจ้าตากสนิ ยกเมอื งนครศรีธรรมราชเป็นประเทศนครศรีธรรมราช เนอื่ งจากเมืองนครศรธี รรมราชเคยเป็นศนู ยก์ ลางบนคาบสมทุ รมลายมู าก่อน พระเจ้าตากสินอาจเตรียม เอาไว้ใหร้ าชโอรสลับของพระองค์ ขนึ้ เปน็ พระเจ้าแผ่นดินประเทศนครศรธี รรมราช เพราะตา่ งรู้ดีว่าโอรส ลบั ของพระเจา้ ตากสินคอื พระยานคร (นอ้ ย) ในทํานองเดียวกนั กห็ วังให้โอรสลับของพระองคอ์ ีกองค์ที่ เมอื งนครราชสมี า ข้นึ เปน็ กษตั ริย์ปกครองภาคตะวันออกเฉียงเหนือดว้ ยเช่นกนั แตเ่ ม่อื ส้ินบุญบารมีของ พระเจา้ ตากสิน พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นเปน็ กษตั รยิ ์ชว่ ง พ.ศ.2325-2352 ทกุ สิ่งทุกอย่างถูกยกเลิก ไป ประเทศนครศรีธรรมราชกลบั มาเป็นเมืองนครศรีธรรมราช พระเจ้านครศรีธรรมราชกลบั มาเปน็ พระยา นครศรธี รรมราช โดยรัชกาลท่ี 1 แตง่ ตงั้ เจา้ พฒั น์ (พดั ) เป็นพระยานครศรีธรรมราช

ท่าศาลายคุ กรุงธนบุรี พ.ศ.2310 ขณะทก่ี รุงศรีอยุธยาถกู พมา่ เผาทาํ ลายจนย่อยยับเหลอื ไว้แต่ เพยี งเศษซากปรักหักพงั เมืองนครศรธี รรมราชก็อยูใ่ นลักษณะเดียวกัน ชาวบ้านถูกทหารพมา่ ไล่จับไลฆ่ า่ จนตอ้ งทง้ิ บ้านทิง้ เมอื งหนีไปอยู่ตามป่าเขา ทุกข์ยากลําบากกนั ทุกผทู้ กุ คน คร้นั พระเจ้าตากสินขบั ไลพ่ มา่ พ้นไปจากแผน่ ดนิ ไทย ชาวบ้านชาวเมืองจงึ อพยพกลบั มาอยู่อาศัยในบ้านในเมืองของตน ในเขตอําเภอ ท่าศาลาสมัยก่อนมเี มืองใหญน่ ้อยหลายเมอื ง ชาวบา้ นกลับมายงั เมืองของตนทุกคนจงึ สามารถดําเนิน ชวี ติ กนั ได้ตามปกติ ช่วงเวลานน้ั เมอื งนครศรีธรรมราชตง้ั ตนเปน็ อิสระ เมอื งในเขตอําเภอท่าศาลา ไดแ้ ก่ เมืองไทยบุรี เมอื งร่อนกะหรอ เมืองนบพิตาํ เมืองกลาย เมอื งโมคลาน และ เมอื งอินครี ี ตา่ งก็สนับสนนุ เมืองนครศรีธรรมราชให้ตั้งตนเปน็ รฐั อสิ ระ สะสมเสบียงอาหารและส้องสุมผูค้ นฝกึ ปรือทหารเตรยี มการ เอาไว้ให้พร้อม เพื่อรับศกึ ทีอ่ าจจะมมี าในวนั ขา้ งหน้า อย่างไรกต็ ามเร่ืองราวเหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ทท่ี ่าศาลา ช่วงกรุงธนบรุ ีมีนอ้ ยมาก มีเพียงเรือ่ งเลา่ จากปากต่อปาก ไมแ่ นใ่ จว่าจะมีความจรงิ มากน้อยแคไ่ หน 3.4 ยุคกรุงรัตนโกสนิ ทร์ พ.ศ.2325-2558 เร่ืองราวเหตกุ ารณ์ท่เี กิดข้นึ ในพืน้ ทขี่ องอําเภอทา่ ศาลาสมัยรัตนโกสินทร์ มบี ันทึกเปน็ หลกั ฐาน ในรูปแบบต่างๆ เอาไวค้ ่อนข้างมาก เชน่ พงศาวดาร คาํ ส่ัง หมายเหตุ รายงานตา่ งๆ บันทกึ ต่างๆ เป็นต้น ทาํ ให้ทราบถึงบทบาทของพ้ืนทีอ่ าํ เภอท่าศาลาได้ละเอียดพอสมควร ดังจะไดก้ ลา่ วต่อไป แผนท่ีประเทศไทย รัชกาลท่ี 1-4 อาณาเขตประเทศไทย กว้างขวางมาก พืน้ ที่ สขี าว คืออาณาเขตของประเทศไทยในสมัย ปจั จุบัน สว่ นพ้นื ที่ ระบายสี เปน็ พน้ื ทท่ี ไ่ี ทยเสยี ใหแ้ ก่องั กฤษ ฝรงั่ เศส จนี เวยี ดนาม มาเลเซีย และ พมา่ ยคุ ล่าอาณานคิ มของ ชาตติ ะวันตกสมัยรชั กาลที่ 5 เส้นสฟี า้ ด้านซา้ ยมือคือแนวลาํ น้าํ สาละวิน เส้นสฟี า้ ด้านขวามอื คือแนวลาํ นา้ํ โขง เสียดินแดนให้ อังกฤษ ฝร่ังเศส จีน เวยี ดนาม มาเลเซีย และ พมา่ รวม 14 ครงั้ ดินแดนท่ีเสียไปท้ังหมดรวมกันมากกวา่ พนื้ ทป่ี ระเทศไทยใน ปัจจบุ นั หมายเหตุ จีน มาเลเซยี และ พม่าอยภู่ ายใตก้ าร ปกครองขององั กฤษ เวียดนาม ลาว กมั พูชา เปน็ ของฝร่ังเศส และคร้งั สดุ ท้ายไทยเสยี เขาพระวหิ ารให้กมั พชู า

รัชกาลท่ี 1 พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก (พ.ศ.2325-2352) พระองค์สร้างเมืองหลวงแหง่ ใหม่โดยยา้ ยราชธานีจากฝั่งธนบรุ ีมาสร้างท่ฝี ั่งพระนคร เม่ือสรา้ ง กรงุ รัตนโกสินทร์แลว้ เสร็จเพยี ง 3 ปี พระเจา้ ปดุงกษัตรยิ ์พมา่ ยกกองทพั มาประชดิ ชายแดนไทย มีจํานวน ทหารมหาศาลถงึ 150,000 คน แบง่ เป็น 9 ทัพ ยกเข้ามา 5 ทาง ทพั ที่ 1 ชุมนมุ พลที่เมืองมะรดิ เขา้ มาทาง ดา่ นสงิ ขรตชี ุมพรเรื่อยไปจนถงึ สงขลา ทัพที่ 2 ชมุ นุมพลท่ีเมอื งทะวายเข้ามาทางด่านบ้องตเี้ ขา้ ตีราชบรุ ี เพชรบุรี ถึงชุมพร รวมกบั ทัพท่ี 1 ยกลงใต้ ทัพท่ี 3 เข้าทางด่านเชยี งแสนเข้าตีลําปาง สุโขทยั ลงไปถงึ กรุงเทพฯ ทัพ 4 5 6 7 8 ชมุ นุมพลท่เี มาะตะมะยกเข้ามาทางด่านเจดยี ์ 3 องค์ มุ่งหน้าเข้าตีกรงุ เทพฯ ทัพ ที่ 9 เข้ามาทางด่านแมล่ ะเมาเข้าตเี มืองตาก กําแพงเพชร ลงมาถงึ กรุงเทพฯ ทัพไทยรับทพั พม่าท่ี ชายแดน โดยเขา้ ยึดทุง่ ลาดหญ้าเอาไวไ้ ด้ก่อนทพั พมา่ ลงมาจากเขา ทัพ 4 5 6 7 8 ของพมา่ จึงติดอยู่บน เทอื กเขาบรรทัด ลงมาต้ังหลักบนพ้ืนราบไม่ได้ยากลาํ บากในการตอ่ สู้ ซาํ้ ถูกกองโจรของไทยตัดเสบยี งตดั กาํ ลังไปเร่อื ยๆ กองทพั พม่าไดร้ บั ความเสียหายมากเดนิ หนา้ ก็ไมไ่ ด้ พระเจ้าปดงุ ต้องส่ังถอยทพั กลับพมา่ เม่อื เสร็จศึกท่ีทุ่งลาดหญ้า ไทยส่งกองทัพไปช่วยทางภาคใตแ้ ละภาคเหนือ จนทหารพมา่ ต้องถอยทพั กลับทง้ั 9 ทพั สงคราม 9 ทพั ในคร้ังน้ีไทยไดช้ ัยชนะอยา่ งงดงาม กล่าวเฉพาะทัพท่ี 1 ของพมา่ จากเมอื งมะรดิ เข้ามาทางด่านสงิ ขร มีผลโดยตรงกับชุมพร ไชยา ทา่ ทอง ขนอม สิชล ท่าศาลา นครศรธี รรมราช สงขลา และ พัทลุง เวลานน้ั ผู้ทําหน้าที่เป็นเจ้าเมอื ง นครศรีธรรมราช คือ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พฒั น)์ ไดร้ ับการแต่งตั้งเปน็ เจา้ เมืองนครศรีธรรมราชใน สมัยรัชกาลท่ี 1 เจ้าพระยานครพฒั นเ์ ป็นบุตรเขยของเจา้ พระยานครศรีธรรมราช (หนู) การสูร้ บกบั ทหาร พมา่ ทางฝั่งตะวันออกท่ีเมืองท่าทอง อันเป็นเมืองหนา้ ด่านของเมืองนครศรีธรรมราช ในเวลาน้นั เจ้าเมือง ท่าทองคอื หลวงวิสิทธิสงคราม ทหารของหลวงวสิ ทิ ธิสงครามตอ่ สู้กบั ทหารพม่าอย่างดุเดือด ทําให้ทหาร ทั้งสองฝ่ายลม้ ตายลงเปน็ จาํ นวนมาก แตเ่ มืองทา่ ทองก็ไม่สามารถต้านทานทหารพม่าได้ ตอ้ งทิ้งเมอื งพา ชาวเมืองหลบหนีเขา้ ป่าเขา ทพั ของพม่ายกต่อมาถึง เมอื งตระหนอม เมอื งตระชน เมือง อลอง

เมืองกลาย เมืองไทยบรุ ี เมอื งกะหรอ เมืองโมคลาน เมืองอนิ ทรคีรี เมืองไชยมนตรี และ เมอื ง นครศรีธรรมราช เมอื งเหล่าน้ีเหน็ ทีว่าจะสู้พม่าไมไ่ ด้จงึ ร้างเมอื งส่งั ใหผ้ ู้คนล่าถอยหลบหนีเข้าป่า ทหาร พม่าจงึ บุกเขา้ ยึดเมอื งนครศรธี รรมราชเอาไว้ได้ จากนั้นทหารพมา่ ก็ยกไปโจมตเี มืองสงขลาและเมอื ง พัทลุงตอ่ ไป ทเี่ มืองพทั ลุงมีพระอธิการรูปหนง่ึ เรียกกนั ว่า พระมหาชว่ ย เมื่อเจา้ เมืองพัทลงุ หลบหนีทหาร พมา่ พระมหาช่วยรวบรวมชาวบา้ นต่อสู้กับทหารพม่าอยา่ งกล้าหาญ ตา้ นทานทหารพมา่ เอาไว้จนไม่ สามารถยึดเมืองพทั ลุงได้ เม่ือทางเมอื งหลวงเสร็จศกึ ทางด่านเจดยี ส์ ามองคแ์ ลว้ จึงจัดแบ่งกองทพั ลงมา ช่วยทางปักษ์ใต้ ทุกฝ่ายช่วยกนั ขบั ไลพ่ ม่าจนล่าถอยกลับไปจนหมดส้ิน เมือ่ พระมหาชว่ ยลาสิกขาบท รัชกาลท่ี 1 โปรดเกลา้ แตง่ ตัง้ เป็น พระยาทกุ ขราษฎร์ ดํารงตาํ แหน่งกรมการเมืองพทั ลุง กองกําลังทางเรือของพมา่ ทางฝงั่ ตะวันตกเข้าโจมตีตะก่ัวป่า ตะกวั่ ทุง่ เข้าล้อมเมืองถลางเอาไว้ ทเี่ มอื งถลางบังเกิดวีรสตรี 2 ท่าน คอื คุณหญิงจันทร์และนางมกุ น้องสาว ทาํ การต่อสู้กบั ทหารพมา่ อย่าง อาจหาญจนไดร้ ับชัยชนะ โดยพมา่ ไมส่ ามารถยดึ เมอื งถลางได้ตอ้ งล่าถอยกลับไป คณุ หญงิ จนั ทรแ์ ละ นางมกุ นอ้ งสาวมีความดคี วามชอบ ได้รับการโปรดเกลา้ แตง่ ตงั้ เปน็ ท้าวเทพสตรี และ ทา้ วศรีสนุ ทร สาํ หรับดินแดนในเขตอําเภอทา่ ศาลาสมยั รชั กาลท่ี 1 ชว่ งแรกที่ทําสงครามกับพม่า บ้านเรือนไร่ นาการทํามาหากินการดาํ รงชวี ิตคงยากลําบากมาก ถูกทหารพมา่ ไล่จบั ไลฆ่ า่ ต้องหลบหนกี นั ว่นุ วาย แต่ เม่ือเหตกุ ารณ์สงบเมืองไทยบุรีอันเป็นศูนย์กลางของทา่ ศาลาในเวลาน้ัน รวมทัง้ เมืองกลาย เมืองกะหรอ เมอื งนบพติ าํ เมืองโมคลาน เมืองอินทรคีรี บ้านเมืองดงั กล่าวกก็ ลับมาอย่กู นั เปน็ ปกติ รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ.2352-2367) พม่าเตรียมการยกกองทพั มาโจมตีไทย 2-3 ครงั้ แต่มีเหตุให้ต้องยุติเสียทุกครัง้ มีคร้งั เดียวเมอื่ สมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสดจ็ สวรรคต ไทยผลัดเปล่ยี นแผ่นดิน พม่าจงึ คิดมาตีหัวเมืองชายทะเล เพอ่ื รบิ ทรัพย์จับเชลย การมาตีไทยในครัง้ นี้อะเตงิ หวุ่นแมท่ พั ใหญไ่ มไ่ ดม้ าเอง เพียงแต่จดั ใหท้ พั บกเข้าตี เมอื งชมุ พรและเมืองไชยา ทัพเรอื ตีเมอื งตะกวั่ ปา่ และเมืองตะก่วั ทุง่ แล้วล้อมเมอื งถลางไว้ 27 วัน จงึ เขา้

เมืองถลางได้ รชั กาลท่ี 2 โปรดให้กรมพระราชวังบวรมหาเสนานรุ ักษเ์ ปน็ แมท่ ัพยกลงไปช่วย ทัพไทยตี พม่าแตกพา่ ยกลบั ไปหมดได้เมอื งถลางคืนมา แต่เมืองถลางเสียหายยับเยนิ เพราะถกู พม่าเผา นับเปน็ การสงครามระหวา่ งไทยและพมา่ คร้งั สดุ ทา้ ยในสมยั พระเจ้าปดงุ ทางฝัง่ ตะวันออกสงครามคราวนท้ี พั พม่าและไทยส้รู บกนั ท่ชี มุ พรและไชยา แต่ถกู กองทพั ของกรมพระราชวงั บวรมหาเสนานุรกั ษ์ขบั ไลต่ ้อง ถอยร่นกลับไป สงครามไม่ลุกลามถงึ เมอื งทา่ ทองเมืองตระหนอมเมอื งตระชลเมอื งอลองและเมืองไทยบุรี เมอื งดังกลา่ วจึงไม่เกดิ ความเสยี หายแตอ่ ย่างใด แต่การดํารงชีวติ ของชาวบ้านก็ยากลําบาก เน่ืองจากอยู่ ในภาวะของสงคราม การทาํ มาหากนิ ประกอบอาชพี ทาํ นาเพาะปลกู ไมไ่ ด้ การค้าขายก็ไม่สะดวกเหมอื น กอ่ น แต่หลังจากเสรจ็ สงครามวิถชี วี ิตของชาวบา้ นก็กลับมาอยู่กันตามปกติ รัชกาลที่ 2 จัดระเบยี บบริหารราชการเมอื งนครศรีธรรมราช พ.ศ.2354 โดยยดึ แนวทาง จากทําเนียบขา้ ราชการเมืองนครศรีธรรมราช ครงั้ สมัยพระเจ้าอย่หู วั บรมโกศเม่ือ พ.ศ.2285 โดยออก คาํ ส่งั แตง่ ตัง้ ขา้ ราชการเมืองนครศรธี รรมราชเมอื่ พ.ศ.2354 จากคําสัง่ นเ้ี องทาํ ใหเ้ ราทราบถงึ อาณาเขต ของเมืองนครศรธี รรมราช รวมทง้ั บุคลากรทไ่ี ด้รับการแต่งต้ังเปน็ เจ้าเมอื ง ขา้ ราชการ นายที่ นายแขวง และ นายดา่ น สรปุ สาระสําคญั ของทําเนยี บขา้ ราชการเมอื งนครศรธี รรมราชคร้งั รัชกาลท่ี 2 พ.ศ.2354 พจิ ารณาคัดเลือกเฉพาะหัวข้อที่สาํ คญั ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับบ้านเมอื งของอําเภอทา่ ศาลาในยคุ ปจั จบุ ัน อาจ กลา่ วถงึ เรื่องราวของเมืองอื่นๆ ท่อี ยู่ใกลก้ ับอาณาเขตของอําเภอท่าศาลา และ ส่วนเก่ยี วข้องพาดพงิ ถงึ อําเภอทา่ ศาลา ซง่ึ จะได้สรุปสาระสําคญั เป็นข้อๆ ดงั นี้ 1. ทาํ เนยี บขา้ ราชการเมืองนครศรีธรรมราชคร้ังรัชกาลท่ี 2 พ.ศ.2354 โดยยึดแนวทางจาก ทําเนียบข้าราชการเมืองนครศรธี รรมราช ครง้ั พระเจา้ อยหู่ ัวบรมโกศสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา พ.ศ.2285 ครัง้ นั้น แต่งตัง้ พระยาไชยาธเิ บศร์ เปน็ เจ้าพระยานครศรธี รรมราช ครั้นในสมัยรชั กาลที่ 2 มีการแตง่ ตงั้ ข้าราชการเมืองนครศรธี รรมราช พ.ศ.2354 แต่บทกล่าวนาํ อ้างถงึ ขา้ ราชการเมืองนครศรีธรรมราชสมัย พระเจา้ อยูห่ ัวบรมโกศ พ.ศ.2285 ระบวุ ่าเปน็ พระยาสุโขทัย แสดงวา่ ผทู้ ่ไี ดร้ ับการแต่งตัง้ เปน็ เจ้าเมือง นครศรีธรรมราชสมยั พระเจา้ อยูห่ ัวบรมโกศมี 2 คน คอื พระยาไชยาธิเบศร์ และ พระยาสุโขทยั และ พระยาสุโขทัย นเี้ องทอ่ี าจเป็นญาตผิ ้ใู หญข่ อง หลวงสทิ ธิ์นายเวรมหาดเล็ก (ตามประวัติบอกวา่ หลวงสิทธ์ินายเวรมหาดเล็ก เป็นหลานของเจา้ พระยานครคนก่อน) ครั้นถงึ สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ หลวง สิทธนิ์ ายเวรมหาดเลก็ ได้รับการแต่งตง้ั เปน็ พระปลดั เมอื งนครศรธี รรมราช (พระปลัดหน)ู ศักดนิ า 3,000 เมื่อเจา้ พระยานครศรีธรรมราช (พระยาราชสภุ าวดี) กระทาํ ความผิดถูกถอดออกจากตาํ แหนง่ พระปลดั หนูจงึ รกั ษาราชการเป็นเจา้ เมอื งนครศรีธรรมราช จนกระทง่ั กรงุ ศรีอยุธยาเสยี ใหแ้ ก่พม่าเมอื่ พ.ศ.2310 เมอื งนครศรธี รรมราชเป็นอิสระ พระปลัดหนจู ึงตง้ั ตนเปน็ เจ้าเมอื งนครศรธี รรมราช (เอกสารทําเนยี บขา้ ราชการเมอื งนครศรธี รรมราช สมยั พระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ พ.ศ.2285 คงสญู หายไปช่วงทีก่ รุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ถูกพมา่ เผาทําลายเม่ือ พ.ศ.2310) 2. สมัยรัชกาลท่ี 2 กรุงรตั นโกสินทร์ เจา้ พระยานครเข้าไปเฝา้ ทูลละอองธลุ พี ระบาท แจง้ ราชการนะกรงุ เทพมหานคร กราบทลู พระกรุนาว่าสูงอายุหลงลมื จึงซงพระกรนุ าตรัสเหนือเกล้าฯ สัง่ ว่า

ฝา่ ยปักส์ไต้เมืองนครสรธี มั มราชไหย่กวา่ หัวเมืองทั้งปวง เปนทีพ่ าํ นักอาสัยแกแ่ ขกเมอื งและลกู คา้ นานา ประเทส เจ้าพระยานครสูงอายุ ไหเ้ ล่ือนขึ้นเปน เจา้ พระยาสธุ มั มนตรี สรีโสกราชวง เชสถ พงส์ลือ ไชย อนุทัยธิบดี อภัยพิรินปรากรมพาหุ เปนผไู้ หยอ่ ยู่ไน เมอื งนคร ไห้ พระบริรกั ส์ภเู บสร เปนพ ระยาสรีธัมมโสกราช ชาติ เดโชชยั มไหสรุ ิยาธบิ ดี อภัยพิรยิ ปรากรมพาหุ พระยานครสรี ธัมม ราช ออกมาครองเมอื งสําเหร็ดกิจสขุ ทขุ ของอานาประชาราสดร์ ต่างพระเนตรพระกรรณสืบไป (เจ้าพระยานครที่เข้าเฝ้าสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย รชั กาลที่ 2 กราบทูลว่าสงู อายหุ ลงลืม คือ เจา้ พระยานครพฒั น์ ส่วนเจ้าพระยานครคนใหม่ที่ได้รบั การแต่งต้ัง คอื เจา้ พระยานครน้อย) 3. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหม่ืนสักดิพลเสพย์ กราบทลู พระกรุนาว่าพระหลวงกรมการเมอื ง นคร ขาดมคิ รบตามตําแหน่งและซงพระกรุนาโปรดเกลา้ ฯ ไห้จัดแจงขึ้นไหค้ รบคาบตามตําแหนง่ นะวัน จนั ทรเ์ ดือน ๑๒ ขน้ึ ๕ ค่ําปีมะแม ตรสี ก พระหลวงกรมการพรอ้ มกัน ไห้หลวงเทพสนามผ้วู ่าที่จ่า หลวง แพง่ นอก หลวงแพง่ ไน กรมการ คนเก่า เชินพระอยั ยการตําแหน่งนายทหานหวั เมือง ซงชําระไหม่ ขนุ ทิพ ยมนเทยี รเชินพระอัยยการไนพระบรมโกส ซึ่งซงพระกรนุ า โปรดเกลา้ ฯ ไว้สําหรบั เมือง กบั สมุดตําแหนง่ พระหลวงกรมการเมอื งนคร ครั้งพระยาสุโขทัยออกมาเปนเจ้าพระยานคร ดูแลไน พระอัยยการ มแี ต่ กรมการผไู้ หย่ สมุดตาํ แหน่งครงั พระสโุ ขทัย เปนเจ้าพระนครนัน้ มกี รมการขนุ หม่นื ผู้นอ้ ยหยู่ด้วย จงึ เอา บนั จบคัดข้ึน เปนจาํ นวนกรมการเมอื งนครสรีธมั มราช ตาม ตาํ แหน่งแตก่ ่อน 4. แต่งตง้ั ออกพระสรีราชสงครามราชภกั ดีเป็นปลดั เมืองนคร ถือสักดนิ า ๓๐๐๐ ฝ่ายขวา ถือตรารปู โตยืนบนแท่น เคร่ืองประจาํ ยสมชี ้างพลาย ๑ ชา้ งพัง ๑ จําลอง ๒ ทงทวน ๔ นวม ๖ แหลน ๔ ปนื นกสับ หลังช้าง ๒ กระบอก หมวกม้า ๒ เครอ่ื งม้า ๒๐ ปนื กระสุนนิว้ กึ่ง ๓ บันดาสกั ด์ิ ๑๘ กระบอก ปืนนกสับบันดาสักด์ิ ๒๔ กระบอก ปนื นกสับ ชเลยสกั ดิ์ ๑๘ กระบอก เส้ือพล ๔๒ หอกเขน ๓๐ ทวนเทา้ ๑๕ เรอื พนกั ๒ ไดร้ ับพระราชทานกจิ กะทงความและข้าวผกู ก่ึงเจ้าเมือง และทพ่ี กหมากตาํ บลพเนียนขน อมขึ้นสําหรับที่ ๓ ตําบล มนี าสัดทสิ ตะวันออกเมือง ๒ เส้น (แตง่ ตัง้ ออกพระศรีราชสงครามเปน็ พระปลัด เมืองนครศรธี รรมราช ศักดินา 3,000 ไร)่ 5. ออกหลวงไทยบุรี สรีมหาสงคราม ถอื สักดินา ๑๒๐๐ ฝา่ ยซ้าย ถอื ตรารปู โต มชี ้างพลาย ๑ จําลอง ๑ ทวน ๒ นวม ๓ แหลน ๒๐ ปนื นกสับหลงั ชา้ ง ๑ กะบอก ปนื นกสับชเลยสักดิ์ ๖ กะบอก ปืนกะ สนุ น้วิ ก่งึ ชเลยสกั ดิ์ ๑ กะบอก หอกเขน ๑๕ ทวน ๕๑ เทา้ ๖ และได้รบั ผลพระราชทานไพร่เลวท่ไี ทยบรุ ี และได้พจิ ารนาความต่ําแสน ซงึ่ ราสดรร้องฟอ้ งแกก่ ันบรรจบราชการได้ เรยี กส่วยอากรไนท่ีได้ รบั พระราชทานค่าคํานับรชึ าพาสสี ่วย ขนุ ราชบุรี รองทีไ่ ทยบุรี ถือสกั ดินา ๔๐๐ หมน่ื เทพบรุ ี สมหุ ์บญั ชี ถือสกั ดินา ๒๐๐ หม่ืนบาลบรุ ี “ “ หมน่ื สิทธิ สารวัด ถือสักดินา ๒๐๐ เมืองเพช็ รชลธี เมอื งทา่ สงู ขน้ึ ไทยบรุ ี ถือสกั ดินา ๒๐๐ ที่วัดโทลายสาย ๑ วัดตะหมาย ๑ วัดพนังตรา ๑ เปนท่ีเลนทุบาตร หย่ไู นทไี่ ทย บรุ ี สริ ิหลวง ขนุ หมืน่ ไนที่ไทยบุรี หลวง ๑ ขนุ ๑ หมื่น ๓ เมอื ง ๑ รวม ๖ คน

(ออกหลวงไทยบุรีศรีสงครามเปน็ เจา้ เมืองไทยบุรี อาณาเขตเมอื งไทยบุรีในปจั จุบันแบ่งออกเปน็ 5 ตาํ บล คือ ตาํ บลไทยบุรี ตําบลทา่ ข้ึน ตําบลท่าศาลา ตําบลหัวตะพาน และ ตาํ บลโพธ์ทิ อง ทั้ง 5 ตาํ บล รวมเรยี กว่า ลายสาย ตําบลหัวตะพานสมัยกอ่ นเรียกว่า หัวตะพานลายสาย) 6. ขุนพิชยั ธานสี รีสงคราม นายทีก่ ลาย นา ๖๐๐ ฝา่ ยซ้าย หม่ืนราชบรุ ี รองทกี่ ลาย นา ๓๐๐ หมืน่ รกั สาบุรี สมหุ ์บญั ชี นา ๒๐๐ หมน่ื อินทบุรี “ “ พนั พูน นายทกี่ ลาย ๕๕ วัดเหยงคนเ์ ปนทีเ่ ลนทุ บาตไนท่ีกลาย สิริ ขุน หมน่ื ทกี่ ลาย ขนุ ๑ หมื่น ๓ พัน ๑ รวม ๕ คน (ขนุ พิชัยธานีศรีสงครามเป็นเจ้าเมอื งกลาย (ตําแหนง่ นายอาํ เภอ) เมืองกลายปัจจุบันถกู แบ่ง ออกเปน็ 3 ตาํ บล คือ 1.ตาํ บลกลาย 2.ตาํ บลสระแก้ว ต่อมาตําบลกลายแยกเปน็ 3.ตําบลตลงิ่ ชัน) 7. ขุนไชยบุรี นายที่ร่อนกะหรอ ถือสักดนิ า ๔๐๐ หมื่นสกั ดบิ รุ ี รองทรี่ ่อนกะหรอ นา ๓๐๐ หมื่นจงบุรี สมหุ ์บัญชี นา๒๐๐ สิริ ขุน หมืน่ ทร่ี อ่ นกะหรอ ขนุ ๑ หมน่ื ๒ รวม ๓ คน (ขุนไชยบุรีเป็นนายท่รี ่อนกะหรอ (ตําแหน่งกํานนั ) เมอื งร่อนกะหรอปจั จุบนั ถูกแบ่งออกเปน็ 2 ตําบล คือ ตําบลกะหรอ และ ตาํ บลนาเหรง) 8. ขุนเดชธานคี ุนบพิตํา นายทนี่ บพติ าํ นา ๔๐๐ ฝา่ ยขวา หม่ืนหานบุรี รองทนี่ บพิตํา นา ๓๐๐ หมืน่ จบบรุ ี สมหุ บ์ ญั ชี นา ๒๐๐ สิริ ขนุ หมืน่ ท่นี บพิตํา ขนุ ๑ หมนื่ ๒ รวม ๓ คน (ขนุ เดชธานีคนุ บพิตําเป็นนายที่นบพิตํา (ตาํ แหนง่ กํานนั ) เมอื งนบพติ ําปจั จุบันแบง่ ออกเปน็ 2 ตําบล คือ ตําบลนบพิตํา และ ตําบลกรุงชิง) 9. ขนุ ทนั ท์ธานี นายท่ีวัดโมคลาน นา ๔๐๐ ฝา่ ยซ้าย หม่นื ชนบรุ ี รองทวี่ ดั โมคลาน นา ๓๐๐ ทว่ี ดั โมคลานเปนทเี่ ลนทบุ าตรไนทชี่ า้ งซ้าย สิริ ขนุ หม่ืน ที่วัดโมคลาน ขุน ๑ หมืน่ ๑ รวม ๒ คน (ขุนทันฑ์ธานีเป็นนายที่เมืองโมคลาน (ตําแหน่งกํานัน) เมืองโมคลานปัจจุบัน คือ ตําบลโมคลาน และ บางส่วนของเมอื งโมคลานทแี่ ยกไปข้ึนกับตําบลทอนหงสข์ องอําเภอพรหมคีรี 4 หมู่บ้าน คือ บ้าน ดอนคา บา้ นวังลุง บา้ นชมุ ขลิง และ บา้ นทอนหงส์ ) 10. หลวงอินทรคิรีสรสี งคราม นายทอี่ ินทรคิรี นา ๑๒๐๐ ฝา่ ยขวา มีช้างพลาย ช้างจาํ ลอง ๑ ทงทวน ๒ หมวก ๓ แหลน ๒ นวม ๓ ปนื นกสับบันดาสักด์ิ ๕ กะบอก เสื้อ ๔ หอกเขน ๑๐ เส้ือพล ๑๐ ทวนเทา้ ๕ ไดเ้ รียกส่วยอากรไนท่ี ไดร้ บั พระราชทานค่าคํานบั รึชาพาสสี ว่ ย ขนุ เพ็ชรคิรี รองอินทรคริ ี นา ๔๐๐ หม่ืนทิพคิรี สมุห์บญั ชี นา ๒๐๐ หมื่นพลคิรี สมุห์บัญชี \" \" หมนื่ สารวัด \" \" ทวี่ ดั โพธ์ิดอนซาย ๑ วดั ไหยร่ ัตนโพธิ ๑ วดั จันพอ ๑ รวม ๓ วัด เปนท่ีเลนทุบาตร ไนทอ่ี ินทรคิรี สิริ หลวง ขุน หมนื่ ทอ่ี นิ ทรคริ ี หลวง ๑ ขนุ ๑ หม่ืน ๓ รวม ๕ (หลวงอินทรคีรีศรสี งครามเป็นเจ้าเมอื งอินทรคีรี เมืองอนิ ทรครี ีแบง่ เป็น 8 ตาํ บล คอื 1.ตําบลอนิ ครี ี 2.ตําบลบ้านเกาะ 3.ตาํ บลนาเรยี ง 4.ตาํ บลพรหมโลก 5.ตําบลทอนหงส์ อาณาเขตบางส่วนของเมือง

อนิ ทรคีรีเคยมาขึน้ กับอําเภอกลาย คือ บา้ นอา้ ยเขียว บ้านอา้ ยคู บ้านคลองเมียด บ้านวัดใหม่ เปน็ ต้น ตอนทีต่ ําบลทอนหงส์ไปขึ้นกับอาํ เภอพรหมครี ี มี 3 หมูบ่ ้านของเมอื งโมคลาน 1 หมู่บา้ นของหวั ตะพาน (เมืองไทยบรุ )ี ท่ีแยกไปข้ึนกับตาํ บลทอนหงส์ อําเภอพรหมคีรี คอื บา้ นทอนหงส์ บา้ นดอนคา บ้านวังลุง และ บ้านชมุ ขลิง 6.ตําบลดอนตะโก เคยอยูใ่ นเขตของเมอื งอินทรคีรแี ต่ถูกจัดให้มาข้นึ กับอาํ เภอกลาย (ปัจจบุ ันอาํ เภอกลายเปลี่ยนเปน็ อําเภอทา่ ศาลา) 7.ตําบลนาทราย เคยอยใู่ นเขตของเมืองอนิ คีรแี ต่ถกู จัด ให้มาขึ้นกับอาํ เภอกลางเมอื ง 8.ตาํ บลทา่ ง้วิ เคยอย่ใู นเขตเมอื งอินทรคีรีแต่ถูกจัดให้มาขน้ึ กับอาํ เภอกลาง เมือง (ปัจจุบันอําเภอกลางเมืองเปลี่ยนเป็นอาํ เภอเมอื ง) พนื้ ทีข่ องเมอื งอนิ ทรคีรีท่มี ีมาแตเ่ ดมิ (ก่อนถูก นาํ ไปรวมกับอําเภอเมืองเมอ่ื พ.ศ.2440) เม่ือตั้งเป็นอําเภอพรหมครี ี 9 สงิ หาคม 2517 มีเหลือเพียง 5 ตาํ บล โดยถูกตัดไปขนึ้ กบั อําเภอทา่ ศาลา 1 ตําบล และ ถูกตัดไปข้นึ กับอําเภอเมือง 2 ตําบล ) 11. หลวงวสิ ุทธสิ งคราม ผ้รู กั สาเมืองท่าทอง นา ๑๖๐๐ ฝา่ ยซ้าย ถือตรารปู ไก่ยืนบนแท่น ได้รบั พระราชทานค่ารึชาพาสีส่วย หลวงพิชัยราชรักษา ปลัด นา ๑๒๐๐ กรมปลดั ขุนไชยรักสา รองปลัด นา ๔๐๐ ขนุ ไชยภักดี ยกรบตั ร นา ๑๐๐๐ ขุนไชยรกั สา นา ๘๐๐ มหาดไทย ขุนสรีอาญา รองมหาดไทย นา ๔๐๐ ขุนเทพอาญา มหาดไทย เวนสาลา นา ๖๐๐ ขนุ ไชยเสนา สสั ดี นา ๖๐๐ ขนุ ไชยจา่ เมือง นครบาล นา ๖๐๐ ขนุ ราชเมืองขวาง รองนครบาล นา ๔๐๐ ขนุ นา ถอื สักดินา ๖๐๐ ขุนสรีศภุ ราช รอง ถอื สักดนิ า ๔๐๐ กรมนา ขุนทิพมนเทยี ร เจ้ากรม นา ๖๐๐ กรมวัง หมน่ื พรหมมนเทยี น รองเจ้ากรม นา ๔๐๐ ขนุ คลงั ถือสกั ดนิ า ๖๐๐ กรมคลงั ขนุ สรสี มบัติ รองคลงั นา ๔๐๐ กรมคลงั ขุนสรรพากร นา ๖๐๐ ขุนเทพ รักสาสภุ าแพง่ นา ๖๐๐ หมืน่ สรีภักดี นายแขวงตะบาน นา ๓๐๐ พันสิทธิ์ รองแขวงตะบาน นา ๒๐๐ ขนุ อนิ ทรเดชะ นายแขวงท่ียวนตะเหอะ นา ๓๐๐ หมน่ื ทิพ รองนายแขวงทีย่ วนตะเหอะ นา ๒๐๐ ขุนไกรตานี นายที่แขวงพลายวาส นา ๓๐๐ หม่นื ราชภักดี รองทแี่ ขวงพลายวาส นา ๓๐๐ หมน่ื กลาง นายแขวงท่ที า่ ชี นา ๒๐๐ หมื่นอินท์ รองทีท่าซี นา ๒๐๐ ขุนทิพภกั ดี นายแขวงทา่ ทองอุแท นา ๓๐๐ หมนื่ สรี รองนาย แขวงทา่ ทองอแุ ท นา ๒๐๐ ขนุ เพช็ ร นายดา่ นปากนา้ํ ท่าทอง นา ๓๐๐ หมื่นสรี รองด่านปากนํ้าทา่ ทอง นา ๒๐๐ ขนุ วชิ ติ สงคราม นายดา่ นท่าข้าม นา ๓๐๐ หมื่นรทิ ธิ รองดา่ นทา่ ข้าม นา ๒๐๐ สิรกิ รมการพัน แขวงค่ายดา่ นนะเมอื งทา่ ทอง กรมการ หลวง ๒ ขนุ ๑๕ หมืน่ ๓ แขวงขน้ึ ขนุ ๓ หมื่น ๕ ค่ายด่าน ๒ ตาํ บน ขนุ ๒ หม่นื ๒ รวมท้ังสน้ิ ๓๒ คน หลวงวสิ ุทธิสงครามเจา้ เมืองท่าทองศกั ดินา 1,600 ไร่ เมืองท่าทองเป็นเมืองขนาดใหญม่ ตี าํ แหน่ง ปลดั เมืองท่าทอง มีขา้ ราชการฝ่ายมหาดไทย ข้าราชการฝ่ายนครบาล ข้าราชการกรมนา กรมวัง กรมคลัง เปน็ ตน้ เมืองท่าทองเป็นเมอื งหนา้ ด่านอยู่ทางทศิ เหนอื ของเมืองนครศรธี รรมราช ในสมยั นน้ั เมอื งท่าทอง มคี ่ายคูประตูหอรบ ไวป้ ้องกันข้าศึก ตอนทพี่ ระเจา้ ตากสินส่งพระยาจกั รี (หมดุ หรือ แขก) พร้อมท้ังแม่ ทัพคนอ่นื ๆ มาปราบชมุ นมุ เจา้ นคร แต่ถูกทหารของเมืองทา่ ทองยกเข้าต่อสู้ทําลายกองทัพของพระยา จกั รีจนเสยี หายยบั เยิน นายทพั ตายในที่รบ 2 คน คือ พระยาศรีพิพฒั น์ และ พระยาเพชรบรุ ี ดังน้ัน พระ ยาจักรี (หมดุ หรือ แขก) ต้องถอยทัพไปรอทพั เรือของพระเจา้ ตากสินท่ีเมอื งไชยา ปัจจุบันเมอื งท่าทอง เปน็ ตําบลหนง่ึ ของอาํ เภอกาญจนดิษฐ์

12. หม่ืนสรีเดชะ นายดา่ นกลาย นา ๓๐๐ ฝ่ายซ้าย หม่ืนพล ปลัดดา่ นกลาย นา ๒๐๐ ขนุ แพทย์เดชะ นายด่านท่าสูง นา ๓๐๐ ฝ่ายซ้าย หมน่ื เพ็ชร ปลัดด่านทา่ สูง นา ๒๐๐ ขุนไชยสาคร นาย ดา่ นมะยิง นา ๓๐๐ ฝ่ายซ้าย หมื่นไชยเดชะ ปลดั ดา่ นมะยงิ นา ๒๐๐ เปน็ ต้น รัชกาลท่ี 3 พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจา้ อยหู่ วั (พ.ศ.2367-2394) ในสมัยรัชกาลท่ี 3 ศกึ จากพมา่ หมดไปเน่ืองจากพมา่ ทะเลาะกับอังกฤษ การที่พมา่ เตรียมตัวมา รบกับไทยก็ตอ้ งลม้ เลิกไป องั กฤษทําสงครามกับพม่าต้องเสียเปรยี บดา้ นภมู ิประเทศ รวมทั้งทหาร องั กฤษล้มตายจากไข้ปา่ อังกฤษจึงขอกําลงั กองทพั ไทย ไทยสง่ ทหารไปชว่ ยอังกฤษรบกบั พมา่ เมอื่ พ.ศ. 2367 แต่แม่ทพั ไทยกับทหารองั กฤษขัดแย้งกันที่เมืองมะริดไทยจงึ ถอนทพั กลบั แต่องั กฤษไมล่ ะความ พยายามขอกาํ ลงั จากไทยอกี ไทยส่งทัพไปชว่ ยอังกฤษรบพม่าเมอื่ พ.ศ.2368 แต่ก็ขดั แย้งกนั ในการ ครอบครองเมอื งเมาะตะมะไทยจงึ ถอนทัพกลับ ชว่ งหลังอังกฤษเนน้ กองทพั เรือเขา้ โจมตีเมอื งชายทะเล ของพมา่ หลังจากนนั้ อังกฤษก็เข้ายึดครองประเทศพม่าได้สาํ เรจ็ ส่วนกองทัพไทยก็ตดิ พนั กับการทําศึก กับลาวในสมยั ของพระเจา้ อนวุ งศ์ เม่ือจดั การกับเวียงจนั ทน์ไดแ้ ล้ว กองทัพไทยกเ็ ข้าไปตดิ พนั กับการทาํ ศกึ กับญวนจากปัญหาของเขมร ไทยกับญวนรบกนั ไปรบกนั มาถงึ 15 ปี สุดท้ายญวนก็ขอหยา่ ศึกกับไทย เพราะตอ้ งไปรบกับฝร่ังเศส เนอ่ื งจากฝรงั่ เศสกระหายทจ่ี ะได้ญวนเป็นประเทศอาณานิคมของตน ไทยกบั ญวนจึงตกลงกันไดว้ ่าจะให้เขมรข้นึ ท้ังไทยขึ้นท้งั ญวน ขอ้ ตกลงดังกล่าวจงึ เกดิ ปัญหาขึน้ เมือ่ ฝรง่ั เศสได้ ญวนเป็นอาณานิคม ฝร่ังเศสอยากได้เขมรด้วยโดยอ้างวา่ เขมรเป็นเมอื งขึ้นของญวน เหตกุ ารณต์ า่ งๆ เรื่องราวตา่ งๆ ในเขตอําเภอทา่ ศาลา ในสมัยของสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ไม่มขี อ้ มลู รายละเอียดใดๆ บา้ นเมืองในเขตอาํ เภอทา่ ศาลาเวลานนั้ ก็ยังประกอบดว้ ยเมอื งไทยบรุ ี เมือง กลาย เมืองร่อนกะหรอ เมืองนบพติ ํา เมอื งโมคลาน และ เมอื งอินทรครี ี ในส่วนของเมอื งไทยบรุ ีที่บ้านเรา น่าจะมีการเปล่ียนแปลงเจ้าเมอื ง เน่ืองจากออกหลวงไทยบุรถี งึ แก่กรรม ขนุ ราชบรุ ีรองเจา้ เมืองไทยบรุ ีจึง ข้ึนเปน็ เจ้าเมอื งไทยบุรี เจ้าเมืองไทยบุรที ่านน้มี ีอํานาจมีบารมมี าก

รัชกาลท่ี 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั (พ.ศ.2394-2411) ในสมยั รัชกาลที่ 4 ประเทศไทยเปิดประเทศตดิ ต่อกับต่างประเทศอยา่ งกวา้ งขวาง โดยเฉพาะ ฝรัง่ ทางยโุ รปและอเมริกา มกี ารเจริญสมั พันธไมตรี และ มกี ารติดตอ่ ทางการทูตกบั หลายสบิ ประเทศ เนอื่ งจากรัชกาลที่ 4 มีโอกาสศกึ ษาเลา่ เรยี นศลิ ปวิทยาของพวกฝรั่งขณะทีพ่ ระองค์ทรงผนวช สามารถ ตรสั และเขยี นภาษาอังกฤษได้ ครัน้ ลาผนวชและขนึ้ ครองราชย์จงึ เรียนรเู้ ขา้ ใจแนวคิดของพวกฝรัง่ ได้เป็น อยา่ งดี ประกอบกับขณะทที่ รงผนวชได้เสดจ็ ท่องไปทว่ั ประเทศ รเู้ หน็ เหตุการณ์ตา่ งๆ รเู้ หน็ ความเปน็ อยู่ ทกุ ข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ สามารถนํามาเปน็ ข้อมูลในการบรหิ ารจัดการบ้านเมอื ง เนอ่ื งจาก พระองค์มคี วามร้ทู างวิทยาศาสตร์ สามารถคํานวณการเกิดสรุ ิยุปราคาเต็มดวงที่ตําบลหว้ากอ จงั หวดั ประจวบครี ขี ันธ์ คํานวณได้อย่างแม่นยําลว่ งหน้า 2 ปี ก่อนเกิดสุรยิ ุปราคาจริงในปี พ.ศ.2411 ดว้ ย ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ของพระองค์ดังกล่าว เม่อื วันท่ี 14 เมษายน พ.ศ. 2525 รฐั บาลไทย โดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรใี นขณะนั้น ประกาศยกย่องสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั เป็น พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย ยอ้ นกลบั ไปในปีท่ีเกิดสรุ ยิ ุปราคาเมอื่ พ.ศ.2411 คร้ันสมเดจ็ พระ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวเสดจ็ กลับพระนครก็มีอาการพระประชวรจับไข้ ทรงทราบว่าน่าจะไม่หายจากอาการ ประชวร วนั พฤหสั บดี ขนึ้ 15 คํา่ เดือน 11 ตรงกบั วันท่ี 1 ตลุ าคม พ.ศ.2411 พระบาทสมเด็จพระจอม เกลา้ เจ้าอยหู่ วั เสด็จสวรรคต พระชนมายุรวม 64 พรรษา สมยั สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวรชั กาลท่ี 4 คงมเี รื่องราวเหตุการณ์ตา่ งๆ เกิดขึ้นทท่ี ่าศาลา บา้ นเรามากมายหลายสง่ิ หลายอย่าง อาจมีหมายเหตุของทางราชการบันทึกเอาไว้ อาจมบี นั ทึกของ หนว่ ยงานราชการบนั ทกึ เอาไว้ อาจมีคนหลายคนบนั ทึกเรือ่ งราวเหตุการณ์ท่เี กิดข้ึนในสมัยนั้นเอาไว้ แต่ ในขณะนี้ยังไมม่ ีเวลาค้นหาศึกษาแล้วนํามาบอกนํามาเลา่ หรอื นาํ มาเขียนใหไ้ ด้อ่านกัน

รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว (พ.ศ.2411-2453) สมยั รชั กาลท่ี 5 ช่วงเวลาท่ีพระองคค์ รองราชย์ยาวนานถึง 42 ปี จึงมเี รือ่ งราวต่างๆ เหตุการณ์ ตา่ งๆ เกดิ ข้ึนเป็นจาํ นวนมาก เน่ืองจากบ้านเมอื งมคี วามเจริญมากข้ึน จงึ มกี ารบันทกึ เหตุการณท์ ี่เกิดข้นึ ในรูปแบบต่างๆ เช่น ภาพถ่าย หนังสือพิมพ์ กฎหมาย ระเบยี บ ข้อบงั คับ คําสั่ง บนั ทึกตา่ งๆ เช่น บันทึก ประจําวัน บันทึกการประชมุ บันทกึ รายการ สมุดหมายเหตุ รายงานต่างๆ จดหมาย เป็นตน้ เรื่องราวที่ เกดิ ข้ึนจึงมหี ลกั ฐานปรากฏให้เหน็ เป็นจํานวนมาก แต่จะกล่าวเฉพาะเรือ่ งราวเหตุการณท์ เี่ กีย่ วข้องกับ นครศรีธรรมราช ทา่ ศาลา และ อําเภอใกล้เคยี งท่ีอาจพาดพิงถึงกัน สมัยรัชกาลท่ี 5 ประเทศไทยเราถูกรุกรานจากพวกฝร่ังนักลา่ อาณานิคมอย่างหนัก โดยเฉพาะ อังกฤษ และ ฝรงั่ เศส พยายามหาเหตหุ าข้ออ้างที่จะเข้ายึดครองอาณาจักรสยามใหต้ กเป็นอาณานิคม ของตน สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวจึงต้องดาํ เนินนโยบายหลายอย่าง หลีกเล่ยี งให้อาณาจักร สยามหลุดพน้ จากการตกเป็นอาณานคิ ม แต่ต้องเสยี ดินแดนให้อังกฤษและฝร่ังเศสถึง 13 ครง้ั และ คร้ังที่ 14 ไทยเสียเขาพระวหิ ารให้กัมพชู าตามคําพพิ ากษาของศาลโลก โดยเสียในรัชกาลปจั จบุ นั ดงั น้ี 1. เสียเกาะหมาก (เกาะปีนัง) ใหอ้ ังกฤษ ปัจจุบนั เป็นของมาเลเซีย 2. เสยี มะริด ทวาย ตะนาวศรี ให้องั กฤษ ปัจจุบนั เป็นของพมา่ (เมียนมา) 3. เสียบันทายมาศ ใหฝ้ รั่งเศส ปจั จุบันเป็นของกัมพูชา 4. เสียแสนหวี เมืองพง เชียงตุง ใหอ้ งั กฤษ ปจั จุบนั เปน็ ของพมา่ (เมยี นมา) 5. เสยี รัฐเปรัค ให้อังกฤษ ปัจจบุ นั เป็นของมาเลเซยี 6. เสียสิบสองพันนา ให้อังกฤษ ปัจจุบันเปน็ ของจนี 7. เสียเขมร และ เกาะอีก 6 เกาะ ให้ฝรั่งเศส ปัจจุบันเป็นประเทศกัมพูชา 8. เสียสิบสองจุไท ให้ฝร่ังเศส ปัจจุบันเป็นของเวยี ดนาม 9. เสยี ฝ่งั ซ้ายแมน่ ํ้าสาละวิน ให้องั กฤษ ปัจจุบนั เป็นของพม่า (เมยี นมา) 10. เสยี ประเทศลาว ใหฝ้ รั่งเศส ปัจจุบนั เป็นประเทศลาว

11. เสียฝัง่ ขวาแมน่ าํ้ โขง ให้ฝรง่ั เศส ปัจจุบันเปน็ ของลาว 12. เสยี พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ใหฝ้ ร่ังเศส ปัจจุบนั เป็นของกมั พชู า 13. เสยี กะลันตนั ตรงั กานู ไทรบุรี ปะลศิ ใหอ้ งั กฤษ ปัจจุบันเปน็ ของมาเลเซยี 14. เสียเขาพระวิหาร ให้กมั พูชา ในรัชกาลปัจจุบัน รัชกาลท่ี 5 กบั การจดั ระบบการปกครองเมืองนครศรีธรรมราช เมอื งนครศรธี รรมราชมี ระบบการปกครองท่เี ป็นตน้ แบบให้เมืองอืน่ ตัง้ แต่ปลายกรุงศรอี ยุธยาสมยั พระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ สมัย นนั้ เมืองนครศรธี รรมราชแบ่งการปกครองเปน็ 2 สว่ น คือ การปกครองภายในตัวเมืองนครศรีธรรมราช และ การปกครองทอ้ งท่ี ระบบการปกครองของนครศรธี รรมราชมรี ะเบียบแบบแผนที่ชดั เจน โดยเฉพาะ การปกครองส่วนท้องท่ีของเมอื งนครศรธี รรมราช โดยแบง่ ออกเป็นบ้าน แขวง อําเภอ และ เมือง คร้ัน รัชกาลที่ 5 จัดระบบการปกครองเรียกวา่ แบบมณฑลเทศาภิบาล การปกครองแบบเทศาภบิ าล นําวิธกี าร ปกครองสว่ นท้องทีข่ องเมอื งนครศรีธรรมราชมาใช้ โดยระบบเทศาภิบาลมีวธิ จี ดั การปกครองคลา้ ยกับ การปกครองส่วนท้องท่ี ที่มีมาแตเ่ ดิมของเมอื งนครศรีธรรมราช ดงั นี้ เก่าเรยี กบ้าน หัวหน้าบา้ นเรียกว่าแกบ่ ้าน - ใหมเ่ รียกบ้าน หัวหน้าบา้ นเรียกว่าเจ้าบ้าน เกา่ เรียกแขวง หวั หนา้ แขวงเรยี กวา่ นายที่ - ใหมเ่ รยี กหมู่บา้ น หัวหนา้ หมบู่ า้ นเรียกว่าผู้ใหญ่บา้ น เก่าเรียกอําเภอ หวั หน้าอาํ เภอเรยี กวา่ นายที่ - ใหม่เรยี กตําบล หวั หนา้ ตาํ บลเรียกว่ากํานนั เก่าเรยี กเมือง หัวหน้าเมืองเรียกว่าเจ้าเมือง - ใหมเ่ รยี กอําเภอ หวั หน้าอําเภอเรยี กว่านายอาํ เภอ รายชื่อนายอําเภอทา่ ศาลา พ.ศ.2440 ถึง พ.ศ.2558 (รวมระยะเวลา 118 ป)ี 1. นายเจรญิ พ.ศ.2440-2442 2. นายเงิน พ.ศ.2442-2447 3. ขนุ ชํานาญยวุ กิจ พ.ศ.2447-2449 4. นายครวญ (บูรณภวังค์) พ.ศ.2449-2450 ราชทนิ นามหลงั สุด คือ หลวงนวิ าศวฒั นกิจ 5. หลวงกัลยา พ.ศ.2450-2451 6. ขนุ สงบธานี พ.ศ.2451-2451 7. นายชื่น สุคนธหงส์ (พระเสน่หามนตรี) พ.ศ.2452-2453 8. ขุนรัฐวฒุ ิวจิ ารณ์ (นายเขียน มาลยานนท)์ พ.ศ.2455-2459 9. นายพร้อม ณ ถลาง (พระยาอมรฤทธิธาํ รง) พ.ศ.2459-2460 10. นายเจือ ศรยี าภัย พ.ศ.2460-2461 11. หลวงระวังประจันตคาม พ.ศ.2461-2462 12. หลวงประชาภบิ าล พ.ศ.2463-2469 13. หลวงมหานุภาพปราบสงคราม พ.ศ.2467-2469 14. หลวงณรงคว์ งษา พ.ศ.2465-2470 15. นายสนธิ เกตกะโกมล พ.ศ.2470-2472

16. หลวงรักษน์ รกิจ พ.ศ.2472-2477 17. ขุนประจักษ์ราษฎร์บริหาร พ.ศ.2477-2479 18. นายชาย โชติกะพุกกะนะ พ.ศ.2479-2480 19. ขนุ สิทธ์ธิ ุรการ (รองอํามาตย์โท พรอ้ ม ยงั บรรเทา) พ.ศ.2480-2490 20. ร.ต.อ.จรญู ศิริพานิช พ.ศ.2490-2495 21. นายพาทย์ รัตนพรรณ์ พ.ศ.2495-2498 22. นายกระจ่าง คริ นิ ทร์นนท์ พ.ศ.2496-2501 23. นายศุภโยค พานิชวิทย์ พ.ศ.2501-2508 24. นายพยุง คนั ธวงค์ พ.ศ.2508-2509 25. นายสวัสด์ิ รตั นศริ ิ พ.ศ.2509-2514 26. นายผอ่ ง ชาํ นาญกจิ พ.ศ.2515-2516 27. ร.อ.สชุ าติ บาํ รงุ กรณ์ พ.ศ.2516-2517 28. นายประกิจ เทพชนะ พ.ศ.2517-2519 29. ว่าท่ี ร.ต.พมิ ล สุวรรณสุภา พ.ศ.2519-2522 30. นายสัมพันธ์ รื่นรมย์ พ.ศ.2522-2524 31. นายประเวศ ราชฤทธ์ิ พ.ศ.2524-2529 32. นายถาวร บญุ ยะวนั ตงั พ.ศ.2529-2530 33. นายยศ แกว้ มณี พ.ศ.2530-2531 34. นายบัญชา ถาวรานรุ ักษ์ พ.ศ.2531-2534 35. นายบญุ ชอบ พฒั นสงค์ พ.ศ.2534-2539 36. นายองอาจ สนทะมโิ น พ.ศ.2539-2541 37. นายอริยะ รังสติ สวสั ด์ิ พ.ศ.2541-2542 38. นายศิรพิ ฒั พฒั กลุ พ.ศ.2542-2546 39. นายอรุณ พมุ เพรา พ.ศ.2546-2547 40. นายไชยยศ ธงไชย พ.ศ.2547-2548 41. นายดํารง ดวงแข พ.ศ.2549-2549 42. นายโอภาส ย่ิงเจริญ พ.ศ.2550-2552 43. นายเสรี ทวพี นั ธ์ุ พ.ศ.2552-2555 44. นายถาวรวัฒน์ คงแก้ว พ.ศ.2555-2557 45. นายรังสรรค์ รัตนสงิ ห์ พ.ศ.2558-2558

จดหมายระยะทางไปตรวจราชการแหลมมลายู ร.ศ.๑๒๑ (พ.ศ.2445) สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานริศรานวุ ัตติวงศ์ พระยาสุนทรายื่นโปรแกรม ดังน้ี วนั ที่ ๒๑ ออกจากปากพนงั พกั ร้อนป่าหวาย ขา้ มคลองชเมาแรมฝัง่ ซา้ ยแขวงอําเภอเมือง วนั ที่ ๒๒ ออกจากที่พักคลองชเมา พักรอ้ นท่าเรือ ถึงนคร นมัสการพระธาตุ -แต่ ชเมา ไปทา่ เรือ ๓๒๕ เส้น แต่ ท่าเรือ ไปกลางเมือง ๒๐๐ เสน้ รวมทาง ๕๒๕ เสน้ วนั ที่ ๒๓ ดวู ัดพระธาตุ วันที่ ๒๔ ไปสวนราชฤดี เข้าไปวดั พระธาตุ มกี ารสวดมนต์ฉลองพระเยน็ วันท่ี ๒๕ เข้าไปวัดพระธาตุ เลยี้ งพระ เยน็ ไปวัดดลู ะครฉลองพระ วันที่ ๒๖ ไปดูถนนเมืองตรัง (ถนนทจี่ ะสรา้ งไปเมืองตรัง (ถนนราชดําเนิน) เร่มิ จากศาลามีไชย) วนั ที่ ๒๗ ไปปากพนงั เปดิ คลอง (เปิดใช้งานคลองสขุ มุ ) คา้ งคนื วนั ท่ี ๒๘ กลับจากปากพนงั วันที่ ๒๙ ปรกึ ษาราชการ วันท่ี ๓๐ พกั วันที่ ๑ กรกฎาคม ๑๒๑ ไปกาญจนดษิ ฐ์ โปรแกรมต่อ พระยาสุขุมให้ทสี่ งขลา (ใหโ้ ปรแกรมขณะประทับที่สงขลา) วนั ที่ ๑ กค. ๑๒๑ ออกจากนคร พักร้อนปากมยงิ แรมทา่ สงู อาํ เภอกลาย วนั ที่ ๒ กค. ๑๒๑ ออกจากท่าสูง พักร้อนคลองกลาย แรมปากดวด วนั ที่ ๓ กค. ๑๒๑ ออกจากปากดวด พกั รอ้ นเสาเพา แรมสิชล วันท่ี ๔ กค. ๑๒๑ ออกจากสิชล พกั ร้อนคลองเลง ๒๐๕ แรมเขาหนิ เหล็กไฟ ๑๘๙ วนั ที่ ๕ กค. ๑๒๑ ออกจากเขาหินเหล็กไฟ พักร้อนเขาพระอนิ ทร์ ๑๓๐ แรมพรมแดนไชยา ๑๔๕ -ระยะทางจากสิชลถึงคลองเลง (คลองเหลง) ๒๐๕ เส้น -ระยะทางจากคลองเลง (คลองเหลง) ข้ามเขาหัวช้าง ถงึ เขาหนิ เหล็กไฟ ๑๘๙ เสน้ -ระยะทางจากเขาหินเหล็กไฟถงึ เขาพระอินทร์ ๑๓๐ เส้น - ระยะทางจากเขาพระอินทรถ์ ึงพรมแดนไชยา ๑๔๕ เสน้ -พระยาสุนทรา คือ พระยาสนุ ทราทรธรุ กจิ (ปรชี า หมี ณ ถลาง) ผู้วา่ ราชการจังหวัด นครศรธี รรมราชคนท่ี 2 ตอ่ จากเจา้ พระยาสธุ รรมมนตรี (หนู) ผวู้ ่าราชการจงั หวัดนครศรีธรรมราชคนแรก ที่ต้ังของเมอื งนครไลเ่ ลียงได้ความจากพระยาจางวาง คือ พระยานครศรธี รรมราช (หน)ู เป็นผ้วู ่า ราชการจงั หวัดนครศรธี รรมราช แตไ่ ม่สามารถสนองตอบการปกครองยุคใหมส่ มัยรชั กาลที่ 5 จงึ ถูกถอด ออกจากผู้ว่าราชการจงั หวดั แต่งตง้ั เป็นพระยาจางวางเมืองนครศรีธรรมราช และ แต่งตง้ั พระยาสนุ ท ราทรธุรกจิ (ปรชี า หมี ณ ถลาง) มาเปน็ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรธี รรมราช) เนินทรายซงึ่ เปนถนนเดินมา นี้ เปนเนินยาวเรียกดอนเมือง เมืองตามขวางทําเตม็ เนื้อเนนิ (ตัวเมอื งนครทาํ ตามขวางวางเตม็ เน้อื ที่บน สันทราย) นอกกําแพงออกไปก็เปนนา ข้างเหนือมยี าวต่อไปถงึ ท่าวงั ปากพญาแลต่อไปจนถึงทา่ แพแมน่ ้ํา

ปากพูน (สันทรายยงั ต่อเน่อื งไปถึงอําเภอขนอม) ทางใต้ต่อแตเ่ มืองไปจนคลองการเกตคือปลายนา้ํ คลอง ปากแพรก ปากนา้ํ เมอื งนครมี ๑๒ ปาก คอื ๑.ปากพนัง ๒.ปากบางจาก ๓.ปากนคร ๔.ปากพญา ๕.ปาก พนู ๖.ปากมยิง ๗.ปากท่าสูง ๘.ทา่ หมาก (ไมท่ ราบวา่ เป็นที่แหง่ ใดอาจเป็นปากเราะก็ได้) ๙.คลองกลาย ๑๐.ปากสชิ ล ๑๑.ปากขนอม ๑๒.ปากไชยคราม เร่ิมต้นจากโปรแกรมต่อ วันท่ี ๑ กค. ๑๒๑ ที่เก่ียวขอ้ งกับอําเภอกลาย (ท่าศาลา) องั คาร ๑ ก.ค. ๑๒๑ (พ.ศ.2445) เวลา ๕.๑๕ ข้ึนม้าไปทางฟากตกเปนป่าลเมาะแลว้ ตอ่ ไปกลาย (หมายถงึ ไปอาํ เภอกลาย) เปนป่าแดง ซีกออกกเ็ ปนปา่ ลเมาะแลป่าแดง แตข่ ้างในเห็นต้นมพรา้ วแปลว่า มีบ้าน เม่อื จวนถึงทา่ แพมีถนนตัดขวางสายหนึ่งเปนสี่แยก แยกออกไปลงบ้านปากพนู แยกตกไปลง คลองขุดใหม่ เช่อื มปากพญาไปปากพูน แต่เปนถนนโคลนๆ ขีม่ ้าตรงไปทางเหนอื สองฟากทางมบี ้านแล สวน ๕.๓๕ ถึงพลับพลาท่าแพอยูร่ ิมแม่นํ้าปากพูนหยุดพกั มา้ ถนนทีม่ าเปนทางเกา่ ตัดกว้างแปดวา พ้ืนเปนทรายมีหญ้าข้นึ แตไ่ ด้ทําอมิ ปรูฟใหม่ (ปรับปรงุ ใหม่) คือโกยทรายข้างๆ มาพนู ข้ึนตรงกลางกว้าง ประมาณ ๑๐ ศอก สงู ศอกหน่งึ ต้งั ใจจะให้เปนถนน สายโทรเลขไปริมทางซีกออก พาดสองสาย เสาสาย เรยี บร้อยหมด ณ ท่าแพน้ัน เทศา (หมายถงึ สมหุ เทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชพระยาสุขุมนัยวนิ ิต) ไดพ้ าไปดูคลองใหม่ ขดุ เชื่อมระหวา่ งปากพญาไปปากพนู (คลองขุดทางตะวันตกของสันทรายหลังกอง ทหารในปจั จุบนั โดยเช่ือมคลองปากพญา (ท่าด)ี กับคลองปากพนู (นอกท่ากับปลายอวน) เข้าด้วยกนั แต่เดมิ คงมีรอ่ งนํ้าตามธรรมชาติเชอ่ื มถงึ กันอยู่ แตข่ ุดลอกให้ลึกเพ่ือใหเ้ รือจากคลองปากพนู สามารถแล่น ไปยังคลองปากพญาได้) ซึง่ ปดิ ไวใ้ ห้ทรายจม แต่ไม่ไดเ้ ห็นทาํ นบมิได้ ด้วยรกเดนิ บุกไมไ่ หว เวลาเที่ยง ๒๕ ขึน้ มา้ ออกจากพลับพลาท่าแพขา้ มตพาน เสนาบดีสัง่ เหนอื แม่นํ้าปากพนู ไป แมน่ ํา้ ปากพนู เป็นแมน่ ้ําใหญ่ตพานยาวถึง ๓๐ วา ขนึ้ ฝัง่ เหนอื มีทางตรงไปทางหนึ่ง ทางแยกเลียบรมิ แมน่ ํา้ ไปทางตะวนั ออกทางหนง่ึ ว่าไปลงปากนํ้าปากพนู สายโทรเลข ๒ สายนั้น ตรงไปตามทางข้างเหนือ สายหน่งึ เลีย้ วแยกไปตามถนนปากนา้ํ ปากพูน สายหน่งึ เปนสายโทรศัพท์ (สายโทรเลข) ปากนํา้ ขีม่ ้าไป ตามทางขา้ งเหนือ ทางตอนน้ีไม่มพี ูนทรายเปนถนน เปนแตท่ างพ้นื ทรายมหี ญา้ ข้ึนโดยปกติ เปน ช่อง กว้าง ๘ วา เสาโทรเลขปักไปกลาง สองขา้ งทางเปนป่าแดง แตเ่ ปนป่าจรงิ แต่ซีกออก ซกี ตกเปนแต่ตม ข้างในมีบา้ นแลไรส่ ับปะรสเปน็ อนั มาก (บริเวณนีป้ จั จบุ ันเปน็ สวนมะพร้าวขนาดใหญ)่ ทางน้นั ต้งั ใจจะ คุย้ ใหเ้ ปนทรายโลง่ ไปสกั แปดศอก แต่ไมส่ าํ เร็จ ทําไดน้ ิดหน่งึ แลว้ กเ็ ปนไปโดยธรรมดา สนิ้ ไรส่ บั ปะรสแลว้ สองขา้ งทางเปนป่าแดงแท้ แลตอ่ ไปนี้เปนไม้ใหญ่แซม ต่อไปอีกเปนไม้เบญพรรณใหญๆ่ ขึน้ ทึบไว้จน เกอื บถึงคลองปากมยิง กลับเปนปา่ แดงอกี ทางคงกว้างแปดวาตามเดิม แต่การแต่งทางน้นั ลดลง เพยี งแตเ่ ปนไม้กอเต้ียริมทาง แตก่ ไ็ ม่สาํ เรจ็ อกี ต่อไปคงเปนไมก้ อเล็กรกข้ึน ต่อแนวไมใ้ หญม่ าจนจดทางงู เลื้อยโดยธรรมดา เสาโทรเลขไปกลางชอ่ งทีฟ่ ันไมใ้ หญไ่ ว้กวา้ ง ๘ วาน้ัน เสาสายเรียบร้อยหมด เมื่อจวน ถงึ คลองปากมยิงพนื้ ที่เปนแอ่งตํ่าแล้วข้ึนเนินสูงก็คือคันคลองปากมยิง เปนคลองกว้างประมาณ ๑๖-๑๗ วา เขาทําตพานเรียก (เขียนผิด) ข้ามม้าไปจนถงึ ท่พี กั ร้อน ซง่ึ ปลูกไวร้ ับท่ีริมฝงั่ เหนือ (ฝ่งั อําเภอกลาย) เข้าหยดุ พกั ทน่ี ่นั ในเวลาบ่าย ๑.๓๐ พระยาสุนทรา นํานายเงินนายอําเภอกลายซึง่ มาคอยรับให้รจู้ กั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook