Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-Book กายวิภาคศาสตร์ อภิชญา นวลเกลี้ยง 1044.

E-Book กายวิภาคศาสตร์ อภิชญา นวลเกลี้ยง 1044.

Published by pampam12345678, 2021-10-17 03:19:35

Description: E-Book กายวิภาคศาสตร์ อภิชญา นวลเกลี้ยง 1044.

Search

Read the Text Version

บทท4ี ระบบตอ่ มไร้ทอ่ Endocrine system ต่อมไร้ทอ่ (Endocrine Gland) คอื กลุ่มเซลล์หรือกล่มุ เนอื เยือทที ําหน้าทีสร้าง และผลติ สารเคมพี ิเศษทีเรียกวา่ “ฮอรโ์ มน” (Hormone) ใหก้ บั ร่างกาย ซงึ สารดังกลา่ วไมส่ ามารถ ผลิตไดจ้ ากตอ่ มอืน ๆ โดยสารเคมหี รอื ฮอรโ์ มนเหลา่ นีจะถูกส่งเขา้ สู่กระแสเลอื ดโดยตรง โดยไมผ่ ่านท่อลําเลียงภายนอก ดังนัน ตอ่ มไรท้ อ่ จึงเปนอวัยวะทีประกอบดว้ ยเส้นเลอื ด จาํ นวนมาก เพือทาํ หนา้ ทลี าํ เลียงสารทีตอ่ มผลิตไดไ้ ปยงั อวยั วะต่าง ๆ ผ่านการไหลเวียนของ นําเลอื ดหรือนาํ เหลืองทวั รา่ งกาย ซึงฮอรโ์ มนแตล่ ะชนิดมีหน้าทเี ฉพาะเจาะจงตอ่ อวยั วะเปา หมาย (Target Organ) ทีแตกต่างกันออกไป ระบบต่อมไรท้ ่อ

หน้าทีของฮอร์โมน 1. ควบคุมระบบพลังงานของร่างกาย 2. ควบคมุ ปริมาณนํา และเกลือแรใ่ นรา่ งกาย 3. ควบคุมการเจรญิ เตบิ โตของรา่ งกาย 4. ควบคมุ ระบบสืบพันธ์และตอ่ มนาํ นม ซึงหนา้ ทีดังกล่าวเปนผลจากการทาํ งานของฮอร์โมน หลายๆ ชนิดพร้อมๆ กนั เพือกอ่ ใหเ้ กิดผลตามทรี ่างกายต้องการประเภทและคุณสมบัติของ ฮอรโ์ มน ฮอรโ์ มน แบง่ ตามคุณสมบัตทิ างเคมอี อกได้เปน 4 ประเภท คือ 1. Peptide Hormone ประกอบดว้ ยกรดอะมโิ นทีต่อกันด้วยโซ่เพปไทด์ ได้แก่ ฮอร์โมนจาก ไฮโพทาลามสั ต่อมใต้สมอง ตับอ่อน และ จากต่อมพาราไทรอยด์ 2. Steroid Hormone ได้แก่ ฮอรโ์ มนทีสร้างจากต่อมหมวกไต รังไข่ และอณั ฑะ 3. Amines Hormone เปนฮอรโ์ มนทไี ดจ้ ากกรดอะมิโน โดยตดั เอาหมคู่ าร์บอกซิล (Carboxyl group) ออกไดอ้ มนี ฮอรโ์ มนกล่มนีได้แก่ ฮอรโ์ มนไทรอกซิน และคาเทคอลามีน 4. Glycoprotein Hoemone โครงสรา้ งของฮอรโ์ มนชนดิ นี จะมคี าร์โบไฮเดรต เปนองค์ ประกอบในโมเลกุล ซึงเปนส่วนแสดงบทบาทของฮอรโ์ มน ฮอรโ์ มนกล่มุ นไี ดแ้ ก่ ฮอร์โมนโก นาโดโทรพินส์ (FSH, LH, HCG, และ TSH) อย่างไรก็ตาม ตอ่ มไร้ทอ่ แทบทกุ ต่อม จะถกู ควบคมุ โดยฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง และอาจมตี อ่ มทเี ปนอสิ ระ ไมถ่ กู ควบคมุ โดยฮอร์โมน จากต่อมใต้สมอง ได้แก่ ต่อมพาราไทรอยด์ ซึงจะขับฮอร์โมนเพือควบคมุ ระดบั แคลเซียมใน นาํ เลือด และปริมาณแคลเซยี มในนาํ เลือด ก็เปนตวั ควบคมุ การผลติ และขบั ฮอรโ์ มนจากตอ่ ม พาราไทรอยด์ ตามกลไกปอนกลับเชิงลบ ระบบต่อมไรท้ ่อ

Pituitary gland ต่อมใต้สมอง ( pituitary gland ) เปนตอ่ มทมี ีขนาดเล็กเทา่ เมล็ดถัวเขยี ว รูปรา่ งกลม อยู่ ใต้สมองแบ่งเปน 2 ส่วน คือ ต่อมใตส้ มองส่วนหน้า ( anterior pituitary หรือ adenohypophysis ) และตอ่ มใต้สมองส่วนหลงั (posterior pituitary หรอื neurohypophysis ) 1. ตอ่ มใตส้ มองส่วนหนา้ ( Adenohypophysis) เปนส่วนทใี หญท่ ีสุด และผลิตฮอรโ์ มน ไดม้ าก ชนดิ ทสี ุด ฮอรโ์ มนทผี ลิตจากส่วนนี มดี ังนี 1.1 Growth Hormone = GH ทาํ หน้าทีกระตนุ้ การเจรญิ เตบิ โตของร่างกาย 1.2 Folliclle Stimulatung Hormone = FSH ทําหน้าที กระตุน้ การพัฒนารงั ไข่ใน หญิง และอสุจิในชาย 1.3 Luteinizing Hormone = LH ทําหนา้ ทีกระตุ้นการตกไข่ในหญงิ และอสุจิในชาย เช่นเดยี วกับ FSH 1.4 Luteotrophic Hormone = LTH ทําหนา้ ทีกระตุ้นการสร้างนํานม 1.5 Thyroid Stimulaing Hormone = TSH ทําหนา้ ทีกระต้นุ ตอ่ มไทรอยดใ์ ห้เจริญ 1.6 Adrenocorticotophic Hormone = ACTH ทําหน้าทีกระตุ้นอะดรีนัล คอร์เทกซ์ เพือผลิต หรือลดฮอร์โมนกลูโคคอรต์ คิ อยด์ 2. ตอ่ มใตส้ มองส่วนหลงั ( Neurohypophysis) ผลติ ฮอรโ์ มนได้ ดงั นี 2.1 Antidiuretic Hormone = ADH หรอื วาโซเพรสซนิ ทําหนา้ ทีควบคมุ การดดู นํา กลบั ของหลอดรวบรวมของไต 2.2 Oxytocin ถกู สร้างเฉพาะในหญิงมีครรภ์ ช่วยให้มดลกู หดตวั ตอนคลอด ทาํ ให้ คลอดไดง้ า่ ยขึน และชว่ ยในการหลงั นํานมในระยะให้นม ระบบต่อมไรท้ ่อ

ฮอรโ์ มนจากตอ่ มใตส้ มองส่วนหน้า ฮอรโ์ มนจากตอ่ มใตส้ มองส่วนหน้าหรือ (anterior pituitary gland หรือ adenohypophysis) เปนฮอร์โมนพวกโปรตีน ทําหนา้ ทีสร้างฮอร์โมน 2 ประเภทคือ กลุ่มแรกเปนฮอร์โมนทไี ปกระตุ้นให้อวยั วะเปาหมายสร้างฮอร์โมนออกมาเรยี กฮอรโ์ มน พวกนีวา่ ฮอร์โมนกระตุ้นซึงจะมคี ําต่อทา้ ย วา่ \" trophic hormone, trophin หรือ stimulating hormone \" ได้แก่ - adrenocortico trophic hormone เรียกยอ่ ว่า ACTH - thyroid stimulating hormone เรยี กย่อวา่ TSH - luteinizing hormone เรียกยอ่ วา่ LH หรอื interstitial cell stimulating hormone เรยี กย่อว่า ICSH - follicle stimulating hormone เรียกย่อวา่ FSH กลมุ่ สองเปนฮอร์โมนทีไปมผี ลตอ่ อวัยวะเปาหมายโดยตรงไม่ได้กระตุ้นให้อวยั วะเปาหมาย สร้างฮอรโ์ มน ได้แก่ - growth hormone เรยี กยอ่ ว่า GH หรือ somatotrophin เรยี กย่อว่า STH - prolactin เรียกยอ่ ว่า PRL ระบบต่อมไรท้ ่อ

Thyroid gland ตอ่ มไทรอยดเ์ ปนต่อมไรท้ อ่ ซึงอยบู่ ริเวณลําคอ อยู่ด้านหนา้ ของกลอ่ งเสียง ติดกบั ฐาน ของคอหอยเปนต่อมไรท้ อ่ ทีมีขนาดใหญ่ทสี ุด ในคนปกติมีนาํ หนักประมาณ 25 กรมั แบ่ง ออกเปน 2 พูและเชอื มกันตรงกลาง ดว้ ยส่วนทเี รียกวา่ คอคอดหรอื อิสมัส (isthmus) ตอ่ มไทรอยด์ สรา้ งฮอร์โมน ทีสามารถดงึ ไอโอดนี จากกระแสเลอื ดเข้าสู่เซลล์ได้ ตอ่ มไทรอยด์ จะประกอบดว้ ยถุงหมุ้ ทีเปนเนอื เยือเกยี วพัน เรียกว่า ไทรอยดฟ์ อลลิเคลิ (thyroid follicle) ซงึ เปนทีสร้างและหลัง ฮอร์โมนไทรอกซิน ( thyroxine ) ซงึ มี ไอโอดนี เปนส่วนประกอบแล้วเก็บไวใ้ นของเหลว ทีอยตู่ รงกลางเรียกว่า คอลลอยด์ (colloid cell) นอกจากนันในต่อมไทรอยด์ ยงั พบกลุ่มเซลลท์ ีเรียกวา่ เซลลซ์ ี (C-cell) หรือ เซลล์ พาราฟอลลคิ ูลาร์ ( parafollicular cell ) เปนเซลลท์ ีแทรกอยู่ ในระหวา่ งไทรอยดฟ์ อลลิเคิลของตอ่ มไทรอยด์ซึงสร้าง ฮอร์โมน แคลซโิ ทนิน ( calcitonin ) ระบบต่อมไรท้ ่อ

ฮอรโ์ มนทีสรา้ งจากต่อมไทรอยด์ 1. ฮอรโ์ มนไทรอกซิน - แหล่งทสี รา้ ง : สรา้ งจากไทรอยด์ฟอลลิเคิล - อวัยวะเปาหมาย : อวัยวะรา่ งกายทัวไป - หนา้ ที : ควบคมุ เมแทบบอลิซึมตา่ งๆของร่างกาย เช่น ทีเกียวกบั การเจริญเติบโต, การใช้ พลงั งาน และ การสังเคราะหส์ าร เปนตน้ 2. ฮอรโ์ มนแคลซโิ ทนิน - แหล่งทสี ร้าง : สรา้ งจากเซลลพ์ าราฟอลลิคิวลารห์ รอื เซลล์ซี - อวัยวะเปาหมาย : กระดูก, ทอ่ หนว่ ยไต และ ลําไส้เล็ก - หนา้ ที : ลดระดับแคลเซยี มในเลอื ดใหต้ ําลงถ้าในเลือดมรี ะดบั แคลเซยี มสูงกว่าปกติ ทําได้ โดย - เพิมการสะสมแคลเซียมทกี ระดูก - ลดการดดู แคลเซยี มกลบั จากท่อหน่วยไต ( ขับแคลเซยี มทงิ ทางนําปสสาวะ ) - ลดการดดู ซมึ แคลเซยี มทลี าํ ไส้เล็ก ( เพือไมใ่ ห้แคลเซียมถูกดดู เขา้ สู่กระแสเลอื ด ) ระบบต่อมไรท้ ่อ

Parathyroid glang เปนตอ่ มขนาดเล็กมี 2 คู่ อยตู่ ดิ กบั ตอ่ มไทรอยด์ ทาํ หน้าทสี ร้งฮอร์โมนพาราฮอร์โมนที ทําหน้าทีควบคมุ ปริมาณแคลเซียมในเลือดและรักษาความเปนกรดเปนด่างในร่างกาย ใหอ้ ย่ใู นระดับทเี หมาะสม ฮอร์โมนทสี รา้ ง : พาราทอร์โมน หรอื พาราไทรอยดฮ์ อรโ์ มน (Parathyroid gland )หรือ PTH ซงึ เปน สารประเภทพอลเิ พปไทด์ อวยั วะเปาหมาย : กระดกู ทอ่ หนว่ ยไต และ ลาํ ไส้เล็ก หนา้ ที : ชว่ ยทําให้ระดับแคลเซียมในเลือดเพิมขึนถ้าระดบั แคลเซียมในเลือดตาํ กวา่ ปกติ ฮอรโ์ มนจะ รกั ษาสมดุลของแคลเซยี มในเลือด โดยทํางานตรงขา้ มกบั แคลซิโทนนิ จากตอ่ มไทรอยด์ ดังนี กระตุ้นการสลายแคลเซยี มจากกระดูกแลว้ ปล่อยเข้าสู่เลือด กระตุ้นท่อของหนว่ ยไตให้เพิมการดดู กลบั ของแคลซยี มเขา้ สู่เลอื ด ลดการขบั ถา่ ยแคลซยี ม ไปกับ ปสสาวะ กระตนุ้ ให้มกี ารดูดซมึ แคลเซียม ทลี าํ ไส้เล็กเพิมขนึ หมายเหตุ : การทาํ งานของพาราไทรอยด์ฮอร์โมน จะมปี ระสิทธิภาพดขี ึนเมอื ทํางานรว่ มกบั วิตามนิ ดี ระบบต่อมไรท้ ่อ

Thymus gland ต่อมไทมสั (Thymus gland) มีลักษณะเปนพู 2 พู อยู่บริเวณทรวงอกรอบเส้นเลอื ดใหญ่ ของหัวใจ ต่อมไทมัสจะเจริญเตม็ ที ตังแต่เปนทารกอยใู่ นครรภ์มารดาและมีขนาดใหญ่มากเมือยงั มีอายุนอ้ ย แต่เมืออายมุ ากขึน ขนาดของตอ่ มไทมัสจะเลก็ ลงและฝอไปในทีสุดตอ่ มไทมสั ทําหนา้ ทสี รา้ งฮอรโ์ มน thymosin ซึงมีหน้าทีในการกระต้นุ ให้เนือเยือต่อมไทมัสเอง ซึงเปนอวัยวะนาํ เหลอื งสรา้ ง T – lymphocyteหรือT – cell ซงึ เปนเซลล์ทสี ําคญั ในระบบภูมคิ ้มุ กนั ของร่างกาย โดยการ ทาํ ลายเซลล์แปลกปลอมทีเกดิ ขนึ และกระต้นุ การทาํ งานของ B – cell ใหส้ รา้ งแอนตบิ อดขี ึน มาต่อตา้ นสิงแปลกปลอมหรอื เชือโรคให้หมดฤทธไิ ป ฮอร์โมนทีสร้าง : ไทโมซนิ ( thymosin ) อวยั วะเปาหมาย : เนอื เยอื ต่อมไทมสั หน้าที : กระตนุ้ ใหเ้ นอื เยอื ต่อมไทมัสเอง ซึงเปนอวยั วะนําเหลืองสร้าง T – lymphocyte หรอื T – cell ซงึ เปนเซลลท์ สี ําคัญในระบบภมู ิคมุ้ กันของรา่ งกาย ระบบต่อมไรท้ ่อ

Pancreas ตบั ออ่ นตงั อย่ทู ีดา้ นบนซา้ ยของชอ่ งทอ้ ง โดยวางตวั จากส่วนโคง้ ของลาํ ไส้เลก็ ส่วนดู โอดนี มั (duodenum ) ถึงม้าม (spleen) ละดา้ นหลังของกระเพาะ (stomach) มี ลักษณะค่อนข้างแบน มคี วามยาวประมาณ 12 – 15 เซนติเมตร ตับอ่อนทําหนา้ ทที ัง เปนตอ่ มมีท่อคือการสรา้ งนาํ ย่อยไปทีลําไส้เลก็ และเปนตอ่ มไร้ทอ่ สรา้ งฮอรโ์ มนเซลล์ ทีทาํ หนา้ ทีในการผลิตฮอร์โมนจะรวมกันเปนกลุ่มมีชอื วา่ ไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ ฮานส์ ( Islets of Langerhans ) มปี รมิ าณ 1 – 3 เปอรเ์ ซน็ ตข์ องเนือเยอื ตับออ่ น ทงั หมด อร์โมนทสี ร้างจากไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ 1.ฮอร์โมนอนิ ซลู นิ (Insulin) แหล่งสรา้ ง : จากเบต้าเซลล์ (beta cell) ซงึ เปนเซลลท์ อี ยรู่ อบนอกของกลุม่ เซลลไ์ อส์ เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ อวัยวะเปาหมายคอื ตับ กล้ามเนือ หน้าที : ลดระดบั นําตาลในเลอื ด (ระดับนาํ ตาลในเลอื ดปกติ 80 – 100 มลิ ลิกรมั / 100 ลบ.ซม. )โดยเพิมการนาํ กลูโคสเข้าสู่เซลลก์ ลา้ มเนอื และเซลล์ตบั กระต้นุ ให้เซลล์ ตับและเซลลก์ ลา้ มเนือเปลียนกลูโคสใหเ้ ปนไกลโคเจน ( โมเลกลุ คาร์โบไฮเดรตทสี ร้าง จากกลโู คส ) เก็บสะสมไว้ภายในเซลล์ ระบบต่อมไรท้ ่อ

2. ฮอร์โมนกลคู ากอน (Glucagon) แหลง่ สร้าง : จากแอลฟาเซลล์ (alpha cell) ซึงเปนเซลลท์ ีอยูส่ ่วนในและเปนเซลล์ ส่วนใหญ่ของกลมุ่ เซลล์ไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ อวยั วะเปาหมาย คอื ตับ กล้ามเนือ หน้าที : เพิมระดับนําตาลในเลือด – กระต้นุ ให้เซลล์ตบั และเซลลก์ ลา้ มเนอื เปลียนไกลโคเจนให้เปนกลโู คสปลอ่ ยเข้าสู่ กระแสเลอื ด – เพิมการสังเคราะหก์ ลโู คสจากกรดอะมโิ นและกรดไขมนั การรกั ษาสมดุลของระดับนําตาลในเลอื ด การเปลียนแปลงระดับนาํ ตาลในเลือด จะเปนสัญญาณยบั ยังหรือกระตุ้นการหลงั อนิ ซูลนิ และกลูคากอนจากไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ และผลจากการทาํ งานของ ฮอรโ์ มนทังสองจะทาํ ใหร้ ะดบั นาํ ตาลในเลือดอยูใ่ นสภาวะปกติเสมอ 3.ฮอร์โมน Somatostantin :เปน neurotransmitter ยับยังการหลังฮอร์โมน glucagon, insulin ระบบต่อมไรท้ ่อ

adrenal glands ต่อมหมวกไตชันนอก (adrenal cortex) ทําหนา้ ทีในการสร้างฮอรโ์ มนทสี ําคญั 3 ตัว มหี น้าทีและกลไกในการควบคมุ การทาํ งานทีแตกตา่ งกนั คอื 1. Aldosterone สร้างจากชัน zona glomerulosa มีหนา้ ทีในการปรบั สมดลุ ของโซเดียมและโพแทสเซยี มในเลือด aldosterone ออกฤทธิที proximal tubule ของไต ทาํ หน้าทีในการดูดกลับโซเดียมกลับเข้าสู่ร่างกายและขบั โพแทสเซียมออกไปทางปสสาวะ กลไกในการควบคุมการหลงั aldosterone คือระดบั ของโซเดียมและโพแทสเซยี มในเลือด โดยผ่านกลไกของ renin-angiotensin system ปจจัยทที ําให้มกี ารหลงั aldosterone มากขนึ ไดแ้ ก่ ภาวะโซเดียมตาํ ในเลือด (hyponatremia) หรือปรมิ าณนาํ ในร่างกายลดลง (hypovolemia) 2. Cortisol สร้างจากชนั zona fasciculata เปนฮอร์โมนทีมคี วามสําคญั ในการปรับร่างกายขณะทีมคี วามเครียด (stress) เชน่ ความ เจบ็ ปวย เปนตน้ กลไกในการควบคมุ การสร้างและหลัง cortisol อาศัยกลไกปอนกลบั (feedback mechanism) ระหว่างฮอรโ์ มน cortisol และ adrenocorticotropic hormone (ACTH) จากตอ่ มใตส้ มอง และ corticotropin-releasing hormone (CRH) จากไฮโปธาลามสั เรียกว่า hypothalamic-pituitary-adrenal (HPA) axis 3. Androgen สร้างจากชัน zona reticularis เปนฮอร์โมนเพศ มีบทบาทนอ้ ยมากในช่วงวัยเด็ก แต่มีบทบาทมากในขณะทเี ขา้ สู่วยั รนุ่ ทังในเพศชายและเพศหญงิ ทําหนา้ ทใี นการเริมมีขนหวั หน่าว (pubarche, adrenarche) กลไกการควบคมุ ยงั ไมท่ ราบแนช่ ัด และไม่ขึนกับ hypothalamic-pituitary-gonadal (HPG) axis ทคี วบคมุ การหลังฮอร์โมน androgen จากตอ่ มเพศ ระบบต่อมไรท้ ่อ

ฮอรโ์ มนจากตอ่ มหมวกไตส่วนใน ต่อมหมวกไตดา้ นในหรืออะดรีนัลเมดัลลา ( adrenal medulla ) : ตอ่ มหมวกไตส่วนในเปน ทงั ตอ่ มไร้ทอ่ และเปนส่วนของประสาทซมิ พาเทติก จะทํางานเมือเผชิญหนา้ กับ ภาวะเครียด ตืนเตน้ ตกใจ กลวั หนภี ัย เมอื เจ็บปวดและออกกาํ ลงั กาย สร้างฮอร์โมน 2 ชนดิ คอื - ฮอรโ์ มนเอพิเนฟริน ( epinephrine hormone ) หรอื อะดรีนาลิน (adrenalin hormone ) - ฮอรโ์ มนนอร์อิพิเนฟริน ( norepinephrine hormone ) หรือ นอรอ์ ะดรนี าลิน (noradrenalin hormone ) 1.ฮอรโ์ มนเอพิเนฟรนิ แหล่งทสี ร้าง : ตอ่ มหมวกไตด้านในหรอื อะดรีนลั เมดัลลา ( adrenal medulla ) อวยั วะเปาหมาย : ตับ , หลอดเลอื ดแดงขนาดเล็ก ,หวั ใจ หนา้ ที : - เปลียน ไกลโคเจนในตบั ใหเ้ ปนกลูโคสเขา้ สู่กระแสเลือดทาํ มรี ะดบั กลโู คสเพิมขึนใน กระแสเลือดการเผาผลาญอาหารเพิมมากขึน ทาํ ใหร้ า่ งกายมพี ลังมากขนึ - กระตนุ้ ให้หัวใจบบี ตวั แรงและเร็วขนึ ทําใหเ้ ลอื ดลําเลยี งออกซิเจนและกลูโคสไปให้ เซลลร์ ่างกายไดม้ ากขึน - หลอดเลอื ดแดงขนาดเล็กทีบริเวณอวยั วะภายในตา่ งๆขยายตัว - หลอดเลือดแดงขนาดเลก็ ทบี รเิ วณผิวหนงั และช่องท้องหดตวั 2.ฮอรโ์ มนนอร์เอพิเนฟรนิ แหล่งทีสรา้ ง : ต่อมหมวกไตด้านในหรืออะดรนี ัลเมดลั ลา ( adrenal medulla ) อวัยวะเปาหมาย : ตับ , หลอดเลือดแดงขนาดเล็ก ,หวั ใจ หน้าที : - เปลียน ไกลโคเจนในตับใหเ้ ปนกลโู คสเข้าสู่กระแสเลือดทํามีระดบั กลูโคสเพิมขึนใน กระแสเลือดการเผาผลาญอาหารเพิมมากขึน ทําใหร้ า่ งกายมพี ลงั มากขนึ - กระตนุ้ ให้หัวใจบีบตัวแรงและเร็วขนึ ทาํ ให้เลือดลําเลียงออกซเิ จนและกลโู คสไปให้ เซลล์รา่ งกายไดม้ ากขึน - หลอดเลือดแดงขนาดเลก็ ทบี ริเวณอวัยวะภายในตา่ งๆหดหรอื บีบตวั ระบบต่อมไรท้ ่อ

Pineal gland ต่อมไพเนยี ล (Pineal Grand) คอื ตอ่ มไรท้ ่อขนาดเล็กทผี ลิตสารเมลาโทนนิ (Melatonin) ทาํ หนา้ ทยี บั ยงั การเจริญเตบิ โตของต่อมเพศกอ่ นวัยหน่มุ สาวแต่เมอื เขา้ สู่วยั ร่นุ อาจมผี ลตอ่ การ ตกไขแ่ ละประจาํ เดือนในเพศหญงิ หากตอ่ มไพเนยี ลผลิตฮอร์โมนมากเกินไป จะทําให้เปน หนมุ่ สาวชา้ กวา่ ปกติ แต่หากต่อมนีถูกทําลาย เช่น เกิดเนอื งอกในสมอง จะทาํ ให้เปนหนุ่มสาว เร็วกวา่ ปกติ เปนตน้ ถูกสรา้ งมากในเวลากลางคนื และนอ้ ย ในเวลากลางวนั คอื มีวัฏจกั รประจาํ วัน [circadian rhythym] กล่าวคอื เมือแสงสว่างส่องผา่ นนัยน์ตาในเวลากลางวันไพเนยี ลแกลนดจ์ ะหยุด ผลติ เมลาโทนนิ ทันที ทีได้รับแสงสวา่ ง แตจ่ ะสรา้ งสารทเี รยี กว่า เซโรโทนิน [serotonin] ซงึ เปนสารทีทาํ ให้ร่างกายมีชวี ิตชวี า กระฉบั กระเฉงขนึ จึงมกี ารนาํ เมลาโทนินไปใชใ้ นผ้ทู นี อน หลบั ยาก และปรับเวลานอนหลบั ในการเดินทางไกลขา้ ม 3-6 โซนเวลาหรอื ทเี รียกว่า [jet lag] ตามปกติ ตอ่ มไพเนียล ผลติ เมลาโทนิน โดยเฉลยี คืนละ 1-3 มลิ ลิกรัม ปริมาณการสร้าง เมลาโทนนิ จะลดลงตามวยั โดยอายุ 5-6 ป จะมีระดับเมลาโทนนิ สูงสุด และลดลง ในวัยหน่มุ สาว เมือถึงวยั กลางคน (40 ปขึนไป) จะ ลดลงเปนครงึ หนงึ ของระดับเดมิ และจะลดลงเรือย ๆ เมือเขา้ สู่วัยชรา ดว้ ยเหตนุ ีจึงทําใหย้ าตัวนเี ปนทตี ้องการของผทู้ ไี มป่ ระสงคจ์ ะชราก่อนวัย หรือทเี รียกว่า \"วัยทอง\" ซึงเปนวัยทคี วามกระฉับกระเฉงจะลดถอยลง ความเสือมโทรมของ ร่างกายจะเกดิ มากขึน ระบบต่อมไรท้ ่อ

บรรณานกุ รม วนั ที ระบบต่อมไรท้ ่อ ม ป ป ออนไลน์ เขา้ ถึงได้ จาก สบื ค้นขอ้ มูล สงิ หาคม สามารถทาํ ความเข้าใจเพิมเติมไดจ้ าก (QR code) ระบบต่อมไรท้ ่อ

บทที5 ระบบกล้ามเนือ Muscles system ระบบกล้ามเนอื (The muscular system) เปนระบบเกียวกับการเคลอื นไหวของ รา่ งกายมนุษยส์ ามารถเคลอื นไหวในอิรยิ าบถตา่ งๆ ทังเดนิ วงิ เหยยี ด ยดื แขน และอืนๆ ได้นนั ต้องอาศัยการทํางานของระบบกล้ามเนอื และระบบกระดูกใหท้ าํ หนา้ ทรี ่วมกนั เสมอ กลา้ มเนอื จงึ เปรียบได้กบั เครอื งยนตซ์ งึ เปนแหลง่ ของพลังงานกล ใชใ้ นการเคลือนไหว ของร่างกาย ระบบกล้ามเนือ

กล้ามเนอื (Muscle) เปนเนอื เยือทหี ดตวั ได้ในร่างกาย เปลียนแป ลงมาจากเมโซเดริ ์ม (mesoderm) ของชัน เนอื เยือในตัวออ่ น และเปนระบบหนงึ ของรา่ งกายทสี ําคญั ต่อการเคลอื นไหวทงั หมดของ ร่างกาย แบ่งออกเปน 3 ส่วน ได้แก่ กลา้ มเนอื โครงรา่ ง (skeletal muscle) กลา้ มเนือ เรียบ (smooth muscle) และกล้ามเนือหัวใจ (cardiac muscle) กลา้ มเนอื ทําหน้าทีหดตวั เพือใหเ้ กิดแรงและทําใหเ้ กดิ การเคลือนที (motion) รวมถึงการ เคลือนทีและการหดตัวของอวยั วะภายใน กลา้ มเนอื จํานวนมากหดตัวได้นอกอํานาจจติ ใจ และจําเปนต่อการดาํ รงชวี ติ เชน่ การบบี ตัวของหวั ใจ หรือการบีบรูด (peristalsis) ทําให้ เกิดการผลกั ดันอาหารเขา้ ไปภายในทางเดินอาหาร การหดตวั ของกลา้ มเนือทีอยู่ใต้อาํ นาจ จติ ใจมปี ระโยชนใ์ นการเคลอื นทีของร่างกาย และสามารถควบคุมการหดตวั ได้ เช่นการก ลอกตา หรอื การหดตัวของกล้ามเนือควอดรเิ ซ็บ (quadriceps muscle) ทตี น้ ขา หนา้ ทสี ําคัญของกล้ามเนอื 1.คงรูปรา่ งทา่ ทางของร่างกาย (Maintain Body Posture) 2.ยึดข้อตอ่ ไวด้ ว้ ยกนั (Stabilize Joints) 3.ทําให้ร่างกายเคลอื นไหว (Provide Movement) โดยการเปลยี นพลังงานทไี ด้จากสาร อาหารมาเปนพลังงานกล(Mechanical Energy) หรอื พลงั งานทเี กียวข้องกบั การ เคลือนไหว 4.รักษาระดบั อุณหภูมขิ องร่างกาย(Maintain Body Temperature) โดยผลติ ความรอ้ น ออกมาตามทีร่างกายตอ้ งการ ระบบกล้ามเนือ

ประเภทของกลา้ มเนอื 1.กล้ามเนอื เรยี บ (Smooth Muscle) พบไดท้ อี วัยวะภายในของรา่ งกาย และเปนกลา้ มเนอื ทีทาํ งานอยูต่ ลอด กลา้ มเนอื แบบนมี ีชอื เรียกอกี อย่างวา่ กลา้ มเนือนอกอํานาจจิตใจ (Involuntary Muscle) เพราะเราไม่สามารถ ควบคมุ กล้ามเนือชนดิ นไี ด้ สมองและร่างกายขจะสังให้กล้ามเนอื เรยี บทาํ งานดว้ ยตวั ของมนั เอง เชน่ ในกระเพาะ (Stomach) และระบบการยอ่ ยอาหาร (Digestive System) กล้าม เนอื เหล่านจี ะหดตวั แน่นขนึ และขยายตวั ออก เพือให้อาหารเดินทางไปตามระบบย่อยอาหาร ส่วนอืนๆของร่างกายได้ 2.กล้ามเนือหวั ใจ (Cardiac Muscle) กลา้ มเนือทีประกอบขนึ เปนหัวใจมชี อื เรียกวา่ กลา้ มเนือหวั ใจ กล้ามเนอื ชนิดนีเปนกล้ามเนอื นอกอาํ นาจจติ ใจเหมอื นกับกล้าม เนอื เรียบ ทําให้เกิดการเตน้ ของหัวใจ (Heart Beat) อยู่ ตลอดเวลา กลา้ มเนือหัวใจจะบบี ตวั (Contract) เพือดันเลือดส่งออกไปยงั ส่วนต่างๆของ ร่างกาย และคลายตัว (Relax) เพือให้เลอื ดไหลกลบั เข้ามาสู่หวั ใจหลงั จากทไี หลวนไปสู่ส่วน อนื ๆของร่างกายแล้ว 3.กล้ามเนอื ลาย (Skeletal Muscle) กล้ามเนือลายเปนกลา้ มเนอื ภายใตอ้ ํานาจจิตใจ (Voluntary Muscle) ชนดิ เดยี วในรา่ งกาย กล้ามเนอื ลายเปนกลา้ มเนอื ทีสามารถควบคมุ การเคลอื นไหวของกลา้ มเนือชนดิ นีได้ กล้าม เนือลายจะห่อหมุ้ โครงกระดูกของเราไว้ และทังสองอย่างจะทํางานร่วมกัน ทําใหร้ า่ งกาย สามารถทาํ งาน กล้ามเนอื ลายมีรปู ร่างและขนาดทีหลากหลาย จึงทํางานไดห้ ลากหลายรูป แบบ กลา้ มเนือเรยี บ กล้ามเนอื หวั ใจ กล้ามเนอื ลาย ระบบกล้ามเนือ

การทํางานของกล้ามเนอื เมอื สมองสังใหร้ า่ งกายเคลือนไหว กล้ามเนือจะเกิดการหดตัวและคลายตวั ทํางาน ประสานเปนคู่ ๆ พร้อมกนั แตต่ รงข้ามกัน ในขณะทีกลา้ มเนือมดั หนึงหดตัว กลา้ มเนอื อีกมดั หนงึ จะคลายตวั การทาํ งานของกล้ามเนอื ในลักษณะนี เรียกวา่ Antagonistic muscle เมอื สมองสังใหร้ ่างกายเคลือนไหว กล้ามเนือจะเกดิ การหดตัวและคลายตวั ทํางานประสาน เปนคู่ ๆ พรอ้ มกัน แตต่ รงข้ามกนั ในขณะทีกล้ามเนอื มัดหนงึ หดตวั กล้ามเนืออกี มัดหนึงจะ คลายตวั การทํางานของกล้ามเนือในลกั ษณะนี เรยี กว่า Antagonistic muscle เมอื กลา้ มเนือไบเซพหรือ Flexors คลายตัว กลา้ มเนือไตรเสพหรือ Extensors จะหดตัว ทาํ ใหแ้ ขนเหยยี ดออก ส่วนเมือกล้ามเนือไบเซพหรือ Flexors หดตวั กลา้ มเนอื ไตรเสพหรอื Extensors จะคลายตัว ทําใหแ้ ขนงอเข้า กลไกการหดตัวของกลา้ มเนือลาย เส้นเยือไมโอไฟบริล ซงึ มบี ทบาทสําคัญในการหดตัวของกลา้ มเนือลาย ประกอบดว้ ยเส้นที ประกอบดว้ ยโปรตีน (Protein filament) 2 ชนดิ คือ 1.เส้นหนาประกอบด้วยโปรตนี หรอื ทเี รยี กว่าเส้นใยไมโอซนิ (Myosin filament) 2.เส้นบางประกอบด้วยโปรตีนหรอื ทเี รยี บวา่ เส้นใยแอค็ ทนิ (Actin filament) ระบบกล้ามเนือ

เส้นใยทงั 2 เส้น ซึงมีจาํ นวนมากมายนี จะรวมตัวกนั เปนหน่วยเรยี กวา่ ซาร์โคเมีย (Sarcomere) และเส้นใยทงั 2 เส้น ซงึ มีจาํ นวนมากมายในแต่ละซาร์โคเมยี จะทาํ ให้กลา้ ม เนือลายมีลกั ษณะเปนลายมดื และลายสว่างสลบั กนั ไป เส้นใยไมโอซินตังอยใู่ นเขตทมี ดื ซึงเรยี กวา่ เอแบนด์ หรอื อนิโวทรอปปคแบนด์ (A-Band or Anisotropic Bands) อยา่ งไรกด็ ี เส้นใยแอคทินจะยืนเขา้ ไปในเขตเอแบนดด์ ้วยและ เมือเส้นใยกล้ามเนือลายหดตัว เส้นใยแอค็ ทินจะเคลอื นตวั ไปซ้อนทบั เส้นใยไมโอซนิ ในเขต เอแบนดม์ ากขนึ เส้นใยแอค็ ทนิ จะอยูต่ ดิ กบั เส้นซีไลน์ (Z-line) ซงึ อยูท่ ปี ลายซาร์โคเมยี แตล่ ะข้าง เนอื งจากเส้นซีไลน์ตังอยู่ตลอดความยาวของเส้นใยกลา้ มเนือลาย ฉะนัน ชว่ งซาร์โคเมยี มเี ขตเอแบนดแ์ ละเขตไอแบนด์ (I-Band ) บรรจอุ ยู่ จึงเปนเหตุทที าํ ให้ เส้นใยกลา้ มเนอื ลายมลี ักษณะปรากฏเปนลาย ถา้ เส้นใยกล้ามเนือลายถูกดงึ ออกจากกนั แรงมากผดิ ปกติ ปลายของเส้นใยแอค็ ทินภายใน เขตเอแบนดจ์ ะถกู ดึงออกจากกัน ซงึ จะทาํ ใหเ้ ขตเอชโซน (H -zone) ปรากฏอยูต่ รงกลาง ของเขตเอแบนด์ กล้ามเนอื ลายจะหดตวั เมือเส้นใยไมโอซนิ และแอ็คทินเลอื นเข้าหากนั ในขณะทีกลา้ มเนือลาย หดตวั เนืองจากเส้นใยแอค็ ทนิ ยดึ แนน่ อยูก่ ับเส้นซีไลน์ ดังนนั เมือเส้นซไี ลน์ถูกดงึ เข้าหากนั ก็จะทําใหช้ ่วงไอแบนด์และชว่ งซารโ์ คเมียหดตวั สันลงตามไปดว้ ย ทฤษฎกี ารหดตวั ของกลา้ มเนอื ลายนเี รียกว่า ทฤษฎเี ส้นใยเลือนเข้าหากนั (Sliding over the filaments theory) ระบบกล้ามเนือ

กลา้ มเนือในส่วนตา่ งๆของร่างกาย กลัามเนอื ใบหน้า (facial muscles) กลา้ มเนือใบหนา้ เปนกลา้ มเนอื ทีอย่ตู นื คือ อยใู่ ตผ้ วิ หนงั (Subcutaneous tissue) ด้าน หนึงเกาะกับกระดูกหนา้ อกี ด้านหนงึ ตดิ กับผวิ หนังของใบหนา้ ทาํ หน้าทแี สดงความรสู้ ึกบน ใบหน้าในลกั ษณะต่าง ๆ เชน่ ดีใจ เสียใจ โกรธ และแสดงอาการทางสีหนา้ เชน่ ยิม หัวเราะร้องไห้ เปนกล้ามเนอื ทเี น้นบคุ ลิกภาพของแตล่ ะคนได้เปนอยา่ งดี กลา้ มเนือทีใช้ แสดงความรสู้ ึกของใบหนา้ (Muscle of facial expression) ทีสําคญั ได้แก่ Frontalis อย่ทู หี นา้ ผาก ทาํ หนา้ ที ยกควิ ขึนลง ทาํ หนา้ ผากย่น Nasalis อยู่ทีจมูก ทาํ หน้าที หบุ ปกจมกู เวลาดมกลิน Corrugator อยู่บริเวณคิว – เหนอื คิว ทําหนา้ ที ขมวดควิ คร่นุ คิด Orbiculalisocculi อย่รู อบดวงตา ทาํ หนา้ ที ปดตา หรอื หลับตา Zygomaticus major เกาะอยบู่ ริเวณโหนกแก้ม – ปากบน ทาํ หนา้ ทยี กปาก Orbicularis oris อยูบ่ รเิ วณรอบปาก ทําหน้าที หุบปาก ทาํ รมิ ฝปากยืน ทําปากจู๋ Risorius อยู่ถดั ออกมาทางดา้ นขา้ งของปาก ทาํ หน้าทเี วลาแสยะยมิ ระบบกล้ามเนือ

กลา้ มเนือเกียวกบั การเคียว (Muscle of mastication) มี 4 มดั คือTempolaris muscle อยู่ทขี มับดา้ นขา้ งของกระโหลกศรษี ะ แผเ่ ปนรัศมีเตม็ ขมับทาํ หนา้ ทอี ้า หุบและยนื ปาก เวลา เคียวอาหารMasseter muscle อยูด่ า้ นนอกมุมขากรรไกรล่างของใบหนา้ รูปร่างสีเหลยี มผนื ผา้ ทาํ หน้าทยี กกระดกู ขากรรไกรลา่ งขนึ เวลาเคยี วอาหารPterigiod muscle เปนกล้าม เนือทอี ยลู่ ึกยนื จากส่วนมาตรฐานของกระโหลกศรษี ะไปยังบริเวณขากรรไกรลา่ ง มี 2 คู่ คือ External และ Internal pterigoid muscle ชว่ ยในการอ้าปาก หุบปาก เคลือนกราม ไปทางดา้ นข้าง กลา้ มเนือคอ (Muscle of the neck) กลา้ มเนือคอ (Muscle of the neck) ทีสําคัญในการเคลือนไหวของคอ มีอยู่ 3 มัด คือ 1.Sternomastoidหรอื Sternocleidomastoideusเปนกลา้ มเนอื ทใี หญท่ สี ุดของคอเกาะ พาดจากกระดกู หน้าอกกบั กระดูกไหปลารา้ ไปยังดา้ นนอกของกระดกู Mastoid และกระดูก ทา้ ยทอย ทําหน้าทเี อยี งคอ หันและหมุนคอ 2.Splenius capitisเปนกล้ามเนือทอี ยดู่ า้ นขา้ งของคอ มจี ุดเกาะเรมิ จากกระดูกสันหลงั ส่วน ลําตวั (thoracic spine) อนั ที 3 และ 4 ไปยงั จุดเกาะปลายทีกระดูกทา้ ยทอย ทําหนา้ ทียดื คอ เอียงคอและเงยหน้า 3.Semispinaliscapitisเปนกลา้ มเนือทอี ยู่ดา้ นหน้าของคอ จุดเกาะตน้ เรมิ จากกระดูกสัน หลังส่วนคอ (cervical spine) อันที 4 และ 5 ไปยงั จุดเกาะปลายทีกระดกู ท้ายทอย ทํา หน้าทยี ดื คอ เอยี งคอและเงยหนา้ ระบบกล้ามเนือ

กลา้ มเนอื ส่วนลาํ ตวั (Muscle of the trunk) 1.กล้ามเนอื ส่วนลาํ ตวั ด้านหน้ากล้ามเนอื ส่วนลําตวั ดา้ นหนา้ ทีเห็นเด่นชดั และมัดใหญ่ 1.1 Pectoralis minor เปนกล้ามเนือรปู สามเหลยี มแบนเลก็ อยู่ภายใต้กล้ามเนือPectoralis major เกาะจากผวิ นอกของกระดูกซโี ครงซีที 3 – 5 ไปยงั Coracoid process ของกระดูก สะบัก ทาํ หนา้ ทดี ึงหวั ไหลไ่ ปทางด้านหน้าและลงลา่ ง และช่วยรบั นาํ หนกั ตัวขณะทียืนเอามือยัน 1.2 Pectoralis major เปนกลา้ มเนือทรวงอกมัดใหญร่ ปู รา่ งคล้ายพัดคลุมอยบู่ นอกและทับอยู่ บนกล้ามเนอื Pectoralis minor และเปนกลา้ มเนือทเี กาะจากแนวกลางของกระดกู หนา้ อกไป ยงั กระดกู ต้นแขน เปนกล้ามเนือทีเน้นลกั ษณะเพศชายไดช้ ัดเจนคอื มลี กั ษณะอกผายไหลผ่ ึง ทาํ หนา้ ทีหุบ งอ หมนุ ตน้ แขนเข้าด้านใน ช่วยในการผลัก ขว้าง ปนปาย การหายใจเข้ารงั แขนใหม้ า ทางด้านหนา้ ทาํ ให้ไหล่คงรปู อยู่กบั ที ระบบกล้ามเนือ

1.3 Rectus abdominisเปนกล้ามเนือหน้าทอ้ งมลี กั ษณะเปนแถบยาวเปนปล้อง ๆ เมือ ออกแรงเกรง็ มีจดุ เกาะต้นจากกระดูกหัวเหนา่ (Pubic bone) ทอดขึนบนและค่อย ๆกวา้ ง ขึนไปเกาะทปี ลายผวิ หน้าของกระดูก Xiphoid และกระดกู ซโี ครงที 5, 6,7 ทาํ หน้าทเี กร็ง ช่องทอ้ งเวลายกของหนัก ชว่ ยในการขับถ่ายและคลอดบุตร 1.4 Oblique externusหรอื External oblique เปนกล้ามเนือลําตวั ด้านขา้ งตงั ต้นจาก กระดูกที 4 -12 ทอดเฉียงจากบนมาลา่ ง ยึดเกาะที Iliac crest ของกระดกู เชงิ กรานทาํ หนา้ ทีเหมือนกบั กลา้ มเนอื Rectus abdominis 1.5 Serratus anterior เปนกล้ามเนือด้านในของรกั แร้ อยทู่ างดา้ นข้างของอกมรี ูปรา่ งเปน แฉก ๆ ยึดตดิ กบั กระดูกซโี ครงทางด้านหน้าไปยงั กระดูกสะบกั ทําหนา้ ทียดึ ดึงกระดูกสะบกั ใหอ้ ย่กู บั ทแี ละช่วยการทาํ งานของกลา้ มเนือ Deltoid เวลายกแขน 2.กลา้ มเนือส่วนลาํ ตัวดา้ นหลงั ในส่วนลําตวั ด้านหลัง ระบบกล้ามเนือ

2.1 Trapezius เปนกลา้ มเนือรปู สามเหลียมคลุมบรเิ วณคอด้านหลงั ลงมาถึงหลงั โดยยึด เกาะจากแนวกลางของแผ่นหลังส่วนบนไปเกาะทกี ระดกู ไหปลาร้าทงั ซ้ายและขวา ทําหนา้ ที รงั กระดูกสะบักมาข้างหลงั กลา้ มเนือส่วนบนเมือหดตวั ไหลจ่ ะยกขึน ส่วนกลางหดตัวจะ ดงึ สะบัก 2 ขา้ งเขา้ มาหากัน ส่วนล่างหดตัวจะทําให้ไหลถ่ กู ดึงลง 2.2 Latissimusdorsiเปนกลา้ มเนอื รูปสามเหลียมแบนกวา้ ง คลมุ อยตู่ อนลา่ งของแผ่นหลัง และบันเอวทอดผ่านไปมมุ ล่างของกระดูกสะบกั ทาํ หนา้ ทดี ึงแขนเขา้ ชิดลําตัวดึง แขน ลงมา ขา้ งลา่ ง ด้านหลังและหมุนแขนเขา้ ดา้ นใน กลา้ มเนอื นใี ชม้ ากในการปนปาย ว่ายนํา และ กรรเชียงเรือ จะหดตัวทันทใี นขณะทจี าม กล้ามเนอื ส่วนหัวไหลแ่ ละแขน (Muscle of the upper limb) 1.กล้ามเนอื ส่วนหวั ไหล่ 1.1 Deltoid เปนกลา้ มเนอื คลายขนนกหลาย ๆ อันมารวมกนั เปนมดั ใหญห่ นารปู สามเหลียม จุดเกาะอย่ทู ไี หปลารา้ และกระดกู สะบกั แล้วไปเกาะทีตอนกลางของกระดูกตน้ แขน ทาํ หนา้ ทยี กไหลแ่ ละยกตน้ แขน เปนส่วนทีบ่งบอกลักษณะเพศชายไดอ้ ยา่ งชัดเจน 1.2 Supraspinatus เรมิ เกาะจากกระดกู สะบักไปยังกระดูกตน้ แขน ทําหนา้ ทีชว่ ยกลา้ มเนือ Deltoid ในการยก หรือกางแขน ระบบกล้ามเนือ

1.3 Infraspinatusเรมิ เกาะจากกระดูกสะบกั ไปยังกระดกู ต้นแขน ทาํ หนา้ ทีหมุนต้นแขน ออกดา้ นนอก และดึงแขนไปดา้ นหลงั 1.4 Teres minor และ Teres major เกาะทีกระดกู สะบกั แล้วมาเกาะทีกระดกู ตน้ แขน โดย Teres minor ทําหนา้ ทหี มุนแขนออกดา้ นนอก Teres major ทาํ หนา้ ทีหมนุ แขนเข้า ด้านใน 1.5 Subscapularisมจี ดุ เกาะทกี ระดูกสะบักและกระดกู ต้นแขน ทาํ หนา้ ทีหมุนต้นแขนเขา้ ด้านใน 2.กลา้ มเนอื แขนส่วนต้น 2.1 Biceps brachiiเปนกล้ามเนอื ด้านหนา้ ของตน้ แขน มที เี กาะส่วนบนแยก 2 ทาง คือ เกาะจาก Coracoid process และ Supraglenoid tubercle ไปยัง Tuberosity ของ กระดูกปลายแขนท่อนนอก (Radius) ทาํ หนา้ ทงี อต้นแขนและปลายแขน หมุนแขนเขา้ และดงึ ออก 2.2 Brachialis เปนกล้ามเนอื ตน้ แขนทีอย่ตู รงกลางค่อนมาด้านลา่ ง เกาะจากกระดูกต้น แขนไปยัง Tuberosity ของกระดกู ปลายแขนท่อนใน (Ulna) ทําหน้าทงี อขอ้ ศอก 2.3 Coracobrachialisเกาะจาก Coracoid process ของกระดูกสะบกั ไปยงั กงึ กลาง ของกระดกู ต้นแขน ทําหน้าทีงอตน้ แขน 2.4 Triceps brachiiเปนกลา้ มเนอื ด้านหลังของตน้ แขน ปลายบนแยก 3 ทางเกาะที กระดกู สะบักหนึงที และอีก 2 ทางเกาะทีกระดกู ตน้ แขน และมจี ุดเกาะปลายทกี ระดกู ปลายแขนท่อนใน (Ulna) กล้ามเนือมัดนจี ะทาํ หนา้ ทตี รงกนั ขา้ มกบั กลา้ มเนอื Biceps brachiiคือ ทาํ หนา้ ทีเหยียดปลายแขน 3.กล้ามเนือส่วนปลายแขน 3.1 Brachioradialisเปนกล้ามเนือด้านนอกของปลายแขน มจี ดุ เกาะตน้ ทตี อนลา่ งของ กระดกู แขน ไปเกาะทดี ้านนอกของกระดกู ปลายแขนท่อนนอก (Radius) ทําหนา้ ทงี อ ปลายแขน 3.2 Flexor carpi radialisเปนกลา้ มเนือทีอยู่ด้านหนา้ ของปลายแขน มีจุดเกาะทกี ระดูก ตน้ แขนแลว้ มาเกาะทกี ระดูกฝามือชินที 2 และ 3 ทาํ หน้าทีงอขอ้ มือและกางมือ 3.3 Palmaris longusเปนกลา้ มเนอื ทอี ยทู่ างด้านหนา้ ของแขน จุดเกาะตน้ เริมจาก กระดูกตน้ แขนไปยังกระดูกปลายแขน แลว้ กลายเปนเอ็น (Tendon) ไปเกาะทีฝามือทาํ หน้าทีงอข้อมือ ระบบกล้ามเนือ

3.4 Flexor carpi ulnarisเปนกลา้ มเนือทอี ยูท่ างด้านหลังของกระดกู ปลายแขนทอ่ นใน (Ulna) ผา่ นมาทขี ้อมอื ทําหนา้ ทีงอข้อมือ 3.5 Extensor carpi radialislongusเปนกล้ามเนอื ทมี ีจุดเกาะตน้ จากกระดูกตน้ แขน แล้วไปเกาะทีกระดูกฝามือทางดา้ นหลัง ทําหนา้ ทีกางและเหยียดขอ้ มอื 3.6 Extensor digitorumเปนกล้ามเนือทมี ีจดุ เกาะตน้ จากกระดกู ตน้ แขน และมปี ลายเปน เอ็น 4 อัน ไปเกาะยงั กระดูกนิวมอื ทัง 4 นวิ ทาํ หน้าทีเหยยี ดนวิ มอื และขอ้ มือ 4.กลา้ มเนอื ส่วนมอื และนิว กลา้ มเนือส่วนมือและนวิ มือ เปนกล้ามเนือขนาดเล็กและสัน ส่วนมากจะเปนเอ็นของกล้าม เนอื ซึงตดิ ตอ่ มาจากแขนท่อนล่าง ทาํ หน้าทชี ว่ ยในการงอและเหยียดมือและขอ้ มอื รวมทงั ชว่ ยให้นวิ หัวแมม่ ือสามารถเคลือนไปแตะนวิ อนื ๆ ไดจ้ ึงเรียกว่า Opposition กลา้ มเนอื ใน กลุม่ นที ีสําคัญ ไดแ้ ก่ 4.1 Thenar eminence เปนกล้ามเนือหัวแม่มือเกาะทีฝามือ โดยเฉพาะทไี ด้ฐานหวั แม่มอื จะเหน็ เปนเนินชดั เจน ทําหน้าทงี อนิวหวั แม่มอื 4.2 Hypothenar eminence เปนกล้ามเนอื ทีอย่ใู ต้นวิ กอ้ ย มรี อยนนู เดน่ ชัด ทําหนา้ ทงี อนวิ ก้อย 4.3 Dorsal interosseusเปนกล้ามเนือทกี ระดกู ฝามือชนิ ที 1 และ 2 ผา่ นมาเกาะทีนวิ ชี ทํา หนา้ ทีกางนวิ ชแี ละหมนุ หัวแม่มอื 4.4 Abductor pollicisเกาะอยู่ทีฐานของนวิ หวั แมม่ อื ทําหนา้ ทงี อนวิ หวั แมม่ ือ กล้ามเนอื สว่ นสะโพกและขา ระบบกล้ามเนือ

1.กล้ามเนอื ส่วนสะโพกและกน้ กบ 1.1 Gluteus maximusเปนกลา้ มเนือมดั ใหญ่ และหนา้ ทสี ุดของส่วนสะโพก มจี ดุ เกาะที Ilium และ Sacrum ของกระดูกเชงิ กราน แลว้ ไปเกาะยงั กระดูกตน้ ขา ทําหน้าทีเหยยี ดขา กางตน้ ขา หมุนต้นขา ไปทางดา้ นข้าง 1.2 Tensor fasciae lataeเปนกล้ามเนอื ทางด้านขา้ งของสะโพก เกาะอยู่ทีส่วนหน้าของ กระดกู เชิงกรานทาํ หน้าทีกางและหมุนขาเข้าดา้ นใน 2.กลา้ มเนอื ส่วนโคนขา กล้ามเนือส่วนนแี บ่งออกเปน 3 กลมุ่ ตามตาํ แหนง่ หนา้ ที และประสาททมี าเลยี ง ดา้ นหลังของ ต้นขาเรียกวา่ Flexor surface เปนทอี ยขู่ องกลา้ มเนือกลุ่มเอ็นหลังตน้ ขาดา้ ลา่ ง(Hamstring group) อกี กลุ่มหนงึ คือ กล้ามเนอื กล่มุ ดึงขอ้ (Adductor group) และยังมกี ลา้ มเนือกลุ่มด้าน หนา้ ของต้นขา (Anterior group) กลา้ มเนอื ส่วนโคนขามัดทสี ําคญั มดี งั นี 2.1 Biceps femorisเปนกลา้ มเนอื ในกลา้ มเนอื กลุ่มเอ็นหลงั ต้นขาดา้ นลา่ ง จดุ เกาะเริมจาก กระดกู Ischium และกระดูกตน้ ขาไปยงั ส่วนหวั ของกระดูกปลายขาท่อนเลก็ (Fibula)ทําหนา้ ที เหยียดต้นขาและงอเข่า 2.2 Rectus femorisเปนกลา้ มเนอื ในกลุ่มด้านหนา้ ของต้นขา (Anterior group)เปนกลา้ มเนือ มดั ใหญอ่ ยู่ทางดา้ นหน้าของตน้ ขา จุดเกาะเรมิ จากกระดูก lliumไปยังกระดกู ปลายขาทอ่ นใหญ่ (Tibia) ทาํ หน้าทีงอต้นขาและเหยยี ดปลายขา 2.3 Satoriusเปนกลา้ มเนอื ในกลุ่มดา้ นหนา้ ของต้นขา มลี ักษณะยาวแบนพาดเฉยี งบนโคนขา จุดเกาะเริมจาก Iliac spine ไปยงั ส่วนบนของกระดกู ปลายขาทอ่ นใหญ่ (Tibia)ทําหนา้ ทงี อตน้ ขา และปลายขา 3.กลา้ มเนอื ส่วนปลายขา กล้ามเนอื ส่วนปลายขาแบง่ ออกเปน 3 กลุ่ม คือ กล่มุ ด้านหนา้ ของปลายขา(Anterior compartment) กล่มุ ดา้ นข้างของปลายขา (Lateral compartment) และกลุ่มดา้ นหลงั ของ ปลายขา (Posterior compartment) กล้ามเนอื ส่วนปลายขาทีสําคัญ ไดแ้ ก่ 3.1 Tibialisanticusเปนกลา้ มเนือในกลุม่ ด้านหน้าของปลายขา เกาะจากดา้ นขา้ งของกระดกู ปลายขาท่อนใหญ่ (Tibia) และจากผงั ผดื ซงึ ยึดระหวา่ งกระดกู ปลายขาท่อนใหญ่และทอ่ นเล็ก และเกาะทีกระดูกฝาเท้าทาํ หน้าทกี ระดกข้อเท้า และบิดข้อเทา้ เข้าดา้ นใน 3.2 Gastrocnemius เปนกล้ามเนือในกลมุ่ ดา้ นหลงั ของปลายขา เปนกล้ามเนือน่องเกาะจาก ส่วนปลายของกระดกู ตน้ ขาทงั สองดา้ น ส่วนปลายกลายเปนเอ็นเกาะทกี ระดูกส้นเทา้ (Achillis tendon) ทาํ หนา้ ทีงอหลงั เทา้ เหยยี ดนิวเท้า ถีบฝาเทา้ ลงและช่วยงอเขา่ ดว้ ย 3.3 Soleus เปนกล้ามเนอื ใหญ่ รปู ร่างคลา้ ยปลาอยใู่ น Gastrocnemius ทําหนา้ ทีงอฝาเทา้ ระบบกล้ามเนือ

4.กลา้ มเนอื ส่วนเทา้ เปนกล้ามเนอื ทเี กาะคลา้ ยบริเวณมขี อ้ มือแตกต่างกันตรงทเี ปนกลา้ มเนือทีควบคมุ ส้นเทา้ ระหวา่ งการเดนิ กล้ามเนือส่วนเท้าทีสําคญั มดี งั นี 4.1 Flexor hallucislongusเกาะจากด้านหลังของกระดูกช่วงล่าง ส่วนปลายเปนเอ็นเกาะ ทกี ระดูกหัวแมเ่ ท้า ท่อนปลายทําหน้าทงี อปลายนิวหวั แมเ่ ทา้ ทาํ หน้าทกี ระดกข้อเท้าลง และ บิดเทา้ เขา้ ดา้ นใน 4.2 Extensor digitorumbrevisเปนกลา้ มเนอื ด้านหลงั เทา้ ตรงปลายเปนเอ็นไปเกาะทีนวิ เทา้ ทงั 4 ยกเวน้ นิวหัวแมเ่ ทา้ ทําหนา้ ทีเหยียดข้อของนวิ เท้าทงั 4 4.3 Adductor hallucisเปนกล้ามเนอื ทีอยลู่ ึกสุด ทําหน้าทีเหยยี ดหัวแม่เท้า 4.4 Flexor digitorumbrevisเปนกล้ามเนอื บริเวณอุ้งเทา้ ทําหน้าทชี ว่ ยในการเคลอื นไหว เปนกล้ามเนือทคี วบคมุ การเคลือนไหวของเท้าเวลาเดนิ ระบบกล้ามเนือ

บรรณานกุ รม ระบบกล้ามเนือ.(2559).ออนไลน์ เขา้ ถงึ ได้ จาก:https://anatomyfivelife.wordpress.com/.(วันทสี ืบค้นข้อมูล 22 สิงหาคม 2564) สามารถทําความเข้าใจเพิมเติมได้จาก (QR code) ระบบกล้ามเนือ

บทท6ี ระบบกระดกู Skeletal System เปนโครงสรา้ งของร่างกาย ชว่ ยปองกันอวัยวะบอบบางตา่ งๆ ทีอยู่ภายในทเี กาะเกยี ว อยู่ ภายในกระดูกแต่ละส่วนของร่างกาย องคป์ ระกอบสําคัญอีกอย่างหนึงภายในกระดูก คอื ไขกระดูก ขณะเดียวกันกระดูกยังเปนแหลง่ เก็บสะสมเกลอื แร่ชนดิ ต่างๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ แคลเซียมและฟอสฟอรสั บรเิ วณรอบกระดูกจะมีเนือเยอื หนาหอ่ หมุ้ อยู่เรียกวา่ เยือหมุ้ กระดูก (Periosteum) ซงึ เยอื ห้มุ กระดูกนี ประกอบดว้ ยเซลลก์ ระดกู และหลอดเลือด ซงึ จะนําเลอื ด มาเลียงในส่วนของกระดกู ชันนอก กระดูกชนั นอกหรือเรยี กวา่ กระดูกทึบ (Compact bone) ประกอบด้วยเกลือแรส่ ะสมอยูเ่ ปนวงกลมล้อมรอบทอ่ ขนาดเลก็ ๆ ซงึ เรยี กว่า ท่อฮาเวอรเ์ ชียน (Haversian canal) เซลล์กระดูกรอบๆทอ่ ฮาเวอร์เชียน จะได้รับอาหารและออกซิเจนจาก หลอดเลอื ดทีผ่านท่อฮาเวอรเ์ ชียนทีผ่านทอ่ เหล่านี และถ้าหากว่า กระดูกเกิดแตกหัก เส้น ประสาทในท่อเลก็ ๆ นีกจ็ ะส่งกระแสประสาทไปยงั สมองเราจึงรู้สึกถงึ ความเจบ็ ปวด ส่วน กระดูกชันในนนั มองดคู ลา้ ยรวงผงึ เพราะมลี กั ษณะเปนร่างแหทีมชี ่องว่างระหวา่ งกระดูก เรียกว่า กระดูกพรุน (Spongy bone) แตก่ ็มีความแข็งแรงไม่แพ้ส่วนกระดูกทบึ เชน่ กัน ซงึ ถ้ากระดกู ของคนเราเปนกระดกู ทึบทกุ ท่อนร่างกายคงหนกั มาก ไขกระดูกจะมีปริมาณราวๆ 227 กรัม สามารถผลิตเซลล์เมด็ เลอื ดแดงไดป้ ระมาณ 5,000 เม็ด/วัน สําหรบั ทารกใน ครรภ์โครงกระดกู ทกุ ชนิ จะมีไขกระดกู แดงบรรจอุ ยู่ แต่เมือเจริญเติบโตถงึ วยั ผู้ใหญแ่ ล้วจะ พบไขกระดูกนเี ฉพาะในส่วนของกะโหลกศรีษะ กระดูกหน้าอก กระดกู สันหลงั กระดูก สะโพกและบรเิ วณตอนปลายของกระดกู ชนิ ยาวๆ เทา่ นัน ระบบกระดกู

ระบบโครงกระดกู ประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบทสี ําคัญ ดังนี กระดกู ออ่ น (Cartilage) ทําหนา้ ทีรองรับส่วนทีอ่อนน่มุ ของรา่ งกาย เพือทีจะทาํ ให้การ เคลือนไหวไดส้ ะดวก ปองกันการเสียดสี เนืองจากผวิ ของกระดูกอ่อนเรยี บ จึงพบวา่ กระดูก ออ่ นจะอยู่ทีปลายหรือ หวั กระดูกทปี ระกอบเปนข้อต่อตา่ ง ๆ และยังเปนต้นกาํ เนดิ ของกระดูกแขง็ ทัวรา่ งกาย ขอ้ ตอ่ (Joints) คือส่วนตอ่ ระหว่างกระดูกตงั แตส่ องชนิ ขึนไปมาต่อกัน เพือการเคลือนไหว ของรา่ งกาย เอ็น (Tendon) มที ังทีเปนเอน็ กล้ามเนอื และเอ็นยึดข้อ (Ligament) เปนเนอื เยอื ทีมีความ แข็งแรงมาก มลี ักษณะเปนเส้นใยเหนยี ว ชว่ ยยดึ กระดูกกับกลา้ มเนอื ส่วนตา่ ง ๆ ไว้ดว้ ยกัน กระดูก (Bone) เปนส่วนทีแขง็ ทสี ุด โครงกระดูกในผู้ใหญ่ ประกอบดว้ ยกระดูกจํานวน 206 ชนิ ส่วนในทารกแรกเกิดจะมีกระดูกถงึ 300 ชนิ เพราะกระดูกออ่ นยังไม่ติดกัน มนษุ ย์มกี ระดูกทังหมด 206 ชิน แบง่ ออกเปน 2 ประเภท 1.กระดกู แกนกลางของร่างกาย (Axial skeletal) มที ังหมด 80 ชินไดแ้ ก่ 1.1. กระดกู กะโหลกศรษะ (Cranium) ระบบกระดกู

กระดกู หน้าผาก (Frontal bone) 1ชิน กระดูกดา้ นขา้ งศรีษะ (Parietal bone) 2ชิน กระดูกขมับ (Temporal bone) 2 ชิน กระดูกทา้ ยทอย (Occipital bone) 1 ชนิ กระดูกขอื จมกู (Ethmoid bone) 1ชิน กระดูกรูปผีเสือ (Sphenoid bone) 1 ชนิ 1.2. กระดูกใบหนา้ (Bone of face) กระดูกสันจมูก (Nasal bone)2ชิน กระดูกกนั ช่องจมกู (Vomer) 1ชิน กระดูกข้างในจมกู (Inferior concha) 2 ชิน กระดกู ถุงนาํ ตา (Lacrimal bone) 2ชนิ กระดกู โหนกแกม้ (Zygomatic bone) 2ชนิ กระดูกเพดาน (Palatine bone) 2 ชนิ กระดกู ขากรรไกรบน (Maxillary) 2ชิน กระดูกขากรรไกรล่าง (Mandible) 1 ชนิ ระบบกระดกู

1.3. กระดูกหู (Bone of ear) กระดูกรูปฆอ้ น (Malleus) 2ชิน กระดูกรูปทงั (Incus) 2 ชิน กระดูกรูปโกลน (Stapes) 2 ชนิ 1.4. กระดกู โคนลิน (Hyoid bone) 1 ชนิ 1.5. กระดกู สันหลงั (Vertebrae) 26 ชิน ระบบกระดกู

กระดกู สันหลังส่วนคอ (Cervical vertebrae) 7 ชนิ กระดกู สนั หลังส่วนอก (Thoracic vertebrae) 12ชนิ กระดูกสันหลงั ส่วนเอว (Lumbar vertebrae) 5ชนิ กระดกู กระเบนเหนบ็ (Sacrum) 1ชนิ กระดูกกน้ กบ (Coccyx) 1 ชิน 1.6. กระดกู ทรวงอก (Sternum) 1 ชนิ 1.7. กระดกู ซโี ครง (Rib) 24 ชนิ ระบบกระดกู

2.กระดูกระยางค์ (Appendicular skeletal) ประกอบดว้ ย กระดกู 126 ชนิ 2.1 กระดกู ไหล่ (Shoulder girdle) กระดกู ไหปลาร้า (Clavicle) 2ชิน กระดกู สะบัก (Scapular) 2 ชนิ 2.2 กระดกู ต้นแขน (Humerus) 2 ชิน 2.3 กระดกู ปลายแขน (Bone of forearm) กระดูกปลายแขนทอ่ นใน (Ulna) 2 ชิน กระดกู ปลายแขนท่อนนอก (Radius) 2 ชิน ระบบกระดกู

2.4. กระดูกข้อมอื (Carpal bone) 16 ชิน 2.5. กระดกู ฝามอื (Metacarpal bone) 10 ชิน 2.6. กระดกู นิวมอื (Phalanges) 28 ชนิ 2.7. กระดกู เชงิ กราน (Hip bone) 2 ชิน 2.8. กระดูกต้นขา (Femur) 2 ชิน 2.9. กระดกู หน้าแข้ง (Tibia) 2 ชนิ 2.10. กระดูกนอ่ ง (Fibula) 2 ชนิ 2.11. กระดกู ขอ้ เทา้ (Tarsal bone) 14 ชนิ 2.12. กระดกู ฝาเทา้ (Metatarsal bone) 10 ชนิ 2.13. กระดกู นวิ เท้า (Phalanges) 28 ชิน จํานวนของกระดกู (Number of bone) จํานวนของกระดกู ทงั หมดในร่างกาย หมายถงึ กระดูกในผู้ใหญ่ทีเจรญ เตม็ ทแี ล้ว มที งั สิน 206 ชิน โดยแบง่ เปนสว่ นต่างๆ ดงั นี – กะโหลกศรษะ( Cranium) 8 ชิน – กระดูกหนา้ (Face) 14 ชนิ – กระดกู หู (Ear) 6 ชิน :กระดกู โคนลิน (Hyoid bone) 1 ชิน – กระดูกสนั หลงั 26 ชิน – กระดูกหน้าอก (Sternum) 1 ชิน – กระดกู ซีโครง (Ribs) 24 ชนิ – กระดกู แขน (Upper extremities) 64 ชนิ – กระดกู ขา (Lower extremities) 62 ชิน ระบบกระดกู

แบ่งตามลกั ษณะกระดกู 1.กระดูกยาว ได้แก่ กระดูกแขน กระดกู ขา 2.กระดูกสัน ไดแ้ ก่ กระดูกขอ้ มอื กระดูกขอ้ เทา้ 3.กระดกู แบน ไดแ้ ก่ กระดกู ซีโครง กระดูกอก กระดูกสะบัก 4.กระดกู ยาว รูปร่างไมแ่ นน่ อน ได้แก่ กะโหลกศีรษะ กระดกู สนั หลงั กระดูก เชิงกราน 5. กระดูกลม 6. กระดูกโพรงกะโหลกศีรษะ หน้าทีของกระดกู 1.ช่วยรองรับอวยั วะตา่ งๆ ใหท้ รงและตังอย่ใู นตําแหนง่ ทคี วรอยู่ (Organ of support) 2.เปนสว่ นทใี ชใ้ นการเคลอื นไหว เช่น พาร่างกายยา้ ยจากทหี นงึ ไปยงั อกี ทีหนึง (Instrument of locomotion) 3.เปนโครงของส่วนแข็ง (Framework of hard material) 4.เปนทยี ึดเกาะของกลา้ มเนือตา่ งๆ และ Ligament เพอื ทาํ หนา้ ทีเปนคานให้ กลา้ มเนือทําหน้าทเี กยี วกับการเคลือนไหว 5.ช่วยปองกนั อวัยวะสาํ คญั ไมใ่ ห้ได้รับอนั ตราย เช่น สมอง ปอด และหัวใจ เปนต้น 6.ทาํ ใหร้ ่างกายคงรูปได้ (Shape to whole body) 7.ภายในกระดูกมีไขกระดกู (Bone marrow) ทีทาํ หน้าทผี ลิตเม็ดเลอื ด (Blood cell) 8.เปนทีเก็บแร่ธาตุ Calcium ในร่างกาย 9.ปองกันเส้นประสาทและหลอดเลือดทีทอดอยตู่ ามแนวของกระดูกนัน ระบบกระดกู

ขอ้ ตอ่ และกระดกู กระดูกทลี ะทอ่ นตอ่ เชือมกันดว้ ยเอ็นซึงตอ่ กันได้หลายแบบแลว้ แต่การเคลอื นที การที กระดูกประกอบด้วยชนิ เล็กชนิ นอ้ ยมาต่อๆกนั ทําใหร้ ่างกายเคลือนไหวอยา่ งนิมนวล ราบรนมากขึน กระดกู ทีเคลอื นทไี ม่ได้ เช่น กะโหลกศรี ษะ กระดกู เคลอื นทไี ดเ้ ล็กนอ้ ย เชน่ กระดกู บรเวณกน้ กบ กระดกู แบบบานพบั เชน่ กระดกู ตน้ แขน ข้อตอ่ บรเวณหวั เขา่ กระดูกแบบหัวกลม เชน่ กระดกู กะโหลกศรี ษะ กระดูกต้นคอ กระดูกต้นขากระดกู สะบกั เปนต้น เคลอื นไหวของข้อต่อ 1.เคลอื นไดร้ ะนาบเดียวกัน(แบบบานพบั ) เชน่ ขอ้ ศอก ขอ้ เขา่ 2.เคลอื นได2้ ระนาบ เช่น ข้อมอื กระดกขนึ -ลง 3.เคลือนได้ 3 ระนาบ เช่น ขอ้ ไหล่ ขอ้ สะโพ ระบบกระดกู

บรรณานกุ รม ระบบโครงกระดกู ออนไลน์ เขา้ ถึงได้ จาก วนั ทีสบื ค้นขอ้ มูล สงิ หาคม สามารถทาํ ความเขา้ ใจเพิมเตมิ ได้จาก (QR code) ระบบกระดกู

บทที7 ระบบย่อยอาหาร Digestive system ระบบย่อยอาหารมหี น้าทีย่อยอาหารใหล้ ะเอียด แลว้ ดูดซึมผ่านเขา้ สู่กระแสเลอื ดเพือไปเลยี ง ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย การย่อยอาหาร (Digestion) หมายถึง กระบวนการสลายอนภุ าคอาหารให้มีขนาดเลก็ สุด จนสามารถดูดซมึ เข้าไปในเซลลไ์ ด้ เมือมนษุ ย์รับประทานอาหารเขา้ สู่ร่างกาย จะผ่านระบบตา่ ง ๆ ดงั นี • ปาก • หลอดอาหาร • กระเพาะอาหาร • ลาํ ไส้เล็ก • ลําไส้ใหญ่ • ของเสียออกทางทวารหนัก ระบบยอ่ ยอาหาร

ช่องปาก (Mouth, Oral cavity) ชอ่ งปากเปนส่วนต้นของทอ่ ทางเดินอาหาร มขี อบเขตดังนี ด้านหนา้ และด้านขา้ ง : เปนส่วนของแกม้ ซงึ เปนแผ่นกลา้ มเนอื ของหนา้ คลมุ ดา้ นนอกด้วย ผวิ หนัง ดา้ นในบดุ ้วย Stratified squamous non-keratinizing epithelium สว่ น ดา้ นหน้าของแก้มจะสินสดุ โดยกลายเปนรมฝปากบน(upper lib) และ รมฝบากลา่ ง (lower lib) ด้านบน : เปนเพดานแข็ง (Hard palate) ทางดา้ นหน้า และเพดานอ่อน (Soft palate) ทางดา้ นหลัง เพดานแขง็ (Hard palate) ประมาณ 2/3 ด้านหน้า เปนสว่ นของกระดูก maxilla และ กระดกู palatine คลุมทับด้วยเยือเมอื ก เพดานออ่ น (Soft palate) เปนสว่ นของเพดานอยดู่ ้านหลงั ประมาณ 1/3 ด้านหลัง เปน แผน่ กลา้ มเนอื ยืนเขา้ ไปในคอหอย(pharynx) ประกอบดว้ ย muscle fibers, หลอดเลอื ด , เสน้ ประสาท , adenoid tissue, mucous gland และดาดด้วย mucous membrane ปลายสุดด้านหลังมีติงยนื ลงมาตรงกลาง เรยกวา่ ลินไก่ (Uvula) ดา้ นลา่ ง : ลนิ (Tongue) ด้านหลัง : Oropharynx Sphincter 6 ทภี ายในระบบย่อยอาหาร 1.Upper esophageal sphincter 2.Lower esophageal sphincter 3.Pyloric sphincter 4.Sphincter Of oddi 5.Internal anal sphincter 6.External anal sphincter ระบบยอ่ ยอาหาร

ลนิ (Tongue) หน้าที : พูด รับรส คลุกเคลา้ อาหาร กลืนอาหาร เปนอวยั วะเสรมในระบบย่อยอาหาร (Accessory organ) เปนกล้ามเนือลายคลมุ ด้วยเยอื เมือก ใต้ลินดา้ นหน้าจะมี Frenulum ยึดใต้ลนิ ใหต้ ดิ กบั เพดานปาก ผิวด้านบนและด้านขา้ งของลินจะมีตมุ่ นูนเล้กๆ เรยกวา่ papillae เปนปมุ รับรส แบ่งออก เปน 4 แบบดงั นี 1.filiform papilla กระจายทัวไป ไมม่ ตี อ่ มรับรส 2.Fungiform papilla คลา้ ยดอกเหด็ 2/3 ด้านหนา้ ลิน 3.Circumvallate papilla มปี ระมาณ 10-12 อนั อยู่ 1/3 ด้านหลงั ลนิ เรยงตัวกนั เปน รูปตัว V หนา้ sulcus terminalis 4.Foliate papilla เปนสันนูนเล็กๆ ทางดา้ นขา้ งของลิน สว่ นใหญ่พบในสตั วเ์ คยี วเออื ง ระบบยอ่ ยอาหาร

ฟน(Teeth) ฟนแบง่ ออกเปน 3 สว่ น คอื 1.ตัวฟน (Crown) ส่วนทียืนออกมา 2.รากฟน (Root) ส่วนของฟนทฝี งอยู่ใน alveolar process ของกระดุก mandible และ maxilla และถกู หมุ้ ภายนอกดว้ ยเหงอื ก(Gum) 3.คอฟน(Neck) อย่รู ะหวา่ ง root กับ crown ลกั ษณะของฟน แบง่ ออกเปน 4 ชนิด 1.ฟนตดั (Incisors) ขากรรไกรละ 4 ซี ใช้สาํ หรับตัดและฉกี อาหาร 2.ฟนเขยี ว (Canines) ขากรรไกรละ 4 ซี ปลายฟนมยี อดแหลม ใช้สําหรับตดั และฉกี อาหาร 3.ฟนกรามน้อย (Premolar) ขากรรไกรละ 4 ซี สําหรับตดั อาหารและบดอาหาร 4.ฟนกรามใหญ่ (Molar) ขากรรไกรละ 6 ซี ฟนกรามบนมี 3 ราก ฟนกรามลา่ งมี 2 ราก ใชบ้ ดอาหาร ระบบยอ่ ยอาหาร

ตอ่ มนําลาย(Salivary gland) 1. Parotid gland : อยทู่ างด้านหนา้ ของรูหู โดยตาํ กวา่ รูหูเล็กน้อย สร้างนําลายทมี ีลกั ษณะ ใส สง่ ออกทาง parotid duct หรอ stensen’s duct ซงึ วางตวั ขนานกับโหนกแกม้ เปด เข้าสชู่ ่องปากตรงกับฟนกรามบนซีที 2 ผลิตนาํ ลายประมาณ 25% ของนาํ ลายทงั หมด 2.Submandibular gland อยใู่ ต้กระดูกขากรรไกร สร้างนําลายทีมีลกั ษณะใสมากกวา่ เหนียว ส่งออกทาง Wharton’s duct ไปเปดทีโคนของ lingual frenulum ผลิตนาํ ลาย ประมาณ 70% ของนําลายทงั หมด 3.Sublingual gland อยู่ใต้ลนิ โดยวางอยู่ใต้เยอื บชุ ่องปาก ไปเปดทชี อ่ งปากโดยตรง ผลิตนําลายประมาณ 5% ของนาํ ลายทังหมด นาํ ลาย มลี กั ษณะเปนของเหลว มี 2 ชนิด คือ 1.ชนิดใส (Serous) มนี าํ ยอ่ ย amylase หรอ Ptyalin ทําหนา้ ทยี อ่ ยแปง ใหเ้ ปน Dextrin ซึงเปนแปงทีมีขนาดเลก็ ลง 2.ชนดิ เหนยี ว (Mucous) ชว่ ยให้การคลุกเคลา้ อาหารผสมกบั นํายอ่ ยเกิดไดด้ ีและสะดวก ตอ่ การกลืนอาหาร ระบบยอ่ ยอาหาร

หลอดอาหาร(Esophagus) หลอดอาหาร : เปนทอ่ กลวงต่อระหวา่ งคอหอยกบั กระเพราะอาหาร ยาว 25 cm แบ่งเปน 3 ส่วน คอื 1.Cervical portion ขา้ งบนติดกบั ส่วนปลายของ Laryngopharynx และบรเวณ Epiglottis วางอยูด่ ้านหลังของ Epiglottis มี upper esophageal sphincter 2.Thoracic portion อยู่ใน posterior mediastinum อย่หู ลงั หลอดลม (Trachea) สินสดุ ทรี อยตอ่ กับกระเพาะอาหาร ทีบรเวณกะบังลม(Diaphragm) ตรงระดบั กระดูก สันหลงั อกขอ้ ที 10 (T10) โดยจะผ่านเข้าไปในรูกะบังลม 3.Abdominal portion ใต้กะบงั ลม ยาวประมาณ 3 cm มี lower esophageal sphincter ชว่ ยปองกนั การ reflux ของกรดและอาหารจาก กระเพาะอาหาร ระบบยอ่ ยอาหาร

ผนังของหลอดอาหารแบ่งออกเปน 4 ชนั ชัน Mucosa มเี ยอื บุชนิด Stratified squamous epithelium ชนั submucosa เปนชันของ connective tissue พบหลอดเลอื ด , หลอดนาํ เหลือง และเสน้ ประสาท ชนั Muscularis มลี กั าณะพิเศษคอื 1/3 ด้านบนเปนกลา้ มเนอื ลาย- สงั การได้ (บังคับใหก้ ลืนได)้ 1/3 สว่ นกลาง เปนกลา้ มเนือผสม (กลา้ มเนอื เรยบและกลา้ เนือลาย) 1/3 สว่ นล่างเปนกล้ามเนอื เรยบ – สงั การไมไ่ ด้ ชนั Adventitia อยชู่ ันนอกสุด ไมม่ ี peritoneum หุ้ม หน้าทีของหลอดอาหาร เปนทางผ่านของอาหารจากชอ่ งปากและคอหอยไป สู่กระเพาะอาหาร การเคลอื นของ อาหารผา่ นหลอดอาหาร เคลือนทแี บบ Peristalsis movement การสร้างสารจําพวกเมือกซงึ เปนของเหลวใสๆ ลืนๆ ออกมาจากตอ่ มเมอื ก ทอี ยู่ในผนงั ทุกส่วนของหลอดอาหารทุกส่วน แต่จะมีมากทสี ุดในหลอดอาหารส่วนปลาย ซึงเมือกนจี ะ เปนตัวชว่ ยหล่อลนื ในการเคลอื นทขี องอาหาร ระบบยอ่ ยอาหาร

กระเพาะอาหาร (Stomach) ขอบเขต : ด้านบนติดกับ esophagus ดา้ นลา่ งติดกับ small intestine ส่วน duodenum มีลักษณะเปนรูปตวั J วางอยบู่ ริเวณลินป ค่อนมาทางด้านใตช้ ายโครงด้านซ้ายของชอ่ งท้อง ภายในจะเหน็ เปนลกั ษณะการพับไปมาของชนั กลา้ มเนอื เรียกว่า Rugae ซงึ มหี นา้ ทีเพิม พืนทีในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะมรโคง้ 2 ขา้ ง คือ 1.Lesser curvature เปนโคง้ เลก็ ทางด้านขวาของกระเพาะอาหาร 2.Greater curvature เปนโค้งใหญ่ ทางดา้ นซ้ายของกระเพาะอาหาร มี peritoneum ไปเชือมกบั ส่วน transverse colon เรียกวา่ greater omentum กระเพาะอาหารแบ่งเปน 4 ส่วนคอื 1.Cardiac part เปนส่วนทีอยู่รอบรเู ปดของหลอดอาหาร 2.Fundus part เปนส่วนทคี ล้ายกระเปาะทอี ยทู่ างดา้ นวา้ ยของ cardiac 3.Body part เปนส่วนทใี หญท่ ีสุด อยูต่ รงกลางของกระเพาะอาหาร 4.Pylorus part เปนส่วนทแี คบทสี ุด แบง่ ออกเปน 2 ส่วนย่อยคอื pyloric antrum เปน ส่วนทีขยายกวา้ งออกเล็กน้อย และส่วน Pyloric canal เปนรูแคบ มกี ลา้ มเนอื หรู ดู ที เรยี กว่า Pyloric sphincter ระบบยอ่ ยอาหาร

ผนงั ของกระเพาะอาหารแบง่ เปน 4 ชัน คอื 1.ชัน mucosa บุด้วย Simple columnar epithelium บริเวณนีจะมี Gastric glands Gastric glands ประกอบดว้ ยเซลล์ 4 เซลล์ คอื 1.Chief cell สร้าง pepsinogen เมือสารนีถกู กับกรดในกระเพาะอาหารจะเปลยี นเปน pepsin ซึงเปนนําย่อยทยี อ่ ยโปรตนี 2.Parietal cell สร้างกรดไฮโดรคลอรกิ (HCl) ทชี ่วยเปลยี น pro-enzyme ให้เปน enzyme และสร้าง intrinsic factor ทีเกยี วกบั การดูดซมึ วติ ามิน B12 3.Mucous cell สรา้ งเมอื ก ทเี ปนเบส เคลือบกระเพาะอาหาร เพือปองกันไม่ใหเ้ ปนอันตราย จากกรดไฮโดรคลอรกิ (HCl) 4.Enteroendocrine cell สรา้ งฮอร์โมน เชน่ ฮอรโ์ มน Gastric, Serotonin, Histamine 2.ชนั Submucosa มีหลอดเลือด หลอดนําเหลือง และเส้นประสาท 3.ชัน Muscularis ประกอบดว้ ยกลา้ มเนือเรียบ 3 ชนั ชันนอกเปน longitudinal layer มลี ักษณะตามยาว ชันกลางเปน Circular layer มีลักษณะเปนวงกลม ชนั ในเปน Oblique layer มีลักษณะเปนเฉียง 4.ชัน Serosa ชันนอกเปน visceral peritonea ระบบยอ่ ยอาหาร

ตับ (Liver) ตาํ แหนง่ : วางตัวอยใู่ นช่องท้องดา้ นบนขวาใต้ตอ่ กะบังลม กินเนือทใี ตช้ ายโครงขวาทงั หมด และยืนเข้าในบรเิ วณลนิ ปและใต้ชายโครงซ้ายบางส่วน มหกายวิภาคของตบั : ตบั เปนต่อมมที ่อขนาดใหญ่ ตบั เกอื บทังหมดถกู คลุมด้วย peritoneum ซงึ ทําหน้าทยี ึดตับไว้ให้อยู่กบั โครงสรา้ งใกล้เคยี งเยอื บุชอ่ งท้องแตล่ ะส่วน มชี ือเรียกตา่ งกัน ดงั นี Coronary ligament : ยึดผวิ ด้านบนของตบั ไว้ในกะบงั ลม Falciform ligament : ยดึ ผิวด้านหน้าของตบั ไวก้ บั กะบังลมและผนังหนา้ ทอ้ ง Round ligament : เปนแทง่ เอ็นกลมๆ ยึดระหว่างตบั กับสะดือ ซึงเปนส่วนเหลอื ของ umbilical vein ในตวั อ่อน Lesser omentum : ยึดขงั ตบั ไวก้ บั กระเพาะอาหารและลําไส้เล็กส่วนตน้ ตบั แบง่ ออกเปน 4 กลบี ตามลกั ษณะทีเหน็ ภายนอก คือ Right lobe อยู่ทางด้านขวาของ Falciform ligament Left lobe อยูท่ างด้านซา้ ยของ Falciform ligament Caudate lobe อยู่ด้านลา่ ง อยรู่ ะหว่าง Inferior vena cava และ Left lobe Quadrate lobe อยดู่ า้ นล่าง อยูร่ ะหว่าง Gall bladder และ Round ligament ผวิ ล่างของตับจะมบี ริเวณทเี รียกว่า ขัวตับ (Porta hepatic) ซึงเปนตาํ แหนง่ ทมี โี ครงสรา้ ง สําคญั ผ่านเข้าออกจากตับ ไดแ้ ก่ Hepatic artery นําเลือดแดงทมี อี อกซิเจนสูง เขา้ สู่ตับ เพือนําออกซิเจนไปเลยี งตับ Hepatic portal vein นําเลือดทมี ีสารอาหารทถี กู ดูดซมึ จากลําไส้เล็กเข้าสู่ตับ Bile duct เปนท่อทนี ํานาํ ดที ีสร้างจากตับไปเก็บทีถงุ นําดี ระบบยอ่ ยอาหาร

ถุงนําดี (Gall bladder) ตําแหน่ง : วางอยใู่ นแอ่งทผี วิ ดา้ นล่งของตับทางดา้ นหน้า ตําแหนง่ ของถงุ นําดีบริเวณผนัง หน้าทอ้ ง คือจุดตัดระหว่างชายโครงขวากับขอบด้านขวาของกล้ามเนือ rectus abdominis มหกายวิภาคของถงุ นําดี : ถุงนําดมี ลี ักษณะคลา้ ยลกู pear และมี connective tissue ยึด ตดิ กบั ตับ ขนาดของถุงนาํ ดยี าวประมาณ 8-10 cm กว้าง 2.5 cm ระบบทางเดินนําดปี ระกอบด้วย common hepatic duct เปนทอ่ นํานําดอี อกจากตบั ผ่าน ทาง left, right hepatic duct และ cystic duct ซึงเปนทางผา่ นของนําดเี ข้าและออก จากถงุ นําดี ถุงนําดจี ะทาํ หนา้ ทีเกยี วกบั การสะสมนาํ ดีไวช้ วั คราวเพือปลอ่ ยลงสู่ลําไส้เล็ก เมอื มีการยอ่ ยอาหารโดยผา่ นทาง common bile duct จลุ กายวภิ าคของนําดี ผนงั ของถุงนาํ ดจี ะประกอบไปดว้ ยชนั ทงั หมด 3 ชนั คือ ชนั ในสุดเปน Mucosa membrane ชันกลางเปน Muscle และ Fibrous tissue ชนั นอกสุดเปน serous membrane ซงึ มาจาก peritoneum นําด(ี Bile) ผลติ มาจากตบั มีลักษณะสีเขยี วๆเหลอื ง มฤี ทธิเปนด่าง โดยปกติแลว้ ใน 1 วนั ตับจะผลติ นาํ ดไี ด้ประมาณ 500-800 cc. นําดีทาํ หนา้ ทเี ปน co-enzyme ช่วยลดความ ตรงึ ผิวของไขมนั ให้เปน Emulsified fat เพือให้นํายอ่ ย Lipase สามารถยอ่ ยไขมนั ไดด้ ขี ึน การเดินทางของนาํ ดี : สรา้ งมาจากตบั ผา่ นมาทาง left, right hepatic duct มารวมกนั เปนท่อเดียวเรยี กว่า common hepatic duct แลว้ นาํ นาํ ดีไปเก็บสะสมไว้ทีถุงนําดเี พือปรบั ความเขม้ ข้นให้เหมาะสม จากนันเมอื นาํ ดจี ะถกู ใช้จะผา่ น Cystic duct มารวมกบั ท่อ common hepatic duct เรียกว่า common bile duct แลว้ เปดเข้าบรเิ วณลําไส้เล็กส่วนที 2 ของ Duodenum บริเวณ sphincter of oddi ระบบยอ่ ยอาหาร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook