Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore unit 2

unit 2

Published by phramahasayan, 2018-07-04 00:05:39

Description: unit 2

Search

Read the Text Version

๕๗ ๕. เสียง (Sound) เสียงที่ใช้ในมัลติมเี ดียไม่ว่าจะเป็นเสยี งพูด เสียงเพลง หรือเสียง เอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ จะต้องจัดรูปแบบเฉพาะเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและใช้งานได้ โดยการบันทกึ ลงคอมพิวเตอรแ์ ละแปลงเสยี งจากระบบแอนะลอ็ กใหเ้ ปน็ ดิจทิ ลั แต่เดมิ รปู แบบเสยี งทน่ี ยิ มใช้ มี ๒ รูปแบบ คือ เวฟ (WAV: Waveform) จะบันทึกเสียงจริงดังเชน่ เสยี งเพลงและเป็นไฟล์ขนาดใหญแ่ ละ มิดี้ (MIDI: Musical Instrument Digital Interface) เปน็ การสังเคราะหเ์ สยี งเพ่อื สร้างเสยี งใหม่ข้ึนมา จึงทาให้มขี นาดเลก็ กว่าไฟลเ์ วฟ แต่คุณภาพเสียงจะดอ้ ยกว่า ในปัจจุบันไฟล์เสียงทนี่ ิยมใช้กนั อยา่ งแพรห่ ลายอีกรปู แบบหนึง่ เน่ืองจากเป็นไฟลข์ นาดเลก็ กวา่ มากคอื MP3 ๖. การปฏิสัมพันธ์ (Interactive) นับเป็นคุณสมบัติที่มีความโดดเด่นกว่าส่ืออน่ื ท่ีผูใ้ ช้สามารถโต้ตอบกับสอ่ื ได้ดว้ ยตนเอง และเลอื กท่ีจะเข้าสู่สว่ นใดส่วนหน่ึงของการนาเสนอตามความพึงพอใจได้ ท้งั น้ี การปฏิสมั พนั ธ์สามารถเชื่อมตอ่ กับองค์ประกอบของมลั ติมเี ดียชนดิ ตา่ งๆ จากท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าองค์ประกอบต่างๆ ที่มีความสาคัญต่อการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดยี คือ ข้อความ ภาพกราฟิก ภาพแอนิเมชัน ภาพเคล่ือนไหวแบบวีดีทัศน์ เสียงและการปฏิสมั พันธ์ ในการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมเี ดียควรเลือกองคป์ ระกอบตา่ งๆ ให้ได้สื่อท่ีตรงกบั จดุ ประสงค์ของการใช้งาน และสร้างความสนใจใหเ้ กดิ ขึ้นกบั ผู้ใชง้ าน ๔. กระบวนการพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ัลตมิ เี ดีย ชนินทร์ ฐิติเพชรกุล (2550 : 17-18) ได้กล่าวว่า ข้ันตอนในการพัฒนาบทเรยี นคอมพิวเตอร์มลั ติมีเดีย หรือที่เรียกกันว่า Instructional Computing Development พอจะแบ่งได้เป็น ๓ ข้ันตอนใหญ่ๆ คือ ๑. ขั้นการออกแบบ (Instructional Design) ๒. ขั้นการสร้าง(Instructional Development) ๓. ขน้ั การประยุกตใ์ ช้ (Instructional Implementation) ๑. ขนั้ การออกแบบ (Instructional Design) เป็นการกาหนดคุณลักษณะและรปู แบบการทางานของโปรแกรมโดยเปน็ หลักจิตวิทยา วิธีการสอน การวัดผล ประเมนิ ผล ซง่ึ จะต้องมีกจิ กรรมรว่ มกนั พฒั นาดงั นี้ ๑.๑ วิเคราะห์เน้ือหา ครูผู้สอนจะต้องประชุมศึกษา ตกลง และทาการเลือกสรรเน้ือหาวชิ าทจี่ ะนามาทาเป็นบทเรียนคอมพวิ เตอร์ ๑.๒ ศึกษาความเป็นไปได้ เปน็ เร่ืองจาเปน็ ท่ีจะต้องศกึ ษาความเป็นไปได้ทงั้ น้ีเพราะแม้วา่ คอมพวิ เตอร์จะมีความสามารถเพียงไร แต่กม็ ีข้อจากัดในบางเร่ือง ดังนัน้ เม่ือครูผสู้ อนได้เลือกเนื้อหา และวิเคราะห์ออกมาแล้วว่าเน้อื หาตอนใดท่ีจะทาเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กจ็ าเป็นท่ีจะตอ้ งมาปรึกษากับฝ่ายเทคนิคหรือผเู้ ขยี นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ๑.๓ กาหนดวัตถุประสงค์ เป็นการกาหนดคุณสมบัติและส่ิงที่คาดหวังจากผู้เรยี นก่อนและหลังการใช้โปรแกรม

๕๘ ๑.๔ ลาดับข้ันตอนการทางาน นาเน้ือหาที่ได้จากการวิเคราะห์และสิ่งที่คาดหวังจากผู้เรียนมาผสมผสานเรียงลาดับ วางแนวการเสนอในรูปของ Story Board และFlowchart หลังจากทา Story Board เสร็จแลว้ จงึ นามาวิเคราะห์ วิจารณ์ เพ่อื เพม่ิ เติมแก้ไข หรือตัดตอน จนเกดิ ความพอใจจากกลุ่มครผู ้สู อน ๒. ข้นั การสร้าง (Instructional Development) เปน็ หนา้ ทข่ี องนักคอมพิวเตอร์ หรือครูทม่ี ีความสามารถในการเขยี นโปรแกรมโดยมีลาดับขน้ั ตอนการทางานดังน้ี ๒.๑ สรา้ งโปรแกรมนาเนื้อหาทีอ่ ยู่ในรูปของ Story Board มาสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ โดยใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่ง หรือโปรแกรมสาหรับการสร้างบทเรียนโดยเฉพาะ (Authoring System) เสรจ็ แลว้ ตรวจแกข้ อ้ ผดิ พลาดทอี่ าจจะเกิดขน้ึ ๒.๒ ทดสอบการทางาน หลังจากตรวจข้อผดิ พลาดในโปรแกรมเรยี บร้อยแล้วก็นาโปรแกรมไปให้ครูผู้สอนเนื้อหานั้นตรวจความถูกต้องบนจอภาพ อาจมีการแก้ไขโปรแกรมในบางส่วนและนาไปทดสอบกับผู้เรยี นในสภาพการใชง้ านจริง เพอ่ื ทดสอบการทางานของโปรแกรมและหาข้อบกพร่องท่ีผู้ออกแบบคาดไม่ถึง เพื่อนาข้อมูลเหล่าน้ีกลับมาปรับปรุงต้นฉบับ และแก้ไขโปรแกรมตอ่ ไป ๒.๓ ปรับปรุงแก้ไข การปรับปรงุ จะต้องเปล่ยี นแปลงที่ตัวต้นฉบับของ StoryBoard ก่อน แล้วจึงค่อยแก้ไขที่โปรแกรม และนาไปทดสอบการทางานใหม่ ถ้ายังพบข้อบกพร่องก็จะต้องนากลับมาปรับปรุงแก้ไขอีกจนกว่าจะได้โปรแกรมเป็นท่ีพอใจของทุกฝ่ายแล้วจึงนาไปใช้งานและเพ่ือใหก้ ารนาไปใชง้ านมปี ระสทิ ธภิ าพ จงึ ควรมีการจัดทาคูม่ ือประกอบการใช้โปรแกรม คือ คูม่ ือนักเรียน คมู่ ือครู คู่มอื การใช้เครือ่ ง ๓. ข้นั การประยกุ ต์ใช้ (Instructional Implementation) เป็นการประยุกต์ใชใ้ นการเรยี นการสอนและการประเมินผล โดยนักคอมพิวเตอร์กับครูผู้สอนจะต้องประเมนิ ผลร่วมกนั ว่า โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยการสอนทพ่ี ัฒนาข้ึนเป็นอย่างไร สมควรท่ีจะใช้งานในการเรยี นการสอนหรือไม่ จากท่ีกลา่ วมาขา้ งตน้ สรุปได้ว่าข้ันตอนในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียโดยใช้แนวทางการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียInstructional Computing Development ของชนินทร์ ฐิติเพชรกุล ซึ่งมี ๓ ขั้นตอน คือ ขั้นการออกแบบ (Instructional Design) ขั้นการสร้าง (Instructional Development) และข้ันการประยุกต์ใช้ (Instructional Implementation) ผู้ศึกษาได้เลือกแนวดังกล่าวเป็นแนวทางในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เร่ือง การสร้างเว็บไซต์ โดยใช้โปรแกรม AdobeDreamweaver CS3

๕๙ ๕. ประโยชน์การประยกุ ต์ใช้คอมพวิ เตอร์มัลติมีเดีย จากการศึกษาวงการศึกษา ได้นาเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนในลักษณะของคอมพวิ เตอร์มัลตมิ ีเดยี ปรากฏวา่ เป็นทย่ี อมรับในวงการศึกษาเพราะคอมพวิ เตอร์มปี ระโยชน์ตอ่ ผเู้ รยี นหลายประการ ดังที่นักการศึกษาได้กล่าวไวด้ ังน้ี วารุณี กี่เอี่ยน (2552 : 13-15) ได้กล่าวว่า คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียมีประโยชน์ต่อผ้เู รยี นหลายประการ กลา่ วโดยสรปุ คอื ๑. สง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนเรียนตามเอกัตภาพ ๒. มีการป้อนกลับ (Feedback) ทันที ทาให้ผู้เรียนเกิดความต่ืนเต้นไม่เบ่ือหน่าย ๓. ผู้เรียนไม่สามารถแอบพลิกดูคาตอบได้ก่อน จึงเป็นการบังคับผู้เรียนให้เรียนจรงิ ๆ กอ่ นทจ่ี ะผา่ นบทเรยี นน้นั ไป ๔. ผเู้ รียนสามารถทบทวนบทเรียนท่ีเคยเรยี นในหอ้ งเรียน ๕. นักเรียนเรียนได้ดีกว่า และเร็วกว่าการสอนตามปกติ ลดการสิ้นเปลืองเวลาของผู้เรยี นลง ๖. สามารถประเมินผลความก้าวหน้าของผเู้ รียนโดยอตั โนมตั ิ ๗. ผู้เรียนไดเ้ รยี นแบบ Active Learning ๘. ฝึกใหผ้ เู้ รียนคดิ อยา่ งมเี หตผุ ล เพราะต้องคอยแก้ปญั หาอยตู่ ลอดเวลา ๙. ผเู้ รยี นสามารถเรยี นตามลาพงั ด้วยตนเองได้ ๑๐. ทาให้เกิดความแมน่ ยาในวิชาท่ีเรียนออ่ น ๑๑. ช่วยให้ผู้เรยี นคงไวซ้ ึง่ พฤติกรรมการเรียนได้นาน ๑๒. เปน็ การสร้างนิสัยรบั ผดิ ชอบให้เกิดในตัวผ้เู รียน เพราะไมเ่ ปน็ การบังคับผเู้ รียนใหเ้ รียนแต่เปน็ การใหก้ ารเสรมิ แรงอยา่ งเหมาะสม ๑๓. มีเกณฑก์ ารปฏิบัตโิ ดยเฉพาะ ๑๔. ผเู้ รยี นจะเรยี นเปน็ ข้นั ตอนทลี ะนอ้ ย จากง่ายไปหายาก ๑๕. ทาใหน้ กั เรียนมเี จตคติทด่ี ีต่อวชิ าทเ่ี รยี น

๖๐ สยามรัฐ บุตรศรี มัลติมีเดีย มีประโยชน์อย่างยิ่งในการนามาใช้กับการศึกษาเนื่องจากมีการนาเสนอเนื้อหาท่ีมีรูปแบบท่นี ่าสนใจ มีความชัดเจน เข้าใจง่าย ทาให้เกิดปฏสิ มั พันธก์ ันระหวา่ งผใู้ ช้และคอมพวิ เตอรโ์ ดยเกิดการเรียนร้ทู ม่ี ีประสิทธิภาพตามเกณฑม์ าตรฐาน๘๖ สรุปประโยชน์ของมัลติมีเดียเพื่อการเรียนการสอนได้ว่า มัลติมีเดียเป็นสื่อการเรียนการสอนที่มีขอบเขตกว้างขวาง เพ่ิมทางเลือกในการเรียนการสอน สามารถตอบสนองรูปแบบของการเรียนการสอนของนักเรียนท่ีแตกต่างได้ สามารถจาลองสภาพการณ์ของวิชาต่างๆ เพื่อการเรียนรไู้ ด้ นักเรียนได้รับประสบการณต์ รงก่อนการลงมือปฏิบัติจรงิ สามารถที่จะทบทวนขั้นตอนและกระบวนการได้อย่างดี และนักเรียนสามารถท่ีจะเรียนหรือฝึกซ้าได้ จึงกล่าวได้ว่ามัลติมีเดียมีความเหมาะสมที่จะนามาใช้ทางการเรียนการสอนมัลติมีเดียโดยมากจะนามาใช้เพื่อเพ่ิมทางเลือกในการเรียนการสอน และให้ตอบสนองรูปแบบการเรียนท่ีแตกต่างกันของนักเรียนและด้วยการออกแบบโปรแกรมปฏิสัมพันธ์เพื่อให้สามารถส่อื ไดห้ ลายชนิด ความตอ้ งการของผ้เู รียน จึงต้องตอบสนองการเรียนดว้ ยตนเองแบบเชงิ รกุ ได้ ดงั น้ันการใช้มลั ติมเี ดยี เป็นสอื่ ทางการเรยี นการสอนจะเป็นการส่งเสริมการสอนทม่ี ีลักษณะการสอนโดยใช้ มัลติมีเดยี ท่ีชว่ ยให้สามารถนาเสนอเนอ้ื หาได้อย่างลึกซึ้งกว่าการบรรยายปกติ ดังนั้น มัลติมีเดียในปัจจุบันน้ีอาจกล่าวได้ว่าเป็นส่ือที่มีบทบาทสาคัญต่อการเรียนการสอนได้เช่นกัน จากคุณประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ที่กล่าวมาข้างต้น พอสรุปประโยชน์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลตมิ เี ดีย ไดด้ งั นี้ ๑. การนาเสนอเนอ้ื หาให้แก่ผเู้ รยี นทกุ คนเทา่ เทยี มกัน ๒. เป็นการเรียนรู้เป็นแบบส่วนตัวสามารถเรียนรู้หรือทบทวนความรู้ได้ตลอดเวลาตามความต้องการของตนเอง ๓. สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับบทเรียนผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์และสอื่ ตา่ งๆ และมกี ารตอบสนองตอ่ กิจกรรมการเรยี นรู้ ๔. ลดปัญหาเกี่ยวกับเวลาในการเรียนรู้ เน่ืองจากผู้เรียนมีความแตกต่างกันระหว่างบุคคล ผู้เรียนสามารถใช้บทเรียนนอกห้องเรียนได้ด้วยตนเอง ซึง่ เป็นการประหยัดทรัพยากรบุคคลและเวลาในการเรยี นการสอน ๕. รูปแบบการนาเสนอข้อมูลในรูปแบบต่างๆ มีท้ังภาพเคล่ือนไหว เสียง วีดีทัศนก์ ารสาธติ สถานการณ์เสมอื นจริงทาใหเ้ กดิ แรงดงึ ดดู ความสนใจของผ้เู รยี น ๘๖ สยามรัฐ บุตรศรี, การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เร่ือง การเขียนแบบเบื้องต้นสาหรับนักเรียนชว่ งชนั้ ที่ ๔, สารนพิ นธ์, การศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยกี ารศึกษา, ๒๕๕๓

๖๑ ๖. ลดความเส่ียงอันตรายทีอ่ าจจะเกิดแก่ผเู้ รยี นในการทาการทดลอง และยังสาธติ สถานการณ์ได้เสมอื นจรงิ โดยไม่ต้องทาการสาธิตจากของจรงิ ๗. จากรปู แบบการนาเสนอของบทเรียนคอมพวิ เตอรม์ ัลติมีเดยี ทาให้ผเู้ รียนมีเจคติทตี่ ่อวิชาทีเ่ รยี น ๒.๗ คุณคา่ และความสาคญั ของสือ่ ในกระบวนการเรียนการสอน สอื่ การสอนนับว่าเป็นอีกส่ิงหนึ่งท่ีสาคัญในการเรียนรู้ เนื่องจากเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเนอ้ื หาจากผู้สอนไปสู่ผู้เรียน หรือเป็นส่อื สาหรบั ให้ผู้เรยี นได้เรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ในเรอื่ งคณุ ค่า และความสาคญั ของสื่อการเรยี นการสอนนี้ มนี กั การศกึ ษาได้แสดงทัศนะไว้ ดงั น้ี สันทัด ภิบาลสุข และพิมพใ์ จ ภิบาลสุข ได้กล่าวถึงความสาคญั ของส่ือการเรยี นการสอนไว้ ดังน้ี ๑. การที่จานวนนักเรยี นเพิ่มขึ้น ส่ือการสอนจึงมีความสาคัญในการปรบั ปรุงการสอน เพอ่ื ใหส้ นองความต้องการของผเู้ รียน ๒. ส่ือการสอนช่วยแก้ปัญหาพ้ืนฐาน หรือภูมิหลังของนักเรียนท่ีแตกต่างกันอันเนือ่ งมาจากการยา้ ยจากถ่นิ อน่ื ๆ ไปเรียนรวมกนั ในชุมชน หากครรู จู้ กั ใช้สอื่ การสอน และมีเทคนิคท่ดี ีพอ ๓. เรียนที่มีประสบการณ์ หรือพ้ืนฐานภูมหิ ลังที่ดีแล้ว ย่อมต้องการครูที่มีวิธีสอนทดี่ ี สื่อการสอนจะชว่ ยทาใหก้ ารสอนของครบู รรลุเปา้ หมายได้ ๔. นักเรียนทอ่ี ยใู่ นสภาพเสียเปรยี บ หรอื ผู้ยากไร้อาจได้ประโยชน์จากสื่อการสอนท่คี รจู ัดเตรียมไว้ ศิริพงศ์ พะยอมแย้ม ไดก้ ล่าวถึงคุณคา่ ของสอื่ การเรยี นการสอนว่า สามารถช่วยเพ่มิ ประสทิ ธิผลทางการศกึ ษาในลกั ษณะ ดังตอ่ ไปนี้ ๑. ดา้ นการสอน สื่อสามารถชว่ ยสอนแทนครูได้ ๒. ด้านผู้เรียน สื่อสามารถเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามลาดับความสามารถ ๓. ด้านผู้บริหาร สื่อการเรียนการสอนจะช่วยเพิ่มคุณภาพการศึกษาลดงบประมาณทางการศึกษา ควบคุมมาตรฐานการเรียนการสอนของครู บริหารหลักสูตรให้บรรลุตามวตั ถุประสงค์ ๔. ด้านหลักสูตรส่ือสามารถช่วยให้การเรียนการสอนดาเนินไปตามจุดประสงค์ของหลักสูตร ช่วยให้ผู้เรียนและผู้สอนมีทัศนคติที่ดี ต่อการใช้หลักสูตรสามารถทาให้หลกั สตู รเปดิ กวา้ งได้ รวมท้งั ใหห้ ลักสูตรเกดิ การยึดหยุ่น

๖๒ ฐาปนยี ์ ธรรมเมธา ไดส้ รปุ คณุ คา่ ของส่ือการเรยี นการสอนไว้ ดังน้ี ๑. ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในด้านการเตรียมการสอน หรือเน้ือหาการสอนโดยจัดให้ผ้เู รียนศกึ ษาเนือ้ หาจากสือ่ การสอน เชน่ ใช้บทเรียนโปรแกรมชุดการสอน ๒. การใช้สื่อการสอนเป็นการช่วยสร้างบรรยากาศในการสอนให้น่าสนใจแทนท่ีจะฟังผสู้ อนบรรยายอย่างเดยี ว ผู้เรียนจะไดเ้ ห็นผู้สอนใช้สื่อประกอบการบรรยายทาให้เนอ้ื หานั้นน่าสนใจมากยิ่งขนึ้ ๓. สื่อช่วยสร้างความมั่นใจในการสอนของผู้สอนให้มากข้ึนด้วย เช่นกรณีผสู้ อนจาเนื้อหา หรือลาดับการสอนไม่ได้ ผู้สอนอาจดไู ด้จากสอื่ ท่ีเตรียมมา กรณีผู้สอนพูดไมเ่ ก่งหรือผู้สอนเปน็ อาจารยใ์ หม่ สือ่ การสอนจะชว่ ยสรา้ งความเชอ่ื ม่ันใหก้ บั ผู้สอน ๔. เม่ือผู้สอนเห็นคุณค่าของสอ่ื การสอน ย่อมเป็นการกระตุ้นให้ผู้สอนต่ืนตัวในการเตรยี มการผลิต เลือก หรือจัดหาสอ่ื การสอน ตลอดจนเทคนคิ ใหม่ ๆ มาใช้ในการสอน ๕. ส่ือการสอนช่วยกระตุ้นและเร้าความสนใจให้กับผู้เรียน ทาให้เกิดความสนุกสนาน และไม่เบ่ือหนา่ ยตอ่ การเรียน ๖. สือ่ การสอนชว่ ยให้เกดิ การเรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเน้อื หา บทเรียนท่ยี งุ่ ยากสลับซับซ้อนไดง้ ่าย และรวดเรว็ ข้ึนตลอดจนชว่ ยสร้างความคิดรวบยอดในเรอื่ งน้นั อยา่ งรวดเรว็ และถูกต้อง ๗. ส่อื ชว่ ยแก้ปัญหาเรอ่ื งความแตกต่างระหว่างบุคคล ในแงค่ วามสนใจระดับสตปิ ัญญา และศักยภาพแห่งความคิดสรา้ งสรรค์ ๘. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้นทาให้เกิดปฏิสัมพันธ์ และความสมั พันธท์ ่ีดีระหว่างผเู้ รียนกบั ผู้สอน ๙. สื่อช่วยดึงประสบการณ์นอกห้องเรียนที่อยู่ไกล มีข้อจากัดเรื่องเวลาระยะทาง และสถานท่ีมาสู่ห้องเรียนได้ วาสนา ชาวหา กล่าวไว้ว่า ส่ือการเรียนการสอนมีความจาเป็นต่อการเรียนการสอนในฐานะเปน็ ตวั กลาง ทีจ่ ะชว่ ยในการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมการเรยี นรู้ ดงั นี้ ๑. การเพิ่มจานวนนกั เรียน สือ่ การสอนมีความสาคญั ในการเพิ่มประสทิ ธภิ าพการสอน เพื่อให้เพียงพอแตค่ วามต้องการของผ้เู รียน ๒. สอื่ การสอนช่วยแก้ปญั หาพน้ื ฐาน หรือภมู หิ ลังของนกั เรียนที่แตกตา่ งกนั ๓. สื่อการสอนช่วยทาให้ครูสอนได้ดีขนึ้ และช่วยทาให้การสอนของครูบรรลุเป้าหมาย

๖๓ ๔. สื่อการสอนสาเร็จรูปช่วยให้นักเรียนอยู่ในสภาพเสียเปรียบ หรือผู้ยากไร้สามารถเรยี นไดท้ ดั เทียมผู้มีฐานะดีกวา่ ไชยยศ เรืองสุวรรณ ได้กล่าวถึงคณุ ค่าของส่อื การเรียนการสอนว่าส่ือการเรียนการสอนมีคุณค่า หรือลักษณะพิเศษต่างๆ ภายในตัวส่ือเอง และมีผลดีต่อการจัดการเรียน การสอน ซึ่งคุณค่าของสื่อการเรียนการสอนโดยทั่วไปสรปุ ได้ ดังนี้ ๑. ช่วยเพ่มิ พนู ประสบการณข์ องผเู้ รียน ๒. ทาให้เนื้อหาวิชาความรู้ที่สอนมีความหมายต่อนกั เรียนมากขนึ้ ๓. เร้าความสนใจของผู้เรียน ทาให้ครูสามารถสอน และจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนได้กว้างขวางมากขน้ึ ๔. เป็นเครื่องมือช้ีแนะการตอบสนองของผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นการสอนโดยใช้เทคนคิ แบบใดก็ตาม ๕. สามารถเอาชนะข้อจากดั ตา่ ง ๆ ทางกายภาพได้ ๖. ทาใหผ้ ู้เรยี นไดพ้ ัฒนากระบวนการเรยี นตา่ ง ๆ เชน่ การแกป้ ัญหา ๗. เป็นเคร่ืองมือสาหรับครูในการวินิจฉัยผลการเรียน และช่วยในการสอนซอ่ มเสรมิ จากที่กล่าวมาท้ังหมดสรุปได้ว่า ส่ือส่ิงประดิษฐ์การเรียนการสอนมีคุณค่า และประโยชน์ต่อการเรียนการสอน คือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนให้สูงข้ึน ด้านปริมาณและประหยัดเวลาในการเรยี นรู้ ตลอดจนสอ่ื บางชนิดสามารถทดแทนการสอนของครูไดส้ ามารถทาให้การเรยี นการสอนบรรลเุ ปา้ หมายได้ ๒.๑.๒.๒ ด้านรปู แบบวธิ ีการสอน ในทางศึกษาศาสตร์ มีคาทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั รปู แบบ คือ รูปแบบการสอน Model ofTeaching หรือ Teaching Model และรูปแบบการเรียนการสอนหรือรูปแบบ การเรียนการสอนInstructional Model หรือ Teaching-Learning Model คาว่า รูปแบบวิธีการสอน มีผู้อธิบายไว้ดงั น้ี ๑. ความหมายรปู แบบวธิ ีการสอน รูปแบบการเรียนการสอนมีความหมายในลกั ษณะเดียวกับระบบการเรียนการสอนซ่ึงนักการศึกษาโดยท่ัว ไปนิยมใช้คาว่า “ระบบ” ในความหมายที่เป็นระบบใหญ่ ครอบคลุมองคป์ ระกอบสาคัญๆ ของการศึกษา หรือการเรียนการสอนในภาพรวม และนิยมใช้คาว่า “รูปแบบ”

๖๔กับระบบที่ย่อยกว่า โดยเฉพาะกับ “วิธีการสอน” ในด้านความหมายของรูปแบบการสอน มีผู้ให้ความหมายไว้หลายแง่มมุ ดังนี้ Saylor and others กล่าวว่า รูปแบบวิธีการสอน (teaching model) หมายถึงแบบ (pattern) ของการสอนที่มีการจัดกระทาพฤติกรรมข้ึนจานวนหนึ่งที่มีความแตกต่างกัน เพื่อจุดหมายหรือจุดเนน้ ทเ่ี ฉพาะเจาะจงอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ๘๗ Keeves J. กล่าววา่ รปู แบบโดยทวั่ ไปจะตอ้ งมอี งคป์ ระกอบท่สี าคญั ดังน้ี ๑. รูปแบบจะตอ้ งนาไปสู่การทานาย (prediction) ผลที่ตามมาซ่ึงสามารถพิสูจน์ทดสอบได้กลา่ วคือ สามารถนาไปสร้างเคร่อื งมอื เพือ่ ไปพิสูจน์ทดสอบได้ ๒. โครงสร้างของรูปแบบจะต้องประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ (causalrelationship) ซึ่งสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์/เร่ืองนนั้ ได้ ๓. รูปแบบจะต้องสามารถช่วยสร้างจินตนาการ (imagination) ความคิดรวบยอด (concept)และความสมั พันธ์ (interrelations) รวมทง้ั ชว่ ยขยายขอบเขตของการสืบเสาะความรู้ ๔. รูปแบบควรจะประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง (structuralrelationships) มากกว่า ความสัมพันธเ์ ชิงเชือ่ มโยง (associative relationships)๘๘ Joyce and Well กล่าวว่า รูปแบบวิธีการสอน คือ แผน (plan) หรือแบบ(pattern) ทเี่ ราสามารถใช้เพื่อการสอนโดยตรงในห้องเรียนหรือการสอนเป็นกลุ่มย่อย หรอื เพ่อื จัดส่ือการเรียนการสอนซึ่งรวมถึงหนังสือ ภาพยนตร์ เทปบันทกึ เสียง โปรแกรมคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนและหลักสูตรรายวิชา ซ่ึงแตล่ ะรูปแบบจะใหแ้ นวทางในการออกแบบการเรียนการสอนท่จี ะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆกัน รูปแบบการสอนคือ การบรรยายส่ิงแวดล้อมทางการเรียน รูปแบบการสอนก็คือ รูปแบบของการเรียนท่ีชว่ ยผเู้ รียนให้ไดร้ ับสารสนเทศ ความคิด ทักษะคุณค่า แนวทางของการคดิ และแนว๘๙ ทศิ นา แขมมณี กล่าวว่า รูปแบบวิธีการสอน หมายถึง สภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอนที่จัดข้ึนอย่างมีระบบระเบียบ มีแบบแผนตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ ๘๗ Saylor and others , J.G., W. Alexander and A. J. Lewis. (1981). Curriculum Planning forBetter Teaching and Learning. New York: Holt, Rinehart and Winston. P.271 ๘๘ Keeves, J.P. 1997. Models and model building. In Keeves, J.P. (ed.). Educationalresearch, methodology and measurement : An International Handbook. 2nd ed., Oxford : PeramanPress.P. 386 ๘๙ Joyce and Well. (1992). “Parental Choice in Public Elementary School : Who Choosesand Why (School Choice),” Dissertation Abstract International. 49 (3) : 2310-A.

๖๕แนวคดิ หรือความเชือ่ ต่างๆ โดยอาศัยวธิ ีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ เข้ามาชว่ ยให้สภาพการเรยี นการสอนน้ันเปน็ ไปตามหลกั การท่ียึดถือ๙๐ การจากศึกษาพบว่า รูปแบบวิธีการสอน หมายถึง แบบหรือแผนของการสอนรปู แบบการสอนแบบหน่ึงจะมีจดุ เน้นทีเ่ ฉพาะเจาะจงอยา่ งใดอย่างหนึ่ง รูปแบบการสอนแตล่ ะรปู แบบจงึ อาจมีจุดหมายท่ีแตกต่างกัน ซ่ึงสามารถใช้การสอนในห้องเรียน หรือสอนพิเศษเป็นกลุ่มย่อย หรือมีแผนแสดงการเรียนการสอน สาหรับนาไปใช้สอนในห้องเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ให้มากที่สุด ประกอบด้วย หลักการ จุดมุ่งหมาย เน้ือหา และทักษะท่ีต้องการสอน ยุทธศาสตร์การสอน วิธีการสอน กระบวนการสอน ข้ันตอนและวิธีการสอน และการวัดและประเมินผล ๒. ประเภทรูปแบบวิธีการสอน ปัจจุบันนี้นักการศกึ ษาไดค้ ิดคน้ วิธีสอนและเทคนิคการสอนมากมายหลายวธิ ี แต่ในสว่ นนี้จะนาเสนอเพียงบางวิธี เพือ่ นาไปประยกุ ต์ใช้ให้เหมาะสมกบั บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในชั้นเรียน ซ่ึงวิธสี อนใหม่ๆทน่ี ักการศึกษาได้คิดค้นและทดลองใช้แล้วประสบความสาเร็จตามเป้าหมายมีหลายวิธี ขอนาสอนบางวิธี ได้แก่ รูปแบบวิธีสอนแบบโมเดลซิปปา (CIPPA) วิธีการสอนแบบโครงงานและวธิ สี อนโดยการจัดการเรียนรแู้ บบวัฏจกั รการเรียนรู้ (4 MAT) ดงั น้ี ๒.๑ แบบโมเดลซิปปา (CIPPA MODEL) โมเดลซปิ ปา (CIPPA MODEL) เป็นแนวคิดในการเรียนการสอนทเี่ นน้ ผู้เรียนเป็นสาคัญ สอดคลอ้ งกบั แนวคิดทางการศกึ ษาทางตะวันตก โดยเปลยี่ นบทบาทของครจู ากผสู้ อน เปน็ ผ้จู ัดประสบการณ์การเรยี นรใู้ ห้แกผ่ ู้เรยี น โดยผ้สู อนจะต้องรู้จักออกแบบการจัดการเรียนรู้ใหผ้ เู้ รียนได้รูจ้ ักสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูล มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ รู้จักแลกเปลย่ี นความคิดและประสบการณ์ระหวา่ งกัน ผเู้ รียนได้เรียนรู้กระบวนการคไู่ ปกับการปฏิบตั ิและสามารถนาประยกุ ต์ใชไ้ ด้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ประสิทธผิ ล มีนักวิชาการศึกษาให้ความสาคญั ดังนี้ ๑. ความหมาย ทศิ นา แขมมณี ได้ให้ความหมายวธิ ีการสอบแบบซปิ ปา (CIPPA MODEL) ว่ารูปแบบการสอนโมเดลซปิ ปา เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ใี ห้ผู้เรียนเป็นผูส้ ร้างความรู้ด้วยตนเอง(Construction of knowledge) ซงึ่ นอกจากผู้เรยี นจะตอ้ งเรียนรดู้ ้วยตนเองและพึงตนเองแลว้ ยงั ต้อง ๙๐ ทิศนา แขมมณี, ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามรเู้ พอื่ การจัดกระบวนการเรียนรทู้ ่ีมีประสิทธิภาพ,พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๖, (กรุงเทพมหานคร : ดา่ นสทุ ธาการพิมพ,์ ๒๕๕๐), หนา้ ๓

๖๖พ่ึงการมีปฏิสัมพันธ์ (interaction) กับเพื่อนๆ บุคคลอื่นๆ และส่ิงแวดล้อมรอบตัวรวมทั้งต้องอาศัยทกั ษะกระบวนการ (process skills) ต่างๆ จานวนมากเป็นเคร่ืองมอื ในการสร้างความรโู้ ดยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้อย่างต่ืนตัว ผู้เรียนได้มีการเคล่ือนไหวทางกาย อย่างเหมาะสมและจะทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี เข้าใจลึกซึ้งและอยู่คงทนมากข้ึนหากผ้เู รียนมีโอกาสนาความรู้มาประยกุ ตใ์ ช้ ในสถานการณท์ ่ีหลากหลาย ให้คาจากัดความของการจดั การเรียนการสอนแบบซิปปาซ่งึ มคี วามหมายตามตัวอักษร คอื C หมายถึง Construct คือการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยกระบวนการแสวงหาข้อมูล ทาความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ ตีความ แปลความ สร้างความหมายสังเคราะห์ข้อมูลและสรปุ ข้อความ I หมายถึง Interaction คือ การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรียนรู้จากกันแลกเปลยี่ นขอ้ มูลความคดิ และประสบการณ์แก่กันและกัน P หมายถึง Participation คือการให้ผู้เรียนมีบทบาท มสี ่วนร่วมในการเรยี นรู้มากท่สี ุด P หมายถึง Process หรือ Product คือการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการควบค่ไู ปกับผลงาน ขอ้ ความทส่ี รปุ ได้ A หมายถึง Application คือการให้ผู้เรียนนาความรู้ท่ีได้ไปใช้ให้เป็นประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวัน๙๑ ทศั นวรรณ รามณรงค์ ไดใ้ หก้ ล่าวถึงความหมายการเรียนรูปแบบวิธสี อนแบบโมซิปปา (CIPPA MODEL) วา่ เปน็ หลักการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเปน็ ศนู ย์กลาง เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ศูนย์กลางในการเรียนรู้ เป็นหลักที่นามาใช้จัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเสนอแนวคิดโดย รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี อาจารย์ประจาภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย มีจุดเน้นที่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมท้ังทางร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์หลักการจัดของโมเดลซิปปา มีองค์ประกอบที่สาคัญ ๕ ประการ ได้แก่ ๙๑ ทิศนา แขมณี. ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ(กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๕), หนา้ ๑๔

๖๗ C มาจากคาว่า Construct หมายถึง การสร้างความรู้ ตามแนวคิด การสรรค์สร้างความรู้ได้แก่ กิจกรรมที่ช่วยให้ผูเ้ รียนมีโอกาสสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง ซ่ึงทาให้ผู้เรยี นเข้าใจและเกดิ การเรยี นรู้ทีม่ คี วามหมายต่อตนเองกิจกรรมนี้ช่วยให้ผเู้ รยี นมีสว่ นร่วมทางสตปิ ัญญา I มาจากคาว่า Interaction หมายถึง การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไดแ้ ก่ กิจกรรมที่ผ้เู รียนเกดิ การเรียนร้จู ากการเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับบคุ คล เช่น ครู เพื่อน ผ้รู ู้หรือมีปฏสิ ัมพันธ์กับสง่ิ แวดล้อม เช่น แหลง่ ความรู้ และส่ือประเภทต่าง ๆ กจิ กรรมนี้ ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนมีส่วนรว่ มทางสังคม P มาจากคาว่า Physical Participation หมายถึง การมีสว่ นร่วมทางกาย ได้แก่กิจกรรมทใ่ี ห้ผเู้ รยี นมโี อกาสเคลอ่ื นไหวรา่ งกายในลักษณะตา่ ง ๆ P มาจากคาว่า Process Learning หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ท่ีเป็นทักษะท่ีจาเป็นต่อการดารงชีวิต ได้แก่ กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนทาเป็นข้ันตอนจนเกิดการเรียนรู้ ทั้งเนอื้ หาและกระบวนการ กระบวนการทน่ี ามาจดั กิจกรรม เช่น กระบวนการคิด กระบวนการแกป้ ัญหากระบวนการกลุ่ม กระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น กิจกรรมน้ีช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา A มาจากคาว่า Application หมายถึง การนาความรู้ท่ีได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ กจิ กรรมที่ใหโ้ อกาสผูเ้ รยี นเช่ือมโยงความรู้ทางทฤษฎีไปสู่การปฏิบัตทิ ีเ่ ป็นประโยชน์ในชีวิตประจาวัน กิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้หลายอย่างแล้วแต่ลักษณะของกิจกรรม๙๒ ปิยวรรณ ลอดทอง ได้กล่าวถงึ การสอนโดยรูปแบบโมซิปปา (CIPPA MODEL) ไว้ดงั น้ี ทิศนา แขมมณี กล่าวว่า การเรยี นการสอนแบบซิปปา เป็นรูปแบบของการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบหน่ึงท่ีได้รับความสนใจและมีนักการศึกษาให้คาจากัดความของการจัดการเรียนการสอนแบบซปิ ปา ซง่ึ มคี วามหมายตามตวั อกั ษร คอื C หมายถึง Construct คือการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยกระบวนการแสวงหาข้อมูล ทาความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ ตีความ แปลความ สร้างความหมายสังเคราะห์ขอ้ มูลและสรปุ ข้อความ I หมายถึง Interaction คือ การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรียนรู้จากกันแลกเปลีย่ นข้อมูลความคดิ และประสบการณแ์ กก่ นั และกนั ๙๒ ทั ศ น ว ร ร ณ ร า ม ณ ร ง ค์ , โ ม เ ด ล ซิ ป ป า ( CIPPA Model) , [อ อ น ไ ล น์ ], แ ห ล่ ง ที่ :https://www.gotoknow.org/posts. [๒๒ มิ.ย.๖๑]

๖๘ P หมายถึง Participation คือการให้ผู้เรียนมีบทบาท มีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากทส่ี ดุ P หมายถึง Process หรือ Product คือการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการควบคูไ่ ปกับผลงาน ขอ้ ความที่สรปุ ได้ A หมายถงึ Application คือการใหผ้ เู้ รยี นนาความรทู้ ีไ่ ดไ้ ปใชใ้ ห้เปน็ ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั ๙๓ สรุปได้วา่ รูปแบบวิธีสอนแบบซิปปาโมเดล CIPPA Model ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ส่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนรู้ท้งั ทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม มีส่วนรว่ มทางด้านอารมณ์นนั้ ความจริงแล้วมีเกิดขึ้นควบคู่ไปกับทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม ซ่ึงหากครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผ้เู รียนไดต้ ามหลกั ดังกล่าวแล้ว การจัด การเรยี นการสอนของครูกจ็ ะมลี ักษณะท่ผี เู้ รียนเปน็ ศูนย์กลางอยา่ งแทจ้ ริง วธิ ีการที่จะจดั การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ CIPPAModel สามารถทาไดโ้ ดยครอู าจเร่ิมตน้ จากแผนการสอนท่ีมอี ยแู่ ลว้ และนาแผนดังกลา่ วมาพิจารณาตาม CIPPA Model หากกิจกรรมตามแผนการสอนขาดลักษณะใดไป ก็พยายามคดิ หากิจกรรมที่จะชว่ ยเพ่ิมลักษณะดงั กลา่ วลงไป หากแผนเดิมมีอย่บู ้างแล้ว ก็ควรพยายามเพิ่มให้มากข้ึน เพื่อกิจกรรมจะได้มีประสิทธิภาพมากข้ึน เมื่อทาเช่นนี้ได้จนเริ่มชานาญแล้ว ต่อไปครูก็จะสามารถวางแผนตามCIPPA Model ไดไ้ ม่ยากนกั ๒. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบซปิ ปา (CIPPA MODEL) ซิปปา (CIPPA) เป็นหลักการซึ่งสามารถนาไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” สามารถใช้วิธีการและกระบวนการทหี่ ลากหลาย ซงึ่ อาจจดั เปน็ แบบแผนได้หลายรปู แบบ ดังนี้ ทิศนา แขมมณี ไดเ้ สนอกระบวนการจัดการเรียนการสอนตามรปู แบบของซปิ ปาซง่ึ ประกอบดว้ ยขั้นตอนการดาเนนิ การ ๗ ขั้นตอน๙๔ ดงั น้ี ขัน้ ท่ี ๑ การทบทวนความรูเ้ ดิม ๙๓ ปยิ วรรณ ลอดทอง.การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซปิ ปา (CIPPA MODEL) [ออนไลน์],แหล่งทที่ : https:/data.boppobec.info/emis/news/news_view_school.php. [๒๓ มิ.ย.๖๑] ๙๔ ทิศนา แขมณี, รปู แบบการเรียนการสอน : ทางเลอื กทีห่ ลากหลาย. (กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พ์จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๘), หน้า ๒๘๓

๖๙ ขั้นน้ีเป็นการดึงความรู้ของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเช่อื มโยงความรใู้ หม่กับความรู้เดมิ ของตน ซึง่ ผสู้ อนอาจใช้วิธกี ารตา่ งๆ ขน้ั ท่ี ๒ การแสวงหาความรู้ใหม่ ขนั้ น้ีเปน็ การแสวงหาข้อมูลความรูใ้ หม่ทผ่ี ู้เรียนยังไม่มจี ากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ ซึ่งครูอาจเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คาแนะนาเก่ียวกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆเพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหากไ็ ด้ ขั้นที่ ๓ การศึกษาทาความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเช่ือมโยงความรู้ใหม่กบั ความรู้เดิมขั้นน้ีเปน็ ขัน้ ท่ีผู้เรยี นจะต้องศึกษาและทาความเข้าใจกับข้อมูล/ความร้ทู ี่หามาไดผ้ ู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่นใชก้ ระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกย่ี วกับข้อมูลน้ัน ๆ ซึ่งอาจจาเป็นต้องอาศยั การเชอ่ื มโยงกับความรเู้ ดิม ขน้ั ท่ี ๔ การแลกเปลย่ี นความรู้ความเข้าใจกับกล่มุ ขั้นนี้เป็นข้ันที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเคร่ืองมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ความเขา้ ใจของผอู้ นื่ ไปพร้อม ๆ กนั ขนั้ ท่ี ๕ การสรุปและจัดระเบยี บความรู้ ขั้นน้ีเปน็ ข้นั การสรุปความร้ทู ไ่ี ดร้ ับท้ังหมด ทั้งความรู้เดิมและความรใู้ หม่ และจดั สงิ่ ที่เรยี นให้มรี ะบบระเบียบ เพ่อื ชว่ ยให้ผู้เรยี นจดจาสงิ่ ท่ีเรยี นรู้ไดง้ า่ ย ข้ันท่ี ๖ การปฏิบัติ และ/หรอื การแสดงผลงาน หากข้อความรู้ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนี้เป็นข้ันที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสรา้ งความรู้ของตนใหผ้ ้อู ื่นรับรู้ เป็นการช่วยใหผ้ ู้เรียนได้ตอกย้าหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามขอ้ ความรูท้ ี่ได้ ข้ันน้ีจะเป็นขน้ั ปฏิบตั ิ และมีการแสดงผลงานท่ีได้ปฏิบตั ิดว้ ย ขั้นที่ ๗ การประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ ขน้ั น้ีเป็นข้นั ของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนาความรคู้ วามเขา้ ใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ท่ีหลากหลาย เพ่ิมความชานาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจาในเร่ืองน้ันๆ เป็นการให้โอกาสผู้เรียนใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ เป็นการส่งเสริมความคิดสรา้ งสรรค์ หลงั จากประยกุ ต์ใช้ความรู้ อาจมีการนาเสนอผลงานจากการประยุกตอ์ ีกคร้ังก็ได้หรืออาจไม่มีการนาเสนอผลงานในข้ันที่ ๖ แต่นามารวมแสดงในตอนท้ายหลังขั้นการประยกุ ต์ใชก้ ็ไดเ้ ช่นกนั

๗๐ ๓. ผลท่ีผเู้ รียนจะได้รับจากการเรียนตามรปู แบบ ๑. เป็นกิจกรรมท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านกาย (PhysicalParticipation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย เพ่ือช่วยให้ประสาทการรบั ร้ขู องผ้เู รียนต่นื ตัวพรอ้ มทจี่ ะรบั ข้อมลู และการเรียนรูต้ ่างๆ ๒. เป็นกิจกรรมท่ีช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา (IntellectualParticipation) คอื เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเคล่ือนไหวทางสติปญั ญาหรือพูดง่ายๆ ๓. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม (Social Participation)คอื เป็นกจิ กรรมทช่ี ่วยใหผ้ ู้เรียนมปี ฏิสัมพันธท์ างสงั คมกับบคุ คลหรือสิ่งแวดล้อมรอบตวั ๔. เป็นกิจกรรมท่ีช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางอารมณ์ ( EmotionalParticipation) คือ กิจกรรมท่ีส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้น้ันเกิดความหมายต่อตนเอง กิจกรรมที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้เรียนน้ัน มักจะเป็นกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับชวี ิต ประสบการณ์ และความเป็นจริงของผู้เรียน จะต้องเป็นสิ่งท่ีเกี่ยวข้องกับตัวผู้เรียนโดยตรงหรือใกล้ตัวผู้เรียน สรุปได้วา่ การจดั การเรียนการสอนตาม CIPPA Model สามารถส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ท้ังทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม ส่วนการมีส่วนร่วมทางด้านอารมณ์น้ัน ความจริงแล้วมเี กิดขนึ้ ควบคู่ไปกบั ทุกด้าน ไม่วา่ จะเป็นทางดา้ นกาย สตปิ ัญญา และสังคมซึ่งหากครูสามารถจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ตามหลักดังกล่าวแล้ว การจัด การเรียนการสอนของครูก็จะมีลักษณะที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง วิธีการที่จะจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ CIPPA Model สามารถทาได้โดยครูอาจเริ่มต้นจากแผนการสอนท่ีมีอยู่แล้ว และนาแผนดังกล่าวมาพิจารณาตาม CIPPA Model หากกิจกรรมตามแผนการสอนขาดลักษณะใดไป ก็พยายามคิดหากิจกรรมท่ีจะช่วยเพ่ิมลักษณะดังกล่าวลงไป หากแผนเดิมมีอยู่บา้ งแล้ว ก็ควรพยายามเพิ่มให้มากขึ้น เพอ่ื กิจกรรมจะได้มปี ระสทิ ธภิ าพมากขึ้น เม่ือทาเช่นน้ไี ด้จนเรม่ิ ชานาญแล้ว ต่อไปครูก็จะสามารถวางแผนตาม CIPPA Model ไดไ้ มย่ ากนัก ๒.๒ แบบโครงงาน การเรียนการสอนแบบโครงงาน คือ การจัดการสอนท่ีจัดประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้แก่ผู้เรียนเหมือนกับการทางานในชีวิตจริงอย่างมีระบบ เพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรง ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้ทาการทดลอง ได้พิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง รจู้ ักการวางแผนการทางาน ฝึกการเปน็ ผนู้ า ผตู้ าม ตลอดจนได้พัฒนากระบวนการ

๗๑คดิ โดยเฉพาะการคิดข้ันสูง (Higher Order Thinking) และการประเมินตนเอง โดยนักวิธีชาการทางการศกึ ษาได้ให้ความสาคญั ต่อไปนี้ ๑. ความหมาย รปู แบบวิธีการสอนเรยี นรแู้ บบโครงงานเป็นการจัดการเรียนรู้ วิธีหน่ึงทใ่ี หผ้ ู้เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติจริงเป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ศึกษาซ่ึงมีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบโครงงานดังน้ี กระทรวงศึกษาธิการ. ได้ให้ความหมายไว้ว่าการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน คือ การเรยี นการสอนท่ีจัดประสบการณใ์ นการปฏิบตั ิงานใหแ้ ก่เด็ก เหมือนกับการทางานในชีวิตจริง เพ่อื ให้เดก็ ได้ประสบการณ์โดยตรง เดก็ ไดเ้ รียนรู้วธิ ีการแก้ปญั หา โดยวธิ ีทางวิทยาศาสตร์ เด็กได้ทาการทดลอง ได้พิสูจนส์ ่ิงต่างๆ ด้วยตนเอง ร้จู ักหาวธิ ีการต่างๆมาแก้ปัญหา เด็กจะทางานอย่างเป็นระบบขน้ั ตอนรจู้ ักวางแผน ฝึกการเปน็ ผู้นาและผู้ตาม ฝกึ การคดิ วเิ คราะห์และประเมนิ ตนเอง๙๕ สุชาติ วงศ์สุวรรณ ไดใ้ หก้ ล่าวถึงโครงงาน หมายถึง การจัดการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองจากการลงมือปฏิบัติจริงในลักษณะของการศึกษาสารวจค้นคว้าทดลองประดษิ ฐค์ ิดคน้ โดยมีครูเป็นผู้คอยกระต้นุ แนะนาและใหค้ าปรกึ ษาอย่างใกล้ชิด๙๖ ทิศนา แขมมณี ไดก้ ล่าวถึงวิธีการสอนแบบโครงงาน หมายถึง เป็นรูปแบบการเรียนการสอนท่ีมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นหาความสามารถ ความถนัดและความสนใจของตนเองในด้านต่าง ๆ มาจากแนวคิดพื้นฐานของงการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) และการเรียนรู้ตามสภาพจริงโดยมีการศึกษาหลักการและวิธีเก่ียวกับโครงงานที่เลือกศึกษาวิเคราะห์วางแผนการทางานลงมือทางานและปรับปรุงเพื่อให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ในกระบวนการเรียนการสอนได้ใช้ทักษะกระบวนการสอดแทรกคุณธรรมทางานเป็นกลุ่มฝึกปฏิบัติจริงเน้นผู้เรียนมีส่วนร่วม มีครูเป็นผู้ชี้แนะให้คาปรึกษาตลอดเวลาเน้นฝึกคนให้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง๙๗ ๙๕ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, คณะกรรมการ, การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน,(กรงุ เทพมหานคร : กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๒),หน้า ๔๖ ๙๖ สุชาติ วงศ์สุวรรณ, การเรียนรู้สา หรับศตวรรษที่ ๒๑ การเรียนรู้ที่นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง “โครงงาน”. (กรงุ เทพมหานคร ศนู ยพ์ ฒั นาหลักสูตร กรมวิชาการกระทรวงศกึ ษาธิการ ๒๕๔๒), หน้า ๖ ๙๗ ทศิ นา แขมมณี และคณะ, กระบวนการเรียนรู้ : ความหมาย แนวทางการพฒั นาและปญั หาขอ้ งใจ.(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั ,๒๕๔๓), หน้า ๑๔

๗๒ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ ได้กล่าวถึงความหมายของโครงงานว่า เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างองค์ความรู้หรือแก้ปัญหาโดยการศึกษาค้นควา้ ทดลองตามข้นั ตอนและสว่ นประกอบของโครงงาน๙๘ อาภาภรณ์ ใจเท่ียง ได้กล่าวว่า โครงงาน หมายถึง การจัดการเรียนรู้วิธีหนึ่งท่ีให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงเป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าทดลองนาเสนอผลงานตามความสามารถของแต่ละคนจัดเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมาของการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาติ ที่ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนได้พฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเตม็ ศกั ยภาพ๙๙ สคุ นธ์ สินธพานนทแ์ ละคณะ ได้กล่าวถงึ การเรยี นรแู้ บบโครงงาน คอื เป็นวิธีการสอนท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียน ได้ศึกษาค้นคว้ากระทาในส่ิงที่ตนสนใจและเป็นผู้วางแผนการทางานได้ด้วยตนเองโดยมีผูส้ อนเป็นผใู้ ห้คาปรกึ ษาหรเื สนอแนะแนวทางผูเ้ รียนจะต้องฝกึ กระบวนการทางานอย่างมีขั้นตอน คือวางแผนการดาเนินงานด้วยการเขียนโครงงานเสนอผู้สอนเมื่อได้รับการอนุมัติก็จะดาเนินงานตามแผนเก็บข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล สรุปแผนการดาเนินงานและรายงานการปฏิบัติงาน รายงานสภาพปญั หา อุปสรรคและขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข๑๐๐ พิมพันธ์ เดชะคุปต์และคณะ ได้กล่าวว่าการทาโครงงาน หมายถึง การศึกษาเพื่อค้นพบความรู้ใหม่สิ่งประดิษฐ์ใหม่และวิธีการใหม่ด้วยตัวของนักเรียนเองโดยใช้วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์มีครูอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ใหค้ าปรึกษาความรู้ใหม่ ส่ิงประดิษฐ์ใหม่และวิธีการใหมน่ น้ั ทงั้ นักเรยี นและครูไม่เคยรูห้ รอื มปี ระสบการณม์ ากอ่ น (unknown by all)๑๐๑ จากความหมายของโครงงานท่ีนักการศึกษาได้ให้ความไว้ข้างต้นน้ัน สรุปได้ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานหมายถึง เป็นวิธีการสอนท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียน ได้ศึกษาค้นคว้ากระทาในสิ่งที่ตนสนใจและเป็นผู้วางแผนการทางานได้ด้วยตนเองโดยมีครูเป็นผู้คอยกระตุ้นแนะนาและให้คาปรึกษาอย่างใกล้ชิด ฝึกให้ผู้เรียนมีการวางแผนการจัดทาโครงงานเป็นขั้นตอนเพื่อค้นพบความรใู้ หม่สงิ่ ประดษิ ฐใ์ หม่และวธิ กี ารใหมด่ ว้ ยตัวของนกั เรียนเอง ๒. ประเภทโครงงาน ๙๘ วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน,์ นวัตกรรมเพื่อการเรยี นรู้, ภาควิชาหลกั สตู รและการสอน คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลยั สารคาม,๒๕๔๙), หนา้ ๒๑๓ ๙๙ อาภาภรณ์ ใจเท่ียง, หลักการสอน, (กรุวเทพมหานคร : โอเอส พริ้นต้ิง เฮ้าส์, ๒๔๕๑) หนา้ ๙ ๑๐๐ สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ, วิธีสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพของ เยาวชน,(กรงุ เทพมหานคร : ๙๑๙๙ เทคนิคพรน้ิ ตง้ิ นิทาน, ๒๕๕๔), หนา้ ๑๐๐ ๑๐๑ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข, การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑, (กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์ แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๒๕

๗๓ ๑. โครงงานประเภทสารวจ (Survey Research Project) โครงงานประเภทนผี้ เู้ รียนเพยี งแต่ต้องการสารวจและรวบรวมขอ้ มลู แล้วนาข้อมูลเหลา่ นัน้ มาจาแนกเปน็ หมวดหมู่ และนาเสนอในรูปแบบตา่ ง ๆ เพื่อใหเ้ หน็ ลกั ษณะหรอื ความสมั พนั ธ์ในเรอื่ งท่ีตอ้ งการศึกษาไดช้ ดั เจนยิ่งขึ้น ๒. โครงงานประเภทการทดลอง (Experimental Research Project)โครงงานประเภทนเี้ ป็นโครงงานที่มีการออกแบบการทดลองเพ่ือศกึ ษาผลของ ตัวแปรหนึ่งท่ีมีผลต่อตัวแปรอีกตัวหน่ึงที่ต้องการศึกษา โดยควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ท่ีอาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาไว้ขั้นตอนการดาเนินงานของโครงงานประเภทนี้จะประกอบด้วยการกาหนดปัญหา การกาหนดจุดประสงค์ การตั้งสมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การดาเนินการทดลอง การรวบรวมข้อมูลการตคี วามหมายขอ้ มูลและการสรุป ๓. โครงงานประเภทส่ิงประดิษฐ์ (Development Research Project)โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานเก่ียวกับการประยกุ ต์ทฤษฎี หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์หรอื ด้านอื่นๆ มาประดิษฐ์ของเล่น เครื่องมือ เคร่ืองใช้หรืออุปกรณ์ เพ่ือประโยชน์ใช้สอยต่างๆ ซึง่ อาจจะเป็นส่งิ ประดิษฐ์ใหม่ หรือปรับปรุงเปล่ยี นแปลงของเดิมทีม่ ีอยแู่ ลว้ ให้มีประสทิ ธิภาพสูงขึ้นก็ได้ อาจจะเป็นด้านสงั คม หรอื ดา้ นวิทยาศาสตร์ หรือการสร้างแบบจาลองเพ่ืออธิบายแนวคิดต่างๆ ๔. โครงงานประเภททฤษฎี (Theoretical Research Project) โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานนาเสนอทฤษฎี หลกั การหรือแนวคิดใหม่ ๆ ซึง่ อาจจะอยู่ในรูปของสูตรสมการหรือคาอธิบายก็ได้ โดยผู้เสนอได้ต้ังกติกาหรือข้อตกลงขึ้นมาเอง แล้วนาเสนอทฤษฎี หลักการหรือแนวคิด หรือจินตนาการของตนเองตามกติกาหรือข้อตกลงน้ัน หรืออาจจะใช้กติกาหรือข้อตกลงเดิมมาอธิบายก็ได้ ผลการอธิบายอาจจะใหม่ยังไม่มใี ครคิดมาก่อน หรืออาจจะขัดแย้งกับทฤษฎเี ดิม หรืออาจจะเป็นการขยายทฤษฎีหรือแนวคิดเดิมกไ็ ด้ ซ่ึงผทู้ ี่ทาโครงงานประเภทนตี้ ้องมีพน้ื ฐานความรู้ ในเรอ่ื งนน้ั ๆ อยา่ งดี โครงงานประเภทน้ี ได้แก่ โครงงานทฤษฎขี องเซต โครงงานทฤษฎีดาวเคราะห์นอ้ ยโครงงานทฤษฎกี ารเกิดโลก โครงงานทฤษฎกี ารเกิดคล่นื ความรอ้ นในมหาสมทุ ร เปน็ ต้น ๓. ขน้ั ตอนการทาโครงงาน การทาโครงงานเป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่องและมีการดาเนินงานหลายขั้นตอนตง้ั แต่เรม่ิ ตน้ จนถึงขน้ั สุดทา้ ย อาจสรุปลาดับได้ดังนี้ ขัน้ ตอนท่ี ๑ การคิดและเลอื กหวั เร่ือง ผู้เรียนจะต้องคิดและเลือกหัวเรื่องของโครงงานด้วยตนเองว่าอยากจะศึกษาอะไร ทาไมจึงอยากศึกษา หวั เรอื่ งของโครงงานมักจะได้มาจากปัญหา คาถาม หรือความอยากรูอ้ ยากเห็นเกีย่ วกับเร่ืองต่าง ๆ ของผ้เู รียนเอง หัวเร่ืองของโครงงานควรเฉพาะเจาะจงและชดั เจน เมอ่ื ใครได้อา่ นชื่อเรือ่ งแล้ว ควรเข้าใจและรูเ้ รื่องว่า โครงงานน้ีทาอะไร การกาหนดหวั เร่ืองของโครงงานนั้น มี

๗๔แหล่งท่ีจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดและสนใจ จากหลายแหล่งด้วยกัน เช่น จากการอ่านหนังสือเอกสาร บทความ การไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ การฟังบรรยายทางวิชาการ การเข้าชมนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานทางวิทยาศาสตร์ การสนทนากับบุคลต่าง ๆ หรือจากการสังเกตปรากฏการณต์ ่าง ๆ รอบตัว เป็นต้น นอกจากนี้ควรคานึงถงึ ในเรอื่ งตอ่ ไปนี้ ขน้ั ตอนที่ ๒ การวางแผน การวางแผนการทาโครงงาน จะรวมถึงการเขียนเค้าโครงของโครงงาน ซึ่งต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การดาเนินการเป็นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบ ไม่สับสน แล้วนาเสนอต่อผู้สอน หรอื ครูทป่ี รึกษา เพ่อื ขอความเห็นชอบก่อนดาเนนิ การขัน้ ต่อไป ขนั้ ตอนที่ ๓ การดาเนินงาน เม่ือท่ีปรึกษาโครงงานให้ความเห็นชอบเค้าโครงของโครงงานแล้ว ต่อไปก็เป็น ข้ันลงมือปฏิบัติงานตามขั้นตอนท่ีได้ระบุไว้ ผู้เรียนต้องพยายามทาตามแผนงานท่ีวางไว้ เตรียมวัสดอุ ุปกรณ์และสถานทใ่ี ห้พร้อม ปฏิบัติงานด้วยความละเอียดรอบคอบ คานึงถึงความประหยัดและปลอดภัยในการทางาน ตลอดจนการบันทึกขอ้ มูลต่าง ๆ วา่ ได้ทาอะไรไปบ้าง ไดผ้ ลอย่างไร มีปัญหาและข้อคดิ เห็นอย่างไร พยายามบันทกึ ใหเ้ ปน็ ระเบยี บและครบถว้ น ขน้ั ตอนที่ ๔ การเขียนรายงาน การเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงงาน เป็นวิธีสื่อความหมายวิธีหนึ่งที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าใจถงึ แนวคดิ วธิ ีการดาเนินงาน ผลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงงานนน้ั การเขยี นโครงงานควรใชภ้ าษาทอ่ี า่ นแลว้ เข้าใจงา่ ย ชดั เจนและครอบคลุมประเด็นสาคัญๆ ท้ังหมดของโครงงาน ข้นั ตอนที่ ๕ การนาเสนอผลงาน การนาเสนอผลงานเป็นขั้นตอนสดุ ท้ายของการทาโครงงาน เป็นวธิ ีการที่จะทาให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจถึงผลงานน้ัน การนาเสนอผลงานอาจทาได้หลายรูปแบบข้ึนอยู่กับความเหมาะสมกับประเภทของโครงงาน เน้ือหา เวลา ระดบั ของผเู้ รียน เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การเล่าเรื่อง การเขียนรายงาน สถานการณ์จาลอง การสาธิต การจัดนิทรรศการ ซึ่งอาจจะมีท้ังการจัดแสดงและการอธิบายด้วยคาพูด หรือการรายงานปากเปล่า การบรรยาย การใช้ CAI (ComputerAssisted Instruction) การใช้ Multimedia Computer/ Homepage แต่ส่ิงท่ีสาคัญคือ ผลงานท่ีจดั แสดงตอ้ งดึงดูดความสนใจของผูช้ ม มีความชัดเจน เขา้ ใจง่าย และมคี วามถกู ตอ้ งของเนอ้ื หา ขนั้ ตอนท่ี ๖ การประเมนิ โครงงาน การประเมนิ ผลเป็นหวั ใจของการเรียนการสอน ที่สะทอ้ นสภาพความสาเร็จของการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ผู้สอนและผู้เรยี นร่วมกันประเมนิ ผลว่ากจิ กรรมท่ีทาไปนั้นบรรลุ

๗๕ตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้หรือไม่ อย่างไร ปัญหาและอุปสรรคท่ีพบคืออะไรบ้าง ได้ใช้วิธีการแก้ไขอย่างไร ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการทาโครงงานน้ี ได้แก่ ผู้เรียนประเมินตนเอง เพ่ือนช่วยประเมนิ ผสู้ อนหรอื ครทู ปี่ รึกษาประเมิน ผู้ปกครองประเมิน บุคคลอืน่ ๆ ทีส่ นใจและมสี ่วนเก่ยี วข้อง ๒.๓ แบบวฏั จักรการเรียนรู้ (4 MAT) รูปแบบวธิ ีสอนแบบวัฏจักรการเรยี นรู้ 4 MAT ได้พัฒนามาจากการศึกษาค้นคว้าของ Bernice McCarthyนักการศึกษาซ่ึงเช่ือในศักยภาพผู้เรียนท่ีมีความแตกต่างกัน โดยคานึงถึงรูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละประเภท ต่อมาเขาได้แนวคิดและทฤษฎีการเรียนรู้ของDavid Kolb ที่แบ่งรูปการเรียนรู้ตามความแตกต่างของการเรียนรู้เป็น ๔ ส่วน ตามจุดตัดแกนรับรู้และแกนกระบวนการโดยส่วนที่เป็นวงล้อแห่งการเรียนรู้เป็นลักษณะของผู้เรียน ๔ แบบ BerniceMcCarthy ได้ประยุกต์แนวคิดของ David Kolb โดยให้พ้ืนท่ี ๔ ส่วน ที่เกิดจากการตัดแกนของการรับรู้ และแกนกระบวนการ แทนลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียน ๔ ประเภท โดยคานึงถึงความคิดเกยี่ วกบั กระบวนการทางานของสมองซีกซา้ ยและซีกขวา กับธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ ดังนี้ ๑. ความหมาย McCarthy, B. and Morris ได้กล่าวถึงแนวความคิดของการเรียนรู้ระบบ4MAT เป็นการจัดกิจกรรมหมุนเวียนเป็นลาดับขั้นตอน ตามระบบการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนที่มีลักษณะการเรียนรู้แตกต่างกันได้เรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างมีความสุข โดยนาแนวคิดเกยี่ วกบั แบบการเรียนรู้ของนกั เรยี น ๔ แบบของคอล์บกับเทคนิคการพัฒนาสมองซกี ซา้ ยและซกี ขวาอย่างสมดลุ ๑๐๒ดังนี้ ๑๐๒ McCarthy, B. and Morris, S. (1990). 4MAT in Action I and II. Barrington U.S.A. : ExcelInc.

๗๖ รูปที่ ๑ การเรยี นรู้ด้วยระบบ 4MAT ๒. ข้นั ตอนของการจัดการเรยี นการสอนตามแนวคดิ 4MAT มีดงั นี้ ชว่ งที่ ๑ แบบ Why คือ สรา้ งประสบการณ์เฉพาะของผ้เู รียน ขั้นที่ ๑ (กระตนุ้สมองซกี ขวา) สร้างประสบการณ์ตรงทีเ่ ป็นรูปธรรมแก่ผู้เรียน การเรยี นรู้เกิดจากการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาสมองซีกขวา ขั้นที่ ๒ (กระตุ้นสมองซีกซ้าย) วิเคราะห์ไตร่ตรองประสบการณ์ การเรียนรู้เกิดจากการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาสมองซีกซ้าย ช่วงท่ี ๒ แบบ What คือ พัฒนาความคิดรวบยอดของผเู้ รียน ข้ันท่ี ๓ (กระตุ้นสมองซีกขวา) สะท้อนประสบการณ์เป็นแนวคิด การเรียนรู้เกดิ จากการจดั กจิ กรรมเพ่อื พัฒนาสมองซกี ขวา ขั้นที่ ๔ (กระตุ้นสมองซีกซ้าย) พฒั นาทฤษฎีและแนวคิด การเรียนรู้เกิดจากการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาสมองซีกซ้าย ช่วงที่ ๓ แบบ How คือ การปฏิบัติและการพัฒนาแนวคิดออกมาเปน็ การกระทา ขั้นที่ ๕ (กระตุ้นสมองซีกซ้าย) ดาเนินตามแนวคิด และลงมือปฏิบัติหรือทดลอง การเรียนรเู้ กดิ จากการจดั กจิ กรรมพัฒนาสมองซีกซ้าย ข้ันท่ี ๖ (กระตุ้นสมองซีกขวา) ต่อเติมเสริมแต่ง และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้เกิดจากการจดั กจิ กรรมเพ่ือพัฒนาสมองซีกขวา ช่วงที่ ๔ แบบ If คือ เชอื่ มโยงการเรยี นรูจ้ ากการทดลองปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง จนเกดิ เป็นความร้ทู ี่ลุม่ ลึก ขั้นที่ ๗ (กระตุ้นสมองซีกซ้าย) วิเคราะห์แนวทางท่ีจะนาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และเป็นแนวทางสาหรับการเรียนรู้เพิ่มเติมต่อไป การเรียนรเู้ กิดจากการจัด กิจกรรมเพ่ือพฒั นาสมองซกี ซา้ ย ข้ันท่ี ๘ (กระตุ้นสมองซีกขวา) ลงมือปฏิบัติ และแลกเปล่ียนประสบการณ์การเรยี นร้เู กิดจากการจดั กจิ กรรมเพ่อื พฒั นาสมองซกี ขวา ทิศนา แขมมณี ได้กล่าวถึงวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT หมายถึง รูปแบบวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคัญโดยมุง่ สง่ เสรมิ ความถนดั ของผู้เรียน และส่งเสริมการใช้สมองอย่างสมดุลกัน อันส่งผลให้เกิดการเรียนรู้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และได้พัฒนาผเู้ รยี นอย่างเต็มศักยภาพ ใหม้ ีคณุ ลักษณะ ดี เก่ง มีสุข เน่อื งจากได้ทางานรว่ มกนั ได้สร้างสรรค์ผลงานตามความ

๗๗ถนัดของบุคคล รู้จักบูรณาการประสบการณข์ องตนเข้าด้วยกันอยา่ งมคี วามหมาย และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ไดใ้ นชีวิตจริง๑๐๓ ไพเราะ พุ่มม่ัน ได้กล่าวถึงการเรียนการสอนด้วย 4MAT หมายถึง เป็นการเรียนรู้เชิงวัตถุบนเว็บเป็นวิธีการอันจะตอบสนองต่อการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภา พที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยการเรียนรู้เชิงวัตถุบนเว็บข้ึนมาเพ่ือเสริมสร้างประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้แก่ผเู้ รียน มีผใู้ ห้ความสาคัญ๑๐๔ Proske ได้ศึกษาผลการประยุกต์ใช้การจัดกิจกรรมการสอนแบบ 4 MAT ในการศึกษาวิชาชีพแนะแนว ผลวิจัยพบว่า การจัดกิจกรรมการสอนแบบ 4 MAT สามารถใช้ในการเตรยี มความพร้อมแกน่ กั เรียนในการฝกึ ฝนเกีย่ วกบั การใหค้ าปรกึ ษาและตอบปัญหาตา่ ง ๆ๑๐๕ ดวงหทัย แสงวิรยิ ะ ได้ให้ความหมายรูปแบบวธิ ีสอนแบบ 4 MAT หมายถงึ การจดั การสอนทีค่ านึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคลของนกั เรยี นกับการพัฒนาสมองซีกซ้ายและซีกขวาอย่างสมดุลโดยเป็นกิจกรรมที่คานึงถึงความแตกต่างแบบการเรียนของนักเรียน ๔ แบบ คือ ผู้เรียนแบบท่ี ๑ (Why) มีการเรียนรู้โดยใช้การจินตนาการเป็นหลัก, ผู้เรียนแบบท่ี ๒ (What) มีการเรียนรู้โดยใช้การคิดวเิ คราะห์และเกบ็ รายละเอียดเป็นหลกั , ผูเ้ รยี นแบบท่ี ๓ (How) มีการเรยี นรจู้ ากการลงมอื ปฎิบัติทดลองทา, และผเู้ รยี นแบบที่ ๔ (If) มีการเรียนรู้จากการค้นพบด้วยตนเอง โดยมี 8 ขั้นตอนซง่ึ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้ลาดับขนั้ การสอนแบบ 4 MAT ของ McCarthy ๘ ข้ัน โดยดัดแปลงจากขัน้ ตอนการเขียนแผนการเรยี นการสอนของ คือ ข้ันท่ี ๑ สร้างประสบการณ์ (กระตุ้นสมองซีกขวา) (ครูสร้างประสบการณ์ด้วยการกระตุ้นหรือสรา้ งแรงจูงใจ ใหผ้ ู้เรยี นเชื่อมโยงประสบการณ์เปน็ ของตนเอง) ข้ันท่ี ๒ วิเคราะห์ไตร่ตรองประสบการณ์ (กระตุ้นสมองซีกซ้าย) (ครูให้ผู้เรียนสะท้อนความคดิ จากประสบการณแ์ ละตรวจสอบประสบการณ์) ข้ันท่ี ๓ สะท้อนประสบการณ์เป็นแนวคิด (กระตุ้นสมองซีกขวา) (ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนได้รวบรวมประสบการณ์ และความรู้เพ่ือสร้างความคิดหรือความคิดรวบยอดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง) ๑๐๓ ทิศนา แขมมณี, รูปแบบการเรยี นการสอนทางเลือกทห่ี ลากหลาย, (กรงุ เทพมหานคร : สานักพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๒), หนา้ ๒๖๔ ๑๐๔ ไพเราะ พุ่มม่ัน, การพัฒนาคุณภาพนักเรียนระดับก่อนประถมศึกษาสู่ผลงานทางวิชาการ,(กรงุ เทพมหานคร : แว่นแก้ว, ๒๕๔๔), หน้า ๓ ๑๐๕ Proske (1989). Mathematics for Elementary Teacher. 5 th ed. New York. p280

๗๘ ขน้ั ท่ี ๔ พัฒนาความคิดรวบยอด (กระต้นุ สมองซีกซา้ ย) (ครูให้ผู้เรยี นไดร้ ับข้อมูลหรอื ข้อเท็จจริงตามทฤษฎีหรือตามความคิดรวบยอด ให้ผเู้ รยี นวิเคราะห์และไตร่ตรองประสบการณ์) ขั้นที่ ๕ ดาเนินตามแนวคิดและลงมือปฏิบัติหรือทดลอง (กระตุ้นสมองซีกซ้าย)(ผูเ้ รยี นลงปฏบิ ัติโดยผา่ นประสาทสมั ผสั เพอื่ พัฒนาแนวคดิ และทกั ษะ) ข้ันท่ี ๖ ปรับแต่งเปน็ ความคิดของตนเอง (กระตุ้นสมองซีกขวา) (ผู้เรียนปรับปรุงสิง่ ที่ปฏิบัติดว้ ยวิธีการของตนเอง และบรู ณาการเปน็ องค์ความร้ขู องตนเอง) ขน้ั ที่ ๗ วิเคราะห์เพ่ือนาไปประยุกต์ใช้ (กระตุ้นสมองซีกซ้าย) (ผู้เรียนวิเคราะห์แล้ววางแผนเพื่อประยกุ ตห์ รอื ดดั แปลงสง่ิ ที่เรียนรูไ้ ปใช้ประโยชนต์ อ่ ตนเองและผอู้ นื่ ) ข้ันท่ี ๘ แลกเปลี่ยนความรู้ของตนเองกับผู้อื่น (กระตุ้นสมองซีกขวา) (ผู้เรียนแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรมู้ ากับผอู้ ่นื )๑๐๖ พชั รีวัลยื เกตแุ ก่นจนั ทร์ ไดจ้ าแนกความถนดั ของสมองซกี ซ้ายและขวาไว้๑๐๗ ดังน้ี สมองซีกซา้ ย สมองซีกขวากระบวนการ เหตผุ ล อารมณ์ทางสมอง การกะระยะแนวนอน มิติสมั พันธ์ ให้คาตอนทถ่ี ูกท่ีสุดคาตอบเดยี ว ความคิดสรา้ งสรรค์ แนวคิดแบบโลกตะวันตก แนวคดิ แบบโลกตะวันออกการรบั รู้ รบั รู้เป็นบางส่วน รับรูภ้ าพรวม การวเิ คราะหภ์ าษา ทกั ทที ันใด มลี าดับก่อนหลงั ความร้สู ึกสัมผสัด้านวชิ าการ มแี บบแผนแน่นอน อิสระ การบรรยาย การอ่าน สัญชาติญาณและอภิปรัชญา เหตผุ ลเชงิ อรรถ ศลิ ปะ สนุ ทรยี ภาพ วิทยาศาสตร์การคานวณด้านสังคม จาช่อื คน/สิ่งของไดด้ ี ประสบการณ์ วางแผนล่วงหน้า ทนั ทีทันใด/ปจั จบุ ัน ๑๐๖ ดวงหทัย แสงวิริยะ, ผลการใช้แผนการสอนแบบ 4MAT ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนความรับผิดชอบและเจตคติต่อการเรียนในหน่วยการเรียนเรื่องประชากรศึกษาและการทามาหากิน, ปริญญานิพนธ์ปริญญานิพนธ์, มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมติ ร, ๒๕๔๔ ๑๐๗ พชั รวี ัลย์ เกตแุ ก่นจันทร์, สมองกบั การเรียนร,ู้ กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าการศึกษาพเิ ศษ คณะศึกษาศาสตร์มหาวทิ ยาลัยยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๔๐.

๗๙ คาสงั่ ทีเ่ ป็นขอ้ ความ คิดเปน็ รปู ภาพ มีการใชภ้ าษารว่ มกนั การมองและมิตสิ มั พนั ธ์ด้าน อาร มณ์แล ะ ภาษา ดา้ นสายตาจิตใจ ความเขา้ ใจความหมายของบทเพลง ดนตร/ี เพลงบรรเลง มีเหตุผล/คดิ เป็นคาพดู /สติปญั ญา ความคิดเหนือธรรมชาติ อารมณ์ สรปุ ได้ว่า วิธีการสอนแบบ 4 MAT เปน็ วธิ ีการสอนที่คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนรู้ โดยแบง่ ผ้เู รยี นออกเป็น ๔ แบบ ครูและนักเรียนจะดาเนนิ กจิ กรรมร่วมกนั จนครบ๘ ข้ันตอนของกิจกรรมท่ีเน้นการใช้สมองทั้งสองซีกอย่างสมดุล มีการจัดกิจกรรมอย่างหลากหลายและยืดหยุ่นเหมาะสมกับนักเรียนทุกแบบ ทาให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความสุข โดยได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงมีการคิดวิเคราะห์ ได้ลงมือปฏิบัติจริง ค้นพบความรู้ด้วยตนเอง และประยุกต์เป็นแนวคิดทสี่ มั พันธเ์ ช่อื มโยงกับชวี ิตจรงิ นาไปสทู่ ักษะทางสงั คมอันดีงามในตวั ผู้เรยี น ๓. ลักษณะเด่นของรปู แบบ ถนอมพร (ตันพิพัฒน์) เลาหจรัสแสง ได้กล่าวถึงลักษณะการเรียนจะสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองในเรอ่ื งท่ีเรยี น จะเกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ และนาความรคู้ วามเขา้ ใจนั้นไปใชไ้ ด้และสามารถสร้างผลงานท่เี ป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง รวมทั้งได้พัฒนาทกั ษะกระบวนการตา่ งๆ อีกจานวนมาก ดังนัน้ ลกั ษณะเด่นของรูปแบบการจดั กิจกรรมเรียนรูแ้ บบ 4 MAT จะช่วยส่งเสริมการคิดวิเคราะหต์ ามกรอบความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ไดแ้ ก่๑๐๘ ๑. การนาเสนอประสบการณท์ ีม่ ีความสัมพันธ์กบั ผเู้ รียน ๑.๑ การเสริมสรา้ งประสบการณ์ (สมองซีกขวา) ๑.๒ การวเิ คราะหป์ ระสบการณท์ ่ไี ด้รบั (สมองซกี ซา้ ย) ๒. การเสนอเน้ือหา สาระขอ้ มูลแก่ผู้เรยี น (Presentation) ๒.๑ การบูรณาการประสบการณ์สร้างความคิดรวบยอด (สมองซีกซา้ ย) ๒.๒ การพฒั นาเป็นความคิดรวบยอด (สมองซกี ซ้าย) ๓. การฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนาความคดิ รวบยอด ๓.๑ ปฏบิ ัตติ ามข้นั ตอน (สมองซกี ซา้ ย) ๑๐๘ ถนอมพร (ตันพิพฒั น์) เลาหจรสั แสง, เอกสารประกอบการสอนวิชา ๐๕๙-๗๕๙, (เชยี งใหม่ :มหาวิทยาลยั เชียงใหม่, ๒๕๕๐)

๘๐ ๓.๒ การนาเสนอผลการปฏิบัติงาน (สมองซกี ขวา) ๔. การนาความคิดรวบยอดไปสู่การประยุกต์ใช้ (Application) ๔.๑ การนาความรูไ้ ปประยุกตใ์ ช้พัฒนางาน (สมองซกี ซ้าย) ๔.๒ การนาเสนอผลงานการเผยแพร่ (สมองซกี ขวา) ๔. ประโยชนแ์ ละข้อจากัดของการจัดการเรียนรแู้ บบวัฏจกั รการเรียนรู้ ๑. ประโยชนข์ องการจัดการเรียนร้แู บบวัฏจักรการเรยี นรู้ ๑.๑ ผูเ้ รียนไดพ้ ฒั นาสมองทัง้ ซีกขวา และซกี ซา้ ย อย่างสมดลุ ๑.๒ ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงในการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง รู้จักทางานร่วมกันเปน็ กล่มุ ฝึกความเปน็ ประชาธิปไตย ร้จู กั รับฟังและยอมรับรความคิดเหน็ ของผู้อนื่ ๑.๓ ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการคิดและการตัดสินใจในการทากิจกรรมต่างๆได้แสดงออกซง่ึ ความคิดสร้างสรรค์ ๑.๔ ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้จากการสร้างช่นิ งานต่างๆ ด้วยตนเอง มีความภาคภมู ใิ จในความสาเร็จของตนเอง ๒. ขอ้ จากดั ของการจัดการเรียนร้แู บบวฏั จักรการเรยี นรู้ ๒.๑ ผู้สอนต้องวางแผนการจัดกิจกรรมอย่างหลากหลาย เพ่ือให้ผู้เรยี นได้ใช้ทักษะในการพัฒนาสมองและการสร้างสรรค์ช้ินงาน ๒.๒ ผู้สอนต้องติดตามการเข้าร่วมกิจกรรมของงผู้เรียนอย่างสม่าเสมอ และคอยช้แี นะผเู้ รยี นบางคนหรือบางกล่มุ ทีไ่ ม่สามารถพัฒนาตนได้เท่าเทยี มกับเพอื่ น ๒.๓ ใช้เวลาหรือจานวนช่ัวโมงในการจัดกิจกรรมจานวนมากหลายชั่วโมงผสู้ อนจึงควรระบุช่วงเวลาแต่ละช่วั โมงให้ชัดเจน ๕. การนาไปใช้ การจัดการเรยี นรู้แบบวัฏจกั รการเรียนรู้ (4 MAT) สามารถนาไปใช้สอนได้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และควรออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการท้ังภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้และระหว่างกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ๒.๔ แบบกิจกรรม กิจกรรมการเรียนการสอนย่อมมีการกาหนดเป้าหมาย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดผลสมั ฤทธ์ิตามจุดประสงค์ ที่กาหนดไว้การที่ผูเ้ รยี นจะบรรลุเป้าหมายได้มากน้อยเพยี งใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการจัดรูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนเป็นสาคัญ ฉะน้ันครูผู้สอนจาเป็นต้องมีความรู้ความเขา้ ใจในกิจกรรมการเรียนการสอน จึงจะสามารถจดั กิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่าง

๘๑เหมาะสมและมีประสิทธิภาพซ่ึงจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียนได้อย่างแท้จริง ในเรื่องของกจิ กรรมการเรียนการสอนน้ี มนี กั การศกึ ษาได้แสดงทัศนะไว้ ดงั ต่อไปนี้ ๑. ความหมายรปู แบบกิจกรรม ทัศนีย์ ศุภเมธี กล่าวว่า รูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอนหมายถึงทุกสิ่งทุกอยา่ ง ทีก่ ระทาขึ้นเพื่อใหก้ ารเรียนการสอนในครงั้ น้ัน ๆ ไดผ้ ลดี หมายถึง การสอนของครเู ปน็ ไปอยา่ งมคี วามหมายนักเรยี นได้ทัง้ ความรู้ และความสนกุ สนานเพลิดเพลิน๑๐๙ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเทพสตรี ได้กล่าวถงึ ความสาคัญของกิจกรรมการเรียนการสอนทีม่ ตี อ่ การเรยี นรู้ สรปุ ได้ดงั น้ี ๑. กิจกรรมจะช่วยเร้าความสนใจของผู้เรียน และทาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในบทเรยี น ๒. กิจกรรมจะช่วยส่งเสรมิ ความคดิ รเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ ๓. กจิ กรรมช่วยส่งเสริมให้เกดิ ความรบั ผิดชอบ ๔. กิจกรรมชว่ ยให้ผเู้ รยี นประสบผลสาเรจ็ สรา้ งความมั่นใจในตนเอง ๕. กจิ กรรมจะชว่ ยขยายประสบการณใ์ ห้กว้างขวางยงิ่ ขน้ึ ๖. กจิ กรรมจะช่วยส่งเสริมความเจริญงอกงามและพัฒนาการของผู้เรยี น ๗. กจิ กรรมจะช่วยใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ คล่ือนไหว รูส้ กึ สนุกสนาน ๘. กิจกรรมจะช่วยสง่ เสริมทักษะและปลกู ฝังเจตคติทด่ี ี ๙. กิจกรรมจะช่วยส่งเสริมการทางานรว่ มกันเปน็ กลุ่ม ๑๐. กจิ กรรมจะช่วยส่งเสรมิ วินยั และความเปน็ ประชาธิปไตย๑๑๐ วไลพร คุโณทัย กล่าวว่า รูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึงสภาพการณ์ของการจัดประสบการณ์ และการกระทาทุกสิ่งทุกอยา่ งที่จัดขน้ึ จากความรว่ มมือระหว่างผ้สู อนและผเู้ รยี นเพื่อให้การเรียนการสอนดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพนา่ สนใจ และผูเ้ รยี นเกิดการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรม ตามจดุ มงุ่ หมายทกี่ าหนดไว้๑๑๑ ๑๐๙ ทัศนยี ์ ศุภเมธี, พฤติกรรมการสอนวชิ าภาษาไทยระดับมัธยมศกึ ษา,(กรงุ เทพมหานคร : สถาบันราชภัฏธนบรุ ี, ๒๕๕๓ ), หนา้ ๑๕๙-๑๖๐. ๑๑๐ มหาวิทยาลยั ราชภัฏเทพสตรี, หลกั การสอน, (ลพบรุ ี : คณะครศุ าสตรม์ หาวิทยาลยั ราชภฏั เทพสตรี,๒๕๔๗), หนา้ ๙๖ ๑๑๑ วไลพร คุโณทัย, หลักการสอน, (กรุงเทพมหานคร : กองส่งเสริมวิทยฐานะครูกรมการฝึกหัดครู,๒๕๓๐) หนา้ ๑๙.

๘๒ กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ไดใ้ ห้ความหมาย ของกิจกรรมการเรยี นไว้ว่าหมายถึง การดาเนินการต่าง ๆ ในโรงเรียน ทั้งโดยครู และนักเรียน เช่น การสอนให้นักเรียนค้นคว้าอภิปราย การบรรยาย การอบรม การสาธิต การปฏิบัติงาน การจัดนิทรรศการ และการศึกษานอกสถานที่๑๑๒ ฯลฯ จากความหมายดังกล่าวข้างต้น สามารถสรุปความหมาย ไดว้ า่ กิจกรรมการเรยี นการสอน หมายถงึ กระบวนการปฏบิ ัติต่าง ๆ ที่ครูจัดให้กบั นักเรียนเกี่ยวกับการเรียนการสอน เพือ่ ให้การสอนและเพื่อสนองเจตนารมณ์ของหลักสูตร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการเรียนรู้ของผู้เรียนบรรลจุ ดุ ประสงค์การสอนทก่ี าหนดไว้ ๒. ความสาคญั รปู แบบกิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอน เปน็ องค์ประกอบสาคญั ของการเรียนการสอนเพราะกิจกรรมทั้งของผู้เรียน และผู้สอนท่ีเหมาะสมจะทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงในเร่ืองความสาคัญของกิจกรรมการเรยี นการสอนนี้ มีนักการศกึ ษาแสดงทัศนะไว้ ดงั นี้ วารี ถิระจิตร ได้กล่าวถึง ความสาคัญของรปู แบบกจิ กรรมการเรยี นการสอน ท่ีมีต่อการ เรยี นรู้ไว้ ดงั นี้๑๑๓ ๑. กจิ กรรมเรา้ ความสนใจของเดก็ ๒. กิจกรรมจะเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนประสบความสาเร็จ ๓. กจิ กรรมจะชว่ ยปลกู ฝงั ความเป็นประชาธปิ ไตย ๔. กจิ กรรมจะชว่ ยปลูกฝงั ความความรบั ผิดชอบ ๕. กจิ กรรมจะช่วยปลูกฝังความและส่งเสรมิ ความคดิ รเิ รม่ิ สร้างสรรค์ ๖. กจิ กรรมจะช่วยใหน้ ักเรียนไดม้ กี ารเคลอ่ื นไหว ๗. กจิ กรรมจะช่วยใหน้ กั เรยี นไดร้ สู้ ึกสนกุ สนาน ๘. กจิ กรรมจะช่วยใหเ้ หน็ ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล ๙. กิจกรรมจะช่วยขยายความรู้และประสบการณข์ องเดก็ ใหก้ วา้ งขวาง ๑๐. กิจกรรมจะช่วยสง่ เสรมิ ความงอกงามและพัฒนาการของเด็ก ๑๑. กจิ กรรมจะช่วยสง่ เสริมทกั ษะ ๑๒. กิจกรรมจะชว่ ยปลกู ฝงั เจตคติที่ดี ๑๑๒ กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธิการ, หลกั สูตรประถมศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๒๑ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.๒๕๓๓),(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพก์ ารศาสนา, ๒๕๔๒), หน้า ๒. ๑๑๓ ๑๒๔วารี ถริ ะจติ ร, การพัฒนาการสอนสังคมศึกษาระดับประถมศกึ ษา, (กรุงเทพมหานคร : คณะครุศาสตรจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๐), หน้า ๑๖๒-๑๖๓.

๘๓ ๑๓. กิจกรรมจะช่วยสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ รู้จกั ทางานเป็นหมู่ ๑๔. กจิ กรรมจะช่วยให้เดก็ เกดิ ความเขา้ ใจบทเรยี น ๑๕. กจิ กรรมจะช่วยเสริมใหเ้ ด็กเกดิ ความซาบซ้งึ ความงามในเรือ่ งต่างๆ ๓. องค์ประกอบรปู แบบกิจกรรม พระมหาญัตติพงษ์ เลิศศรี กล่าวว่า องค์ประกอบรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนมี ๓ ส่วน ดังนี้๑๑๔ ๑. กิจกรรมการเรียนการสอนขั้นนา เป็นกิจกรรมการเรียนการสอน ท่ีจะเร้าให้ผู้เรยี นมีความสนใจในบทเรยี น และอยากจะเรียนเนือ้ หาต่อไปกจิ กรรมในข้ันน้ี จดั ได้หลายรปู แบบเช่น กิจกรรมการสนทนา กิจกรรมการใช้คาถาม กจิ กรรมทางปัญญา กจิ กรรมสาธิต กจิ กรรมการเล่านทิ าน กิจกรรมเกมจาลองสถานการณ์ กิจกรรมการรอ้ งเพลง ๒. กิจกรรมการเรียนการสอนข้ันปฏิบัติ เป็นกิจกรรมหลักของการเรียนการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ กิจกรรมในข้ันนี้จัดได้หลายรูปแบบเช่น กิจกรรมการอภิปราย กิจกรรมการบรรยาย กิจกรรมการอ่าน กิจกรรมการสังเกตและการจดบันทึก กิจกรรมการค้นคว้าในห้องสมุด กิจกรรมการทดลอง กิจกรรมการแสดงแบบต่างๆ และกจิ กรรมการคน้ ควา้ รายงาน ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอนข้ันสรุป เป็นกิจกรรมท่ีมุ่งให้ผู้เรียนสรุปสิง่ ท่ีได้เรยี นมาทั้งหมด อาจจัดกิจกรรมได้หลายรูปแบบ เช่น การสรุป การอภปิ ราย การทารายงานกล่มุ การเขยี นเรียงความ เพือ่ สรุปแนวคิดทไ่ี ด้เรียนไป การใช้โสตทศั นปู กรณ์ เพื่อสรุปสาระสาคัญ การสนทนาซักถามระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนการใช้คาถามการใช้เกมการมอบหมายงานให้ไปปฏิบัติการจั ดแสดงการจดั นิทรรศการ การจัดป้ายนิเทศ การศกึ ษานอกสถานที่ การจัดกจิ กรรม การเรียนการสอน ผูส้ อนสามารถเลือกใช้กจิ กรรมใดให้สัมพันธ์ กับกจิ กรรมใดก็ได้ตามความเหมาะสม เพียงแต่ให้เหมาะสมกับเน้อื หาของบทเรยี นและใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ ผู้สอนควรดาเนินการสอนตามลาดบั ขนั้ ตอน สรุปวา่ องค์ประกอบดา้ นการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่ กจิ กรรมการเรยี นการสอนข้นั นากิจกรรมการเรยี นการสอนขนั้ ปฏิบตั ิกิจกรรมการเรียนการสอนขัน้ สรุป ผ้สู อนสามารถเลือกใช้กิจกรรมให้สัมพันธ์กับกิจกรรมใดได้ เพียงแต่ให้เหมาะสมกับ เน้ือหาของบทเรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์และผู้สอนควรดาเนินการสอนตามลาดับข้ันตอนจากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าด้านกิจกรรมการเรยี นการสอนหมายถึงการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนที่มจี ุดมงุ่ หมายเพื่อพัฒนาร่างกายอารมณ์ ๑๑๔ พระมหาญัตติพงษ์ เลิศศรี “สภาพและปัญหาการจัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของสานักศาสนศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์”,ปริญญานิพนธ์ กศ.ม., (การบริหารการศึกษา : บัณฑิตวิทยาลัยมหาวทิ ยาลยั นเรศวร, ๒๕๕๓

๘๔สังคม และสติปัญญา ของผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนเป็นกระบวนการในการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม แผนกบาลีเน้นการท่องจาเป็นหลักหลังจากให้ผู้เรียน ท่องจาแล้วผู้สอนใช้วิธีการสอนแบบแปลเป็นหลัก ผู้บริหาร ผู้สอนและผู้เรียน มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้เรียนได้รับการเตรียมความพร้อมก่อนเรียนและ มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทาให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ตามหลักสูตร ผู้เรียนมีการพัฒนาคุณสมบัติในตัวเองทางด้านความรู้ ความคิด ด้านคุณภาพ และด้านสุขภาพร่างกาย ผู้เรียนเกิดคุณสมบัติท่ีจะติดตัวไปเพ่ือใช้ประโยชน์ในอนาคตคือสติปัญญาความสามารถคุณธรรมจริยธรรมคา่ นิยมและบุคลิกภาพ กิจกรรมของผู้เรียนและ ของผู้สอนท่ีเหมาะสม ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้แท้จรงิ ผู้สอนควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้น่าสนใจสอดคล้องกับวยั สติปัญญา ความสามารถของผ้เู รียน และเปน็ กระบวนการเพ่ือใหผ้ ู้เรียน คิดเป็น ทาเป็น แก้ปญั หาได้ เกิดการเรียนรู้และบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ๔. หลกั การรูปแบบการจดั กจิ กรรม ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ได้กล่าวไว้ว่า รูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีสอดคล้องกับเป้าหมายหลักของโรงเรยี น ๗ รปู แบบ คือ ๑. การเรียนรู้ตามสถานการณ์จริง เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นให้ผูเ้ รียนฝกึ ฝนและปฏิบตั ิงานทีม่ คี ุณค่าต่อการดาเนินชีวิตประจาวนั ของผู้เรยี น เน้นการใช้กระบวนการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่ซับซ้อน สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนกล้าที่จะปฏิบัติงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ๒. การเรียนรู้แบบนาตนเอง การเรียนรู้ลักษณะน้ีกระบวนการเรียนรู้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้วางแผนการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบครบวงจร โดยวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนรขู้ องตนเอง ตั้งเป้าหมายในการเรียน แสวงหาผสู้ นับสนุน หาแหล่งความรดู้ ้วยตนเอง สว่ นผูส้ อนมบี ทบาทเป็นกลั ยาณมติ รทท่ี าหน้าทก่ี ระตุ้น แนะแนวและชว่ ยเหลอื โดยอาศยั แหล่งเรยี นรู้ตา่ งๆ ๓. การสอนเพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนหาคาตอบท่ีหลากหลาย ไม่มีรูปแบบตายตัว ทาให้มีความคล่องตัวสูง เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนตามความถนัดและความสนใจ เป็นการกระตุ้นและสร้างแรงบนั ดาลใจ ๔. การเรียนรู้แบบมือร่วมมือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ได้รับการฝึกฝนทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้ใหม่ และการทางานเป็นกลุ่ม เน้นการช่วยเหลือสนับสนุนซ่ึงกันและกัน และการฝึกมีความรบั ผดิ ชอบท้งั ส่วนตนและสว่ นรวม

๘๕ ๕. การเรยี นรู้แบบโครงการ การจดั การเรียนร้ลู ักษณะนี้เน้นใหผ้ เู้ รียน เรียนรู้และทากกิ รรมด้วยตนเองผ่านประสบการณต์ า่ งๆ จนสาเรจ็ มีโอกาสในการฝกึ ฝนและแก้ปัญหาโดยใช้กระกระบวนการกลุม่ สัมพันธ์ในการทากิจกรรมตา่ งๆ ๖. การจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมการคิดวิจารณญาณ การจัดการเรยี นการสอนเป็นทักษะการคิดช้ันสูงที่ผู้เรียนต้องมีพื้นฐานของการคิดวิเคราะห์ นาไปสู่การพัฒนาทักษะการคิดแก้ปญั หาและการคิดสรา้ งสรรค์ในท่สี ดุ สร้างองค์ความร้ดู ้วยตนเองเพอื่ ให้เกดิ การเรียนรูท้ ่ยี ั่งยืนตอ่ ไป ๗. กิจกรรมห้องเรียนผลิตภาพ การจัดการเรียนการสอนเน้นสร้างประสบการณต์ รงให้ผู้เรียนเกิดการเรียนร้แู ละฝึกทักษะการคดิ แก้ปญั หาใชค้ วามร้คู วามสามารถนามาสู่การแกป้ ญั หา๑๑๕ อาภรณ์ ใจเท่ียง ได้กล่าวไว้ว่า กิจกรรมการเรียนการสอนมีความสาคัญดังกล่าวดังน้นั ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนจงึ ควรคานึงถงึ หลักการ ตอ่ ไปน้ี๑๑๖ ๑. จัดกิจกรรมใหส้ อดคล้องกบั เจตนารมณ์ของหลักสูตร ๒. จัดกจิ กรรมให้สอดคลอ้ งกบั จุดประสงคก์ ารสอน ๓. จัดกิจกรรมให้สอดคล้องและเหมาะสมกับวัย ความสามารถ และความในใจของผู้เรียน ๔. จัดกิจกรรมให้สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะของเนอ้ื หาวชิ า ๕. จดั กิจกรรมใหม้ ลี าดับขั้นตอน ๖. จัดกิจกรรมให้นา่ สนใจ ๗. จัดกจิ กรรมโดยใหผ้ ู้เรียนเป็นผู้กระทากจิ กรรม ๘. จัดกจิ กรรมโดยใชว้ ธิ กี ารท่ีทา้ ทายความคดิ ความสามรถของผู้เรยี น ๙. จัดกิจกรรมโดยใชเ้ ทคนคิ วิธีการสอนทห่ี ลากหลาย ๑๐. จัดกจิ กรรมให้มีบรรยากาศท่รี นื่ รมย์ สนกุ สนาน และเปน็ กันเอง ๑๑. จัดกจิ กรรมแล้วตอ้ งมกี ารวัดผลการใช้กจิ กรรมนัน้ ทุกครงั้ วิชยั วงษ์ใหญ่ ไดก้ ล่าวรปู แบบกิจกรรมการเรยี นการสอนไว้ ๔ รูปแบบ ดงั น้ี ๑. การเรียนเพื่อรู้ หมายถึง การศึกษาท่ีมุ่งพัฒนากระบวนการคิด กระบวนการเรียนรกู้ ารแสวงหาความรู้และวิธีการเรียนรูข้ องผู้เรยี นเพอ่ื ให้สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองไดต้ ลอด ๑๑๕ ไพฑูรย์ สินลารัตน์, คดิ ผลติ ภาพ : สอนและสร้างได้อยา่ งไร, พิมพ์คร้ังที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๙), หนา้ ๗๑. ๑๑๖ อาภรณ์ ใจเท่ียง, หลักการสอน, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : พิมพ์ที่ โอ. เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์,๒๕๕๗), หน้า ๗๒-๗๕.

๘๖ชีวิตกระบวนการเรียนรู้เน้นการฝึกสติ สมาธิ ความจา ความคิด ผสมผสานกับสภาพจริงและประสบการณใ์ นการปฏิบัติ ๒. การเรียนรู้เพ่ือปฏิบตั ไิ ดจ้ ริง หมายถงึ การศึกษาทม่ี งุ่ พฒั นาความสามารถและความชานาญรวมท้ังสมรรถนะทางด้านวิชาชีพ สามารถปฏิบัติงานเป็นหมู่คณะปรับประยุกต์องค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติงานและอาชีพได้อย่างเหมาะสม กระบวนการเรยี นการสอนบูรณาการระหว่างความรู้ภาคทฤษฎแี ละการฝึกปฏบิ ตั ิงานที่เนน้ ประสบการณ์ต่างๆ ทางสงั คม ๓. การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกัน และการเรียนรู้ท่ีจะอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน หมายถึงการศึกษาท่ีมุ่งให้ผู้เรียนสามารถดารงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมพหุวัฒนธรรมได้อย่างมีความสุขมีความตระหนักในการพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน การแก้ปัญหาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีมีความเคารพสิทธิและศกั ดิ}ศรีความเป็นมนุษย์และเขา้ ใจความหลากหลายทางดา้ นวัฒนธรรมประเพณีความเช่ือของแต่ละบคุ คลในสังคม ๔. การเรียนรู้เพื่อชีวิต หมายถึง การศึกษาที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกด้านทั้ง จิตใจและร่างกายสติปัญญาให้ความสาคัญกับจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ภาษาและวัฒนธรรมเพือ่ พัฒนาความเป็นมนุษยท์ ส่ี มบูรณ์ มีความรับผดิ ชอบตอ่ สังคมสงิ่ แวดลอ้ ม ศีลธรรม สามารถปรบั ตัวและปรับปรงุ บุคลกิ ภาพของตน เขา้ ใจตนเองและผู้อน่ื ๑๑๗ สรปุ ได้วา่ การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน ควรดาเนนิ การ เพ่ือประโยชนแ์ กผ่ เู้ รียนอย่างแทจ้ ริง โดยม่งุ พฒั นาความเจริญทุกด้านแก่ผู้เรียน เรา้ ให้ผ้เู รยี น ไดแ้ สดงออกได้มีส่วนร่วมฝกึ ฝนวิธีการแสวงหาความรู้ วิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง และจัดโดยมีบรรยากาศที่ร่ืนรมย์สนุกสนานตลอดจนจดั ให้เหมาะสมกับวยั ความสามารถ ความสนใจของผู้เรียน ๕. รปู แบบการจัดกิจกรรม การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนโดยทั่วไปแล้วแบง่ ได้ ๒ รปู แบบ ไดแ้ ก่๑๑๘ ๑. กิจกรรมการเรียนการสอนท่ียึดครูเป็นศูนย์กลาง เป็นกิจกรรมที่ครูเป็นศนู ย์กลางของการปฏบิ ัติกจิ กรรม ครูเป็นผมู้ ีบทบาทในการเรียนการสอนมากกวา่ นกั เรียน ๒. กจิ กรรมการเรียนการสอนท่ียึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นกจิ กรรมที่ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนการสอนอย่างแท้จริง ซ่ึงกิจกรรมการเรียนการสอนที่ยึดนกั เรียนเป็นศูนย์กลางน้ี แยกย่อยออกได้เป็น ๒ ประเภท คอื ๑๑๗ วิชัย วงษ์ใหญ่, นวัตกรรมหลักสูตรและการเรียนรู้สู่ความเป็นพลเมือง, (กรุงเทพมหานคร : อาร์แอนด์ ปริน้ ท,์ ๒๕๕๔), หนา้ ๒๑ ๑๑๘ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๗๕-๗๖. (หมายถงึ รปู แบบการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน หน้า ๗๕-๗๖).

๘๗ ๑. กิจกรรมที่ยึดกลุ่มนักเรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นกิจกรรมที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มให้ปฏิบัติงานโดยมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือฝึกการทางานร่วมกบั ผู้อน่ื ซึ่งแบง่ ได้เป็น ๒ ลักษณะคือ ๑. กิจกรรมกลุ่มใหญ่ และ ๒. กิจกรรมกลุม่ ยอ่ ย ๒. กิจกรรมที่ยึดนักเรยี นเปน็ รายบุคคล เปน็ กจิ กรรมท่ีส่งเสรมิ ความแตกต่างระหว่างบุคคล มุ่งให้นกั เรยี นไดป้ ฏิบัติงานตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของแตล่ ะคน ๒.๕ แบบอรยิ สัจ ๔ ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บวั ศรี เปน็ ผู้รเิ ริ่มความคิด ในการนาหลักพุทธรรมมาใช้ในกระบวนการแกป้ ัญหาโดยประยุกตห์ ลักอรยิ สัจ ๔ อันไดแ้ ก่ ทุกข์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค มาใช้ควบคู่กับ “ กิจในอริยสัจ ๔ ” อันประกอบด้วยปริญญา ( การกาหนดรู้ ) ปหานะ (การละ )สัจฉกิ ริ ิยา ( การทาใหแ้ จง้ )และภาวนา ( การเจริญหรือลงมอื ปฏิบัติ )จากหลักการทัง้ สอง ดังน้ี ๑. กระบวนการแกป้ ัญหาในการเรยี นการสอน ๑. ข้นั กาหนดปญั หา ( ข้นั ทุกข์ ) คือการระบปุ ัญหาทต่ี ้องการแก้ไข ๒. ขนั้ ต้ังสมมติฐาน ( ข้ันสมุทัย ) คือ การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและต้ังสมมตุ ิฐาน ๓. ข้ันทดลอง และ เก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) คือ การกาหนดวัตถุประสงค์และวิธกี ารทดลองเพอ่ื พสิ ูจน์สมมุติฐานและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ๔. ข้ันวเิ คราะหข์ ้อมลู และสรุปผล (ข้ันมรรค ) คือ การนาข้อมูลมาวิเคราะหแ์ ละ เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ โดยผู้เรียนพยายามค้นคิดการแก้ปัญหาต่างๆโดยใชล้ าดับข้ันตอนทั้ง ๔ ข้ันของอริยสจั เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาด้วนตนเองการจัดการเรียนรู้ตามขั้นท้งั ๔ ของอริยสัจ มอี งคป์ ระกอบดังนี้ ๑. หวั ขอ้ ปัญหา ๒. ลาดบั ข้ันตอนการแก้ปัญหา ๓. สรปุ แนวทางการแกป้ ัญหา ซง่ึ มีขั้นตอนการจัดการเรียนรดู้ ังน้ี โดยศาสตราจารย์ ดร. สาโรช บัวศรี ( อ้างถึงในสานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ ดงั น้ี ขนั้ ตอนการสอน เทคนิคสาคญั๑. กาหนดปญั หา (ขนั้ ทกุ ข์ )๑.๑ ผู้สอนกาหนดและนาเสนอปญั หาอย่าง ๑.๑ การอธบิ ายอย่างกระจ่างชัด สร้างภาพละเอยี ด พยายามใหผ้ ู้เรียนทาความเขา้ ใจตอ่ เหตกุ ารณใ์ ห้เห็นผลของการละเลยไม่แก้ปญั หา

๘๘ปัญหานน้ั ตรงหนั และพยายามเรา้ ความรสู้ กึ และการโนม้ น้าวชักชวนใหเ้ กดิ ความตระหนกั ในให้ผ้เู รยี นเกิดความตระหนกั ว่าสง่ิ ที่ผู้สอน ความสาคัญของการแกป้ ัญหา อาจใช้สือ่ ท่ีนาเสนอนัน้ เปน็ ปัญหาของทกุ คน ทุกคนมี เหมาะสมในการนาเสนอปญั หาให้สมจรงิสว่ นเกยี่ วข้องกบั ปญั หานัน้ และทกุ คนจะตอ้ งรว่ มมอื กนั ชว่ ยแกป้ ัญหา เพอื่ ความสขุ ของทกุคน๑.๒ ผู้สอนชว่ ยให้ผู้เรยี นใหไ้ ดศ้ กึ ษาพิจารณาดู ๑.๒ เปดิ โอกาศให้ผู้เรยี นได้แสดงความคดิ เห็นปัญหาที่เกดิ ข้ึนด้วยตนเอง ดว้ ยความรอบคอบ อยา่ งหลากหลายและทว่ั ถงึ และเขียนความและพยายามกาหนดขอบเขตของปญั หาซง่ึ แสดงความคิดเหน็ ท้ังหมดน้นั บนกระดานเพื่อผู้เรยี นจะต้องคดิ แกใ้ ห้ได้ ป้องกนั การลืมและเป็นการเสริมใหผ้ ู้เรียน พยายามมสี ่วนร่วมในบทเรียน๒ ตั้งสมมตฐิ าน ( ข้นั สมุทยั )๒.๑ ผสู้ อนชว่ ยผู้เรยี นใหไ้ ดพ้ จิ ารณาด้วย ๒.๑ ใช้คาถามเร้าใหผ้ ู้เรียนชว่ ยกันคดิ และแสดงตนเองว่าสาเหตุของปญั หาท่ยี กขน้ึ มากลา่ วใน ความคิดเหน็ ผู้สอนเขยี นข้อมูลสาเหตุของข้ันที่ ๑ น้ันมอี ะไรบา้ ง ปัญหาตามท่ีผ้เู รียนเสนอไว้คู่กบั ประเดน็ ปญั หา ที่ ๑.๒ ที่เขยี นไวบ้ นกระดาน๒.๒ ผสู้ อนช่วยผู้เรียนใหไ้ ดเ้ กดิ ความเข้าใจ ๒.๒ ใช้วธิ ีการอภิปรายเชือ่ มโยงเหตุผลตระหนกั วา่ ในการแกป้ ญั หาใดๆนนั้ จะต้องกาจัดหรือดบั ๒.๓ ให้ตวั อย่างการกาหนดสงิ่ ท่จี ะกระทาแล้ว๒.๓ ผูส้ อนช่วยผู้เรียนให้ได้คิดวา่ ในการ เปิดโอกาสและกระต้นุ ให้ผูเ้ รียนแสดงความแก้ปญั หาท่สี าเหตนุ ้ันอาจจะกระทาอะไรได้ คดิ เหน็ ในการเสรมิ แรงผเู้ รียนทแ่ี สดงความบา้ ง คือ ให้กาหนดสิ่งท่ีจะกระทาน้ีเป็นขอ้ ๆ คดิ เห็น เขียนข้อมูลท่ีผเู้ รียนเสนอไวบ้ นไป กระดาน ๓. ใหเ้ ทคนคิ การแบง่ งาน และการทางานเป็น๓. ทดลองและเกบ็ ขอ้ มูล ( ขนั้ นโิ รธ ) กลมุ่ และเสนอแนะวิธีการจดบันทึกข้อมลู ผู้สอนอาจให้ผ้เู รียนช่วยกนั เสนอวา่ จะจดบนั ทึก ขอ้ มลู อย่างไร หรอื ช่วยกันออกแบบตาราง บนั ทึกขอ้ มูล

๘๙๔. วิเคราะหข์ อ้ มลู และสรุปผล ( ขัน้ มรรค) ๔.๑ ให้ผ้เู รยี นมสี ว่ นรว่ มในการวิเคราะหแ์ ละ๔.๑ ช่วยใหผ้ ู้เรียนเกิดความเข้าใจและสรปุ ได้ เปรียบเทียบข้อมลู ที่ไดบ้ นั ทกึ ไวแ้ ลว้ ช่วยกนั ลงว่าในบรรดาการทดลองหรือการกระทาด้วย ขอ้ สรปุ โดยผู้สอนช่วยเชอ่ื มโยง ความคิดของตนเองหลายๆอยา่ งน้ัน บางอยา่ งก็แกป้ ญั หา ผเู้ รียนแต่ละคนไมไ่ ด้ บางอย่างกแ็ ก้ปญั หาได้ชัดเจน การแกป้ ัญหาให้สาเร็จจะต้องทาอย่างไรแน่ ๔.๒ เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นแสดงความคิดเห็นโดย๔.๒ เมอื่ ลงขอ้ สรุปวิธแี ก้ปัญหาได้แลว้ ให้ ผูส้ อนใช้คาถมกระตุ้นให้ข้อมูลย้อนกลับทบทวนผู้เรยี นชว่ ยกันกาหนดแนวทางในการปฏบิ ตั ิ เสรมิ ความสาคัญ สรปุ เชอ่ื มโยงขอ้ คิดเหน็ ของและลงมือปฏิบัติตามแนวทางนั้นโดยทว่ั กนั ผู้เรียนและบันทกึ ขอ้ มลู ต่างๆบนกระดานรวมทั้งใหผ้ ูเ้ รียนชว่ ยกนั คิดวา่ วิธีการควบคมุและติดตามการปฏิบัติเมอ่ื แกไ้ ขปญั หานนั้ ๆด้วย๒. ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของจดั การเรียนร้ตู ามข้นั สข่ี องอรยิ สจั ๔ ข้อดี ๑. เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความหมายสาหรับผู้เรียน เพราะผู้เรียนเป็นผู้ศึกษาคน้ ควา้ หาแนวทางและเรยี นรูด้ ้วยตนเอง ๒. ผู้เรียนไดฝ้ ึกการใช้ทกั ษะและกระบวนการต่างๆในการเรียนรู้ ขอ้ จากัด ๑. เป็นวธิ กี ารเรยี นการสอนที่ใช้เวลามากพอสมควร ๒. ผู้สอนจะตอ้ งคอยดแู ล ชว่ ยเหลอื อย่างใกล้ชดิ การเรียนรจู้ งึ จะได้ผลดี ๓. ตวั อย่างการจัดการเรยี นรูต้ ามขั้นตามหลักอริยสัจ เรื่อง การทาน้าใหส้ ะอาดขัน้ ทั้งสี่ของอรยิ สจั ขั้นของการสอน๑. ข้นั ปัญหา ในชุมชนของเรามีนา้ ดืม่ ไมส่ ะอาดเสยี เลย ป่วยเจ็บกนั บ่อย ๆทา อย่างไรนา้ ดืม่ นน้ั จึงจะสะอาดได้ ถ้าเรากระทาสง่ิ ต่อไปนี้ จะไดน้ ้าทสี่ ะอาดไหม ?๒. ข้ันสมทุ ยั ๑ ) แกว่งนา้ ด้วยสารสม้ ๒ ) ตม้ น้าให้เดือด ๓ ) กรอง ๔ ) กล่นั

๙๐๓ ขน้ั นโิ รธ ผูเ้ รียนทดลองทาสิ่งท้ัง ๔ ประกอบข้างบนนนั้ ในหอ้ งปฏิบตั กิ าร๔. ขนั้ มรรค ของโรงเรียนและจดผลของการทดลองนัน้ ๆ ไวพ้ จิ ารณาหรอื วิเคราะห์ ตอ่ ไป ๑. ทาการวเิ คราะหผ์ ลการทอลองโดยใช้กล้องจลุ ทรรศนห์ รอื วิธกี ารอื่นๆ ผู้เรยี นก็จะพบวา่ - นา้ ท่แี กวง่ ดว้ ยสารส้มน้นั ใสดี แตย่ ังมเี ชือ้ โรคเยอะ - เชอื้ โรคตายหมดเลยในนา้ ต้มแตข่ ่นุ มาก - ยังมเี ช้ือโรคอยมู่ ากในน้ากรอง - นา้ กลน่ั น้าสะอาดมาก ๒. ดงั นนั้ สรปุ ว่าการทาน้าสะอาดโดยวิธีทร่ี าคาถูกน้นั คือ แกว่ง น้าด้วยสารส้มแลว้ เอาไปต้มให้เดือด สว่ นนา้ กลนั่ นน้ั เป็นท่ี ต้องการของเราอย่างย่งิ แต่ออกจะแพงมาก ๒.๑.๒.๓ ประเภททรัพยากร ทรัพยากร หมายถึง ส่ิงทงั้ ปวงทีม่ คี ่า ทรพั ยากรการเรยี นรู้ (learning resources)จงึ หมายถงึ ทุกสง่ิ ที่มีอย่ใู นโลกไม่ว่าจะเปน็ ส่ิงทเ่ี กิดข้นึ เองโดยธรรมชาตหิ รอื ส่ิงท่ีคนประดิษฐข์ ึน้ มาเพ่ือใช้ในการเรียนรู้ โดนลั ด์ พี. อีลี (Donald P. Ely) (Ely, 1972:36:42) ได้จาแนกสื่อการเรียนการสอนตามทรัพยากรการเรียนรู้ ๕ รูปแบบ โดยแบ่งได้เปน็ สื่อที่ออกแบบขน้ึ เพอื่ จุดมุ่งหมายทางการศึกษา(by design) และส่ือทม่ี อี ยทู่ ว่ั ไปแล้วนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการเรียนการสอน (by utiliegation) ได้แก่ ๑. คน (people) “คน” ในทางการศึกษาโดยตรงน้ัน หมายถึง บุคคลท่ีอยู่ในระบบของโรงเรียน ได้แก่ ครู ผู้บริหาร ผู้แนะนาการศึกษา ผู้ช่วยสอน หรือผู้ท่ีอานวยความสะดวกด้านต่างๆเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ส่วน “คน” ตามความหมายของการประยุกต์ใช้ ได้แก่คนท่ีทางานหรอื มีความชานาญงานในแตล่ ะสาขาซงึ่ มีอยู่ในวงสงั คมทว่ั ไป คนเหลา่ นีเ้ ป็น “ผู้เชยี่ วชาญ” ซ่ึงถงึ แมม้ ิใช่นักศึกษาแต่สามารถจะช่วยความสะดวกหรือเชญิ มาเปน็ วิทยาการเพอื่ เสริมการเรียนรู้ไดใ้ นการให้ความรูแ้ ต่ละดา้ น อาทเิ ชน่ ศิลปิน นักการเมือง นักธรุ กจิ ช่างซ่อมเคร่อื ง ๒. วัสดุ (materials) ในการศึกษาโดยตรงเป็นประเภทท่ีบรรจุเน้ือหาบทเรียนโดยรูปแบบของวัสดุมิใช่ส่ิงสาคัญที่ต้องคานึงถึง เช่น หนังสือ สไลด์ แผนที่ แผ่นซีดี หรือส่ือต่างๆท่ีเปน็ ทรัพยากรในการเรียนการสอนนน้ั จะมลี ักษณะเช่นเดียวกับวสั ดุทใ่ี ชใ้ นการศึกษาดงั กล่าวเพยี งแต่วา่ เนื้อหาทบี่ รรจใุ นวสั ดสุ ่วนมากจะอยู่ในรูปของการใหค้ วามบนั เทิง เชน่ คอมพิวเตอร์ หรอื ภาพยนตร์สารคดชี ีวติ สตั วส์ งิ่ เหลา่ น้ถี กู มองไปในรปู แบบของความบนั เทงิ แต่สามารถให้ความรูใ้ นเวลาเดียวกัน

๙๑ ๓. อาคารสถานท่ี (settings) หมายถึง ตัวตึก ทว่ี ่าง สิ่งแวดล้อม ซง่ึ มผี ลเกย่ี วกับทรัพยากรรูปแบบอ่ืนๆท่ีกล่าวมาแล้วและมีผลกับผู้เรียนด้วย สถานที่สาคัญในการศึกษา ได้แก่ตึกเรียนและสถานที่ที่ออกแบบมาเพ่ือการเรียนการสอนโดยรวม เช่นห้องสมดุ หอประชุม ส่วนสถานที่ต่างๆ ในชุมชนก็สามารถประยุกต์ให้เป็นทรัพยากรสื่อสารเรียนการสอน ได้เช่น โรงง าน ตลาดสถานที่ ทาง ประวตั ิศาสตร์เชน่ พิพิธภณั ฑ์ เปน็ ต้น ๔. เคร่ืองมือและอุปกรณ์ (tools and equipment) เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้เพ่ือช่วยในการผลิตหรือใช้ร่วมกับทรัพยากรอ่ืนๆ ส่วนมากมักเป็น โสตทัศนูปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆ ที่นามา ใช้ประกอบหรืออานวยความสะอาดในการเรียนการสอน เชน่ เครอื่ งฉายข้ามศีรษะ คอมพวิ เตอร์ เครอ่ื งถา่ ยเอกสาร หรือแม้แตต่ ะปู ไขควง เหล่าน้เี ปน็ ต้น ๕. กิจกรรม (activities) โดยท่ัวไปแล้วกิจกรรมท่ีใช้ในการเรียนการสอนมักจัดขึ้นเพื่อร่วมกระทาทรัพยากรอ่ืนๆ หรือเป็นเทคนิควิธีการพิเศษเพื่อการเรียนการสอน เชน่ เกม การสัมมนา การจัดทัศนศกึ ษา กจิ กรรมเหล่าน้ีมักมีวตั ถปุ ระสงค์เฉพาะท่ีตั้งข้ึน โดยมีการใช้วัสดุการเรยี นเฉพาะแตล่ ะวชิ า หรอื วิธกี ารพเิ ศษในการเรยี นการสอน ๒.๑.๓ ลักษณะของนวัตกรรมการศกึ ษาด้านการเรียนการสอน Rogers และ Shoemaker (1971) อ้างถึงใน จงรักษ์ แจง้ อบุ ล, ๒๕๔๕, ฐิตารีย์องอาจอิทธิชัย, (๒๕๕๐) ลักษณะของนวตั กรรมตามท่ีผู้ยอมรับรู้สกึ เป็นปัจจัยสาคัญในการท่ียอมรับหรอื ปฏิเสธนวัตกรรม แม้ว่าวัตกรรมจะเป็นส่งิ ท่ีมปี ระโยชน์มาก แต่ถ้าบคุ คลเหน็ วา่ ไมด่ ีไม่ประโยชน์ก็อาจะปฏเิ สธนวตั กรรมน้ันโดยคุณลักษณะของนวตั กรรม ไดแ้ ก่ ๑. ความได้เปรียบเชิงเทียบ หมายถงึ การท่ีผ้ยู อมรบนวตั กรรมรู้สึกว่า นวัตกรรมนน้ั ดีกวา่ มปี ระโยชน์มากกวา่ สง่ิ เกา่ ๆ หรอื วิธีปฏิบตั เิ ก่าท่นี วตั กรรมนน้ั เขา้ มาแทนท่ี การวดั ประโยชน์เชิงเทียบอาจวัดในแง่เศรษฐกิจ หรือในแง่อ่ืนๆ ก็ได้ เช่น ความเช่ือถือของสังคม เกียรติยศความสะดวกสบายในการทางาน เปน็ ต้น ๒. ความเขา้ กันได้ หมายถึง การทีผ่ ู้ยอมรับนวัตกรรมรสู้ ึกว่านวัตกรรมนน้ั เจา้ กันได้กับค่านิยมที่เป็นอยู่ เข้ากันได้กับความเช่ือทางสังคมและวัฒนธรรม ทัศนคติ ความคิดหรือประสบการณ์เกี่ยวกับนวัตกรรมในอดีต ตลอดจนความต้องการการของตน นวัตกรรมท่เี ข้ากับคา่ นิยมและบรรทดั ฐานของสงั คม ๓. ความสลับซับซ้อน หมายถึง ระดับความยากง่ายตามความรู้สึกของกลมุ่ เปา้ หมายผรู้ บั นวัตกรรมในการท่ีจะเข้าใจหรอื นานวัตกรรมไปใช้ นวัตกรรมใดมคี วามสลบั ซบั ซ้อนยากตอ่ การเขา้ ใจและการใชง้ านนวัตกรรมนน้ั ก็จะได้รับการยอมรับช้า

๙๒ ๔. การนาไปทดลองใช้ได้ หมายถึง ระดับท่ีนวัตกรรมสามารถนาไปทดลองใช้นวัตกรรมใดท่ีสามารถแลง่ เป็นส่วนเพื่อนาไปทดลองใช้ จะได้รับการยอมรับเร็วกกวา่ นวัตกรรมซึง่ ไม่สามารถแบ่งไปลองใชไ้ ด้ ทง้ั นี้เพราะนวัตกรรมทสี่ ามารถนาไปทดลองใช้ไดน้ ี้ จะช่วยลดความรสู้ ึกเสี่ยงตอ่ การยอมรบั นวตั กรรมมาใช้ของกลมุ่ เป้าหมายใหน้ ้อยลง ๕. การสังเกตเห็นผลได้ หมายถึง ระดับที่ผลของนวัตกรรม สามารถเป็นส่ิงที่สังเกตเห็นผลได้ผลของนวัตกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย และ สามารถสื่อความหมายให้แก่กล่มุ เปา้ หมายได้ง่าย จะไดร้ ับการยอมรับมากกว่านวตั กรรมทสี่ ังเกตผลยาก๑๑๙ ทิศนา แขมมณี อ้างถึงใน สถาบันวิจัย พัฒนาและสาธิตการศึกษาโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้กล่าวถึงลักษณะของนวัตกรรมการศึกษาการเรียนการสอนท่ีได้รับความสนใจและยอมรบั นาไปใชอ้ ยา่ งกวา้ งขวางมีลกั ษณะดังน้ี๑๒๐ ๑. เป็นนวัตกรรมท่ีไม่ซับซ้อนและยากจนเกินไป ความอยากง่ายของนวัตกรรมมีอิทธิพลอย่างมากต่อการยอมรับนาไปใช้ หากนวัตกรรมน้ันมีลักษณะที่ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายใช้ได้ง่ายได้สะดวก การยอมรบั นาไปใช้กม็ กั เกดิ ขึน้ ไดง้ ่าย ไม่ตอ้ งใช้เวลาในการเผยแพรม่ ากนกั ๒. เป็นนวัตกรรมท่ีไม่เสียค่าใชจ้ ่ายแพงจนเกินไป นวัตกรรมท่ีจาเป็นต้องใชว้ ัสดุอุปกรณ์และการบารุงรักษาท่ีมีค่าใช้จ่ายสูงย่อมได้รับการยอมรับและนาไปใช้น้อยกว่านวัตกรรมท่ีมีคา่ ใชจ้ า่ ยถูกกว่า เน่ืองจากผู้ใช้จานวนมากมีข้อจากัดด้านงบประมาณ แมจ้ ะมีความตอ้ งการใช้ แตข่ าดงบประมาณ กไ็ มส่ ามารถใชไ้ ด้ ๓. เป็นนวัตกรรมท่ีสาเร็จรูป นวตั กรรมทอี่ านวยความสะดวกในการใช้ มกั ได้รับการยอมรับและนาไปใช้มากกว่านวัตกรรมท่ีผู้ใช้จะต้องนาไปจัดทาเพ่ิมเติมซึ่งผู้ใช้จะต้องใช้เวลาจดั เตรียมเพ่ิมขนึ้ ๔. เป็นนวัตกรรมท่ีไม่กระทบกระเทือนหรือเปลี่ยนแปลงต่อบริบทเดิมมากนักนวัตกรรมที่มีผลกระทบต่อบริบทเดิมมาก จาเป็นต้องปรับหรือเปลี่ยนแปลงบริบทเดิมมาก การนาไปใชย้ อ่ มยากกวา่ นวตั กรรมท่ไี มม่ ีผลกระทบต่อบรบิ ทเดิมมากนกั ๑๑๙ จงรกั ษ์ แจงยบุ ล, การศึกษาระดับและปัจจัยในการยอมรับนวตั กรรมการเรียนการสอนของครสู ังคมศกึ ษาระดับมัธยมศกึ ษากรงุ เทพมหานคร,วทิ ยานพิ นธป์ ริญญามหาบัณฑิต, สาขาวิชาการสอนสงั คมศึกษา ภาควิชาหลักสตู ร การสอนและเทคโนโลยีการศึกษาคณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๔๕ ๑๒๐ ทิศนา แขมมณี อา้ งถงึ ใน สถาบันวจิ ัย พัฒนาและสาธติ การศึกษา โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ, นวัตกรรมแหง่ การศกึ ษา, หน้า ๑๖

๙๓ ๕. เป็นนวัตกรรมท่ีมีคนเก่ียวข้องไม่มากนัก นวัตกรรมใดที่ต้องอาศัยคนหลายกลุ่มเข้ามาช่วยเหลือเกี่ยวขอ้ งดว้ ย ทาใหผ้ ู้ใช้ต้องประสานงานหลายฝ่าย การใช้ที่ข้ึนกบั คนหลายฝ่ายย่อมทาใหเ้ กิดความไม่สะดวกในการใช้ จงึ ทาใหก้ ารยอมรับหรือการใช้นวตั กรรมนัน้ ยากข้ึน ๖. เป็นนวัตกรรมทีใ่ ห้ผลชัดเจน นวัตกรรมที่สง่ ผลเป็นรูปธรรมเห็นได้ชัดเจนมักได้รบั การยอมรับสูงกว่านวตั กรรมที่ให้ผลไมช่ ดั เจนจะเหน็ ไดว้ า่ นวตั กรรมการศึกษาทม่ี มี าในอดตี หลายนวัตกรรมได้รับการยอมรับในระดับสูงสุด คือ การนาไปใช้จริงอย่างต่อเนื่อง เช่น นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน การสอนแบบศูนย์การเรียน การจัดการเรยี นการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ และการจดั การเรียนการสอนโดยใช้กรณีตัวอยา่ ง เป็นต้น สุคนธ์ สินธนานนท์ ได้กล่าวว่า นวัตกรรมการศึกษาด้านการเรียนการสอนควรมีคุณลกั ษณะพอสรปุ ได้ดงั ต่อไปนี้ ๑. เป็นส่ิงใหม่เก่ียวกับการจัดการเรียนการสอนท้ังหมด เช่น วิธีการใหม่ๆสื่อวธิ กี ารใหม่ ๒. เป็นสิ่งท่ีใหม่เพียงบางส่วน เช่น มีการผลิตชุดการสอนรูปแบบใหม่ แต่ยังคงมีรูปแบบเดมิ เปน็ หลกั อยู่ ๓. เปน็ สงิ่ ใหม่ทีย่ ังอยู่ในกระบวนการทดลองว่าจะมีประสิทธิภาพในการนาไปใช้มากนอ้ ยเพียงไร ๔. เปน็ ส่งิ ใหมท่ ไี่ ดร้ ับการยอมรับและนาไปใช้บา้ งแลว้ แตย่ ังไมแ่ พร่หลาย ๕. เป็นส่ิงที่เคยปฏิบัติมาแล้วคร้ังหน่ึงแต่ไม่ค่อยได้ผลเน่ืองจากขาดปัจจัยสนบั สนุนตอ่ มาไดน้ ามาปรับปรงุ ใหมท่ ดลองใชแ้ ละเผยแพรจ่ ัดได้ว่าเป็นนวัตกรรมได้ ในกรณีสิง่ น้ันทีน่ ามาใชจ้ นกลายเปน็ ส่งิ ปกติของระบบงานนั้นไม่จัดว่าเป็นนวตั กรรมเช่น การจัดทาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนของโรงเรียนหน่ึง เป็นนวัตกรรมของโรงเรียนที่ผู้บริหารสนใจและสนับสนุนให้ทุกกลุ่มและสาระการเรียนรู้ ผลิตบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทุกระดับชั้นจนกลายเป็นส่ือการเรียนการสอนชนิดหน่ึงของโรงเรียน จึงไม่เรียกคอมพิวเตอร์ช่วยสอนว่าเป็นนวัตกรรมอีกต่อไป๑๒๑ สาลี รักสุทธี คุณลักษณะท่ีดีของนวัตกรรมการศึกษาด้านการเรียนการสอนมีลักษณะ ๑๒ ลักษณะ ดงั น้ี ๑. มลี ักษณะแปลกใหม่ ยงั ไม่เคยมีใครประดิษฐ์คิดคน้ มาก่อน ๑๒๑ สุคนธ์ สินธนานนท์ , นวัตกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพของเยาวชน ,(กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓), หนา้ ๒๐๐

๙๔ ๒. มีความทนั สมยั และล้าสมยั เพราะคิดค้นขน้ึ มาใหม่ ๓. มคี ณุ ภาพ สามารถแก้ไขปญั หาได้ตามเป้าหมาย ๔. มคี ณุ คา่ ต่อวงการศึกษา ๕. สอดคล้องกับหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง ๖. จัดทาได้งา่ ย ไม่ย่งุ ยาก ๗. ไม่ใช้วสั ดุราคาแพง แตใ่ ชว้ ัสดทุ หี่ าไดง้ า่ ยในท้องถิน่ ๘. มคี วามสะดวก ใชง้ ่าย ไมส่ ลับซบั ซ้อน ๙. มีลักษณะคงทน ๑๐. สามารถจัดเกบ็ ไดง้ า่ ย ๑๑. มลี กั ษณะสอดคล้อง คือสอดคลอ้ งกับเนอื้ หาหรือเรอื่ งที่ต้องการแกไ้ ข ๑๒. เปน็ สอ่ื มีชวี ติ ไมต่ าย เคลือ่ นไหว กระตนุ้ และเรา้ ความสนใจได้จรงิ ๑๒๒ สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่านวัตกรรมเสริมสรา้ งคุณลักษณะนิสัยของผเู้ รียน ด้านจิตพิสัย ซึ่งสานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ สรุปว่าการพัฒนาจิตพิสัยในการเรียนการสอนที่จาเป็น ได้แก่ ความมีวินัย ความซอ่ื สัตย์ ความรบั ผดิ ชอบ ความมนี ้าใจ การบรโิ ภคดว้ ยปญั ญาและวิถไี ทย๑๒๓ อุทัย แพงปัสนา ได้กล่าวว่า ลักษณะของนวัตกรรมการศึกษาการเรียนการสอนมลี กั ษณะ ดงั นี้ ๑. ความคิดและการกระทาหรือวิธีการที่แม้จะเกา่ มาจากท่ีอ่นื แต่ยงั ใหม่สาหรับอีกแหง่ หนงึ่ ๒. เปน็ สิง่ ท่ีเคยนาไปใช้แลว้ แต่ไม่ได้ผล แล้วมกี ารนามาพน้ื ฟใู หม่ ๓. เป็นส่ิงท่ีใหม่ เพราะมีส่วนประกอบของสถานการณ์ต่างๆ รวมกันเข้าแล้วทาให้กลายเปน็ ระบบใหม่ ท่ีเออ้ื ต่อการทางานให้บรรลเุ ปา้ หมายไดด้ ีกว่า ๔. เป็นสิ่งที่เก่าแก่กลายเป็นสิ่งใหม่ เพราะแนวคิดหรือทัศนคติในการมองหรือการนามาใช้น้นั เปลย่ี นไป ๑๒๒ สาลี รักสุทธี, คมู่ ือ การจัดทาสือ่ นวัตกรรม และแผนฯ ประกอบส่ือนวัตกรรม, (กรงุ เทพมหานคร: สานักพมิ พ์พฒั นาศึกษา, ๒๕๕๓), หน้า ๑๘๐ ๑๒๓ สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ , นวัตกรรมการศึกษา,(กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๑), หนา้ ๒๐๐

๙๕ ๕. เป็นส่ิงใหม่ท่เี กดิ ขน้ึ จากความคิดใหมๆ่ ยังไม่มใี ครคดิ หรือทามาก่อน๑๒๔ ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ได้กล่าวว่า คุณลกั ษณะของนวัตกรรมการศึกษาด้านการเรียนการสอนทีเ่ หมาะสมต่อการพฒั นาการศึกษา ดงั น้ี ๑. เป็นนวัตกรรมทีม่ ีประโยชนโ์ ดยตรงตอ่ การจดั การเรยี นการสอนในสภาพจรงิ ๒. เข้ากันได้กับสิ่งที่มีอยู่เดิม และสอดคล้องกับสภาพการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา ๓. ไมม่ ีความซับซ้อนงา่ ยและสะดวกในการนาไปใช้ ๔. สามารถทดลองใช้ หรือทดสอบได้ ๕. สามารถสังเกตเห็นรปู แบบหรอื ผลทเี่ กดิ จากนวตั กรรมไดอ้ ยา่ งชดั เจน๑๒๕ สรุปจากข้อมูลดังกล่าวเห็นว่าลักษณะของนวัตกรรมการศึกษาด้านการเรียนการสอนหมายถึง เป็นส่ิงประดิษฐ์ขน้ึ ใหม่ หรือ เป็นส่ิงใหม่เพยี งบางส่วนเก่ียวการเรียนการสอน รวมท้ังแหล่งเรียนรู้ กระบวนการ เทคนิค วิธีการ และส่ิงที่เคยปฏิบัติมาแล้วช่วงหน่ึงไม่ได้ผล แต่นามาทดลองใช้ได้ผลจริงต่อการแ ก้ปัญหาพัฒนาการ เรียนการสอนครูผู้ สอนมีประสิทธิภา พ จัดว่าเป็นลักษณะนวัตกรรมทีด่ ี ๒.๑.๔ จดุ มงุ่ หมายการศกึ ษาด้านการเรยี นการสอน Sirikanya. อ้างถึงใน Bloom (Bloom's Taxonomy), ทฤษฎีการเรียนรู้ของBloom (Bloom’s Taxonomy) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนที่จะประสบความสาเร็จและมีประสิทธิภาพนั้น ผู้สอนจะต้องกาหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนในการจัดการเรียนการสอน ๓ ด้านคือด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย และด้านจิตใจ และนาหลักการน้ีจาแนกเป็นจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเรียกว่า Taxonomy of Educational objectives ได้จาแนกจุดมุ่งหมายการเรยี นรู้ออกเป็น ๓ ด้านคือ ๑. พุทธิพสิ ัย (Cognitive Domain) ๑๒๔ อุทัย แพงปัสนา, องค์ประกอบท่ีส่งผลต่อการยอมรับนวัตกรรมการเรียนการสอนของครู-อาจารย์ตามโครงการขยายโอกาสทางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสานักงานการประถมศึกษาจังหวัดขอนแก่น, วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,๒๕๕๔, หน้า ๒๘ ๑๒๕ ชัยยงค์ พรหมวงศ์, ระบบสื่อการสอน, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,๒๕๓๕), หนา้ ๑๔๕

๙๖ พฤตกิ รรมด้านสมองเป็นพฤติกรรมเกีย่ วกบั สติปัญญา ความคิด ความสามารถในการคิดเรอ่ื งราวตา่ งๆ อยา่ งมีประสทิ ธิภาพซงึ่ พฤติกรรมทางพทุ ธิพิสัย ๖ ระดบั ไดแ้ ก่ ๑. ความรู้ (Knowledge) เป็นความสามารถในการจดจาแนกประสบการณ์ตา่ งๆ และระลกึ เรอื่ งราวนั้นๆ ออกมาไดถ้ ูกต้องแมน่ ยา ๒. ความเขา้ ใจ (Comprehension) เป็นความสามารถบง่ บอกใจความสาคัญของเรือ่ งราวโดยการแปลความหลกั ตีความได้ สรุปใจความสาคญั ได้ ๓. การนาความรู้ไปประยุกต์ (Application) เป็นความสามารถในการนาหลกั การ กฎเกณฑแ์ ละวิธดี าเนินการตา่ งๆของเร่อื งที่ไดร้ ูม้ า นาไปใชแ้ กป้ ญั หาในสถานการณใ์ หม่ได้ ๔. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวที่สมบูรณ์ให้กระจายออกเปน็ ส่วนยอ่ ยๆ ไดอ้ ยา่ งชัดเจน ๕. การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเข้าเป็นเร่ืองราวเดยี วกนั โดยปรับปรงุ ของเกา่ ให้ดขี นึ้ และมีคณุ ภาพสูงขน้ึ ๖. การประเมนิ ค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการวนิ ิจฉัยหรอื ตัดสินกระทาสง่ิ หนึง่ สิ่งใดลงไปการประเมินเก่ยี วข้องกบั การใชเ้ กณฑค์ อื มาตรฐานในการวัดทก่ี าหนดไว้ ๒. จิตพสิ ยั (Affective Domain) (พฤตกิ รรมดา้ นจิตใจ) ค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจและคุณธรรมพฤตกิ รรมดา้ นน้ีอาจไม่เกดิ ขึน้ ทันที ดังนน้ั การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม และสอดแทรกส่งิ ทีด่ ีงามอยูต่ ลอดเวลา จะทาใหพ้ ฤติกรรมของผู้เรียนเปล่ยี นไปในแนวทางทีพ่ ึงประสงค์ได้ จะประกอบด้วย พฤตกิ รรมยอ่ ยๆ ๕ ระดับ ไดแ้ ก่ ๑. การรบั รู้ ๒. การตอบสนอง ๓. การเกิดค่านยิ ม ๔. การจัดระบบ ๕. บุคลิกภาพ ๓. ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) (พฤติกรรมด้านกล้ามเน้ือประสาท)พฤติกรรมที่บ่งถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชานิชานาญ ซงึ่ แสดงออกมาได้โดยตรงโดยมเี วลาและคณุ ภาพของงานเปน็ ตัวชร้ี ะดับของทักษะประกอบดว้ ย ๕ ขัน้ ดงั น้ี ๑. การรบั รู้ ๒. กระทาตามแบบ ๓. การหาความถูกตอ้ ง

๙๗ ๔. การกระทาอยา่ งต่อเน่ืองหลงั จากตัดสินใจ ๕. การกระทาไดอ้ ย่างเป็นธรรมชาติ๑๒๖ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๖ ได้ระบุไว้ว่า การจัดการศึกษาด้านการเรียนการสอนต้องเป็นไปเพ่ือพฒั นาคนไทย นักเรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งรา่ งกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมในการดารงชีวิตสามารถอยู่รว่ มกับผู้อน่ื ได้อยา่ งมีความสุข๑๒๗ ทิศนา แขมมณี ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน หากจาแนกตามจุดม่งุ หมายวัตถปุ ระสงคส์ ามารถได้เปน็ ๕ หมวดหมู่ คอื ๑. เน้นการพัฒนาด้านพุทธพิ ิสยั ๒. เน้นการพัฒนาด้านจติ พสิ ยั ๓. เนน้ การพัฒนาด้านทักษะพิสัย ๔. เน้นการพฒั นาด้านทักษะกระบวนการ ๕. เน้นการบรู ณาการ๑๒๘ ปรัชญา เวสารัชช์ ได้กล่าวว่า เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนจึงอยู่ท่ีคนไทยโดยทวั่ ไป ซงึ่ ต้องได้รับการพฒั นาให้เป็นคนดี มีประโยชน์ มคี วามครบถ้วนทุกดา้ น คอื ๑. ทางกาย คอื มสี ขุ ภาพดี สมบรู ณ์ แขง็ แรง หมายความว่าการจัดการศกึ ษาตอ้ งครอบคลุมถึงกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพอนามัย เช่น สง่ เสริมการออกกาลังกาย ส่งเสริมกีฬา ส่งเสริมความรู้ด้านโภชนาการ รวมท้งั จัดสภาพแวดลอ้ มของสถานศึกษาทเี่ ออ้ื ต่อสุขลกั ษณะ ปลอดจากภาวะมลพิษ ปลอดจากยาเสพย์ติด และปลอดจากภัยทั้งหลายที่อาจกระทบกระเทือนต่อสุขภาพอนามัยของผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นภัยจากมนุษย์ (อุบัติเหตุ การประทุษร้าย) หรือธรรมชาติ (น้าท่วม ไฟไหม้พายุ โรคภัยไข้เจ็บ) นอกเหนือจากหน้าท่ีในการส่งเสริมสุขอนามัยแล้ว ผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษาตอ้ งคาดการณ์และเตรยี มการปอ้ งกนั ไวล้ ว่ งหน้าเพื่อผอ่ นคลายหรอื แก้ไขปญั หาได้ทันการณ์ ๒. ทางจิตใจ คือมีจิตใจที่อดทนเข้มแข็ง สามารถเผชิญกับปัญหาหลากหลายท่ีเกดิ ไดอ้ ยา่ งมีสติ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มรี ะเบยี บวนิ ัยในตวั เอง สามารถอดทนอดกลน้ั ต่อแรงกดดันตา่ งๆ ๑๒๖ Sirikanya. อ้างถึงใน Bloom [Bloom's Taxonomy], ทฤษฎีการเรียนรู้ของBloom [Bloom’sTaxonomy],[ออนไลน์],แหลง่ ทมี า : https://sirikanya926.wordpress.com/2014. [ ๕ ม.ค.๒๕๖๑] ๑๒๗ สานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน), พระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ ๒๕๔๒, แกไ้ ขเพ่ิมเติม (ฉบบั ท่ี ๒) ๒๕๔๕, (กรงุ เทพมหานคร: ๒๕๔๗), หน้า ๑๒. ๑๒๘ ทิศนา แขมมณี, รูปแบบการเรียนการสอน: ทางเลือกที่หลากหลาย, พิมพ์คร้ังท่ี ๗.(กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๕๔), หนา้ ๗

๙๘ ๓. ทางสติปัญญา คือการใช้ความคิดและเหตุผล ๔. ความรู้ คือการมุ่งให้ผู้เรียนได้รับความรู้ที่เหมาะสมกับสภาพความต้องการของสังคมปัจจุบันได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับตนเองและความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ความรู้และทักษะด้านภาษา คณิตศาสตร์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบารุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างสมดุล ความรู้เก่ียวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย การประยกุ ต์ภมู ปิ ญั ญาไทย ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพและการดารงชวี ติ อยา่ งมคี วามสขุ ๕. คุณธรรมและจริยธรรม แสดงออกในรูปของพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ รักชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ มีความละอายต่อการประพฤติตนในทางเสื่อมเสียหรือก่อให้เกิดผลเสียหายต่อผอู้ ่นื และสงั คม ๖. มีวัฒนธรรมในการดารงชีวิต รักวัฒนธรรมไทย มีเอกลักษณ์ไทย มีมรรยาทและการวางตนในสังคม รจู้ ักประมาณตนเอง ๗. อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ผู้ได้รับการศึกษาจะเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคม มีความเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ประนปี ระนอม มคี วามเมตตากรุณา มสี ัมพันธ์ท่ีดีต่อผู้อื่น และดาเนนิ บทบาทของตนเองไดอ้ ย่างเหมาะสม๑๒๙ จากขอ้ ความสรุปได้ว่า จุดมงุ่ หมายนวัตกรรมการศึกษาด้านการเรียนการสอน ๓ดา้ นคอื ดา้ นสตปิ ญั ญา ดา้ นรา่ งกาย และดา้ นจิตใจ มคี ณุ ธรรม มีจริยธรรมในการดารงชวี ิตสามารถอยู่ร่วมกับผอู้ นื่ ไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ๒.๒.๕ กระบวนการพฒั นานวตั กรรมการศกึ ษาดา้ นการเรยี นการสอน กระบวนการพัฒนานวัตกรรมการศกึ ษานักวิชาการสว่ นใหญใ่ ห้ความสนใจวา่ ในการจัดสร้าง เพ่ือแก้ไขปัญหาครู นักเรียนด้านการเรียนการสอนผลการดาเนินงานและการเรียนรู้ขององค์กรเป็นสิ่งที่เกิดข้ึนมีประสิทธิภาพต่อองค์กร ซ่ึงขั้นตอนสร้างพัฒนาวัตกรรม มีนักวิชาการให้ความสาคญั ดงั น้ี Gopalakrishnan and Demanpour ได้กล่าวถึงขั้นตอนพัฒนานวัตกรรมสามารถแบ่งออกเปน็ กลุม่ กวา้ งๆ ได้ ๒ ขนั้ ตอน คือ ๑. ข้ันตอนการสร้างนวัตกรรม (Generation) คือ การสร้างแนวคิด และการแก้ปัญหาสาหรับองค์กรหรอื กระบวนการ ๑๒๙ ปรัชญา เวสารชั ช์, หลกั การจัดการศกึ ษา, (กรุงเทพมหานคร : ภาพพิมพ์, ๒๕๕๔), หนา้ ๑๗

๙๙ ๒. ข้ันตอนการการนาไปใช้ (Adoption) คือ การได้มาหรือการนานวัตกรรมมาใช้ประโยชน์ เพือ่ ตระหนักถงึ ความตอ้ งการในการสรา้ งความคิดและวธิ ีปฏบิ ตั ใิ หมภ่ ายในองคก์ ร๑๓๐ Dammanpour ได้กล่าวการสร้างพัฒนานวัตกรรมองค์สามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนของนวัตกรรม เป็นกระบวนการสร้าง ดังน้ี ๑. ขน้ั ตอนเริม่ ตน้ (Initiation Phase) ประกอบด้วยกจิ กรรมทง้ั หมดเกี่ยวกับการรับรู้ปัญหารวบรวมข้อมูล สร้างทัศนคติ และประเมินผล และความต้ังใจในการนาไปสู่การตัดสินใจนามาใช้ ๒. ข้ันตอนนามาปฏิบัติ (Implementation Phase) ประกอบด้วยเหตุการณ์และการกระทาทงั้ หมดเกี่ยวกับการปรับปรุงทั้งนวัตกรรมและองค์กร การเร่ิมตน้ ใชป้ ระโยชน์และการใช้นวัตกรรมอยา่ งตอ่ เนอื่ งจนเป็นงานประจาในองคก์ ร ๓. ข้ันตอนเผยแพร่ (Diffusion Phase) เป็นกระบวนการสร้างนวัตกรรมถูกสื่อสารผ่านทางช่องทางต่างๆ ไปสู่สมาชิกในระบบทางสังคม ประกอบด้วยนวัตกรรมช่องทางการสื่อสาร เวลา และระบบทางสังคม การเผยแพร่เป็นประเภทหน่ึงของการสื่อสารท่ีส่งข้อความที่เก่ียวขอ้ งกบั ความคดิ ใหม่ๆ๑๓๑ ทิศนา แขมมณี ให้หลักการกระบวนการพัฒนานวัตกรรมการศึกษาด้านการเรียนการสอน สรปุ ได้ดังนี้ ๑. การระบุปญั หา (Problem) ความคิดในการพัฒนานวตั กรรมนั้น ส่วนใหญ่จะเริม่ จากการมองเหน็ ปญั หา และต้องการแก้ไขปญั หาน้ันให้ประสบความสาเรจ็ อย่างมคี ุณภาพ ๒. การกาหนดจุดมุ่งหมาย (Objective) เมื่อกาหนดปัญหาแล้วก็กาหนดจุดมุ่งหมายเพื่อจัดทาหรือพัฒนานวัตกรรมให้มีคุณสมบัติ หรือลักษณะตรงตามจุดมุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ ๓. การศกึ ษาข้อจากดั ต่างๆ (Constraints) ผู้พัฒนานวัตกรรมทางด้านการเรียนการสอนตอ้ งศึกษาข้อมลู ของปญั หาและข้อจากดั ทจี่ ะใช้นวัตกรรมน้นั เพอื่ ประโยชนใ์ นการนาไปใช้ได้ ๔. การประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรม (Innovation) ผู้จัดทาหรือพัฒนานวัตกรรมจะตอ้ งมีความรู้ ประสบการณ์ ความรเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ ซง่ึ อาจนาของเก่ามาปรับปรุง ดัดแปลง เพื่อใชใ้ น ๑๓๐ Gopalakrishnan, S. and Denanpour, F. 1997. A Review of Innovation Research in Economics, Sociolagy and Technology Management. International Jaurnal of ManagementScience. 25, 1: 15-28. ๑๓๑ Damanpour, F. 1991. Organizational innovation : A meta-analysis of effects ofdeterminants and moderators, Academy of management Journal. 34(3) : 555-590

๑๐๐การแก้ปัญหาและทาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจคิดค้นข้ึนมาใหม่ท้ังหมด นวัตกรรมทางการศึกษามีรูปแบบแตกต่างกัน ขึ้นอยกู่ ับลักษณะปัญหาหรอื วตั ถุประสงค์ของนวัตกรรมน้ัน เช่นอาจมีลกั ษณะเป็นแนวคิด หลักการ แนวทาง ระบบ รูปแบบ วธิ ีการ กระบวนการ เทคนิค หรือสง่ิ ประดิษฐ์และเทคโนโลยี เปน็ ต้น ๕. การทดลองใช้ (Experimentation) เมอื่ คดิ ค้นหรอื ประดษิ ฐ์นวัตกรรมทางการศึกษาแล้ว ต้องทดลองนวัตกรรม ซึ่งเป็นสิ่งจาเป็นเพ่ือเป็นการประเมินผลและปรับปรุงแก้ไขผลการทดลองจะทาให้ไดข้ ้อมูลนามาใช้ในการปรับปรุงและพฒั นานวัตกรรมต่อไป ถ้าหากมีการทดลองใชน้ วตั กรรมหลายคร้ังกย็ อ่ มมีความมนั่ ใจในประสทิ ธิภาพของนวัตกรรมน้นั ๖. การเผยแพร่ (Dissemination) เมื่อมั่นใจนวัตกรรมทสี่ รา้ งข้นึ มีประสิทธิภาพแล้วกส็ ามารถนาไปเผยแพร่ใหเ้ ปน็ ที่รู้จกั รูปแบบการเผยแพรน่ วตั กรรมทีน่ ยิ มกันมี ๔ รปู แบบดังนี้๑๓๒ ๑) การเผยแพร่ท่ีอิงการใช้อานาจสนับสนุนจากเบ้ืองสูง ( AuthorityInnovation-Decision Model) เป็นการเผยแพร่โดยการชักจูงให้ผู้มีอานาจในระดับสูงเห็นความสาคญั ในการใช้นวัตกรรมนนั้ และตดั สินใจส่ังการไปยังผใู้ ชซ้ ึง่ อยใู่ นระดบั ลา่ งใหใ้ ชน้ วตั กรรมน้นั ๒) การเผยแพร่แบบใช้มนุษยสัมพันธ์ (Human Interaction Model) เป็นการเผยแพร่โดยการชักจูงบุคคลที่จะใชห้ รอื เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมนนั้ โดยการใหค้ วามรคู้ วามเข้าใจและให้ความช่วยเหลือในการทดลองใช้ ๓) การเผยแพรก่ ารใช้นวตั กรรม (User Participaiton Model) เป็นการเผยแพร่ถงึ ตวั ผ้ใู ชน้ วตั กรรมโดยตรงคือครู ๔) การเผยแพรแบบผสม (Eclectic Processof Change Model) เป็นการเผยแพร่นวัตกรรมผ่านตวั กลาง ซ่งึ เป็นหน้าท่ีเชอ่ื มระหว่างกล่มุ ผู้ต้องการเผยแพร่นวัตกรรมทางด้านการเรียนการสอนกบั กลุ่มผูต้ ้องการใช้นวัตกรรม ตัวกลางเผยแพร่นวัตกรรมอาจใช้วิธกี ารเผยแพร่ท้ัง๓ วธิ ีดังกล่าวผสมผสานกัน พัชรพรรณ พึ่งนิล ได้กล่าวว่า กระบวนการสร้างและพัฒนานวัตกรรม ๕ข้นั ตอน๑๓๓ ดังนี้ ขัน้ ตอนท่ี ๑. การศกึ ษาเอกสารแนวคิดหลักการ เป็นข้ันตอนคน้ หา การสารวจว่าในทางวิชาการมีพัฒนาเร่ืองน้ีไว้ว่าอย่างไร มีใครที่เคยประสบปัญหาการพัฒนาการ เพ่ือการ ๑๓๒ ทศิ นา แขมมณี, ศาสตร์การสอนองคค์ วามรู้เพ่ือการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่มี ีประสิทธิภาพ พิมพ์ครัง้ ที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐), หน้า ๔๒๓ ๑๓๓ พัชรพรรณ พ่ึงนิล, นวัตกรรม เทคโนโลยี และสารสนเทศการศึกษา, [ออนไลน์], แหล่งที่มา :https://sites.google.com/site/nuleknwatkrrmkarsuksa/extra-credit.[๒๒ ม.ี ค.๖๑]

๑๐๑แลกเปล่ยี นเรียนร้แู ละการแสวงหาแนวคิดและหลักการและการศกึ ษาเอกสารงานวิจัยและประสบการของผเู้ กย่ี วขอ้ ง ขั้นตอนท่ี ๒ การเลือกและการวางแผนสร้างนวัตกรรม โดยพิจารณาเลือกจากลักษณะของนวตั กรรมการเรยี นรู้ที่ดี ดงั นี้ ๑. เป็นนวตั กรรมการเรยี นรู้ทต่ี รงกับความตอ้ งการและความจาเป็น ๒. มีความหนา้ เชอ่ื ถือและเป็นไปไดส้ ูงที่จะสามารถแก้ปัญหา และพัฒนาการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น ๓. เป็นนวตั กรรมทีม่ ีแนวคดิ หรือหลักการทางวิชาการรองรับจนนา่ เชอื่ ถือ ๔. สามารถนาไปใช้ในห้องเรียนได้จริง ใช้ได้ง่าย สะดวกต่อการใช้และการพฒั นานวตั กรรม ๕. มีผลการพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่าได้ใช้ในสถานการณ์จริงแล้วสามารถแก้ปัญหาหรือพัฒนาคณุ ภาพการจดั การเรยี นรู้ไดอ้ ยา่ งนา่ เพ่ิงพอใจ ขั้นตอนท่ี ๓ สร้างและพัฒนานวัตกรรม จากแผนการสร้างนวัตกรรม เช่นวิเคราะห์,กาหนดและออกแบบ,ลงมือทา,ตรวจสอบคุณภาพ,ทดลอง,นาไปใช้เพ่ือแก้ ปัญหาหรือการพฒั นาการ ข้นั ตอนท่ี ๔ การหาประสทิ ธภิ าพของนวัตกรรม ขนั้ ตอนน้ีเป็นขนั้ ตอนทีพ่ ิสูจนว์ ่านวัตกรรมที่สร้างขนั้ นั้นเมื่อนาไปใชจ้ ะได้ผลตามที่ตอ้ งการหรอื ไม่ สามารถแก้ปญั หาหรอื พัฒนาไดจ้ ริงหรือไม่ โดยการการตรวจสอบ,การบรรยายคุณภาพ,การคานวณค่าร้อยละ,การหาประสิทธฺ ิภาพของนวตั กรรมและการประเมินสอื่ มัลติมเี ดยี ขั้นตอนที่ ๕ ปรบั ปรงุ นวตั กรรม หลังจากที่หาประสทิ ธภิ าพของนวตั กรรมที่สร้างขั้น ไม่ว่าจะโดยวิธีการใดก็ตามควรนาความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะ มาปรับปรุงนวัตกรรมให้มีคุณภาพเหมาะสมทาใหไ้ ดข้ อ้ มูลทชี่ ัดเจนและเป็นรายละเอียดที่จะปรับปรุงนวัตกรรมได้ง่ายขึน้ คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ได้ให้หลักการกระบวนการพัฒนานวัตกรรมทางการศกึ ษาด้านการเรยี นการสอนท่ีสาคัญ ดังน้ี ขั้นที่ ๑ ศึกษาหลักการ แนวคิด หรือผลงานวิจัยที่เก่ียวข้องหรือทฤษฏีของนวตั กรรมทีเ่ ลอื ก ขนั้ ที่ ๒ ออกแบบนวัตกรรม ซ่ึงมี่ส่ิงทคี่ วรคานึงถึง ดังนี้ ๑. วตั ถปุ ระสงคข์ องผลทตี่ ้องการให้เกิดหลงั จากการใชน้ วัตกรรม คืออะไร ๒. ขอบข่ายของผู้ใช้นวัตกรรม ควรระบุว่านวัตกรรมท่ีสร้างขึ้นเหมาะกับนกั เรียนระดบั ช้นั ใด วิชาใด หรือมไี วส้ าหรับครู

๑๐๒ ๓. โครงสร้างของนวัตกรรมควรสอดคล้อง หรือเหมาะสมกบั ผใู้ ช้ ๔. ลักษณะทางเทคนิคของนวัตกรรมคือ การเสนอแนวทางหรือเทคนิควิธีใหม่ๆเพ่ือนาไปสู่การพัฒนาและความสาเร็จตามวัตถุประสงค์ เช่น ถ้าเป็นบทเรียนสาเร็จควรอธิบายการแบง่ หัวข้อ และขั้นตอนการเรยี นแตล่ ะหน่วย ถา้ เป็นครมู อื ครูอาจกล่าวถึงเทคนิคการแนะนาใหค้ รูเกิดความรคู้ วามเข้าใจทจ่ี ะนาไปใช้จรงิ เปน็ ตน้ ๕. ลักษณะการนาไปใช้และเง่ือนไขนวัตกรรมจะมีประโยชน์และคุณค่าตามวัตถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไวก้ ็ต่อเม่ือ นวัตกรรมไดน้ าไปใช้จริงอย่างเหมาะสม ดังน้ันในนวตั กรรมต่างๆจึงควรจะต้องมคี ู่มอื เอกสารแนะนา หรือเทคนคิ เฉพาะของการใช้นวัตกรรมด้วย เช่น การเตรียมตัวของครูการเตรยี มตัวของนักเรียน การสร้างบรรยากาศในชนั้ เรียน การจัดชั้นเรียน หรือลักษณะของการมอบหมายงาน เป็นตน้ ขัน้ ที่ ๓ สร้างหรือพฒั นา เป็นการลงมอื ทานวัตกรรมตามรูปแบบและโครงสรา้ งที่กาหนดไว้ หากเคร่ืองมือได้มาจากการแสวงหาก็ดาเนินการพัฒนาหรือปรับปรุงนวัตกรรม จากน้ันจึงทาการตรวจสอบเบื้องต้นโดยผู้เช่ียวชาญ หรือครูชานาญการแต่ละด้านเกี่ยวกับความเหมาะสมและสอดคลอ้ งกับสภาพปัญหาและความต้องการกอ่ นท่ีจาไปใชต้ อ่ ไป ขน้ั ที่ ๔ การตรวจสอบคุณภาพของนวตั กรรม ๑. ตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมเอง อาจมีการทดลองกับกลุ่มเล็กๆ เพ่ือปรบั ปรงุ คุณภาพของส่วนตา่ งๆ เช่น ภาษาการจัดลาดบั เนือ้ หา เป็นตน้ ๒. หาประสทิ ธภิ าพในแตล่ ะสว่ นของนวตั กรรม ๓. นาไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้และหาประสิทธิผลของนวัตกรรมในสถานการณ์จริง ขน้ั ที่ ๕ ประเมินผลการใชน้ วัตกรรม โดยการเก็บรวบรวมขอ้ มูลด้วยเทคนิคตา่ งๆเม่ือจบสิ้นการใช้นวัตกรรมแล้วรายงานขยายผล ของการใช้นวัตกรรมได้ถ้าผลแสดงว่าสามารถลดสภาพปญั หา หรอื แก้ปัญหาได้๑๓๔ สมเดช สีแสง และคนอื่นๆ ได้กล่าวถึง หลักกระบวนการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน ดงั น้ี ๑. ขัน้ เตรียมการและวางแผนในการจดั ทาผลงาน คอื ๑๓๔ คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน, ความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาของประเทศไทย, (กรงุ เทพมหานคร : เซเวน่ พริ้นตง้ิ กรปุ๊ , ๒๕๔๔), หนา้ ๕๓

๑๐๓ ๑) กาหนดรูปแบบของผลงาน กาหนดเปา้ หมายและขอบข่ายของเนื้อหาวิชากาหนดเป้าหมายและขอบข่ายของเน้ือหาวชิ า ขัน้ ตอนการจดั ทาผลงาน ๒) นาหลกั สตู ร เน้อื หา และจดุ ประสงค์การเรียนรูใ้ นวชิ านน้ั เปน็ หลัก ๓) กาหนดโครงสร้างของผลงาน (ใช้ในภาคเรียนและแต่ละเร่ืองจะจัดทาส่ือเปน็ จานวนเทา่ ใดบ้าง) ๒. ขัน้ ทดลองนาผลงานไปใช้ เช่น ๑) ทดลองกบั กลมุ่ ตัวอย่าง ๒) ควรมีการวิจักสื่อที่จะนาไปทดลองใช้ เพื่อวัดประสิทธิภาพของสื่อที่ผลิตขึ้นว่าสามารถนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนในด้านผลสัมฤทธ์ิหางการเรียน และเจตคติต่อการจัดการเรียนการสอนเพียงใด ๓) เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั น้นั ควรจดั ทาให้สามารถวดั ผลได้อย่างชดั เจอ ๓. ข้ันนาผลงานไปใช้ ควรอธิบายกรรมวิธีในการนาไปใช้ได้อย่างละเอียดและเป็นข้ันตอนผลของการนาไปใช้ อธบิ ายให้เห็นว่าส่ิงประดิษฐ์น้ันสามารถนาไปใช้ในการแก้ปญั หาหรือนาไปเพ่อื พัฒนาการจัดการเรยี นการสอน ๔. ขั้นการเผยแพร่และสร้างการยอมรับ เพื่อเปน็ หลักฐานยนื ยันว่าส่อื นวัตกรรมที่ประดิษฐ์ขึ้นน้ัน มีประโยชน์อย่างแท้จริงต่อการจัดการเรียนการสอน จึงจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องมีการเผยแพร่เพ่ือให้เกิดการยอมรับในวงการศึกษาข้ันตอนน้ีควรอธิบายโดยละเอียดว่า ได้ว่าการเผยแพร่ทใี่ ด หรือในลักษณะใดบา้ ง๑๓๕ นคร ละลอกนา้ กลา่ วว่า การพฒั นานวัตกรรมทางการศกึ ษาเร่ิมตน้ จากปัญหาที่พบในการศกึ ษาจงึ รวบรวมปัญหาและสรา้ งนวตั กรรมข้ึนเพื่อนาไปพัฒนาระบบการสอนใหม่ และทดลองใช้นวัตกรรมนาไปปรบั ปรุงและพัฒนาจนสามารถแกไ้ ขปัญหาทพ่ี บได้จริง๑๓๖ ถวัลย์ มาศจรสั ได้กล่าวถึง กระบวนการพัฒนานวัตกรรมการศึกษาด้านการเรียนการสอน ระดบั ของการสร้างนวตั กรรมไว้ได้ ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑. นวัตกรรมเชิงพัฒนา (Copy and Development) เป็นนวัตกรรมที่มีการพัฒนามาจากนวัตกรรมเก่า ซ่ึงอาจจะพัฒนาต่อยอดจากนวัตกรรมเก่าใหม่ทั้งหมด หรือพัฒนาแต่เพียงบางส่วนให้ดียิ่งขึ้นก็ได้ การพัฒนาเพียงบางส่วน อาจพัฒนาในเรื่องต่อไปนี้ เช่น ความคิด ๑๓๕ สมเดช สแี สง และคนอน่ื ๆ, ปฏริ ปู การเรียนรู้สูก้ ารพัฒนาวิชาชีพครูตามพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ, (นครสวรรค์ : รมิ ปิง, ๒๕๕๓), หนา้ ๒๙ ๑๓๖ นคร ละลอกน้า, เรอ่ื งเดยี วกัน

๑๐๔รปู แบบ วิธีการ เทคนิค แนวทางใหม่ ผลผลิตใหม่ ฯลฯ ลักษณะการเกิดนวัตกรรมเชิงพัฒนาการเกิดนวัตกรรมเชิงพฒั นามีลาดับขน้ั การเกิด ดงั น้ี ๑) ขน้ั การลอกเลยี นแบบ (Copy) การลอกเลยี นแบบเปน็ พฤติกรรมธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์ เช่น ลูกย่อมเลียนแบบพฤติกรรมการเรียนรู้ต่างๆ จากพ่อ แม่ ญาติ พ่ีน้อง และสังคมเป็นเบื้องต้น การลอกเลียนแบบก็คือ การคัดลอกความคิดเบอ้ื งต้นของคนหรือผลงานที่ตนเองช่นื ชอบนน่ั เอง ๒) ขั้นการพัฒนา (Development) โดยธรรมชาติของมนุษย์ ล้วนแต่แหล่งภมู ปิ ัญญาสร้างสรรคใ์ นตนเองดว้ ยกันทั้งส้ิน จะแตกตา่ งกันก็ตรงทีใ่ ครมมี าก มีนอ้ ยกว่ากันเทา่ นั้นเม่ือลอกเลียนแบบผู้อ่ืนไปสักระยะหนึง่ ประสบการณ์จะสอนให้รู้จักพฒั นาแบบที่ลอกเลียนนนั้ ให้ดีย่ิงข้ันแปลกแตกตา่ งจากเดิมมากยิ่งข้ึน โดยนาไปทดลองใช้และปรับปรุงแก้ไขข้อบกพรอ่ งตา่ งๆ จนสมบูรณ์ ๓) ข้นั นาไปปฏบิ ตั ิ (Action) หลังจากการลอดเลียนแบบแลว้ พฒั นาแลว้ ก็ก้าวไปสขู้ ั้นการนาไปปฏบิ ัติ การนาไปปฏิบัตจิ ะควบคไู่ ปกับการเผยแพร่นวตั กรรมทีต่ นเองไดพ้ ัฒนาข้ึนจนเปน็ ประโยชน์ต่อการศึกษาก็ถอื ได้วา่ นค้ี อื นวัตกรรมการศึกษา ทไี่ ด้มกี ารพฒั นาข้ึนมาใหม่บนพ้ืนฐานภูมิปัญญาเดมิ ทมี่ ผี ู้คิดคน้ ไว้ ๒. นวัตกรรมเชิงวิจัยและพัฒนา (Research and Development) นวัตกรรมเชิงวิจัยและพัฒนาเป็นนวัตกรรมท่ีมีการคิดค้นใหม่ และค้นพบใหม่ด้วยตนเอง ด้วยคณะวิจัย หรือคณะทางานลักษณะการเกิดนวัตกรรมเชิงวิจัยและพัฒนาการเกิดนวัตกรรมเชิงวิจัยและพัฒนา มีลาดับข้ันการเกดิ ดงั นี้ ๑) ขั้นการศกึ ษาคน้ ควา้ (Study) การศึกษาค้นพบว่า เปน็ คุณลกั ษณะพนื้ ฐานของผ้ทู รี่ ิเริ่มสร้างสรรคน์ วัตกรรมเชงิ วจิ ัยและพัฒนา เป็นการคร่นุ คิดรวบรวมองคค์ วามรู้ ประมวลองค์ความรู้เพื่อก้าวไปส้เู หมายแหง่ ความสาเร็จในการคิดคน้ นวตั กรรม ๒) ขั้นการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) เมื่อประมวลองค์ความรู้จนตกผลึกแล้วการประดิษฐ์ คดิ ค้นนวตั กรรมใหมก่ จ็ ะเรม่ิ ขึ้น ๓) ข้ันพัฒนาการ (Development) ข้นั พัฒนาการเป็นชน้ั ต่อจากขน้ั ประดิษฐ์คิดคน้ ข้ันน้ีเปน็ ขัน้ ของการพัฒนาความคิดไปสูก้ ารทดลอง ๔) ข้ันการปฏิบัติการ (Action) เมื่อทดลองและปรับปรุงแก้ไขความคิดต้นแบบจากการทดลองแล้วก็เป็นขั้นตอนการปฏิบัตติ ามความคิดตน้ แบบหรือตามนวตั กรรมที่คิดค้นข้ึนในขัน้ น้ีจะมีการเผยแพร่เพ่ือขยายเครือขา่ ยการปฏบิ ัตใิ นกว้างขวางออกไป โดยสรุปแล้วระดับของการสรา้ งสรรค์นวัตกรรมมอี ยู่ ๒ ระดับ ไดแ้ ก่

๑๐๕ ๑. ระดับนวัตกรรมเชิงพัฒนา (C&D) เป็นการพัฒนานวัตกรรมข้ึนมาจากนวัตกรรมเกา่ ทม่ี อี ยเู่ ดมิ ๒. ระดับนวัตกรรมเชิงวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นการสร้างนวัตกรรมขึ้นจากความคดิ และวธิ กี ารของตนเองซ่งึ เป็นส่งิ ทีท่ าข้นึ ใหม่๑๓๗ สมเดช สีแสง และคนอ่ืนๆ กระบวนการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา ด้านการเรียนการสอน เทคนคิ ในระดับการสร้างนวตั กรรม ดงั น้ี ๑. ในการผลิตส่ือการสอน ควรเน้นในเรอื่ งความประหยัดและให้เกิดประโยชนใ์ นการพฒั นาการจดั การเรยี นการสอน (ทาจรงิ -ใช้จริง-มีประโยชนต์ อ่ นักเรยี นจรงิ ) ๒. ต้องมคี มู่ อื ในการใชส้ ่ือและสิง่ ประดษิ ฐท์ ส่ี ามารถให้รายละเอยี ดในเรื่องตา่ งๆ ๑) จดุ ประสงค์ในการสร้างส่อื ๒) วสั ดอุ ปุ กรณแ์ ละคา่ ใช้จา่ ย ๓) รูปแบบที่ต้นแบบ ๔) วิธีการทา/ผลิต/ประดิษฐ์ ๕) การทดลองใช/้ การปรบั ปรงุ แก้ไข ๖) ประโยชน/์ การนาไปใช้ ๗) คณุ ภาพ/ประสิทธิภาพ/หลักฐานการนาไปใช้๑๓๘ สถาบันพฒั นาความกา้ วหนา้ (ม.ป.ป.) ได้กล่าวถึง การออกแบบพฒั นานวัตกรรมการศึกษาด้านการจัดการเรยี นการสอน ประกอบดว้ ย ๑. ชื่อนวตั กรรม ๒. วตั ถปุ ระสงคข์ องการใชน้ วตั กรรม ๓. ทฤษฎีหลักการท่ใี ช้ในการสร้างนวัตกรรม ๔. ส่วนประกอบของนวัตกรรม ๕. การนานวตั กรรมไปใช้๑๓๙ ๑๓๗ ถวัลย์ มาศจรสั , คู่มือความคิดสร้างสรรคใ์ นการจัดทานวตั กรรมการศึกษา, กรุงเทพมหานคร : ธารอักษร, ๒๕๕๑), หน้า ๕๒ ๑๓๘ สมเดช สีแสง และคนอน่ื ๆ, ปฏิรูปการเรียนรู้ส่กู ารพฒั นาวิชาชพี ครูตามพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ, (นครสวรรค์ : รมิ ปิง, ๒๕๔๓), หนา้ ๔๑ ๑๓๙ พัฒนาความก้าวหน้า, สถาบัน, เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร”การพัฒนานวตั กรรม (ดา้ นที่๓) ให้เปน็ ผลงานวชิ าการครทู มี่ ีคุณภาพ, (กรงุ เทพมหานคร : ม.ป.พ.,ม.ป.ป., ๒๕๕๑) หน้า ๔๑

๑๐๖ ชัยวัฒน์ สุทธริ ัตน์ ไดก้ ล่าวถึง การสร้างพัฒนานวตั กรรม ใหม้ ีประสิทธิภาค ได้ผลจริงประกอบดว้ ย ดงั นี้ ๑. การวเิ คราะหป์ ัญหา ปรากฏการณห์ รือสิ่งตา่ งๆ ที่เกิดขน้ึ ในองค์กรส่งผลให้ไม่บรรลเุ ปา้ หมายตามทีก่ าหนด ๒. การกาหนดวางแผนนวัตกรรมเพ่ือแก้ไขปัญหา มีคุณลักษณะตรงกับปัญหาเพ่อื ใหส้ ามารถแกป้ ญั หาทเี่ กดิ ข้นึ ได้จริง โดยใช้เป็นนวัตกรรมทีไ่ ม่ซับซอ้ นและยากจนเกินไป ใชง้ า่ ย ใช้สะดวก ไม่เสียค่าใช้จ่ายแพงจนเกิดไป ไม่กระทบกระเทือนต่อบริบทมากนัก และเป็นนวัตกรรมท่ีใหผ้ ลในการแก้ปญั หาชัดเจน ๓. การพัฒนานวัตกรรมไปปฏิบัติใช้นวัตกรรมที่เหมาะสม ส่งเสริมทักษะกระบวนการตามเปา้ หมายที่ต้ังไว้ ๔. การประเมินนวัตกรรม การสร้างนวัตกรรมเสรจ็ แลว้ ตอ้ งมีการตรวจสอบจากผูร้ ู้ ผมู้ ีประสบการณ์ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั นวตั กรรมทสี่ ร้างขนึ้ ๕. การทดลองใช้ (Try out) เพือ่ หาประสทิ ธภิ าพนวัตกรรม โดยการนานวตั กรรมนนั้ ไปทดลองใชต้ ามขัน้ ตอนทีก่ าหนดไวเ้ พอื่ นาขอ้ มูลมาปรับปรงุ ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ กอ่ นนาไปใช้จรงิ ๖. ขั้นตอนการใช้นวัตกรรมกับกลุ่มตัวอย่างท่ีต้องการพัฒนา การนานวัตกรรมน้นั ไปใชจ้ รงิ กับกลมุ่ ตวั อยา่ งทีต่ อ้ งการใช้ ๗. การวเิ คราะห์ข้อมูลและการนาเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ๘. การนาเสนอผลการพฒั นานวัตกรรม๑๔๐ สมนึก เอ้ือจิระพงษพ์ นั ธ์และคณะ ได้กล่าวถึงกระบวนการจดั สร้างนพัฒนาวัตกรรมจะเป็นส่วนสาคัญท่ีทาให้องค์กรสามารถดารงอยู่และเจริญเติบโตต่อไปได้ ซ่ึงกระบวนการขั้นตอนประกอบด้วยสว่ นที่สาคัญ ๆ หลายขั้นตอน๑๔๑ ดงั น้ี ๑. การค้นหา (Searching) เป็นการสารวจสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก เพื่อตรวจจับสัญญาณของท้ังโอกาสและอุปสรรค สาหรับการนาไปสู่จุดเริ่มต้นการเปลีย่ นแปลงในอนาคต ๑๔๐ ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, การจัดการนวัตกรรม , (กรุงเทพมหานคร : แดแน็กซ์ อินเตอร์คอร์ปอเรช่ัน,๒๕๕๒), หน้า ๗๙ ๑๔๑ สมนึก เอ้ือจิระพงษ์พันธ์และคณะ, นวัตกรรม : ความหมาย ประเภท และความสาคัญต่อการเป็นผู้ประกอบการ วารสารบริหารธรุ กิจ, ปที ่ี ๓๓ ฉบบั ท่ี ๑๒๘ ตุลาคม-ธนั วาคม ๒๕๓๓


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook