Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อศิลปะ

สื่อศิลปะ

Published by s_ec0833, 2020-05-07 23:34:36

Description: สื่อศิลปะ

Search

Read the Text Version

~1~

~2~ ใบความรู้ เร่อื ง จดุ เสน้ สี แสง เงา รูปรา่ ง และรปู ทรง จุด ……………………………………… คือ องคป์ ระกอบทเ่ี ล็กทีส่ ดุ จุดเปน็ สิ่งท่บี อกตำแหน่งและทิศทำงไดก้ ำรนำจุดมำเรียงต่อกันให้เป็นเส้น กำรรวมกัน ของจดุ จะเกดิ นำหนักท่ีให้ปรมิ ำตรแก่รปู ทรง เป็นต้น เสน้ หมำยถึง จุดหลำยๆจุดท่ีเรียงชิดติดกันเป็นแนวยำว หรือกำรลำกเส้นจำกจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ในทิศทำงที่แตกต่ำงกัน จะเป็นทิศมุม 45 องศำ 90 องศำ 180 องศำหรือมุมใดๆ กำรสลับทิศทำงของเส้นที่ลำกทำให้เกิด เป็นลักษณะตำ่ ง ๆ ในทำงศลิ ปะเสน้ มีหลำยชนดิ ด้วยกันโดยจำแนกออกได้เป็น 2 ลกั ษณะใหญๆ่ คือ ลักษณะ เช่น ตงั นอน เฉียง โคง้ เสน้ หยกั เสน้ ซิกแซก ความรู้สึกที่มตี ่อเสน้ เส้นเป็นองค์ประกอบพืนฐำนที่สำคัญในกำรสร้ำงสรรค์ เส้นสำมำรถแสดงให้เกิดควำมหมำยของภำพและให้ ควำมรสู้ ึกได้ตำมลักษณะของเส้น เส้นทเ่ี ป็นพนื ฐำน ไดแ้ ก่ เสน้ ตรงและเส้นโคง้ จำกเส้นตรงและเสน้ โค้งสำมำรถนำมำสร้ำงใหเ้ กิดเปน็ เสน้ ใหม่ท่ีใหค้ วำมรสู้ ึกทแี่ ตกต่ำงกันออกไปไดด้ ังนี เสน้ ตรงแนวตง้ั ให้ควำมรู้สกึ แข็งแรง สงู เด่น สง่ำงำม น่ำเกรงขำม เส้นตรงแนวนอน ใหค้ วำมรูส้ ึกสงบรำบเรยี บ กวำ้ งขวำง กำรพักผอ่ น หยดุ นง่ิ เสน้ ตรงแนวเฉยี ง ใหค้ วำมรสู้ กึ ไมป่ ลอดภยั กำรลม้ ไมห่ ยุดน่ิง

~3~ เส้นตัดกนั ให้ควำมรู้สกึ ประสำนกัน แข็งแรง เสน้ โคง้ ใหค้ วำมรูส้ ึกอ่อนโยนนุ่มนวล เส้นคลืน่ ให้ควำมรู้สกึ เคลื่อนไหวไหลเลื่อน รำ่ เริง ตอ่ เนอ่ื ง เส้นประ ใหค้ วำมรู้สึกขำดหำย ลกึ ลับ ไมส่ มบรูณ์ แสดงสว่ นทมี่ องไมเ่ หน็ เสน้ ขด ให้ควำมรู้สึกหมนุ เวยี นมนึ งง เสน้ หยัก ให้ควำมรู้สึกขดั แย้ง นำ่ กลวั ตน่ื เต้น แปลกตำ นักออกแบบนำเอำควำมรู้สึกท่ีมีต่อเส้นท่ีแตกต่ำงกันมำใช้ในงำนศิลปะประยุกต์ โดยใช้เส้นมำเปล่ียนรูปร่ำงของ ตวั อกั ษร เพอ่ื ใหเ้ กิดควำมรสู้ ึกเคลือ่ นไหวและทำให้ส่อื ควำมหมำยได้ดีย่งิ ขึน สี หมำยถึง แสงทมี่ ำกระทบวตั ถแุ ลว้ สะท้อนเขำ้ ตำเรำ ทำให้เหน็ เป็นสีตำ่ งๆ

~4~ ทฤษฎีสี หมำยถึง หลักวิชำเกี่ยวกับสีที่สำมำรถมองเห็นได้ด้วยสำยตำ เรำรับรู้สีได้เพรำะ เมื่อสำมร้อยกว่ำปีที่ ผ่ำนมำ ไอแซก นิวตัน ได้ค้นพบ ว่ำ แสงสีขำวจำก ดวงอำทิตย์เมื่อหักเห ผ่ำนแท่งแก้วสำมเหลี่ยม ( prism) แสงสขี ำวจะกระจำยออกเป็นสีรุง้ เรียกว่ำ สเปคตรัม มี 7 สี ไดแ้ ก่ ม่วง ครำม นำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง และ ไดม้ ีกำหนดให้เปน็ ทฤษฎสี ีของแสงขึน ควำมจรงิ สรี ้งุ เป็นปรำกฏกำรณ์ ตำม ธรรมชำติ ซ่ึงเกิดขึน และพบเห็นกันบ่อยๆ อยู่ แล้ว โดยเกิดจำกกำรหักเห ของ แสงอำทิตย์หรือ แสงสว่ำง เมื่อผ่ำน ละอองนำในอำกำศ ซึ่งลักษณะกระทบต่อสำยตำให้ เห็นเป็นสี มีผลถึงจิตวิทยำ คือมีอำนำจให้เกิดควำมเข้มของแสง ท่ีอำรมณ์ และควำมรู้สึกได้ กำรท่ีได้เห็นสีจำกสำยตำ สำยตำจะส่งควำมรู้สึกไปยังสมองทำให้เกิดควำมรู้สึกต่ำงๆ ตำม อิทธิพลของสี เช่น สดชื่น เร่ำร้อน เยือกเย็น หรือต่ืนเต้น มนษุ ยเ์ รำเกี่ยวขอ้ งกบั สตี ่ำงๆ อยตู่ ลอดเวลำเพรำะ ทุกสง่ิ ท่อี ยู่รอบตัวนัน ล้วนแตม่ สี ีสันแตกตำ่ งกันมำกมำย แมส่ ี นักวิชำกำรสำขำตำ่ งๆ ไดศ้ กึ ษำค้นควำ้ เรอ่ื งสี จนเกดิ เป็นทฤษฎสี ี ตำมหลักกำรของนักวชิ ำกำรสำขำนนั ๆ ดงั นี แม่สีของนักฟิสกิ ส์ (แม่สขี องแสง) (spectrum primaries) คือสที ่ีเกดิ จำกกำรผสมกนั ของคลืน่ แสง มีแมส่ ี 3 สี คือ แม่สีของนักเคมี (pigmentary primaries) คือสีท่ีใช้ในวงการอุตสาหกรรมและวงการศิลปะ หรือเรียกอีก อย่ำงหน่ึงว่ำ สีวัตถุธำตุ ที่เรำกำลังศึกษำอยู่ใน ขณะนี โดยใช้ในกำรเขียนภำพเกี่ยวกับพำณิชยศิลป์ ภำพโฆษณำ ภำพประกอบเรอ่ื ง ซ่ึงในหลกั กำรเดยี วกนั ทงั สิน ประกอบดว้ ย สขี น้ั ท่ี 1 (Primary Color) คือ สพี นื ฐำน มีแม่สี 3 สี ได้แก่ 1. สเี หลอื ง (Yellow) 2. สแี ดง (Red) 3. สนี ำเงิน (Blue)

~5~ สขี ้นั ท่ี 2 (Secondary color) คอื สที ีเ่ กดิ จำกสขี ันท่ี 1 หรอื แมส่ ีผสมกันในอัตรำส่วนท่เี ท่ำกัน จะทำให้เกดิ สีใหม่ 3 สี ไดแ้ ก่ 1. สสี ้ม (Orange) เกิดจำก สีแดง (Red) ผสมกบั สเี หลอื ง (Yellow) 2. สมี ว่ ง (Violet) เกิดจำก สีแดง (Red) ผสมกับสนี ำเงนิ (Blue) 3. สเี ขียว (Green) เกิดจำก สเี หลือง (Yellow) ผสมกับสนี ำเงนิ (Blue) สขี ัน้ ท่ี 3 (Intermediate Color) คอื สีทเ่ี กดิ จำกกำรผสมกนั ระหว่ำงสีของแมส่ ีกับสขี ันท่ี 2 จะเกิดสขี นึ อกี 6 สี ได้แก่ 1. สนี ำเงินมว่ ง ( Violet-blue) เกดิ จำก สนี ำเงิน (Blue) ผสมสีม่วง (Violet) 2. สเี ขียวนำเงิน ( Blue-green) เกดิ จำก สนี ำเงนิ (Blue) ผสมสเี ขียว (Green) 3. สเี หลอื งเขยี ว ( Green-yellow) เกิดจำก สเี หลอื ง(Yellow) ผสมกบั สีเขยี ว (Green) 4. สีสม้ เหลือง ( Yellow-orange) เกดิ จำก สีเหลอื ง (Yellow) ผสมกับสสี ้ม (Orange) 5. สีแดงส้ม ( Orange-red) เกดิ จำก สแี ดง (Red) ผสมกับสีสม้ (Orange) 6. สีมว่ งแดง ( Red-violet) เกิดจำก สีแดง (Red) ผสมกับสีมว่ ง (Violet) เรำสำมำรถผสมสเี กิดขึนใหม่ไดอ้ กี มำกมำยหลำยร้อยสดี ว้ ยวิธกี ำรเดียวกันนี ตำมคุณลกั ษณะของสที ่จี ะกลำ่ วตอ่ ไป

~6~ จะเห็นได้ว่ำทฤษฎีสีดังกล่ำวมีผลให้เรำสำมำรถนำมำใช้เป็นหลักในกำรเลือกสรรสีสำหรับงำนสร้ำงสรรค์ ของเรำ ได้ ซึ่งงำนออกแบบมิได้ถูกจำกัดด้วยกรอบควำมคิดของทฤษฎีตำมหลักวิชำกำรเท่ำนัน แต่เรำสำมำรถ คิดออกนอกกรอบ แหง่ ทฤษฎีนนั ๆ ได้ เทำ่ ที่มันสมองของเรำจะเค้นควำมคิดสร้ำงสรรค์ออกมำได้ คณุ ลักษณะของสมี ี 3 ประการ คือ 1. สีแท้ หรือความเป็นสี (Hue ) หมำยถึง สีท่ีอยู่ในวงจรสีธรรมชำติ ทัง 12 สี (ดูภำพสี 12 สีในวงจรสี ด้ำน ซ้ำยมอื ประกอบ) สี ท่ีเรำเหน็ อยู่ทกุ วนั นแี บ่งเป็น 2 วรรณะ โดยแบง่ วงจรสีออกเปน็ 2 ส่วน จำกสีเหลืองวนไปถงึ สมี ่วง คอื 1. สีร้อน (Warm Color) ให้ควำมรู้สึกรุนแรง ร้อน ตื่นเต้น ประกอบด้วย สีเหลือง สีเหลืองส้ม สีส้ม สี แดงสม้ สีแดง สมี ว่ งแดง สีมว่ ง 2. สีเย็น (Cool Color) ให้ควำมรู้สึกเย็น สงบ สบำยตำประกอบด้วย สีเหลือง สีเขียวเหลือง สีเขียว สีนำเงินเขียว สีนำเงิน สีม่วงนำเงิน สีม่วง เรำจะเห็นว่ำ สีเหลือง และสีม่วง เป็นสีท่ีอยู่ได้ทัง 2 วรรณะ คือเป็นสี กลำง เปน็ ไดท้ ังสีรอ้ น และสเี ย็น 2. ความจัดของสี (Intensity) หมำยถึง ควำมสด หรือควำมบริสุทธิ์ของสีใดสีหน่ึง สีที่ถูกผสมด้วย สีดำจนหม่น ลง ควำมจัด หรือควำมบริสุทธิ์จะลดลง ควำมจัดของสีจะเรียงลำดับจำกจัดท่ีสุด ไปจน หม่นท่ีสุด ได้หลำยลำดับ ด้วยกำรค่อยๆ เพิ่มปริมำณของสีดำที่ผสมเข้ำไปทีละน้อยจนถึงลำดับที่ควำมจัดของสีมีน้อยท่ีสุด คือเกือบ เป็นสีดำ 3. น้าหนักของสี (Values) หมำยถึง สีที่สดใส (Brightness) สีกลำง (Grayness) สีทึบ(Darkness) ของ สีแต่ละสี สีทุกสีจะมีนำหนักในตัวเอง ถ้ำเรำผสมสีขำวเข้ำไปในสีใดสีหน่ึง สีนันจะสว่ำงขึน หรือมีนำหนักอ่อนลงถ้ำเพิ่มสี ขำวเข้ำไปทีละน้อยๆ ตำมลำดับ เรำจะได้นำหนักของสีที่เรียงลำดับจำกแก่สุด ไปจนถึงอ่อนสุดนำหนักอ่อนแก่ของสีก็ได้ เ กิ ด จ ำ ก ก ำ ร ผ ส ม ด้ ว ย สี ข ำ ว เ ท ำ แ ล ะ ด ำ น ำ ห นั ก ข อ ง สี จ ะ ล ด ล ง ด้ ว ย ก ำ ร ใ ช้ สี ข ำ ว ผ ส ม ( tint) ซึง่ จะทำให้ เกดิ ควำมรสู้ กึ นมุ่ นวล ออ่ นหวำน สบำยตำ นำหนักของสจี ะเพ่ิมขึนปำนกลำงด้วยกำรใชส้ ีเทำผสม ( tone) ซ่ึงจะทำให้ควำมเข้มของสีลดลง เกิดควำมรู้สึก ท่ีสงบ รำบเรียบ และนำหนักของสีจะเพ่ิมขึนมำกขึนด้วยกำรใช้สี ดำผสม ( shade) ซึ่งจะทำให้ควำมเข้มของสีลดควำมสดใสลง เกิดควำมรู้สึกขรึม ลึกลับ นำหนักของสียังหมำยถึงกำร เรียงลำดับนำหนักของสีแท้ด้วยกันเอง โดย เปรียบเทียบ นำหนักอ่อนแก่กับสีขำว – ดำ เรำสำมำรถเปรียบเทียบระหว่ำงภำพสีกับภำพขำวดำได้อย่ำงชัดเจนเม่ือนำภำพสีที่เรำเห็นว่ำมีสีแดงอยู่หลำยค่ำทังอ่อน กลำง แก่ ไปถ่ำยเอกสำรขำว -ดำ เม่ือนำมำดูจะพบว่ำ สีแดงจะมีนำหนักอ่อน แก่ตังแต่ขำว เทำ ดำ นนั่ เป็นเพรำะว่ำสีแดงมีนำหนกั ของสแี ตกตำ่ งกนั นั่นเอง สีตำ่ งๆ ท่ีเรำสัมผัสด้วยสำยตำ จะทำให้เกิดควำมรู้สึกขึนภำยในต่อเรำ ทันทีท่ีเรำมองเห็นสี ไม่ว่ำจะเป็น กำรแต่ง กำย บ้ำนท่ีอยอู่ ำศัย เคร่ืองใชต้ ำ่ งๆ แลว้ เรำจะ ทำอย่ำงไร จึงจะใช้สีได้อย่ำงเหมำะสม และสอดคล้องกับหลักจิตวิทยำ เรำ จะตอ้ งเขำ้ ใจว่ำสีใดให้ควำมรู้สกึ ต่อมนษุ ยอ์ ยำ่ งไร ซง่ึ ควำมรสู้ กึ เก่ยี วกับสี สำมำรถจำแนกออกได้ดงั นี สีแดง ให้ควำมรู้สึกร้อน รุนแรง กระตุ้น ท้ำทำย เคล่ือนไหว ต่ืนเต้น เร้ำใจ มีพลัง ควำมอุดมสมบูรณ์ ควำมมั่งค่ัง ควำมรกั ควำมสำคญั อันตรำยสีแดงชำด จะทำให้เกดิ ควำมอุดมสมบูรณ์ สีส้ม ให้ควำมรู้สึก ร้อน ควำมอบอุ่น ควำมสดใส มีชีวิตชีวำ วัยรุ่น ควำมคึกคะนอง กำรปลดปล่อย ควำมเปรียว กำรระวังสีเหลือง ให้ควำมรู้สึก แจ่มใส ควำมร่ำเริง ควำมเบิกบำนสดช่ืน ชีวิตใหม่ ควำมสด ใหม่ ควำมสุกสว่ำง กำรแผ่

~7~ ก ร ะ จ ำ ย อ ำ น ำ จ บ ำ ร มี สี เ ขี ย ว ให้ ควำมรู้สึกงอกงำม สดชื่น สงบ เงียบ ร่มรื่น ร่ ม เ ย็ น กำรพกั ผอ่ น กำรผอ่ นคลำยธรรมชำติ ควำมปลอดภัย ปกติ ควำมสขุ ควำมสขุ ุม เยือกเย็น สีเขียวแก่ จะทำให้เกิดควำมรู้สึกเศร้ำใจควำมแก่ชรำ สีนำเงิน ให้ควำมรู้สึกสงบ สุขุม สุภำพ หนักแน่น เคร่งขรึม เอำกำรเอำงำน ละเอยี ด รอบคอบ สง่ำงำม มีศกั ดศ์ิ รี สงู ศักด์ิ เป็นระเบียบถ่อมตน สีฟ้ำ ให้ควำมรู้สึก ปลอดโปร่งโล่ง กว้ำง เบำ โปร่งใส สะอำด ปลอดภัย ควำมสว่ำง ลมหำยใจ ควำมเป็นอิสรเสรี ภำพ กำรชว่ ยเหลอื แบ่งปัน สีครำม จะทำใหเ้ กดิ ควำมรสู้ ึกสงบ สีม่วง ใหค้ วำมรู้สกึ มเี สนห่ ์ น่ำติดตำม เร้นลับ ซ่อนเร้น มีอำนำจ มีพลังแฝงอยู่ ควำมรัก ควำมเศร้ำ ควำมผิดหวัง ควำมสงบ ควำมสูงศักดิ์ สนี ำตำล ใหค้ วำมรู้สึกเกำ่ หนกั สงบเงียบ สขี ำว ให้ควำมรู้สึกบรสิ ุทธ์ิ สะอำด ใหม่ สดใส สดี ำ ใหค้ วำมรู้สึกหนกั หดหู่ เศร้ำใจ ทึบตัน สีชมพู ให้ควำมรู้สึก อบอุ่น อ่อนโยน นุ่มนวล อ่อนหวำน ควำมรัก เอำใจใส่ วัยรุ่น หนุ่มสำว ควำมน่ำรักควำม สดใส สีไพล จะทำใหเ้ กดิ ควำมรูส้ ึกกระชมุ่ กระชวย ควำมเป็นหนุ่มสำว สเี ทำ ให้ควำมรสู้ ึก เศร้ำ อำลัย ทอ้ แท้ ควำมลึกลับ ควำมหดหู่ ควำมชรำ ควำมสงบ ควำมเงียบ สุภำพ สุขุม ถ่อม ตน สีทอง ให้ควำมรู้สึก ควำม หรูหรำ โอ่อ่ำ มีรำคำ สูงค่ำ ส่ิงสำคัญ ควำม เจริญรุ่งเรือง ควำมสุข ควำมมั่งค่ัง ควำมรำ่ รวย กำรแผ่กระจำย จำกควำมรู้สึกดังกล่ำว เรำสำมำรถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ในทกุ เรือ่ ง และเมื่อต้องกำรสร้ำงผลงำน ที่เก่ียวกับกำรใชส้ ี เพือ่ ท่จี ะไดผ้ ลงำนทตี่ รงตำมควำมต้องกำรในกำรส่ือควำมหมำย และจะช่วยลดปัญหำในกำร ตดั สนิ ใจทจ่ี ะเลอื กใช้สตี ่ำงๆได้ เชน่ 1. ใชใ้ นกำรแสดงเวลำของบรรยำกำศในภำพเขยี น เพรำะสีบรรยำกำศในภำพเขียนนันๆ จะแสดงให้รู้ว่ำ เป็นภำพ ตอนเชำ้ ตอนกลำงวนั หรอื ตอนบ่ำย เปน็ ต้น 2. ในด้ำนกำรค้ำ คือ ทำให้สินค้ำสวยงำม น่ำซือหำ นอกจำกนียังใช้กับงำนโฆษณำ เช่น โปสเตอร์ต่ำงๆ ช่วยให้ จำหนำ่ ยสินค้ำไดม้ ำกขึน 3. ในดำ้ นประสิทธภิ ำพของกำรทำงำน เชน่ โรงงำนอุตสำหกรรม ถ้ำทำสสี ถำนท่ที ำงำนให้ถูกหลักจิตวิทยำ จะเป็น ทำงหนง่ึ ท่ชี ว่ ยสรำ้ งบรรยำกำศใหน้ ่ำทำงำน คนงำนจะทำงำนมำกขนึ มปี ระสทิ ธภิ ำพในกำรทำงำนสูงขึน 4. ในดำ้ นกำรตกแต่ง สขี องห้อง และสีของเฟอร์นิเจอร์ ช่วยแก้ปัญหำเรื่องควำมสว่ำงของห้อง รวมทังควำมสุขใน กำรใช้หอ้ ง ถำ้ เปน็ โรงเรยี นเด็กจะเรยี นไดผ้ ลดขี ึน ถำ้ เป็นโรงพยำบำลคนไข้จะหำยเรว็ ขนึ

~8~ สร้ำงสรรค์งำนออกแบบจะเป็นผู้ท่ีเก่ียวข้องกับกำรใช้สีโดยตรง มัณฑนำกรจะคิดค้นสีขึนมำเพ่ือใช้ในงำนตกแต่ง คน ออกแบบฉำกเวทีกำรแสดงจะคิดค้นสีเกี่ยวกับแสง จิตรกรก็จะคิดค้นสีขึนมำระบำยให้เหมำะสมกับ ควำมคิด และ จนิ ตนำกำรของตน แล้วตัวเรำจะคดิ ค้นสีขึนมำเพือ่ ควำมงำม ควำมสุข สำหรับเรำมไิ ดห้ รอื สที ่ีใช้สำหรับกำรออกแบบนัน ถ้ำเรำจะใช้ให้เกิดควำมสวยงำมตรงตำมควำมต้องกำรของเรำ มีหลักในกำรใช้กว้ำงๆ อยู่ 2 ประกำร คือ กำรใช้สีกลมกลืนกนั และ กำรใชส้ ีตัดกัน 1. การใช้สกี ลมกลนื กนั กำรใช้สใี ห้กลมกลืนกัน เปน็ กำรใช้สีหรือนำหนักของสีให้ใกล้เคียงกัน หรือคล้ำยคลึงกัน เช่น กำรใช้สีแบบเอกรงค์ เป็นกำรใชส้ ีสเี ดยี วที่มีนำหนกั อ่อนแก่หลำยลำดับ กำรใช้สีขำ้ งเคียง เปน็ กำรใช้สีทเ่ี คยี งกนั 2 – 3 สี ในวงสี เช่น สีแดง สีสม้ แดง และสมี ่วงแดง กำรใช้สีใกล้เคียง เป็นกำรใช้สี ท่ีอยู่เรียงกันในวงสีไม่เกิน 5 สี ตลอดจนกำรใช้สีวรรณะร้อนและวรรณะเย็น ( warm tone colors and cool tone colors) ดังได้กลำ่ วมำแล้ว 2. การใช้สีตัดกัน สีตัดกันคือสีท่ีอยู่ตรงข้ำมกันในวงจรสี (ดูภำพวงจรสี ด้ำนซ้ำยมือประกอบ) กำรใช้สีให้ตัดกันมี ควำมจำเปน็ มำก ในงำนออกแบบ เพรำะชว่ ยให้เกิดควำมน่ำสนใจ ในทันทีท่ีพบเห็น สีตัดกันอย่ำงแท้จริงมี อยู่ด้วยกัน 6 คู่ สี คือ 1. สีเหลือง ตรงข้ำมกับ สีม่วง 2. สสี ม้ ตรงขำ้ มกบั สีนำเงิน 3. สีแดง ตรงข้ำมกบั สเี ขียว 4. สีเหลอื งส้ม ตรงขำมกับ สมี ว่ งนำเงิน 5. สีส้มแดง ตรงขำ้ มกับ นำเงินเขียว 6. สมี ว่ งแดง ตรงขำ้ มกบั สเี หลืองเขียว กำรใช้สีตัดกนั ควรคำนึงถึงควำมเป็นเอกภำพด้วย วิธีกำรใช้มีหลำยวิธี เช่น ใช้สีให้มีปริมำณต่ำงกัน เช่น ใช้สีแดง 20 % สีเขียว 80% หรือ ใช้เนือสีผสมในกันและกัน หรือใช้สีหนึ่งสีใดผสมกับสีคู่ท่ีตัดกัน ด้วยปริมำณเล็กน้อย รวมทังกำร เอำสที ี่ตัดกันมำทำใหเ้ ปน็ ลวดลำยเลก็ ๆ สลบั กนั ในผลงำนชินหน่ึง อำจจะใชส้ ใี หก้ ลมกลืนกันหรือตัดกันเพียงอย่ำงใดอย่ำง หน่ึง หรืออำจจะใช้พร้อมกันทัง 2 อย่ำง ทังนีแล้วแต่ควำมต้องกำร และควำมคิดสร้ำงสรรค์ของเรำ ไม่มีหลักกำร หรือ รปู แบบท่ตี ำยตวั ในงำนออกแบบ หรือกำรจัดภำพ หำกเรำรู้จักใช้สีให้มีสภำพโดยรวมเป็นวรรณะร้อน หรือวรรณะเย็น เรำจะ สำมำรถควบคุม และสร้ำงสรรค์ภำพให้เกิดควำมประสำนกลมกลืน งดงำมได้ง่ำยขึน เพรำะสีมีอิทธิพลต่อ มวล ปริมำตร และช่องว่ำง สีมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดควำมกลมกลืน หรือขัดแย้งได้ สีสำมำรถขับเน้นให้ให้เกิด จุดเด่น และกำรรวมกันให้ เกิดเป็นหน่วยเดียวกันได้ เรำในฐำนะผูใ้ ชส้ ีต้องนำหลักกำรต่ำงๆ ของสีไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้อง กับเป้ำหมำยในงำนของ เรำ เพรำะสีมีผลตอ่ กำรออกแบบ คอื 1. สรา้ งความรสู้ ึก สีใหค้ วำมรสู้ ึกตอ่ ผ้พู บเห็นแตกตำ่ งกนั ไป ทังนีขึนอยู่กับประสบกำรณ์ และภูมิหลัง ของแต่ละ คน สีบำงสีสำมำรถรักษำบำบัดโรคจิตบำงชนิดได้ กำรใช้สีภำยใน หรือภำยนอกอำคำร จะมีผลต่อกำร สัมผัส และสร้ำง บรรยำกำศได้

~9~ 2. สร้างความน่าสนใจ สีมีอิทธิพลต่องำนศิลปะกำรออกแบบ จะช่วยสร้ำงควำมประทับใจ และควำมน่ำสนใจ เปน็ อันดับแรกท่ีพบเหน็ 3. สบี อกสัญลกั ษณ์ของวัตถุ ซึง่ เกดิ จำกประสบกำรณ์ หรือภูมิหลงั เช่น สีแดงสัญลักษณ์ของไฟ หรืออันตรำย สี เขียวสัญลักษณแ์ ทนพชื หรอื ควำมปลอดภัย เป็นตน้ 4. สีช่วยให้เกิดการรับรู้ และจดจ้า งำนศิลปะกำรออกแบบต้องกำรให้ผู้พบเห็นเกิดกำรจดจำ ในรปู แบบ และผลงำน หรือเกิดควำมประทบั ใจ กำรใช้สีจะตอ้ งสะดดุ ตำ และมีเอกภำพ แสงและเงา แสงและเงำ หมำยถึง แสงที่ส่องมำกระทบพืนผิวท่ีมีสีอ่อนแก่และพืนผิวสูงต่ำ โค้งนูนเรียบหรือขรุขระ ทำให้ ปรำกฏแสงและเงำแตกตำ่ งกนั ตัวกำหนดระดบั ของค่ำนำหนกั ควำมเข้มของเงำจะขึนอยู่กับควำมเข้มของแสง ในท่ีที่มีแสงสว่ำงมำก เงำจะเข้ม ขึน และในที่ที่มีแสงสว่ำงน้อย เงำจะไม่ชัดเจน ในท่ีที่ไม่มีแสงสว่ำงจะไม่มีเงำ และเงำจะอยู่ในทำงตรงข้ำมกับแสง เสมอ ค่ำนำหนักของแสงและเงำทเ่ี กดิ บนวัตถุ สำมำรถจำแนกเปน็ ลักษณะที่ ตำ่ ง ๆ ไดด้ งั นี 1. บริเวณแสงสว่างจัด (Hi-light) เป็นบริเวณท่ีอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดแสงมำกท่ีสุด จะมีควำมสว่ำงมำกท่ีสุด ในวตั ถทุ มี่ ผี วิ มันวำวจะสะท้อนแหลง่ กำเนิดแสงออกมำให้เหน็ ได้ชดั 2. บรเิ วณแสงสว่าง (Light) เป็นบริเวณที่ได้รับแสงสว่ำง รองลงมำจำกบริเวณแสงสว่ำง จัด เนื่องจำกอยู่ห่ำง จำกแหลง่ กำเนิดแสงออกมำ และเริ่มมคี ำ่ นำหนักอ่อน ๆ 3. บริเวณเงา (Shade) เป็นบริเวณท่ีไม่ได้รับแสงสว่ำง หรือเป็นบริเวณท่ีถูกบดบังจำก แสงสว่ำง ซึ่งจะมี คำ่ นำหนกั เขม้ มำกขนึ กว่ำบรเิ วณแสงสว่ำง 4. บรเิ วณเงาเข้มจดั (Hi-Shade) เปน็ บริเวณทอี่ ยู่หำ่ งจำกแหลง่ กำเนิดแสงมำกท่ีสุด หรือ เป็นบริเวณท่ีถูกบด บงั มำก ๆ หลำย ๆ ชนั จะมีค่ำนำหนักทเ่ี ข้มมำกไปจนถึงเข้มทส่ี ดุ 5. บรเิ วณเงาตกทอด เปน็ บรเิ วณของพืนหลังที่เงำของวัตถุทำบลงไป เป็นบริเวณเงำท่ีอยู่ ภำยนอกวัตถุ และจะ มคี วำมเขม้ ของคำ่ นำหนกั ขึนอยกู่ บั ควำมเขม้ ของเงำ นำหนักของพืน หลงั ทศิ ทำงและระยะของเงำ ความส้าคญั ของคา่ น้าหนกั 1. ให้ควำมแตกต่ำงระหว่ำงรูปและพืน หรือรูปทรงกบั ที่ว่ำง 2. ใหค้ วำมรู้สึกเคลื่อนไหว 3. ให้ควำมรู้สึกเปน็ 2 มิติ แกร่ ูปรำ่ ง และควำมเปน็ 3 มิติแกร่ ูปทรง 4. ทำให้เกิดระยะควำมตนื - ลกึ และระยะใกล้ - ไกลของภำพ 5. ทำให้เกิดควำมกลมกลืนประสำนกันของภำพ

~ 10 ~ ใบงาน เรอ่ื ง จดุ เส้น สี แสง เงา รปู รา่ ง และรูปทรง 1. ใหน้ ักศึกษำบอกควำมรู้สึกท่มี ีตอ่ เส้นในลักษณะตำ่ งๆ ดงั นี 1.1 เสน้ ตรงแนวตงั ……………………………………………………………. 1.2 เสน้ ตรงแนวนอน…………………………………………………………. 1.3 เสน้ ตรงแนวเฉียง………………………………………………………….. 1.4 เสน้ ตดิ กนั …………………………………………………………………. 1.5 เสน้ โคง้ ……………………………………………………………………. 1.6 ใหค้ วำมรู้สึกอยำ่ งไร 1.7 ------------------------ ใหค้ วำมร้สู กึ อยำ่ งไร 1.8 ให้ควำมรู้สึกอย่ำงไร 1.9 ให้ควำมรู้สกึ อยำ่ งไร 1.10 ให้นกั ศึกษำสร้ำงงำนศลิ ปะจำกเส้นต่ำงๆ จำนวน 1 ภำพ 2. ให้นักศกึ ษำ อธบิ ำยวำ่ สรี อ้ น และสเี ยน็ หมำยถงึ อะไรและประกอบด้วยสีอะไรบำ้ ง 3. ให้นกั ศึกษำวำดรูปโดยใชด้ นิ สอไล่นำหนักของแสงเงำ

~ 11 ~ บันทกึ หลกั การพบกล่มุ ครัง้ ที่ ................... วันที่ ............. เดือน ........................... พ.ศ. ......................... กิจกรรมการเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………… สิ่งทไ่ี ดร้ ับจากการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

~ 12 ~ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… บันทกึ หลังการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …… สภาพปญั หาท่ีพบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …… วธิ กี ารแก้ปัญหา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …… ข้อเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………… ลงช่อื …………………………………….ผ้บู นั ทกึ หลงั การสอน (………………..………………) ต้าแหน่ง………………………………………

~ 13 ~ ลงชื่อ….................................................ผู้อา้ นวยการสถานศกึ ษา

~1

14 ~

~ 15 ~ ใบความรู้ เรอ่ื ง สรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะและความงามตามธรรมชาติ ทศั นศลิ ปส์ ากล ความหมายของศิลปะและทศั นศิลป์ ศิลปะ หมำยถึง ผลแห่งควำมคิดสร้ำงสรรค์ของมนุษย์ท่ีแสดงออกมำในรูปลักษณ์ต่ำงๆให้ปรำกฏซึ่ง ควำมสุนทรียภำพ ควำมประทับใจ หรือควำมสะเทือนอำรมณ์ ตำมประสบกำรณ์ รสนิยม และทักษะของบุคคล แตล่ ะคนนอกจำกนยี งั มีนกั ปรำชญ์ นักกำรศกึ ษำ ท่ำนผู้รู้ ได้ใหค้ วำมหมำยของศิลปะแตกต่ำงกันออกไป เช่นกำร เลียนแบบธรรมชำติ กำรแสดงออของบุคลิกภำพทำงอำรมณ์ของมนุษย์ และศิลปะคือ กำรสื่อสำรอย่ำงหนึ่ง ระหว่ำงมนุษย์ กำรระบำยควำมปรำรถนำในใจของศิลปินออกมำ กำรแสดงออกของผลงำนด้ำนต่ำงๆท่ี สรำ้ งสรรค์ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งศิลปะกับมนุษย์ การสรา้ งสรรคท์ างศลิ ปะเปน็ กจิ กรรมพัฒนำสติปัญญำและอำรมณ์ กำรสร้ำงสรรค์ศิลปะของมนุษย์เช่ือ วำ่ เกดิ ขึนมำตงั แต่สมัยโบรำณตังแต่ยุคหินหรือประมำณ 5000,000 - 4,000 ปีล่วงมำแล้ว นับตังแต่มนุษย์อำศัย อยู่ในถำ เพิงผำ ดำรงชีวิตด้วยกำรล่ำสัตว์และหำของป่ำเป็นอำหำร โดยมำกศิลปะจะเป็นภำพวำด ซึ่งปรำกฏ ตำมผนังถำต่ำงๆ เชน่ ภำพวัวไบซนั ท่ีถำอัลตำรมิ ำ ในประเทศสเปน ภำพสตั วช์ นิดต่ำงๆทถ่ี ำลำสล์โก ในประเทศ ฝร่ังเศส สำหรับประเทศไทยท่ีพบเห็น เช่นผำแต้ม จังหวัดอุบลรำชธำนี ภำชนะเคร่ืองปั้นดินเผำ ท่ีบ้ำนเชียง จังหวัดอดุ รธำนี ประเภทของงานทัศนศิลป์ สำมำรถแบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท คอื

~ 16 ~ 1. จติ รกรรม 2. ประติมำกรรม 3. สถำปัตยกรรม 4. ภำพพมิ พ์ จิตรกรรม จิตรกรรม เป็นงำนศิลปะท่ีแสดงออกด้วยกำรวำด ระบำยสี และกำรจัดองค์ประกอบควำมงำมอ่ืน เพื่อให้เกิดภำพ 2 มิติ ไม่มีควำมลึกหรือนูนหนำ จิตรกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงำนจิตรกรรม มัก เรยี กวำ่ จติ รกร จอห์น แคนำเดย์ (John Canaday) ได้ให้ควำมหมำยของจิตรกรรมไว้ว่ำ จิตรกรรม คือ กำรระบำยชัน ของสลี งบนพืนระนำบรองรับ เป็นกำรจัดรวมกันของรูปทรง และ สีที่เกิดขึนจำกกำรเตรียมกำรของศิลปินแต่ละ คนในกำรเขียนภำพนัน พจนำนุกรมศัพท์ อธิบำยว่ำ เป็นกำรสร้ำงงำนทัศนศิลป์บนพืนระนำบรองรับ ด้วยกำร ลำก ป้ำย ขดี ขดู วสั ดุ จิตรกรรมลงบนพืนระนำบรองรับ ภำพจิตรกรรมที่เก่ำแก่ท่ีสุดที่เป็นที่รู้จักอยู่ที่ถำ Chauvet ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนักประวัติศำสตร์บำง คนอ้ำงว่ำมีอำยุรำว 32,000 ปีเป็นภำพที่สลักและระบำยสีด้วยโคลนแดงและสีย้อมดำ แสดงรูปม้ำ แรด สิงโต ควำย แมมมอธ หรอื มนษุ ย์ ซึ่งมักจะกำลังลำ่ สตั ว์ จิตรกรรม สำมำรถจำแนกได้ตำมลักษณะผลงำนที่สินสุด และวัสดุอุปกรณ์กำรสร้ำงสรรค์เป็น 2 ประเภท คอื ภำพวำด และ ภำพเขยี น จิตรกรรมภำพวำด (Drawing) จิตรกรรมภำพวำด เรียกเป็นศัพท์ทัศนศิลป์ภำษไทยได้หลำยคำ คือ ภำพวำดเขียน ภำพวำดเส้น หรือบำงท่ำนอำจเรียกด้วยคำทับศัพท์ว่ำ ดรออิง ก็มี ปัจจุบันได้มีกำรนำอุปกรณ์

~ 17 ~ และเทคโนโลยีท่ีใช้ในกำรเขียนภำพและวำดภำพ ท่ีก้ำวหน้ำและทันสมัยมำกมำใช้ ผู้เขียนภำพจึงจึงอำจจะใช้ อุปกรณ์ต่ำงๆมำใช้ในกำรเขียนภำพ ภำพวำดในส่ือส่ิงพิมพ์ สำมำรถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ภำพวำด ลำยเส้น และ กำรต์ นู จิตรกรรมภำพเขียน (Painting) ภำพเขียนเป็นกำรสร้ำงงำน 2 มิติ บนพืนระนำบด้วยสีหลำยสีซึ่งมักจะ ตอ้ งมีสือ่ ตัวกลำงระหว่ำงวสั ดุกบั อุปกรณ์ท่ใี ช้เขยี นอีก ซงึ่ กลวธิ เี ขียนทีส่ ำคัญ คือ 1. การเขยี นภาพสีนา้ (Color Painting) 2. การเขียนภาพสี น้ามนั (Oil Painting) 3. ก า ร เ ขี ย น ภ า พ สี อ ะ ค ริ ลิ ค (Acrylic Painting)

~ 18 ~ ประติมำกรรม เป็นผลงำนศิลปะท่ีแสดงออกด้วยกำรสร้ำงรูปทรง 3 มิติ มีปริมำตร มีนำหนักและกิน เนือท่ใี นอำกำศ โดยกำรใช้วสั ดุชนิดต่ำง ๆ วัสดุท่ีใช้สร้ำงสรรค์งำนประติมำกรรม จะเป็นตัวกำหนด วิธีกำรสร้ำง ผลงำน ควำมงำมของงำนประติมำกรรม เกิดจำกกำรแสงและเงำ ที่ เกิดขึนในผลงำนกำรสร้ำงงำนประติมำกรรม ทำได้ 4 วธิ ี คือ 1. การป้ัน (Casting) เป็นกำรสร้ำงรูปทรง 3 มิติ จำกวัสดุ ทีเหนียว อ่อนตัว และยึดจับตัว กันได้ดี วสั ดุทน่ี ิยมนำมำใช้ป้ัน ได้แก่ ดินเหนยี ว ดินนำมัน ปนู แปง้ ขผี ึง กระดำษ หรอื ขีเล่อื ยผสมกำว เปน็ ตน้ 2. การแกะสลัก (Carving) เป็นกำรสร้ำงรูปทรง 3 มิติ จำกวัสดุท่ี แข็ง เปรำะ โดยอำศัย เครื่องมือ วัสดทุ น่ี ยิ มนำมำแกะ ได้แก่ ไม้ หิน กระจก แก้ว ปูนปลำสเตอร์ เป็นตน้ งานแกะสลักไม้

~ 19 ~ 3. การหล่อ (Molding) เป็นกำรสร้ำงรูปทรง 3 มิติ จำกวัสดุท่ีหลอมตัวได้และกลับแข็ง ตัวได้ โดย อำศัยแม่พิมพ์ ซึ่งสำมำรถทำให้เกิดผลงำนที่เหมือนกันทุกประกำรตังแต่ 2 ชิน ขึนไป วัสดุที่นิยมนำมำใช้หล่อ ได้แก่ โลหะ ปนู แปง้ แกว้ ขผี ึง ดิน เรซิน่ พลำสติก ฯลฯ เช่น รำมะนำ (ชิต เหรยี ญประชำ) 4. การประกอบขึ้นรูป (Construction) เป็นกำรสร้ำงรูปทรง 3 มิติ โดยนำวัสดุต่ำง ๆ มำ ประกอบ เขำ้ ดว้ ยกัน และยึดติดกันด้วยวัสดุต่ำง ๆ กำรเลือกวิธีกำรสร้ำงสรรค์งำนประติมำกรรม ขึนอยู่กับวัสดุท่ีต้องกำร ใช้ ประติมำกรรม ไม่ว่ำจะสร้ำงขึนโดยวิธีใด จะมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ แบบนูนต่ำ แบบนูนสูง และแบบลอยตัว ผู้ สร้ำงสรรคง์ ำนประติมำกรรม เรยี กว่ำ ประติมากร ประเภทของงานประติมากรรม 1. ประติมากรรมแบบนูนต้่า (Bas Relief) เป็นรูปท่ีเป็นนูนขึนมำจำกพืนหรือมีพืนหลัง รองรับ มองเห็นได้ชัดเจนเพียงด้ำนเดียว คือด้ำนหน้ำ มีควำมสูงจำกพืนไม่ถึงคร่ึงหนึ่งของรูป จริง ได้แก่รูปนูนแบบ เหรียญ รูปนูนท่ีใช้ประดับตกแต่งภำชนะ หรือประดับตกแต่งอำคำรทำง สถำปัตยกรรม โบสถ์ วิหำรต่ำงๆ พระ เคร่อื งบำงชนิด 2. ประตมิ ากรรมแบบนนู สูง ( High Relief ) เป็นรูปต่ำง ๆ ในลักษณะเชน่ เดยี วกับแบบ นูนต่ำ แต่มี ควำมสูงจำกพืนตังแต่คร่ึงหน่ึงของรูปจริงขึนไป ทำให้เห็นลวดลำยที่ลึก ชัดเจน และ และเหมือนจริงมำกกว่ำ แบบนนู ตำ่ และใชง้ ำนแบบเดียวกับแบบนูนต่ำ 3. ประติมากรรมแบบลอยตัว (Round Relief ) เป็นรูปต่ำง ๆ ที่มองเห็นได้รอบด้ำนหรือ ตังแต่ 4 ด้ำน ขึนไป ไดแ้ ก่ ภำชนะตำ่ ง ๆ รูปเคำรพต่ำง ๆ พระพทุ ธรปู เทวรูป รูปตำมคตินยิ ม รปู บคุ คลสำคัญ รปู สัตว์ ฯลฯ สถาปัตยกรรม (Architecture) หมำยถึง กำรออกแบบก่อสร้ำงสิ่งต่ำง ๆ ทังส่ิงก่อสร้ำงที่คนท่ัวไปอยู่ อำศัยได้ เช่นสถูป เจดีย์ อนุสำวรีย์ เป็นต้น นอกจำกนียังรวมถึงกำรกำหนดผังบริเวณต่ำง ๆ เพื่อให้เกิดควำม สวยงำมและเป็นประโยชน์แก่กำร ใช้สอยตำมต้องกำร งำนสถำปัตยกรรมเป็นแหล่งรวมของง ำนศิลปะทำง

~ 20 ~ กำยภำพเกือบทุกชนิด และมักมีรูปแบบแสดงเอกลักษณ์ของ สังคมนัน ๆ ในช่วงเวลำนัน ๆ เรำแบ่งลักษณ์งำน ของสถำปัตยกรรมออกไดเ้ ปน็ ๓ แขนง ดังนคี ือ 1. สถาปตั ยกรรมออกแบบก่อสรา้ ง เช่น กำรออกแบบสร้ำงตึกอำคำร บ้ำนเรอื น เปน็ ต้น 2. ภมู สิ ถาปัตย์ เชน่ กำรออกแบบวำงผัง จัดบรเิ วณ วำงผงั ปลูกต้นไม้ จัดสวน เปน็ ต้น 3. สถาปัตยกรรมผังเมอื ง ได้แก่ กำรออกแบบบรเิ วณเมืองให้มรี ะเบยี บ มคี วำมสะอำด มีควำมรวดเร็ว ในกำรติดต่อ และถูกหลักสุขำภิบำล เรำเรียกผสู้ รำ้ งงำนสถำปัตยกรรมว่ำ สถำปนิก องคป์ ระกอบสา้ คญั ของสถาปตั ยกรรม จดุ สนใจและควำมหมำยของศำสตรท์ ำงสถำปัตยกรรมนัน ได้เปลยี่ นแปลงไปตำมยุคสมัย บทควำม De Architectura ของวิทรูเวียส ซึ่งเป็นบทควำมเกี่ยวกับสถำปัตยกรรม ท่ีเก่ำแก่ท่ีสุดท่ีเรำ ค้นพบ ได้กล่ำวไว้ว่ำ สถำปัตยกรรมต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสำมส่วนหลักๆ ท่ีผสมผสำนกันอย่ำงลงตัว และสมดุล อันไดแ้ ก่ ควำมงำม (Venustas) หมำยถึง สัดส่วน และองค์ประกอบ กำรจัดวำงที่ว่ำง สี วัสดุ และพืนผิวของ อำคำร ทผ่ี สมผสำนลงตวั ทย่ี กระดบั จติ ใจ ของผ้ไู ด้ยลหรือเยยี่ มเยือนสถำนท่นี ันๆ ควำมมั่นคงแข็งแรง (Firmitas) และประโยชน์ใช้สอย (Utilitas) หมำยถึง กำรสนองประโยชน์ และ กำรบรรลปุ ระโยชน์แหง่ เจตนำ รวมถงึ ปรัชญำของสถำนทนี่ นั ๆ สถาปัตยกรรมไทย ตวั อย่ำงของสถำปัตยกรรมไทย ไดแ้ ก่

~ 21 ~  เรอื นไทย ซง่ึ มรี ูปแบบแตกตำ่ งกนั ในแตล่ ะภำค  วดั ไทย รวมถึง อุโบสถ วหิ ำร หอระฆัง เจดยี ์  พระรำชวงั ปอ้ มปรำกำร ตวั อยา่ งของสถาปตั ยกรรมไทย สถาปัตยกรรมตะวันตก ตัวอย่ำงเช่น บ้ำนเรือน โบสถ์ วิหำร ปรำสำท รำชวัง ซึ่งมีทังสถำปัตยกรรมแบบโบรำณ เช่น กอธิก ไบ แซนไทน์ จนถงึ แบบสมยั ใหม่ สถาปัตยกรรมตะวันตก ศลิ ปะภาพพมิ พ์ ( Printmaking)

~ 22 ~ ภำพพิมพ์ โดยควำมหมำยของคำย่อมเป็นท่ีเข้ำใจชัดเจนแล้วว่ำ หมำยถึงรูปภำพท่ีสร้ำงขึนมำ โดย วิธีกำรพิมพ์ แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่เมื่อพูดถึง ภำพพิมพ์อำจจะยังไม่เป็นท่ีรู้จักว่ำภำพพิมพ์ คืออะไรกันแน่ เพรำะคำๆนเี ปน็ คำใหม่ทีเ่ พงิ่ เรมิ่ ใช้กนั มำประมำณเม่ือ 30 ปี มำนเี อง โดยควำมหมำยของคำเพียงอย่ำงเดียว อำจจะชวนให้เข้ำใจสับสนไปถึงรูปภำพที่พิมพ์ด้วย กรรมวิธีกำรพิมพ์ทำงอุตสำหกรรม เช่น โปสเตอร์ ภำพพิมพ์ท่ีจำลองจำกภำพถ่ำย หรือภำพจำลอง จิตรกรรม อันที่จริงคำว่ำ ภำพพิมพ์ เป็นศัพท์เฉพำะทำงศิลปะที่หมำยถึง ผลงำนวิจิตรศิลป์ท่ีจัดอยู่ในประเภท ทัศนศิลป์ เช่น เดียวกันกบั จติ รกรรมและประตมิ ำกรรม ภำพพมิ พ์ทว่ั ไปมลี ักษณะเชน่ เดียวกับจิตรกรรมและภำพถ่ำย คือตัวอย่ำงผลงำนมีเพียง 2 มิติ ส่วนมิติที่ 3 คอื ควำมลึกท่ีจะเกิดขึนจำกกำรใช้ ภำษำเฉพำะของทัศนศิลป์ อันได้แก่ เส้น สี นำหนัก และพืนผิว สร้ำงให้ดู ลวงตำลึกเข้ำไปในระนำบ 2 มิติของผิวภำพ แต่ภำพพิมพ์มีลักษณะเฉพำะทีแตกต่ำงจำกจิตรกรรมตรงกรรมวิธี กำรสร้ำงผลงำนที่จิตรกรรมนัน ศิลปินเป็นผู้สร้ำงสรรค์ขีดเขียน หรือวำดภำพระบำย สีลงไปบนผืนผ้ำใบ กระดำษ หรือสร้ำงออกมำเป็นภำพโดยทันที แต่กำรสร้ำงผลงำนภำพพิมพ์ศิลปินต้องสร้ำงแม่พิมพ์ขึนมำเป็นส่ือ ก่อน แล้วจึงผำ่ นกระบวนกำรพิมพ์ ถำ่ ยทอดออกมำเปน็ ภำพทตี่ ้องกำรได้ จำกกรรมวิธีในกำรสร้ำงผลงำนด้วยกำรพิมพ์นีเอง ท่ีทำให้ศิลปินสำมำรถสร้ำงผลงำน ต้นแบบ ( Original) ที่เหมือนๆกันได้หลำยชิน เช่นเดียวกับผลงำนประติมำกรรม ประเภทท่ีปั้นด้วยดินแล้วทำแม่พิมพ์ หล่อผลงำนชินนันให้เป็นวัสดุถำวร เช่นทองเหลือง หรือสำริด ทุกชินที่หล่อออกมำถือว่ำเป็นผลงำนต้นแบบมิใช่ ผลงำนจำลอง ( Reproduction) ทงั นเี พรำะว่ำภำพพิมพน์ ันกม็ ิใช่ผลงำนจำลองจำกต้นแบบท่ีเป็นจิตรกรรมหรือ วำดเส้น แต่ภำพพิมพ์เป็นผลงำนสร้ำงสรรค์ ที่ศิลปินมีทังเจตนำและควำมเช่ียวชำญในกำรใช้คุณลักษณะพิเศษ เฉพำะของเทคนิควิธีกำรทำงภำพพิมพ์ แต่ละชนิดมำใช้ในกำรถ่ำยทอดจินตนำกำร ควำมคิด และอำรมณ์ ควำมรูส้ กึ ออกมำในผลงำนไดโ้ ดยตรง แตกต่ำงกบั กำรท่นี ำเอำผลงำนจิตรกรรมที่สร้ำงสำเร็จไว้แล้วมำจำลองเป็น ภำพโดยผ่ำนกระบวนกำรทำงกำรพมิ พ์ ในกำรพิมพ์ผลงำนแต่ละชิน ศิลปินจะจำกัดจำนวนพิมพ์ตำมหลักเกณฑ์สำกล ที่ศิลปะสมำคมระหว่ำง ชำติ ซึ่งไทยก็เป็นสมำชิกอยู่ด้วย ได้กำหนดไว้โดยศิลปินผู้สร้ำงผลงำนจะเขียนกำกับไว้ท่ีด้ำนซ้ำยของภำพ เช่น

~ 23 ~ 3/30 เลข 3 ตัวหน้ำหมำยถึงภำพที่ 3 ส่วนเลข 30 ตัวหลังหมำยถึงจำนวนท่ี พิมพ์ทังหมด ในภำพพิมพ์บำงชิน ศิลปินอำจเซ็นคำว่ำ A/P ไว้แทนตัวเลขจำนวนพิมพ์ A/Pนีย่อมำจำก Artist's Proof ซึ่งหมำยควำมว่ำ ภำพๆนี เป็นภำพทพี่ ิมพ์ขึนมำหลังจำกที่ศิลปินได้มีกำรทดลองแก้ไข จนได้คุณภำพสมบูรณ์ตำมท่ีต้องกำร จึงเซ็นรับรอง ไว้หลังจำกพิมพ์ A/P ครบตำมจำนวน 10% ของจำนวนพิมพ์ทังหมด จึงจะเร่ิมพิมพ์ให้ครบตำมจำนวนเต็มท่ี กำหนดไว้ หลังจำกนันศิลปินจะทำลำย แม่พิมพ์ด้วยกำรขูดขีด หรือวิธีกำรอ่ืนๆ และพิมพ์ภำพสุดท้ำยนีไว้เพ่ือ เป็นหลักฐำน เรียกว่ำ Cancellation Proof สุดท้ำยศิลปินจะเซ็นทังหมำยเลขจำนวนพิมพ์ วันเดือนปี และ ลำยเซน็ ของศลิ ปนิ เอง ไว้ดำ้ นลำ่ งขวำของภำพ เพื่อเป็นกำรรับรองคุณภำพด้วยทุกชิน จำนวนพิมพ์นีอำจจะมำก หรือนอ้ ยขึนอยู่กบั ควำมนยิ มของ “ ตลำด ” และปจั จัยอ่นื ๆอกี หลำยประกำร สำหรับศิลปินไทยส่วนใหญ่จะจำกัดจำนวนพิมพ์ไว้ค่อนข้ำงต่ำประมำณ 5-10 ภำพ ต่อ ผลงำน 1 ชิน กฎเกณฑท์ ่ีศลิ ปินทว่ั โลกถือปฏิบตั กิ ันเปน็ หลักสำกลนีย่อมเป็นกำรรักษำมำตรฐำนของภำพพิมพ์ ไว้ อันเป็นกำร ส่งเสรมิ ภำพพมิ พใ์ หแ้ พรห่ ลำยและเปน็ ทีย่ อมรับกันโดยท่ัวไป รูปแบบของศลิ ปะภำพพมิ พใ์ นด้ำนเทคนิค 1. กรรมวิธกี ำรพิมพ์ผิวนนู (Relief Process) 2. กรรมวิธีกำรพิมพ์ร่องลกึ (Intaglio Process ) 3. กรรมวธิ ีกำรพิมพ์พนื รำบ (Planography Process ) 4. กรรมวธิ ีกำรพมิ พ์ผำ่ นช่องฉลุ (Serigraphy) 5. กรรมวธิ กี ำรพิมพเ์ ทคนิคผสม (Mixed Tecniques) 6. กำรพิมพว์ ธิ ีพืนฐำน (Basic Printing) รปู แบบของศิลปะภำพพมิ พ์ในทำงทฤษฎีสนุ ทรียศำสตร์ 1. รูปแบบแสดงควำมเปน็ จรงิ (Figuration Form) 2. รูปแบบผันแปรควำมเปน็ จรงิ (Semi - Figuration Form) 3. รปู แบบสญั ลกั ษณ์ (Symbolic Form) 4. รปู แบบท่ีปรำศจำกเนอื หำ (Non - Figuration Form) ความสา้ คญั ของเนื้อหา 1. ก ร ะ บ ว น ก ำ ร สร้ำงแม่พิมพ์ ในงำน ศิลปะภำพพิมพ์ มีหลำย

~ 24 ~ ลักษณะและแต่ละลักษณะมีควำมเป็นเฉพำะของภำพลักษณ์ (Image) ในเทคนิค ซ่ึงแต่ละเทคนิคสำมำรถ ตอบสนองเนือหำในทำงศิลปะได้ตำมผลของเทคนิคนัน ๆ เช่น กรรมวิธีกำรพิมพ์ร่องลึกสำมำรถถ่ำยทอดเนือหำ ในเรอื่ งพนื ผวิ (TEXTURE) ได้อยำ่ งมปี ระสิทธิภำพที่สดุ 2. ในทฤษฎีทำงสุนทรียศำสตร์ทำให้แยกแยะถึงรูปแบบในทำงศิลปะในแบบต่ำง ๆ เพ่ือให้ทรำบถึง วิธีกำรแสดงออกในรูปแบบตำ่ ง ๆ ของศิลปนิ ได้ การวิพากษว์ ิจารณ์งานทัศนศลิ ป์ ความหมาย การวิเคราะห์งาน ศิลปะ หมำยถึง กำรพิจำรณำแยกแยะศึกษำ องคร์ วมของงำนศลิ ปะออกเป็นส่วนๆ ทลี ะประเด็น ทังในด้ำนทศั นธำตุ องคป์ ระกอบศิลป์ และควำมสัมพันธ์ ตำ่ งๆ ในด้ำนเทคนคิ กรรมวิธกี ำรแสดงออก เพื่อนำข้อมูลที่ได้มำประเมินผลงำนศิลปะวำ่ มีคณุ ค่ำทำงด้ำนควำม งำม ทำงด้ำนสำระ และทำงด้ำนอำรมณค์ วำมรูส้ กึ อยำ่ งไร การวจิ ารณ์งานศิลปะ หมำยถงึ กำรแสดงออกทำงด้ำนควำมคิดเหน็ ต่อผลงำนทำงศิลปะทศี่ ิลปนิ สรำ้ งสรรคข์ ึนไว้ โดยผวู้ ิจำรณใ์ ห้ควำมคิดเหน็ ตำมหลกั เกณฑแ์ ละหลักกำรของศิลปะ ทังในด้ำนสนุ ทรยี ศำสตร์ และสำระอนื่ ๆ ด้วยกำรติชมเพอ่ื ให้ไดข้ ้อคิดนำไปปรบั ปรุงพัฒนำผลงำนศลิ ปะ หรอื ใช้เป็นข้อมูลในกำรประเมิน ตัดสนิ ผลงำน และเปน็ กำรฝึกวิธดี ู วธิ วี ิเครำะห์ คิดเปรยี บเทยี บให้เห็นคุณคำ่ ในผลงำนศิลปะชินนนั ๆ คณุ สมบัตขิ องนักวจิ ารณ์ 1. ควรมีควำมรู้เกี่ยวกบั ศลิ ปะทงั ศิลปะประจำชำติและศลิ ปะสำกล 2. ควรมคี วำมรเู้ กย่ี วกับประวตั ิศำสตรศ์ ิลปะ 3. ควรมีควำมรเู้ กีย่ วกบั สนุ ทรยี ศำสตร์ ชว่ ยใหร้ ูแ้ งม่ ุมของควำมงำม 4. ต้องมีวิสยั ทัศน์กว้ำงขวำง และไมค่ ล้อยตำมคนอน่ื 5. กลำ้ ทจ่ี ะแสดงออกทังท่ีเปน็ ไปตำมหลักวิชำกำรและตำมควำมร้สู ึกและประสบกำรณ์ ทฤษฎกี ารสรา้ งงานศิลปะ จัดเป็น 4 ลักษณะ ดังนี 1. นิยมการเลยี นแบบ (Imitationalism Theory) เปน็ กำรเห็นควำมงำมในธรรมชำติแล้วเลียนแบบไว้ให้ เหมอื นทงั รูปร่ำง รูปทรง สีสัน ฯลฯ 2. นิยมสรา้ งรปู ทรงท่สี วยงาม (Formalism Theory) เปน็ กำรสร้ำงสรรคร์ ปู ทรงใหม่ให้สวยงำมดว้ ยทศั น ธำตุ (เสน้ รูปร่ำง รูปทรง สี นำหนกั พืนผวิ บริเวณวำ่ ง) และเทคนิควธิ ีกำรต่ำงๆ

~ 25 ~ 3. นิยมแสดงอารมณ์ (Emotional Theory) เปน็ กำรสร้ำงงำนใหด้ มู ีควำมรสู้ กึ ตำ่ งๆ ทงั ทเ่ี ปน็ อำรมณ์อนั เน่ืองมำจำกเร่อื งรำวและอำรมณข์ องศลิ ปนิ ท่ีถ่ำยทอดลงไปในชนิ งำน 4. นยิ มแสดงจนิ ตนาการ (Imagination Theory) เป็นงำนท่แี สดงภำพจนิ ตนำกำร แสดงควำมคดิ ฝนั ที่ แตกตำ่ งไปจำกธรรมชำติและส่งิ ท่พี บเหน็ อยูเ่ ป็นประจำ แนวทางการวเิ คราะห์และประเมินคุณคา่ ของงานศิลปะ กำรวิเครำะห์และกำรประเมนิ คุณคำ่ ของงำนศิลปะโดยท่ัวไปจะพจิ ำรณำจำก 3 ดำ้ น ไดแ้ ก่ 1. ดา้ นความงาม เปน็ กำรวิเครำะหแ์ ละประเมนิ คุณคำ่ ในด้ำนทกั ษะฝีมือ กำรใช้ทศั นธำตุทำงศลิ ปะ และกำรจดั องค์ประกอบศิลปว์ ำ่ ผลงำนชินนแี สดงออกทำงควำมงำมของศลิ ปะได้อย่ำงเหมำะสมสวยงำมและสง่ ผล ต่อผดู้ ูให้เกิดควำมชื่นชมในสุนทรยี ภำพเพียงใด ลกั ษณะกำรแสดงออกทำงควำมงำมของศิลปะจะมี หลำกหลำยแตกตำ่ งกันออกไปตำมรปู แบบของยุคสมัย ผู้วิเครำะห์และประเมินคุณคำ่ จึงตอ้ งศึกษำให้ เกดิ ควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจด้วย 2. ด้านสาระ เป็นกำรวิเครำะหแ์ ละประเมนิ คณุ คำ่ ของผลงำนศิลปะแต่ละชนิ วำ่ มลี กั ษณะส่งเสรมิ คณุ ธรรม จริยธรรม ตลอดจนจดุ ประสงค์ต่ำงๆ ทำงจติ วิทยำวำ่ ใหส้ ำระอะไรกับผู้ชมบ้ำง ซึง่ อำจเป็นสำระเกยี่ วกับ ธรรมชำติ สังคม ศำสนำ กำรเมอื ง ปญั ญำ ควำมคดิ จนิ ตนำกำร และควำมฝัน 3. ด้านอารมณ์ความรสู้ กึ เปน็ กำรคดิ วิเครำะห์ และประเมนิ คุณค่ำในด้ำนคุณสมบตั ิที่สำมำรถกระตุน้ อำรมณ์ควำมรสู้ กึ และสื่อควำมหมำยได้อย่ำงลึกซงึ ของวสั ดุ ซึง่ เปน็ ผลของกำรใชเ้ ทคนคิ แสดงออกถงึ ควำมคิด พลงั ควำมรสู้ ึกที่ ปรำกฏอยู่ในผลงำน เช่น ความงามตามธรรมชาติ ศลิ ปะกบั ธรรมชาติ ความของธรรมชาติและศิลปะ ธรรมชำติ (Natural) หมำยถึง สิ่งที่ปรำกฏให้เห็นตำมวัฏจักรของระบบสุริยะ โดยที่มนุษย์มิได้เป็นผู้ สรรค์สรำ้ งขึน เชน่ กลำงวัน กลำงคนื เดอื นมดื คืนเดอื นเพ็ญ ภเู ขำ นำตก ถอื วำ่ เป็นธรรมชำติ หรือปรำกฏกำรณ์ ทำงธรรมชำติ ศิลปะ (Art) ตำมควำมหมำยทำงพจนำนุกรมและนักปรำชญ์ทำงศิลปะได้ให้ควำมหมำยอย่ำง กว้ำงขวำงตำมแนวทำงหรือทัศนะส่วนตัวไว้ดังนี คือ ศิลปะ(ART) คำนี ตำมแนวสำกล มำจำกคำว่ำ ARTI และ ARTE ซ่งึ เปน็ คำท่ีนยิ มใชก้ ันในสมัยฟ้ืนฟูศิลปวิทยำ คำว่ำ ARTI นัน หมำยถึง กลุ่มช่ำงฝีมือในศตวรรษที่ 14, 15 และ 16 สว่ นคำวำ่ ARTE หมำยถึง ฝีมือ ซึ่งรวมถึง ควำมรู้ของกำรใช้วัสดุของศิลปินด้วย เช่น กำรผสมสีสำหรับ ลงพืน กำรเขียนภำพสีนำมัน หรือกำรเตรียม และกำรใช้วัสดุอื่นอีกศิลปะ ตำมควำมหมำยของพจนำนุกรมไทย ฉบบั รำชบัณฑติ ยสถำนสถำน พ.ศ. 2493 ได้อธิบำยไว้ว่ำศิลปะ (สิน ละ ปะ) น. หมำยถึง ฝีมือ ฝีมือทำงกำรช่ำง กำรแสดงออกมำให้ปรำกฏขึนได้อย่ำงน่ำพึงชม และเกิดอำรมณ์สะเทือนใจศำสตรำจำรย์ศิลป์ พีระศรี ให้ ควำมหมำยของศิลป์ไว้ว่ำ ศิลปะ หมำยถึง งำนท่ีต้องใช้ควำมพยำยำมด้วยฝีมือและควำมคิด เช่น ตัดเสือ สร้ำง

~ 26 ~ เคร่ืองเรือน ปลูกต้นไม้ เป็นต้น และเมื่อกล่ำวถึง งำนทำงวิจิตรศิลป์ (Fine Arts) หมำยถึงงำนอันเป็นควำม พำกเพียรของมนุษย์ นอกจำกต้องใช้ควำมพยำยำมด้วยมือ ด้วยควำมคิด แล้วต้องมีกำรพวยพุ่งแห่งพุทธิปัญญำ และจติ ออกมำด้วย (INTELLECTURL AND SPIRITUAL EMANATION)ศิลปะ ตำมควำมหมำยของพจนำกรุกรม ศัพท์ศิลปะ อังกฤษ ไทย ฉบับรำชบัณฑิตสถำน พ.ศ.2530 ได้อธิบำยไว้ว่ำ “ART ศิลปะ คือ ผลแห่งควำมคิด สร้ำงสรรค์ของมนุษย์ท่ีแสดงออกในรูปลักษณ์ต่ำงๆ ให้ปรำกฏซึ่งสุนทรียภำพ ควำมประทับใจ หรือควำม สะเทือนอำรมณ์ตำมอัจฉริยภำพ พุทธิปัญญำ ประสบกำรณ์ รสนิยมและทักษะของแต่ละคน เพื่อควำมพอใจ ควำมรืน่ รมย์ ขนบธรรมเนียมจำรีตประเพณี หรอื ควำมเชอ่ื ในลัทธศิ ำสนำ” องค์ประกอบทีส่ ้าคญั ในงานศลิ ปะ 1. รูปแบบ (FORM) ในงำนศิลปะ หมำยถึง รูปร่ำงลักษณะท่ีศิลปินถ่ำยทอดออกมำให้ปรำกฏเป็น รปู ธรรมในงำนศลิ ปะ อำจแบง่ ออกได้เป็น 3 ชนิดคือ 1.1 รูปแบบธรรมชำติ (NATURAL FORM) ได้แก่ นำตก ภู ผำ ต้นไม้ ลำธำร กลำงวัน กลำงคืน ท้องฟ้ำ ทะเล เป็นต้น 1.2 รูปแบบเรขำคณิต (GEOMETRIC FORM) ได้แก่ สเ่ี หลย่ี ม สำมเหลี่ยม วงกลม ทรงกระบอก เป็นต้น 1.3 รูปแบบนำมธรรม (ABSTRACT FORM) ได้แก่ รูปแบบท่ี ศิลปินไดส้ รำ้ งสรรค์ขนึ มำเอง โดยอิสระ หรืออำจตดั ทอน (DISTROTION) ธรรมชำติ ให้เหลอื เป็นเพียงสัญลักษณ์ (SYMBOL) ที่สอื่ ควำมหมำยเฉพำะตัวของศิลปินซึ่งรูปแบบท่ีกล่ำวมำข้ำงต้น ศิลปินสำมำรถท่ีจะเลือกสรรนำมำ สรำ้ งเปน็ งำนศลิ ปะ ตำมควำมร้สู ึกที่ประทับใจหรอื พงึ พอใจในสว่ นตวั ของศิลปิน 2. เนอื้ หา (CONTENT) หมำยถึง กำรสะท้อนเร่ืองรำวลงไปในรูปแบบดงั กลำ่ ว เช่น กลำงวันกลำงคืน ควำมรกั กำรเปล่ียนแปลงทำงเศรษฐกิจ กำรเมอื ง และคณุ ค่ำทำงกำรจัดองคป์ ระกอบทำงศลิ ปะ เป็นต้น 3. เทคนิค (TECHNIQUE) หมำยถึง ขบวนกำรเลือกสรรวัสดุ ตลอดจนวิธีกำรสร้ำงสรรค์ นำมำสร้ำง ศิลปะชินนันๆ เช่น สนี ำมัน สชี อลก์ สนี ำ ในงำนจติ รกรรม หรอื ไม้ เหลก็ หิน ในงำนประติมำกรรม เปน็ ตน้ 4. สุนทรียศาสตร์ (AESTHETICAL ELEMENTS) ซ่ึงมี 3 อย่ำง คือ ควำมงำม (BEAUTY) ควำม แปลกหูแปลกตำ (PICTURESQUENESS) และควำมน่ำท่ึง (SUBLIMITY)ซึ่งศิลปกรรมชินหนึ่งอำจมีทังควำมงำม และควำมนำ่ ทึง่ ผสมกนั ก็ได้ เช่น พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย อำจมีทังควำมงำมและควำมน่ำท่ึงรวมอยู่ด้วยกัน เป็น ต้นกำรที่คนใดคนหนึ่งมีสุนทรียะธำตุในควำมสำนึก เรียกว่ำ มีประสบกำรณ์ทำงสุนทรียศำสตร์ (AESTHETHICAL EXPERIENCE) ซง่ึ จะต้องอำศัยกำรเพำะบ่มทงั ในด้ำนทฤษฎี ตลอดจนกำรให้ควำมสนใจเอำใจ ใส่รับรู้ต่อกำรเคลื่อนไหวของวงกำรศิลปะโดยสม่ำเสมอ เช่น กำรชมนิทรรศกำรที่จัดขึนในหอศิลป์ เป็นต้น เม่ือ กล่ำวถึง งำนศิลปกรรมและองค์ประกอบ ท่ีสำคัญในงำนศิลปะแล้วหำกจะย้อนรอยจำกควำมเป็นมำในอดีต จนถงึ ปจั จบุ ันแล้ว พอจะแยกประเภทกำรสร้ำงสรรค์ของศลิ ปนิ ออกไดเ้ ปน็ 3 กลมุ่ ดงั นี 1. กลุ่มที่ยึดรูปธรรม (REALISTIC) หมำยถึง กลุ่มที่ยึดรูปแบบที่เป็นจริงในธรรมชำติมำเป็น หลกั ในกำรสร้ำงงำนศิลปะ สร้ำงสรรค์ออกมำให้มีลักษณะคล้ำยกับกล้องถ่ำยภำพ หรือตัดทอนบำงส่ิงออกเพียง เล็กน้อย ซึ่งกลุ่มนีได้พยำยำมแก้ปัญหำให้กับผู้ดูที่ไม่มีประสบกำรณ์ทำงศิลปะ และสำมำรถส่ือควำมหมำย ระหวำ่ งศิลปะกับผ้ดู ไู ด้ง่ำยกวำ่ กำรสร้ำงสรรคผ์ ลงำนในลักษณะอนื่ ๆ

~ 27 ~ 2. กลุ่มนำมธรรม (ABSTRACT) หมำยถึง กลุ่มที่ยึดแนวทำงกำรสร้ำงงำนท่ีตรงข้ำมกับกลุ่ม รปู ธรรม ซ่งึ ศลิ ปินกลุม่ นีม่งุ ท่จี ะสร้ำงรูปทรง (FORM) ขึนมำใหม่โดยท่ีไม่อำศัยรูปทรงทำงธรรมชำติ หรือหำกนำ ธรรมชำตมิ ำเป็นข้อมูลในกำรสร้ำงสรรค์ก็จะใช้วิธีลดตัดทอน (DISTORTION) จนในที่สุดจะเหลือแต่โครงสร้ำงที่ เป็นเพียงสัญญำลักษณ์ และเช่นงำนศิลปะของ มอนเดียน (MONDIAN) 3. กลุ่มก่ึงนำมธรรม (SEMI-ABSTRACT) เป็นกลุ่มอยู่กึ่งกลำงระหว่ำงกลุ่มรูปธรรม (REALISTIC) และกลุ่มนำมธรรม (ABSTRACT) หมำยถึง กลุ่มที่สร้ำงงำนทำงศิลปะโดยใช้วิธีลดตัดทอน (DISTORTION) รำยละเอียดท่ีมีในธรรมชำติให้ปรำกฏออกมำเป็นรูปแบบทำงศิลปะ เพื่อผลทำงองค์ประกอบ (COMPOSITION) หรือผลของกำรแสดงออก แต่ยังมีโครงสรำ้ งอนั บง่ บอกถงึ ทม่ี ำแตไ่ ม่ชัดเจน ซ่ึงเป็นผลท่ีผู้เขียน ได้กลำ่ วนำในเบืองต้นจำกกำรแบ่งกลุ่มกำรสร้ำงสรรค์ของศิลปินทัง 3 กลุ่ม ที่กล่ำวมำแล้วนัน มีนักวิชำกำรทำง ศลิ ปะไดเ้ ปรียบเทียบเพื่อควำมเขำ้ ใจ คอื กลุม่ รูปธรรม (REALISTIC) เปรียบเสมือนกำรคัดลำยมือแบบตัวบรรจง กลมุ่ นำมธรรม (ABSTRACT) เปรียบเสมอื นลำยเซ็น กลุ่มก่งึ นำมธรรม (SEMI-ABSTRACT) เปรียบเสมือนลำยมือ หวดั มนษุ ย์กบั ศลิ ปะ หำกกล่ำวถึงผลงำนศิลปะทำไมจะต้องกล่ำวถึงแต่เพียงสิ่งที่มนุษย์สร้ำงขึนมำเท่ำนัน จอมปลวกรังผึง หรือรังนกกระจำบ ก็น่ำท่ีจะเป็นสถำปัตยกรรมชินเยี่ยม ท่ีเกิดจำกสัตว์ต่ำงๆ เหล่ำนัน หำกเรำจะมำทำควำม เข้ำใจ ถงึ ท่มี ำของกำรสร้ำงก็พอจะแยกออกได้เป็น 2 ประเด็น ประเด็นที่ 1 ทำไมจอมปลวก รังผึง หรือรังนก กระจำบ สร้ำงขึนมำจึงไม่เรียกว่ำงำนศิลปะ ประเด็นที่ 2 ทำไมส่ิงที่มนุษย์สร้ำงสรรค์ขึนมำถึงเรียกว่ำ เป็น ศิลปะ จำกประเดน็ ท่ี 1 เรำพอจะสำมำรถวเิ ครำะห์ถึงสำเหตุท่ีเรำไม่เรียกว่ำ เป็นผลงำนศิลปะเพรำะปลวก ผึง และนกกระจำบสรำ้ งรงั หรือจอมปลวกขึนมำดว้ ยเหตผุ ลของสัญชำตญำณทต่ี ้องกำรควำมปลอดภัย ซึ่งมีอยู่ในตัว ของสัตว์ทุกชนิด ที่จำเป็นต้องสร้ำงขึนมำเพ่ือป้องกันภัยจำกสัตว์ร้ำยต่ำงๆ ตลอดจนภัยธรรมชำติ เช่น ฝนตก

~ 28 ~ แดดออก เป็นต้น หรืออำจต้องกำรควำมอบอุ่น ส่วนเหตุผลอีกประกำรหน่ึง คือ จอมปลวก รังผึง หรือรังนก กระจำบนัน ไม่มีกำรพัฒนำในเร่ืองรูปแบบ ไม่มีกำรสร้ำงสรรค์ให้ปรำกฏรูปลักษณ์แปลกใหม่ขึนมำยังคงเป็นอยู่ แบบเดิมและตลอดไป จึงไม่เรียกว่ำ เป็นผลงำนศิลปะ แต่ในทำงปัจจุบัน หำกมนุษย์นำรังนกกระจำบหรือรังผึง มำจัดวำงเพื่อประกอบกับแนวคิดสร้ำงสรรค์เฉพำะตน เรำก็อำจจัดได้ว่ำ เป็นงำนศิลปะ เพรำะเกิดแรงจูงใจ ภำยในของศิลปนิ (Intrinsic Value) ทเี่ หน็ คุณคำ่ ของควำมงำมตำมธรรมชำตนิ ำมำเปน็ ส่อื ในกำรสรำ้ งสรรค์ ประเด็นที่ 2 ทำไมสิ่งที่มนุษย์สร้ำงสรรค์ขึนมำถึงเรียกว่ำ ศิลปะ หำกกล่ำวถึงประเด็นนี ก็มีเหตุผลอยู่ หลำยประกำรซงึ่ พอจะกลำ่ วถงึ พอสังเขป ดังนี 1. มนษุ ย์สรำ้ งงำนศลิ ปะขนึ มำโดยมีจุดประสงคห์ รอื จุดมงุ่ หมำยในกำรสร้ำง เช่น- ชำวอียิปต์ (EGYPT) สรำ้ งมำสตำบ้ำ (MASTABA) ซงึ่ มีรูปร่ำงคลำ้ ยม้ำหินสำหรับนัง่ เปน็ รูปสเี่ หลีย่ มแทง่ สูงข้ำงบนเป็นพืนที่รำบ มุมทัง ส่ีเอียงลำดมำที่ฐำนเล็กน้อย มำสตำบ้ำสร้ำงด้วยหินขนำดใหญ่ เป็นที่ฝังศพขุนนำง หรือผู้ร่ำรวยซ่ึงต่อมำพัฒนำ มำเป็นกำรสร้ำงพีระมิด (PYRAMID) เพ่ือบรรจุศพของกษัตริย์หรือฟำโรห์ (PHARAOH) มีกำรอำบนำยำศพหรือ รักษำศพไม่ให้เน่ำเปื่อยโดยทำเป็นมัมมี่ (MUMMY) บรรจุไว้ภำยใน เพื่อรอวิญญำณกลับคืนสู่ร่ำง ตำมควำมเชื่อ เร่ืองกำรเกิดใหม่ของชำวอียิปต์กำรก่อสร้ำงพุทธสถำนเช่น สร้ำงวัด สร้ำงพระอุโบสถ พระวิหำร ศำลำกำร เปรียญ ในพุทธศำสนำ มีจุดประสงค์ เพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทำงศำสนำ เพื่อเป็นท่ีพำนักของสงฆ์ ตลอดจนใช้เปน็ ที่เผยแพรศ่ ำสนำ 2. มีกำรสร้ำงเพ่ือพัฒนำรูปแบบโดยไม่สินสุด จะเห็นได้จำกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศำสตร์ (PRE HISTORICAL PERIOD) ได้หลบภัยธรรมชำติ ตลอดจนสัตว์ร้ำยเข้ำไปอำศัยอยู่ในถำ เม่ือมีควำมเข้ำใจใน ปรำกฏกำรณ์ อันเกิดขึนจำกธรรมชำติและประดิษฐ์เคร่ืองมือ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อำศัยจนในสมัยต่อมำ มีกำร พัฒนำกำรสร้ำงรูปแบบอำคำรบ้ำนเรือนในรูปแบบต่ำงๆ ตำมควำมเปล่ียนแปลงของวัฒนธรรม และควำมเจริญ ทำงเทคโนโลยีมีกำรใช้คอนกรีตเสริมเหล็กและวัสดุสมัยใหม่เข้ำมำช่วยในกำรก่อสร้ำงอำคำร บ้ำนเรือน และ ส่ิงก่อสร้ำงต่ำงๆ ตลอดจนมีกำรพัฒนำรูปแบบทำงสถำปัตยกรรมให้กลมกลืนกับธรรมชำติแวดล้อม เช่น สถำปัตยกรรม “THE KAUF MANN HOUSE” ของแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ ทีร่ ฐั เพนซลิ วำเนีย สหรัฐอเมรกิ ำ 3. ควำมต้องกำรทำงกำยภำพที่เป็นปฐมภูมิของมนุษย์ทุกเชือชำติและเผ่ำพันธุ์ เพ่ือนำมำซึ่งควำม สะดวกสบำยในกำรดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จำกเคร่ืองอุปโภค บริโภคตลอดจนเคร่ืองใช้ไม้สอย ต่ำงๆ ซึ่งเป็นผลิตผลที่เกิดจำกควำมคิดสร้ำงสรรค์ของมนุษย์ทังสินในทำงศิลปะที่เช่นเดียวกับ ศิลปินจะไม่จำเจ อยู่กับงำนศิลปะที่มีรูปแบบเก่ำๆ หรือสร้ำงงำนรูปแบบเดิมซำๆ กันแต่จะคิดค้นรูปแบบ เนือหำ หรือเทคนิคที่ แปลกใหม่ให้กับตัวเอง เพ่ือพัฒนำกำรสร้ำงงำนศิลปะรูปแบบเฉพำะตนอย่ำงมีลำดับขันตอน เพ่ือง่ำยแก่กำร เข้ำใจจงึ ขอให้ผอู้ ่ำนทำควำมเข้ำใจเกยี่ วกับกำรสรำ้ งสรรค์ในทำงศิลปะเสียก่อน ความงามตามทศั นศลิ ป์สากล การรบั รคู้ วามงามทางศิลปะ สำหรับกำรรับรู้ควำมงำมทำงศิลปะของมนุษย์นัน สำมำรถรับรู้ได้ 2 ทำง คือ ทำงสำยตำจำกกำร มองเหน็ และทำงหจู ำกกำรได้ยิน ซ่งึ แบ่งได้ 3 รปู แบบดังนี

~ 29 ~ 1. ทัศนศิลป์ (Visual Art) เป็นงำนศิลปะท่ีรับสัมผัสควำมงำมได้ด้วยสำยตำ จำกกำรมองเห็น งำนศิลปะส่วนใหญ่จะเป็นงำนทัศนศิลป์ ทังสิน ได้แก่ จิตรกรรม ประติมำกรรม สถำปัตยกรรม มัณฑนำศิลป์ อตุ สำหกรรมศลิ ป์ พำณชิ ยศ์ ลิ ป์ 2. โสตศลิ ป์ (Audio Art) เป็นงำนศิลปะที่รับสัมผัสควำมงำมได้ด้วยหู จำกกำรฟังเสียง งำนศิลปะ ที่ จดั อยู่ในประเภทโสตศิลป์ ได้แก่ ดนตรี และ วรรณกรรม 3. โสตทัศนศลิ ป์ (Audiovisual Art) เปน็ งำนศิลปะที่รบั สมั ผัสควำมงำมทำงศิลปะได้ทังสองทำง คือ จำกกำรมองเห็นและจำกกำรฟงั งำนศิลปะประเภทนี ไดแ้ ก่ ศิลปะกำรแสดงนำฏศิลป์ กำรละคร กำรภำพยนตร์ วิวัฒนาการของทัศนศิลป์สากล ศิลปะของชำติต่ำงๆ ในซีกโลกตะวันตกมีลักษณะใกล้เคียงกัน จึงพัฒนำขึนเป็นศิลปะสำกล ควำมเช่ือมี อทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมมนุษยท์ งั ควำมคิด กำรแสดงออก และกำรดำเนนิ ชีวติ โดยเฉพำะในงำนศิลปกรรมมีรูปแบบ ควำมงำมหลำยแบบ ทีเ่ กิดจำกพลังแห่งควำมศรทั ธำจำกควำมเชอื่ ถอื ในเร่ืองตำ่ งๆ รูปแบบความงามอันเนื่องมาจากความเชื่อถือ จะปรำกฏเป็นควำมงำมตำมควำมคิดของช่ำงในยุคนัน ผสมกับฝีมือ และเครื่องมือที่ยังไม่ค่อยมีคุณภำพมำกนัก ทำให้งำนจิตรกรรมในยุคก่อนประวัติศำสตร์ดูไม่ค่อย งำมมำกนักในสำยตำของคนปัจจุบัน 1. ศลิ ปะสมัยกลาง (Medieval Arts) ทศั นศิลป์อนั เน่ืองมาจากคริสตศ์ าสนา ความเชื่อในสมัยกลาง ซึ่งเป็นช่วงเวลำที่ศำสนำคริสต์เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีอิทธิพลต่อกำรดำเนิน ชีวิตและกำรสร้ำงสรรค์งำนศิลปกรรมของชำวตะวันตก โดยมีควำมเช่ือว่ำควำมงำมเป็นสิ่งท่ีพระเจ้ำสร้ำงขึนมำ โดยผ่ำนทำงศิลปิน เพ่ือเป็นกำรแสดงถึงควำมศรัทธำอย่ำงยิ่งในพระเจ้ำ ศิลปินต้องสร้ำงผลงำนโดยแสดงถึง เร่ืองรำวของพระคริสต์ พระสำวก ควำมเช่ืออนั นีมผี ลต่อทัศนศิลป์ ดงั นี สถาปตั ยกรรม เช่น โบสถส์ มัยกอธิค เป็นสถำปตั ยกรรมทมี่ ลี ักษณะสูงชลูด และส่วนท่ีสูงท่ีสุดของโบสถ์ จะเป็นที่ตังของกำงเขนอนั ศักด์สิ ิทธ์ิ เพ่ือจะเปน็ ทีต่ ดิ ต่อกบั พระเจ้ำบนสรวงสวรรค์ มีกำรแต่งเพลงและร้องกันอยู่ ในโบสถ์ Notre Dame อยู่ท่ีกรุงปำรีส ประเทศฝร่ังเศส ซ่ึงเป็นโบสถ์ท่ีสร้ำงขึนแบบกอธิค โบสถ์แบบนี พระบำทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ ัว รชั กำลที่ 5 โปรดให้ถ่ำยแบบแล้วนำมำสร้ำงไว้ที่วัดนิเวศธรรมประวัติ บำงปะอนิ จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยำ จิตรกรรม กแ็ สดงเนอื หำของครสิ ตศ์ ำสนำ รวมไปถึงทศั นศิลป์แขนงอนื่ ๆ ด้วย

~ 30 ~ 2. ศลิ ปะไบเซนไทร์ (Bizentine) ยุคแรกแห่งศิลปะเพ่ือคริสต์ศำสนำ เมื่ออำณำจักรโรมันล่มสลำยลง แยกเป็นประเทศต่ำงๆอยู่ในยุโรป ปัจจุบัน และเป็นช่วงของคำสอนของศำสนำคริสต์ ได้รับควำมเชื่อถือเป็นแนวทำงในกำรดำเนินชีวิตของ ประชำชน โดยเฉพำะในสมยั ไบเซนไทร์ ซึ่งถอื วำ่ เป็นอำณำจักรแห่งแรกของคริสต์ศำสนำศิลปินและช่ำงทุกสำขำ ทำงำนใหแ้ กศ่ ำสนำ หรือทำงำนเพอื่ ส่งเสริมควำมศรัทธำแห่งครสิ ต์ สถาปตั ยกรรม สร้ำงโบสถ์ วิหำร เพื่อเป็นสญั ลกั ษณ์ และสถำนทป่ี ฏบิ ัตพิ ิธกี รรมตำ่ งๆ ประติมากรรม มีกำรแกะสลักรูปพระคริสต์และสำวกด้วยไม้ และหิน จิตรกรรมเป็นภำพเขียนประดับ หนิ สที ีเ่ รยี กวำ่ โมเสก สถาปตั ยกรรมแบบไบเซนไทร์ 3. ฟน้ื ฟศู ลิ ปวิทยา (Renaissanee)

~ 31 ~ แนวคิดทำงควำมงำมของกรีกและโรมันกลับมำเกิดใหม่หรือฟื้นฟูขึนมำใหม่ ต่อเน่ืองจำกอำณำจักรไบ เซนไทร์ เป็นยุคของฟื้นฟูศิลปวิทยำ หมำยถึง กำรนำกลับมำอีกครังหนึ่ง เน่ืองจำกได้มีกำรค้นพบซำกเมืองของ พวกกรีกและโรมันทำใหศ้ ิลปินหนั กลับมำนยิ มควำมงำมตำมแนวคิดของกรกี และโรมันอีกครังหนง่ึ ใบงาน เรื่อง สรา้ งสรรค์งานศิลปะและความงามตามธรรมชาติ ค้าสง่ั ให้ผ้เู รียนแตล่ ะกลุ่มทำกำรศึกษำคน้ ควำ้ ตำมหวั ข้อตอ่ ไปนีแล้วนำผลจำกศึกษำค้นคว้ำมำสรปุ ให้ เพอ่ื นฟังเพื่อแลกเปลี่ยนรูอ้ ย่ำงน้อย กลุม่ ละ 15 นำที กลมุ่ ท่ี 1 - ควำมหมำยของศลิ ปะและทศั นศลิ ป์ - ควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งศิลปะกับมนษุ ย์ - ประเภทของงำนทศั นศิลป์ กลุม่ ที่ 2 - ควำมของกำรวเิ ครำะห์ วิจำรณ์งำนศลิ ปะ - คณุ สมบตั ิของนักวจิ ำรณ์ทด่ี ี - กำรวเิ ครำะห์และประเมินคุณค่ำของงำนศิลปะ กลุ่มที่ 3

~ 32 ~ - ควำมหมำยของธรรมชำติและศิลปะ - องคป์ ระกอบที่สำคญั ของศลิ ปะ - ประเภทกำรสรำ้ งสรรคง์ ำนของศิลปนิ กลุ่มท่ี 4 - กำรรบั รู้ควำมงำมทำงศลิ ปะของมนุษย์ - ววิ ัฒนำกำรและควำมเชื่อในสรำ้ งผลงำนทำงศลิ ปะ - ศิลปะในสมยั ต่ำงๆ บันทึกหลกั การพบกลุ่ม ครั้งที่ ………….. วนั ที่……. เดือน ……………..……. พ.ศ………….. กจิ กรรมการเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………… ส่งิ ท่ีได้รับจากการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

~ 33 ~ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… บันทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………… สภาพปญั หาที่พบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………… วธิ กี ารแกป้ ญั หา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………… ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………… ลงช่ือ…………………………………….ผบู้ ันทึกหลังการสอน

~ 34 ~ (………………..………………) ตา้ แหนง่ ……………………………………… ลงชื่อ….................................................ผ้อู า้ นวยการสถานศกึ ษา

~3

35 ~

~ 36 ~ ใบความรู้ เรื่อง ธรรมชาตกิ ับทศั นศิลป์ ธรรมชาตกิ บั ทศั นศิลป์ มนุษยเ์ ปน็ ส่วนหนงึ่ ของธรรมชาติ ธรรมชำติ สำมำรถบอกถึงประสบกำรณ์ และสิ่งต่ำงๆที่ผ่ำนมำในอดีตได้ ซ่ึงถือว่ำ “ธรรมชำติ” เป็น “คร”ู ของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มีควำมคิดสร้ำงสรรค์ มนุษย์ก็จะพิจำรณำสิ่งต่ำง ๆ จำกธรรมชำติที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ แล้ว นำมำดัดแปลงแก้ไขใหม่โดยพยำยำมทำตำมวัสดุนนั ๆ และเลอื กหำวิธกี ำรอนั เหมำะสมตำมทักษะควำมชำนำญ ท่ตี นมีอยู่ เพื่อสร้ำงเป็นผลงำนของตนขนึ ดังนนั ธรรมชำติจึงมีควำมหมำยอย่ำงยิง่ สำหรับมนุษย์ มนุษย์อำศัยธรรมชำติในกำรดำรงชีวิต ผลผลิตส่วนใหญ่ท่ีใช้ในกำรดำรงชีวิตเกือบทังหมดก็มำจำก ธรรมชำตทิ งั สนิ และนคี่ ือวสั ดจุ ำกธรรมชำตทิ ่ีมนุษย์นำมำสรำ้ งสรรค์ 1. พชื 2. หนิ กรวด 3. ทรำย 4. ดนิ การน้าธรรมชาติมาออกแบบผสมผสานกบั งานศลิ ปะ (ผลงานจากถนนคนเดนิ ดอทคอม/เชยี งใหม่) ความคิดสร้างสรรค์ การตกแต่งรา่ งกาย และท่ีอยู่อาศัย

~ 37 ~ มนุษย์มีควำมคิดสร้ำงสรรค์อยู่ตลอดเวลำ ตำมแต่ประสบกำรณ์มำกน้อยของแต่ละบุคคล กำร ออกแบบเปน็ สว่ นหนึง่ ของควำมคดิ สรำ้ งสรรคท์ ำงศลิ ปะของมนุษย์ 1. ออกแบบตกแต่งที่อยู่อาศัย เป็นกำรออกแบบทุกอย่ำงภำยในและบริเวณรอบบ้ำนให้สวยงำม สะดวกแก่กำรใช้สอย โดยใช้วัสดทุ มี่ อี ย่หู รอื จดั หำมำโดยใชห้ ลักองคป์ ระกอบศลิ ป์ 2. ออกแบบให้กับร่างกาย เป็นกำรออกแบบร่ำงกำยและสิ่งตกแต่งร่ำงกำรให้สวยงำม เหมำะสม และถกู ใจ เชน่ กำรออกแบบทรงผม เสือผ้ำ เคร่ืองประดับ กำรใช้เครื่องสำอำง โดยอำศัยหลักกำรทำงศิลปะ และควำมคดิ สร้ำงสรรค์ 3. ออกแบบส้านักงาน ห้องทำงำน โต๊ะเก้ำอี แจกัน ในสถำนที่ทำงำนอำจได้รับกำรออกแบบและ สร้ำงสรรคใ์ หน้ ่ำทำงำนและสะดวกในกำรใชส้ อย ความคิดสรา้ งสรรค์ในงานตกแต่ง การออกแบบตกแต่ง เป็นกำรออกแบบกำรตกแต่งพืนท่ีภำยใน และภำยนอกอำคำร โดยใช้ ควำมสำคญั ของ จติ วิทยำสิ่งแวดล้อม สถำปตั ยกรรม กำรออกแบบผลติ ภัณฑ์ เขำ้ ด้วยกนั จิตวิทยาส่ิงแวดล้อม หมำยถึง สิ่งต่ำงๆ ท่ีอยู่รอบตัวบุคคล ทำหน้ำท่ีเป็นส่ิงเร้ำในอันท่ีจะทำให้ บคุ คลแสดงปฏิกิรยิ ำตอบสนอง และมอี ทิ ธพิ ลต่อพฒั นำกำรของบุคคลนันๆ ในทำงจิตวทิ ยำนัน ส่งิ แวดล้อม คอื ผลรวมของกำรกระตุน้ จำกส่งิ เร้ำท่บี ุคคลได้รับ และมีผลกระทบต่อ บคุ คลนนั ตังแตเ่ รมิ่ ปฏสิ นธิจนกระท่ังเสียชวี ติ ส่ิงแวดล้อมมีอิทธิพลต่อควำมเจริญงอกงำมหรือควำมเส่ือมต่อพัฒนำกำรของบุคคลได้เป็นอย่ำงย่ิง อิทธพิ ลของสง่ิ แวดล้อมมีผลกระทบต่อเรำได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1. มีอำนำจบังคับต่อบุคคลโดยตรง ไม่ว่ำบุคคลนันสนใจที่จะเรียนรู้เพื่อปฏิบัติหรือไม่ สง่ิ แวดลอ้ มเหลำ่ นี ไดแ้ ก่ ธรรมชำติ อุณหภูมิ อำกำศ อำหำร เป็นตน้ 2. บุคคลเกิดกำรเรียนรู้สิ่งแวดล้อมนันๆ แล้วนำมำปฏิบัติ ส่ิงแวดล้อมเหล่ำนี ได้แก่ พฤติกรรมทำงสังคม ขนบธรรมเนยี มประเพณี วัฒนธรรม ศำสนำ กฎหมำย เป็นต้น สถาปัตยกรรม หมำยถึง กำรออกแบบก่อสร้ำงอำคำร สถำนที่ต่ำง ๆ เพ่ือสนองควำมต้องกำรของ มนุษย์ด้ำนท่ีอยู่อำศัย และกำรอยู่ร่วมกันเพื่อประกอบกิจกรรมด้ำนสำธำรณะ ดังนันงำนสถำปัตยกรรมจึง แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ อำคำรบ้ำนเรือน ซึ่งเป็นท่ีอยู่อำศัย และอำคำรสำธำรณะ เช่น สนำมกีฬำ หอประชมุ สถำนีรถไฟ วัดโบสถ์ วหิ ำร เจดยี ์ สถูป พรี ะมิด เปน็ ต้น การออกแบบผลิตภัณฑ์ หมำยถึง ควำมคิดสร้ำงสรรค์เก่ียวกับรูปร่ำงลักษณะภำยนอกของ ผลติ ภัณฑท์ ่ีแตกตำ่ งไปจำกเดิม กำรนำหลักวิชำควำมรู้ทัง 3 อย่ำงมำรวมกันและแปรเปลี่ยนออกมำในลักษณะงำนออกแบบที่อำศัย พืนฐำนควำมรดู้ ้ำนทัศนศลิ ปจ์ นเกดิ เปน็ งำนออกแบบตกแตง่ ซง่ึ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคอื

~ 38 ~ 1. ออกแบบตกแต่งภำยใน ได้แกกำรออกแบบตกแต่งภำยในอำคำรทุกประเภททังหมด เช่นกำร ออกแบบตกแต่งภำยในบ้ำน ภำยในสำนักงำน ภำยในอำคำรสำธำรณะ แม้นกระทังกำรออกแบบตกแต่ง ภำยในยำยพำหนะเปน็ ตน้ การออกแบบตกแตง่ ภายในท่ีพักอาศยั การออกแบบตกแต่งหนา้ รา้ นค้า การออกแบบตกแตง่ ภายในสา้ นักงาน การออกแบบตกแตง่ ภายในยานพาหนะ

~ 39 ~ การออกแบบตกแต่งภายนอก ได้แก่กำรออกแบบตกแต่งสวนและบริเวณภำยนอกอำคำร รวมทัง กำรออกแบบภมู ทิ ศั นใ์ นสว่ นพนื ทส่ี ำธำรณะเชน่ สวนสำธำรณะ ถนน สะพำน ฯลฯ การออกแบบตกแต่ง สวน ขนาดใหญ่ การออกแบบสวนในบ้านโดยใช้วสั ดุหิน ต้นไม้ และนา้ รวมกนั การออกแบบสวนในบา้ นโดยเลยี นแบบธรรมชาติ ก า ร ต ก แ ต่ ง ภ า ย น อ ก โ ด ย ก า รจั ด สวนทเ่ี กาะกลางถนน

~ 40 ~ ใบงาน เรื่อง ธรรมชาตกิ บั ทัศนศลิ ป์ ค้าสั่ง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มทำกำรศึกษำค้นคว้ำและจัดทำชินงำน/รำยงำน ตำมหัวข้อที่ครูกำหนด กล่มุ ละ 1 หัวขอ้ ดงั นี กลุ่มที่ 1 ออกแบบเครื่องประดับจำกวัสดุธรรมชำติท่ีใช้ในกำรตกแต่งร่ำงกำย เช่น กำรออกแบบ เสือผ้ำ เครือ่ งประดบั กลุ่มท่ี 2 ออกแบบตกแต่งท่ีอยู่อำศัยภำยในบ้ำน เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องกินข้ำว ห้องครัว ห้องนำ โดยกำรวำดภำพหรือถ่ำยภำพ หรือใช้วัสดตุ ่ำงๆ มำประดษิ ฐเ์ ปน็ ภำพ/ชินงำน กลุ่มท่ี 3 ออกแบบสำนักงำน ห้องทำงำน โดยกำรวำดภำพ หรือใช้วัสดุต่ำงๆ มำประดิษฐ์เป็นภำพ/ ชนิ งำน กลุม่ ที่ 4 ออกแบบตกแต่งสวนภำยในบ้ำน โดยกำรวำดภำพหรือถ่ำยภำพ หรือใช้วัสดุต่ำงๆ มำ ประดิษฐเ์ ปน็ ภำพ/ชนิ งำน กลุ่มที่ 5 ออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ โดยกำรวำดภำพหรือถำ่ ยภำพ หรือใช้วัสดตุ ่ำงๆ มำประดิษฐ์เป็น เป็นภำพ/ชนิ งำน กล่มุ ที่ 6 ออกแบบสวนสำธำรณะ โดยกำรวำดภำพหรือถ่ำยภำพหรือใช้วัสดุต่ำงๆ มำประดิษฐ์เป็น ภำพ/ชินงำนแล้วนำเสนอผลงำน/ชินงำน พร้อมทังคำอธิบำยหรือคำวิจำรณ์ตำมหลักกำรทำง ทศั นศิลป์ หนำ้ ชนั กลุม่ ละ 5-10 นำที บนั ทกึ หลกั การพบกลุ่ม

~ 41 ~ ครงั้ ท่ี ………….. วันที่ …….…. เดอื น ……….………………. พ.ศ………….. กิจกรรมการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… ส่ิงท่ไี ด้รบั จากการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… บนั ทึกหลังการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… สภาพปัญหาท่ีพบ

~ 42 ~ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… วธิ ีการแกป้ ัญหา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… ขอ้ เสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………… ลงชือ่ …………………………………….ผู้บนั ทึกหลงั การสอน (………………..………………) ต้าแหนง่ ……………………………………… ลงช่ือ….................................................ผูอ้ ้านวยการสถานศกึ ษา

~ 43 ~ ใบความรู้ เรอ่ื ง คุณคา่ ของดนตรกี ับการด้ารงชวี ติ ดนตรสี ากล ดนตรีเกิดขึนมำในโลกพร้อมๆกับมนุษย์เรำนั่นเอง ในยุคแรกๆมนุษย์อำศัยอยู่ในป่ำดง ในถำ ใน โพรงไม้ แต่ก็รู้จักกำรร้องรำทำเพลงตำมธรรมชำติ เช่นรู้จักปรบมือ เคำะหิน เคำะไม้ เป่ำปำก เป่ำเขำ และเปล่งเสียงร้องตำมเรื่อง กำรร้องรำทำเพลงไปเพ่ืออ้อนวอนพระเจ้ำเพื่อช่วยให้ตนพ้นภัย บันดำล ควำมสุขควำมอุดมสมบูรณ์ต่ำงๆให้แก่ตน หรือเป็นกำรบูชำแสดงควำมขอบคุณพระเจ้ำท่ีบันดำลให้ตนมี ควำมสขุ ควำมสบำย ในระยะแรก ดนตรีมีเพยี งเสยี งเดยี วและแนวเดยี วเท่ำนันเรียกว่ำ Melody ไม่มีกำรประสำนเสียง จนถึงศตวรรษที่ 12 มนุษย์เรำเริ่มรู้จักกำรใช้เสียงต่ำงๆมำประสำนกันอย่ำงง่ำยๆ เกิดเป็นดนตรีหลำยเสียง ขึนมำ ยคุ ตา่ งๆของดนตรี นกั ปราชญ์ทางดนตรีได้แบง่ ดนตรอี อกเปน็ ยุคตา่ งๆดังน้ี 1. Polyphonic Perio ( ค.ศ. 1200-1650 ) ยุคนีเป็นยุคแรก วิวัฒนำกำรมำเร่ือยๆ จนมีแบบ ฉบับและหลกั วิชกำรดนตรขี นึ วงดนตรีอำชพี ตำมโบสถ์ ตำมบ้ำนเจำ้ นำย และมีโรงเรยี นสอนดนตรี 2. Baroque Period ( ค.ศ. 1650-1750 ) ยุคนีวิชำดนตรีได้เป็นปึกแผ่น มีแบบแผนกำรเจริญ ด้ำนนำฏดุริยำงค์ มีมำกขึน มีโรงเรียนสอนเกี่ยวกับอุปรำกร (โอเปร่ำ) เกิดขึน มีนักดนตรีเอกของโลก 2 ท่ำนคอื J.S. Bach และ G.H. Handen 3. Classical Period ( ค.ศ. 1750-1820 ) ยุคนีเป็นยุคท่ีดนตรีเริ่มเข้ำสู่ยุคใหม่ มีควำมรุ่งเรือง มำกขนึ มนี กั ดนตรีเอก 3 ท่ำนคือ Haydn Gluck และMozart 4. Romantic Period ( ค.ศ. 1820-1900 ) ยุคนีมีกำรใช้เสียงดนตรีที่เน้นถึงอำรมณ์อย่ำงเด่นชัด เป็นยคุ ท่ีดนตรเี จริญถงึ ขีดสดุ เรยี กวำ่ ยุคทองของดนตรี นกั ดนตรีเชน่ Beetoven และคนอ่ืนอีกมำกมำย 5. Modern Period ( ค.ศ. 1900-ปัจจุบัน ) เป็นยุคที่ดนตรีเปลี่ยนแปลงไปมำก ดนตรีประเภท แจ๊ส (Jazz) กลับมำมีอิทธิพลมำกขึนเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละชำติ ศำสนำ โดยเฉพำะทำงดนตรตี ะวนั ตก นบั ว่ำมีควำมสัมพันธ์ใกล้ชดิ กบั ศำสนำมำก บทเพลงท่ีเก่ียวกับศำสนำหรือ เรียกว่ำเพลงวัดนัน ได้แต่งขึนอย่ำงถูกหลักเกณฑ์ ตำมหลักวิชำกำรดนตรี ผู้แต่งเพลงวัดต้องมีควำมรู้ ควำมสำมำรถสูง เพรำะต้องแต่งขึนให้สำมำรถโน้มน้ำวจิตใจผู้ฟังให้นิยมเล่ือมใสในศำสนำมำกขึน ดังนันบท เพลงสวดในศำสนำครสิ ต์จึงมีเสยี งดนตรปี ระโคมประกอบกำรสวดมนต์ เม่ือมีบทเพลงเก่ียวกับศำสนำมำกขึน เพื่อเป็นกำรป้องกันกำรลืมจึงได้มีผู้ประดิษฐ์สัญลักษณ์ต่ำงๆแทนทำนอง เมื่อประมำณ ค.ศ. 1000 สัญลักษณ์ดังกล่ำวคือ ตัวโน้ต (Note) น่ันเอง โน้ตเพลงที่ใช้ในหลักวิชำดนตรีเบืองต้นเป็นเสียง โด เร มี นัน เปน็ คำสวดในภำษำละติน จึงกลำ่ วได้ว่ำวชิ ำดนตรีมจี ุดกำเนดิ มำจำกวดั หรอื ศำสนำ ซ่ึงในยุโรปนันถือว่ำ เพลงเกี่ยวกับศำสนำนันเป็นเพลงชันสูงสุดวงดนตรีที่เกิดขึนในศตวรรษต้นๆจนถึงปัจจุบัน จะมีลักษณะ

~ 44 ~ แตกตำ่ งกันออกไป เคร่อื งดนตรที ใ่ี ชบ้ รรเลงกม็ ีจำนวนและชนิดแตกต่ำงกันตำมสมัยนิยม ลักษณะกำรผสมวง จะแตกต่ำงกนั ไป เมือ่ ผสมวงด้วยเคร่ืองดนตรีที่ต่ำงชนิดกัน หรือจำนวนของผู้บรรเลงที่ต่ำงกันก็จะมีช่ือเรียก วงดนตรตี ำ่ งกัน ดนตรีสากลประเภทตา่ งๆ เพลงประเภทตำ่ งๆ แบง่ ตำมลกั ษณะของวงดนตรีสำกลได้ 6 ประเภท ดังนี 1. เพลงทีบ่ รรเลงโดยวงออร์เคสตร้า ( Orchestra ) มีดงั นี - ซิมโฟน่ี (Symphony) หมำยถึงกำรบรรเลงเพลงโซนำตำ ( Sonata) ทังวง คำว่ำ Sonata หมำยถึง เพลงเด่ียวของเคร่ืองดนตรีชนิดต่ำงๆ เช่นเพลงของไวโอลิน เรียกว่ำ Violin Sonata เครื่อง ดนตรีชนิดอ่ืน ๆ ก็เช่นเดียวกัน กำรนำเอำเพลง โซนำตำของเครื่องดนตรีหลำยๆชนิดมำบรรเลงพร้อมกัน เรียกว่ำ ซิมโฟนี่ - คอนเซอร์โต ( Concerto) คือเพลงผสมระหว่ำงโซนำตำกับซิมโฟนี่ แทนที่จะมีเพลงเด่ียวแต่ อย่ำงเดียว หรือบรรเลงพร้อมๆกันไปในขณะเดียวกัน เครื่องดนตรีที่แสดงกำรเด่ียวนัน ส่วนมำกใช้ไวโอลิน หรอื เปยี โน - เพลงเบด็ เตล็ด เป็นเพลงทแี่ ตง่ ขนึ บรรเลงเบด็ เตล็ดไม่มเี นือร้อง วงออร์เคสตร้ำ 2. เพลงท่ีบรรเลงโดยวงแชมเบอร์มิวสิค ( Chamber Music ) เป็นเพลงสันๆ ต้องกำรแสดง ลวดลำยของกำรบรรเลงและกำรประสำนเสียง ใช้เคร่ืองดนตรีประเภทเครื่องสำย คือไวโอลิน วิโอลำ และเชลโล 3. ส้าหรับเดี่ยว เพลง วงแชมเบอร์มิวสิค ประเภทนแี ตง่ ขนึ สำหรบั เคร่ืองดนตรีชินเดียว เรียกวำ่ เพลง โซนำตำ

~ 45 ~ 4. โอราทอริโอ (Oratorio) และแคนตำตำ (Cantata) เป็นเพลงสำหรับศำสนำใช้ร้องในโบสถ์ จดั เปน็ โอเปรำ แบบหนง่ึ แต่เป็นเร่อื งเก่ยี วกบั ศำสนำ วงโอรำทอรโิ อ 5. โอเปรา (Opera) หมำยถึง เพลงท่ีใช้ประกอบกำรแสดงละครที่มีกำรร้องโต้ตอบกันตลอดเรื่อง เพลงประเภทนใี ชใ้ นวงดนตรีวงใหญบ่ รรเลงประกอบ ละคร Operaที่ดังท่ีสุดเรื่องหนึ่งของโลกคอื เรื่อง The Phantom of the Opera 6. เพลงท่ีขับร้องโดยท่ัวไป ได้แก่ เพลงที่ร้องเด่ียว ร้องหมู่หรือร้องประสำนเสียงในวงออร์เคสตรำ วงคอมโบ (Combo) หรือชำโดว์ (Shadow ) ซึ่งนิยมฟังกันทังจำกแผ่นเสียงและจำกวงดนตรีที่บรรเลงกัน อยู่โดยท่ัวไป *********** ประเภทของเครอ่ื งดนตรีสากล

~ 46 ~ เคร่ืองดนตรีสำกลมีมำกมำยหลำยประเภท แบ่งตำมหลักในกำรทำเสียงหรือวิธีกำรบรรเลง เปน็ 5 ประเภท ดังนี 1. เครื่องสาย เครื่องดนตรีประเภทนี ทำให้เกิดเสียงโดยกำรทำให้สำยส่ันสะเทือนสำยท่ีใช้เป็นสำยโลหะหรือสำย เอน็ เคร่อื งดนตรีประเภทเคร่ืองสำย แบ่งตำมวธิ ีกำรเล่นเปน็ 2 จำพวก คอื 1) เครื่องดีด ได้แก่ กีตำร์ แบนโจ ฮำรป์ แบนโจ 2) เคร่อื งสี ได้แก่ ไวโอลนิ วิโอลำ วโิ อลำ 2. เครื่องเป่าลมไม้ เครอื่ งดนตรีประเภทนีแบ่งตำมวธิ ที ำให้เกิดเสยี งเปน็ 2 ประเภท คอื 1) จำพวกเป่ำลมผ่ำนช่องลม ไดแ้ ก่ เรคอรเ์ ดอร์ ปิคโคโล ฟลตู ปคิ โคโล 2) จำพวกเปำ่ ลมผ่ำนลิน ได้แก่ คลำริเน็ต แซกโซโฟน

~ 47 ~ คลำริเนต็ 3. เครื่องเปา่ โลหะ เคร่ืองดนตรีประเภทนี ทำให้เกิดเสียงโดยกำรเป่ำลมให้ผ่ำนริมฝีปำกไปปะทะกับช่องที่เป่ำ ได้แก่ ทรัมเปต็ ทรอมโบน เป็นตน้ ทรมั เปต็ 4. เคร่อื งดนตรปี ระเภทคยี บ์ อรด์ เปียโน เม เครื่องดนตรีประเภทนีเล่นโดยใช้นิวกดลงบนลิมนิวของเครื่องดนตรี ได้แก่ โลเดียน คีย์บอร์ดไฟฟ้ำ อิเล็กโทน เมโลเดียน 5. เคร่อื งดนตรปี ระเภทเครือ่ งตี แบ่งเปน็ 2 กล่มุ คือ 5.1) เครื่องตีทที่ ำทำนอง ไดแ้ ก่ ไซโลไฟน เบลไลรำ ระฆงั รำว

~ 48 ~ เบลไลรำ 5.2) เครือ่ งตที ่ีทำจังหวะ ไดแ้ ก่ ทมิ ปำนี กลองใหญ่ กลองแตร็ก ทอมบำ กลองชดุ ฉำบ กรับ ลูกแซก ปลองทมิ ปำนี คุณค่าความไพเราะของเพลงสากล ดนตรีเป็นสื่อสุนทรียศำสตร์ท่ีมีควำมละเอียด ประณีต มีควำมสำคัญอย่ำงย่ิงต่อมนุษย์ ทังทำงกำย และทำงจิต เม่ือเรำได้ยินเสียงดนตรที ่ีสงบ ก็จะทำให้จิตสงบ อำรมณด์ ี หำกได้ยินเสยี งเพลงท่ีให้ควำมบันเทิงใจ ก็จะเกิดอำรมณ์ท่ีสดใส ทังนีเพรำะดนตรีเป็นส่ือสุนทรียที่สร้ำงควำมสุข ควำมบันเทิงใจให้แก่มนุษย์ เป็น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook