ชุดกจิ กรรมการเรียนรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 ชุดที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตรน์ ้อย 1
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ชุดที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย ก ชุดกิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้จัดทาข้ึนเพ่ือใช้เป็น สื่อประกอบการเรียนการสอน โดยมีเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย สอดคล้องตามหลักสูตร การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐานพุทธศกั ราช 2551 ท่เี น้นผเู้ รยี นเปน็ สาคัญโดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์การสืบเสาะหา ความรู้ การสารวจตรวจสอบการสืบค้นข้อมูลและการอภิปรายเพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจสามารถสื่อสารส่ิงท่ี เรียนรู้มีความสามารถในการตัดสินใจและมีจิตวิทยาศาสตร์ ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้และพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี นอกจากน้ียังช่วยให้ครูผู้สอนสามารถนาไปใช้เป็นแบบอย่างหรือ แนวทางในการจัดการเรยี นการสอนให้สอดคล้องกบั จดุ มุ่งหมายสาคัญของหลกั สตู รอกี ด้วย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 นี้จะต้องใช้ร่วมกับ แผนการจดั การเรยี นรู้ วิชา โครงงานวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว 22201 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และคู่มือ การใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ท่ผี ูส้ อนไดจ้ ัดทาข้นึ การจัดทาชุดกิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 เล่มน้ี เสรจ็ สมบรู ณ์ไดเ้ พราะไดร้ บั ความอนุเคราะห์จากผเู้ ชี่ยวชาญหลายท่านท่ีได้ให้คาแนะนาปรึกษา จึงขอขอบพระคุณ ไว้ ณ โอกาสน้ี และหวังเป็นอย่างย่ิงว่าชุดกิจกรรมเล่มน้ี จะช่วยพัฒนานักเรียนโรงเรียนพรมเทพพิทยาคม ใหเ้ ปน็ บุคคลแหง่ การเรยี นรู้ สามารถเปน็ ผเู้ รียนรูไ้ ด้ตลอดชีวติ ตามเจตนารมณ์ทต่ี ้ังไว้ วสนิ ทรา ไพรสนิ ธ์ุ
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ชุดท่ี 2 นกั วิทยาศาสตรน์ อ้ ย ข เรื่อง หน้า คานา ก สารบัญ ข คาชีแ้ จง ค คาแนะนาสาหรบั ครู ง คาแนะนาสาหรบั นกั เรยี น จ ขนั้ ตอนการใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ฉ สาระสาคญั 1 จุดประสงค์การเรียนรู้ 2 กระดาษคาตอบ 3 แบบทดสอบก่อนเรยี น 4 ใบกิจกรรม 2.1 การแยกเคซีนจากนม 6 ใบกจิ กรรม 2.2 รอบรว้ั โรงเรียน 11 ใบกจิ กรรม 2.3 การประดษิ ฐศ์ รลม 17 ใบความรู้ ความร้ทู ั่วไปเกี่ยวกบั โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 21 คาถามชวนคิดชวนทา 27 แบบทดสอบหลงั เรียน 29 เกณฑ์การประเมิน 31 บรรณานกุ รม 41
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ชดุ ท่ี 2 นักวิทยาศาสตร์น้อย ค ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 เนอ้ื หาจัดแบ่งออกเป็น 7 ชดุ ดงั น้ี ชุดที่ 1 วทิ ยาศาสตรข์ ับเคล่ือนโลก ชดุ ท่ี 2 นักวทิ ยาศาสตร์นอ้ ย ชดุ ที่ 3 เร่มิ ต้นทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ชุดท่ี 4 การวางแผนและออกแบบโครงงานวิทยาศาสตร์ ชุดที่ 5 การเขียนเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ ชดุ ท่ี 6 การลงมือทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ชดุ ที่ 7 การเขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์และการนาเสนอ ซึ่งเลม่ นีเ้ ป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ ชุดที่ 2 นักวิทยาศาสตร์น้อย ใช้เวลาในการ เรียนการสอน 6 ชว่ั โมง ในการนาชดุ กิจกรรมน้ไี ปใช้ ผู้สอนควรมีการศึกษาคู่มือการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โดยละเอียด เพ่ือให้การจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนบรรลตุ ามจดุ ประสงค์ของหลกั สูตร ซึ่งกระบวนการจัดการเรียนรู้เน้นการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆด้วยตนเอง โดยครูผู้สอนเป็นผู้ให้การช่วยเหลือและอานวยความสะดวกในการปฏิบัติกิจกรรมและประ เมินผลการเรียนรู้ ของนกั เรยี น หวังเป็นอย่างย่ิงว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์เล่มน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อการ พัฒนาการเรยี นรู้ของผู้เรยี น และครูสามารถนามาใช้ในการพฒั นาการเรยี นการสอนได้อย่างมีประสิทธภิ าพ วสนิ ทรา ไพรสนิ ธุ์
ชุดกิจกรรมการเรียนร้โู ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 ชดุ ที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตรน์ ้อย ง การใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ชุดท่ี 2 นักวิทยาศาสตร์น้อย สาหรับกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว 22201 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้สอนมบี ทบาทสาคญั ดงั นี้ 1. เตรียมเอกสารทร่ี ะบไุ วใ้ นแผนการจัดการเรยี นรู้ตามลาดับ 2. ศกึ ษารายละเอียดของชุดกิจกรมการเรียนรู้ 3. ทดลองใช้สือ่ อปุ กรณ์การสอน เพือ่ ตรวจสอบวา่ ใชง้ านได้จริง และแก้ไขเม่ือส่ืออปุ กรณก์ ารสอน เกดิ การชารุดเสยี หาย 4. ทาการวเิ คราะหน์ ักเรยี นโดยแบ่งเปน็ เกง่ ปานกลาง ออ่ น แลว้ แบง่ นักเรยี นออกเปน็ กลุม่ กลมุ่ ละ 4-5 คน และแบง่ หน้าท่ดี ังนี้ 4.1 ประธาน ดูแลและควบคมุ การทางานของกลุม่ ใหเ้ ปน็ ไปตามกาหนดเวลา 4.2 รองประธาน ทาหน้าท่เี ปน็ ผชู้ ่วยประธานและดแู ลกลุ่มแทนเมื่อประธานไม่อยู่ 4.3 เลขานุการ บันทึกข้อมลู ปัญหา ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะของสมาชิกภายในกล่มุ 4.4 สมาชกิ ให้ความรว่ มมอื ทากจิ กรรมตา่ งๆ ของกลุ่ม ให้บรรลจุ ดุ ประสงค์ เสนอความคดิ เห็น จากข้อมลู ที่ได้ทาการศึกษาทดลอง 5. ครูชแี้ จงการเรียนทีน่ ักเรยี นต้องปฏบิ ตั ิตามคาส่งั ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 6. ช้แี จงกจิ กรรมการเรยี นให้นักเรยี นทราบ 7. ดาเนนิ การสอนตามแผนการจดั การเรียนรู้ 8. ให้คาแนะนาและเปน็ ทีป่ รึกษาในขณะทีน่ ักเรียนทากิจกรรม 9. สังเกตการทากจิ กรรมของนักเรยี นและการสรปุ บทเรียน 10. ตรวจแบบทดสอบยอ่ ยแต่ละชุด แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นและบนั ทกึ ผลการ ประเมินพฤติกรรมการทางานกลุม่ และพฤติกรรมระหว่างเรียนของนักเรียน
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ชดุ ท่ี 2 นักวิทยาศาสตร์น้อย จ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 ชุดที่ 2 นักวิทยาศาสตร์น้อย เล่มนี้ จัดทาข้ึนเพื่อให้นักเรียนใช้ประกอบการเรียนรู้ในวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ รหัส ว 22201 ซึ่งนักเรียน จะได้ศึกษาเพ่ิมเติมดว้ ยตนเอง 2. ในแต่ละหน้าของแต่ละชุดกิจกรรมจะมีเนื้อหาสาระ คาแนะนาหรือคาอธิบาย พร้อมท้ังคาถาม ให้ นกั เรียนได้ศกึ ษาและฝกึ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ความรคู้ วามเข้าใจ ตลอดจนทักษะในการนาไปใช้ แก้ปัญหา 3. ให้นกั เรยี นอา่ นคาช้แี จงการใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ให้เขา้ ใจ 4. กอ่ นศึกษา ทาแบบทดสอบก่อนเรียน จานวน 10 ขอ้ เพ่ือวัดความรู้พน้ื ฐาน 5. ศกึ ษาจุดประสงค์ สาระสาคัญ เนอื้ หาในชุดกจิ กรรมการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ 6. เรียนรูต้ ามกิจกรรมที่ครูผู้สอนจัดให้ในชุดกิจกรรม มีสื่ออุปกรณ์ในการปฏิบัติ ให้นักเรียนปฏิบัติให้ เรียบร้อยและครบถว้ น 7. ทาแบบทดสอบหลังเรยี น 8. ตรวจคาตอบจากเฉลย เพ่ือเปรียบเทียบพัฒนาการทางการเรียนของตนเองและจะได้ทราบถึง พัฒนาการทางด้านความคิด ความรู้ความเขา้ ใจจากเรื่องทศ่ี กึ ษา
ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ชดุ ท่ี 2 นกั วิทยาศาสตร์นอ้ ย ฉ ขั้นตอนการใช้ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ คาชีแ้ จงการใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรูโ้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ ทดสอบกอ่ นเรียน นาเข้าสบู่ ทเรียน กจิ กรรมการเรยี นรู้ สรปุ ทดสอบหลังเรยี น พบครู ผา่ น ไม่ผ่าน เสรมิ ซ่อม
ชดุ กิจกรรมการเรียนรโู้ ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 2 1 ชดุ ท่ี 2 นักวทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย ชดุ กิจกรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวิทยาศาสตร์ ชดุ ท่ี 2 นักวิทยาศาสตร์น้อย สาระสาคญั โครงงานวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมใดๆ ท่ีนักเรียนเป็นผู้ริเร่ิมลงมือศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติด้วย ตนเองโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์จาแนกได้เป็น 4 ประเภท คือ โครงงาน วทิ ยาศาสตร์ ประเภทการทดลอง ประเภทสารวจ ประเภทสิง่ ประดิษฐแ์ ละประเภททฤษฎี โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เป็นโครงงานท่ีมีการออกแบบการทดลองเพ่ือศึกษาผล ของตัวแปรที่สนใจต่อสิ่งท่ีต้องการศึกษา โดยมีการควบคุมตัวแปรอ่ืนๆท่ีอาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการ ศึกษา โดยท่ัวไปข้ันตอนการดาเนินการศึกษาของโครงงานประเภทน้ี ประกอบด้วย การกาหนดปัญหา กาหนดตัวแปร ต้งั สมมติฐาน ออกแบบการทดลอง ดาเนินการทดลอง รวบรวมข้อมูล แปลผลและสรุปเป็น ผลการศึกษา โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสารวจ เป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนได้ลงมือเก็บรวบรวม ข้อมูลโดยวิธีการสารวจในเร่ืองท่ีสนใจศึกษา และนาข้อมูลเหล่าน้ันมาจัดกลุ่มจาแนกเป็นหมวดหมู่หรื อ นาเสนอผลสรปุ ของการสารวจในรปู แบบทชี่ ัดเจน เข้าใจได้ง่าย โครงงานประเภทสารวจไมม่ ีตัวแปรใดๆ ให้ ศึกษา แต่ต้องกาหนดขอบเขตของการสารวจใหช้ ัดเจน โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทส่ิงประดิษฐ์ เป็นโครงงานท่ีเก่ียวกับการประยุกต์ทฤษฎีหรือ หลกั การทางวิทยาศาสตร์มาประดิษฐ์ เครื่องมือ เคร่ืองใช้ หรืออุปกรณ์ เพื่อประโยชน์ใช้สอยต่างๆ ซึ่งอาจ เป็นการประดิษฐ์ของใหม่ หรือ ปรับปรุงสิ่งประดิษฐ์ท่ีมีอยู่เดิมให้ดีขึ้น โดยมีการออกแบบ พัฒนา ส่ิงประดิษฐ์ จากน้ันมีการทดสอบประสิทธิภาพ และความพึงพอใจต่อสิ่งประดิษฐ์ แล้วจึงสรุปเป็นผล การศกึ ษา โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททฤษฏี เป็นโครงงานที่มีการเสนอทฤษฎี หลักการ หรือ แนวความคิดใหม่ ซ่ึงอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือคาอธิบาย โดยผู้เสนออาจต้ังกติกาขึ้นมาใหม่ หรือ ใช้กติกาเดมิ มาอธบิ ายสิ่งหรือปรากฏการณ์ต่างๆในแนวใหม่ที่ยังไม่มีการนาเสนอมาก่อน ซึ่งอาจจะขัดแย้ง กบั ทฤษฎเี ดมิ หรือเป็นการขยายทฤษฎแี ละแนวคดิ เดมิ ก็ได้
ชุดกิจกรรมการเรยี นร้โู ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 2 ชุดที่ 2 นักวทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เมือ่ ศึกษาบทเรยี นนแี้ ล้ว นกั เรียนควรจะสามารถ 1. ดา้ นความรู้ (K) 1.1 อธิบายแนวทางการทาโครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภททดลองได้ 1.2 อธิบายแนวทางการทาโครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภทสารวจได้ 1.3 อธบิ ายแนวทางการทาโครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทสงิ่ ประดิษฐ์ได้ 2. ด้านทักษะ (P) 2.1 ออกแบบการแกป้ ัญหาและทดลองแยกเคซีนจากนมตามสถานการณ์ทก่ี าหนด 2.2 วางแผน ออกแบบ และนาเสนอผลการสารวจพ้ืนท่บี รเิ วณที่กาหนดให้ได้ 2.3 ออกแบบและประดิษฐศ์ รลมได้ 3. ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A) 3.1 ให้ความร่วมมือในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมการทดลอง 3.2 มีความรับผิดชอบตอ่ งานที่ได้รับมอบหมาย 3.3 ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมที่ไดร้ ับมอบหมายตามเวลาที่กาหนด
ชุดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 3 ชุดที่ 2 นกั วิทยาศาสตรน์ ้อย กระดาษคาตอบ ชุดที่ 2 นกั วิทยาศาสตรน์ อ้ ย ช่อื -สกลุ ……………………………………………………………………ช้นั ……………………….เลขท่ี……………………….. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น แบบทดสอบหลังเรียน ข้อ ก ข ค ง ขอ้ ก ข ค ง 1 1 2 2 3 3 4 4 5 5 6 6 7 7 8 8 9 9 10 10 สรปุ ผลการทดสอบ คะแนนหลัง คะแนน กอ่ นเรียน คะแนน หลงั เรยี น เรียนคิดเปน็ เต็ม 10 เต็ม 10 ร้อยละ ได้ ได้
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 4 ชดุ ที่ 2 นกั วิทยาศาสตร์นอ้ ย แบบทดสอบกอ่ นเรียน ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ครงงานวิทยาศาสตร์ ชดุ ท่ี 2 นักวิทยาศาสตร์นอ้ ย ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ขอ้ สอบ 10 ข้อ ใชเ้ วลา 10 นาที คะแนนเต็ม 10 คะแนน คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นเลอื กคาตอบท่ีถกู ตอ้ งที่สดุ แล้วทาเครื่องหมาย X ลงในกระดาษคาตอบ 1. ข้อใดมีความหมายตรงกับโครงงานวิทยาศาสตร์มาก 4. โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นการกระทาในข้อใด ทีส่ ดุ ก. เปน็ การศึกษาทดลองวิทยาศาสตร์ ข. เป็นการกระทาเพื่อออกแบบการทดลอง ก. บทความ ข. รายงาน ค. เปน็ การศึกษาค้นคว้าข้อเท็จจรงิ จากตารา ค. งานวจิ ัยเล็กๆ ง. แฟม้ สะสมผลงาน ง. เป็นการกระทาเพอ่ื แก้ปัญหาหรอื ขอ้ สงสัย 2. ความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตรต์ รงกับข้อใด 5. โครงงานประเภทใดทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั ความคดิ ก. การทดลองทมี่ ีการบันทึกข้อมูล สรา้ งสรรคม์ ากท่ีสุด ข. การสร้างเคา้ โครงเพ่ือทาการทดลอง ค. การทาบทปฏบิ ัติการทางวิทยาศาสตร์ ก. ประเภทสารวจ ง. การทากิจกรรมวิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการ ข. ประเภททดลอง ทางวิทยาศาสตร์ ค. ประเภทสงิ่ ประดิษฐ์ ง. ประเภททฤษฎี 3. โครงงานวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเปน็ กปี่ ระเภท ก. 7 ประเภท 6. การกาหนดตวั แปรท่ีมีความเด่นชดั เปน็ ลักษณะ ข. 6 ประเภท ของโครงงานประเภทใด ค. 5 ประเภท ง. 4 ประเภท ก. ทฤษฎี-สิ่งประดิษฐ์ ข. สงิ่ ประดษิ ฐ์-ทดลอง ค. ทฤษฎี-สารวจ ง. สารวจ-ทดลอง
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 5 ชดุ ที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย แบบทดสอบกอ่ นเรียน 7. โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่ือง “การศึกษาวงจรชีวิต 9. ขอ้ ใดเป็นโครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภท สง่ิ ประดิษฐ์ ของผ้ึง” เป็นโครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทใด ก. การกาเนดิ ของแผน่ ดนิ ไหวในประเทศไทย ก. ประเภทสารวจ ข. ประเภททดลอง ข. การปลกู พืชโดยไม่ใช้ดนิ ค. การศกึ ษาผลของเเบคทีเรียไรโซเบยี มตอ่ การ ค. ประเภทสง่ิ ประดิษฐ์ ง. ประเภททฤษฎี เจริญเติบโตของมันเเกว 8. ข้อใดกล่าวถกู ต้องเกีย่ วกับโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ง. การศกึ ษาการเจริญเติบโตของลกู อ๊อด ประเภททดลอง 10. นกั เรียนจะได้รับประโยชน์อะไรจากการทา ก. การจาลองธรรมชาตขิ องสิ่งทีต่ ้องการศึกษาใน โครงงานมากทส่ี ุด หอ้ งปฏิบัตกิ าร ก. ได้รับการยกย่องจากผ้อู ืน่ ข. ไมม่ ีการจัดกระทาตวั แปรที่ต้องการศกึ ษา ข. ไดป้ ระสบการณ์จากการทดลอง ค. มกี ารควบคุมตวั แปรอืน่ ที่อาจมีผลต่อตัวแปรท่ี ค. ไดค้ น้ พบผลงานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ง. ไดฝ้ ึกการแกป้ ญั หาด้วยกระบวนการทาง ตอ้ งการศึกษา ง. มกี ารเสนอทฤษฎี หลักการ หรอื แนวความคดิ วทิ ยาศาสตร์ ใหม่
ชุดกิจกรรมการเรียนร้โู ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 6 ชดุ ท่ี 2 นักวิทยาศาสตร์นอ้ ย ใบกิจกรรม การแยกเคซีนจากนม 2.1 จุดประสงคข์ องกิจกรรม เมื่อทากจิ กรรมนแี้ ลว้ นักเรยี นควรจะสามารถออกแบบการแก้ปญั หา และทาการทดลองจาก สถานการณ์ท่กี าหนด การแยกเคซีนจากนม รูปที่ 1.1 การแยกเคซนี จากนม (ทีม่ า : สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ , 2557 ) ครูสาธติ การแยกเคซีนจากนม โดย - เติมน้าส้มสายชูปรมิ าตร 1 cm3ลงใน นมรอ้ นที่มอี ุณหภมู ปิ ระมาณ 50 องศาเซลเซยี ส ปรมิ าตร 20 cm3 - ใชแ้ ท่งแก้วคนสาร คนสารทัง้ สองชนดิ ใหเ้ ขา้ กนั เคซีน(casein) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งพบในนม เคซีนมีประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารมากมายเช่น ช่วยให้ไส้กรอกและเน้ือบดจับตัวกันแน่น ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารเพ่ือช่วยให้อาหารมีโปรตีนมากข้ึน ทาให้ ไอศกรีมฟไู ม่หดตวั เคซนี สามารถแยกได้จากการตกตะกอนในนมโดยใช้นมรอ้ นผสมกับน้าส้มสายชู เคซีนที่ได้ จากกระบวนการนจ้ี ะมลี กั ษณะเปน็ ตะกอนสขี าวขุ่น
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 7 ชดุ ท่ี 2 นักวทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย 1. จากกิจกรรมการแยกเคซีนจากนม ปจั จัยใดบา้ งท่ีมีผลทาใหส้ ามารถแยกเคซีนออกมาไดใ้ น ปริมาณมากที่สดุ ใหเ้ ขียนออกมาในรูปของแผนผัง 2. ถ้าในการแยกเคซนี แตล่ ะคร้ังใชน้ มและน้าสม้ สายชูชนดิ เดยี วกนั โดยใชน้ มปริมาตร 20 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ปจั จัยใดทีส่ ง่ ผลต่อปริมาณเคซนี ทเ่ี กิดข้ึน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………....................... 3. ปริมาณของปัจจัยในข้อที่ผ่านมาควรเปน็ อยา่ งไร จงึ จะสามารถแยกเคซีนออกมาไดป้ ริมาณ มากที่สุด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….......................
ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 8 ชดุ ท่ี 2 นักวทิ ยาศาสตร์นอ้ ย สถานการณ์ท่กี าหนดให้ ในการทดลองเพอ่ื ศกึ ษาว่า นา้ สม้ สายชปู ริมาณเทา่ ใด จึงจะแยกเคซีนออกจากนมไดม้ ากท่สี ดุ โดยในการทดลองแต่ละคร้งั ใช้ ปรมิ าณนมเทา่ กับ 20 ลกู บาศก์เซนติเมตร อณุ หภูมนิ มเทา่ กับ 50 องศาเซลเซียส ใช้นมและนา้ สม้ สายชชู นดิ เดียวกันตลอดการทดลอง 4. จากสถานการณ์ กาหนดให้นักเรียนศึกษาเรือ่ งใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ในสถานการณท์ ่ีกาหนด ปัจจัยทถ่ี ูกจดั ใหเ้ หมือนกนั คือปัจจยั ใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. 6. จากสถานการณท์ ก่ี าหนดให้ นกั เรยี นควรเลอื กใช้วัสดุอปุ กรณ์ใดบ้างในการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. ในการทดลอง นักเรยี นมีการบนั ทึกข้อมลู อะไรบา้ ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 8. นกั เรยี นมวี ธิ ีการวดั ปริมาณเคซีนอยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. นกั เรียนมีขั้นตอนในการทดลองอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรโู้ ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 9 ชดุ ที่ 2 นักวิทยาศาสตร์น้อย 10. จากสถานการณท์ ่ีกาหนด ให้นกั เรยี นออกแบบวิธีการทดลองเพ่ือศกึ ษาปริมาณของ นา้ สม้ สายชูท่ีเหมาะสมที่สามารถแยกเคซีนออกจากนมได้มากที่สุด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 11. นักเรยี นออกแบบตารางบันทึกผลข้อมูลอย่างไร 12. นกั เรยี นได้ผลการทดลองเปน็ อย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชุดกิจกรรมการเรยี นร้โู ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 10 ชุดที่ 2 นักวิทยาศาสตร์นอ้ ย 13. เมื่อดาเนนิ การทดลองแลว้ ผลการทดลองสอดคล้องกับที่นักเรียนไดค้ าดการณไ์ วห้ รอื ไม่ อย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 14. จากสถานการณ์การแยกเคซนี จากนมเพอ่ื ให้ไดป้ รมิ าณมากที่สุดและตน้ ทุนน้อยทสี่ ุด จะต้อง ทาอยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 15. จากกจิ กรรมทีผ่ า่ นมา นักเรียนมีคาถามหรือประเด็นที่สงสยั เพิ่มเติมในเรือ่ งใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 16. นกั เรยี นคดิ ว่า แนวทางการทาโครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภททดลองควรเปน็ อย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชดุ กจิ กรรมการเรียนร้โู ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 11 ชุดที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตร์นอ้ ย ใบกจิ กรรม รอบรั้วโรงเรียน 2.2 จดุ ประสงคข์ องกจิ กรรม เมื่อศึกษากิจกรรมนี้แล้ว นักเรียนควรจะสามารถวางแผน ออกแบบ และนาเสนอผลการสารวจพรรณ ไม้ในโรงเรยี น วนั นี้ เราจะมารวบรวมขอ้ มูล เกย่ี วกบั พรรณไมใ้ นเขตโรงเรยี น วา่ มีพรรณไม้ชนิดใดบ้าง เราจะสารวจบรเิ วณ พรอ้ มทง้ั บนั ทึกขอ้ มูลท่สี าคญั ของพรรณไมช้ นดิ ตา่ งๆดว้ ยนะ ไหนบา้ งคะ? โรงเรยี น ก่อนสารวจเราต้องกาหนดขอบเขตนะ เรากว้างมากเลย มาช่วยกันคดิ กนั เถอะ เป็นคาถามที่ดี
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 12 ชุดที่ 2 นักวิทยาศาสตร์นอ้ ย จงทากจิ กรรมและตอบคาถามดงั ต่อไปนี้ 1. คาถามจากสถานการณ์นคี้ ืออะไร ............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................. .............................................................. ............................................................................................................ ................................................... 2. จากสถานการณ์นก้ี าหนดให้นักเรียนศึกษาอะไร ............................................................................................................................. .................................. .......................................................................................... ..................................................................... 3. จากสถานการณน์ ม้ี ีการกาหนดเขตการศกึ ษาเปน็ อย่างไร ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... 4. นกั เรยี นสามารถรว่ มกนั วางแผนและออกแบบการสารวจ ชนิด จานวน ประโยชนข์ องพรรณไม้ ไดอ้ ย่างไร เพราะเหตใุ ด และนักเรียนมแี นวคดิ ในการสารวจอย่างไร เขยี นอธบิ ายข้ันตอนในการออกแบบ นกั เรียนจะสารวจพรรณไมใ้ นโรงเรียนด้านใดบ้าง ............................................................................................................................. ............................ ....................................................................................................... .................................................. ............................................................................................................................. ............................ นักเรียนจะสารวจพรรณไม้ในบริเวณใดของโรงเรยี น ระบุขอบเขตพนื้ ท่ี พร้อมทัง้ เขียนแผนผงั ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................ .................................................................................................................................................. .......
ชุดกิจกรรมการเรยี นรูโ้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 13 ชุดที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตร์นอ้ ย นักเรยี นจะมวี ธิ กี ารระบุชนิดของพชื ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง ............................................................................................................................. ............................ ....................................................................................................... .................................................. ............................................................................................................................. ............................ วิธีทจ่ี ะใชส้ ารวจจานวนของพืชทาได้อยา่ งไรบา้ ง .................................................................................................................................. ....................... ............................................................................................................ ............................................. ............................................................................................................................. ............................ บันทึกผลการสารวจจะบนั ทึกในรูปแบบใด ............................................................................................................................. ............................ ....................................................................................................... .................................................. ............................................................................................................................. ............................ การระบปุ ระโยชน์ของพรรณไม้ ทาได้อย่างไรบ้าง ...................................................................................................................................... ................... ................................................................................................................ ......................................... ............................................................................................................................. ............................
ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 14 ชุดที่ 2 นกั วิทยาศาสตรน์ ้อย การระบุประโยชน์ของพรรณไม้ ควรเป็นประโยชน์ด้านใดบ้าง ............................................................................................................................. ............................ ..................................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................. ............................ อปุ กรณ์ทีจ่ าเป็นสาหรับใชใ้ นการสารวจควรมอี ะไรบ้าง ............................................................................................................................. ............................ ....................................................................................................... .................................................. ............................................................................................................................. ............................ การบนั ทกึ ผลการสารวจควรบนั ทึกในรูปแบบใด .......................................................................................................................................... ............... .................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................................................. ............................
ชุดกิจกรรมการเรียนร้โู ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 15 ชุดท่ี 2 นักวิทยาศาสตร์นอ้ ย 5. ผลการสารวจของนกั เรยี นเปน็ อยา่ งไร ให้แสดงในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ หรือรปู แบบการ นาเสนออนื่ ๆ
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 16 ชดุ ท่ี 2 นักวิทยาศาสตรน์ อ้ ย จากผลการสารวจ นกั เรยี นสามารถสรุปผลการสารวจได้วา่ อย่างไร ............................................................................................................................. ................................ ................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ................................ นักเรยี นพบปัญหา อปุ สรรค และขอ้ จากัดในการสารวจในดา้ นใดบ้างและอย่างไร ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ................................................................................................................ ............................................. ............................................................................................................................. ................................ ................................................................................................. ............................................................ ถ้านักเรียนสามารถใช้ข้อมูลท่ีได้จากการสารวจคร้ังนี้ในการศึกษาเพ่ิมเติมต่อไป นักเรียน ตอ้ งการศึกษาเร่ืองใด เพราะเหตุใด และจะศึกษาอย่างไร ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ .............................................................................................................................. ............................... .................................................................................................... ......................................................... ............................................................................................................................................................. สง่ิ ท่ไี ด้เรียนรจู้ ากการทากิจกรรมในครัง้ น้ี คือ ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 17 ชดุ ท่ี 2 นักวทิ ยาศาสตรน์ ้อย ใบกิจกรรม การประดิษฐศ์ รลม 2.3 จดุ ประสงคข์ องกิจกรรม เม่ือศึกษากจิ กรรมนแ้ี ล้ว นักเรียนควรจะสามารถออกแบบ และประดิษฐ์ช้ินงานจากสถานการณ์ที่ กาหนด สถานการณ์ท่ีกาหนดให้ ลมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของลมฟ้าอากาศ เม่ือลมมีการเปล่ียนแปลงอัตราเร็ว หรือเปล่ียนแปลง ทิศทาง จะทาให้สภาพลมฟ้าอากาศมีการเปลยี่ นแปลงไป นักอุตุนิยมวิทยาจึงจาเป็นต้องมีการวัดอัตราเร็วและ ทิศทางของลม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพยากรณ์อากาศ เครื่องมือท่ีใช้ในการตรวจวัดอัตราเร็วลม เรียก มาตรวัดลม (Anemometer) เครื่องมือตรวจวัดทิศทางของลม เรียกว่า ศรลม (Wind vane) และเพ่ือให้ ได้ข้อมูลสาหรับใช้ในการพยากรณ์อากาศได้อย่างแม่นยา กรมอุตุนิยมวิทยา จึงมีการตั้งสถานีตรวจวัดอากาศ กระจายอย่ทู ่วั ทกุ ภูมิภาคของประเทศใหไ้ ดม้ ากที่สุด ถา้ เรามีศรลมกด็ นี ะ จะไดร้ ู้ เจ๋งงงงง ง้ันเรามาลงมือทากนั เลย ดีไหม? ทิศทางลม พอเห็นเมฆฝน ก็จะ ทานายได้วา่ เมฆจะลอยมาและ ตกเปน็ ฝนแถวบา้ นเรารเึ ปลา่
ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 18 ชดุ ท่ี 2 นักวิทยาศาสตร์นอ้ ย จากสถานการณ์ทก่ี าหนดใหน้ กั เรียน นักเรยี นตอบคาถามดงั ต่อไปนี้ 1. ศรลมมีหลกั การทางานอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ถ้านกั เรียนต้องการประดิษฐ์ศรลมเพ่ือใช้งาน ศรลมที่ประดษิ ฐข์ ึน้ นมี้ ีข้อดกี วา่ ศรลมอืน่ ๆ อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ใหน้ ักเรียนลองประดิษฐศ์ รลมตามแนวคดิ ของตนเอง โดยวาดภาพการออกแบบศรลมพร้อมทั้ง อธิบายแนวคิดในการออกแบบ 4. นกั เรยี นต้องการใช้วสั ดุอุปกรณใ์ ดบา้ งในการประดษิ ฐ์ศรลมทอ่ี อกแบบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 19 ชุดท่ี 2 นกั วิทยาศาสตร์นอ้ ย 5. ระหวา่ งการประดิษฐศ์ รลม นกั เรียนพบปัญหาอะไรบ้างและนกั เรียนมีวิธีการแกไ้ ขปญั หาอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. ศรลมท่ีนกั เรียนประดิษฐ์ข้ึน สามารถตรวจวัดทศิ ทางลมได้จรงิ หรือไม่ นกั เรยี นมีวิธีการทดสอบ อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. ศรลมที่ประดษิ ฐข์ ้นึ ใช้งานได้สะดวก ทนทาน สวยงาม คุ้มคา่ นา่ ใชห้ รอื ไม่ นกั เรยี นมแี นวทาง ในการสารวจความพึงพอใจศรลมที่ประดิษฐ์ข้ึนอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 8. จากการทดสอบประสิทธิภาพและความพงึ พอใจของศรลมทนี่ กั เรยี นประดิษฐข์ นึ้ มาได้ผลเปน็ อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 20 ชดุ ท่ี 2 นักวทิ ยาศาสตร์น้อย 9. ศรลมท่นี กั เรียนไดป้ ระดิษฐ์ข้นึ มา จนถึงขัน้ ตอนสดุ ทา้ ยนน้ั ไดผ้ า่ นการปรับปรงุ แก้ไขอย่างไรบา้ ง อธิบายและวาดภาพประกอบ 10. ถา้ หากมีการปรบั ปรุงศรลมที่ประดษิ ฐข์ ้ึนมาน้ี นักเรียนควรมีการพัฒนาตอ่ ในดา้ นใดและอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 11. นกั เรยี นคดิ วา่ แนวทางการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสง่ิ ประดษิ ฐค์ วรเปน็ อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 21 ชุดที่ 2 นกั วิทยาศาสตรน์ ้อย ใบความรู้ ความร้ทู ่วั ไปเก่ียวกับโครงงานวิทยาศาสตร์ ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ คือ กิจกรรมสาหรับนักเรียนในการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยตนเอง โดยอาศัยวิธีการทาง วิทยาศาสตร์ ภายใต้คาแนะนาปรกึ ษาของครูหรือผู้เชี่ยวชาญ กิจกรรมน้ีอาจทาเป็นกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ และจะกระทาใน เวลาเรียนหรือนอกเวลาเรียนก็ได้ โดยไม่จากัดสถานที่ เช่น อาจทานอกห้องเรียน ในห้องปฏิบัติการ หรือนอกโรงเรียน แม้กระท่ังที่บ้านของนักเรียนก็ได้ กิจกรรมการทาโครงงานวิทยาศาสตร์นี้เรียกได้ว่า เป็นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เบ้ืองต้น สาหรบั นกั เรียน ความสาคญั และคณุ คา่ ของการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ จุดมุ่งหมายระหว่างการเรยี นวิทยาศาสตรท์ ี่กาหนดไว้ในหลกั สูตรนัน้ นอกจากจะต้องการให้นกั เรยี นมี ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของวชิ าวิทยาศาสตรแ์ ล้ว ยังตอ้ งการให้นักเรียนมีทกั ษะในการศกึ ษาคน้ ควา้ มีความสนใจวทิ ยาศาสตร์ มเี จตคตแิ ละคา่ นยิ มทางวิทยาศาสตรอ์ กี ด้วย เช่น มคี วามใฝ่รู้ ซื่อสตั ย์ มีเหตุผล มใี จเป็นกลาง มีความเพยี รพยายาม มีความละเอียดรอบคอบก่อนตดั สินใจ เป็นตน้ แต่การเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์เพยี งในชนั้ เรยี นตามเวลาท่ีกาหนดไวใ้ นหลกั สูตรเท่านน้ั ไมอ่ าจช่วยให้ จุดมุ่งหมายดังกล่าวสมั ฤทธิผ์ ลโดยสมบรู ณไ์ ด้ ทงั้ น้ีเพราะครูจาเป็นจะตอ้ งสอนเนื้อหาตา่ งๆ ในหลักสตู รให้ ครบถว้ นภายในเวลาที่กาหนด นกั เรียนจงึ ไม่ค่อยมโี อกาสมีประสบการณ์ตรงในการใช้ วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ อยา่ งครบถ้วนทุกขนั้ ตอนในกระบวนการเรียนรู้ การให้นักเรียนกระทากิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ จะช่วยส่งเสริมให้จุดมุ่งหมายของหลักสูตร สัมฤทธ์ิผลโดยสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะในการทาโครงงาน นักเรียนจะได้มีโอกาสดาเนินการศึกษา จะศึกษาเอง การวางแผนการศึกษาเพื่อตอบปัญหานั้น ๆ ด้วยตนเอง ออกแบบการทดลองหรือวิธีการศึกษาด้วยตนเอง
ชุดกิจกรรมการเรยี นรูโ้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 22 ชุดท่ี 2 นกั วทิ ยาศาสตร์น้อย ลงมือทดลองเพื่อตรวจสอบสมมุติฐาน ตลอดจนสรุปผลของการศึกษาด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นเพียงผู้ให้คาปรึกษา และชี้แนะ สรปุ ได้วา่ นักเรียนจะมีโอกาสไดร้ บั ประสบการณต์ รงในกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ทุกข้ันตอน มีโอกาสไดฝ้ กึ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ตา่ ง ๆ และจะช่วยพัฒนาคุณสมบัติอื่น ๆ ให้แก่นักเรียนด้วย เช่น ความเป็นคนช่างสังเกต มีความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ มีความเช่ือม่ันในตนเอง มีวินัยและซ่ือสัตย์ในการ ทางาน มีความละเอียดรอบคอบ มีความรับผิดชอบ ยอมรับฟังคาติชมและความคิดเห็นของผู้อ่ืน มีเจตคติท่ีดี ตอ่ วทิ ยาศาสตร์ รจู้ กั แบง่ เวลาในการทางานและการกระทากิจกรรมอ่นื ๆ และทางานร่วมกับผู้อ่นื ได้ เปน็ ต้น ประเภทโครงงานวิทยาศาสตร์ 1. โครงงานประเภทการทดลอง เปน็ โครงงานท่ีมีการออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาผลของตัวแปรท่ี สนใจต่อสิ่งท่ีต้องการศึกษา โดยมีการควบคุมตัวแปรอื่นๆที่อาจมีผลต่อตัวแปรท่ีต้องการศึกษา โดยท่ัวไป ขั้นตอนการดาเนินการศึกษาของโครงงานประเภทนี้ ประกอบด้วย การกาหนดปัญหา กาหนดตัวแปร ตั้งสมมตฐิ าน ออกแบบการทดลอง ดาเนนิ การทดลอง รวบรวมขอ้ มูล แปลผลและสรุปเป็นผลการศกึ ษา ตัวอยา่ งโครงงานประเภทการทดลอง ตัวอยา่ งท่ี 1 โครงงานวทิ ยาศาสตรเ์ รือ่ ง มะขามเปยี ก ตะไคร้ ฆา่ เหบ็ เหา การศึกษา โดยการทดลองศึกษาผล ของนามะขามเปียก นาตะไคร้ ทมี่ ีผลต่อการฆ่าเหบ็ เหา ตวั อยา่ งที่ 2 โครงงานวิทยาศาสตรเ์ รอ่ื งสมุนไพรไล่ยุง การศึกษา โดยการทดสอบนาพืชสมุนไพรชนดิ ตา่ ง ๆ ที่ ตอ้ งการศกึ ษา มาทายาไลย่ งุ รปู ท่ี 1.2 โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง (ท่มี า : https://www.youtube.com/watch?v=ROk4YznBlu0&t=13s)
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 23 ชุดที่ 2 นักวิทยาศาสตร์น้อย การวางแผนออกแบบทดลองเพื่อตรวจสอบปัจจัยท่ีมีผลต่อการทดลอง ควรต้องออกแบบให้ปัจจัยที่ ต้องการศึกษามีค่าแตกต่างกันไป ซ่ึงในการดาเนินการทดลองแต่ละครั้งเราจะเรียกว่าชุดทดลองหรือกลุ่ม ทดลอง ซ่ึงอาจมีมากกว่า 1 ชุด และเพ่ือควบคุมให้ผลการทดลองท่ีเกิดข้ึน เป็นผลจากปัจจัยที่ศึกษาจริง จึง ต้องมีการจัดการทดลองที่มีลักษณะเหมือนกับชุดทดลอง แต่ไม่มีหรือไม่นาปัจจัยท่ีต้องการศึกษาใส่ในการ ทดลอง หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ต้องการศึกษาในการทดลอง เรียกการทดลองนี้ว่า ชุดควบคุมหรือ กลมุ่ ควบคมุ 2. โครงงานประเภทสารวจ หมายถึง เป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนได้ลงมือเก็บรวบรวม ข้อมูลโดยวิธกี ารสารวจในเร่ืองทสี่ นใจศึกษา และนาขอ้ มูลเหล่าน้นั มาจัดกลมุ่ จาแนกเป็นหมวดหมู่หรือนาเสนอ ผลสรุปของการสารวจในรูปแบบที่ชัดเจน เข้าใจได้ง่าย โครงงานประเภทสารวจไม่มีตัวแปรใดๆ ให้ศึกษา แต่ ต้องกาหนดขอบเขตของการสารวจให้ชัดเจน ตวั อย่างโครงงานประเภทสารวจ ตัวอย่างที่ 1 โครงงานวิทยาศาสตร์เร่ือง การสารวจจานวนนักเรียนหญิงช้ัน ป.5-6 ท่ีเป็นเหา การศึกษาโดย การออกไปสารวจนักเรียนชั้น ป.5-6 ท้ังหมด มีจานวนกี่คน ที่เป็นเหาใครที่เป็นเหา จานวนนักเรียนกี่คนท่ีไม่ เปน็ เหา ตวั อย่างท่ี 2 โครงงานวิทยาศาสตร์ เรือ่ งการสารวจสัตวเ์ ลีย้ งในชมุ ชน การศึกษาโดยการสารวจสตั วช์ นิดตา่ ง ๆ มกี ่ีชนดิ และแตล่ ะชนดิ มจี านวนเท่าไร ตวั อยา่ งที่ 3 โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่ือง การศึกษาตัวหนอนแมลงทีเ่ ป็นศัตรขู องขา้ วการศกึ ษา โดยการออกไป สารวจตัวหนอนของแมลงที่เป็นศัตรขู องขา้ ว ในบริเวณนาข้าว บรเิ วณหน่ึงแลว้ ศกึ ษาการวธิ ีทาลายตน้ ข้าวของ ตวั หนอน รปู ท่ี 1.3 โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสารวจ (ท่มี า : https://www.facebook.com/msr.science/)
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 2 24 ชุดท่ี 2 นักวิทยาศาสตร์น้อย 3. โครงงานประเภทส่ิงประดษิ ฐ์ เป็นโครงงานท่ีเกี่ยวกับการประยุกต์ทฤษฎีหรือหลักการทาง วิทยาศาสตร์มาประดษิ ฐ์ เครื่องมอื เครอื่ งใช้ หรืออุปกรณ์ เพ่ือประโยชน์ใช้สอยต่างๆ ซึ่งอาจเป็นการประดิษฐ์ ของใหม่ หรือ ปรับปรุงสิ่งประดิษฐ์ที่มีอยู่เดิมให้ดีข้ึน โดยมีการออกแบบ พัฒนาส่ิงประดิษฐ์ จากนั้นมีการ ทดสอบประสทิ ธภิ าพ และความพึงพอใจตอ่ สิ่งประดษิ ฐ์ แลว้ จึงสรปุ เป็นผลการศึกษา ตวั อย่างโครงงานประเภทสง่ิ ประดิษฐ์ ตัวอยา่ งที่ 1 โครงงานวิทยาศาสตร์ กังหนั ลม การศึกษา โดยการประดิษฐ์กงั หนั ลมจากลูกปิงปองนามาทดลอง ศึกษาการหมุนของกงั หนั ท่ีมีความยาวแขนต่างกนั ตัวอยา่ งที่ 2 โครงการวทิ ยาศาสตร์เร่ือง ต้อู บพลังงานแสงอาทิตยก์ ารศึกษา โดยการประดษิ ฐ์ต้อู บพลงั งาน แสงอาทติ ย์อยา่ งงา่ ยจากวสั ดุในทอ้ งถ่ิน แล้วนามาทดลองหาประสทิ ธภิ าพของตู้อบพลงั งานแสงอาทิตย์ รูปที่ 1.4 โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสง่ิ ประดิษฐ์ (ท่มี า : https://www.youtube.com/watch?v=fMmx4dNyVVE) รปู ท่ี 1.5 โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทสิ่งประดิษฐ์ (ทม่ี า : https://www.youtube.com/watch?v=mECv6R4CwQs)
ชุดกจิ กรรมการเรียนรโู้ ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 25 ชุดที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตร์นอ้ ย 4. โครงงานประเภททฤษฏี เปน็ โครงงานทม่ี กี ารเสนอทฤษฎี หลักการ หรือแนวความคิดใหม่ ซึ่งอาจ อย่ใู นรูปของสูตร สมการ หรอื คาอธิบาย โดยผู้เสนออาจต้ังกติกาข้ึนมาใหม่ หรือใช้กติกาเดิมมาอธิบายสิ่งหรือ ปรากฏการณ์ต่างๆในแนวใหม่ที่ยังไม่มีการนาเสนอมาก่อน ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับทฤษฎีเดิมหรือเป็นการขยาย ทฤษฎแี ละแนวคดิ เดมิ กไ็ ด้ ตัวอยา่ งโครงงานประเภททฤษฏี ตัวอยา่ งท่ี 1 โครงงานวทิ ยาศาสตร์เรื่องทฤษฎโี ลกกลมโลกแบน การศึกษา โดยการทดลองศึกษาโดยอาศัย ทฤษฎเี ดมิ และนาเสนอแนวคิดใหม่ของตนเองโดยยกเหตุผลหรือพิสูจน์แนวความคิดของตนเองว่าน่าเชื่อถอื กว่า รูปท่ี 1.6 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎี (ทีม่ า : https://www.slideshare.net/PrachoomRangkasikorn/54sc-p05-f374page)
ชดุ กิจกรรมการเรยี นร้โู ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 26 ชุดท่ี 2 นกั วิทยาศาสตรน์ อ้ ย ลาดับขัน้ ตอนการทาโครงงาน สารวจและตัดสนิ ใจ เลือกเรอ่ื งทีจ่ ะโครงงาน ศกึ ษาขอ้ มูลทีเ่ กยี่ วข้องกบั เรื่องที่จะทาจากเอกสารและ แหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ วางแผนการทดลอง การใช้วสั ดุอปุ กรณ์ และระยะเวลาในการดาเนนิ งาน เขียนเค้าโครงของ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ลงมือศกึ ษาทดลอง วิเคราะห์ ขอ้ มูลและสรปุ ผล เขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ เสนอผลงานของโครงงาน วิทยาศาสตร์
ชดุ กิจกรรมการเรยี นร้โู ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 27 ชุดท่ี 2 นักวทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย คาถามชวนคิดชวนทา ตอนท่ี 1 ใหน้ ักเรียนศึกษาความรูท้ ่ัวไปเก่ยี วกับโครงงานวิทยาศาสตรต์ ามบตั รเนอ้ื หาแล้วเขยี นอธบิ าย ตามความเข้าใจของนักเรยี น 1. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ................................................................................................................ .............................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................. ............................ 2. การเรยี นโครงงานวิทยาศาสตร์ มีประโยชนอ์ ยา่ งไรบา้ ง ............................................................................................................................................................................. . ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................ 3. ประเภทของโครงงานแบง่ ตามลักษณะของการดาเนนิ งานมีก่ปี ระเภท อะไรบา้ ง ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ 4. นักเรียนคิดวา่ การทาโครงงานมีประโยชน์ต่อตนเองอย่างไร ใหเ้ ขยี นบรรยายเป็นความเรยี ง ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. .................................................
ชุดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 28 ชุดที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตรน์ ้อย คาถามชวนคดิ ชวนทา ตอนที่ 2 ให้นักเรียนนาหมายเลขหนา้ ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์เตมิ ลงหน้าช่ือโครงงาน วทิ ยาศาสตรท์ ่ีมีความสมั พนั ธก์ นั (ข้อละ 1 คะแนน) ประเภทโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. โครงงานประเภทสารวจ 2. โครงงานประเภททดลอง 3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ 4. โครงงานประเภททฤษฎี ช่ือโครงงานวิทยาศาสตร์ ........................ก. อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื ในคลนื่ แสงท่ีแตกต่างกนั ........................ข. ความนิยมในการปลูกหญ้าอุบลพลสั พาล่ัม ของเกษตรกร อ.วารินชาราบ ........................ค. การใชฮ้ อร์โมนจากปลาเพศผเู้ พิ่มมูลคา่ ของปลาหางนกยูง ........................ง. กงั หันร้องเพลง ........................จ. การปลูกพชื ไร้ดนิ ........................ฉ. เครื่องตากผา้ อัตโนมตั ิ ........................ช. วงชวี ติ ของด้วงไมไ้ ผ่ ........................ซ. ความหลากหลายของพนั ธ์ุปลาในแมน่ ้ามูล ........................ฌ. ถ่นิ กาเนิดของกุ้งเดินขบวน ........................ญ. การผสมขา้ มพันธ์ุปลา เพ่ือพัฒนาสายพันธ์ใุ หม่ระหว่างปลาเทโพและปลายาง เป็นปลาเขียวมรกต
ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 29 ชุดที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตรน์ ้อย แบบทดสอบหลงั เรยี น ชดุ กิจกรรมการเรียนรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ ชดุ ที่ 2 นักวิทยาศาสตรน์ ้อย ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ขอ้ สอบ 10 ข้อ ใชเ้ วลา 10 นาที คะแนนเต็ม 10 คะแนน คาช้แี จง ใหน้ ักเรียนเลอื กคาตอบท่ีถูกตอ้ งที่สดุ แล้วทาเคร่อื งหมาย X ลงในกระดาษคาตอบ 1. ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตรต์ รงกับขอ้ ใด 3. การกาหนดตัวแปรท่ีมคี วามเด่นชดั เป็นลักษณะ ก. การทดลองท่ีมีการบันทกึ ข้อมูล ของโครงงานประเภทใด ข. การสร้างเค้าโครงเพื่อทาการทดลอง ค. การทาบทปฏบิ ัตกิ ารทางวิทยาศาสตร์ ก. ทฤษฎ-ี สงิ่ ประดษิ ฐ์ ง. การทากจิ กรรมวิทยาศาสตรโ์ ดยใช้ ข. สงิ่ ประดษิ ฐ์-ทดลอง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ค. ทฤษฎ-ี สารวจ ง. สารวจ-ทดลอง 2. ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้องเกี่ยวกับโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภททดลอง 4. โครงงานวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเปน็ ก่ปี ระเภท ก. การจาลองธรรมชาตขิ องส่งิ ท่ีต้องการศึกษาใน ก. 7 ประเภท ห้องปฏิบตั กิ าร ข. 6 ประเภท ค. 5 ประเภท ข. ไม่มีการจดั กระทาตวั แปรที่ตอ้ งการศึกษา ง. 4 ประเภท ค. มีการควบคมุ ตัวแปรอ่ืนท่ีอาจมีผลต่อตวั แปร ที่ตอ้ งการศึกษา ง. มกี ารเสนอทฤษฎี หลักการ หรอื แนวความคดิ ใหม่
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 30 ชดุ ที่ 2 นักวทิ ยาศาสตร์นอ้ ย แบบทดสอบหลงั เรียน 5. โครงงานวิทยาศาสตร์ เปน็ การกระทาในขอ้ ใด 8. นักเรยี นจะได้รบั ประโยชนอ์ ะไรจากการทาโครงงาน ก. เปน็ การศกึ ษาทดลองวิทยาศาสตร์ มากทสี่ ดุ ข. เป็นการกระทาเพื่อออกแบบการทดลอง ค. เป็นการศกึ ษาค้นคว้าข้อเทจ็ จริงจากตารา ก. ได้รับการยกย่องจากผูอ้ ื่น ง. เป็นการกระทาเพื่อแกป้ ัญหาหรอื ข้อสงสัย ข. ได้ประสบการณจ์ ากการทดลอง ค. ได้ค้นพบผลงานทางวทิ ยาศาสตร์ใหม่ 6. โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่อื ง “การศึกษาวงจรชีวติ ง. ได้ฝกึ การแกป้ ญั หาดว้ ยกระบวนการทาง ของผึ้ง” เป็นโครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภทใด วทิ ยาศาสตร์ ก. ประเภทสารวจ ข. ประเภททดลอง 9. โครงงานประเภทใดทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับความคิด ค. ประเภทส่งิ ประดิษฐ์ สร้างสรรคม์ ากทส่ี ดุ ง. ประเภททฤษฎี ก. ประเภทสารวจ ข. ประเภททดลอง 7. ขอ้ ใดมีความหมายตรงกับโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ค. ประเภทสิง่ ประดิษฐ์ ง. ประเภททฤษฎี มากที่สดุ 10. ขอ้ ใดเปน็ โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภท ส่ิงประดิษฐ์ ก. บทความ ข. รายงาน ก. การกาเนิดของแผ่นดินไหวในประเทศไทย ค. งานวิจัยเลก็ ๆ ง. แฟ้มสะสมผลงาน ข. การปลกู พชื โดยไม่ใช้ดนิ ค. การศึกษาผลของเเบคทีเรียไรโซเบียมต่อการ เจรญิ เติบโตของมันเเกว ง. การศกึ ษาการเจริญเตบิ โตของลูกอ๊อด
ชดุ กิจกรรมการเรียนร้โู ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 31 ชดุ ที่ 2 นักวทิ ยาศาสตรน์ ้อย เกณฑ์การประเมิน
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรูโ้ ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 32 ชดุ ที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตร์น้อย แบบประเมนิ ใบกิจกรรม ช่อื ……………………………………….. ช้นั …………หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี………………กจิ กรรม………………………………. คาชีแ้ จง : ใหผ้ ้ปู ระเมิน ขีด / ลงในช่องท่ตี รงกับระดับคะแนน โดยใหศ้ กึ ษาเกณฑ์การใหค้ ะแนนผลงาน ประเด็นทปี่ ระเมนิ ผู้ประเมิน 1. ตรงตามจุดประสงค์ที่กาหนด ตนเอง เพือ่ น ครู 4 3 2 1 4 3214321 2. มีความถูกต้องสมบรู ณ์และเป็น ปัจจุบัน 3. มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ 4. มีความเป็นระเบียบ 5. เสร็จเรียบร้อยตามเวลาท่กี าหนด รวม รวมทกุ รายการ เฉลย่ี ผปู้ ระเมิน……………………………………………………….. (ตนเอง) ผู้ประเมิน……………………………………………………….. (เพือ่ น) ผ้ปู ระเมนิ ……………………………………………………….. (คร)ู
ชดุ กิจกรรมการเรยี นร้โู ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 33 ชุดที่ 2 นักวิทยาศาสตร์นอ้ ย เกณฑก์ ารประเมินใบกจิ กรรม ประเดน็ ท่ปี ระเมิน คะแนน 1.ผลงานตรงตาม 4 32 1 จดุ ประสงค์ทก่ี าหนด ผลงานสอดคลอ้ งกับ ผลงานไม่สอดคล้อง ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกบั กับจุดประสงค์ 2.ผลงานมีความ จุดประสงคท์ กุ ถูกต้องสมบรู ณ์และ ประเด็น จดุ ประสงค์ จุดประสงคบ์ าง เน้ือหาสาระของ เป็นปจั จบุ นั ผลงานไมถ่ กู ต้อง เปน็ เนือ้ หาสาระของ เปน็ สว่ นใหญ่ ประเด็น สว่ นใหญ่ 3.ผลงานมีความคิด ผลงานถูกตอ้ ง สร้างสรรค์ ครบถว้ นเป็นปจั จุบัน เนอ้ื หาสาระของ เนื้อหาสาระของ ผลงานไม่แสดงแนวคดิ ใหม่ 4.ผลงานมคี วามเป็น ผลงานแสดงออกถงึ ผลงานถูกตอ้ ง ผลงานถูกต้อง ระเบยี บ ความคิดสรา้ งสรรค์ ผลงานสว่ นใหญไ่ มเ่ ปน็ แปลกใหมแ่ ละเป็น ครบถ้วนเปน็ ส่วนใหญ่ ครบถ้วนเป็นบาง ระเบยี บและมี 5.ผลงานเสรจ็ ระบบ ข้อบกพรอ่ ง เรยี บรอ้ ยตามเวลาที่ ผลงานมคี วามเป็น ประเด็น ส่งผลงานช้ากว่าเวลา กาหนด ระเบียบ แสดงออกถงึ ท่กี าหนด 5 วนั ความประณตี ผลงานมีแนวคดิ แปลก ผลงานมีความนา่ สนใจ ส่งผลงานตามเวลา ทกี่ าหนด ใหม่ แตย่ ังไมเ่ ป็น แตย่ ังไมม่ แี นวคดิ ระบบ แปลกใหม่ ผลงานสว่ นใหญ่มี ผลงานมคี วามเปน็ ความเปน็ ระเบยี บแต่มี ระเบยี บแตม่ ี ขอ้ บกพร่องบางสว่ น ข้อบกพรอ่ งบางสว่ น สง่ ผลงานชา้ กวา่ เวลา ส่งผลงานช้ากวา่ เวลา ท่กี าหนด 1-2 วัน ท่กี าหนด 3-5 วัน เกณฑ์การตัดสินคณุ ภาพ ระดับคุณภาพ คะแนน ดมี าก 17-20 ดี 13-16 9-12 ปานกลาง 5-8 ปรับปรุง เกณฑ์การผา่ นการประเมิน ระดบั ดี
ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 34 ชุดท่ี 2 นักวทิ ยาศาสตรน์ ้อย เกณฑ์การประเมนิ คาถามชวนคดิ ชวนทาและแบบทดสอบหลงั เรยี น ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวิทยาศาสตร์ ชุดท่ี 2 นกั วิทยาศาสตร์นอ้ ย คาถามชวนคิดชวนทา ชุดที่ 2 นักวทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย ถูกต้อง 1 คะแนน ไม่ถูกต้อง 0 คะแนน เกณฑก์ ารผ่านการประเมิน 12 คะแนนขน้ึ ไป (ร้อยละ 80) แบบทดสอบหลังเรยี น ชดุ ท่ี 2 นกั วิทยาศาสตร์น้อย ถูกต้อง 1 คะแนน ไม่ถูกต้อง 0 คะแนน เกณฑ์การผา่ นการประเมนิ 8 คะแนนขึน้ ไป (รอ้ ยละ 80)
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 35 ชุดที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตร์น้อย แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล คาชแี้ จง : ให้ ผสู้ อน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในชอ่ ง ท่ีตรงกบั ระดบั คะแนน เลขที่ ช่อื -สกลุ ความต้ังใจใน ความ การตรงตอ่ ความสะอาด ผลสาเร็จของ ของผู้รบั การประเมิน การทางาน รับผิดชอบ เวลา เรยี บร้อย งาน 321 321 321 321 321 ลงชอ่ื ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................
ชดุ กิจกรรมการเรียนร้โู ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 36 ชุดที่ 2 นกั วทิ ยาศาสตรน์ ้อย เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน แบบประเมนิ พฤติกรรมรายบคุ คล ประเดน็ ที่ประเมิน 3 คะแนน 1 ความต้งั ใจในการทางาน มคี วามตั้งใจในการทางานดี 2 ไม่มคี วามต้งั ใจในการทางาน ความรบั ผิดชอบ การตรงตอ่ เวลา ทางานตามที่ไดร้ ับมอบหมาย มคี วามตั้งใจในการทางาน ไม่มที างานตามทไี่ ดร้ ับ ครบถว้ น พอใช้ มอบหมาย ความสะอาดเรียบรอ้ ย ทางานเสร็จทนั เวลาท่ีกาหนด ทางานตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย ทางานไมเ่ สร็จตามเวลาที่ บางส่วน กาหนด ผลสาเร็จของงาน เขยี นตวั อักษร ตัวสะกดและ ทางานเสร็จชา้ กวา่ เวลาที่ เขียนตัวสะกดและไวยากรณ์ ไวยากรณถ์ ูกต้อง ชดั เจน อ่าน กาหนดไมเ่ กิน 10 นาที ไม่ถกู ต้องเปน็ ส่วนมาก มี ง่าย ไมม่ รี อ่ งรอยการแกไ้ ข เขยี นตวั อักษร ตวั สะกดและ ร่องรอยการแกไ้ ขมากกว่า 5 ไวยากรณถ์ กู ตอ้ งบางส่วน จุด ผลงานมคี วามถูกตอ้ งครบถว้ น ชัดเจน อ่านงา่ ย มรี อ่ งรอยการ ผลงานยงั ไมถ่ ูกตอ้ งและไม่ ตรงตามจุดประสงค์ แก้ไขไมเ่ กนิ 5 จุด ตรงตามจุดประสงค์ ผลงานมคี วามถูกตอ้ งเป็น ส่วนมาก ตรงตามจดุ ประสงค์ เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ 11 – 15 ดี 10 - 6 ตา่ กว่า 6 พอใช้ ปรับปรงุ เกณฑก์ ารผ่านการประเมิน ระดบั ดี
ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 2 37 ชุดท่ี 2 นกั วทิ ยาศาสตรน์ ้อย แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุม่ คาช้แี จง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขดี ลงในช่อง ทตี่ รงกบั ระดับคะแนน ลาดับที่ ชอ่ื -สกลุ ความร่วมมอื การแสดง ความคดิ การต้ังใจ การแก้ไข รวม ของผู้รบั การ กันทากิจกรรม ความคิดเหน็ สรา้ งสรรค์ ทางาน ปญั หา/หรอื 20 ปรบั ปรงุ คะแนน ประเมนิ 4321 4321 ผลงานกลุ่ม 43214321 4321 ลงชือ่ ...................................................ผู้ประเมนิ ............../.................../................
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 38 ชดุ ที่ 2 นกั วิทยาศาสตรน์ อ้ ย เกณฑ์การให้คะแนน แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ ประเด็นทป่ี ระเมิน คะแนน ความรว่ มมอื กนั ทา กิจกรรม 4 3 21 การแสดงความ ใหค้ วามร่วมมอื ในการ คดิ เห็น ทางานกล่มุ อยา่ งดีเยย่ี ม ใหค้ วามรว่ มมือในการ ใหค้ วามร่วมมอื ในการ ไมใ่ หค้ วามร่วมมอื ใน ร่วมแสดงความคิดเห็น ความคดิ สร้างสรรค์ และยอมรับฟงั ความ ทางานกล่มุ อย่างดี ทางานกลมุ่ พอใช้ การทางานกลุม่ คิดเหน็ กับผ้อู น่ื อย่างดี การตงั้ ใจทางาน มีความคดิ รเิ ร่ิม ยอมรับฟงั ความ ยอมรบั ฟังความ ไม่ยอมรบั ฟงั ความ สร้างสรรค์ที่แปลกใหม่ การแก้ไขปัญหา/ แตกตา่ งจาก คิดเหน็ กบั ผู้อื่นบางครง้ั คดิ เหน็ กับผู้อ่ืนน้อย คดิ เห็นกับผอู้ ืน่ หรอื ปรับปรงุ ผลงาน แนวความคิดเดิม และ กลุม่ เป็นประโยชน์ มีความคดิ ริเรมิ่ มคี วามคดิ รเิ ร่ิม ขาดความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ที่มี สรา้ งสรรค์ท่ี สรา้ งสรรค์ ไม่มกี าร มคี วามตง้ั ใจในการ พ้ืนฐานจาก เปลย่ี นแปลงจาก เปลย่ี นแปลงจาก ทางานอยา่ งดเี ย่ียม แนวความคดิ เดิม และ แนวความคิดเดมิ แต่ แนวความคดิ เดิม เปน็ ประโยชน์ ยงั ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ มกี ารวางแผนเพ่อื อยา่ งชดั เจน ไม่มีความตง้ั ใจในการ แก้ปญั หาและปรับปรงุ มคี วามต้ังใจในการ มีความตั้งใจในการ ทางานขาดความ ผลงานให้ดีขึ้น พรอ้ ม ทางานดี ทางานพอใช้ รับผิดชอบ ตรวจสอบการแกป้ ญั หา ไม่มกี ารวางแผนเพอ่ื มีการวางแผนเพือ่ มีการวางแผนเพอื่ แกป้ ัญหาและ แก้ปัญหา ปรบั ปรงุ แก้ปญั หา แต่ยงั ไม่ ปรับปรุงผลงาน ผลงานใหด้ ีขึ้น สามารถปรับปรงุ ผลงานให้ดีขึ้นได้ เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 18 - 20 ดมี าก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ตา่ กวา่ 10 ปรับปรงุ เกณฑ์การผ่านการประเมิน ระดบั ดี
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 39 ชุดท่ี 2 นักวิทยาศาสตรน์ อ้ ย แบบสังเกตพฤตกิ รรมนักเรยี น ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ เลข ชื่อ – สกลุ ซือ่ สัตย์ มวี นิ ัย ใฝเ่ รียนรู้ มงุ่ มนั่ ในการ ผลการ ท่ี ทางาน ประเมิน 3210321032103210 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21
ชดุ กิจกรรมการเรียนร้โู ครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 40 ชดุ ท่ี 2 นักวิทยาศาสตรน์ อ้ ย เกณฑก์ ารให้คะแนนการสังเกตพฤติกรรมนักเรียน ด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ประเด็นการสังเกต เกณฑ์การให้คะแนน 1. ซอื่ สัตย์ 3 2 10 2. มวี นิ ัย ให้ขอ้ มูลที่ถูกต้องและเปน็ ใหข้ ้อมลู ท่ถี ูกตอ้ งและเปน็ ให้ขอ้ มูลทถี่ กู ต้องและ ไมใ่ ห้ขอ้ มูลทถ่ี ูกต้อง 3. ใฝเ่ รียนรู้ จริง ไมน่ าส่งิ ของและ จริง ไม่นาสง่ิ ของและ เป็นจริง ไม่นาสง่ิ ของ และเป็นจริง 4. มุง่ มน่ั ในการทางาน ผลงานของผู้อ่นื มาเปน็ ผลงานของผู้อ่นื มาเปน็ และผลงานของผู้อ่ืนมา มีพฤติกรรมนา ของตนเอง ปฏบิ ัตติ นต่อ ของตนเอง ปฏิบตั ิตนต่อ เปน็ ของตนเอง สงิ่ ของและผลงาน ผอู้ ื่นดว้ ยความซอื่ ตรง เปน็ ผู้อ่ืนด้วยความซ่อื ตรง ของผู้อื่นมาเป็นของ แบบอย่างท่ีดีดา้ นความ ตนเอง ซอื่ สัตย์ ปฏิบัตติ นตามข้อตกลง ปฏิบตั ติ นตามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ิตนตามข้อตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ นตาม กฎเกณฑ์ ระเบยี บ กฎเกณฑ์ ระเบยี บ กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ข้อบังคบั ของโรงเรยี น ข้อบังคบั ของโรงเรยี น ขอ้ บังคบั ของโรงเรียน ระเบยี บ ข้อบงั คับ และ ไม่ละเมิดสิทธิของ ตรงตอ่ เวลาในการปฏิบตั ิ ตรงตอ่ เวลาในการ ของโรงเรียน ผู้อ่ืน ตรงต่อเวลาในการ กิจกรรมและรับผดิ ชอบใน ปฏิบตั ิกิจกรรม ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมและ การทางาน รับผิดชอบในการทางาน เขา้ เรียนตรงเวลา ต้ังใจ เข้าเรยี นตรงเวลา ตงั้ ใจ เขา้ เรยี นตรงเวลา ต้ังใจ ไม่ต้ังใจเรียน เรียน เอาใจใส่ในการเรยี น เรียน เอาใจใสใ่ นการเรยี น เรยี น เอาใจใสใ่ นการ ไมศ่ กึ ษาคน้ คว้าหา และมสี ่วนรว่ มในการ และมสี ่วนรว่ มในการ เรยี น และมสี ว่ นร่วมใน ความรู้ เรยี นรู้ และเขา้ รว่ ม เรยี นรู้ และเขา้ ร่วม การเรยี นรู้ และเข้ารว่ ม กจิ กรรมการเรยี นรตู้ า่ งๆ กจิ กรรมการเรียนรตู้ ่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ ทง้ั ภายในและภายนอก บ่อยครัง้ ตา่ งๆ เปน็ บางครง้ั โรงเรยี นเป็นประจา ตั้งใจและรบั ผิดชอบในการ ตั้งใจและรบั ผดิ ชอบใน ตงั้ ใจและรับผดิ ชอบใน ไม่ตัง้ ใจปฏบิ ตั ิ ปฏิบัตหิ นา้ ท่ที ี่ได้รบั การปฏิบตั หิ น้าทีท่ ไี่ ดร้ บั การปฏิบตั หิ นา้ ท่ีทไี่ ดร้ ับ หน้าทก่ี ารงาน มอบหมายใหส้ าเรจ็ มกี าร มอบหมายใหส้ าเรจ็ มกี าร มอบหมายใหส้ าเร็จ ปรับปรุงและพัฒนาการ ปรบั ปรุงและพัฒนาการ ทางานใหด้ ีขน้ึ ภายในเวลา ทางานใหด้ ีข้นึ ทก่ี าหนด เกณฑ์การประเมิน คะแนนรวมต้ังแต่ 10 – 12 คะแนน มคี ณุ ภาพระดบั 3 ดีมาก เกณฑก์ ารผ่าน คะแนนรวมต้ังแต่ 7 – 9 คะแนน มคี ุณภาพระดับ 2 ปานกลาง คะแนนรวมต้ังแต่ 4 – 6 คะแนน มคี ุณภาพระดบั 1 พอใช้ ระดบั ปานกลาง ข้นึ ไป
ชุดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 41 ชุดที่ 2 นักวทิ ยาศาสตร์นอ้ ย บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2545). คู่มือการจัดการเรียนร้กู ลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ องค์การรบั สง่ สินค้าและพสั ดุ. ชาตรี เกิดธรรม. (2547). เทคนิคการสอนแบบโครงงาน. กรงุ เทพฯ : สุวรี ิยาสาสน์ . .( 2547). แนวคดิ โครงงานวทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพฯ : เบ็นพบั ลิชชิง. ประดษิ ฐ์ เหล่าเนตร์. (2552). คดิ โครงงานวทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพฯ : เบ็นภาษาและศลิ ปะ. ภิญญดา อยสู่ าราญ. (2548). โครงงานวทิ ยาศาสตร์.กรงุ เทพฯ : เจริญร่งุ เรอื งการพิมพ์. สมพงษ์ จันทรโ์ พธิศ์ รี. (2537). โครงงานวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น. กรุงเทพฯ : เจ้าพระยา ระบบการพมิ พ์จากดั . สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2546). คมู่ ือวัดผล ประเมินผลวิทยาศาสตร.์ กรุงเทพฯ : องค์การค้าคุรสุ ภาลาดพร้าว. สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2557). คู่มือครรู ายวิชาเพม่ิ เติม วิทยาศาสตร์ สนกุ กบั โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาตอนต้น กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพร้าว. สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2557). หนงั สือเรยี นรายวิชา เพ่ิมเตมิ วทิ ยาศาสตร์ สนุกกับโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาตอนต้น กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว. .(2540). แบบฝึกกิจกรรมโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ว 017 โครงงานวิทยาศาสตรก์ บั คุณภาพ ชวี ิตระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ . กรงุ เทพฯ : คุรุสภาลาดพรา้ ว. .(2544). โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ว 062.กรงุ เทพฯ : ครุ ุสภาลาดพร้าว. สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทยจากัด. ภาพโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง, [ออนไลน]์ . เขา้ ถงึ ได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=ROk4YznBlu0&t=13s (7 กุมภาพันธ์ 2560)
ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2 42 ชดุ ท่ี 2 นักวทิ ยาศาสตร์น้อย บรรณานกุ รม ภาพโครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภทสารวจ, [ออนไลน]์ . เขา้ ถงึ ได้จาก https://www.facebook.com/ msr.science/ (7 กมุ ภาพันธ์ 2560) ภาพโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทสงิ่ ประดิษฐ์, [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://www.youtube.com/watch?v=fMmx4dNyVVE (7 กุมภาพนั ธ์ 2560) ภาพโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทส่งิ ประดิษฐ์, [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงไดจ้ าก https://www.youtube.com/watch?v=mECv6R4CwQs (7 กุมภาพนั ธ์ 2560) ภาพโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎี, [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก https://www.slideshare.net/ PrachoomRangkasikorn/54sc-p05-f374page (7 กุมภาพันธ์ 2560)
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นร้โู ครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 43 ชุดที่ 2 นักวิทยาศาสตร์น้อย
Search
Read the Text Version
- 1 - 50
Pages: