เอกสารประกอบการสอน วิชาพฤติกรรมมนษุ ย์กบั การพัฒนาตน (Human Behavior and Self Development) ผูช้ ่วยศาตราจารย์ ดร.ภาวิดา มหาวงศ์
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษย์กับการพฒั นาตน บทท่ี 1 ความรเู้ บือ้ งต้นและปจั จยั พ้นื ฐานเกี่ยวกับพฤตกิ รรมมนุษย์ ในการศกึ ษาเรื่องพฤตกิ รรมมนุษยจ์ าเปน็ ต้องทาความเข้าใจความรู้พ้ืนฐานเบื้องต้นเกี่ยวกับพฤติกรรม มนุษย์ ซึ่งจะพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์หลายด้าน โดยเฉพาะศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาที่เป็นส่วนหน่ึง ของการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์เพ่ือทาความเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง ผู้อ่ืนและสิ่งแวดล้อม รวมถึง ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับพฤติกรรมมนุษย์ ในเชิงความหมาย ความสัมพันธ์ของพฤติกรรมทั้งภายนอกและ ภายใน จุดมุ่งหมายของพฤติกรรม ความสาคัญของพฤติกรรม การศึกษาพฤติกรรม วิธีการศึกษาพฤติกรรม และลักษณะพฤติกรรมของมนุษย์ ตลอดจนปัจจัยพ้ืนฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ท้ัง 4 ปัจจัยสาคัญ ได้แก่ ปัจจัยทางด้านชีววิทยา ปัจจัยทางด้านสังคมวิทยา ปัจจัยทางด้านจริยธรรมจรรยา และปัจจัยทางด้าน จิตวิทยา ที่ส่งผลถึงพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ ซึ่งจะนาไปสู่กระบวนการในการพัฒนาตนเอง แก้ไข พัฒนา และปรบั ปรุงตนเองเพอ่ื การเปน็ ส่วนหน่งึ ของสงั คมและดาเนินชวี ิตได้อยา่ งมคี วามสุข ในบทน้ีได้กล่าวถึงการศึกษาจิตวิทยา ความหมายของจิตวิทยา ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับพฤติกรรม มนษุ ย์ ความหมายของพฤตกิ รรม ความสมั พันธ์ของพฤติกรรมภายในกับพฤติกรรมภายนอก จุดมุ่งหมายของ การศึกษาพฤติกรรม ความสาคัญของการศึกษาพฤติกรรม การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ วิธีการศึกษา พฤติกรรมมนุษย์ ลกั ษณะพฤตกิ รรมมนุษย์ และปัจจยั พ้ืนฐานเกี่ยวกับพฤตกิ รรมมนษุ ย์ ศาสตรท์ างจติ วทิ ยาว่าดว้ ยการศกึ ษาพฤตกิ รรมมนุษย์ คาว่า “ จิตวทิ ยา ” ตรงกบั คาในภาษาองั กฤษวา่ Psychology ซง่ึ มีรากศพั ท์เดมิ มาจากภาษากรีก 2 คา ได้แก่ Psyche กับ Logos คาว่า Psyche หมายถึง วิญญาณ (soul) กับคาว่า Logos หมายถึง การ การศึกษา (study) เม่ือนาคาท้ังสองคามารวมกันจึงได้เป็นคาศัพท์ว่า Psychology มีความหมายถึงวิชาท่ี ศึกษาเกย่ี วกบั วญิ ญาณ อย่างไรก็ตามน่ันเป็นเพียงการให้ความหมายของยุคสมัยกรีกโบราณซ่ึงเป็นยุคเร่ิมต้นของการศึกษา ทางจิตวิทยาและปรัชญาต่างๆ เมื่อยุคสมัยเปล่ียนแปลง ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยามีการพัฒนาเพ่ิมมากขึ้น นักจิตวิทยายุคใหม่ซึ่งนับต้ังแต่ภายหลังปลายศตวรรษท่ี 19 เป็นต้นมา การศึกษาทางด้านจิตวิทยาเริ่มเป็น วทิ ยาศาสตรม์ ากขึ้น สามารถพิสูจน์ได้ และเป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงยุคปัจจุบันท่ีเร่ิมมุ่งเน้นไป ในการศกึ ษาพฤตกิ รรมของมนษุ ยม์ ากขึ้น ความหมายของจิตวทิ ยา กู๊ด ( Good : 1959 ) ให้ความหมายว่า จิตวิทยาเป็นวิชาท่ีศึกษาเก่ียวกับการปรับตัวของอินทรีย์ หรือสง่ิ มชี วี ติ ใหเ้ ขา้ กบั ส่งิ แวดลอ้ ม ฮิลการ์ด (Hilgard : 1959 ) ให้ความหมายว่า จิตวิทยา หมายถึงศาสตร์ท่ีศึกษาถึงพฤติกรรมของ มนษุ ยแ์ ละสตั ว์ นอร์มอล แอล มัลล์ (Normal L.Munn : 1969 ) ให้ความหมายว่า จิตวิทยา เป็นวิทยาศาสตร์ที่ ศึกษาถึงพฤติกรรม (Psychology is the science of behavior) พฤติกรรมในท่ีน้ี หมายถึงกิจกรรมหรือการ กระทาตา่ งๆ ของส่งิ มีชีวติ ซึ่งอาจจะรู้ไดโ้ ดยการสงั เกต หรอื โดยการใช้เครอ่ื งมือชว่ ย
GEPS 123 พฤติกรรมมนษุ ยก์ บั การพัฒนาตน คราวน์ และ คราวน์ (Crow and Crow , สุชา จันทนเ์ อม : 2542) ให้ความหมายวา่ จิตวทิ ยา เปน็ วิชาทวี่ ่าดว้ ยการศกึ ษาพฤตกิ รรมของมนุษย์ (Human Behavior) และความสัมพันธร์ ะหว่างมนษุ ย์ นอกจากนย้ี ังอธิบายเพ่มิ เติมไว้อกี ว่า จิตวิทยาเปน็ วชิ าทว่ี ่าดว้ ยการค้นควา้ ถึงพฤตกิ รรมที่บคุ คลและกลุ่มใน ระดบั อายุตา่ งๆ กนั มปี ฏิกิรยิ าตอบสนองต่อสง่ิ แวดล้อมอยา่ งไร เพราะเท่าทีค่ น้ พบปรากฎวา่ คนเราจะมี ปฏกิ ิรยิ าตอบสนองคลา้ ยกนั ถา้ สถานการณ์มากระทาคล้ายกนั วัตสนั (Watson,สชุ า จันทน์เอม : 2542) ให้ความหมายว่าจติ วทิ ยา เป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษา เก่ยี วกับพฤตกิ รรม (Science of Behavior) ซึง่ หมายถึงพฤตกิ รรมของบุคคลและสตั ว์ เตมิ ศกั ดิ์ คทวณิช (2546:12) ใหค้ วามหมายว่า จิตวิทยาเปน็ วชิ าทีม่ งุ่ ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และ สัตว์ โดยระเบียบวธิ กี ารศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ดงั นนั้ เราอาจสรุปได้ว่า จติ วทิ ยาคือวทิ ยาศาสตรท์ ศ่ี ึกษาเกีย่ วกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ย์และสตั ว์ โดย อาศยั การสังเกตหรือการใช้เคร่ืองมือชว่ ยในการศึกษาพฤติกรรม จติ วิทยาเป็นศาสตร์ทางพฤติกรรม คาวา่ ศาสตรแ์ บ่งไดเ้ ป็น 1 . ศาสตร์บริสุทธ์ิ (pure science) หมายถึงการศึกษาค้นคว้าหาความจริงต่างๆ ในโลกโดยมุ่งศึกษา เรื่องราวตามธรรมชาติที่เป็นอยู่ ผลการศึกษาของศาสตร์บริสุทธ์ิน้ีปรากฎในรูปของกฎเกณฑ์ หรือหลักการที่ ตายตัวไม่มีอะไรเปล่ียนแปลงมากนัก และวิธีการใช้ในการศึกษามักจะแน่นอนและรัดกุม ถ้าเปรียบเทียบกับ ศาสตรแ์ ขนงอืน่ ๆ 2. พฤติกรรมศาสตร์ (behavioral sciecnce) ในความหมายของคาว่า “พฤติกรรมศาสตร์ ” นั้นเป็น การศึกษาพฤติกรรมมมนุษย์โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ว่ามนุษย์นั้นมีพฤติกรรมอะไรบ้าง และทาไมจึงมี พฤติกรรมเช่นน้ัน เป็นการศึกษาเพอ่ื ตอ้ งการทราบวา่ ทาไมคนเราจึงมีการกระทาบางอย่างที่คล้ายๆ กันและไม่ เหมือนกนั นอกจากนี้ยังพยายามคาดการณห์ รือทานายถึงความต้องการมนุษย์และพฤติกรรมที่อาจเกิดขึ้นโดย มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดประโยนช์สูงสุดต่อบุคคลและสังคมโดยส่วนรวม ในการศึกษาศาสตร์แห่งพฤติกรรมนี้ ต้องอาศัยศาสตร์ด้านต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องมาศึกษาให้เห็นชัด ได้แก่ ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยา ศึกษาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ ทั้งนี้ข้นึ อยู่กบั ปญั หาหรือพฤติกรรมทเ่ี ราต้องศกึ ษานั้น จิตวิทยาเป็นศาสตร์หน่ึงของการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งเหมาะสมในการนาหลักการและ ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยามาประยุกต์เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการทาความเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง ผู้อ่ืนและ ส่งิ แวดล้อม ซ่ึงจะนาไปสู่กระบวนการในการพัฒนาตนเอง แก้ไข พัฒนา และปรับปรุงตนเองเพ่ือการเป็นส่วน หนง่ึ ของสังคมและดาเนนิ ชวี ิตได้อยา่ งมีความสุข ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ียวกับพฤติกรรมมนษุ ย์ ความหมายของพฤตกิ รรม พฤติกรรม (Behaviors) หมายถงึ การกระทาต่างๆ ของมนุษยท์ ้งั ทางด้านจติ ใจซึ่งไม่สามารถสังเกต ได้ และด้านการแสดงออกซงึ่ สามารถสังเกตได้ ซง่ึ การกระทาทัง้ สองชนดิ เกดิ จากการควบคมุ หรือสงั่ การของ ระบบประสาทส่วนกลางคือ สมองและไขสนั หลัง (ฤกษช์ ยั คุณูปการ : 2545) พฤตกิ รรมมนษุ ย์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังน้ี
GEPS 123 พฤติกรรมมนษุ ย์กับการพัฒนาตน 1. พฤตกิ รรมภายนอกหรือการแสดงออกของมนุษย์ (Overt Behaviors) หมายถงึ การกระทา หรอื การแสดงออกดา้ นกิริยาทา่ ทางตา่ งๆ ของมนุษย์ เชน่ การเดนิ การพูด การเล่น การแสดงสหี นา้ และ กจิ กรรมอืน่ ๆ ซ่งึ บุคคลสามารถใช้เปน็ สอื่ หรอื สญั ญาณในการส่ือสารให้ผู้อ่นื รบั รูแ้ ละเข้าใจได้ ซึง่ แบ่งออกเป็น 2 ชนดิ คอื 1.1 พฤติกรรมภายนอกที่ผู้อื่นสามารถสังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัสโดยตรง เรียกว่า พฤติกรรมโมลาร์ (Molar Behavior) เชน่ การเดนิ การนั่ง การพูด เป็นต้น 1.2 พฤตกิ รรมภายนอกที่ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัสโดยตรง แต่สามารถสังเกต ได้ด้วยเคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า พฤติกรรมโมเลกุล (Molecular Behavior) เช่น การเต้นของ หวั ใจ การยอ่ ยอาหารของกระเพาะ การตรวจคลื่นสมอง การตรวจหาปรมิ าณนา้ ตาลในเลือด เปน็ ต้น ทัง้ พฤตกิ รรมโมลารแ์ ละพฤติกรรมโมเลกลุ มีลักษณะเป็นรูปธรรม สามารถวัดหรือนับจานวน เพือ่ ใช้ เปน็ ข้อมลู ในการอธิบาย หรือทานายพฤตกิ รรมภายในของบคุ คลได้ เช่น การใช้เครอื่ งมือทางการแพทยว์ ดั การ เคลือ่ นไหวของรา่ งกาย การไหลเวียนของโลหติ การเต้นของหวั ใจ ปรมิ าณนา้ ตาลในเลือด และการทางานของ คลื่นสมอง กระเพาะอาหารและลาไสท้ ีผ่ ดิ ปกติ ข้อมลู ที่ได้จากการวดั ดว้ ยเครื่องมือแพทยด์ งั กล่าว จะช่วยให้ แพทย์อธิบายสภาพจติ ใจท่เี ปลย่ี นไปของผู้ปว่ ยได้ถูกตอ้ งมากย่งิ ขน้ึ เปน็ ตน้ ตวั อย่าง พฤตกิ รรมภายนอกซ่ึงเกิดจากการควบคุมและสงั่ การของสมองและอวัยวะภายใน เชน่ 1. ไขสนั หลงั ส่งั การให้บคุ คลกระตกุ มือหรือการกระพรบิ ตาอย่างรวดเรว็ เพอ่ื ป้องกนั อันตราย ทจ่ี ะเกิดขนึ้ กับตน โดยเรียกพฤตกิ รรมนวี้ ่า ปฏกิ ิริยาสะทอ้ น 2. สมองส่วนทเ่ี รยี กวา่ เมดลุ ลา (Medulla) ทาหน้าท่ีควบคุมการเตน้ ของหวั ใจ และการ ไหลเวียนของโลหิต 3. สมองส่วนทเี่ รียกวา่ เซเรเบลลัม (Cerebellum) ทาหน้าท่คี วบคมุ ความตึงตัวของ กลา้ มเนอื้ และการเคลื่อนไหวของร่ายกาย 4. สมองสว่ นทเ่ี รยี ก เรตติคคูล่า ฟอร์เมช่ัน (Reticular Formation) ทาหน้าที่ควบคุมการ หลบั และการตน่ื ของมนุษย์ เป็นตน้ (เมธาวี อดุ มธรรมานุภาพ : 2544 ) 2. พฤติกรรมภายในหรือจติ ใจของมนษุ ย์ (Invert Behaviors) หมายถงึ ความคดิ ความรสู้ กึ จินตนาการ และคาศัพท์อน่ื ๆ ทางดา้ นจิตวิทยา เชน่ การรบั รู้ เจตคติ อารมณ์ ความจา หรือประสบการณ์ เป็น ต้น พฤติกรรมภายในมีลกั ษณะเป็นนามธรรม ซง่ึ ไมส่ ามารถสังเกตได้ดว้ ยตาเปลา่ หรือเคร่ืองมือทาง วทิ ยาศาสตร์ ตวั อย่าง พฤติกรรมภายในซึ่งเกิดจากการสงั่ การของสมอง เช่น 1. สมองส่วนที่เรยี กวา่ คอร์เทก (Cortex) จะทาหน้าท่คี วบคุมการเรียนรู้ การใหเ้ หตุผล และ การมีวจิ ารณญาณ (เมธาวี อุดมธรรมานภุ าพ : 2544 ) 2. สมองส่วนท่เี รยี กวา่ ระบบลิมปิค (Limbic System) ประกอบด้วย ต่อมไฮโปทา-ลามัส (Hypothalamus) ฮปิ โปแคมปสั (Hippocampus) และอมิกดาลา (Amygdala) จะทาหน้าทค่ี วบคุม
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษยก์ ับการพัฒนาตน พฤติกรรมทางด้านจิตวิทยา เช่น แรงจงู ใจ อารมณ์ ความจา และความต้องการทางเพศ เป็นตน้ (พสิ มยั วบิ ูลยส์ วัสดิ์ : 2527 ) ความสมั พนั ธ์ของพฤติกรรมภายในกบั พฤติกรรมภายนอก นักจิตวิทยาศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์โดยมีความเชื่อว่า พฤติกรรมภายในเป็นตัวกาหนดพฤติกรรม ภายนอก กล่าวคือ เมื่อบุคคลมีความรู้สึกนึกคิดต่อสิ่งเร้าใดในทางบวก ก็จะแสดงออกหรือแสดงกิริยาท่าทาง โต้ตอบต่อส่ิงเร้านั้นในทางบวก ในทานองเดียวกัน เม่ือบุคคลมีความรู้สึก นึกคิดต่อส่ิงเร้าใดในทางลบ ก็จะ แสดงกิริยาทา่ ทางโต้ตอบต่อสง่ิ เรา้ น้ันในทางลบดว้ ยเชน่ กนั เช่น คนทค่ี ดิ ดจี ะมีการประพฤติปฏิบัติในทางท่ีดี คนที่คิดช่ัว จะมีการประพฤติปฏิบัติในทางช่ัว หรือคนท่ีสบายใจมักจะยิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนคนท่ีทุกข์ใจมักจะ เฉ่อื ยชาหรอื ซมึ เศรา้ เปน็ ตน้ อย่างไรก็ตาม การที่บุคคลแสดงออกเกี่ยวกับพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งหลายๆ คร้ัง หรือถูกกดดัน ห้อมล้อมด้วยพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งหลายๆ ครั้ง การกระทาดังกล่าวสามารถส่งผลกระทบให้ผู้นั้นมี ความรู้สึกทางบวกหรือทางลบต่อพฤติกรรมดังกล่าวได้ เช่น ความใกล้ชิด สนิทสนมของหนุ่มสาว มีผลให้ ทั้งสองฝ่ายมีความรู้สึกทางบวกต่อกัน (พอใจกันและกัน) และเปล่ียนความสัมพันธ์จากการเป็นเพื่อนไปเป็น ครู่ กั ได้ หรอื การประสบความสาเร็จอยา่ งตอ่ เน่ือง ทาใหบ้ ุคคลเกิดความเช่ือมั่นในตนเอง (ความรู้สึกทางบวก) ในทางตรงกันข้าม การประสบความผิดหวังอย่างต่อเนื่อง ทาให้บุคคลขาดความเชื่อม่ันในตนเอง (ความรู้สึก ทางลบ) ไดเ้ ชน่ กันเปน็ ตน้ (ฤกษ์ชยั คณุ ูปการ : 2545) ความสัมพันธม์ ี 3 ลักษณะ ดงั นี้ 1. พฤติกรรมภายในเป็นตัวกาหนดพฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมปกติของมนุษย์มักจะเกิด จากการที่บุคคลมีความรู้สึก ความคิดหรือความต้องการขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงแสดงออกเป็นพฤติกรรม ภายนอก โดยมีเป้าหมายเพ่ือตอบสนองความรู้สึกนึกคิดหรือความต้องการดังกล่าว ดังคาสอนใน พระพทุ ธศาสนาที่วา่ บุคคลมจี ิตเป็นนายและมีกายเป็นบ่าว เช่น ความหิวทาให้บุคคลหาอาหารมารับประทาน หรือบุคคลไม่ต้องการเส่ือมเสียชื่อเสียง จึงประพฤติปฏิบัติตนตามกติกาสังคม นอกจากนั้นพฤติกรรมภายใน กาหนดพฤติกรรมภายนอก ยงั สอดคล้องกบั คา่ นิยมของสงั คมไทย คือ คนท่คี ดิ และไตรต่ รองอย่างรอบคอบแล้ว จึงลงมือทา จะได้รับการยกย่องว่า เป็นคนท่ีมีเหตุผลหรือคนที่มีจิตสานึกดี ส่วนคนที่ลงมือกระทาก่อนแล้วจึง คิดหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทาของตนว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง จะถูกสังคมประทับตราว่า เป็นคนไม่น่า ไวว้ างใจ ไม่ซ่ือสัตยห์ รือขาดจติ สานกึ ที่ดี เป็นต้น แนวความคิดว่า พฤติกรรมภายในกาหนดพฤติกรรมภายนอก มักจะเป็นพ้ืนฐานความคิดของ นักพัฒนาที่มุ่งเน้นแก้ปัญหาสังคม โดยมีความเช่ือว่า การพัฒนาความคิดและจิตสานึกของบุคคลให้สูงข้ึน (พัฒนาคนให้เป็นคนดี) จะส่งผลให้สังคมได้รับการแก้ไขและพัฒนาไปในทางบวก และสมาชิกของสังคมมีชีวิต ความเป็นอย่ทู ี่สงบสุข สามารถแสดงเปน็ แผนภมู ไิ ดด้ งั นี้ แผนภูมิ แสดงพฤติกรรมภายในเป็นสาเหตุของพฤตกิ รรมภายนอก พฤติกรรมภายใน พฤตกิ รรมภายนอก ความรู้สึก ความคดิ ทางบวก การประพฤตปิ ฏิบตั ิทางบวก ความรสู้ ึก ความคิดทางลบ การประพฤตปิ ฏบิ ัติทางลบ
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษยก์ บั การพัฒนาตน 2. พฤติกรรมภายนอกเป็นตัวกาหนดพฤติกรรมภายใน มักจะเป็นพฤติกรรมท่ีไม่ปกติ เช่น หลังจากบุคคลประสบอุบัติเหตุแล้ว จึงเกิดความกลัวและคิดหาวิธีป้องกันอุบัติเหตุดังกล่าว หรือ หลังจาก บคุ คลกระทาความผิดแลว้ จงึ สานกึ ไดว้ ่าไมค่ วรกระทา ตลอดจนเมือ่ บคุ คลกระทาหรือถูกกดดันให้กระทาสิ่งใด ส่ิงหนึ่งอย่างต่อเน่ือง ก็จะทาให้เขาเกิดความเคยชินและเปล่ียนความรู้สึกนึกคิดจากไม่ยอมรับไปเป็นยอมรับ และเตม็ ใจปฏิบัติพฤติกรรมทถ่ี กู กดดนั นนั้ เช่น เมอื่ บคุ คลบรหิ ารร่างกายอย่างตอ่ เนอ่ื ง ก็จะทาให้เกิดความ เคยชินและมีจิตศรัทธาท่ีจะบริหารร่างกายต่อไปจนติดเป็นนิสัย ในทานองเช่นเดียวกับในสมัยก่อนท่ีสังคมจะ ยกย่องคนทม่ี ีความประพฤตดิ แี ละมีจติ ใจโอบอ้อมอารี ซ่ึงมีผลกดดันให้บุคคลในสมัยน้ันมุ่งมั่นประพฤติตนเป็น คนดี เพ่ือให้เขาได้รับการยอมรับหรือการยกย่องจากสังคม เรียกว่า สภาพสังคมกดดันให้บุคคลมีความคิด ในทางท่ีดีและประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี ในทางตรงข้าม ในสังคมปัจจุบัน สังคมเปล่ียนไปยกย่องคนร่ารวย และมีตาแหน่งทางสังคมสูงมากกว่าคนดีมีคุณธรรม จึงมีผลกดดันให้บุคคลในยุคปัจจุบันกระทาสิ่งต่างๆ เพื่อ แสวงหาความร่ารวยและตาแหน่งสูงทางสังคมท่ีสูงขึ้น เรียกว่า สภาพสังคมกดดันให้บุคคลมีค่านิยมด้านวัตถุ มากกวา่ ด้านจิตใจ เปน็ ตน้ แนวความคิดว่า พฤติกรรมภายนอกเป็นตัวกาหนดพฤติกรรมภายใน มักจะเป็นความคิดพ้ืนฐานของ นักจิตวิทยาสังคม นักบริหารจัดการ และนักพัฒนาท่ีมุ่งแก้ปัญหาสังคม โดยมีความเช่ือว่าการเปล่ียนแปลง ระบบหรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์ของสมาชิกกลุ่ม องค์กรและสังคมให้เอื้อประโยชน์ต่อ เป้าหมายของกลุ่มองค์กรและสังคม จะเป็นเงื่อนไขนาท่ีมีผลกดดันให้บุคคลพัฒนาความคิด จิตสานึก อดุ มการณ์และพฤติกรรมให้สอดคล้องกับโครงสร้างหรือระบบท่ีเปลี่ยนแปลงไป สามารถกาหนดเป็นแผนภูมิ ได้ดงั นี้ แผนภูมิ แสดงพฤติกรรมภายนอกเปน็ สาเหตุของพฤตกิ รรมภายใน พฤติกรรมเงื่อนไขนา (บวก) พฤตกิ รรมภายใน (บวก) พฤติกรรมที่พึงประสงค์ กระบวนการทางสังคม ความคิดช่วยเหลือตนเอง ขยนั และแกป้ ัญหาด้วยตนเอง สถานการณเ์ ง่อื นไขนา ความคิดช่วยเหลอื สังคม ประพฤตติ นเป็นแบบอยา่ งทดี่ ี 3. พฤตกิ รรมของมนษุ ยเ์ ป็นกระบวนการตอ่ เนื่อง การแสดงพฤติกรรมชนิดใดชนดิ หนงึ่ ของมนุษย์ มักจะเกิดจากการสลับกันอย่างต่อเนื่องของ พฤติกรรมภายในกาหนดพฤติกรรมภายนอก และพฤติกรรมภายนอกกาหนดพฤติกรรมภายใน เชน่ พฤติกรรม ไปเยี่ยมเพอ่ื นอยา่ งสม่าเสมอ เป็นกระบวนการต่อเน่ืองระหว่างพฤติกรรมภายในและพฤตกิ รรมภายนอก สลับกนั หลายขน้ั ตอน ดังน้ี 1.1 ฝ่ายใดฝา่ ยหนง่ึ คดิ ถึงเพื่อนจึงเดินทางไปเยย่ี มเยียน (พฤตกิ รรมภายในกาหนดพฤติกรรม ภายนอก) 1.2 ท้ังสองฝ่ายพดู คยุ กนั อยา่ งสนิทสนมทาให้คิดถงึ กนั มากขึน้ (พฤติกรรมภายนอกกาหนด พฤติกรรมภายใน)
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ย์กบั การพฒั นาตน 1.3 ยิ่งคดิ ถงึ มากกย็ ิ่งไปเยี่ยมเยียนเพ่ือนบ่อยมากข้นึ (พฤติกรรมภายในกาหนดพฤติกรรม ภายนอก) จากตวั อย่างแสดงว่า เราสามารถวิเคราะห์และจาแนกพฤติกรรมไปเยีย่ มเพ่ือนออกเป็น 3 ขนั้ ตอนทม่ี ี ความต่อเนื่องกัน หรือเรยี กว่า การศึกษาพฤตกิ รรมแบบแยกส่วน ซึ่งในแตล่ ะขนั้ ตอน สามารถวเิ คราะหเ์ หตุ และผลได้ ดงั นี้ ขนั้ ท่ี 1 ความคดิ ถงึ เปน็ สาเหตุใหเ้ ดนิ ทางไปเย่ียมเพ่ือน ขั้นท่ี 2 การพูดคุยอยา่ งสนิทสนม หรอื ความสนิทสนมเป็นเหตุให้เกิดความผูกพัน (คิดถึงกนั มากขนึ้ ) ขั้นท่ี 3 ความผูกพนั เป็นเหตุใหเ้ กดิ การเย่ยี มเยยี นอยา่ งสมา่ เสมอ จากการวเิ คราะห์เหตุผลในแต่ละขั้นตอน (พฤติกรรมท่ีซับซอ้ น) สรปุ ไดว้ ่า พฤติกรรมไปเย่ียมเพ่ือน อยา่ งสม่าเสมอในครง้ั น้ี มีสาเหตทุ ส่ี าคญั 3 ประการ 1) ความคดิ ถงึ 2) ความสนิทสนม และ 3) ความผูกพนั เม่อื เราทราบสาเหตุของพฤติกรรมแล้ว เราก็สามารถควบคมุ ไมใ่ หเ้ กดิ พฤติกรรมดังกล่าวได้ เช่น ไม่ต้องการให้ มกี ารเยย่ี มเยียนกันต่อไป เรากต็ อ้ งทาให้ความคิดถึง ความสนทิ สนม และความผูกพนั ของท้งั สองฝา่ ยลด นอ้ ยลงหรอื หมดไป ในทานองเดียวกนั เรากส็ ามารถเสรมิ สรา้ งให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้ เชน่ ถ้า ตอ้ งการใหม้ ีการเยยี่ มเยยี นกันและกัน เรากต็ ้องทาให้ทั้งสองฝ่ายคิดถึงกัน มีความสนิทสนมและความผูกพันซ่ึง กนั และกัน เปน็ ต้น จุดมุ่งหมายของการศกึ ษาพฤติกรรม การศึกษาพฤติกรรมมนุษยม์ ีจุดมงุ่ หมายท่ีสาคญั 3 ประการ ดงั น้ี (ฤกษ์ชยั คุณูปการ : 2545) 1. การอธิบาย (Explain) หมายถงึ การนาข้อมูลเชิงประจักษ์ของพฤติกรรมท่ีศกึ ษามาจดั ระบบ และอธบิ ายตามแนวคิดหรือทฤษฎีของพฤตกิ รรมมนุษย์เพ่ือใหท้ ราบสาเหตขุ องพฤติกรรม ดงั นัน้ ข้อมลู เชิง ประจักษ์ท่ีไดจ้ ากเครื่องมอื วัดทม่ี ีความเทีย่ งตรง จะช่วยให้การอธิบายสาเหตุของพฤติกรรมมีความชัดเจนและ สามารถใชเ้ ป็นพื้นฐานการทานายพฤติกรรมได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 2. การทานาย (Predict) หมายถึง การนาสาเหตุของพฤตกิ รรมท่ีไดจ้ ากขัน้ การอธิบายไป วเิ คราะหแ์ ละจัดลาดับความสาคัญของสาเหตทุ ่ีมอี ิทธิพลโดยตรงตอ่ การแสดงพฤติกรรม จากนั้นจึงนาสาเหตทุ ่ี คดิ วา่ มีอิทธิพลโดยตรงในระดับตน้ ๆ มากาหนดเป็นตัวแปรเชิงสาเหตุ และตวั แปรเชงิ ผลในรูปของสมมตฐิ าน และรวบรวมขอ้ มูลทีเ่ ชือ่ ถือได้มาพิสูจน์ให้ได้ว่า เปน็ สาเหตแุ ละผลจริงตามคาทานายในสมมตฐิ านหรอื ไม่ 3. การควบคุม (Control) หมายถึง การนาตัวแปรสาเหตุและตัวแปรผล ท่ีผ่านการพิสูจน์แล้ว ว่าเป็นสาเหตุและผลของพฤติกรรมมาจัดกระทาหรือกาหนดสถานการณ์ เพ่ือจูงใจ กดดัน หรือควบคุมให้ บุคคลแสดงพฤติกรรมทพ่ี งึ ประสงค์ หรอื เพอ่ื ยับย้งั ไม่ใหบ้ คุ คลแสดงพฤติกรรมทไ่ี มพ่ ึงประสงค์ไดต้ ามเป้าหมาย จากจุดมุ่งหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการศึกษาพฤติกรรมจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิงทั้งแก่ตนเองและ สังคม เพราะจะช่วยให้รู้และบอกได้ถึงสาเหตุที่มาของพฤติกรรม แล้วนาความรู้นั้นมาวิเคราะห์ให้เกิดความ เข้าใจตนเอง เข้าใจผูอ้ ่นื ช่วยทานายแนวโนม้ ของพฤติกรรม และได้แนวทางในการเสริมสร้างพัฒนาพฤติกรรม เพอ่ื ดารงชีวิตอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และดาเนินชีวติ อย่รู ่วมกบั สงั คมได้อยา่ งมีความสุข
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษยก์ ับการพัฒนาตน ความสาคญั ของการศกึ ษาพฤตกิ รรม ความสาคัญของการศึกษาพฤตกิ รรมท่ีสาคัญมีดังนี้ (ปราณี รามสูตและจารสั ดว้ งสุวรรณ : 2545 ) 1. ความรูเ้ กย่ี วกบั พฤติกรรมชว่ ยใหผ้ ศู้ ึกษาเกิดความเขา้ ใจตนเอง คือ จากการศึกษาธรรมชาติ พฤติกรรมของมนุษยใ์ นแงม่ ุมต่างๆ จะชว่ ยให้ผูศ้ ึกษาเกดิ ความเข้าใจตนเองไปด้วย จากความเข้าใจตนเองจะ นาไปสูก่ ารยอมรับตนเอง และได้แนวทางปรบั ปรุงตน พฒั นาตน เลือกเสน้ ทางชีวิตทีเ่ หมาะสมแก่ตน 2. ความรู้เก่ยี วกบั พฤติกรรมช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเขา้ ใจผอู้ ่ืน คือ ความร้ดู า้ นพฤติกรรมอัน เปน็ ข้อสรุปจากคนส่วนใหญ่ ชว่ ยเป็นแนวทางเขา้ ใจบคุ คลใกลต้ วั และรอบขา้ ง ช่วยให้ยอมรบั ข้อดขี ้อเสยี ของ กันและกัน ช่วยให้เกดิ ความเขา้ ใจ ยอมรับ มีสัมพันธภาพที่ดี และช่วยการจดั วางตัวบุคคลได้เหมาะสมขึน้ 3. ความรู้เกย่ี วกบั พฤติกรรมช่วยบรรเทาปัญหาสังคม คือ เรือ่ งปญั หาสงั คมอันมปี จั จยั หลาย ประการนน้ั ปจั จัยของปัญหาสังคมทีส่ าคัญสว่ นมาก ส่วนหนึง่ มาจากปัญหาพฤตกิ รรมของบคุ คลในสงั คม เชน่ ปัญหาสุขภาพจติ ปัญหาการเบย่ี งเบนทางเพศ ปญั หาพฤตกิ รรมก้าวรา้ ว ลกั ขโมย ความเช่ือท่ีผดิ การ ลอกเลียนแบบพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสม ฯลฯ ซ่ึงความรเู้ ก่ยี วกบั พฤตกิ รรมจะชว่ ยให้ได้แนวทางในการ ปรับเปลยี่ นพฤติกรรม การจัดสภาพแวดลอ้ ม ส่งเสริมการปรับตัวของบุคคล เปน็ ตน้ 4. ความรูเ้ กยี่ วกบั พฤติกรรมชว่ ยเสรมิ สร้างพฒั นาคุณภาพชวี ติ คือ จากความเข้าใจในอทิ ธพิ ล ของพนั ธกุ รรมและส่ิงแวดล้อมต่อพฤติกรรม ชว่ ยใหผ้ ้ศู ึกษารจู้ ักเลอื กรับปรับเปลี่ยนส่ิงแวดล้อมอย่างเหมาะสม เพ่ือพัฒนาตนท้ังทางกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา ช่วยให้เข้ามใจธรรมชาตภิ ายในตน เขา้ ใจความแตกต่าง ระหว่างบคุ คล ซง่ึ เปน็ แนวทางส่กู ารเสริมสรา้ งพัฒนาตนและบุคคคลอ่ืนๆได้อย่างเหมาะสมเฉพาะรายต่อไป จากความสาคัญของการศึกษาพฤติกรรมดังกลา่ ว จะเห็นได้วา่ ความรเู้ ก่ยี วกับพฤติกรรมจะชว่ ย ทาให้บคุ คลเกิดความเข้าใจท้งั ตนเอง สังคม และสงิ่ แวดลอ้ ม ซงึ่ จะชว่ ยให้บคุ คลพฒั นาตนเองและปรบั ตวั เขา้ กบั สงั คมและสิ่งแวดล้อมได้อยา่ งมีความสุข พรอ้ มทั้งพฒั นาตนเองและพฒั นาประเทศชาติต่อไปอีกด้วย การศกึ ษาพฤตกิ รรมมนษุ ย์ การศกึ ษาพฤติกรรมมนุษยใ์ นปัจจบุ นั มีความเป็นวทิ ยาศาสตร์มากขึ้น เพราะผลของการศกึ ษาก็ สามารถพสิ จู นค์ วามจริงได้ดว้ ยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กล่าวคอื การศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ จะใช้ วธิ กี ารสังเกตและจดบันทกึ ข้อมูลเชงิ ประจกั ษ์จากพฤติกรรมภายนอก จากน้นั จึงใช้ข้อมลู ทส่ี ังเกตได้เป็น พนื้ ฐานในการทานาย หรือคาดคะเนพฤติกรรมภายในของผู้ถกู ศึกษา เช่น การสงั เกตพฤตกิ รรมการร้องไหข้ อง ผู้ชายและผหู้ ญิงตอ่ เน่ืองกนั หลายครงั้ จนกระทั่งได้ขอ้ มลู เชงิ ประจักษ์เพยี งพอท่ีจะใช้อธิบายหรอื ทานายได้ว่า ผหู้ ญิงร้องไห้งา่ ยกวา่ ผู้ชาย และสรุปเปน็ หลกั การหรือทฤษฎีพฤติกรรมทางสังคมว่า ผู้หญงิ อ่อนแอหรือ อ่อนไหวมากกว่าผูช้ าย เปน็ ตน้ ผู้ใดไม่เช่ือถือผลการศึกษาพฤติกรรมร้องไหด้ ังกล่าว ก็สามารถเก็บขอ้ มลู การ ร้องไห้ของผ้ชู ายและผู้หญงิ กลมุ่ อน่ื ๆ มาเทยี บเคียงผลได้ การเรียนการสอนในระบบโรงเรียน ผู้สอนมักจะใชว้ ิธีการสงั เกตพฤตกิ รรมภายนอกแล้วทานาย พฤติกรรมภายในของผ้เู รยี นด้วยเชน่ กัน กล่าวคือ ไม่มผี สู้ อนคนใดสามารถประเมินความสามารถของผู้เรยี นได้ โดยตรงว่า ผู้เรยี นคนใดเรียนเกง่ หรืออ่อน คนใดตงั้ ใจหรอื ไม่ตั้งใจเรียน จึงตอ้ งกาหนดลกั ษณะพฤติกรรม ภายนอกของผู้เรยี นขึ้นมาชดุ หน่ึง เพื่อใช้เปน็ สญั ลักษณ์หรือข้อมูลท่ีสงั เกตเปน็ รูปธรรมได้ จากนั้นจึงใช้ข้อมลู ที่ สังเกตได้ดังกลา่ วเป็นแนวทางการอธบิ ายและประเมนิ ความสามารถของผูเ้ รียนใหเ้ ป็นท่ียอมรับของทุกฝา่ ย เชน่ กาหนดใหค้ ะแนนนกั เรียนท่ีนักเรยี นแต่ละคนทาข้อสอบได้ เป็นเกณฑ์การประเมินความสามารถในการ เรยี นของนักเรียน จงึ อธิบายได้ว่า นกั เรียนที่สอบ (ข้อสอบชุดเดียว) ได้คะแนนสูง มคี วามสามารถในการเรียน
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษย์กบั การพฒั นาตน มากกว่านักเรยี นทสี่ อบได้คะแนนตา่ หรอื กาหนดให้การซักถามของนกั เรียนและการทาแบบฝกึ หดั สง่ ครู มคี วาม ต้งั ใจเรียนมากกว่านักเรียนทีไ่ ม่ซักถามและไม่ทาแบบฝึกหดั ส่งครู เป็นต้น จากตวั อย่างสรปุ วา่ การศกึ ษาพฤติกรรมมนุษย์ มเี ป้าหมายเพอื่ ต้องการทราบพฤติกรรมภายในของผู้ ถูกศึกษามากกวา่ พฤติกรรมภายนอก เช่น ต้องการทราบว่าผูช้ ายที่ร้องไห้ และผู้หญิงที่ร้องไห้ มีความคิดและ ความรสู้ ึกแตกตา่ งกนั อย่างไร หรือครตู ้องการทราบความสามารถและความตั้งใจของนักเรยี น แต่เนือ่ งจาก พฤติกรรมภายในไม่สามารถสงั เกตและวัดใหเ้ ป็นรปู ธรรมได้ จงึ ไมส่ ามารถพิสจู น์ด้วยวธิ ีทางวิทยาศาสตร์ให้ สังคมยอมรับได้ ดังนน้ั เพอ่ื ให้การศกึ ษาพฤตกิ รรมของมนุษยเ์ ป็นท่ยี อมรบั ของนักวทิ ยาศาสตร์ จงึ ใช้วิธีศึกษา โดยการสังเกตพฤติกรรมภายนอกและอนุมานเข้าไปอธิบายหรอื ทานายพฤติกรรมภายในของผู้ถูกศึกษา ดงั กลา่ วมา เนอื่ งจากการศึกษาพฤตกิ รรมของมนษุ ยใ์ ชว้ ิธีการทานายพฤติกรรมภายในจากข้อมูลทีส่ ังเกตได้จาก พฤติกรรมภายนอก ทาให้การทานายหรือการคาดคะเนมีโอกาสผิดพลาด หรืออาจคาดเคล่อื นไปจากความเป็น จริงได้ ดังนนั้ เพือ่ ให้การทานายหรือการศึกษาพฤติกรรมตรงกบั ความเป็นจริงมากยิ่งข้ึน มวี ิธกี ารป้องกนั ความ ผิดพลาดของการศึกษาพฤตกิ รรม 3 ประการ ดงั น้ี 1. การใช้ขอ้ มลู เชิงประจักษ์ หมายถึง ข้อมูลทีศ่ ึกษาจะต้องเป็นขอ้ มูลที่ได้จากการสังเกต พฤติกรรมภายนอกทเ่ี กิดขึ้นจรงิ และสามารถจดบนั ทึกเป็นรปู ธรรมหรอื นับจานวนได้ เชน่ สงั เกตเหน็ คนเดิน วนไปมาและยกมือดนู าฬกิ าเป็นระยะๆ สามารถอธบิ ายพฤติกรรมของผู้ถูกสังเกตไดว้ ่าเขาคงจะรอพบใครสัก คนหนง่ึ โดยไม่ควรใช้ความร้สู ึกส่วนตวั อธิบายว่า เขากาลังรอคนรัก เพราะไม่มขี ้อมูล (เชงิ ประจกั ษ์) เพยี ง พอท่ีจะอธิบายไดว้ า่ เขารอคนรัก 2. การใช้การสังเกตจากพฤติกรรมภายนอกหลายๆ คร้ัง หรือหลายเหตุการณ์ หมายถึง การกระทา หรือการแสดงออกของมนุษย์ในแต่ละครั้ง ในแต่ละเหตุการณ์ อาจมีความแตกต่างกันหรืออาจมีสาเหตุต่างกัน เชน่ บางคร้ังเป็นพฤตกิ รรมจรงิ บางครงั้ เปน็ พฤติกรรมแกล้งแสดง หรอื บางคร้ังเป็นพฤติกรรมกลบเกลื่อนก็ได้ ดังน้ัน การสังเกตข้อมูลเชิงประจักษ์ซ้าหลายครั้ง จะช่วยให้ได้ข้อมูลท่ีตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น และช่วย ป้องกันความผิดพลาดของการศกึ ษาพฤตกิ รรมได้มากย่งิ ขึ้น 3. การใช้คานยิ ามปฏบิ ตั ิการ หมายถงึ การอธิบายความหมายของพฤติกรรมท่ีจะศกึ ษาใหเ้ ป็น รูปธรรมทส่ี ามารถสังเกตและวัดไดอ้ ยา่ งชดั เจน เช่น นิยามว่า คนเก่ง หมายถึง คนที่สอบได้คะแนนสงู สดุ 5 ลาดับแรกของห้องเรยี น หรือนิยามว่า นักเรียนทปี่ ระพฤติดี หมายถงึ นักเรียนที่เกบ็ ทรัพยส์ นิ ของผู้อน่ื ได้แลว้ สง่ คนื ครหู รือคืนเจา้ ของทุกคร้ัง จากน้นั จึงใชค้ านิยามปฏิบัติการดังกล่าวเปน็ เกณฑใ์ นการสงั เกต (เกบ็ ข้อมลู ) และอธบิ ายพฤติกรรมที่ศกึ ษาเพ่อื ให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกนั จากตวั อยา่ งคานิยามท้ังสอง ไมว่ า่ ผู้ศึกษาพฤติกรรม จะเป็นใครกต็ าม ผลการศกึ ษาจะได้คนเก่งหรือได้นักเรียนทป่ี ระพฤติดเี ปน็ คนกล่มุ เดียวกนั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีนามาใช้ในการศึกษาพฤติกรรมมนษุ ย์มี 5 ขนั้ ตอน ดังน้ี 1. ขนั้ กาหนดปัญหา หมายถึง การกาหนดปัญหาของพฤติกรรมทีจ่ ะศกึ ษาใหช้ ดั เจน เชน่ พฤติกรรมการสอนของครมู ผี ลกระทบต่อผลการเรียนของนักเรียนจรงิ หรอื ไม่ 2. ขั้นการต้ังสมมติฐาน หมายถึง การคาดคะเนหรือการทานายคาตอบของปัญหา โดย อาศยั พืน้ ฐานความรู้จากทฤษฎพี ฤตกิ รรมมนษุ ยแ์ ละหลักการสอนต่างๆ เป็นแนวทางการทานายคาตอบอย่างมี
GEPS 123 พฤติกรรมมนษุ ยก์ บั การพฒั นาตน เหตุและผล เช่น การสอนโดยวิธีกระบวนการกลุ่ม และการสอนโดยวิธีการแก้ปัญหา ส่งผลกระทบต่อ บรรยากาศการเรยี นของนกั เรยี นแตกต่างกัน เปน็ ตน้ 3. ข้นั รวบรวมขอ้ มลู หมายถึง การใชว้ ธิ กี ารและเครอื่ งมอื ที่เชือ่ ถือได้ เช่น วิธกี ารสงั เกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม แบบทดสอบ การทดลอง ไปดาเนินการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพหรือข้อมูล เชิงประจักษ์จากประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นตัวแทนของประชากร ข้ันการรวบรวมข้อมูลน้ี แบบสอบถามหรือวธิ กี ารทดลองจะต้องเป็นไปตามทก่ี าหนดไวใ้ นคานิยามปฏิบัตกิ ารด้วย 4. ขน้ั วิเคราะห์และสรุปผล หมายถึง การนาข้อมูลเชิงคุณภาพ หรือข้อมูลเชิงประจักษ์ท่ีรวบรวม ไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ มาวิเคราะห์และสรปุ ผล เพือ่ ตอบคาถามในสมมตฐิ าน เช่น การนาข้อมูลท่ีได้จากการสารวจ ไปวิเคราะห์ผลโดยวิธีทางสถิติ สรุปว่า สอนโดยวิธีกระบวนการกลุ่ม และสอนโดยวิธีการแก้ปัญหา ส่งผล กระทบต่อบรรยากาศการเรยี นแตกตา่ งกันจริงตามสมมติฐาน 5. ขน้ั การนาผลไปใช้ หมายถงึ การนาผลการศึกษาพฤติกรรมไปเผยแพร่ให้ผู้เกี่ยวข้องทราบและ นาไปประยุกต์ใช้ เช่น การส่งเสริมให้ครูนาวิธีการสอนท่ีช่วยสร้างบรรยากาศการเรียนที่สนุกสนานมาสอนให้ มากข้ึน เปน็ ต้น ดังจะเห็นได้จากงานวิจัยท่เี กย่ี วข้องกบั พฤตกิ รรมมนุษยห์ ลายๆ ฉบับ เช่น การศึกษาปจั จัยทีส่ ่งผลตอ่ การปรบั ตัวกบั เพอื่ นต่างเพศของนกั เรียนชว่ งช้ันที่ 3 โรงเรยี นการเคหะทา่ ทราย เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร (ภาวดิ า ตุ้ยสา : 2553) ท่ไี ด้ศึกษาปจั จยั ดา้ นสว่ นตวั ปจั จัยดา้ นครอบครัว และปจั จัยดา้ นสง่ิ แวดล้อมในสงั คมที่ มตี ่อพฤติกรรมการปรบั ตวั กับเพอ่ื นต่างเพศ ของนกั เรยี นช่วงชัน้ ท่ี 3 ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ซึง่ อยูใ่ นชว่ งวยั รุ่น ท่เี ปน็ วัยหวั เลีย้ วหัวต่อ พฤติกรรมทางด้านรา่ งกาย อารมณ์ สงั คมและสติปญั ญา มีการเปลีย่ นแปลงไม่คงที่ จากผลการวิจยั ดงั กลา่ วจะเห็นได้ว่าผลจากงานวิจัยมสี ่วนชว่ ยใหค้ รู ผู้ปกครอง สามารถจัดกจิ กรรมตา่ งๆ นอก หลกั สูตรเพ่ิมเติมให้กบั นักเรียนเพอื่ ที่จะไดแ้ ลกเปลย่ี นเรียนร้ทู างดา้ นพฤตกิ รรมซง่ึ กนั และกัน และปรบั ตัวเขา้ กบั เพ่ือนตา่ งเพศไดใ้ นอนาคต วธิ กี ารศึกษาพฤติกรรม การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์สามารถจาแนกวิธีการศึกษาพฤติกรรมที่สาคัญออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ (ฤกษ์ชัย คณุ ปู การ : 2545) 1. การสงั เกตอยา่ งมีระบบ (Systematic Observation) หมายถงึ การสงั เกตพฤติกรรมท่ี ตอ้ งการศกึ ษาอย่างเป็นระบบ และบันทกึ ข้อมูลเชิงประจักษ์ กล่าวคือ วิธีสังเกต พฤติกรรมที่สังเกต การบนั ทกึ ขอ้ มูล และการอธิบายข้อมลู ต้องดาเนนิ ไปตามนยิ ามปฏบิ ตั กิ าร (Operational Definition) ทีก่ าหนดข้ึน และเป็นการสงั เกตที่ผู้ถูกสังเกตไมร่ ู้ตัว 2. การสารวจ (Survey Method) หมายถึง การใชเ้ คร่ืองมือซงึ่ สว่ นมากจะเป็นแบบทดสอบ หรอื แบบสอบถาม ซ่ึงมีคุณสมบัตทิ ี่เช่ือถอื ได้ (Reliability) และมีความตรง (Validity) ไปเก็บขอ้ มลู จากกลุ่ม ตวั อย่าง (Sample) ท่เี ปน็ ตัวแทนของประชากร (Population) แล้วนาขอ้ มลู หรือพฤติกรรมท่ีสงั เกตได้ มา จัดระบบและวิเคราะห์โดยวธิ ีทางสถติ ิ เพ่ืออธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งตวั แปรสาเหตุกับตวั แปรผลของ พฤติกรรมที่ศกึ ษา
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษย์กับการพัฒนาตน 3. การทดลอง (Experimental Method) หมายถงึ วิธกี ารสงั เกตพฤติกรรมซง่ึ สามารถสรปุ ความสมั พนั ธ์เชิงเหตแุ ละผลของเหตุการณ์ 2 อย่างได้อย่างชดั เจน กล่าวคอื เหตุการณท์ ่ีคาดวา่ จะเปน็ ตัว แปรสาเหตจุ ะถูกกระทาหรือกาหนดขน้ึ เรยี กว่า จัดกระทาตวั แปรอสิ ระ (Independent Variable) จากน้ัน ติดตามสงั เกตหรอื ใช้แบบสอบถามวัดวา่ มเี หตุการณ์ท่ีคาดวา่ จะเปน็ ตัวแปรผลเกิดขน้ึ ตามมาหรือไม่ เรียกวา่ การวัดตวั แปรตาม (Dependent Variable) ถ้ามตี ัวแปรตามเกิดข้นึ จริงกส็ รุปผลได้อย่างชัดเจนวา่ ตัวแปร อิสระทจี่ ดั กระทาขน้ึ เป็นสาเหตขุ องตวั แปรตาม 4. วิธกี ารทางคลนิ กิ (Clinical Method) หมายถึง การศึกษาพฤติกรรมอยา่ งลกึ ซึ้ง โดยใช้เวลา เก็บข้อมลู เป็นเวลานานและเก็บข้อมูลด้วยเครื่องมือหลายชนิด เพอื่ ให้ได้ข้อมูลหลายดา้ นมาสรปุ หาสาเหตุ และแนวทางปรบั พฤตกิ รรมของบุคคลให้ดขี ึ้น ทานองเดียวกบั แพทย์รกั ษาคนไข้ ลักษณะของพฤตกิ รรมมนุษย์ ความรคู้ วามเข้าใจเกีย่ วกับพฤตกิ รรมมนุษยไ์ ว้ 8 ประการ ดังนี้ (ลาเฮย์ : 2001) 1. พฤติกรรมมนุษยเ์ กี่ยวข้องกับกระบวนการทางานทางด้านชีวภาพและระบบประสาท 2. พฤติกรรมของมนุษย์มีความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ซึง่ เกิดจากอิทธพิ ลของพนั ธุกรรมและ ประสบการณ์ของแตล่ ะบคุ คล 3. พฤติกรรมของมนุษยเ์ ป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ ท้ังการเรียนรู้จากอทิ ธิพลของปัจจัยทาง สงั คมวัฒนธรรม การสบื ทอดทางเผา่ พนั ธุ์ และความแตกต่างด้านเพศ 4. พฤติกรรมของมนุษยม์ ีลักษณะการเปลย่ี นแปลงและการพัฒนาอย่างเปน็ ระบบและเปน็ กระบวนการต่อเนื่องนับตั้งแต่แรกเกดิ จนถงึ วยั ชรา 5. พฤติกรรมของมนุษย์เปน็ พฤติกรรมที่มเี ป้าหมาย เพ่ือตอบสนองความต้องการสว่ นตัวและความ ตอ้ งการทางสงั คม 6. พฤติกรรมของมนุษย์มักจะเกิดจากสาเหตหุ ลายประการในเวลาเดียวกนั 7. พฤติกรรมของมนุษยเ์ ปน็ พฤติกรรมทางสงั คม หมายถึง มนุษย์มีความสามารถในการทางาน รว่ มกบั ผู้อนื่ และมนุษย์เปน็ สัตว์ทีต่ ้องการความรักความเข้าใจจากผอู้ ่ืน 8. พฤติกรรมของมนุษยเ์ ปน็ พฤติกรรมทส่ี ร้างสรรค์ขน้ึ จากประสบการณ์ของตนเอง การเกิดพฤติกรรมของมนุษย์แต่ละคนเป็นผลมาจากอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ปัจจัยทางด้าน ชีววิทยา ปัจจัยทางด้านสังคมวิทยา ปัจจัยทางด้านจริยธรรมจรรยา และปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ซ่ึง ปจั จยั พ้ืนฐานเหลา่ น้ีล้วนมีอิทธิพลตอ่ พฤตกิ รรมของมนุษย์ท้ังสิ้น ดังน้ันการจะศึกษาให้เข้าใจในพฤติกรรมของ มนุษย์อย่างลึกซ้ึงนั้น จะต้องศึกษาและทาความเข้าใจเร่ืองของปัจจัยพ้ืนฐานทางด้านต่างๆของมนุษย์ ให้ ละเอียดรอบคอบ เพื่อท่ีจะได้เข้าใจถึงพฤติกรรมทั้งของตนเอง ของผู้อื่นและของสังคมรอบข้างมากขึ้น อันจะ ส่งผลให้สามารถเข้าใจในพฤตกิ รรม สามารถควบคุมพฤติกรรมและปรับปรุงพฤติกรรมต่างๆที่ไม่เหมาะสมให้ดี ยงิ่ ข้ึน ซึ่งจะเป็นประโยชนท์ ง้ั ต่อตนเองและสงั คมประเทศชาติได้
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษยก์ บั การพฒั นาตน ปจั จยั พืน้ ฐานของพฤติกรรม ปัจจัยพ้ืนฐานที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ ประกอบด้วย ปัจจัยทางด้านชีววิทยา ปัจจัยทางด้าน สังคมวิทยา ปัจจัยทางด้านจริยธรรมจรรยา และปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ซ่ึงมีสาระโดยสังเขป ดังน้ี (สลักจิต ตรรี ณโอภาส : 2555) 1. ปัจจัยทางดา้ นชีววทิ ยา จิตวิทยามีความสัมพันธ์กับสรีรวิทยาอย่างใกล้ชิด ท้ังน้ีเพราะพฤติกรรมภายในท้ังหลายที่ นักจิตวิทยาสนใจศึกษาล้วนเป็นกระบวนการทางานของระบบร่างกายท้ังส้ิน โดยเฉพาะกระบวนการทางาน ของระบบประสาทซ่ึงมีสมองเป็นศูนย์กลาง ดังน้ันการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ จึงจาเป็นต้องศึกษาสรีรวิทยา ของระบบประสาทและระบบอ่นื ๆ ของร่างกาย จติ วทิ ยาแขนงที่ศึกษากระบวนการทางร่างกายน้ี การที่เรารู้สึก ว่าในขณะน้ีอะไรเกิดข้ึนในส่ิงแวดล้อมท้ังที่อยู่ภายนอก และภายในร่างกาย เช่น ได้ยินเสียง ได้กล่ิน มองเห็น เปน็ ต้น คนเราจะตอ้ งมีระบบอวยั วะรับเสียง ได้กล่ิน มองเห็น เป็นต้น คนเราจะต้องมีระบบอวัยวะท่ีทาหน้าท่ี คอยจับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมน้ีอยู่ตลอดเวลา แล้วส่งข่าวสารต่อไปยังสมองเพื่อให้เกิดความรู้สึก รบั รู้ คิด และตดั สินใจกระทาการอย่างใดอย่างหน่งึ เพื่อตอบสนองการเปลยี่ นแปลงของส่ิงแวดล้อม สภาพทางชีววทิ ยาท่ีเปน็ พ้ืนฐานของพฤติกรรม ประกอบด้วยโครงสร้างของร่างกายท่ีทาหน้าท่ี แตกตา่ งกัน 3 สว่ น (Kendler. 1974 ) ไดแ้ ก่ กลไกทท่ี าหนา้ ท่รี บั สัมผัส กลไกที่ทาหน้าทเี่ ช่ือมต่อ กลไกที่ ทาหนา้ ท่ตี อบโต้ กลไกการทางานของโครงสร้างทั้ง 3 สว่ น จะมีความสมั พนั ธ์ตอ่ เน่ืองกนั ดังน้ี 1.1 กลไกที่ทาหนา้ ทร่ี ับสมั ผสั (Receiving Mechanisms) อวัยวะของรา่ งกายซึ่งทา หนา้ ท่รี ับสัมผัสจากสิ่งเร้า ได้แก่ อวัยวะสัมผสั ท้ังหมด คือ หู ตา จมูก ลิน้ ผวิ หนงั การทาหนา้ ที่ของอวัยวะ สัมผสั ทัง้ 5 ส่วน แบง่ เปน็ 2 ลักษณะ คอื อวัยวะสัมผสั เฉพาะด้าน ได้แก่ ตา หู จมกู ลนิ้ และอวยั วะสัมผัส ท่ัวไป คือ การสัมผัสทางผิวหนงั ไดแ้ ก่ ความรอ้ นหนาว ความเจบ็ ปวด หรอื ความรู้สกึ ต่างๆ จากการสัมผัส 1.2 กลไกทีท่ าหน้าที่เชื่อมต่อ (Connecting Mechanisms) ระบบประสาท (Nervous System) เป็นอวัยวะของร่างกาย ซึง่ ทาหน้าทเ่ี ชอื่ มตอ่ ประสานงานระหวา่ งอวยั วะสัมผสั ไปสกู่ ลไกทีท่ าหน้าที่ ตอบโต้ระบบประสาทมีความสาคัญมากตอ่ การเรียนรแู้ ละการตอบโต้พฤติกรรม ส่วนประกอบของระบบ ประสาท แบ่งเปน็ 2 ระบบ คือ 1.2.1 ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ซึง่ ระบบประสาท ส่วนกลางแยกเป็น 2 สว่ น คือ สมอง (Brain) สมองจะทาหน้าทค่ี วบคุม การคดิ การพดู การกระทา เปน็ ต้น ไขสนั หลงั (Spinal Cord) ทาหน้าทีร่ ับสง่ ความรู้สึกผ่านไปยงั สมอง 1.2.2 ระบบประสาทส่วนนอก (Peripheral Nervous System) แบ่งออกเปน็ 2 สว่ น คือเซลล์ประสาท (Nerve Cells) ประกอบดว้ ยตวั เซลล์แอกซอน (Axon) และเดน็ ไดร์ (Dendrite) เส้นประสาท (Motor Nerve Fibers) คอื เสน้ ใยประสาททั่วไปของคน ระบบสมองและประสาทซง่ึ เป็นสว่ นทา หน้าทเ่ี ชื่อมต่อนัน้ ถอื ว่าเป็นศูนย์รวมของอนิ ทรยี ์ ถ้าหากสว่ นนัน้ บกพร่องหรือพิการ กจ็ ะทาใหเ้ กดิ ความ บกพร่องในพฤติกรรมตา่ งๆ ด้วย 1.3 กลไกท่ีทาหน้าท่ีตอบโต้ (Reacting Mechanism) ซ่ึงจะประกอบด้วยการ ทางานท่ีต่อเนอื่ งและเชอ่ื มโยงกันอยา่ งเป็นระบบ 2 ระบบ ดังนี้
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษย์กบั การพฒั นาตน 1.3.1 ระบบกล้ามเน้ือ (Muscle) ระบบกล้ามเนื้อถือเป็นหน่วยปฏิบัติการตามคาส่ังของ สมอง ทาให้เกิดพฤติกรรมหรือกิริยาอาการต่างๆ กล้ามเนื้อประกอบด้วยเซลล์กล้ามเน้ือและเส้นใยท่ีละเอียด ซงึ่ จาแนกชนดิ ของกล้ามเนอื้ ตามการทาหนา้ ท่ีได้ 3 ชนิด คอื 1) กลา้ มเนื้อลาย ประกอบดว้ ยเส้นใยกลา้ มเนอื้ เล็กๆ ท่ีมลี ักษณะเปน็ เส้นลายๆ ได้แก่ กลา้ มเนื้อ แขน ขา สะโพก เป็นต้น 2) กล้ามเน้ือเรยี บ ส่วนมากเปน็ กลา้ มเนื้อของระบบภายใน เช่น หลอดลม หลอดอาหาร ลาไส้ มดลกู กระเพาะปสั สาวะ เป็นต้น การทางานของกล้ามเนื้อเรียบจะอยู่ภายใต้การควบคุมของ ระบบประสาทอัตโนมัติ 3) กล้ามเน้ือหัวใจ เป็นกล้ามเน้ือที่มีลักษณะพิเศษ อยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาท อตั โนมัติ โดยทั่วไปแล้ว พฤติกรรมของกล้ามเน้ือลายนั้น มักจะเป็นพฤติกรรมภายนอก เช่น การเดิน การวิ่ง การทางาน เป็นต้น ส่วนพฤติกรรมของกล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเน้ือหัวใจจะเป็นพฤติกรรมภายใน เช่น การ ยอ่ ยอาหาร การขบั ถ่าย เปน็ ตน้ 1.3.2 ระบบต่อม (Glands) ต่อเป็นระบบสรีรวิทยาส่วนหน่ึงที่มีความสาคัญต่อการแสดง พฤตกิ รรม ตอ่ มประกอบด้วยเซลลพ์ ิเศษท่สี ามารถสร้างสารเหลวที่มีคุณสมบัติทางเคมี เพื่อรักษาสภาวะสมดุล ของรา่ งกาย นักจิตวิทยาชอบใช้การหล่ังสารเหลวของต่อมต่างๆ เป็นตัวแปรตาม (Dependent Variable) ใน การทดลองทางจิตวทิ ยา ต่อมในร่างกายของมนษุ ยแ์ บง่ เป็น 2 ประเภท คือ 1) ตอ่ มมีท่อ (Duct Glands) หมายถึง ตอ่ มที่หลัง่ สารเหลวออกมาแล้วมีท่อเล็กๆ ลาเลียงสาร เหลวนั้นออกส่ภู ายนอกได้ เชน่ ต่อมน้าตา ต่อมเหง่ือ ต่อมไขมนั ตอ่ มนา้ ลาย เป็นต้น 2) ตอ่ มไร้ท่อ (Ductless Glands) คอื ตอ่ มท่ผี ลิตสารเหลวซึง่ มีคุณสมบตั ิทางเคมที ี่ เรียกว่า “ฮอร์โมน” (Hormone) ไหลเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วกระจายออกไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยไม่ อาศยั ทอ่ ตอ่ มไมม่ ที อ่ มอี ิทธพิ ลตอ่ การเจริญเติบโตของร่างกายและมีผลต่อพฤติกรรม ตลอดจนบุคลิกภาพของ บคุ คล ถา้ หากปรมิ าณการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมต่างๆ ผิดปกติ ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่าปกติ ก็จะทาให้การ เจรญิ เติบโตของรา่ งกายผิดปกตจิ นทาให้พฤตกิ รรมต่างๆ แปรปรวนไปดว้ ย 2. ปจั จัยทางด้านสังคมวิทยา สงั คม หมายถงึ มนษุ ยท์ ่ีรวมกนั อยเู่ ปน็ หมู่คณะมที ้งั หญิงและชาย ต้ังภูมิลาเนาเป็นหลักแหล่ง ณ ท่ใี ดที่หนึ่ง การอยรู่ วมกับผอู้ น่ื ไมว่ า่ จะเปน็ กลมุ่ ใหญห่ รอื กลมุ่ เลก็ กต็ ามจะต้องมีการพึ่งพาอาศัยกัน มีสมาชิก ประกอบด้วยคนทุกเพศทุกวัยซึ่งมีการติดต่อสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยมีวัฒนธรรมหรือระเบียบแบบแผนใน การดาเนนิ ชีวติ เป็นของตนเอง การเขา้ ใจพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ จะตอ้ งเข้าใจในวัฒนธรรม การศึกษา เศรษฐกิจ หรอื การเมือง เพราะมนุษย์เปน็ สตั วส์ งั คม อยู่คนเดียวไม่ได้ จาเป็นต้องอยู่ร่วมกันกับผู้อ่ืน และต้องมีการติดต่อ สังสรรค์คบหาสมาคมกับผู้อื่น นอกจากน้ีพฤติกรรมของมนุษย์ก็เป็นผลมาจากการหล่อหลอมโดยวัฒนธรรม ของสังคมที่บุคคลนั้นอาศัยอยู่ เช่น คนไทยจะมีลักษณะบุคลิกภาพแตกต่างไปจากคนในประเทศอเมริกาหรือ ประเทศอ่นื ๆ
GEPS 123 พฤติกรรมมนษุ ย์กบั การพฒั นาตน เน่ืองจากว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นพฤติกรรมของมนุษย์ย่อมมีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมทาง สงั คม และพฤตกิ รรมของแต่ละคนในสังคมย่อมมผี ลกระทบตอ่ บุคคลอื่นในสังคมด้วย การศึกษาพฤติกรรมของ มนุษย์จึงน่าจะต้องทาความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และองค์ประกอบทางสังคมท่ีเป็น ตัวกาหนดขอบเขตของพฤตกิ รรมมนุษย์ในสังคม โดยเฉพาะวัฒนธรรม และการอบรมเล้ียงดู ซึ่งมีรายละเอียด พอสงั เขป ดงั นี้ 2.1 วัฒนธรรม คือ ส่ิงท่ีมนุษย์สร้างข้ึน กาหนดขึ้น มิใช่ส่ิงท่ีมนุษย์ทาตามสัญชาตญาณ อาจเป็นการประดิษฐ์วัตถุส่ิงของขึ้นใช้ หรืออาจเป็นการกาหนดพฤติกรรมและ/หรือความคิด ตลอดจนวิธีการ หรือระบบการทางาน วัฒนธรรมเกิดข้ึนเมื่อมนุษย์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันในสังคมเดียวกัน ทาความตกลง กันว่าจะยึดระบบไหนดี พฤติกรรมใดบ้างท่ีจะถือเป็นพฤติกรรมท่ีควรปฏิบัติและมีความหมายอย่างไร แนวความคิดใดจึงจะเหมาะสม ข้อตกลงเหล่านี้คือการกาหนดความหมายให้กับส่ิงต่างๆในสังคม เพื่อว่า สมาชิกของสังคมจะได้เข้าใจตรงกันและยึดระบบเดียวกัน วัฒนธรรมจึงต้องมีการเรียนรู้และมีการถ่ายทอด เม่ือมนษุ ยเ์ รียนรเู้ ก่ียวกับวฒั นธรรม มนุษย์ก็รู้วา่ อะไรคอื ขนบธรรมเนียมประเพณขี องสังคม และส่วนใหญ่แล้ว มนุษย์จะรู้ว่าอะไรควรทาและอะไรไม่ควรทา ฉะน้ันความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและพฤติกรรมของมนุษย์ ในสังคมจงึ เป็นความสัมพนั ธ์ท่ีใกลช้ ดิ กันมาก 2.2 การอบรมเล้ียงดู และทัศนคติของพ่อแม่เป็นสิ่งสาคัญต่อบุคลิกภาพของมนุษย์มาก การทีเ่ ดก็ จะเตบิ โตขน้ึ มามบี คุ ลิกภาพลกั ษณะอยา่ งใดนั้น นอกจากจะข้ึนอยู่กับพันธุกรรมแล้ว การอบรมเลี้ยง ดเู ปน็ ปจั จยั หนึ่งท่มี คี วามสาคญั ถ้าเดก็ ไดร้ บั การเล้ียงดูมาอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมจะส่งผลให้เขามีบุคลิกภาพที่ดี มีการปรับตัวต่อปัญหาต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม จะทาให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี มีบุคลิกภาพเหมาะสม อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ในทางตรงกันข้าม ถ้าเด็กถูกเลี้ยงดูไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม จะทาให้มี พัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ไม่ดีและไม่เหมาะสม ซ่ึงจะเป็นปัญหาต่อการปรับตัวและส่งผลให้เกิดปัญหาทาง สุขภาพจิตในวัยผใู้ หญ่ตอ่ ไป พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ และคณะ (2545) กล่าวไว้ว่า จากการศึกษาทฤษฎีพัฒนาการ มนุษย์ท้ังในอดีตและปัจจุบัน ผนวกกับทฤษฎีและงานวิจัยทางการอบรมเล้ียงดู กล่าวได้ว่าปัจจัยสาคัญที่จะ สามารถยกระดับมาตรฐานทรัพยากรมนษุ ย์ของประเทศ ในด้านคุณธรรมความมีระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ ตอ่ หนา้ ท่ี การเสียสละและเหน็ ผลประโยชนส์ ว่ นรวมมากกวา่ ส่วนตนนี้ จะกระทาได้โดยผ่านกระบวนการของ รูปแบบการอบรมเล้ียงดู และความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับสมาชิกของครอบครัวทั้งสิ้น การอบรมเลี้ยงดูที่เป็น ปัจจัยสาคัญ การเข้าใจและยอมรับได้ว่า บุคคลแต่ละคนน้ัน เป็นผู้คนท่ีมาจากความแตกต่างและความ หลากหลาย จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น หากเรายอมรับและเข้าใจได้ว่า คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เรา แปลกและแตกต่างกัน แต่หากเราเข้าใจ พยายามเรียนรู้กัน ปรับตัวเข้าหากัน เราก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมี ความสุข การอบรมเลี้ยงดนู ั้นมหี ลายรปู แบบ ดังนี้ Diana Baumrind (1971) นักจติ วิทยาชาวอเมรกิ ันแหง่ มหาวิทยาลยั แคลิฟอร์เนียสนใจศึกษารูปแบบ การอบรมเล้ียงดูอย่างจริงจัง เขาได้เสนอมิติสาคัญในการอธิบายพฤติกรรมของบิดามารดาในการอบรมเลี้ยงดู
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ บั การพัฒนาตน บุตรว่าประกอบด้วย 2 มิติ คือ มิติควบคุมหรือเรียกร้องจากบิดามารดา และมิติการตอบสนอง ความรู้สกึ เด็ก จากการผสมผสาน 2 มิติ ทาให้ จัดรปู แบบการอบรมเลย้ี งดูเป็น 3 รปู แบบ คือ 1) รปู แบบการอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ 2) รูปแบบการอบรมเลย้ี งดูแบบควบคุม 3) รูปแบบการอบรมเล้ียงดูแบบตามใจ ต่อมา Maccoby and Martin (1983) ได้เพ่ิมเติมรูปแบบ การอบรมเล้ยี งดแู บบที่ 4 คือ 4) รูปแบบการอบรมเลยี้ งดแู บบทอดทง้ิ รายละเอียดการเลี้ยงดแู ต่ละรปู แบบ มดี งั น้ี 1. รูปแบบการอบรมเล้ียงดูแบบเอาใจใส่ (Authoritative Parenting Style) การ อบรมเลย้ี งดทู บ่ี ิดามารดาสนับสนุนใหเ้ ดก็ มพี ัฒนาการตามวฒุ ิภาวะของเด็ก โดยท่ีบิดามารดาจะอนุญาตให้เด็ก มีอิสระตามควรแก่วุฒิภาวะ แต่ในขณะเดียวกันบิดามารดาจะกาหนดขอบเขตพฤติกรรมของเด็ก และ กาหนดให้เด็กเชื่อฟังและปฏิบัติตามแนวทางท่ีบิดามารดากาหนดไว้อย่างมีเหตุผล ถึงแม้บิดามารดาจะมีการ เรียกร้องสูง แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรักความอบอุ่นและใส่ใจต่อเด็ก เปิดโอกาสให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง รับฟงั เหตุผลจากเด็กและสนับสนนุ ให้เดก็ มสี ่วนรว่ มในการคดิ ตดั สินใจเรื่องต่างๆ ของครอบครวั 2. รปู แบบการอบรมเลย้ี งดูแบบควบคมุ (Authoritarian Parenting Style)การ อบรมเล้ียงดทู ่ีบิดามารดามคี วามเขม้ งวดเรียกร้องสงู แตไ่ ม่ตอบสนองความต้องการของเด็กโดยสิ้นเชงิ (Maccoby, 1980 อ้างถงึ ใน พรรณทิพย์ ศิริวรรณบศุ ย์ และคณะ, 2545) มีการจัดระบบการควบคุมและวาง กฎเกณฑใ์ ห้เดก็ ปฏิบตั ิตามอย่างเขม้ งวด โดยมีการอธบิ ายน้อยมาก หรือไมม่ ีเลยเด็กตอ้ งยอมรบั ในคาพดู ของ บิดามารดาว่าเปน็ ส่งิ ที่ถูกต้องเหมาะสมเสมอ มีการใช้อานาจควบคุมโดยวิธบี ังคับ และลงโทษเมอื่ เด็กไม่ทาตาม ความคาดหวังของบดิ ามารดา บดิ ามารดามักหา่ งเหนิ และปฏเิ สธเด็ก 3. รปู แบบการอบรมเลยี้ งดแู บบตามใจ (Permissive Parenting Style) การอบรม เลย้ี งดทู บี่ ิดามารดาปลอ่ ยใหเ้ ดก็ ทาส่งิ ตา่ งๆ ตามการตัดสินใจของเดก็ โดยไมม่ ีการกาหนดขอบเขต ใช้การ ลงโทษน้อย ไมเ่ รียกร้องหรอื ควบคุมพฤตกิ รรมเดก็ เด็กสามารถแสดงออกซงึ่ ความรู้สึกและอารมณ์ได้อย่าง เปดิ เผย บดิ ามารดาอาจให้คาปรกึ ษาหรอื พยายามใชเ้ หตผุ ลกบั เดก็ แต่ไม่มอี านาจในการควบคุมพฤตกิ รรมของ เด็ก บดิ ามารดาจะให้ความรักความอบอุน่ และตอบสนองความตอ้ งการของเด็กเสมอ ต่อมา Maccoby and Martin (1983) ได้ศึกษารูปแบบการอบรมเลี้ยงดตู ามแนวคดิ ของ Baumrind และไดจ้ าแนกรปู แบบการอบรม เลี้ยงดแู บบท่ี 4 เพม่ิ เติมจากท่ี Baumrind ได้เสนอไว้ คือ 4. รูปแบบการอบรมเล้ียงดูแบบทอดท้ิง (Uninvolved Parenting Style)เป็นการ อบรมเลี้ยงดูที่บิดามารดาไมใ่ หค้ วามสนใจหรือตอบสนองความต้องการของเดก็ ใหก้ ารดูแลเอาใจใส่ต่อเด็กน้อย มาก บิดามารดากลุ่มน้ีจะเพิกเฉยต่อเด็กพอๆ กับไม่เรียกร้องหรือวางมาตรฐานพฤติกรรมใดๆ ให้เด็กปฏิบัติ ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะบิดามารดาปฏิเสธเด็กแต่แรก หรือหมกมุ่นอยู่กับปัญหา และความกดดันในชีวิตประจาวัน จนไม่มเี วลาดแู ลเอาใจใสเ่ ดก็ สรุปแล้ว การอบรมเล้ียงดูของบิดามารดาส่งผลต่อบุคลิกภาพและพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่ง Baumrind และ Maccoby and Martin ได้สรุปไว้มี 4 รูปแบบและจากการประมวลงานวิจัยท้ังในและนอก ประเทศพบสอดคล้องกันว่า รูปแบบการอบรมเลี้ยงดูท่ีมีประสิทธิภาพสามารถหล่อหลอมให้เด็กและเยาวชน เป็นผู้มีความสามารถในการปรับตัว มีพฤติกรรมทางสังคมท่ีเหมาะสม มีความสามารถในการกากับตนเอง และมีความฉลาดทางอารมณ์ คือ รปู แบบการอบรมเลยี้ งดแู บบเอาใจใส่ 3. ปจั จยั พื้นฐานทางจริยธรรมจรรยา
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ บั การพฒั นาตน จริยธรรมเป็นเสมือนบทบัญญัติของความดีและความงามของจิตใจท่ีส่งผลให้บุคคลประพฤติ ดีประพฤติชอบ ปัจจัยพื้นฐานทางจริยธรรมจึงเป็นองค์ประกอบท่ีมีความสาคัญต่อการประกอบการในวิชาชีพ ของบุคคลในทุกสาขาอาชีพ การทาความเข้าใจกับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคุณธรรมและจริยธรรมจะทาให้ผู้ ประกอบวิชาชีพมีความตระหนักถึงคุณประโยชน์และโทษท่ีเป็นผลสืบเนื่องจากการมีคุณธรรมจริยธรรมและ - การขาดคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม มีผใู้ หค้ วามหมายของคาว่าจรยิ ธรรมไว้ สรปุ ไดด้ ังน้ี พระเทวินทร์ เทวินโท. (2544). จริยธรรม หมายถึง ความประพฤติปฏิบัติที่มีธรรมะเป็นตัว กากับ จรยิ ธรรมกค็ ือ ธรรมท่เี ป็นไป ธรรมท่ีเปน็ ข้อประพฤติปฏิบตั ิ ศีลธรรม กฎศลี ธรรม สุนทร โคตรบรรเทา. (2544) กล่าวว่า จริยธรรม หมายถึง ศีลธรรมประการหนึ่งและคุณธรรมอีก ประการหน่ึงรวมเป็นสองประการด้วยกนั โดยสรุป จริยธรรม หมายถึง หลักความประพฤติที่อบรมกิริยาและปลูกฝังลักษณะนิสัยให้อยู่ใน ครรลองของของคณุ ธรรมหรือศีลธรรม ความประพฤติและความนกึ คิดในสิ่งทดี่ งี ามและเหมาะสม อรสิ โตเตลิ อธิบายแหลง่ ที่มาของจริยธรรม ไว้ 2 ประการ คือ แหลง่ กาเนดิ ภายในตวั บุคคล และจาก ภายนอกตัวบคุ คล ดงั นี้ 1. แหล่งกาเนิดภายในตัวบุคคล อริสโตเติล (Aristotle) ได้แยกแยะแหล่งที่เกิดของคุณธรรม ว่าเป็นคุณธรรมอันเกิดจากปัญญา และคุณธรรมอันเกิดจากศีลธรรมและจริยธรรมว่า คุณธรรมอันเกิดจาก ปัญญา เปน็ คุณธรรมในระดับปจั เจกบุคคล กล่าวคือ ผู้ที่มีสติปัญญามักจะสามารถพัฒนาจริยธรรมได้ด้วยหลัก ของการคดิ ไตร่ตรอง สว่ นคณุ ธรรมอันเกิดจากศลี ธรรมและจริยธรรมนั้น เป็นคุณธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติจริง ด้วยการเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกัน เป็นการแสดงพฤติกรรมท่ีถูกต้องซ่ึงนาไปสู่สภาวะของความเป็นสุข (อ้างใน จาเริญรตั น์ เจอื จันทร.์ 2537) ท้ังนี้ ไดแ้ บง่ ออกเปน็ 2 สว่ น 1.1 มาจากพันธุกรรมที่ส่งทอดมาจากบรรพบุรุษ มนุษย์เกิดมาพร้อมด้วยคุณภาพของสมองท่ี จะพัฒนาขึ้นเป็นความเฉลียวฉลาดด้านปัญญาโดยได้รับการถ่ายทอดส่วนนี้มาจาก บรรพบุรุษโดยผ่าน กระกระบวนการทางพันธกุ รรม การพัฒนาของสมองจะดาเนินไปตามรหัสพันธุกรรมท่ีกาหนดไว้ต้ังแต่เกิดการ มีสติปัญญาในระดับที่สูง ทาให้มนุษย์สามารถคิด พิจารณา และแยกแยะเหตุและผลได้เพ่ือมีชีวิตอยู่รอดได้ อย่างย่ังยนื 1.2 มาจากสภาพจิต จากแนวความคดิ ทีว่ า่ จรยิ ธรรมมีแหล่งกาเนิดจากความรูส้ ึกผิดชอบชั่วดี ซ่ึง เกิดข้ึนจากมโนธรรมท่ีอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ดังนั้น แหล่งกาเนิดของคุณธรรมและจริยธรรมจึงเป็นคุณภาพ ของสมองในการคิด และคุณภาพของจิตท่ีสามารถแยกแยะความถูก ความผิดได้เป็นพ้ืนฐาน สภาพของจิตนั้น ทาให้บุคคลจดจาสิ่งที่เป็นเคียดแค้น บาดหมางใจ หรือรู้สึกผิดตลอดเวลากับการตัดสินที่พลาดพลั้งไป ดังน้ัน สภาพจิตก่อให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกท่ีอาจนาไปสู่การมีคุณธรรมและจริยธรรมและการขาดคุณธรรมและ จริยธรรมได้เท่าๆ กนั 2. แหลง่ กาเนดิ ภายนอกตวั บุคคล ดวงเดอื น พันธมุ นาวิน (2538) กลา่ วว่า ในการที่บคุ คลน้ันจะทาความดี หรือละเว้นการกระทาท่ี ไม่น่าพึงปรารถนามากน้อยเพียงใดนั้น สาเหตุที่สาคัญ คือ คนรอบข้าง กฎระเบียบ สังคม วัฒนธรรมและ สถานการณ์ที่บุคคลประสบอยู่ นอกจากสภาพแวดลอ้ มในการทางาน การมหี รอื การขาดแคลนส่ิงเอ้ืออานวยใน การทางาน ตลอดจนบรรยากาศทางสังคมในทท่ี างาน กลมุ่ เพื่อนและวัฒนธรรมในองคก์ ร จะมีผลต่อพฤติกรรม การทางานและสุขภาพจิต ตลอดจนความสขุ ความพอใจในการทางาน
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษย์กับการพัฒนาตน โดยสรุปแล้ว พฤตกิ รรมมนษุ ย์ มาจากแหลง่ กาเนดิ จากภายในและภายนอกร่วมกัน การที่คนเราจะทา ความดีหรอื ไม่ มากน้อยเพียงใดนั้น ข้นึ อยกู่ บั สาเหตุทง้ั ภายนอกและภายในตัวบุคคล สาเหตุภายในคือลักษณะ จิตต่างๆ เช่น การไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ส่วนรวม การมุ่งอนาคตและความสามารถในการควบคุมตนเอง ความเชื่อท่ีว่าทาดีจะนาไปสู่ผลดี และการทาช่ัวต้องได้รับโทษ นอกจากน้ันการมีความพอใจและเห็นด้วยกับ ความดีต่างๆ และเหน็ ความสาคัญของความดีเหล่านั้น เช่น ความซื่อสัตย์ การเคารพกฎระเบียบและกฎหมาย ความสามัคคี เป็นต้น ลักษณะทางจิตเหลา่ น้มี คี วามสาคญั มาก (ดวงเดือน พันธมุ นาวนิ , 2538) 4. ปัจจยั พื้นฐานทางจติ วิทยา ปัจจัยสาคัญอีกปัจจัยหนึ่งซ่ึงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ปัจจัยทางจิตวิทยา ซ่ึงมี ปัจจัยย่อยอยู่หลายปัจจัย ปัจจัยทางจิตวิทยาเป็นกระบวนการทางานของจิต เป็นพฤติกรรมทางความคิดและ ความรู้สึกแล้วส่งผลให้เกิดพฤติกรรม ซ่ึงพฤติกรรมดังกล่าวอาจเป็นทั้งพฤติกรรมที่พึงประสงค์และไม่พึง ประสงค์ ประกอบดว้ ยแรงจูงใจ และความต้องการของมนุษย์ ซึง่ อธบิ ายได้ ดังน้ี 4.1 แรงจูงใจ (Motivation) แรงจูงใจเกิดจากส่ิงเร้าท้ังภายในและภายนอกตัวบุคคลนั้นๆ เอง ภายใน ไดแ้ ก่ ความรู้สึกต้องการ หรือขาดอะไรบางอย่าง จึงเป็นพลังชักจูง หรือกระตุ้นให้มนุษย์ประกอบ กิจกรรมเพื่อทดแทนสิ่งท่ีขาดหรือต้องการน้ัน ส่วนภายนอกได้แก่ สิ่งใดก็ตามที่มาเร่งเร้า นาช่องทาง และมา เสริมสร้างความปรารถนาในการประกอบกิจกรรมในตัวมนุษย์ ซ่ึงแรงจูงใจนี้อาจเกิดจากส่ิงเร้าภายในหรือ ภายนอก แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว หรอื ทัง้ สองอย่างพร้อมกันได้ อาจกล่าวได้ว่า แรงจูงใจทาให้เกิดพฤติกรรมซ่ึงเกิด จากความต้องการของมนุษย์ ซึ่งความต้องการเป็นส่ิงเร้าภายในท่ีสาคัญกับการเกิดพฤติกรรม นอกจากนี้ยังมี สิง่ เร้าอนื่ ๆ เช่น การยอมรับของสังคม สภาพบรรยากาศท่ีเป็นมิตร การบังคับขู่เข็ญ การให้รางวัลหรือกาลังใจ หรือการทาใหเ้ กิดความพอใจ ล้วนเปน็ เหตจุ ูงใจให้เกิดแรงจงู ใจได้ แรงจูงใจมี 2 ลักษณะดงั นี้ 4.1.1 แรงจูงใจภายใน (Intrinsic motives)แรงจูงใจภายในเป็นสิ่งผลักดันจากภายใน ตัวบคุ คลซึ่งอาจจะเป็นเจตคติ ความคิด ความสนใจ ความต้ังใจ การมองเห็นคุณค่า ความพอใจ ความต้องการ ฯลฯ สิ่งต่างๆ ดังกล่าวนี้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมค่อนข้างถาวร เช่น คนงานที่เห็นองค์การคือสถานท่ีให้ชีวิตแก่ เขาและครอบครัวเขาก็จะจงรักภักดีต่อองค์การ และองค์การบางแห่งขาดทุนในการดาเนินการก็ไม่ได้จ่าย คา่ ตอบแทนท่ีดแี ต่ด้วยความผกู พนั พนกั งานกร็ ่วมกนั ลดค่าใชจ้ า่ ยและชว่ ยกนั ทางานอย่างเต็มท่ี 4.1.2 แรงจงู ใจภายนอก (Extrinsic motives)แรงจูงใจภายนอกเปน็ สิ่งผลักดันภายนอก ตัวบุคคลท่ีมากระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมอาจจะเป็นการได้รับรางวัล เกียรติยศช่ือเสียง คาชม หรือยกย่อง แรงจูงใจน้ีไม่คงทนถาวร บุคคลแสดงพฤติกรรมเพ่ือตอบสนองสิ่งจูงใจดังกล่าวเฉพาะกรณีที่ต้องการส่ิงตอบ แทนเท่านั้น สรปุ ได้ว่า ประเภทของแรงจูงใจ มีสองประเภทคือ แรงจงู ใจภายใน และแรงจูงใจภายนอก ซึ่งลักษณะของแรงจูงใจทั้งสองประเภทนี้ สง่ ผลให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมา ซึ่งแตล่ ะบุคคลจะมี แรงจูงใจที่แตกต่างกัน อันเป็นผลให้มีบุคลิกภาพท่แี ตกต่างกนั ไป 4.2 ความต้องการ (needs) การอธิบายถงึ ความต้องการของผู้คนนน้ั มีอยู่หลายทฤษฎี ทฤษฎี หน่งึ ทนี่ า่ สนใจซึง่ เป็นทฤษฎที ่ีถูกพูดถงึ ตั้งแตป่ ี 1943 แต่กเ็ ปน็ ทฤษฎที ย่ี งั ใชง้ านได้ในปัจจบุ นั และสามารถ
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษย์กบั การพฒั นาตน ประยกุ ตใ์ ช้กบั การวเิ คราะหค์ วามตอ้ งการของคนในเรื่องต่างๆ ได้ดว้ ย น่ันกค็ ือทฤษฎีลาดับขนั้ ความต้องการ ของมาสโลว์ (Maslow’s hierarchy of needs) ซึง่ คิดคน้ โดยนักจิตวทิ ยาชาวอเมริกนั ท่ีช่อื Abraham Maslow มาสโลว์นาเสนอทฤษฎขี องเขาผ่านรปู สามเหลย่ี มพรี ะมดิ ท่ีแบ่งออกเป็น 5 ชน้ั ชัน้ ทอี่ ยู่ใกล้ฐาน พรี ะมิดบง่ บอกถึงความต้องการข้นั พื้นฐานท่สี ดุ ของมนุษย์ ถ้าไม่มกี ็อยู่ไมไ่ ด้ สว่ นช้นั ท่อี ยใู่ กลย้ อดพรี ะมดิ หมายถงึ ความต้องการทเี่ ป็นนามธรรม เปน็ เร่อื งของความรู้สกึ และจิตใจ Maslow กล่าววา่ ความปรารถนาของมนุษย์นนั้ ติดตวั มาแตก่ าเนิดและความปรารถนาเหล่านี้ จะเรยี งลาดับขน้ั ของความปรารถนา ต้ังแตข่ ัน้ แรกไปสู่ความปรารถนาข้ันสงู ขึ้นไปเป็นลาดบั ดงั นี้ 1. ความต้องการทางดา้ นร่างกาย (physiological needs) เปน็ ความตอ้ งการขน้ั พ้ืนฐาน ทีม่ ีอานาจมากท่สี ดุ และสังเกตเหน็ ได้ชัดที่สดุ จากความต้องการทั้งหมดเปน็ ความต้องการท่ีช่วยการดารงชวี ิต ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการอาหาร นา้ ดม่ื ออกซเิ จน การพักผ่อนนอนหลบั ความต้องการทางเพศ ความตอ้ งการความ อบอุ่น ตลอดจนความต้องการทีจ่ ะถูกกระต้นุ อวยั วะรับสัมผสั แรงขบั ของร่างกายเหล่านี้จะเก่ยี วข้องโดยตรง กับความอยรู่ อดของรา่ งกายและของอินทรยี ์ ความพึงพอใจท่ีได้รับ ในขัน้ น้จี ะกระตนุ้ ให้เกดิ ความต้องการใน ขนั้ ท่สี ูงกว่าและถ้าบุคคลใดประสบความล้มเหลวท่จี ะสนองความตอ้ งการพ้ืนฐานน้ีกจ็ ะไม่ไดร้ บั การกระตุ้น ให้ เกดิ ความต้องการในระดับท่ีสูงข้นึ อย่างไรก็ตาม ถ้าความต้องการอย่างหนงึ่ ยงั ไมไ่ ด้รับความพึงพอใจ บคุ คลก็ จะอยู่ภายใต้ความต้องการน้ันตลอดไป ซึง่ ทาให้ความตอ้ งการอ่นื ๆ ไม่ปรากฏหรือกลายเปน็ ความต้องการ ระดับรองลงไป เชน่ คนท่ีอดอยากหวิ โหยเป็นเวลานานจะไม่สามารถสร้างสรรคส์ ิ่งท่มี ปี ระโยชน์ต่อโลกได้ บุคคลเชน่ นจี้ ะหมกมุ่นอยกู่ บั การจดั หาบางส่งิ บางอย่างเพ่ือใหม้ ีอาหารไว้รบั ประทาน Maslow อธิบายต่อไปว่า บุคคลเหล่าน้ีจะมีความรู้สึกเป็นสุขอย่างเต็มท่ีเม่ือมีอาหารเพียงพอ สาหรับเขาและจะไม่ต้องการส่ิงอ่ืนใดอีก ชีวิตของเขากล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของการรับประทาน สิ่งอื่น ๆ นอกจากน้ีจะไม่มีความสาคัญไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพ ความรัก ความรู้สึกต่อชุมชน การได้รับการยอมรับ และ ปรัชญาชวี ิต บุคคลเช่นน้มี ชี ีวติ อยเู่ พือ่ ทจ่ี ะรับประทานเพียงอย่างเดียวเท่าน้ัน ตัวอย่าง การขาดแคลนอาหารมี ผลตอ่ พฤตกิ รรม ได้มกี ารทดลองและการศึกษาชีวประวัติเพ่ือแสดงว่า ความต้องการทางด้านร่างกายเป็นเร่ือง สาคญั ทจ่ี ะเข้าใจพฤตกิ รรมมนษุ ย์ และไดพ้ บผลวา่ เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงของพฤติกรรมซึ่งมีสาเหตุจาก การขาดอาหารหรือนา้ ตดิ ต่อกันเปน็ เวลานาน 2. ความต้องการความปลอดภัย (safety needs) เมอื่ ความตอ้ งการทางด้านร่างกาย ได้รับความพึงพอใจแล้วบคุ คลก็จะพฒั นาการไปสูข่ นั้ ใหม่ต่อไป ซง่ึ ขั้นนเ้ี รยี กว่าความตอ้ งการความปลอดภัย หรือความรู้สึกม่ันคง (safety or security) Maslow กลา่ วว่าความต้องการความปลอดภัยนี้ จะสังเกตได้งา่ ย ในทารกและในเด็กเลก็ ๆ เน่ืองจากทารกและเด็กเลก็ ๆ ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื และต้องพึ่งพออาศัยผู้อ่นื ตัวอยา่ ง ทารกจะรู้สึกกลัวเมื่อถกู ทงิ้ ใหอ้ ยู่ตามลาพังหรอื เมื่อเขาได้ยินเสียงดังๆ หรอื เหน็ แสงสว่างมากๆ แต่ ประสบการณ์และการเรยี นรจู้ ะทาให้ความรูส้ กึ กลัวหมดไป ดงั คาพูดทีว่ ่า \"ฉนั ไม่กลวั เสียงฟ้าร้องและฟา้ แลบ อกี ต่อไปแลว้ เพราะฉันร้ธู รรมชาตใิ นการเกดิ ของมัน\" พลังความตอ้ งการความปลอดภัยจะเหน็ ไดช้ ดั เจนเชน่ กัน เมอื่ เด็กเกิดความเจบ็ ป่วย ตวั อย่างเด็กทปี่ ระสบอบุ ตั เิ หตุขาหกั ก็จะรู้สึกกลวั และอาจแสดงออกดว้ ยอาการฝัน รา้ ยและความต้องการท่ีจะได้รับความปกป้องคุ้มครองและการให้กาลงั ใจ
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ บั การพัฒนาตน Maslow กล่าวเพ่ิมเติมว่าพ่อแม่ท่ีเลี้ยงดูลูกอย่างไม่กวดขันและตามใจมากจนเกินไปจะไม่ทาให้เด็ก เกิดความรู้สึกว่า ได้รับความพึงพอใจจากความต้องการความปลอดภัยการให้นอนหรือให้กินไม่เป็นเวลาไม่ เพียงแตท่ าให้เดก็ สับสนเท่านัน้ แตย่ ังทาให้เด็กรสู้ ึกไม่มั่นคงในสิ่งแวดลอ้ ม รอบๆ ตัวเขา สัมพันธภาพของพ่อ แม่ท่ีไม่ดีต่อกัน เช่น ทะเลาะกันทาร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน พ่อแม่แยกกันอยู่ หย่า ตายจากไป ภาพการณ์ เหล่าน้จี ะมอี ิทธิพลต่อความรทู้ ด่ี ขี องเดก็ ทาให้เด็กรู้ว่าส่ิงแวดล้อมต่างๆ ไม่มั่นคง ไม่สามารถคาดการณ์ได้และ นาไปส่คู วามรสู้ กึ ไมป่ ลอดภยั ความต้องการความปลอดภัยจะยังมีอิทธิพลต่อบุคคลแม้ว่าจะผ่านพ้นวัยเด็กไปแล้ว แม้ในบุคคลที่ ทางานในฐานะเปน็ ผคู้ มุ้ ครอง เช่น ผรู้ ักษาเงิน นกั บัญชี หรือทางานเก่ียวกับการประกันต่างๆ และผู้ท่ีทาหน้าที่ ให้การรักษาพยาบาลเพ่ือความปลอดภัยของผู้อื่น เช่น แพทย์ พยาบาล แม้กระท่ังคนชรา บุคคลทั้งหมดท่ี กล่าวมาน้ีจะใฝ่หาความปลอดภัยของผู้อื่น เช่น แพทย์ พยาบาล แม้กระท่ังคนชรา บุคคลทั้งหมดที่กล่าวมาน้ี จะใฝ่หาความปลอดภัยด้วยกันทั้งส้ิน ศาสนาและปรัชญาท่ีมนุษย์ยึดถือทาให้เกิดความรู้สึกม่ันคง เพราะทาให้ บุคคลไดจ้ ัดระบบของตวั เองใหม้ เี หตผุ ลและวิถที างท่ที าให้บคุ คลรู้สึก \"ปลอดภัย\" ความต้องการความปลอดภัย ในเรื่องอื่นๆ จะเกี่ยวข้องกับการเผชิญกับส่ิงต่างๆ เหล่าน้ี สงคราม อาชญากรรม น้าท่วม แผ่นดินไหว การ จลาจล ความสบั สนไมเ่ ปน็ ระเบยี บของสงั คม และเหตกุ ารณอ์ น่ื ๆ ทค่ี ล้ายคลงึ กับสภาพเหลา่ น้ี Maslow ได้ให้ความคิดต่อไปว่าอาการโรคประสาทในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะโรคประสาทชนิดย้าคิด-ย้า ทา (obsessive-compulsive neurotic) เป็นลักษณะเด่นชัดของการค้นหาความรู้สึกปลอดภัย ผู้ป่วยโรค ประสาทจะแสดงพฤติกรรมว่าเขากาลังประสบเหตุการณ์ที่ร้ายกาจและกาลังมีอันตรายต่างๆ เขาจึงต้องการมี ใครสักคนทีป่ กป้องค้มุ ครองเขาและเป็นบุคคลทม่ี ีความเขม้ แขง็ ซ่งึ เขาสามารถจะพึ่งพาอาศยั ได้ 3. ความต้องการความรกั และความเปน็ เจ้าของ (belongingness and love needs) ความตอ้ งการความรักและความเปน็ เจา้ ของเป็นความตอ้ งการขั้นที่ 3 ความตอ้ งการน้ีจะเกิดข้ึนเม่ือความ ตอ้ งการทางดา้ นร่างกายและความตอ้ งการความปลอดภยั ไดร้ บั การตอบสนองแล้ว บคุ คลตอ้ งการไดร้ บั ความ รักและความเปน็ เจ้าของโดยการสร้างความสมั พันธ์กบั ผ้อู ื่น เชน่ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวหรอื กับผอู้ ื่น สมาชิกภายในกลุม่ จะเปน็ เป้าหมายสาคัญสาหรบั บุคคล กล่าวคือ บุคคลจะรสู้ กึ เจ็บปวดมากเม่ือถูกทอดทง้ิ ไมม่ ี ใครยอมรับ หรอื ถูกตัดออกจากสงั คม ไม่มีเพ่ือน โดยเฉพาะอย่างยิง่ เมอ่ื จานวนเพ่ือนๆ ญาตพิ น่ี ้อง สามหี รอื ภรรยาหรอื ลูกๆ ได้ลดน้อยลงไป นกั เรยี นทเี่ ขา้ โรงเรยี นที่ห่างไกลบ้านจะเกิดความต้องการเปน็ เจา้ ของอย่างย่ิง และจะแสวงหาอยา่ งมากท่ีจะได้รบั การยอมรับจากกลุ่มเพ่ือน Maslow คดั ค้านกล่มุ Freud ท่ีวา่ ความรักเปน็ ผลมาจากการทดเทดิ สญั ชาตญาณทางเพศ (sublimation) สาหรบั Maslow ความรักไม่ใช่สญั ลกั ษณ์ของเรอื่ งเพศ (sex) เขาอธิบายวา่ ความรักที่แท้จริง จะเก่ียวข้องกบั ความรสู้ กึ ท่ีดี ความสัมพนั ธข์ องความรักระหวา่ งคน 2 คน จะรวมถึงความรสู้ กึ นับถือซง่ึ กันและ กัน การยกย่องและความไวว้ างใจแก่กัน นอกจากน้ี Maslow ยังย้าว่าความต้องการความรักของคนจะเป็นความรักที่เป็นไปในลักษณะทั้งการ รู้จักให้ความรักต่อผอู้ น่ื และรจู้ ักที่จะรับความรักจากผู้อื่น การได้รับความรักและได้รับการยอมรับจากผู้อ่ืนเป็น
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษยก์ ับการพัฒนาตน สิ่งท่ีทาให้บุคคลเกิดความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า บุคคลท่ีขาดความรักก็จะรู้สึกว่าชีวิตไร้ค่ามีความรู้สึกอ้างว้าง และเคียดแคน้ กลา่ วโดยสรปุ Maslow มีความเหน็ ว่าบุคคลตอ้ งการความรักและความรู้สึกเป็นเจ้าของ และการขาด สิ่งน้ีมักจะเป็นสาเหตุให้เกิดความข้องคับใจและทาให้เกิดปัญหาการปรับตัวไม่ได้ และความยินดีในพฤติกรรม หรือความเจบ็ ปว่ ยทางด้านจิตใจในลักษณะตา่ งๆ สิ่งที่ควรสังเกตประการหน่ึง ก็คือมีบุคคลจานวนมากท่ีมีความลาบากใจท่ีจะเปิดเผยตัวเองเม่ือมี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับเพศตรงข้ามเนื่องจากกลัวว่าจะถูกปฏิเสธความรู้สึกเช่นนี้ Maslow กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากประสบการณ์ในวัยเด็ก การได้รับความรักหรือการขาดความรักในวัยเด็ก ย่อมมีผลกับการ เตบิ โตเป็นผู้ใหญท่ ี่มีวุฒิภาวะและการมที ศั นคติในเรื่องของความรกั 4. ความต้องการไดร้ ับความนับถือยกยอ่ ง (esteem needs) เม่ือความต้องการไดร้ บั ความรักและการให้ความรักแก่ผอู้ ่ืนเปน็ ไปอย่างมเี หตุผลและทาให้บุคคล เกิดความพงึ พอใจแล้ว พลงั ผลักดนั ในข้นั ที่ 3 ก็จะลดลงและมคี วามต้องการในข้นั ต่อไปมาแทนท่ี กล่าวคือมนษุ ย์ต้องการท่ีจะได้รับความนบั ถือยก ย่องออกเปน็ 2 ลักษณะ คือ ลกั ษณะแรกเป็นความต้องการนบั ถอื ตนเอง (self-respect) ส่วนลักษณะที่ 2 เป็นความต้องการได้รบั การยกยอ่ งนับถือจากผูอ้ ่นื (esteem from others) ความต้องการนับถือตนเอง (self-respect) คือ ความต้องการมอี านาจ มคี วามเชื่อมัน่ ในตนเอง มีความแข็งแรง มีความสามารถในตนเอง มผี ลสมั ฤทธิ์ไม่ต้องพ่งึ พาอาศัยผูอ้ ่ืน และมีความเปน็ อสิ ระ ทกุ คนต้องการที่จะร้สู ึกวา่ เขามคี ุณคา่ และมี ความสามารถทจี่ ะประสบความสาเรจ็ ในงานภารกิจตา่ งๆ และมีชวี ิตทเี่ ดน่ ดงั ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น (esteem from others) คือ ความต้องการมี เกียรติยศ การได้รับยกย่อง ได้รับการยอมรับ ได้รับความสนใจ มีสถานภาพ มีชื่อเสียงเป็นท่ีกล่าวขาน และ เปน็ ที่ช่ืนชมยนิ ดี มคี วามตอ้ งการท่จี ะได้รบั ความยกยอ่ งชมเชยในส่ิงที่เขากระทาซึ่งทาให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า วา่ ความสามารถของเขาได้รับการยอมรบั จากผู้อืน่ ความตอ้ งการไดร้ ับความนับถอื ยกยอ่ ง กเ็ ป็นเช่นเดียวกบั ธรรมชาติของลาดับช้ันในเรื่องความต้องการ ด้านแรงจูงใจตามทัศนะของ Maslow ในเรื่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตนั่นคือ บุคคลจะแสวงหาความต้องการ ได้รับการยกย่องก็เม่ือภายหลังจากความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของได้รับการตอบสนองความพึง พอใจของเขาแลว้ และ Maslow กลา่ วว่ามนั เป็นส่ิงที่เป็นไปได้ที่บุคคลจะย้อนกลับจากระดับข้ันความต้องการ ในขั้นท่ี 4 กลับไปสู่ระดับขั้นที่ 3 อีกถ้าความต้องการระดับขั้นท่ี 3 ซึ่งบุคคลได้รับไว้แล้วน้ันถูก กระทบกระเทือนหรอื สญู สลายไปทันทที นั ใด ดังตวั อยา่ งที่ Maslow นามาอา้ งคือ หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเธอคิดว่า การตอบสนองความต้องการความรักของเธอได้ดาเนินไปด้วยดี แล้วเธอจึงทุ่มเทและเอาใจใส่ในธุรกิจของเธอ และได้ประสบความสาเร็จเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและอย่างไม่คาดฝัน สามีได้ผละจากเธอไป ในเหตุการณ์ เช่นนี้ปรากฏว่าเธอวางมือจากธุรกิจต่างๆ ในการที่จะส่งเสริมให้เธอได้รับความยกย่องนับถือ และหันมาใช้ ความพยายามทจ่ี ะเรยี กร้องสามใี ห้กลับคืนมา ซึ่งการกระทาเช่นนี้ของเธอเป็นตัวอย่างของความต้องการความ รักซ่ึงครั้งหนึ่งเธอได้รับแล้ว และถ้าเธอได้รับความพึงพอในความรักโดยสามีหวนกลับคืนมาเธอก็จะกลับไป เก่ยี วข้องในโลกธรุ กจิ อกี ครัง้ หนงึ่
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษยก์ ับการพฒั นาตน 5. ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอยา่ งแทจ้ รงิ (self-actualization needs) ลาดับ ข้นั ความต้องการของมาสโลว์ มกี ารเรยี งลาดับขนั้ ความต้องการท่อี ยู่ในขั้นตา่ สดุ จะตอ้ งไดร้ บั ความพงึ พอใจ เสยี ก่อน บุคคลจึงจะสามารถผ่านพ้นไปสคู่ วามตอ้ งการที่อยใู่ นขน้ั สูงขึ้นตามลาดบั ลาดับข้ันสุดท้าย ถา้ ความ ตอ้ งการลาดบั ข้นั ก่อน ๆ ไดท้ าให้เกิดความพงึ พอใจอย่างมีประสทิ ธภิ าพ ความตอ้ งการเข้าใจตนเองอยา่ ง แทจ้ ริงกจ็ ะเกดิ ขน้ึ Maslow อธิบายความต้องการเขา้ ใจตนเองอย่างแทจ้ ริง ว่าเปน็ ความปรารถนาในทุกส่ิงทุก อยา่ งซึ่งบุคคลสามารถจะไดร้ ับอย่างเหมาะสมบุคคลท่ปี ระสบผลสาเรจ็ ในขน้ั สงู สุดนจ้ี ะใช้พลังอยา่ งเต็มที่ในส่งิ ท่ีท้าทายความสามารถและศักยภาพของเขาและมคี วามปรารถนาท่ีจะปรบั ปรุงตนเอง พลงั แรงขบั ของเขาจะ กระทาพฤตกิ รรมตรงกบั ความสามารถของตน กล่าวโดยสรุป การเข้าใจตนเองอยา่ งแท้จรงิ เปน็ ความต้องการ อยา่ งหน่ึงของบุคคลทจ่ี ะบรรลุถงึ จุดสงู สดุ ของศักยภาพ เชน่ \"นกั ดนตรีก็ต้องใชค้ วามสามารถทางด้านดนตรี ศลิ ปนิ ก็จะต้องวาดรูป กวีจะต้องเขยี นโคลงกลอน ถ้าบุคคลเหล่านี้ได้บรรลถุ ึงเปา้ หมายทตี่ นตัง้ ไวก้ เ็ ชื่อไดว้ ่าเขา เหล่านั้นเปน็ คนทรี่ ูจ้ ักตนเองอยา่ งแท้จริง ความตอ้ งการท่จี ะเข้าใจตนเองอย่างแท้จรงิ จะดาเนินไปอยา่ งง่ายหรือเปน็ ไปโดยอตั โนมัติ โดยความ เป็นจริงแลว้ Maslow เช่ือวา่ คนเรามกั จะกลัวตัวเองในส่งิ เหลา่ น้ี \"ด้านทดี่ ีที่สุดของเรา ความสามารถพิเศษของ เรา สิ่งท่ีดงี ามทสี่ ุดของเรา พลงั ความสามารถความคดิ สรา้ งสรรค์\" Maslow (1962) ความตอ้ งการเขา้ ใจตนเองอย่างแท้จริงมิได้มแี ตเ่ ฉพาะในศลิ ปินเท่านนั้ คนท่วั ๆ ไป เชน่ นักกีฬา นกั เรียน หรือแม้แต่กรรมกร ก็สามารถจะมคี วามเขา้ ใจตนเองอย่างแท้จรงิ ได้ถา้ ทกุ คนสามารถทาในสง่ิ ที่ตน ตอ้ งการใหด้ ีท่ีสุด รปู แบบเฉพาะของการเขา้ ใจตนเองอยา่ งแทจ้ ริงจะมคี วามแตกต่างอยา่ งกวา้ งขวางจากคน หน่ึงไปสอู่ ีกคนหนึง่ กล่าวได้วา่ มนั คือระดบั ความต้องการที่แสดงความแตกตา่ งระหว่างบุคคลอยา่ งยงิ่ ใหญ่ทีส่ ุด ขั้นความต้องการสามารถนาเสนอไดด้ ้วย สรปุ จิตวิทยาคือวิทยาศาสตร์ท่ีศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ โดยอาศัยการสังเกต หรือการใช้เครื่องมือช่วยในการศึกษาพฤติกรรม และจิตวิทยาเป็นศาสตร์หนึ่งของการศึกษาพฤติกรรมของ มนุษย์ ซึ่งเหมาะสมในการนาหลักการและทฤษฎีทางด้านจิตวิทยามาประยุกต์เพ่ือใช้เป็นพ้ืนฐานในการทา ความเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง ผู้อ่ืน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนาไปสู่กระบวนการในการพัฒนาตนเอง แก้ไข พัฒนา และปรับปรุงตนเองเพื่อการเป็นส่วนหน่ึงของสังคมและดาเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข และเพื่อทา ความเข้าใจในพฤตกิ รรมของมนุษยจ์ าเป็นต้องเรยี นรู้ ความรู้เบอ้ื งต้นเกย่ี วกับพฤติกรรมมนุษย์ ความหมายของ พฤติกรรม ประเภทของพฤตกิ รรม ความสมั พนั ธข์ องพฤติกรรมภายในกับพฤติกรรมภายนอก จุดมุ่งหมายของ การศึกษาพฤติกรรม ความสาคัญของการศึกษาพฤติกรรม การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ วิธีการศึกษา พฤติกรรมมนษุ ย์ และลกั ษณะพฤตกิ รรมมนษุ ย์ เพราะส่ิงต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้สามารถเข้าใจพื้นฐานความรู้ เบอ้ื งตน้ เก่ียวกับพฤติกรรมมนุษย์ เพ่อื เตรียมเข้าใจในเนื้อหาในบทเรียนต่อไป และนอกจากนี้การเกิดพฤติกรรมของมนุษย์แต่ละคนเป็นผลมาจากการผสมผสานของ ปจั จัยพ้นื ฐานและองค์ประกอบต่างๆในตัวของมนุษย์ จากนั้นถูกหล่อหลอมด้วยสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ ต่างๆ ปัจจัยพ้ืนฐานที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ประกอบด้วย ปัจจัยพื้นฐานทางชีววิทยา สังคมวิทยา จริยธรรม และจิตวิทยา สาหรับองค์ประกอบของพฤติกรรมน้ันประกอบด้วย การรับรู้ สติปัญญา การคิด การ เรียนรู้ เจตคติ อารมณแ์ ละแรงจูงใจ ซ่ึงทั้งปัจจัยพื้นฐานและองค์ประกอบของพฤติกรรมล้วนแล้วแต่มีอิทธิพล
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษย์กบั การพัฒนาตน ต่อพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังน้ันการจะศึกษาให้เข้าใจในพฤติกรรมของมนุษย์อย่างลึกซ้ึงน้ัน จะต้องมี ศึกษาและทาความเข้าใจเรอ่ื งของปัจจัยพน้ื ฐาน และองค์ประกอบของพฤตกิ รรมของมนุษย์ให้รู้และเข้าใจอย่าง ถ่องแท้ คาถามทา้ ยบท 1. จติ วทิ ยามคี วามเกี่ยวข้องกบั พฤติกรรมของมนุษยอ์ ย่างไร จงอธบิ าย 2. พฤติกรรมมีความหมายว่าอย่างไร 3. พฤติกรรมแบ่งออกเป็นกีป่ ระเภท อะไรบา้ ง 4. จงยกตัวอยา่ งความสัมพันธข์ องพฤตกิ รรม ดงั หัวข้อตอ่ ไปนี้ 4.1 พฤตกิ รรมภายในเปน็ ตวั กาหนดพฤติกรรมภายนอก 4.2 พฤตกิ รรมภายนอกเป็นตัวกาหนดพฤตกิ รรมภายใน 5. จดุ ม่งุ หมายของพฤติกรรมมีอะไรบ้าง 6. การศึกษาพฤติกรรมมีความสาคญั อย่างไร 7. วธิ กี ารศกึ ษาพฤติกรรมมนุษย์ทาได้กวี่ ธิ ี อะไรบ้าง 8. จงอธิบายกลไกท่ีเป็นปัจจัยพ้ืนฐานทางชีววิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ พร้อม ยกตวั อย่างประกอบ 9. จงอธิบายปัจจยั พน้ื ฐานทางสงั คมท่ีส่งผลตอ่ พฤติกรรมของมนุษย์ พรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบ 10. ปัจจัยพืน้ ฐานทางจริยธรรมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง ประกอบ 11. ปัจจัยพ้ืนฐานทางจิตวิทยามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง ประกอบ เอกสารอ้างองิ จาเรญิ รัตน์ เจอื จันทร์. (2548). จรยิ ศาสตร์: ทฤษฎจี รยิ ธรรมสาหรับนกั บริหารการศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส. พรน้ิ ตง้ เฮา้ ส์ ดวงเดือน พนั ธมุ นาวิน (2538) ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมกับพฤติกรรมการทางานของข้าราชการไทย. มมป. เอกสารอัดสาเนา. ดุลยา จิตตะยโศธร. (2552). รูปแบบการอบรมเลีย้ งดูของ Diana Baumrind . วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปที ่ี 29 ฉบับที่ 4 เดอื นตลุ าคม - ธนั วาคม 2552 เติมศกั ดิ์ คทวณิช. (2546). จติ วิทยาท่วั ไป (General Psychology). กรงุ เทพฯ : ซเี อ็ดยูเคชนั่ ,2546 ปราณี รามสตู ร และจารสั ดว้ งสวุ รรณ. (2545). พฤติกรรมมนุษยก์ ับการพัฒนาตน. กรงุ เทพฯ : สถาบนั ราช ภฏั ธนบรุ .ี พรรณทิพย์ ศิริวรรณบศุ ย์ และคณะ. (2545). รายงานการวิจัย เรือ่ ง การศึกษารูปแบบความสมั พันธ์ ระหว่างพฤติกรรมของคนไทยกบั กระบวนการทางสงั คมประกติ ของครอบครัวในปัจจุบันทเ่ี ออ้ื ต่อการพฒั นาประเทศ.กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
GEPS 123 พฤติกรรมมนษุ ยก์ ับการพฒั นาตน พระเทวินทร์ เทวินโท. ( 2544 ). พทุ ธจรยิ ศาสตร์. นนทบรุ ี : สหมิตรพร้นิ ต้งิ พิสมัย วิบูลย์สวสั ดิ์ และคณะ. (2527). จติ วิทยาทั่วไป. เชยี งใหม่ : มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่. ภาวิดา ตยุ้ สา.(2553). ปัจจัยทส่ี ่งผลต่อการปรบั ตวั กับเพอ่ื ตา่ งเพศของนกั เรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนการ เคหะท่าทราย เขตหลกั สี่ กรงุ เทพมหานคร.ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม.(จิตวิทยาการศึกษา).กรงุ เทพฯ : บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. เมธาวี อดุ มธรรมานุภาพ, รตั นา ประเสรจ็ สม และเรียม ศรที อง. (2544). พฤตกิ รรมมนุษย์กบั การพัฒนา ตน. กรงุ เทพฯ : คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภฏั สวนดสุ ิต. ฤกษช์ ยั คณุ ปู การ. (2527). จิตวิทยาการศึกษา. พิษณุโลก : ภาควิชาจิตวิทยาและการแนะแนว สถาบนั ราชภัฏพบิ ลู สงคราม. ฤกษ์ชยั คุณูปการและคณะ. (2545). พฤติกรรมมนุษยก์ ับการพฒั นาตน พษิ ณุโลก : ภาควิชาจติ วิทยาและ การแนะแนว สถาบันราชภัฏพบิ ลู สงคราม. สลกั จิต ตรรี ณโอภาส.(2555). GEPS 123 พฤติกรรมมนุษย์กบั การพัฒนาตน : โครงการเอกสาร ประกอบการสอนวิชาศึกษาท่ัวไป คณะกรรมการบรหิ ารหลกั สตู รหมวดวิชาศกึ ษาท่วั ไป มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม . พิษณโุ ลก : มปพ. สชุ า จนั ทนเ์ อม. (2542). จิตวทิ ยาทั่วไป. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. สุภทั ทา ปิณฑะแพทย์. (2527). จิตวทิ ยาพัฒนาการ. กรงุ เทพมหานคร : หอรัตนชัยการพมิ พ์ สภุ า มาลากลุ ณ อยธุ ยา. (2538). “ปจั จัยท่ีสาคญั ในการทางานของจิตใจ” จติ วิทยาทว่ั ไป. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. Baumrind, D. (1971). “Current Patterns ofParental Authority.” DevelopmentalPsychology Monongraphs. 4: 1-103. ___. (1980). “New Directions in Socialization Research.” American Psychologist 35: 639- 652. Lahey, B.B. (2001). Psychology : an Introduction. 7 th Edition. McGraw – Hill Company, Inc, New York. Maccoby, E.E., and Martin, J. 1983.“Socialization in the Context of Family:Parent-Child Interaction.” In P.H. Mussen (ed.), Handbook of Child Psychology,Vol. 4 Socialization, Personality, and Social Development, pp. 1-101. New York: Wiley.
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ บั การพฒั นาตน บทที่ 2 องค์ประกอบของพฤตกิ รรม จากการท่ีไดท้ าความเขา้ ใจต้นกาเนดิ ของพฤติกรรมของมนุษยใ์ นเรือ่ งความรู้เบ้ืองต้นและ ปัจจัยพนื้ ฐานของพฤตกิ รรมของมนุษย์แลว้ นนั้ ยังตอ้ งทาความเขา้ ใจถึงองคป์ ระกอบตา่ งๆท้งั 8 องค์ประกอบ ดงั ตอไปนี้ ได้แก่ การรับรู้ การคิด สตปิ ัญญา การจา ความเชอื่ เจตคติ อารมณ์ และการเรยี นรู้ เพ่อื จะได้เข้าใจ สาเหตแุ ละกระบวนการเกิดของพฤตกิ รรมต่างๆของมนุษย์มากข้ึน ซ่ึงองคป์ ระกอบตา่ งๆเหล่าน้ีเปน็ พฤติกรรม ภายใน ท่ีมนุษย์ไมส่ ามารถสงั เกตและมองเห็นได้ด้วยตาเปลา่ แต่มีอทิ ธิพลต่อพฤตกิ รรมการแสดงออกของ มนษุ ย์ทั้งสิน้ ซึ่งจะได้กลา่ วอย่างยอ่ ๆ ดังต่อไปนี้ 1. การรบั รู้ (Perception) การรับรู้ คือ การตคี วามหมายของสงิ่ เรา้ จากการสัมผสั ด้วยประสาทสัมผสั ทัง้ 5 กระบวนการรับรู้ มรี ายละเอยี ดที่น่าสนใจ ดงั นี้ 1.1 ความหมายการรบั รู้ การรับรู้ คอื กระบวนการท่ีเกิดขึ้นภายหลังจากท่ีสิ่งเร้ากระตุ้นการรู้สึกและถูกตีความเป็นส่ิงที่มี ความหมาย โดยใช้ความรู้ ประสบการณ์และความเข้าใจของบุคคล (Bernstein อ้างถึงใน สลักจิต ตรีรณ โอภาส : 2555) การรับรู้เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ (perception is learned) ดังนั้นถ้าขาดการเรียนรู้หรือ ประสบการณ์จะมีเพยี งการรับสัมผัสเท่าน้นั พฤติกรรมการรับรู้ เป็นกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมท่ีต่อเนื่องจากการรู้สึกสัมผัสรับรู้ เป็น กระบวนการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาในกระบวนการรู้สึก เม่ือเคร่ืองรับหรืออวัยวะรับสัมผัส สัมผัส ส่ิงเรา้ เราจะเกิดความรู้สกึ แล้วส่งความรู้สึกนั้นไปตีความ หรอื แปลความหมายกลายเป็นการรับรู้ การรับรูจ้ ะเกิดขน้ึ ไดต้ ้องประกอบด้วยกระบวนการทีส่ าคญั คอื 1. สิง่ เรา้ ( Stimulus ) จะทาใหเ้ กดิ การรบั รู้ เช่น สถานการณ์ เหตกุ ารณ์ สิ่งแวดล้อม รอบกาย ที่ เป็น คน สัตว์ และสง่ิ ของ 2. ประสาทสัมผสั ( Sense Organs ) ทีท่ าให้เกิดความร้สู ึกสมั ผัส เชน่ ตาดู หฟู ัง จมูกได้ กลน่ิ ลิ้นรู้ รส และผิวหนังร้รู ้อนหนาว 3. ประสบการณ์ หรอื ความรู้เดิมทเ่ี ก่ียวข้องกับสิ่งเร้าทีเ่ ราสมั ผัส 4. การแปลความหมายของส่ิงทีเ่ ราสัมผัส สิง่ ที่เคยพบเห็นมาแล้วยอ่ มจะอยู่ในความทรงจาของสมอง เมือ่ บุคคลได้รับสิง่ เร้า สมองก็จะทาหน้าท่ีทบทวนกบั ความรทู้ ่มี อี ยู่เดิมวา่ ส่ิงเร้านัน้ คืออะไรเม่อื มนุษยเ์ ราถกู เร้า โดยสง่ิ แวดล้อมกจ็ ะเกดิ ความรู้สกึ จากการสมั ผสั (Sensation) โดยอาศัยอวยั วะสมั ผัสทงั้ 5 คือ ตา ทาหน้าทดี่ ู คือ มองเหน็ หูทาหนา้ ทฟ่ี ังคอื ได้ยนิ ลิน้ ทาหน้าท่ีรรู้ ส จมูก ทาหนา้ ทดี่ มคือ ไดก้ ลิ่น ผวิ หนงั ทาหน้าท่สี ัมผัสคือ รูส้ กึ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ย์กับการพัฒนาตน การอธบิ าย กระบวนการรับรู้ ตวั อย่างเช่น ในฤดูหนาวคนื หน่ึง อากาศหนาวเยน็ (สิ่งเรา้ ภายนอก) ใบเตยร้สู ึกหนาวข้ึนมาจบั ใจ (ความรู้สึก) ทนั ใดน้นั เกิดอาการขนลุกชนั (ความรสู้ ึก) จงึ ค่อยๆดึงผ้าหม่ ที่หลุดลงขา้ งเตียง (สมองแปล ความหมายและตัดสนิ ใจ) มาคลุมตวั และนอนซกุ ตวั อยูภ่ ายใตผ้ ้าห่มผนื นัน้ (พฤติกรรม) จากตวั อย่างแสดงให้เหน็ ว่าพฤติกรรมการดึงผา้ ห่มมาคลมุ ตัวและนอนซุกตวั อยู่ภายใตผ้ ้าหม่ มีผลมาจาก การเกดิ กระบวรการรับรจู้ ากสง่ิ แรกนัน่ คือ ส่ิงเร้าภายนอกท่เี รยี กว่าอากาศ เมอ่ื รา่ งกายเราได้ สมั ผสั กบั สง่ิ เรา้ ภายนอกจะเกิดกระบวนการรบั รู้อยา่ งเป็นขั้นตอนดังตวั อย่างข้างตน้ 1.2 การจดั ระบบการรบั รู้ 1. การรบั ร้รู ูปร่าง มปี ระเด็นที่สาคัญ 3 ประเดน็ เกีย่ วกับการรบั รู้รูปรา่ งคอื เร่อื งภาพ และพื้น เร่อื งของการจดั ระเบียบและการจาแบบแผนได้ 1.1 ภาพและพน้ื ความสมั พันธร์ ะหว่างภาพและพ้ืน เม่อื ทงั้ สองสิง่ นี้อย่ใู นอาณาเขต เดยี วกนั ภาพคือสงิ่ ทม่ี รี ปู รา่ งท่เี ด่นชดั ปรากฎขึ้นมาจากเส้นขอบของอาณาเขต และพื้นกค็ ือสว่ นท่ีเหลือ ทง้ั หมดภายในอาณาเขต Edgar Rubin เปน็ นักจติ วิทยาเกสตัลท์ ชาวเดนมาร์ค (1958) ได้สรปุ ความสัมพนั ธ์ ระหว่างภาพและพนื้ ไว้ ดงั น้ี 1. ภาพนยิ ามว่าเปน็ สง่ิ ทม่ี รี ปู ร่างแต่พ้ืนถูกเหน็ วา่ ไมม่ ีรูปร่าง 2. พื้นคอื สิง่ ที่มีลักษณะต่อเน่ืองอยู่ข้างหลงั ภาพ 3. ภาพดเู หมอื นว่าเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกบั ผู้มอง มคี วามชดั เจนในทวี่ า่ งตรงข้ามกับพื้นทด่ี เู หมอื นวา่ เป็น ส่งิ ท่ีอยู่ไกลและไม่ชดั เจน ดงั แสดงในภาพ
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษย์กับการพฒั นาตน ภาพท่ี 1 ทม่ี า : http://www.baanjomyut.com/library_2/extension- 2/gestalt_theory/01.html จากภาพที่ ทา่ นมองเหน็ เป็ นภาพอะไร? ตอบ ก.หญิงสาว ข.หญิงแก่ ค.ไมเ่ หน็ ทงั้ หญิงสาวหญิงแก่ ง.ทงั้ หญิงสาวและหญิงแก่ ภาพที่ 2 ทมี่ า : http://nadeeyah018.blogspot.com/2012/1 0/gestalt-psychology-gestalt-2-max.html ภาพท่ี 3 ทม่ี า : http://nadeeyah018.blogspot.com/2012/1 0/gestalt-psychology-gestalt-2-max.html แนวคดิ พน้ื ฐานเกย่ี วกับการรับรู้ของกลมุ่ เกสตลั ท์ 1. เราจะรับรูส้ ิ่งต่างๆในรปู ลักษณะทเ่ี ปน็ ความหมายของส่วนรวมทัง้ หมด 2. ผลกระทบต่อส่วนใดส่วนหนึง่ ภายในระบบยอ่ มสง่ ผลกระทบไปถงึ ส่วนอ่ืนๆนระบบเดียวกนั
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ ับการพัฒนาตน 3. ความรู้หรือพฤติกรรมทางจิตเป็นผลมาจากกจิ กรรมภายในจติ หรือสมอง 4. ผลท้ังหมดของกิจกรรมมีความสลับซบั ซอ้ น 5. พฤติกรรมแบบ Molar ไม่ไดเ้ กดิ ขึ้นโดยมีเพยี งแต่ละสว่ นย่อย 6. การวดั พฤติกรรมมีลักษณะเป็นแบบอัตวสิ ยั 7. การรับรู้ท่มี มี าในอดีตเป็นประสบการณ์ทเี่ ป็นประโยชนต์ ่อการรับรใู้ นปัจจบุ ัน 8. รูปรา่ งลักษณะตา่ งๆของหน่วยรวมใดเกิดจากการจัดเรียบเรียงสว่ นยอ่ ยเพ่ือประกอบข้ึนเป็นหน่วยรวม 1.2 การจดั ระเบียบการรบั รู้ 1. หลักแห่งความคล้ายคลึง (Similarity) หมายถึง บุคคลมักจะรับรู้วัตถุที่มีรูปร่าง หรือสี คลา้ ยกันเข้าเป็นพวกเดียวกัน เช่น จากภาพตัวอย่างสามารถรับรู้ได้ 2 อย่างคือ มองเห็นเป็นเครื่องหมายบวก (สีดาเหมอื นกนั ) และมจี ุดขาว 4 กล่มุ (สขี าวเหมอื นกนั มีสีดาแยกกลมุ่ ) 2. หลักแหล่งความใกล้ชิด (Proximity) หมายถงึ บคุ คลมักจะรับรู้วัตถทุ ี่อยูใ่ กลก้ นั เขา้ เป็น พวกเดียวกนั เช่น จากภาพตัวอยา่ ง บุคคลมักจะรับรภู้ าพ ก เป็น 4 แถวนอน และรบั รู้ภาพ ข เปน็ 6 แถวตั้ง กข
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษยก์ ับการพัฒนาตน 3. หลกั แหง่ ความสมบรู ณ์ (Closure) หมายถึง บคุ คลมักจะรบั รวู้ ัตถุที่มีลักษณะเว้าแหวง่ ซง่ึ ไม่ มีความหมาย ให้เป็นภาพทคี่ รบสมบูรณแ์ ละมีความหมาย เชน่ จากภาพตัวอยา่ ง มักจะรบั รเู้ ปน็ รปู สามเหลีย่ ม และรูปส่เี หลีย่ ม 4. หลักแหง่ ความตอ่ เนื่อง (Continuity) หมายถงึ บุคคลมกั จะรับร้วู ตั ถทุ ่ีอยู่ในทิศทางเดียวกนั เขา้ เป็นพวกเดยี วกัน เชน่ จากภาพขา้ งล่าง มักจะรับรูภ้ าพ ก เป็นเส้นคดลากทับเส้นหักมมุ แต่ถา้ แบง่ เปน็ 2 สว่ น กม็ กั ระรบั ร้เู ป็นภาพ ข และภาพ ค เปน็ ต้น ก ค ข สรุปแล้ว พฤติกรรมการรับรู้ เป็นกระบวนการตอบสนองต่อส่ิงแวดล้อมที่ต่อเนื่องจากการรู้สึกสัมผัส รับรู้ เป็นกระบวนการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาในกระบวนการรู้สึก เม่ือเคร่ืองรับหรืออวัยวะรับ สมั ผัส สมั ผสั สิ่งเร้า เราจะเกิดความรู้สึกแล้วส่งความรู้สึกนั้นไปตีความ หรือแปลความหมายกลายเป็นการรับรู้ นัน่ เอง 2. สตปิ ญั ญา (Intelligence) สติปัญญา คือ ส่ิงท่ีมีอยู่ในตัวบุคคลต้ังแต่เกิด และสร้างสมมาจากประสบการณ์ การวัด สติปัญญาจะวัดในประเด็นการแก้ปัญหา ความสามารถทางภาษา ความไวในการปรับตัวเข้ากับส่ิงแวดล้อม หรือเรียนรู้ส่ิงใหม่ ตัวแปรท่ีเก่ียวข้อง เช่น สติปัญญาของพ่อแม่ สุขภาพของแม่ เช้ือชาติ วัฒนธรรม อายุ เปน็ ตน้ แนวคิดเก่ียวกับสติปัญญา (Intelligences) ท่ีมีมาตั้งแต่เดิมน้ัน จากัดอยู่ที่ความสามารถด้านภาษา ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ และการคิดเชิงตรรกะหรือเชิงเหตุผลเป็นหลัก การวัดเชาวน์ปัญญาของ
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษย์กบั การพฒั นาตน ผ้เู รียนจะวดั จากคะแนนทีท่ าไดจ้ ากแบบทดสอบทางสตปิ ัญญา ซึ่งประกอบดว้ ยการทดสอบความสามารถท้ัง 2 ดา้ นดังกล่าว คะแนนจากการวดั สติปญั ญาจะเปน็ ตัวกาหนดสตปิ ญั ญาของบุคคลนัน้ ไปตลอด เพราะมีความเช่ือ ว่า องคป์ ระกอบของสติปญั ญา จะไม่เปลยี่ นแปลงไปตามวัยหรือประสบการณ์มากนัก แต่เป็นคุณลักษณะท่ีติด ตวั มาแต่กาเนิด จะเห็นได้ว่าส่ิงสาคัญของการจัดการเรียนการสอนน้ันต้องเน้นถึงความแตกต่างท้ังด้านวิธีการเรียนรู้ บคุ ลิกภาพและศักยภาพของแตล่ ะคน ซึง่ ครู พ่อแม่และผู้ปกครองต้องร่วมมือเพ่ือจัดกิจกรรมพัฒนาเด็กให้เต็ม ศักยภาพและเขาได้ใช้ความสามารถได้อย่างสูงสุด ซ่ึงสอดคล้องกับทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ของโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศ สหรัฐอเมรกิ า ซง่ึ เปน็ ทฤษฎที ่ชี ้ีให้เห็นถึงความหลากหลายทางสติปัญญาของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่น ในด้านไหนบ้าง และแต่ละด้านก็มีความเป็นอิสระในการพัฒนาตัวเองให้เจริญงอกงาม ในขณะเดียวกันก็มี การบูรณาการเข้าด้วยกัน เติมเต็มซึ่งกันและกัน แสดงออกเป็นเอกลักษณ์ทางปัญญาของมนุษย์แต่ละคน คน หนงึ่ อาจเก่งเพยี งด้านเดียว หรือเก่งหลายด้าน หรืออาจไม่เกง่ เลยสักด้าน แต่ที่ชัดเจน คือ แต่ละคนมักมีปัญญา ด้านใดด้านหน่งึ โดดเด่นกว่าเสมอ ไมม่ ีใครทม่ี ีปัญญาทุกด้านเท่ากันหมด หรือไม่มีเลยสักด้านเดียว แนวคิดของ การ์ดเนอร์ได้ระบุรูปแบบความสามารถของมนุษย์เป็นกลุ่มใหญ่ๆ 7 ด้าน และล่าสุดการ์ดเนอร์ก็ได้เพ่ิม ความสามารถเป็น 9 ด้าน ไดแ้ ก่ อุษณยี ์ อนุรทุ ธว์ งศ์, 2555 : 45) 1. ดา้ นภาษา (Linguistic intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจความหมายและการใช้ ภาษา การพูดและการเขียน การเรียนรู้ภาษา การใช้ภาษาส่ือสารให้ได้ผลตามเป้าหมาย สื่ออารมณ์ความรู้สึก ให้คนอน่ื เขา้ ใจไดด้ ี เช่น กวี นักเขียน นกั พูด นักกฎหมาย 2. ด้านความคิดเป็นเหตุผลและแบบนักคณิตศาสตร์ (Logical-mathematic intelligence) คือ ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ และเร่ืองของเหตุผล คิดวิเคราะห์ในเชิงวิทยาศาสตร์ เช่น นกั วิทยาศาสตร์ นักคณติ ศาสตร์ 3. ด้านดนตรี (Musical intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจและสร้างสรรค์ดนตรี เข้าใจจงั หวะ เช่น นกั แต่งเพลง นักดนตรี นักเต้น 4. ด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial intelligence) คือ ความสามารถในการสร้างภาพในจินตนาการ และนามาสรา้ งสรรค์เป็นผลงาน เช่น จิตรกร ประตมิ ากร สถาปนิก ดไี ซเนอร์ 5. ด้านกฬี าและการใชก้ ลา้ มเนอ้ื ตา่ งๆ (Bodily-kinesthetic intelligence) คือ ความสามารถ ในการใชร้ ่างกายเคลื่อนไหวอยา่ งสรา้ งสรรค์ เชน่ นักเตน้ นักกีฬา นักแสดง 6. ดา้ นมนุษยสมั พนั ธ์ (Interpersonal intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึก นกึ คดิ ของผู้อ่นื สามารถจูงใจผู้อื่น เช่น นักการเมือง ผ้นู าทางศาสนา ครู นักการศกึ ษา นกั ขาย นักโฆษณา 7. ด้านความเข้าใจในตน (Intrapersonal intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจ ความรูส้ ึกภายในของผ้คู น เช่น นักเขียน ผู้ให้คาปรึกษา จิตแพทย์ 8. ด้านธรรมชาติศึกษา (Naturalist intelligence) คือ ความสามารถในการเรียนรู้เรื่อง ธรรมชาติ พชื สัตว์ ธรณวี ิทยา สิ่งแวดล้อม
GEPS 123 พฤติกรรมมนษุ ย์กับการพัฒนาตน 9. ด้านการใฝ่แกน่ สารแห่งชีวิต (Existential intelligence) คือ ชอบคดิ สงสัยใครร่ ู้ ตั้งคาถาม กับตัวเองในเร่ืองความเป็นไปของชีวิต ชีวิตหลังความตาย เรื่องเหนือจริง มิติลึกลับ เช่น นักคิด อามิ อรสิ โตเติล ขงจอ้ื ไอน์สไตน์ พลาโต โสเครติส ฯลฯ \" เดก็ ที่ไม่เกง่ คณิตศาสตร์... อาจจะมคี วามสามารถในการใชภ้ าษาดี เดก็ ทไี่ ม่เก่งท้ังคณติ ศาสตร์และภาษา... อาจเปน็ เลศิ ทางศิลปะ เดก็ ที่ไอคิวปกติ... อาจเปน็ อจั ฉรยิ ะทางกีฬา เดก็ ท่ีไอคิวตา่ กว่าปกติ... อาจเป็นอัจฉรยิ ะทางดนตรี เดก็ ที่ไอควิ สงู ... กอ็ าจไมม่ ีเรื่องใดโดดเด่นเลย เด็กที่ไมเ่ ก่งท้ังคณติ ศาสตร์ ภาษา ดนตรี กฬี า และศลิ ปะ ก็สามารถใชช้ ีวติ ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข มีเพ่ือนฝูงมากมาย ไดเ้ ชน่ กัน \" (ข้อความของนพ.ทวศี กั ดิ์ สิริรตั น์เรขา จาก http://www.happyhomeclinic.com ) การทดสอบสติปัญญานน้ั มอี ยู่ดว้ ยกนั 2 แบบคอื 1. การทดสอบเปน็ กลมุ่ (Group Test) 2. การทดสอบเดีย่ วหรือทดสอบรายบคุ คล (Individual Test) แบบทดสอบระดบั สติปญั ญา เปน็ เครอ่ื งมือวดั ระดบั ความสามารถของสติปัญญาดว้ ยกระบวนการต่าง ๆ ตาม ลกั ษณะของแบบทดสอบแต่ละฉบบั ซง่ึ จะต้องจดั บรรยากาศของการทดสอบ และการสรา้ งความรว่ มมือให้เกิด ขนึ้ กับผู้ท่รี บั การทดสอบ ผ้ทู ดสอบจะเลือกแบบทดสอบระดับสติปญั ญา ซงึ่ นยิ มใช้กันมากคอื แบบทดสอบของ สแตนฟอร์ด บิเนย์ (Standford – binet Intelligence Scale) และแบบทดสอบของ เวชชเ์ ลอ่ ร์ (Wechsler Intelligence Scale) แบบทดสอบของสแตนฟอรด์ นัน้ มี 1 ฉบบั และใชท้ ดสอบระดับสติปญั ญาได้ตั้งแตเ่ ด็ก จนถงึ ผใู้ หญ่ สว่ นแบบทดสอบของเวชช์เล่อรน์ ั้นมี 3 ฉบบั คือ 1. Wechsle Preschool and Primary Scale of Intelligence (WPPSI) เป็นแบบทดสอบระดับ สติปัญญาสาหรบั เดก็ เล็กถงึ วัยเดก็ ตอนต้น 2. Wechsler Intelligence Scale of Children – Revised (WISC – R) เป็นแบบทดสอบระดบั สติปญั ญาสาหรับวยั เดก็ ตอนกลางถงึ วัยรนุ่ 3. Wechsler Adult Intelligence Scale (WAIS) เปน็ แบบทดสอบระดับสติปัญญาสาหรับวยั ร่นุ ตอน ปลายถึงวยั ผูใ้ หญ่ การพัฒนา IQ 1. ฝึกความสามารถเชงิ คณติ ศาสตร์ เลน่ เกิจกรรม/เกมส์พัฒนาสมอง เช่น หมากล้อม (โก๊ะ) 2. กระตุ้นความคิดเชงิ ภาษา เชน่ การนึกถึงสานวนไทยและให้ความหมาย การอา่ นคาและเขียนสง่ิ ทน่ี ึก ไดจ้ ากคานัน้ ๆ 3. ฝกึ ความคิดสรา้ งสรรค์ เชน่ การตคี วามหมายจากภาพทเ่ี หน็ การเรียงความจากคาที่ใหม้ า การ เติมคา การวาดภาพใหม่จากภาพที่ให้มา 4. มคี วามมุมานะ พยายามและอดทน 5. มีมนุษย์สัมพนั ธท์ ีด่ กี ับบคุ คลท่วั ไป และมีคณุ ธรรม 6. มสี ขุ ภาพจิตดี และมีพื้นฐานทางบุคลกิ ภาพทม่ี ่ันคง
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ ับการพัฒนาตน 7. มีสภาพแวดล้อมท่ดี ี 8. ออกกาลงั กายบรหิ ารสมอง (Brain gym) ตารางเทยี บระดับเชาวนป์ ัญญา I.Q. ระดับเชาวนป์ ญั ญา 130+ อัจฉริยะ (Very Superior) 120 + 110-119 ฉลาดมาก(Superior) 90-109 ฉลาด(Bright Normal) 80-89 ปานกลางหรืออยูใ่ นเกณฑ์เฉล่ีย(Average) 70-79 ค่อนข้างด้อย (Dull Normal) บกพร่องระดับบอร์เดอร์ไลน์ (Borderline) 50-69 ปญั ญาบกพร่อง (Mentally Defective หรือMental Retardation) ต่ากว่า 50 ปัญญาบกพร่องมาก 3. การคดิ (Thinking) 3.1 ความหมายของการคิด การคิด หมายถึง การจัดกระทาทางจิตท่ีก่อรูปข้ึนเพ่ือหาเหตุผล ทาความเข้าใจส่ิงแวดล้อม แก้ปัญหา ทาการตัดสินใจทั้งท่ีมีเป้าหมายและไม่มีเป้าหมาย (Bernstein. 1999) และเป็นพฤติกรรมภายใน ของบุคคล ท่ีเกิดข้ึนต่อเน่ืองมาจากพฤติกรรมการรู้สึกการรับรู้และการจา การคิดเป็นการเกิดสัญลักษณ์ แทนที่สิ่งของ หรือวัตถุ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นในสมอง แม้ขณะท่ีคิด ส่ิงต่างๆ จะไม่ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ ตาม นกั จติ วิทยาบางท่านมีความเห็นว่า การคิดเป็นกิจกรรมทางสมอง ไม่ว่าผู้คิดจะอยู่ภายใต้สภาวะที่รู้สึกตัว (Conscious) หรือไม่รสู้ ึกตวั (Unconscious) ก็ตาม (Quinn. 1985) 3.2 ประเภทของการคิด การคดิ แบ่งออกเปน็ ประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ (กนั ยา สวุ รรณแสง. 2540) 1. การคิดประเภทสัมพันธ์ เปน็ การคดิ ทไี่ มม่ ีจดุ มุ่งหมายอันใด เป็นการเชื่อมโยงระหวา่ ง สญั ลักษณ์ของสิง่ ต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นส่งิ ของ วตั ถุ หรือเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ การคิดประเภทน้ีไดแ้ ก่ การคดิ เก่ียวกบั เรื่องของตนเองการฝนั ท้ังการฝันกลางวนั และการฝนั กลางคืน 2. การคดิ แบบมีจุดมุง่ หมาย เปน็ การคิดแบบมีจดุ มงุ่ หมายซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ การคดิ แก้ปัญหา อย่างใดอย่างหนึ่งการคิดแบบมจี ุดมุง่ หมายประกอบดว้ ย การคดิ เชงิ วิจารณ์ สรา้ งสรรค์และแก้ปัญหา 2.1 การคดิ เชงิ วิจารณ์ เปน็ การคิดเพื่อพจิ ารณาข้อเทจ็ จริงหรือสภาพการณต์ ่างๆ วา่ ถกู หรอื ผิด โดยใช้เหตุผลประกอบการคดิ โดยพจิ ารณาว่าอะไรเป็นเหตุและอะไรเปน็ ผล เชน่ การคดิ แก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ 2.2 การคิดเชงิ สรา้ งสรรค์ เปน็ ความสามารถของบคุ คลท่จี ะมองเหน็ ความสัมพันธ์ระหว่าง ความใหม่ กบั ความสาคัญของการคิดเหน็ หรือเหตุการณต์ า่ งๆ (Silverman 1985 : 216) ซึ่งความสามารถใน การเหน็ ความสัมพนั ธข์ องความใหมน่ ้นั จะสง่ ผลใหบ้ ุคคลมีความคิดใหมๆ่ วธิ ีการใหม่ๆ การแกป้ ญั หาใหมๆ่ หรอื แม้กระทั่งมปี ญั หาเรื่องใหม่ข้นึ มาอกี ผู้คิดทม่ี ีแนวโนม้ ท่ีจะมองสิง่ ต่างๆ ในเชิงสร้างสรรคน์ ัน้ มักจะเป็นคน
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ ับการพฒั นาตน ท่ีมคี วามสามารถในการหยง่ั เห็น (Insight) ที่จะแปลรูป (Transform) สิง่ ที่เขากาลังทาอยใู่ นการคดิ เชงิ สรา้ งสรรคน์ น้ั จะมีอุปสรรคเกิดขึ้นได้หลายทาง ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากตัวบคุ คล ได้แก่ 1. การขาดความรูเ้ กยี่ วกบั ปัญหาน้ัน 2. นสิ ัย ประสบการณเ์ ดมิ ที่ผ่านมาจะทาให้บุคคลเพาะนิสัยต่างๆ ขึ้นมา ซึง่ ทาให้มวี ธิ ีการ หรอื รปู แบบในการแก้ปญั หาทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป ข้อแตกตา่ งระหวา่ ง ทักษะการคดิ : ลักษณะการคดิ : กระบวนการคิด ทักษะการคดิ ลักษณะการคิด กระบวนการคดิ คาทแี่ สดงออกถึงการกระทาหรือ เป็นคาวเิ ศษณ์ มีลักษณะเฉพาะ การคดิ ที่ประกอบไปด้วยลาดับ พฤติกรรม บางอย่างทเ่ี ปน็ คุณสมบัติเด่นของ ข้นั ตอนในการคิด การคิดน้ันๆ 1. ทักษะการคดิ พ้นื ฐาน –เป็น ลักษณะการคดิ ที่ควรนาไปใชใ้ นการ ในแต่ละขั้นตอนของการดาเนินการ ทกั ษะการคดิ พืน้ ฐานเบื้องต้นท่ี พฒั นาเด็กและเยาวชนของชาติ มี 9 คิดจะต้องอาศัยทกั ษะการคิดขนั้ ก่อใหเ้ กดิ การคิดในระดับสงู ประการ พ้นื ฐานและข้นั สูงตามความ เปน็ ทักษะการส่ือความหมาย 1. การคิดคล่อง เหมาะสม ทกั ษะการฟัง 2. การคดิ หลากหลาย กระบวนการคดิ อย่างมี ทักษะการจา 3. การคดิ ละเอียด วจิ ารณญาณ ทักษะการอ่าน 4. การคดิ ชดั เจน 5. การคดิ กว้าง กระบวนการคิดรเิ รม่ิ ทักษะการรับรู้ 6. การคิดไกล สร้างสรรค์ 7. การคดิ ถูกทาง ทักษะการพูด 8. การคิดลึกซงึ้ การบวนการคิดตัดสนิ ใจ ทักษะการเขยี น 9. การคิดอย่างมเี หตุผล กระบวนการคิดไตร่ตรอง ทักษะการแสดงออก 2. ทักษะทีเ่ ป็นแกนสาคัญ – ใช้ กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ อยู่เสมอในชีวิตประจาวัน มี การบวนการแก้ปญั หา ความจาเปน็ ต่อการเรียนรู้ กระบวนการวจิ ัย ทักษะการสงั เกต ทกั ษะการสารวจ ทักษะการต้ังคาถาม ทกั ษะการเปรียบเทยี บ ทักษะการจัดลาดับ ทกั ษะการจดั หมวดหมู่ ทักษะการแปลความ 3. ทักษะการคดิ ข้ันสูงหรือทักษะ การคิดท่ีซบั ซอ้ น – มีข้ันตอน หลายข้นั และอาศัยทักษะการ ส่ือสารและทักษะการคดิ ท่ีเป็น
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษย์กับการพฒั นาตน แกนหลายๆทักษะในแตล่ ะข้นั ทกั ษะการนยิ าม ทักษะการผสมผสาน ทกั ษะการสรา้ ง ทักษะการปรับโครงสร้าง ทกั ษะการหาความเชอื่ พื้นฐาน ทกั ษะการตั้งสมมติฐาน ทักษะการทานาย ทกั ษะการจดั ระบบ ทักษะการทานาย ทักษะการหาแบบแผน ทักษะการประยกุ ต์ ทกั ษะการวิเคราะห์ ทักษะการจัดระบบ ทักษะการพิสูจน์ 4. การจา (Remember) การจา หมายถึง การเกบ็ รักษาขอ้ มลู ไดร้ ะยะเวลาหนง่ึ (Matlin. 1995) เกยี่ วขอ้ งกับ การเก็บรักษาข้อมูลในช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจจะเก็บไว้ในช่วงเวลาน้อยกว่า 1 วินาทีหรือยาวนานตลอดชีวิต การจานั้นมีขั้นตอนท่ีสาคัญ 3 ประการคือ การแปลงรหัส การเก็บรักษาและการกู้กลับคืนมา การแปลงรหัส เป็นการแปลงส่ิงเร้าความรู้สึกให้อยู่ในรูปของข้อมูลที่สามารถนาไปเก็บไว้ในบริเวณที่เก็บความจา การเก็บ รักษา เป็นข้ันที่ 2 เราเก็บข้อมูลท่ีเราจาเพื่อท่ีจะนามาใช้ในภายหลัง ส่วนขั้นตอนสุดท้ายคือการกู้กลับคืนมา เปน็ การดงึ ขอ้ มลู ท่ีเกบ็ ไว้ออกมาใช้ได้ 4.1 รปู แบบการจา การจามีหลายรูปแบบ ซ่งึ สรปุ ได้ ดังนี้ 4.1.1 การจาการรูส้ กึ สัมผัส ความจาการรสู้ ึกสมั ผสั เป็นการรกั ษาข้อมลู ไวใ้ นช่วงส้นั ๆ หลงั จากส่ิงเรา้ ทางกายภาพเลือนหายไป จากการสัมผัส ความจาเปน็ ท่จี ะตอ้ งมีความจาการรสู้ ึก สมั ผสั น้ันมวี ตั ถปุ ระสงค์ 2 ประการคอื 1) เราจาเปน็ ที่จะต้องรกั ษาสิง่ เร้าตรงตามที่ประสาทสัมผสั รับรู้ในช่วงเวลาสัน้ ๆ เพ่ือช่วยใน การเปรยี บเทียบส่งิ ทเ่ี ราสนใจ 2) เราจาเปน็ ต้องมีความจาการรู้สกึ สัมผัสเพราะการจาความร้สู ึกสัมผัสชว่ ยให้เราเขา้ ใจถงึ สง่ิ ทผ่ี ่านไปก่อนหนา้ นี้ การจาความรู้สกึ สมั ผัสนน้ั มที ้ังการจาความร้สู ึกสมั ผัสทางการมองเหน็ การไดย้ ิน การ ดมกล่ิน การลิ้มรสและทางผวิ หนัง แตน่ กั วิจยั ได้ให้ความสนใจ 2 ชนดิ คือ การจาความรูส้ ึกสัมผสั ทางการ มองเห็น และทางการไดย้ นิ
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษย์กบั การพัฒนาตน 4.1.2 การจาภาพตดิ ตา การจาภาพตดิ ตาเป็นการจาความรู้สึกสมั ผัสทางการ มองเหน็ ทาให้เราจาภาพที่มองเห็นได้ในช่วงระยะเวลาครึ่งวนิ าที โดยมเี ทคนิคในการทดสอบการจาอยู่ 2 แบบ คือ partial report technique และ whole report technique โดยเทคนิคแรกมีการต้ังเงือ่ นไขการรายงาน ผลการจา ทาให้ผูร้ ายงานต้องพยายามจาทกุ อย่างทจ่ี ะจาได้ แต่ whole report technique ผจู้ าจะพยายาม จาแตส่ ิง่ ท่ตี นเองสนใจเท่านน้ั จงึ จาได้น้อยกวา่ ผู้ท่ถี ูกทดลองดว้ ยเทคนิคแรก การจาภาพติดตาทาให้เรายงั คง รกั ษาสภาพของสง่ิ ท่ีผ่านพ้นไปให้ยาวนานเพยี งพอทจี่ ะเปรียบเทยี บกับภาพทเ่ี รากาลังเห็นหลังจากทตี่ าของเรา ได้เคลื่อนไปขา้ งหนา้ ในลักษณะทีเ่ รียกว่าSaccadic movement และยงั ช่วยใหเ้ ราเหน็ ภาพทีฉ่ ายในโรง ภาพยนตร์ได้เพราะความคงอยู่ของภาพใจการจาความรสู้ กึ ทางการมองเหน็ 4.1.3 ความจาเสียงก้องหู ความจาเสียงก้องหู คือการจาความรู้สึกทางการได้ยิน ช่ือนี้มีท่ีมาจากการที่เสียงท่ีได้ยินจะก้องอยู่ในหูในช่วงส้ันๆ ได้มีการทาการทดลองประสิทธิภาพความจาเสียง ก้องหโู ดยใช้ Partial และ Whole report technique จากการทดลองพบว่าได้ผลเช่นเดียวกับการจาภาพติด ตา แต่จะมีระยะเวลาในการจายาวนานกว่าการจาภาพตดิ ตา 4.2 ประเภทการจา การจาแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ 4.2.1 การจาระยะส้ัน ความจาระยะสั้นหมายถึง ขอ้ มูลจานวนเล็กนอ้ ยท่เี ราเกบ็ ไว้ในลักษณะเตรยี มพร้อมทจี่ ะใช้ใน ระยะเวลาสนั้ ๆ ช่วงหนึง่ ประมาณ 30 วนิ าที ข้อมลู ในความจาระยะส้ันเปน็ ข้อมูลทีเ่ รากาลังใชอ้ ยใู่ นปจั จุบนั บางครง้ั จงึ เรยี กความจาระยะสัน้ วา่ Working memory เป็นข้อมลู ท่ีเรากาลงั ใชค้ วามต้งั ใจจดจอ่ อยู่ เรากาลัง แปรเปลยี่ นข้อมลู นนั้ และเรากาลงั ทบทวนซ้าให้แกต่ ัวเราเอง ประโยชน์ของความจาระยะสัน้ คอื การชว่ ยทาให้ ข้อมลู ที่เรารับเข้ามาเดิมยังคงอย่ตู อ่ ไปไดร้ ะยะหน่งึ โดยไมร่ บกวนตอ่ การรับรูข้ อ้ มูลปัจจุบันจนกระทง่ั เรา สามารถรับรขู้ ้อมลู ท่ีเข้ามาใหมไ่ ดโ้ ดยตลอด และตคี วามหมายได้ 1. การแปลงรหสั ในความจาระยะสน้ั ในการแปลงสิง่ เร้าจากการจาความรู้สกึ สมั ผัสไปอย่ใู นรูปของ ความจาระยะส้นั มีข้นั ตอนในการดาเนินการอยู่ 2 ข้นั ตอน ได้แก่ การทาการเปล่ียนแปลงและการเก็บรกั ษา ข้อมูล การทาการเปลยี่ นแปลงข้อมลู มี 2 ประเภทคือ effortful processing และ automatic processing effortful processing คอื การท่เี ราใช้ความพยายามทจ่ี ะจดจาสิ่งใดสง่ิ หน่งึ ทเี่ ราต้องการจดจา สว่ น automatic processing ก็คือการจดจาท่เี กิดข้นึ เองโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม (Matlin.1995) 2. รปู แบบเก็บข้อมลู มีรูปแบบทีห่ ลากหลายแตกต่างกันออกไปขึ้นอยกู่ บั สง่ิ เร้า เชน่ เก็บใน รปู แบบที่เป็นเสยี งเป็นภาพที่มองเหน็ หรืออยู่ในรปู ของความหมายของสง่ิ น้ันความคงทนของความจาระยะสัน้ จากการศึกษาพบว่าความจาระยะส้ันมีความคงทนอยู่ได้ไม่เกิน 20 วนิ าที กอ่ นทีจ่ ะหายไป 4.2.1 การจาระยะยาว ความจาระยะยาวหมายถึง ข้อมูลจานวนเล็กนอ้ ยท่ีเราเก็บไว้ความจาระยะยาวเป็นความจาที่บุคคลจา ได้หรือระลึกไดว้ า่ มเี หตกุ ารณ์อะไรท่ีผา่ นเข้ามาในชวี ิตของตนเองบา้ ง อาจจะเป็นเหตกุ ารณ์ที่พึง่ เกดิ ขนึ้ มาไม่ นาน เชน่ 2-3 วันหรือ 1-2 ปี หรือ 10 ปีหรอื นานกวา่ นน้ั แตเ่ รายงั สามารถจาเหตุการณ์ทผ่ี ่านมาได้อยา่ ง ชัดเจน กระบวนการที่เก่ยี วข้องกับความจาระยะยาวได้แก่ การแปลงรหสั การเก็บรักษาขอ้ มูล การกูข้ ้อมลู กลับคนื มาและการลืม 4.3 เทคนิคการจา มเี ทคนิคการจาทน่ี ่าสนใจดงั นี้ 4.3.1 การฝึกฝน
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษยก์ ับการพัฒนาตน มีแนวคิดท่วี า่ จานวนของการเรียนรู้ข้ึนอยู่กับจานวนของเวลาท้ังหมดท่ีฝึกฝน นอกจากน้ีการฝึกฝนยัง มีกฎทส่ี าคญั อกี ขอ้ หนึง่ คอื เราจะจาสงิ่ ตา่ งๆ จากการเรียนรู้ได้ดีถ้าเราแบ่งสิ่งที่เราต้องการศึกษาออกเป็นส่วนๆ ตามความเหมาะสมของเนื้อหาและระยะเวลาในการเรียนรู้ นอกจากนี้การฝึกฝน การเพ่ิมหรือขยายการกู้ กลบั มากเ็ ป็นเทคนิคการฝึกฝนท่สี าคัญท่ชี ่วยให้เราจาสง่ิ ต่างๆ ได้ดขี ึ้น เช่นการพูดหรอื ทอ่ งซา้ ๆ 4.3.2 การสรา้ งภาพในใจ เป็นการสร้างภาพของสิ่งใดส่ิงหน่ึงข้ึนในใจซึ่งเป็นตัวแทนของสิ่งท่ีเราได้เห็นทางกายภาพ ส่วนอีก เทคนคิ หน่ึงของการสร้างภาพในใจก็คือ วิธกี ารนมี้ ักจะนาสง่ิ ที่เราต้องการจะจดจาไปสัมพันธ์กับส่ิงท่ีเกิดขึ้นจริง หรือเป็นอยูจ่ ริงตามลักษณะทางกายภาพ 4.3.3 การช่วยความจาดว้ ยการใช้วธิ ภี ายนอก ถา้ คุณจาเปน็ ต้องจาสิง่ ของเป็นจานวนมากในเวลาท่จี ากดั และไมต่ ้องการให้เกิด ความผิดพลาด เชน่ การจดั ของใช้เพ่ือเตรยี มตวั เดินทางไปตา่ งจงั หวัด เพื่อปฏบิ ตั ิงานบางอย่างในลักษณะนี้ คณุ จาเปน็ ท่ีจะต้องมีเครือ่ งชว่ ยจาภายนอกเพอ่ื ใชใ้ นการจาสงิ่ ทคี่ ุณต้องการ เชน่ สมดุ โน้ต 4.3.4 เทคนิคการสรา้ งภาพประหลาดพิสดาร มีแนวทาง ดงั น้ี 1) จงนึกสร้างภาพใหม้ ขี นาดสัดส่วนผิดไปจากเดิม เช่น ใหญเ่ หมือนยักษ์ 2) จงนึกสรา้ งภาพใหเ้ ปน็ การกระทาทีเ่ กีย่ วข้องกบั ตัวท่านเองมากท่สี ุด และถ้าเป็นไปได้ควรเปน็ ภาพ การกระทาทร่ี ุนแรงและเกดิ การอับอายขายหน้าจะช่วยจาไดด้ ีกว่าอนั เนื่องมาจากเกิดทุกข์เวทนา 3) จงนกึ สรา้ งภาพที่มีจานวนมากเกนิ จริง เชน่ มีจานวนเป็นลา้ นๆ ชิน้ 4) จงนกึ สร้างภาพของส่งิ ของสองส่ิงให้หนา้ ท่ีทดแทนกันหรอื สลับท่กี ัน 5) การกาหนดตวั อกั ษรใชแ้ ทนตัวเลขเป็นหลกั การหนึง่ ที่นามาใชใ้ นการช่วยการจาตวั เลข โดย กาหนดตัวอักษรที่ใช้แทนตัวเลขข้ึนมาและหากต้องการจาตัวเลขก็ใชต้ วั อักษรเหลา่ น้นั แทนเขา้ ไป 5. ความเชอื่ (Belief) 5.1 ความหมายของความเชอ่ื ความเช่ือ คือ การคิดหรือการเฝ้าบอกกับตัวเองเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว ซึ่งเป็นไปใน ลักษะทีอ่ ยูร่ ะหว่าง 2 ขวั้ คือ ถกู - ผดิ ใช่ -ไม่ใช่ เปน็ การแสดงออกถึงสง่ิ ทีบ่ คุ คล เหน็ ดว้ ยและยอมรับว่าเป็นความจริง ซึ่งบางครั้งอาจสมเหตุสมผลหรือไม่สมเหตุสมผลก็ได้ ถ้าเกิดการ คิดทไี่ มส่ มเหตุสมผลอาจทาให้บคุ คลเกดิ ปัญหาทางด้านอารมณห์ รอื พฤตกิ รรมท่ีทาลายตวั เองได้ ความเชือ่ (Belief) เป็นลกั ษณะทางจติ ประเภทหนึ่งของบุคคล หมายถึง การรบั รู้ และการยอมรบั เรอื่ งใดเร่ืองหน่ึงวา่ เปน็ ความจรงิ (งามตา วนนิ ทนนท์, 2535) ความเช่ือ หมายถึง ความคดิ ที่คนเรายอมรบั และยึดถอื อาจเป็นความคิดท่ีเป็นสากลหรอื เป็นที่ ยอมรับของกล่มุ หรือเป็นความจรงิ ทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ตวั เรา มขี อ้ ท่ีนา่ สังเกตว่าผ้คู นมกั จะเช่อื เกีย่ วกับ สภาวการณท์ ่ีตนเองควบคมุ ไมไ่ ด้ ความเชื่อเกิดจากสงิ่ ท่ีมอี านาจเหนอื มนุษย์ เชน่ อานาจของดินฟา้ อากาศ และเหตกุ ารณท์ ่ีเกิดขนึ้ โดยไม่เข้าใจสาเหตุ จงึ เกดิ ลัทธคิ วามเชื่อเทพเจ้าและภูตผปี ศี าจ มพี ธิ ีกรรมอ้อนวอนขอ ความชว่ ยเหลอื และบชู าคุณให้เป็นศริ ิมงคล ต่อมาเม่อื วิทยาการต่างๆ พฒั นามากข้ึน (พิศวง ธรรมพันธา, 2540) 5.2 ปัจจยั ที่ส่งผลต่อความเชอื่ เราไมอ่ าจสงั เกตความเชือ่ ไดโ้ ดยตรง แตจ่ ะสังเกตไดจ้ ากพฤติกรรมทบ่ี คุ คลกระทา และสันนิษฐานวา่ พฤตกิ รรมท่ีเกดิ ขนึ้ นัน้ เปน็ ผลมาจากความเชอ่ื ความเชอ่ื ไมจ่ าเปน็ ต้องมเี หตผุ ลแต่เป็นการ
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ย์กบั การพัฒนาตน กาหนดขึน้ จากส่งิ ทบี่ ุคคลตอ้ งการจะเชอื่ ในสง่ิ ใด เขาสามารถเช่อื ในสง่ิ ใด เขาสามารถเช่ือในอะไร และเขาถูก วางเง่อื นไขในสง่ิ ท่ีเชอื่ มาอย่างไร อีกประการหนึง่ ความเช่ือนนั้ ทาใหเ้ ขาตอบสนองความต้องการพนื้ ฐานได้ การ เกิดความเชื่อ ชยั พร วิชชาวธุ (2530) ได้กล่าวถงึ สงิ่ ที่ใช้กาหนดความเชอ่ื ของบุคคล ว่ายึดหลกั ดังต่อไปนี้ 1. หลกั ความสงสยั 2. หลกั ความรู้สกึ เป็นการใชค้ วามร้สู ึกท่ีเกดิ ขน้ึ กบั ตนเป็นหลักในการตัดสนิ ใจ 3. หลักเหตผุ ล 4. หลกั ประจกั ษ์ ซ่งึ ไดแ้ ก่การรบั รดู้ ้วยประสาทสมั ผสั ของเราเอง การรับร้เู ช่นนี้ ได้จากการ รวบรวมขอ้ มลู ในเชิงวิทยาศาสตร์ เชน่ การสงั เกต การทดลอง การวิจัย นอกจากหลกั ทัง้ 4 ประการท่ีกลา่ วข้างตน้ แล้ว ส่ิงท่ที าให้บุคคลเกดิ ความเช่ือในเรอื่ งต่างๆนั้นยัง พิจารณาไดจ้ ากการอบรมเลย้ี งดขู องครอบครัว การถา่ ยทอดทางศาสนา จารตี ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี อทิ ธพิ ลของเพอ่ื นสนิท อทิ ธิพลของกลมุ่ การได้รบั ประสบการณ์ตรง การได้รับการศกึ ษา การให้ความรสู้ ึกท่ี ถูกต้อง การโฆษณาชวนเชื่อจากสื่อมวลชน โรเจอรส์ (Rogers, 1988) กล่าวว่าความเช่ือของบุคคลจะเปล่ียนแปลงได้อย่างไรขึ้นอยู่กับว่า ความ เชอื่ นัน้ เกดิ ขึ้นได้อย่างไร และบุคคลได้ใช้ความเชอื่ น้ันไปเป็นแนวปฏิบัติในการดาเนินชีวิตมากน้อยเพียงใด ส่ิง สาคัญที่จะทาใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงความเชอื่ กค็ ือ เม่อื ความรสู้ ึกไปทาให้ความเชอื่ เปล่ียนไป นอกจากน้ันยังมี องค์ประกอบอ่ืนที่เปลี่ยนไป ได้แก่ เวลา กลุ่มบุคคล วัฒนธรรมและความต้องการของบุคคลเม่ือความเชื่อ เปล่ียนแปลงไปทาให้พฤติกรรมของบุคคลเปลย่ี นไปด้วย หลักการเกิดความเช่ือท่ีสาคญั ๆ ไดแ้ ก่ 1. หลักความสงสัย มนุษย์ใช้หลักมากมายในการตัดสินใจว่าจะเช่ือส่ิงใด บางคนเช่ือจากสิ่งท่ีบอก ต่อๆ กันมา จากตารา นึกเดาเอาเอง คาดคะเนตามท่ีเคยปฏิบัติ นึกคิดตามอาการตรงกับความคิดเห็นของ ตน เชอื่ ถือในคนท่ีพูด เช่อื ในพระสงฆ์ ครบู าอาจารย์ ซ่งึ พระพุทธองค์ตรัสว่า ก่อนจะเช่ือส่ิงใดต้องพิจารณา ทบทวน ไตร่ตรองใหร้ อบคอบก่อน 2. หลักความรู้สกึ เป็นการใช้ความร้สู ึกทเ่ี กดิ ขึน้ ของตนเป็นหลกั ในการตดั สิน เช่น เราเช่อื ว่า ภาพ ของปิกัสโซท่ กุ ภาพสวยเสมอเพราะราคาแพงมาก เม่ือเหน็ ภาพเขยี นของเขาเราก็คิดว่าสวยมาก 3.หลักเหตุผล เป็นการใช้เหตผุ ลเดิมทเี่ คยยอมรับมาก่อนมาตัดสิน เชน่ ถา้ เราเช่ือวา่ นักศกึ ษาเปน็ คน ที่มีความรู้ ดงั นนั้ ถา้ เจอใครก็ตามทเ่ี ป็นนักศกึ ษา เราก็จะสรุปว่าเขาเปน็ คนท่ีมีความรู้ 4. หลักประจักษ์ เปน็ ความเชอ่ื ทีเ่ กดิ จากการรบั รูด้ ว้ ยตนเองจากการสงั เกต การทดลอง เช่น เชือ่ ว่า เม่อื สอนวชิ าพฤติกรรมมนษุ ย์แลว้ นักศึกษาจะพัฒนาตนเองได้ดขี ึ้น นอกจากน้ี สิ่งทท่ี าให้คนเชอื่ ในเรอื่ งตา่ งๆ อาจเกิดจากการอบรมเล้ียงดูของครอบครัว การถ่ายทอด ทางศาสนา จารีตขนบธรรมเนยี มประเพณี อิทธิพลของเพ่ือนสนทิ อิทธิพลของกลุ่ม การไดร้ ับประสบการณ์ ตรง การไดร้ บั การศึกษา การโฆษณาชวนเช่อื จากสอ่ื มวลชน ฯลฯ 6. เจตคติ (Attitude) 6.1 ความหมายและความสาคญั ของเจตคติ เจตคติ คือ ความชอบหรอื ไมช่ อบ ความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ ความคิดเหน็ ความรสู้ ึก ต่อส่งิ หนงึ่ ส่งิ ใด เปน็ ผลมาจากประสบการณ์ เจตคติจึงเป็นตวั กาหนดทศิ ทางของพฤติกรรมของบคุ คลท่ีมตี ่อ เหตุการณ์ ส่งิ ของหรือบุคคลท่เี กย่ี วข้องเจตคติบางครงั้ ก็เรียกทศั นคติ มีความหมายตามคาอธบิ ายของ นักจติ วทิ ยา เชน่ อลั พอร์ท (Allport อ้างถงึ ในนวลศิริ เปาโรหติ , 2545) ได้ใหค้ วามหมายของเจตคตวิ ่า เป็น
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ บั การพฒั นาตน สภาวะของความพร้อมทางจิตใจซึง่ เกดิ จากประสบการณ์ สภาวะความพร้อมนีเ้ ป็นแรงที่กาหนดทศิ ทางของ ปฏิกิรยิ าระหว่างบคุ คลทีม่ ีต่อบุคคล สงิ่ ของและ สถานการณ์ทเี่ กยี่ วข้อง เกดิ จากการเรียนรู้ วฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมในสงั คม การสรา้ งความรูส้ ึกจากประสบการณข์ องตนเองประสบการณท์ ่ีได้รบั จากเดิม มที ัง้ ทางบวกและลบ จะส่งผลถึงเจตคตติ ่อสิง่ ใหมท่ ่ีคลา้ ยกัน การเลียนแบบบุคคลที่ตนเองให้ความสาคัญ และรับ เอาเจตคตินนั้ มาเปน็ ของตน เบลกนิ และสกายเดล (Belkin and Skydell อา้ งถึงใน จฑุ ารัตน์ เอ้อื อานวย, 2549) ให้ ความสาคญั ของเจตคตวิ ่า เปน็ แนวโนม้ ทบ่ี คุ คลจะตอบสนองในทางท่ีพอใจหรอื ไม่พอใจตอ่ สถานการณ์ต่างๆ เจตคตจิ ึงมีความหมายสรุปได้ดงั น้ี 1. ความรู้สกึ ของบุคคลท่ีมตี ่อสิง่ ต่าง ๆ หลงั จากที่บคุ คลได้มปี ระสบการณ์ในสงิ่ นน้ั ความรสู้ กึ นี้จงึ แบ่งเป็น 3 ลกั ษณะ คือ 1.1 ความรู้สึกในทางบวก เป็นการแสดงออกในลักษณะของความพึงพอใจ 1.2 ความรู้สกึ ในทางลบ เป็นการแสดงออกในลักษณะไม่พึงพอใจ ไมเ่ หน็ ดว้ ย 1.3 ความรู้สกึ ทีเ่ ป็นกลางคือไมม่ ีความร้สู กึ ใดๆ 2. บคุ คลแสดงความรู้สกึ ทางด้านพฤติกรรม ซึง่ แบง่ พฤติกรรมเป็น 2 ลกั ษณะ คือ 2.1 พฤติกรรมภายนอก เป็นพฤติกรรมทสี่ งั เกตได้ มกี ารกลา่ วถงึ สนบั สนนุ ท่าทางหนา้ ตา 2.2 พฤติกรรมภายใน เปน็ พฤตกิ รรมท่ีสังเกตไม่ได้ ชอบหรอื ไมช่ อบก็ไมแ่ สดงออก 6.2 ประเภทของเจตคติ เจตคติแบ่งเปน็ 5 ประเภท ได้แก่ 1. เจตคติในด้านความรู้สึกหรืออารมณ์ (Affective Attitude) ประสบการณ์ท่ีคนได้ สรา้ งความพึงพอใจและความสุขใจ จนกระทาให้มเี จตคตทิ ่ีดีต่อสง่ิ นั้น ตลอดจนเรื่องอน่ื ๆ ท่คี ล้ายคลงึ กัน 2. เจตคตทิ างปัญญา (Intellectual Attitude) เป็นเจตคติทีป่ ระกอบด้วยความคิดและ ความรู้เป็นแกน บคุ คลอาจมีเจตคติต่อบางสง่ิ บางอยา่ งโดยอาศยั การศึกษา ความรู้ จนเกิดความเข้าใจและมี ความสัมพันธก์ ับจิตใจ คืออารมณแ์ ละความรู้สกึ ร่วม หมายถงึ มีความรูส้ ึกจนเกิดความซาบซึ้งเห็นดเี หน็ งาม ด้วย เช่น เจตคติที่มตี อ่ ศาสนา เจตคติทไี่ มด่ ีตอ่ ยาเสพตดิ 3. เจตคติทางการกระทา (Action-oriented Attitude) เปน็ เจตคตทิ ี่พรอ้ มจะนาไปปฏิบัติ เพื่อสนอง ความต้องการของบคุ คล เชน่ เจตคตทิ ี่ดตี ่อการพูดจาไพเราะอ่อนหวานเพ่ือให้คนอน่ื เกิดความนยิ ม เจตคตทิ ่มี ีต่องานในสานักงาน 4. เจตคตทิ างด้านความสมดุล (Balanced Attitude) ประกอบด้วยความสมั พนั ธ์ทางด้าน ความรสู้ กึ และอารมณ์เจตคติทางปัญญาและเจตคติทางการกระทา เป็นเจตคตทิ สี่ ามารถตอบสนองต่อความพึง พอใจในการทางาน ทาใหบ้ คุ คลสามารถทางานตามเป้าหมายของตนเองและองค์การได้ 5. เจตคติในการปอ้ งกันตวั เอง (Ego-defensive Attitude) เป็นเจตคติเกี่ยวกับการ ป้องกนั ตนเองใหพ้ น้ จากความขดั แยง้ ภายในใจ ประกอบด้วยความสมั พันธท์ ั้ง 3 ด้าน คอื ความสัมพันธ์ด้าน ความรู้สกึ อารมณ์ ดา้ นปัญญาและด้านการกระทา 6.3 องคป์ ระกอบของเจตคติ โดยทัว่ ไป เจตคตปิ ระกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ 1. องคป์ ระกอบด้านความรู้ความเขา้ ใจ (Cognitive Component) เป็นองคป์ ระกอบด้านความรู้ ความเข้าใจของบคุ คลทม่ี ีต่อสงิ่ เรา้ น้นั ๆ เพ่ือเปน็ เหตผุ ลท่ีจะสรปุ ความ และรวมเปน็ ความเชือ่ หรือช่วยในการ
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษย์กบั การพัฒนาตน ประเมนิ ค่าสิ่งเร้านนั้ ๆ 2. องค์ประกอบด้านความร้สู กึ และอารมณ์ (Affective Component) เป็นองคป์ ระกอบดา้ น ความรู้สึก หรอื อารมณ์ของบุคคล ทีม่ ีความสัมพนั ธ์กับสง่ิ เร้า ต่างเปน็ ผลต่อเนื่องมาจากที่บุคคลประเมินค่าส่ิง เร้านน้ั แลว้ พบว่าพอใจหรือไม่พอใจ ต้องการหรือไม่ต้องการ ดีหรอื เลว องค์ประกอบทัง้ สองอย่างมีความสัมพนั ธ์กนั เจคตบิ างอย่างจะประกอบด้วยความรคู้ วามเข้าใจมาก แตป่ ระกอบด้วยองคป์ ระกอบดา้ นความรู้สึกและอารมณ์น้อย เช่น เจตคติท่มี ีต่องานที่ทา สว่ นเจตคตทิ ม่ี ตี ่อ แฟชั่นเส้อื ผา้ จะมอี งคป์ ระกอบด้านความรสู้ ึกและอารมณส์ ูง แต่มีองคป์ ระกอบดา้ นความรู้ความเขา้ ใจต่า 3. องค์ประกอบด้านพฤติกรรม (Behavioural Component) เป็นองค์ประกอบทางด้านความ พรอ้ ม หรอื ความโน้มเอียงที่บุคคลประพฤติปฏบิ ัติ หรอื ตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้าในทิศทางทีจ่ ะสนบั สนุนหรือคัดคา้ น ทงั้ นข้ี ึน้ อยกู่ บั ความเช่อื หรือความรสู้ กึ ของบคุ คลท่ีไดร้ บั จากการประเมินค่าให้สอดคล้องกับความรู้สกึ ทม่ี ีอยู่ เจตคติทีบ่ คุ คลมตี อ่ ส่งิ หนง่ึ สิง่ ใด หรอื บคุ คลหนึง่ บุคคลใด ตอ้ งประกอบดว้ ยท้งั สามองคป์ ระกอบ เสมอ แตจ่ ะมีปริมาณมากน้อยแตกต่างกันไป โดยปรกตบิ ุคคลมักแสดงพฤตกิ รรมในทิศทางทส่ี อดคลอ้ งกับเจต คตทิ ี่มีอยูแ่ ต่กไ็ ม่เสมอไปทุกกรณี ในบางครั้งเรามีเจตคติอย่างหนงึ่ แต่ก็ไม่ได้แสดงพฤติกรรมตามเจตคติทีม่ ีอยู่ ก็มี 6.4 คณุ ลกั ษณะของเจตคติ เจตคติมีคุณลักษณะท่ีสาคัญ ดงั น้ี 1. เจตคตเิ กิดจากประสบการณ์ สง่ิ เรา้ ตา่ งๆ รอบตวั บคุ คล การอบรมเลีย้ งดู การเรียนรู้ ขนบธรรมเนยี มประเพณีและวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ก่อใหเ้ กดิ เจตคติ แมว้ ่าจะมปี ระสบการณ์ท่ีเหมือนกันก็เป็น เจตคตทิ ่ีแตกต่างกนั ได้ ดว้ ยสาเหตุหลายประการ เชน่ สตปิ ัญญา อายุ เปน็ ตน้ 2. เจตคติเปน็ การเตรียมความพร้อม ในการตอบสนองตอ่ ส่งิ เรา้ เป็นการเตรยี มความ พรอ้ มภายในของจิตใจมากกว่าภายนอกท่สี งั เกตได้ สภาวะความพร้อมทจี่ ะตอบสนอง มีลักษณะที่ซับซ้อนของ บคุ คลว่า ชอบหรือไม่ชอบ ยอมรับหรอื ไม่ยอมรับ เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้วย 3. เจตคตมิ ที ิศทางของการประเมิน ทิศทางของการประเมินคือลักษณะความรู้สกึ หรอื อารมณ์ทเี่ กิดขน้ึ ถา้ เปน็ ความรู้สึกหรือประเมนิ วา่ ชอบ พอใจ เห็นดว้ ย ก็คอื เป็นทิศทางในทางท่ดี ี เรยี กว่าเป็น ทศิ ทางในทางบวก และถ้าประเมนิ ออกมาในทางไม่ดี เช่น ไม่ชอบ ไม่พอใจ กม็ ีทิศทางในทางลบ เจตคตทิ าง ลบไมไ่ ด้หมายความวา่ ไม่ควรมีเจตคตนิ ั้นเปน็ เพียงความรูส้ ึกทีไ่ ม่ดีต่อสงิ่ นั้น 4. เจตคตมิ คี วามเข้ม คือมีปรมิ าณมากน้อยของความรสู้ ึก ถ้าชอบมากหรือไม่เหน็ ดว้ ย อยา่ งมากก็แสดงว่ามี ความเข้มสงู ถ้าไมช่ อบเลยหรือเกลียดทสี่ ุดก็แสดงวา่ มีความเข้มสูงไปอีกทางหนง่ึ 5. เจตคติมีความคงทน เจตคตเิ ปน็ สง่ิ ทบี่ ุคคลยดึ มนั่ ถอื มั่น และมสี ่วนในการกาหนด พฤติกรรมของคนน้นั การยึดม่นั ในเจตคตติ ่อสิ่งใด ทาให้การเปลี่ยนแปลงเจตคติเกิดข้ึนไดย้ าก 6. เจตคติมที งั้ พฤติกรรมภายในและพฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมภายในเปน็ สภาวะทาง จิตใจ ซ่ึงหากไม่ไดแ้ สดงออกก็ไมส่ ามารถรู้ไดว้ ่าบุคคลนน้ั มเี จตคตอิ ย่างไรในเร่ืองนัน้ เจตคติเปน็ พฤตกิ รรม ภายนอกแสดงออกเนื่องจากถูกกระตุ้น และการกระตุ้นยงั มีสาเหตอุ ื่น ๆ ร่วมอยู่ดว้ ย 7. เจตคติต้องมสี ่ิงเร้าจึงมีการตอบสนองขน้ึ ไมจ่ าเป็นว่าเจตคติทแ่ี สดงออกจาก พฤติกรรมภายในและพฤตกิ รรมภายนอกจะต้องตรงกัน เพราะก่อนแสดงออกน้ันกจ็ ะปรับปรงุ ให้เหมาะกบั สภาพของสังคม แล้วจึงแสดงออกเปน็ พฤติกรรมภายนอก
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ บั การพัฒนาตน 6.5 การเกดิ และการเปลย่ี นแปลงเจตคติ เจตคตเิ กดิ จากการมีประสบการณ์ท้ังทางตรงและทางอ้อม หากประสบการณ์ทีเ่ ราไดร้ ับ เพม่ิ เติมแตกตา่ งจากประสบการณ์เดมิ เราก็อาจเปลยี่ นแปลงเจตคติได้ การเปลี่ยนแปลง เจตคตมิ ี 2 ทาง 1. การเปล่ียนแปลงในทางเดียวกนั (Congruent Change) หมายถึง เจตคติเดิมของบคุ คลท่ี เปน็ ไปในทางบวกจะเพ่มิ มากขึ้นในทางบวก แต่ถ้าเจตคติเป็นไปทางลบกเ็ พิ่มมากขนึ้ ในทางลบดว้ ย 2. การเปลี่ยนแปลงไปคนละทาง (Incongruent Change) หมายถงึ การเปลี่ยนแปลง เจตคติ เดิมของบคุ คลท่เี ปน็ ไปในทางบวกจะลดลงและไปเพม่ิ ทางลบ หลกั การของการเปล่ยี นแปลงเจตคติ รวมท้ังการเปลี่ยนแปลงไปในทางเดยี วกัน หรือการ เปลย่ี นแปลงไป คนละทางนน้ั มีหลกั การว่า เจตคติที่เปลีย่ นแปลงไปในทางเดียวกันเปลี่ยนไดง้ า่ ยกวา่ เจตคติท่ี เปลย่ี นแปลงไปคนละทาง เพราะการเปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกันมคี วามม่นั คง ความคงทีม่ ากกว่าการ เปลี่ยนแปลงไปคนละทางการเปล่ียนแปลงเจตคตเิ กย่ี วขอ้ งกบั ปจั จัยต่อไปนี้ 1. ความสดุ ขีด (Extremeness) เจตคตทิ ่ีอย่ปู ลายสุดเปล่ียนแปลงได้ยากกว่าเจตคตทิ ี่ไม่รนุ แรงนัก เช่น ความรักท่ีสดุ และความเกลยี ดทีส่ ุดเปลี่ยนแปลงยากกวา่ ความรกั และความเกลยี ดท่ี ไม่มากนัก 2. ความซบั ซ้อน (Multicomplexity) เจตคตทิ ีเ่ กดิ จากสาเหตุเดียวกันเปลย่ี นได้งา่ ยกว่าเกิดจาก หลายๆ สาเหตุ 3. ความคงที่ (Consistency) เจตคตทิ มี่ ีลักษณะคงทม่ี าก หมายถงึ เจตคติทีเ่ ป็นความเชื่อฝงั ใจ เปลี่ยนแปลงยากกว่าเจตคติท่ัวไป 4. ความสัมพันธเ์ ก่ียวเนอื่ ง (Interconnectedness) เจตคติที่มคี วามสัมพันธ์ซง่ึ กันและกนั โดย เฉพาะทีเ่ ป็นไปในทางเดยี วกันเปลีย่ นแปลงไดย้ ากกว่าเจตคติทม่ี คี วามสัมพันธ์ไปในทางตรงกนั ขา้ ม 5 ความแข็งแกรง่ และจานวนความตอ้ งการ (Strong and Number of Wants Served) หมายถงึ เจตคติที่มีความจาเป็นและความตอ้ งการในระดบั สงู เปลย่ี นแปลงไดย้ ากกวา่ เจตคติที่ไม่แข็งแกร่งและไม่อยู่ใน ความตอ้ งการ 6. ความเกยี่ วเนื่องกับคา่ นยิ ม (Centrality of Related Values) เจตคตหิ ลายเร่ืองเกีย่ วเนื่องจาก คา่ นิยมความเช่ือวา่ ค่านิยมนั้นดีนา่ ปรารถนา และเจตคติสืบเนื่องจากค่านยิ ม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และ วัฒนธรรมน้ันเป็นส่ิงทเ่ี ปล่ียนแปลงได้ยาก 7. อารมณ์ (Emotion) 7.1 ความหมายของอารมณ์ อารมณ์ เป็นสภาวะทางจิตใจ ท่ีมีผลมาจากการตอบสนองต่อสง่ิ กระตนุ้ ทั้งทม่ี าจากภายใน ไดแ้ ก่ ความสบาย ความเจบ็ ปวด และอาจมาจากสง่ิ เรา้ ภายนอก เชน่ บุคคล อุณหภูมิ ดินฟ้าอากาศ อารมณ์มาจากคาภาษาอังกฤษว่า Emotion ซึ่งมาจากคาภาษาลาตินว่า Emovere แปลว่าการ เคลื่อนไหวหรอื ความปั่นปว่ น ต่ืนเต้น “อารมณ์” มีความหมายต่างๆ กันแล้วแต่ผู้ใช้จะพิจารณาให้ความหมาย เพราะอารมณเ์ ปน็ เร่ืองละเอียดอ่อน เช่น อารมณ์รัก ก็มี “รัก” หลายรูปแบบ เช่น รักชาติ รักเพื่อน รักลูก รัก พ่อแม่ รกั สามภี รรยา รักสัตว์ ฯลฯ จะเห็นได้ว่าแม้จะเป็นความรักเหมือนกันแต่รายละเอียดในการรักสิ่งต่างๆ แตกตา่ งกนั บางครัง้ อารมณท์ างบวกกบั อารมณ์ทางลบก็อาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันด้วย เช่น ผู้ท่ีได้รับทุนไปศึกษา ต่อตา่ งประเทศรสู้ กึ ดใี จท่ีจะได้ไปหาประสบการณ์ในสถานท่ีแปลกใหม่ ได้ศึกษาเล่าเรียนโดยไม่ต้องใช้เงินของ ตวั เอง แตก่ ร็ ู้สกึ มคี วามทกุ ขท์ ่ีจะต้องจากบ้าน จากคนทีร่ กั ร้สู กึ กงั วล ห่วงใย เป็นต้น
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษยก์ บั การพฒั นาตน 7.2 ประเภทของอารมณ์ อารมณแ์ บง่ ไดเ้ ปน็ 2 ชนดิ ได้แก่ 1. อารมณ์ทางบวก เชน่ รกั พอใจ ชน่ื ชอบ สบายใจ ฯลฯ 2. อารมณ์ทางลบ เช่น เครยี ด เกลยี ด โกรธ วิตกกังวล ฯลฯ 7.3 รูปแบบของอารมณ์ อาจแสดงออกได้ 3 แบบ ได้แก่ 1. แบบทเ่ี กิดทันทีทันใด เชน่ อารมณ์โกรธ กลัว ดใี จ 2. พฤติกรรมที่เปน็ ผลมาจากอารมณ์ เช่น ดา่ เมอ่ื โกรธ กระโดดตัวลอยเมอ่ื ดใี จ 3. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เป็นผลมาจากอารมณ์ เชน่ หนา้ แดง มอื สั่น ปากสัน่ 7.4 การพฒั นาความฉลาดทางอารมณ์ (Emotion Quotient = EQ) ความฉลาดทางอารมณ์ คือ ความสามารถทางอารมณ์ในการดาเนินชีวิตอย่างสรา้ งสรรค์ และมีความสขุ ซึง่ การรู้จกั ความฉลาดทางอารมณจ์ ะมปี ระโยชน์เพื่อการพฒั นาและใช้ศักยภาพตนเองในการ ดาเนนิ ชีวิตครอบครวั การทางาน การจดั ระบบคุณลักษณะของความฉลาดทางอารมณ์ กรมสุขภาพจติ ได้ จาแนกเปน็ 3 ดา้ น คือ ดา้ นดี หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และความตอ้ งการของตนเอง รูจ้ ักเหน็ ใจผู้อืน่ และมีความรบั ผดิ ชอบต่อส่วนรวม ด้านเก่ง หมายถงึ ความสามารถในการรู้จกั ตนเอง มแี รงจูงใจ สามารถตดั สนิ ใจแก้ปัญหา และแสดงออกอย่างมีประสิทธภิ าพ รวมท้งั มีสมั พนั ธภาพท่ีดีกบั ผูอ้ น่ื ดา้ นสขุ หมายถงึ ความสามารถในการดาเนินชีวิตอยา่ งมีความสขุ 8. การเรยี นรู้ (Learning) 8.1 ความหมายการเรียนรู้ การเรียนรู้ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเน่ืองมาจากประสบการณ์เดิม ทา ให้คนเผชิญกับสถานการณ์เดิมต่างไปจากเดิม การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างถาวรซึ่ง เกดิ มาจากประสบการณห์ รือการฝึกหดั การเปลี่ยนแปลงน้เี ปน็ การเปลี่ยนทางอวัยวะ สติปัญญา ทางสังคมหรือ ทางอารมณก์ ็ได้ พฤตกิ รรมที่ไม่จัดว่าเป็นการเรียนรู้ก็คือพฤติกรรมตอบสนองตามธรรมชาติ พฤติกรรมท่ีอยู่ใน ขอบเขตของพันธกุ รรมและพฤติกรรมที่เกิดข้ึนช่วั คราว ในกระบวนการเรยี นการสอน มบี ุคคลที่สาคัญ 2 ฝ่าย คือ ผสู้ อน และ ผู้เรยี น ทฤษฏีการเรยี นรู้ คือ คาอธิบายแนวความคิดที่ได้จากการคน้ พบว่า คนเราเรียนรไู้ ด้อยา่ งไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่เกีย่ วข้องกับการ เรียนรู้ ทาอยา่ งไรจงึ จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดที ่สี ดุ เพ่ือชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจและนาไปใชใ้ นการควบคมุ และทานาย การเรียนรใู้ หไ้ ด้ผลดียง่ิ ขึน้ 8.2 ลลี าการเรยี นรู้ นักจิตวิทยาที่ศึกษารูปแบบการเรียนรู้หรือลีลาการเรียนรู้ของมนุษย์ (Learning style) ได้พบว่า มนุษย์สามารถรับข้อมูลโดยผ่านเส้นทางการรับรู้ 3 ทาง คือ การรับรู้ทางสายตาโดยการ มองเห็น(Visual percepters) การรับรู้ทางโสตประสาทโดยการได้ยิน (Auditory percepters) และ การ รับรู้ทางร่างกายโดยการเคลื่อนไหวและการรู้สึก (Kinesthetic percepters) ซ่ึงสามารถนามาจัดเป็นลีลา การเรยี นร้ไู ด้ 3 ประเภทใหญ่ๆ ผเู้ รยี นแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันคอื 1. ผทู้ เ่ี รยี นรู้ทางสายตา (Visual learner) เป็นพวกท่ีเรียนรู้ได้ดีถา้ เรียนจาก รูปภาพ แผนภมู ิ แผนผังหรอื จากเนอ้ื หาทเี่ ขียนเป็นเร่ืองราว เวลาจะนกึ ถึงเหตกุ ารณใ์ ด กจ็ ะนกึ ถึงภาพ
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษย์กบั การพฒั นาตน เหมือนกบั เวลาท่ดี ภู าพยนตร์คือมองเหน็ เปน็ ภาพที่สามารถเคลื่อนไหวบนจอฉายหนังได้ เน่อื งจากระบบเก็บ ความจาได้จดั เก็บสง่ิ ทเ่ี รยี นรู้ไว้เป็นภาพ 2. ผู้ที่เรียนรู้ทางโสตประสาท (Auditory Learner) เป็นพวกท่ีเรียนรู้ได้ดีท่ีสุดถ้าได้ฟังหรือได้พูด จะไมส่ นใจรูปภาพ ไมส่ ร้างภาพ และไม่ผกู เร่ืองราวในสมองเป็นภาพเหมอื นพวกทเี่ รียนรทู้ างสายตา แต่ชอบฟัง เรอ่ื งราวซ้าๆ และชอบเล่าเรือ่ งใหค้ นอ่นื ฟัง คณุ ลกั ษณะพิเศษของคนกลุ่มนี้ ได้แก่ การมีทักษะในการได้ยิน/ ไดฟ้ งั ที่เหนือกวา่ คนอนื่ 3. ผู้ที่เรียนรู้ทางร่างกายและความรู้สึก (Kinesthetic learner) เป็นพวกท่ีเรียนโดยผ่านการรับรู้ ทางความรู้สึก การเคลื่อนไหว และร่างกาย จึงสามารถจดจาสิ่งที่เรียนรู้ได้ดีหากได้มีการสัมผัสและเกิด ความรู้สึกท่ีดีต่อส่ิงที่เรียน เวลาน่ังในห้องเรียนจะน่ังแบบอยู่ไม่สุข น่ังไม่ติดที่ ไม่สนใจ บทเรียน และไม่ สามารถทาใจให้จดจ่ออยูก่ ับบทเรียนเป็นเวลานานๆ ได้ สรปุ โดยสรุปแล้วการทาความเข้าใจในพฤติกรรมมนุษย์ท่ีแสดงออกมาน้ัน จะต้องศึกษาถึงองค์ประกอบท่ี สาคัญๆ ได้แก่ การรับรู้ การคิด สติปัญญา การจา ความเช่ือ เจตคติ อารมณ์ และการเรียนรู้ องค์ประกอบ เหลา่ นเี้ ป็นพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ทง้ั สิ้น คาถามทา้ ยบท จงอธิบายความหมาย และยกตัวอย่างประกอบ คาต่อไปน้ี การรับรู้ สตปิ ญั ญา การคดิ การจา ความเชือ่ เจตคติ อารมณ์ การเรียนรู้ เอกสารอ้างอิง กันยา สุวรรณแสง. (2540). จิตวทิ ยาทั่วไป. กรงุ เทพ : พิมพ์ท่อี ักษรพิทยา. งามตา วนนิ ทานนท์. (2536). “ลกั ษณะทางพุทธศาสนาและลักษณะทางพฤติกรรมศาสตรข์ อง บดิ าและมารดาที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเล้ียงดูบตุ ร.” รายงานการวจิ ัยฉบับท่ี 50. สถาบันวจิ ัย พฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒประสานมิตร. จฑุ ารัตน์ เอ้ืออานวย. (2549). จติ วิทยาสังคม. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพจ์ ฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั .พิมพ์ครั้งท่ี 2 ชยั พร วชิ ชาวธุ . (2525). มูลสารจิตวทิ ยา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ชอ่ ลัดดา ขวัญเมือง. (2548). “เอกสารประกอบการสอนพฤติกรรมมนุษยก์ ับการพฒั นาตน” มหาวิทยาลยั ราชภัฏพบิ ลู สงคราม. นวลศริ ิ เปาโรหติ ย์. (2532). จิตวทิ ยาท่ัวไป. ภาควชิ าจิตวิทยา. คณะศึกษาศาสตร์ , มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง ปราณี รามสูตร, จารสั ด้วงสวุ รรณ. (2545). พฤตกิ รรมมนุษย์กบั การพัฒนาตน. สถาบนั ราชภัฏธนบุรี.พศิ วง ธรรมพนั ธา. (2540). มนษุ ยก์ ับสงั คม. กรุงเทพมหานคร : ด.ี ดบี ุ๊คสโตร์. รจั รี นพเกตุ (2540). จิตวทิ ยาการรับรู้. กรุงเทพฯ : ประกายพรึกการพิมพ์, 2540.
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ ับการพฒั นาตน สลักจิต ตรีรณโอภาส.(2555). GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ ับการพัฒนาตน : โครงการเอกสาร ประกอบการสอนวิชาศึกษาท่ัวไป คณะกรรมการบริหารหลกั สตู รหมวดวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม . พษิ ณโุ ลก : มปพ. อษุ ณีย์ อนุรุทธ์วงศ์. (2555). ทกั ษะความคดิ : พฒั นาอย่างไร High Level of Thinking Skills How to Develop. กรงุ เทพฯ : อนิ ทร์ณน. ฤกษ์ชยั คุณปู การ. (2527). จติ วิทยาการศึกษา. พิษณโุ ลก : ภาควิชาจิตวิทยาและการแนะแนว สถาบนั ราชภัฏพบิ ูลสงคราม. Silverman, Robert E. Psychology. (1985).5th ed. Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice – Hall, Inc., Gardner, H. (1983). Frames of mind : the theory of multiple intelligences. London : Poladin. Raymond, Roger Daley.(1988) “A Study of Relationships between Environments and Stuent Achievement.” Dissertation Abstracts International 43, 2 (June 1988) : 3796. Quin Serttain,(1985).Psychology : Understanding Human Behaviors.New York : McGraw-Hill Book Co.Inc
GEPS 123 พฤติกรรมมนุษยก์ ับการพัฒนาตน บทที่ 3 บุคลกิ ภาพ บคุ ลกิ ภาพ ของแตล่ ะคนจะเป็นสง่ิ ประจาตวั ของคนคนนัน้ ทที่ าให้แตกต่างจากคนอน่ื และมหี ลายสง่ิ หลายอยา่ งท่จี ะประกอบกัน ทาใหค้ นแต่ละคนมบี ุคลิกภาพเป็นของตวั เอง ซงึ่ เปน็ ผลมาจากการทางาน ประสานกนั ของสมองท่ีขนึ้ อยู่กบั พันธกุ รรมและประสบการณ์ที่ไดร้ บั จากสงิ่ แวดล้อม บคุ ลิกภาพมีความสาคัญ ต่อชีวติ เราเป็นอย่างย่ิง เพราะทาใหเ้ รารู้สึกถึงความสาคญั ของตัวเองและมคี วามเปน็ ตวั ของตัวเอง เราจะไมม่ ี ทางรูไ้ ดเ้ ลยว่า ชวี ิตของเราจะเป็นอย่างไร ถา้ เราไม่รูว้ ่าขณะนต้ี วั เราเปน็ คนอยา่ งไร และเราจะไม่มที างเขา้ ใจวา่ ขณะนเ้ี ราเปน็ คนอยา่ งไร ถา้ ไม่รูว้ า่ เราควรจะเปน็ อยา่ งไร เพราะฉะน้ัน ส่งิ สาคัญทสี่ ดุ เราจะต้องค้นพบตวั เอง และเปน็ ตัวของตวั เอง ในบทน้ีจะกล่าวถงึ บุคลิกภาพนน้ั มคี วามสาคญั อย่างไร ในแง่ของความหมายของบคุ ลิกภาพ ประเภท ของบุคลิกภาพ ความสาคัญของบุคลิกภาพองคป์ ระกอบของบุคลิกภาพ รวมถึงทฤษฎที เี่ กีย่ วข้องกบั บคุ ลิกภาพ ได้แก่ ทฤษฎจี ติ วิเคราะห์ของซกิ มนั ฟรอยด์ ทฤษฎบี คุ ลกิ ภาพทางสังคมของอริ คิ สนั ทฤษฎบี คุ ลกิ ภาพของ แอดเลอร์ และทฤษฎอี งค์ประกอบ 5 ประการของบคุ ลิกภาพ “Big Five Traits” นอกจากนี้ยังรวบรวมเรื่อง ของการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ ทงั้ ภายในและภายนอก เพ่ือให้นักศกึ ษาได้เรียนรแู้ ละศึกษาไวเ้ พอ่ื พฒั นาและ ปรบั ปรงุ บคุ ลกิ ภาพของตนเองตอ่ ไป บุคลกิ ภาพน้ันสาคญั ไฉน ความหมายของบุคลิกภาพ (Definition of Personality) คาวา่ บคุ ลกิ ภาพ “Persona” ซึง่ เป็นภาษากรกี หมายถึง หน้ากาก บคุ ลิกภาพจงึ เปน็ รูปแบบเฉพาะตัว ทางด้านจติ วทิ ยา และกระบวนการทางานของรา่ งกายที่ควบคมุ พฤติกรรมและความคิด ทาให้บุคคลมีลกั ษณะ แตกต่างจากคนอื่น สว่ น Kagen & Segel (1992) อธบิ ายวา่ รูปแบบท้ังหมดของบุคลิกภาพนับต้งั แตว่ ิธกี ารคดิ ความร้สู ึก รวมทัง้ พฤติกรรมทม่ี ปี ฏิสัมพันธก์ ับสงิ่ แวดลอ้ ม ทาใหค้ นเรามีความแตกต่างกัน โดยมีคาสาคัญ (Key Words) ดงั นี้ 1.) บุคลิกภาพ (Characteristic) คอื คุณลกั ษณะหรือนิสยั ท่ีแสดงออก ไมว่ า่ จะเป็นวธิ ีการคดิ ความรสู้ ึก พฤติกรรมที่มีความสมา่ เสมอและต่อเนอื่ งเป็นประจา ดังนน้ั พฤติกรรมทม่ี คี วามสม่าเสมอและ ตอ่ เนอ่ื งเป็นประจา ดงั นั้นพฤติกรรมทปี่ รากฏให้เหน็ จงึ ไม่ใช่บคุ ลกิ ภาพเสมอไป เชน่ การทช่ี ายคนหนง่ึ แสดง อารมณ์รา้ ยให้ปรากฏในรอบ 10 ปี หากแต่ถา้ พฤติกรรมดังกล่าวปรากฏเปน็ ครัง้ คราว เราอาจกลา่ วได้ว่าการมี อารมณ์ร้ายดงั กลา่ วเปน็ ส่วนหนึ่งของบุคลกิ ภาพ 2.) ลกั ษณะเฉพาะ (Distinctive) บุคคลยอ่ มมลี ักษณะเฉพาะตัวท่ีแสดงถงึ ความแตกต่างจากบคุ คลอน่ื ไม่ว่าบุคคลจะถหู ล่อหลอมจากสงั คมใดกต็ าม ให้มลี ักษณะการคดิ การกระทา วิถชี วี ิตทคี่ ล้ายคลึงกนั หากแตใ่ น ความเหมือนนัน้ ยอ่ มมีลกั ษณะพิเศษของบุคคลที่แสดงออก 3.) ความเกย่ี วข้อง (Relating) เป็นลกั ษณะความเกีย่ วเน่ืองสมั พันธ์กบั ผูอ้ ื่นในสงั คม และแสดงผลให้ ปรากฏไมว่ ่าทางลบหรอื ลบ เช่นความเป็นเพื่อน ทาใหบ้ ุคคลมีพฤตกิ รรมเก่ียวข้องกับบุคคลอืน่ อันได้แกก่ าร ชว่ ยเหลอื ซึง่ กันและกัน ส่วนคุณลกั ษณะทางลบ เชน่ ความกลัวในการมปี ฏิสมั พนั ธก์ บั ผู้อื่น อาจทาใหเ้ กดิ ความ กังวล ความล้มเหลว และความเหงา เป็นต้น
GEPS 123 พฤติกรรมมนษุ ยก์ ับการพฒั นาตน 4.) รูปแบบ (Pattern) เป็นลักษณะการแสดงออก อาจะเป็นเพยี งส่วนหนง่ึ ของบุคลกิ ภาพหรือ ภาพรวมทแี่ สดงความเป็นตวั ตนท่แี ตกต่างจากบุคคลอนื่ เตมิ ศกั ด์ิ คทวณชิ (2546 : 233) กล่าววา่ บุคลิกภาพคือคุณลักษณะของบุคคลโดยส่วนรวมทัง้ หมด ของบุคคล ซ่งึ ประกอบไปดว้ ยคุณลักษณะภายนอก ได้แก่ รปู ร่างหนา้ ตา กิริยาท่าทาง และคณุ ลกั ษณะภายใน ไดแ้ ก่ นสิ ัยใจคอ ความคดิ ความเชอ่ื ทัศนคติ คา่ นยิ ม อารมณ์ ซึง่ คุณลักษณะท้ังหลายเหลา่ นเ้ี ป็นตวั กาหนด รปู แบบของพฤติกรรมการแสดงออกจนกลายเปน็ เอกลักษณ์เฉพาะตวั อนั มผี ลทาให้บุคคลนน้ั แตกต่างไปจาก คนอ่นื กิง่ แก้ว ทรัพย์พระวงศ์ (2554 : 180) ไดใ้ ห้ความหมายของบุคลิกภาพ ไวว้ ่า บุคลิกภาพ หมายถึง ลักษณะรวมอันเปน็ ลักษณะพาะของแตล่ ะบุคคล ซ่ึงแตกตา่ งไปจากผ้อู ่ืน เพราะไดร้ ับอิทธพิ ลจากพนั ธกุ รรม และส่งิ แวดล้อม จิราภรณ์ ต้ังกติ ตภิ าภรณ์ (2556 : 215) ได้ใหค้ วามหมายของบุคลิกภาพ ไวว้ ่า บคุ ลกิ ภาพเปน็ แบบ แผนพฤติกรรมซงึ่ เกิดขน้ึ ซ้าๆ และเป็นลักษณะเฉพาะตวั ของบคุ คลทีใ่ ชเ้ ปน็ แนวทางในการปรบั ตวั ต่อ สิ่งแวดลอ้ ม แบบแผนพฤติกรรมประกอบด้วย พฤตกิ รรมที่ภายนอกทแี่ สดงออก และพฤตกิ รรม จากคาจากดั ความและความหมายของ \"บคุ ลิกภาพ\" ทก่ี ลา่ วมา สรปุ ได้ว่า บคุ ลิกภาพ หมายถึง ตวั บคุ คลโดยสว่ นรวม ทัง้ ลกั ษณะทางกาย ซ่งึ สังเกตไดง้ ่าย อันได้แก่รปู ร่างหนา้ ตากริ ยิ าทา่ ทาง นา้ เสียง คาพดู ความสามารถทางสมอง ทกั ษะการทากจิ กรรมตา่ งๆ และลกั ษณะทางจติ ใจ ซ่ึงสังเกตได้ค่อนขา้ งยาก ไดแ้ ก่ ความรสู้ กึ นึกคดิ เจตคติ ค่านิยม ความสนใจ ความมุ่งหวงั อุดมคติ เป้าหมาย และความสามารถในการปรับตัว ใหเ้ ข้ากับสิง่ แวดล้อม ลักษณะดังกลา่ วมีทีม่ าจากพันธุกรรมและส่งิ แวดล้อมของแต่ละคน ส่งผลสคู่ วามสามารถ ในการปรับตวั ต่อสงิ่ แวดลอ้ ม และความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ความสาคัญของการเรียนรู้บุคลกิ ภาพ การเรยี นร้บู ุคลิกภาพมปี ระโยชน์ทง้ั ดา้ นส่วนตวั และสว่ นรวมของมนษุ ย์ ทางดา้ นส่วนตัวจะค้นพบวา่ การได้เรียนรู้ถงึ บุคลิกภาพของตนเองจะทาใหเ้ กดิ ความสขุ กายสบายใจ เรียนรูพ้ ฤตกิ รรมของตน พร้อมกับการ ปรบั ปรุงบุคลกิ ภาพของตนให้เป็นไปในทางที่ดีข้นึ ตวั อยา่ งเชน่ การปรบั ปรุงบคุ ลกิ ภาพการแตง่ กาย ควรแตง่ กายให้สะอาด และถกู กาลเทศะ อยเู่ สมอ เมอื่ เราได้ปรับปรุงตนเองแลว้ ย่อมเกดิ ความสขุ ในใจตน ทางดา้ น สงั คม เมือ่ ตนเองไดป้ รบั ปรงุ บุคลกิ ลกั ษณะของตนใหเ้ หมาะสมกับมาตรฐานแลว้ ย่อมกอ่ ใหเ้ กดิ ความสุขสงบ ของสังคม จะช่วยให้สามารถปรบั ปรุงเสรมิ สร้างส่งิ ท่ีสังคมต้องการได้ เพราะมนษุ ย์คอื ส่วนหนึง่ ของสังคม หาก มนษุ ย์ปรับตวั ใหเ้ ขา้ กับสงั คมได้อยา่ งสงบสขุ แล้ว ย่อมสง่ ผลให้ส่ิงแวดลอ้ ม สภาพสังคมสงบสขุ ดว้ ย องค์ประกอบของบุคลกิ ภาพ องคป์ ระกอบของบุคลิกภาพ หมายถึง สง่ิ ที่รวมกนั เขา้ จนกลายเปน็ ตัวบคุ คลน้ันโดยสมบูรณ์ และทา ให้มคี วามแตกตา่ งไปจากบคุ คลอ่นื ซ่งึ มาจากปจั จัยสาคัญในการพัฒนาบคุ ลกิ ภาพสาคัญ ไดแ้ ก่ ทางดา้ น รา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และสติปญั ญา ของบุคคล ซึง่ บุคลิกภาพเป็นส่ิงทเ่ี ปลย่ี นแปลงได้ สามารถปรบั ปรุงและ
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ ับการพฒั นาตน พฒั นาได้ อาจกล่าวได้วา่ องค์ประกอบของบคุ ลิกภาพ เกดิ จากองค์ประกอบ 2 ประการใหญๆ่ คือ (สถิต วงศ์ สวรรค์ .2540 : 6-12) 1. บคุ ลิกภาพท่ีไดร้ ับอิทธพิ ลจากพันธุกรรม (Heredity) เป็นส่งิ ท่ีบุคคมมี าแต่กาเนิด ซง่ึ อาจจะเปน็ ผล มาจากพันธกุ รรมหรอื อทิ ธิพลตา่ งๆทมี่ ีต่อทารกก่อนคลอด ซึง่ ส่ิงตา่ งๆเหลา่ นจ้ี ะเป็นตัวกาหนดทิศทางความ แตกตา่ งเบื้องต้นของมนุษย์ ซ่ึงได้แก่ รูปรา่ งหน้าตา ผิวพรรณ ระบบประสาท ความสมบูรณ์หรือการพกิ ารของ ร่างกาย รวมถึงทางด้านสติปัญญาที่ได้รบั การถ่ายทอดมาจากพันธกุ รรมด้วย 2. บคุ ลิกภาพที่ได้รับอิทธพิ ลจากส่งิ แวดล้อม (Environment) เป็นส่งิ ทบ่ี คุ คลสมั ผสั หรอื เกีย่ วขอ้ งดว้ ย อาจเปน็ สภาวะการณ์ วฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา สถาบนั ตา่ งๆเป็นต้น สิ่งเหลา่ น้ีเปน็ ผลทาให้บุคลิกภาพของบุคคลแตกตา่ งกันได้ ตวั อยา่ งเชน่ การอบรมเลย้ี งดูแบบปล่อยปละละเลย บคุ คลมักจะมีบุคลิกภาพเอาแต่ใจ ไมส่ นใจสงั คม บุคคลที่ได้รับเอาใจใสเ่ ลย้ี งดู มกั จะมปี ฏสิ ัมพนั ธ์กบั บุคคลอืน่ อย่างง่ายดายกว่าบุคคลท่เี ลีย้ งดแู บบปล่อยปละละเลย เป็นตน้ จากองคป์ ระกอบของบคุ ลกิ ภาพขา้ งต้น จะเห็นไดว้ ่า บุคลกิ ภาพของบคุ คลนั้นมีลักษณะที่ โดดเด่นเปน็ ของแตล่ ะบุคคล ซ่งึ มีผลมาจากพันธุกรรมและสง่ิ แวดลอ้ ม และบุคลิกภาพสามารถเปล่ียนแปลงได้ โดยตัวบุคคลนนั้ ๆเป็นผู้กาหนดบคุ ลิกภาพของตนเอง ทฤษฎที ี่เก่ียวขอ้ งกับบคุ ลกิ ภาพ 1. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมัน ฟรอยด์ Sigmund Freud (ค.ศ. 1856 - 1939) เปน็ จิตแพทย์ชาวเวียนนา ได้นาประสบการณ์จากการรักษา คนไข้มาเปน็ แนวคดิ ในการสร้างทฤษฏจี ติ วเิ คราะห์ โดยกลา่ ว ถงึ โครงสรา้ งทางบคุ ลกิ ภาพและข้นั ของ พฒั นาการทางบุคลิกภาพ ดงั นี้ 1.) โครงสร้างทางบุคลิกภาพ (The Structure of Personality) ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1.1) ld เป็นสง่ิ ทต่ี ิดตัวมนุษย์มาต้ังแต่เกดิ หรือที่เราเรยี กวา่ สญั ชาตญาณ (instincts) ซง่ึ แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ สัญชาตญาณแห่งชีวติ (Life lnstinct) และสัญชาตญาณแห่งความตาย (Dead lnstinct) ทัง้ 2 ประเภทมีพลังแห่งการทางานเพื่อตอบสนองความสุขของตน เรียกว่า “Libodo” โดยทาตาม หลักความพอใจ (Pleasure Principle) คอื เสาะแสวงหาความสขุ และหลกี เล่ียงความเจ็บปวด กลา่ วคือ สญั ชาตญาณประเภทแรก มีพลงั ผลกั ดันให้บุคคลกระทา เพ่ือตอบสนองความสุข โดยเฉพาะความต้องการ ทางดา้ นร่างกาย ซ่งึ Freud เรียกวา่ กามารมณ์ (Sex) ส่วนสัญชาตญาณประเภทหลังมพี ลังดันให้บุคคลทาลาย สิ่งต่างๆ รวมท้ังตนเอง เพ่ือหลกี เลีย่ งความเจบ็ ปวด Freud เรยี กวา่ ความก้าวรา้ ว (Aggression) โครงสร้าง ของ ld ทั้งหมดจะอยใู่ นส่วนของจิตใต้สานกึ ดงั แสดงในแผนภมู ิท่ี 12-2 และตารางท่ี 21-1 1.2 ) Ego เม่ือทารกเร่ิมโตขึ้นจะเร่ิมเรียนรูว้ ่าทุกสงิ่ ท่ีตนต้องการอาจไม่ไดร้ บั การสนองตอบโดยทันที หรือบางสง่ิ บางอย่างต้องมเี ปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกบั สภาพ เชน่ เปลี่ยนจากการใช้ผา้ ออ้ มเป็นการเข้าหอ้ งน้า ไมอ้ งไห้เมื่ออยากไดข้ องเลน่ หรือแยง่ ของเพ่ือน เปน็ ต้น สิ่งเหล่าน้ีคือรปู แบบการทางานของ Ego ซ่ึงจะ ตอบสนองความต้องการของ id บนพ้นื ฐานความเป็นจริง (Reality Principle) ดงั นั้นจงึ ตอ้ งอาศัย ความสามารถในการรับรู้ การคิด การเรยี นรู้ และความจา เปน็ องค์ประกอบทน่ี ักจติ วิทยาในปจั จุบันเรียกวา่ “Congnitive Processes” จะเหน็ ได้ว่าสดั ส่วนของโครงสร้างทเี่ ปน็ Ego จะอยู่ในสว่ นของจติ สานึก (Conscious) เปน็ สว่ นใหญ่ ดังแสดงในแผนภมู ิท่ี 12-2 และตารางท่ี 12-1 1.3) Superego ในชว่ งแรกของชวี ติ โครงสร้างบคุ ลิกภาพเป็นเพยี งการตอบสนองความตอ้ งการตาม ความเป็นจริง โดยไม่คานึงถึงความถกู ตอ้ ง เนื่องจาก Superego ยังไม่ได้รับการพัฒนาจนกวา่ เด็กจะเร่ิมรบั รู้
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษยก์ ับการพัฒนาตน ความสึกผิดชอบช่ัวดี ซ่งึ ได้มาจากการอบรมส่ังสอนจากพอ่ แม่ สังคม ศาสนา และยอมรับสง่ิ เหลา่ นี้เขา้ มาเปน็ ส่วนหนงึ่ ของบุคลิกภาพ Superego ประกอบด้วย 2 ส่วนยอ่ ยคอื ความสานึก (Conscious) เปน็ ข้อหา้ มทางศลี ธรรม (Moral) หรือส่งิ ทไ่ี ม่ควรปฏบิ ตั ิมักจะเปน็ สว่ นหนึง่ ทม่ี กี ารเรยี นรจู้ ากการลงโทษ ทั้งจากพ่อแม่และความรสู้ กึ ผิดที่เกิดขนึ้ ในตนเอง อีกสว่ นหนงึ่ คอื ตนในความคิดทดี่ ี (Ego – Ideal) หรอื สิ่งทคี่ วรกระทา ซงึ้ มักจะได้รบั การยอมรบั จาก สงั คมหรอื แรงเสริมว่าเปน็ สิง่ ที่ถกู ต้อง ควรค่าแก่การอยากเปน็ อยากทา Freud เชือ่ ว่าความรสู้ ึกบางอย่าง เช่น ความละอายและความทะนงในศักดิศ์ รีเปน็ ส่ิงสาคัญในการ สรา้ ง Superego เขาให้ความสนใจเปน็ พิเศษในบทบาทของความร้สู กึ ผิด (Guilt) หรือความละอายใจทจ่ี ะมผี ล ตอ่ การยับยั้งแรงกระตุ้นของ ID หรอื การก่อให้เกิดบุคลิกภาพเบย่ี งเบน (Personality Disorders) ได้หลาย รูปแบบ จากทกี่ ลา่ วมาจะเหน็ ได้ว่า Superego ทาหน้าทปี่ ้องกันการกระทาอนั เปน็ ผลจากการกระตนุ้ ของ ID อยา่ งไรก็ตามยังมลี ักษณะบางประมาณรว่ มกนั เชน่ Superego และ ID ต่างก็ไม่มีเหตุผล (Non – Rational) แต่ Superego ทาหน้าทคี่ วบคมุ เชน่ เดยี วกับ Ego และสิ่งเหลา่ นีเ้ องทีม่ ีผลต่อการแสดงออกทางดา้ น บุคลกิ ภาพ เชน่ คนทีม่ ี Superego สงู มาจนขจดั หรอื ควบคุม ID ได้เกือบทงั้ หมดมักจะเป็นคนที่เขม้ งวด เครง่ ครัดต่อกรอบความดงี าม จนดูเหมือนว่าไมม่ ีชวี ิตจติ ใจ สว่ นคนท่ี Superego มนี ้อยมกั จะควบคุมตนเอง ไม่ได้ กลายเป็นคนเหน็ แกต่ ัว (Self – Centered) หลงระเรงิ (Self – Indulgent) รวมท้ังมบี ุคลิกภาพแบบตอ่ ต้านสังคม (Antisocial Personality) เป็นตน้ (Ettingen & Others, 1994; Santrok, 1997) จะเหน็ ว่า Freud ไดร้ วมโครงสรา้ งของจติ และระดบั ความสานกึ เข้าด้วยกัน เพ่ือให้องเหน็ ความสมั พัน์ ว่า Ego ส่วนใหญ่จะอยู่ในสัดสว่ นของจิตสานึก (Conscious) กับจติ ก่อนสานึก (Preconscious) และมี บางสว่ นทอี่ ยูจ่ ิตใต้สานึก (Unconscius) Superego มีสัดส่วนอยใู่ นจติ ก่อนสานกึ จิตสานกึ และจิตใตส้ านกึ ตามลาดบั ส่วน id จะอยูใ่ นจติ ใตส้ านึกทั้งหมด องค์ประกอบท้ัง 3 ของจิต คือ Id,Ego และ Superego จะ ทางานในลักษณะเคล่ือนไหวหรอื เปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลา ซ่งึ Freud เรยี กปฏสิ ัมพนั ธ์นีว้ ่า “Dynamic Interations” กลา่ วคอื Ego จะทาหน้าทเ่ี ปน็ ผ้ตู ดั สินเม่ือมคี วามขัดแย้งเกิดขน้ึ ระหว่างแรงขบั ของ id และ กฏเกณฑ์ทางศลี ธรรมของ Superego โดยอาศัยหลักความเปน็ จริง เพ่ือแสดงเปน็ พฤติกรรมในเวลาต่อมา และ ในบางคร้งั มกี ารใช้กลไกป้องกันตวั เอง จึงกล่าวได้วา่ กาทางานขององคป์ ระกอบทง้ั 3 เปน็ ตัวกาหนดบุคลกิ ภาพ ของบุคคล (Monte, 1991 อ้างถึงใน McConnnell & Phillpchalk, 1992 ; Matin, 1995) 2) ระดบั ความสานึกตามแนวคิดของ Freud (Freud’s Levels of Consciousness) Freud แบง่ จิตสานึกเปน็ 3 ระดับ ได้แก่ จติ ใตส้ านึก จติ ก่อนสานึก และจิตสานักโดยเปรียบเทียบกับ กอ้ นนา้ แข็งท่ีลอยอยู่ในนา้ จะเพยี ง 1 ส่วนที่โผล่พน้ นา้ ข้ึนมา อนั เป็นส่วนแรกตามที่กล่าว ส่วนที่ 2 เป็นส่วนท่ี คาบเก่ยี วระหวา่ งน้ากบั ส่วนบน และส่วนล่าง คอื ส่วนทีอ่ ยู่ใตน้ ้าซง่ึ มีมากถึง 9 ส่วน ดังแสดงในภาพที่ 1
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษยก์ ับการพฒั นาตน ภาพท่ี 7 แสดงระดับความสานึกตามแนวคิดของ Freud ทม่ี า : http://noonaajjana.blogspot.com/2013_03_01_archive.html 1. ระดบั จิตสานกึ (The conscious level) เป็นความรูส้ ึกหรือการตระหนักรู้ท่ีมอี ยู่ใน ขณะนัน้ ไม่ว่าจะเก่ียวข้องกับตนหรือส่งิ แวดลอ้ มก็ตาม เชน่ การคิด โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในขณะน้ีหรือ การคาดการณ์ถงึ สง่ิ ท่ีจะทาลว่ งหน้าในวันตอ่ ไปเปน็ ต้น 2. ระดบั จติ ก่อนสานึก (The Proconscious Level) เป็นความรู้สกึ นึกคิดทีต่ ้องใช้ ความพยายามในการค้นหาข้อมลู ที่ไมส่ ามารถตระหนักร้ใู นขณะน้นั เช่น การระลกึ ถึงส่ิงทอ่ี ย่ใู นความพยายาม ในการค้นหาข้อมูลทไ่ี ม่สามารถตระหนักรู้ในขณะนนั้ เชน่ การระลึกถงึ สิ่งท่อี ยู่ในความทรงจาหรอื ความรู้ ตลอดจนประสบการณ์เดิม เป็นต้น 3. ระดบั จติ ใตส้ านึก (The Unconscious Level) เป็นสงิ่ ท่บี ุคคลมักจะเกบ็ ซ่อน ความรสู้ กึ ความปรารถนาท่ีไมต่ ้องการใหค้ นอ่นื รู้ รวมถึงสญั ชาตญาณของมนุษย์ด้วย Freud ให้ความสนใจใน ระยะเวลาทีย่ าวนาน อาจส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพในลกั ษณะเบ่ีบงเบน หรอื ไม่ได้รับกา ยอมรับจากสงั คมได้ (Matlin, 1995) 3) ลาดับข้ันตอนของพฒั นาการ (Stages of Psychsexual Development) จากการบาบัดคนไขด้ ้วยวธิ ีจิตวเิ คราะห์ ทาให้ Freud เชื่อวา่ ความผิดปกตทิ างจติ เป็นผลสบื เนอ่ื งจาก วัยเดก็ ด้วยเหตุดังกลา่ วเขาจึงใช้เหตุการณ์สาคญั ที่เกดิ ข้ึนในช่วงแรกของชวี ิตอธบิ ายบุคลกิ ภาพของผู้ใหญ่ โดยทั่วไป Freud กล่าวว่า แรงขับทางเพศ (Libido) มผี ลตอ่ อวัยวะเฉพาะที่ตามร่างกายในชว่ งเวลาทแี่ ตกตา่ ง กนั (Erogenous Zones) โดยแบง่ เป็น 5 ขั้น ซึง่ จะกลา่ วในลาดบั ตอ่ ไปการตอบสนองความต้องการในแตล่ ะ ช่วงท่ีไม่เหมาะสม ทาใหเ้ กิดการหยุดชะงกั พฤติกรรมหรือการติดข้นั (Fixation) ซึ่งจะมีผลทาให้เกดิ พฤติกรรม เบี่ยงเบน (Behavioral Disorders) ในรูปแบบต่างๆ
GEPS 123 พฤติกรรมมนษุ ย์กับการพฒั นาตน 3.1 ) ขนั้ ปาก (Oral Stage) ความสขุ ของเดก็ อยทู่ ่ีการดูด กลืน อาหาร หรอื การใช้กจิ กรรมทางปาก ตา่ งๆ เชน่ อม เคีย้ ว กดั การติดขึ้นน้อี าจมีผลทาให้บคุ คลมีความต้องการหรือเรียกร้องมากเกินไป ชอบประชด หรือมีความกลา้ สบู บหุ ร่ี ดื่มเหล้า กดั เล็บ เปน็ ต้น 3.2 ) ขนั้ ทวารหนัก (Anal Stage) ความสขุ ของเด็กอยู่ท่ีบรเิ วณนีด้ ังนัน้ การกระตุ้นบริเวณดังกลา่ ว เชน่ การขับถ่ายจึงทาให้เกดิ ความพอใจ พ่อแม่มกั จะฝกึ ให้เดก็ รู้จกั การขบั ถ่ายตามเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม การเคร่งครัดตอ่ การฝกึ อาจทาให้เกิดความขัดแย้ง มผี ลการติดขนั้ ทาให้กลายเปน็ คนเจ้าระเบียบ พถิ ีพถิ นั รัก ความสะอาด ยึดตดิ กับเวลา ขาดความยดื หยุน่ กา้ วร้าว เปน็ ต้น 3.3 ) ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) เด็กจะมีความรู้สึกไวตอ่ การสมั ผสั บริเวณนี้ จงึ พอใจทจี่ ะจับต้อง Freud อธบิ ายว่าในช่วงนีเ้ ดก็ ชายจะพัฒนา Odipus Complex เชน่ กนั ปมดังกล่าวคือการที่เด็กมีความรักพ่อ แมข่ องตนทเ่ี ป็นเพศตรงกันข้าม กลา่ วคือ เด็กชายรกั แม่และเดก็ หญิงรักพอ่ พลังดังกลา่ วมคี วามรุนแรงท่ีจะ ครอบครองพ่อหรือแม่ทตี่ นรกั แตผ่ ูเ้ ดียวโดยตอ้ งการให้อีกฝ่ายถูกกาจดั ไป เด็กชายมักจะกลัววา่ พ่อของตนจะรูค้ วามต้องการดงั กล่าวและถูกลงโทษด้วยการตอนหรือตดั อวัยวะ เพศของตน ดงั น้นั จึงหาวิธกี ารขจดั ความกลัวดว้ ยการเลยี นแบบ (Identification) พ่อซ่ึงจะทาใหเ้ ดการพฒั นา Superego ในเวลาตอ่ มา สว่ นเด็กหญงิ มคี วามร้สู ึกเปน็ ศัตรูกบั แม่ของตน เพราะเขา้ ใจวา่ เป็นสาเหตุทท่ี าใหไ้ มม่ อี วัยวะเพศ เหมอื นผู้ชาย (Penis Envy) Freud กล่าววา่ ในขน้ั นี้เด็กจะใชก้ ลไกป้องกนั ตนเอง (Defense Mechanism) ทเ่ี รียกว่า “การเก็บ กด” (Repression) เพื่อปิดบังความรู้สกึ ที่แทจ้ รงิ ซ่ึงสงั คมไม่ยอมรบั การตดิ ยึดในข้ันนี้อาจมผี ลให้รกั และภาคภมู ิใจในตนเองมากเกนิ ไปหรือขาดกลวั สงั คม 3.4 ) ขน้ั แฝง (latency Stage) เด็กจะเก็บกดความรู้สึก ความสนใจเกย่ี วกบั เพศ และหนั มาพัฒนา ทางด้านสงั คมและทกั ษะทางเชาวนปัญญาแทน เปน็ ที่สงั เกตได้ว่า เด็กมักจะเข้ากลมุ่ กบั เพื่อนเพศเดยี วกนั การ ทีเ่ ด็กได้ทากจิ รรมตา่ งๆ จะช่วยให้มกี ารผ่อนปรนทางอารมณ์ที่รุนแรงจากขน้ั ทแี่ ลว้ และนาไปสู่การพฒั นา บคุ ลกิ ภาพที่ดตี อ่ ไป 3.5 ) ขนั้ ความสขุ จากตา่ งเพศ (Genital Stage) ในช่วงนีเ้ ด็กจะเริ่มหันกลับมาสนใจเพศตรงกนั ข้าม เพอื่ ท่จี ะสร้างความสัมพนั ธ์ทางเพศอย่างแท้จรงิ Freud เชือ่ ว่าปมขัดแย้งกับพ่อแมท่ ี่ไมไ่ ด้รบั การแก้ไขจะ เกดิ ขึน้ อกี ในช่วงวยั ร่นุ และหากผา่ นไปด้วยดีกจ็ ะทาใหเ้ ด็กสามารถพฒั นาเป็นผู้ใหญ่ท่ีมีวุฒิภาวะในการสร้าง สัมพันธภาพกบั เพศตรงกันขา้ มด้วยดี (Matlin, 1995; Santrok, 1997) อย่างไรกต็ ามแมบ้ ุคคลจะผา่ นพน้ พัฒนาการในขนั้ ต่างๆ แล้วกต็ าม มิไดห้ มายความวาเลกิ แสวงหา หรือไม่พึงพอใจในสว่ นตา่ งๆ ตามที่กลา่ วมา ตรงกนั ข้ามความรูส้ กึ ดังกลา่ วยังคงอยู่ หากแตล่ ดความเขม้ ข้นลง และอาจแปรเปลย่ี นเปน็ พฤติกรรมอื่นที่แฝงความรูส้ ึกนั้นอยู่ โดยมพี ลังเหล่าน้ีเปน็ แรงจงู ใจพน้ื ฐาน 4) ปมขัดแยง้ ทางเพศ : วฒั นธรรมและอคติทางเพศ ในบรรดาแนวคิดของ Freud ปมขัดแยง้ ทางเพศนบั ว่าไดร้ บั ความสนใจ และวิพากษ์วิจารณถ์ ึงอทิ ธพิ ล ท่มี ตี อ่ พัฒนาการบทบาทเพศเป็นอย่างมาก หากจะแกะรอยความคิดของ Freud อาจสันนิษฐานได้ว่า ทฤษฎีดังกลา่ วเกดิ ข้ึนในชว่ งวกิ ตอเรยี เมือ่ ประมานปี ค.ศ. 1800 เรื่องเพศกาลงั อยู่ในความสนใจของคนท่ัวไปในขณะทเ่ี พศหญิงกลับต้องเก็บกดในเร่ือง ดังกล่าว ตามทศั นะของ Freud ในขนึ้ อวยั วะเพศ จะเหน็ ไดว้ า่ ให้ความสาคญั เพศชายเหนือกวา่ เพศหญิง โดย กล่าวถงึ Penis Envy ท่ีทาให้ผูห้ ญิงไม่สามารถพฒั นา Superego ไดด้ เี ท่าชาย
GEPS 123 พฤติกรรมมนษุ ย์กบั การพฒั นาตน จะเห็นไดว้ า่ แนวคิดดงั กลา่ วมีความลาเอยี งทางด้านเพศ โดยไม่คานงึ ถงึ อิทธิพลของวัฒนธรรมหรอื ประสบการณ์ทไี่ ด้รับ อย่างไรก็ตามมขี ้อพิสจู น์ท่นี า่ สนใจวา่ ทกั ษะดงั กลา่ วไม่อาจเปน็ จรงิ ไดก้ บั ทุสงั คมในปี ค.ศ. 1927 นกั มานุษยวทิ ยาชาวองั กฤษชือ่ Brownislaw Malinowski ไดท้ าการศกึ ษาชาวเกาะ Trobriand ซ่ึงต้องถน่ิ ฐาน อย่ใู นแถบตะวันตกของคาบสมทุ ร pacific พบว่าชนเผา่ น้ีมีวัฒนธรรมท่แี ตกตา่ งจากท่ีอื่นคอื พอ่ ไม่ได้ทาหนา้ ท่ี เป็นหวั หน้าครอบครวั หากแต่เปน็ ลงุ ซ่ึงเปน็ พชี่ ายของแมท่ ี่ทาหนา้ ท่ดี แู ลกฎเกณฑ์ของบา้ นแทน ดังนั้น Odipus Complex จงึ เปน็ ไม่เปน็ ผลสาหรับชนเผ่าน้ี จากการศึกษาพบว่าเด็กชายมักจะกลัวลุงของตนและมีความรสู้ กึ ทางลบในบางครง้ั แต่ไม่พบปมขัดแย้ง ระหวา่ งพ่อกบั ลูกชาย ทาให้เขาลงข้อสรปุ ว่าความสัมพนั ธ์ระหว่างเพศ (Sexual Relations) สาหรบั คนใน ครอบครวั ไม่จาเป็นต้องสรา้ งความขัดแย้งหรือความกลวั ให้เกิดข้นึ กบั เดก็ เสมอไป (Santrock, 1997) 2. ทฤษฎบี คุ ลิกภาพทางสังคมของอิริคสัน แนวคิดท่ีสาคัญ ๆ ของแอริคสันมีหลายประการแต่ที่สมควรนามากล่าวถึงในที่น้ีได้แก่ (ก) ทฤษฏี พัฒนาการบุคลิกภาพของมนุษย์ 8 ขน้ั ตอน ทีเ่ รยี กวา่ Psychosocial Stage (ข) พลังอีโก้ ( Ego strength ) และ (ค) วิธีการศึกษาบคุ ลกิ ภาพแบบ Psychohistorical method (ก) ทฤษฏี Psychosocial Stage 8 ข้นั ตอน ในบรรดาแนวคดิ ตา่ งๆ ของแอรคิ สนั นนั้ ทฤษฏี Psychosocial Stage 8 ขัน้ ตอน เป็นแนวคิดที่โด่ง ดังที่สุด ตามทฤษฏีน้ีได้แบ่งชีวิตของมนุษย์ต้ังแต่แรกเกิดจนเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็น 8 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอน บอกอายุไว้อย่างสังเขป ระยะน้ีเป็นการแบ่งอย่างคร่าวๆ เพราะแตกต่างไปในรายบุคคลและแตกต่างไปตาท อิทธพิ ลของวัฒนธรรม ส่ีขัน้ ตอนแรกเป็นระยะวัยทารกและวัยเด็ก ข้ันตอนท่ีห้าเป็นระยะวัยรุ่น สามข้ันตอน สดุ ท้ายเปน็ ช่วงวัยผู้ใหญ่ คาวา่ ข้นั ตอน (Stage) หมายความว่า มนุษย์มกี ระบวนการพัฒนาการเป็นขั้นๆ จากลาดับหนึ่งไปสู่ อีกลาดับหน่งึ เหมือนการขน้ึ บันได ไม่มกี ารกระโดดข้ามขั้น การพัฒนาการลาดับต้นย่อมมีผลกระทบสืบเนื่อง การพฒั นาการลาดบั ต่อๆไป ผู้ที่อ่านทฤษฏีบุคลิกภาพของฟรอยด์มาแล้วย่อมระลึกได้ว่า ฟรอยด์เองก็ได้กล่าวถึงขั้นตอนการ พัฒนาการเช่นกัน โดยเขาเชื่อว่า Psychosexual Stage แต่ทฤษฎีฟรอยด์แตกต่างจากทฤษฎี Psychosocial Stage ของแอริคสันหลายประการ แอริคสนั เองไดก้ ล่าวย้าว่าเขามไิ ด้เจตนาให้ทฤษฎีของเขา แทนทท่ี ฤษฎขี น้ั ตอนบุคลกิ ภาพของใครๆ เช่น ฟรอยด์ หรอื เพียเจท์ ทฤษฎีของเขาเน้นการศึกษาบุคลิกภาพ มนษุ ย์จากแงก่ ระบวนการเขา้ สงั คม และวิกฤตทิ างสงั คม จิตวิทยาที่เกิดจากการมสี ัมพนั ธภาพกบั บคุ คลอืน่ ๆ ความแตกตา่ งระหว่าทฤษฎี Psychosocial Stage ของแอริคสัน และ Psychosexual Stage ของ ฟรอยดม์ ีหลายประการ ประเดน็ ทีส่ มควรนามากล่าวถึงในทน่ี เ้ี ช่น ฟรอยด์เนน้ วา่ การแสวงหาความสุขจากส่วนตา่ งๆในร่างกาย เป็นจุดกระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม และพฒั นาบุคลกิ ภาพในรปู แบตา่ งๆเป็นข้ันๆ ตามลาดบั ตงั้ แตว่ ัยแรกเกดิ จนถึงวัยรนุ่ แอรคิ สันเนน้ ว่าลกั ษณะสมั พันธภาพท่ีบุคคลมกี ลุ่มบคุ คลตา่ งๆ และขดั แยง้ ทางสังคมจิตใจ เป็นจุด กระตนุ้ ให้บคุ คลมีพฤติกรรมและพัฒนาบคุ ลิกภาพในรูปแบบตา่ งๆ ตามลาดับ ต้ังแตเ่ กิดจนถงึ วยั สงู อายุ
GEPS 123 พฤตกิ รรมมนุษยก์ บั การพัฒนาตน ดว้ ยเหตุนีท้ ีแ่ อรคิ สนั เน้นกระบวนการสงั คมวา่ เปน็ จุดกระตุ้นหลอ่ หลอมบคุ ลิกภาพน้ีเอง เขาจึงให้ช่ือ ทฤษฏขี องเขาว่า Psychosocial Stage ลกั ษณะความขัดแยง้ ทางสงั คมจิตใจ 8 ขน้ั ตอน (Psychosocial Stage) แอริคสันอธิบายว่า ข้อขัดแย้งน้ีเกิดจากความสัมพันธ์ที่ปัจเจกชนมีกับกลุ่มบุคคลที่เป็นศูนย์กลาง ความผูกพัน ถ้าบุคคลสามารถแก้ไขภาวะวิกฤติและขัดแย้งได้ด้วยดีพอสมควรก็ทาให้เกิดลักษณะพฤติกรรม และลกั ษณะบคุ ลิกภาพทพ่ี งึ ประสงคเ์ รื่อยไปตามลาดับขน้ั ซ่งึ สง่ ผลคือมโี ครงสร้างบคุ ลิกภาพทมี่ ัน่ คง ขอ้ ขัดแยง้ ทางจิตใจมีลักษณะแย้งกนั เปน็ คๆู่ ท้ัง 8 ข้ันตอน ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ จะต้อง พฒั นาให้พึงมีพงึ เป็นขึน้ ในโครงสร้างของบุคลกิ ภาพอยา่ งสมดลุ กัน บคุ คลจึงมีโครงสร้างบุคลิกภาพอย่างมั่นคง เพอ่ื ขยายความเข้าใจเกยี่ วกบั ลักษณะข้อขดั แย้งทางจิตใจน้ี จะไดอ้ ธิบายในแตล่ ะขนั้ ตอนตามลาดับดังนี้ สัมพันธภาพกับบุคคลทีเ่ ปน็ อารมณ์และจิตใจ ศนู ย์กลางความผูกพัน ความขัดแย้งทางสงั คมและจิตใจ (psychosocial crises) แกไ้ ขภาวะขัดแยง้ ไมไ่ ด้ในแต่ละขั้นตอน แก้ไขภาวะขัดแยง้ ได้ในแต่ละขน้ั ตอน (unresolved crises ) (resolved conflicts) บคุ ลกิ ภาพท่ีไม่มั่นคงตามวยั หรอื บคุ ลกิ ภาพท่ีมั่นคงตามวัยหรือบคุ ลิกภาพ บุคลกิ ภาพที่มีปญั หา ทพี่ ึงประสงค์ อโี กท้ ่ีไม่เข้มแข็ง อโี กท้ เ่ี ข้มแข็ง (weak ego) (strong ego) ข้ันตอนที่ 1; ความไวว้ างใจแย้งกบั ความสงสยั นา้ ใจผอู้ ื่น (trust vs. mistrust) ระยะนี้เป็นระยะวัยทารกแรกเกิดถึง 1 ขวบ ความไว้ใจในผู้อ่ืนเกิดจากการท่ีเด็กได้รับการตอบสนอง ความตอ้ งการขนั้ พนื้ ฐานทางกายและจิตใจ เช่น ไดร้ ับการดูด ดื่ม ลูบ คลา อุ้มชู นอน เล่นเสียง มีผู้พูดให้ฟัง มี ผู้อยู่ใกล้ๆ เปลี่ยนผ้าให้เมื่อสกปรก กล่อมใหน้ อนเม่อื ง่วง ส่งิ เหลา่ น้ีทาใหท้ ารกไดร้ บั ความสขุ สบายและผาสุกใจ ทาให้เกดิ ความรสู้ ึกวา่ โลกน้ีนา่ อยู่ เมือ่ มที ุกขร์ อ้ นก็มผี ขู้ จัดเป่าให้ ความร้สู ึกน้ีก่อให้เกิดความในใจในบุคลิกที่อยู่ ใกล้ชิดและขยายวงไปสคู่ วามไวใ้ จในตนเอง และไวใ้ จผู้อื่น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123