Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอนวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง 2561

เอกสารประกอบการสอนวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง 2561

Published by YAOWATIWA LMS, 2018-11-25 09:40:27

Description: เอกสารประกอบการสอนวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง 2561

Keywords: วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

ห น้ า | 182 1.4 การอ้างอิงโดยใชเ้ ชิงอรรถ การอ้างอิงโดยใช้เชิงอรรถ เป็นวิธีที่สามารถอธิบายได้อย่างละเอียด โดยผู้อ่านไม่ จาเป็นต้องพลิกไปดูบรรณานุกรมอีกคร้ังหนึ่งเหมือนดังการใช้วงเล็บ นอกจากนี้ยังทาให้การ อ่านไม่สะดุดหรือหยุดชะงัก แต่จะไม่สะดวกในด้านการเขียนและการพิมพ์ และระบบอ้างอิง ค่อนข้างยุ่งยากกว่าการใช้วงเล็บ ผู้วิจัยจะต้องศึกษาระบบการเขียนให้เข้าใจก่อนที่จะเขียน รายงาน หลกั ในการเขียนเชงิ อรรถมดี งั น้ี 1) ใช้หมายเลขกากับระหว่างข้อความที่กล่าวถึงในเน้ือเร่ือง และเอกสารที่อ้างอิงไว้ใน เชงิ อรรถให้ตรงกัน หมายเลขในเชงิ อรรถให้พิมพไ์ ว้หน้าอักษรตัวแรกโดยยกระดบั สงู ขนึ้ ครึ่งช่วง บรรทดั พิมพ์ 2) การเรียงลาดบั ตวั เลขกากับในเชิงอรรถใหต้ ้ังต้นนบั หนง่ึ ใหมเ่ มือ่ ข้นึ หน้าใหม่ 3) ข้อความในเชิงอรรถแต่ละรายการต้องจบในหน้าเดียว และต้องอยู่ในหน้าเดียวกับ ข้อความที่กล่าวถึงในเนื้อเร่อื ง 4) เอกสารอ้างองิ แต่ละรายการในเชิงอรรถให้ย่อหน้า ซึง่ ถ้าไม่จบในบรรทดั เดียว เมื่อข้นึ บรรทดั ใหมจ่ ะต้องเขียนใหช้ ิดขอบหน้าของกระดาษ 5) เอกสารอ้างองิ ทั้งหมดที่กล่าวไว้ในเชิงอรรถต้องเขยี นไว้ในบรรณานุกรมท้ายเล่ม 6) การเขียนเชิงอรรถต้องจัดแยกไว้ส่วนล่างของหน้า โดยขีดเส้นคั่นระหว่างเนื้อเรื่องกับ เชงิ อรรถจากขอบซ้ายมาประมาณครึง่ หน้า 7) การอ้างอิงเอกสารในเชิงอรรถจะต้องระบุเฉพาะชื่อผู้แต่ง ชื่อเอกสาร และหมายเลข หน้าที่คัดลอกข้อความมา โดยเขียนตามแบบการเขียนบรรณานุกรมทุกประการ ยกเว้นการ ระบุชื่อผู้แต่ง ให้เขียนชื่อตัวก่อนชื่อสกุลไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ตาม ดัง ตัวอย่าง a. 1 ประวีณ ชศู ลิ ป์ วิธีการวิจยั หนา้ 64. b. 2 ปวัตน์ ชูศลิ ป์ “การเขียนรายงานการวิจัย” พัฒนาวัดผล 13 : 41-43, 2520. c. 3 Jame Smith, and others, Introduction to Research, p. 76. 8) ภายในหน้าหนึ่งๆ ถ้ากล่าวถึงเอกสารอ้างอิงใดๆ มากกว่าหนึ่งคร้ังแล้วไม่มีเอกสาร อื่นมาคั่น ผู้- วิจัยไม่จาเป็นต้องกล่าวข้อความในเชิงอรรถซ้า ให้ใช้ส้ันๆ ว่า ด. หรือ Ibid. ซึ่งถ้า เป็นการอา้ งในหน้าเดียวกันแล้วก็ไม่จาเป็นต้องระบุเลขหน้า แตถ่ ้าอา้ งอิงต่างหน้ากนั กต็ ้องระบุ เลขหน้ากากับด้วย เชน่ 4ด. หนา้ 9. หรอื 5Ibid. p. 7.

ห น้ า | 183 9) เม่ือกล่าวถึงเอกสารอ้างอิงเดียวกันแต่ต่างหน้ากัน หรือมีเชิงอรรถกล่าวถึงเอกสาร อื่นมาค่ันให้ระบุชื่อผู้แต่งก่อน แล้วใส่คาว่า ล.ด. หรือ op. cit. แล้วจึงระบุเลขหน้าที่อ้างอิง เช่น 3เสาวนีย์ โยธาภริ มย์ ล.ด. หนา้ 7. หรอื 4Jame Smith, op. cit., pp. 25-26. 1.5 การเขียนตารางและภาพประกอบ เน่ืองจากตารางเป็นสิ่งที่ช่วยย่นย่อสิ่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เป็นการสรุปให้เข้าใจง่ายขึ้น และยังสามารถแยกแยะเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ให้เห็นเด่นชัด ดังน้ันตารางจึงเป็นสิ่งที่จะช่วย ผู้วิจัยได้มาก โดยเฉพาะในการเสนอข้อมูลหรือค่าสถิติต่างๆ ของกลุ่มตัวอย่างหลายกลุ่มหรือ หลายระดับ ผวู้ ิจยั จงึ ตอ้ งมคี วามสามารถในการออกแบบตารางให้เหมาะสมและอ่านเข้าใจง่าย ซึ่งนอกจากตารางแล้ว ภาพประกอบก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยเสริมให้การอธิบายแจ่มชัดขึ้น เช่น รูปภาพแผนภูมิ กราฟ ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงจาเป็นต้องศึกษาหลักการเขียนตารางและ ภาพประกอบให้เข้าใจก่อนที่จะเขียนรายงานการวิจัย หลักในการเขียนตารางและภาพประกอบมีดังนี้ 1) ตารางทุกตารางและภาพประกอบทุกภาพต้องมีชื่อตารางหรือชื่อภาพ หากเป็น ตารางให้ใส่ชื่อตารางไว้ส่วนบนของตาราง แตถ่ ้าเป็นภาพประกอบให้ใส่ช่อื ไว้ใต้ภาพประกอบ 2) การเขียนชื่อตารางและชื่อภาพประกอบ ให้ระบุชื่อตารางหรือชื่อภาพประกอบเลย โดยไม่ต้องใส่คาว่าแสดงนาหน้า เช่น คะแนนเฉลี่ยของรายวิชาต่างๆ ของนักเรียนจาแนกตาม เพศ 3) ตารางและภาพประกอบต้องมีเลขที่ ซึ่งการเรียงเลขที่นั้นให้เรียงลาดับเลขที่ของ ตารางและภาพประกอบแยกกัน 4) การเรียงลาดับเลขที่ตารางหรอื เลขที่ภาพประกอบ ให้เรียงหมายเลขต่อกันไปตลอด ท้ังฉบบั 5) การเขียนเลขที่ตารางหรอื เลขทีภ่ าพประกอบให้ใชค้ าวา่ ตาราง หรอื ภาพประกอบ นาหนา้ หมายเลข แล้วจึงใส่ชือ่ ตารางหรอื ชื่อภาพประกอบ เชน่ ตาราง 1 จานวนนกั เรียนจาแนก ตามระดบั ชั้น 6) ชื่อตารางหรือชื่อภาพประกอบควรจัดวางให้อยู่กึ่งกลางของตารางหรือภาพ แต่ถ้า เปน็ ชื่อที่มขี นาดยาว ก็ใหพ้ ิมพ์ชื่อชิดขอบหน้าของกระดาษ ซึง่ หากจะตอ้ งตอ่ อีกบรรทดั หนึ่งก็ให้ ย่อหนา้ เข้ามาจากคาว่า ตาราง หรอื ภาพประกอบ เลก็ น้อย 7) การตีเส้นตารางน้ัน เส้นบนสุดและเส้นล่างสุดควรใช้เส้นคู่ และหน้าหลังคือ ด้านซ้ายสุดและด้านขวาสุดของตารางไม่นิยมขีดเส้น ให้เว้นว่างไว้ สาหรับเส้นอื่นๆ ให้ใช้เส้น เดียว

ห น้ า | 184 8) ก่อนที่จะเสนอตารางหรือภาพประกอบ ควรกล่าวนาถึงตารางหรือภาพประกอบ น้ันๆ เสียก่อนในเนือ้ เรื่อง 9) เม่ือเสนอตารางหรือภาพประกอบแล้ว ควรอธิบายและตีความหมายในตารางหรือ ภาพประกอบให้เข้าใจ พร้อมทั้งชีใ้ ห้เหน็ ถึงประเดน็ ที่สาคัญๆ 10) ในตารางเดียวกันควรจะเสนอรายละเอียดและข้อเท็จจริงซึ่งสัมพันธ์กันอย่าง ใกล้ชิดเท่าน้ัน และหากตารางใดยุ่งยากและซบั ซ้อนมากจนเกินไป ควรแยกเป็นหลายตารางจะ ทาให้เข้าใจง่ายขึ้น 11) ภาพประกอบโดยทัว่ ไปไม่จาเป็นต้องตีกรอบ 12) ถ้าตารางไม่จบในหน้าเดียวไม่ต้องขีดเส้นใต้เม่ือสุดหน้ากระดาษ และเมื่อข้ึนหน้าที่ สองของตารางเดิม ให้ใส่คาว่า ตาราง และ หมายเลขของตาราง พร้อมท้ังใส่คาว่า ต่อ ไว้ใน วงเล็บโดยไม่ต้องใส่ชื่อตารางอกี เชน่ ตาราง 4 (ต่อ) 13) ชือ่ ตารางหรอื ชื่อภาพประกอบต้องอยู่หน้าเดียวกับตารางหรอื ภาพประกอบ 2. สว่ นประกอบของรายงานการวิจยั การเขียนรายงานการวิจัยเป็นข้ันตอนสุดท้ายของกระบวนการวิจัย เป็นขั้นตอนที่จะ เผยแพร่ผลการวิจัยไปให้ผู้อื่นได้รับทราบ ซึ่งโดยทั่วๆ ไปการเขียนรายงานการวิจัยนั้นจัดทาได้ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี 1. การเขียนรายงานการวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ 2. การเขียนรายงานการวิจยั ลงในวารสารทางวิชาการ โดยรายงานแตล่ ะแบบมีสว่ นประกอบของรายงานตามลาดับดังนี้ 2.1 การเขียนรายงานการวจิ ัยฉบบั สมบรู ณห์ รอื การเขียนวทิ ยานิพนธ์ รายงานการวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์นั้นจะประกอบด้วย 4 ส่วนประกอบหลัก ได้แก่ 1. ภาคนา 2. ภาคเนื้อหา 3. ภาคเอกสารอ้างองิ 4. ภาคผนวก โดยแต่ละภาคมีสว่ นประกอบย่อยดงั นี้ 1. ภาคนา เปน็ ส่วนตน้ ของรายงานการวิจยั ซึ่งจะประกอบด้วย 1.1 ปก ซึ่งปกด้านหนา้ น้ันจะประกอบด้วย ชื่อเร่อื งของงานวิจยั ชือ่ ผู้วจิ ยั สถาบนั ที่ ทาการวิจัยหรือสถาบนั ของผู้วจิ ัย และปี พ.ศ. ทีเ่ ขียนรายงาน ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้

ห น้ า | 185 The instructional Focusing Model development on the Flipped Classroom for Student’s learning promotion in 3rd year student of Lampang Rajabhat University. Yaowatiwa Nammakhun Educational Research and Evaluation Faculty of Education Lampang Rajabhat University 2017

ห น้ า | 186 1.2 บทคัดย่อ (Abstract) ท้ังไทยและอังกฤษ จากบทคัดย่อนี้สามารถที่จะทาให้ ผู้อ่านได้ทราบถึงเนื้อหาของรายงานการวิจัยอย่างคร่าวๆ และรวดเร็ว ในบทคัดย่อจะ ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีดาเนนิ การวิจัยและผลการวิจยั ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปนี้ ชือ่ เร่อื ง การพัฒนารปู แบบการเรียนการสอนโดยใช้หอ้ งเรียนกลับด้านเพือ่ ส่งเสริมการ เรียนรู้รายวิชาประกันคณุ ภาพการศกึ ษา ของนักศึกษาช้ันปีที่ 3 มหาวิทยาลยั ราช ภัฏลาปาง ผสู้ นบั สนุนทุนการวิจัย คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั ลาปาง ผวู้ ิจยั ดร. เยาวทิวา นามคณุ ปีที่ดาเนินการวิจยั ปีการศึกษา 2560 บทคดั ยอ่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ ห้องเรียนกลับด้านเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้รายวิชาประกันคุณภาพการศกึ ษา ของนักศึกษาช้ันปี ที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ที่เรียน ผ่านรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ห้องเรียนกลับด้านเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้รายวิชาประกัน คุณภาพการศึกษา ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง 3) เพื่อศึกษาความพึง พอใจจากนักศึกษา ที่มีต่อรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ห้องเรียนกลับด้าน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่นักศึกษาช้ันปีที่ 3 ปีการศึกษา 2560 จานวน 194 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เคร่ืองมือในการวิจัยได้แก่ แบบบันทึกการสังเคราะห์งานวิจัย แบบบันทึกการประชุมกลุ่ม แบบสอบถาม และแบบทดสอบอัตนัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ห้องเรียนกลับ ด้านเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้รายวิชาประกันคุณภาพการศึกษา ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปางประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นกั ศึกษา ทีเ่ รยี นผา่ นรปู แบบการเรียนการสอนโดยใช้หอ้ งเรียนกลบั ด้านเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ รายวิชาประกันคุณภาพการศึกษา ของนักศึกษาช้ันปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปางสูงกว่า เกณฑอ์ ย่างมนี ยั สาคัญทีร่ ะดับ .01 3) ความพึงพอใจจากนักศึกษา ที่มตี ่อรูปแบบการเรียนการ สอนโดยใช้ห้องเรียนกลบั ด้านภาพรวมอยู่ในระดับสูง

ห น้ า | 187 คาสาคัญ ห้องเรียนกลับด้าน, การวิจัยชั้นเรียน, การประกันคุณภาพการศึกษา, การประยุกต์ แนวคิด think aloud protocol และ นวัตกรรมการสอน 1.3 คานิยมหรือกิติคุณประกาศ (Acknowledgement) เป็นหน้าที่ผู้วิจัยแสดง ความขอบคณุ แก่ผู้มอี ปุ การะต่าง ๆ ดังตวั อย่างตอ่ ไปนี้ กิตติกรรมประกาศ ผลงานวิจัยช้ินน้เี สรจ็ ส้ินลงได้ ด้วยความกรณุ าจาก ผชู้ ่วยศาสตรจารย์ดร.วิยดา แหลม่ ตระกูล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปรารถนา โกวิทยางกรู ดร. เกศนยี ์ อ่นิ อ้าย อาจารย์เบญจมาศ พุทธิมา อาจารย์เศรษฐวิชณ์ ชโนวรรณ และอาจารย์วิทเอก สว่างจิตร ผซู้ ึ่งให้ความกรุณาให้ คาแนะนาจนงานวิจัยเสร็จสมบูรณ์ ผวู้ ิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ ผู้เชี่ยวชาญทุกท่าน ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจสอบ เคร่ืองมือในการวิจัยและตรวจสอบรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ห้องเรียนกลับด้านเพื่อ ส่งเสริมการเรียนรู้รายวิชา ประกันคุณภาพการศึกษา ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัย ราชภฏั ลาปาง รวมทั้งการใหข้ ้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรงุ แก้ไข ขอขอบคณุ นักศึกษาทัศนพล ไวที กาธร คาใจหนกั พิทยา ก้องเสียง เอกพจ วงค์เทพ และวินัย อินทะจันทร์ ที่ได้ช่วยเหลือในการจัดทาสื่อ คลิ๊ปวิดีโอ จนงานวิจัยเสร็จสิ้นลงด้วยดี ยิ่ง ขอขอบคุณนักศึกษาทกุ คนทีใ่ ห้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง ในการนารูปแบบการเรียนการ สอนโดยใช้ห้องเรียนกลับด้านเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้รายวิชาประกันคุณภาพการศึกษา ของ นักศึกษาช้ันปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปางไปทดลองใช้ในรายวิชาการประกันคุณภาพ การศกึ ษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 ขอขอบพระคณุ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ลาปาง ที่ให้ทนุ สนับสนนุ ในการทา วจิ ัย ขอกราบขอบพระคุณ พ่อแม่ พี่น้อง ลูก ๆ เพื่อน ตลอดจนลูกศิษย์ ที่ให้ความ ช่วยเหลือและให้กาลังใจในการทาวิจยั มาโดยตลอด ดร. เยาวทิวา นามคณุ

ห น้ า | 188 1.4 สารบัญ (Table of contents) จะระบุส่วนที่สาคัญๆ ของรายงานว่าอยู่หน้าใด เช่น คานา หรือบทต่างๆ รวมทั้งหัวข้อที่สาคัญในแต่ละบท บรรณานุกรม และภาคผนวก หน้า ของคานิยม สารบญั ตาราง และสารบัญแผนภาพรวมอยู่ในหนา้ สารบัญด้วย ดังตวั อย่างตอ่ ไปนี้ สารบัญ กติ ติกรรมประกาศ หน้า บทคดั ย่อภาษาไทย ก ABSTRACT ข สารบญั ตาราง ค สารบญั รูปภาพ ง บทที่ 1 บทนา …………………………… ช 1 1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา 1 1.2 วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั 2 1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั 3 1.4 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 3 1.5 ประโยชน์ทไ่ี ด้รับ 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กยี่ วขอ้ ง……….. 6 บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย……………………. 57 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล …………………… 66 บทที่ 5 สรปุ อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ 81 5.1 สรปุ ผลการวจิ ยั 81 5.2 อภิปรายผล 82 5.3 ข้อเสนอแนะ 85 บรรณานกุ รม 86 ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายนามผู้เชีย่ วชาญ 88 ภาคผนวก ข เครอ่ื งมือการวจิ ัย 89 ภาคผนวก ค ผลการวเิ คราะห์คุณภาพเครอ่ื งมือในการวจิ ยั 93 ภาคผนวก ง ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ในการวิจยั 95 ภาคผนวก จ ตัวอยา่ งคมู่ ือการใช้รูปแบบ ฯ และเอกสารประกอบการสอน 96 ประวตั ิผเู้ ขียน 98

ห น้ า | 189 1.5 สารบัญตาราง (List of Tables) จะระบุตาแหน่งหน้าของตารางท้ังหมดที่มีอยู่ ในรายงานการวิจัย ถ้ามีตารางปรากฏอยู่ในภาคผนวก ต้องระบุตาแหน่งของตารางไว้ใน สารบญั ตารางดว้ ย ดังตวั อย่างตอ่ ไปนี้ สารบัญตาราง หนา้ ตารางที่ 2.1 ลกั ษณะสาคัญของการวจิ ยั ปฏิบัติการในชั้นเรียน 20 ตารางที่ 2.2 การเปรียบเทียบความแตกต่างของการทาวิจัยปฏิบตั ิการในช้ันเรียน 24 กับการวิจัยเชิงวิชาการ ตารางที่ 2.3 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน 33 ตารางที่ 2.4 วิธีการสอน สือ่ และเทคโนโลยีที่นามาใช้ในการจดั การเรียนรแู้ บบผสมผสาน 37 ตารางที่ 2.5 ตารางวิเคราะหข์ ้อสอบแบบอตั นยั วิชาวัดผลการศกึ ษา นสิ ิต,ปีที่ 3 60 วิชาเอกภาษาไทย ตารางที่ 3.6The activity of each lesson 98 ตารางที่ 4.7 ผลการสังเคราะหอ์ งค์ประกอบของรปู แบบการสอน 66 ตารางที่ 4.8 The result of trial Model for model development using 7 circles 73 on classroom action (PAOR) ตารางที่ 4.9 The quality of write-up examination 75 ตารางที่ 4.10The data analyze result by t-test statistic. 75 ตารางที่ 4.11 ผลการวิเคราะหค์ วามพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง ต่อรปู แบบ ฯ 77 1.6 สารบัญแผนภาพ (List of Figures) จะระบุตาแหน่งหน้าของแผนภาพทั้งหมด ทีม่ อี ยู่ในรายงานการวิจัย ถ้ามีแผนภาพปรากฏอยู่ในภาคผนวก ต้องระบุตาแหน่งของแผนภาพ ไว้ในสารบญั แผนภาพด้วย ดังตัวอย่างตอ่ ไปนี้

ห น้ า | 190 สารบัญภาพ หนา้ ภาพที่ 2.1 ขั้นตอนการวิจัยและพฒั นา ที่มา รัตนะ บัวสนธ์ 14 ภาพที่ 2.2 ขั้นตอนการวิจัยในช้ันเรยี นด้วยการวิจัยและพฒั นา 17 ภาพที่ 2.3 วิถีชีวติ ของการปฏิบัติการในช้ันเรยี นของครู 21 ภาพที่ 2.4 วงจรกระบวนการในการออกแบบและพฒั นาการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน 40 ภาพที่ 4.5 รปู แบบการเรียนการสอนโดยใช้ห้องเรียนกลบั ด้านเพือ่ ส่งเสริมการเรยี นรู้ 70 รายวิชาประกันคณุ ภาพการศกึ ษา ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัย ราชภฏั ลาปาง 1.7 คาอธิบายสัญลักษณ์และอักษรย่อ ใช้อธิบายความหมายของสัญลักษณ์ และอักษรย่อต่างๆ ส่วนนี้ไม่จาเป็นต้องมี ถ้าหากว่าในรายงานการวิจัยไม่ได้ใช้สัญลักษณ์ หรือ อักษรย่อต่างๆ ตวั อย่างหน้าความหมายของสญั ลักษณ์ ความหมายของสัญลกั ษณ์ ความหมายของสญั ลักษณ์ตา่ งๆ ที่ใชใ้ นงานวิจยั มดี งั น้ี X̅ = ค่าเฉลี่ย S= ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน C.V = สมั ประสิทธิ์การกระจาย SS = ผลบวกของกาลังสองของคา่ เบี่ยงเบน MS = ค่าเฉลีย่ ของกาลังสองของค่าเบีย่ งเบน df = Degree of freedom

ห น้ า | 191 F = ค่าสถิติ F 2. ภาคเนือ้ หา เป็นส่วนหลกั ของรายงานการวิจยั ซึ่งประกอบด้วย 2.1 บทนา ซึ่งในบทนีจ้ ะประกอบด้วย 2.1.1 ความนา เป็นส่วนที่กล่าวนาถึงภูมิหลังของเร่ืองที่จะศึกษาซึ่งส่วนของ ความนานี้ไม่ต้องขึ้นเป็นหัวข้อ หลังจากที่ขึ้นบทนากลางหน้ากระดาษแล้ว ย่อหน้าเขียน ข้อความตา่ งๆ ทีเ่ ป็นความนาได้เลย 2.1.2 ความสาคัญของปัญหา เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้วิจัยต้องเน้นให้เห็นว่าเร่ืองที่ กาลังศึกษาน้ันมีความสาคัญและมีความจาเป็นอย่างไรที่จะต้องศึกษา ซึ่งอาจจะกล่าวถึง ผลงานวิจัยหรือทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ เป็นการเสริมให้เห็นถึงความสาคัญของงานที่กาลัง ทาอยู่ 2.1.3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็นส่วนที่ระบุให้เห็นชัดเจนว่าเป้าหมาย หลักของการวิจัยนั้นจะศึกษาเกี่ยวกับอะไรบ้าง การเรียงลาดับข้อของวัตถุประสงค์ควรจะ เรียงลาดับตามความสาคัญของวัตถุประสงค์ และวัตถุประสงค์หลักที่สาคัญนั้นควรจะ สอดคล้องกับชือ่ เรอ่ื งของงานวิจัย 2.1.4 สมมตุ ิฐานของการวิจัย (ถา้ มี) ส่วนน้ีไม่จาเป็นต้องมีทุกคร้ังในงานวิจัย บางลักษณะถ้าผู้วิจัยไม่ได้คาดหวังอะไรไว้เลย หรือผู้วิจัยยังไม่มีแนวคิดว่าผลการวิจัยควรจะ เป็นอย่างไร สมมุตฐิ านของการวิจยั อาจจะไม่มี หมายเหตุ การเขียนวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์น้ัน หัวข้อสมมุติฐานของการ วิจยั จะไม่ได้อยู่ในบทนา แตจ่ ะไปอยู่เป็นส่วนท้ายของการตรวจเอกสาร 2.1.5 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ เป็นส่วนที่ผู้วิจัยคาดหวังว่างานวิจัยน้ัน จะเปน็ ประโยชน์ในด้านใดบ้าง 2.1.6 ขอบเขตของการวิจยั เป็นส่วนที่ผู้วจิ ัยจะกาหนดกรอบของการวิจัย จะครอบคลมุ ในเรือ่ งใดบ้าง กลุ่มประชากรเป้าหมายคืออะไร ตวั แปรอะไรทีจ่ ะศกึ ษา 2.1.7 ข้อตกลงเบื้องต้น เป็นข้อความที่แทนแนวความคิดหรือข้อเท็จจริง ข้ันพ้ืนฐานที่ยอมรับว่าเปน็ ความจริง 2.1.8 นิยามศัพท์ เป็นส่วนที่กาหนดความหมายของคาบางคา ที่ใช้ในการ วิจัย เพือ่ สือ่ ความหมายได้ตรงกนั

ห น้ า | 192 2.2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง เป็นส่วนที่สรุปแนวคิดทางทฤษฎีและ หลักการต่างๆ ที่เกี่ยวกับเร่ืองที่กาลังศึกษา และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องท้ังภายในประเทศและ ต่างประเทศซึ่งควรจะแยกเป็นเร่ืองๆ ซึ่งผู้วิจัยควรจะกาหนดไว้ว่าตรวจสอบเอกสารในด้าน ใดบ้างและเขียนเป็นด้านๆ หรือเป็นเร่ืองๆ ไปจะดีกว่าเขียนเรียงตามลาดับปี พ.ศ. เม่ือจบการ ตรวจเอกสารแลว้ ตอนท้ายผู้วจิ ยั ควรจะสรปุ ไปด้วยว่าเร่ืองต่างๆ ที่ตรวจสอบมาน้ันเกีย่ วโยงกับ สิง่ ทีก่ าลงั ศกึ ษาอย่างไร หมายเหตุ การเขียนวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์น้ันสมมุติฐานของการ วิจัยจะอยู่ตอนท้ายของบทนี้ 2.3 วิธีการวิจัย เป็นส่วนที่ระบุถึงวิธีการดาเนินการเกี่ยวกับการวิจัย ซึ่ง ประกอบด้วย 2.3.1 กลุ่มตวั อย่างทีใ่ ชแ้ ละวิธีการสุ่มตวั อย่าง 2.3.2 เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยรวมท้ังวิธีการสร้างเคร่ืองมือการตรวจสอบ คณุ ภาพของเครือ่ งมอื 2.3.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ระบุวิธีการดาเนินการรวบรวมข้อมลู 2.3.4 การวิเคราะหข์ ้อมูล ระบุค่าสถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู 2.4 ผลการวิจัย เป็นส่วนที่แสดงถึงผลการวิจัย โดยอาจการเสนอผลการวิจัย นั้นในรูปของการบรรยายหรือตารางก็ได้แลว้ แตค่ วามเหมาะสม 2.5 อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ เป็นส่วนที่สรุปเน้ือหาที่สาคัญจากบทต้นๆ รวมท้ังขอ้ เสนอแนะต่างๆ ดงั นน้ั ในบทนีจ้ ะประกอบด้วย 2.5.1 สรุป ส่วนนี้จะสรุปเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย เคร่ืองมือที่ใช้ใน การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมลู และผลการวิจัย 2.5.2 อภิปรายผล ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ผู้วิจัยแสดงความคิดเห็นที่มีต่อ ผลการวิจัยภายใต้กรอบแนวคิด ทฤษฏีตามที่ได้ศึกษาไว้ในเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับวิจารณ์ในมมุ มองของผดู้ าเนินการวิจยั อย่างเปน็ เหตุเปน็ ผลตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการ วิจยั 2.5.3 ข้อเสนอแนะ ส่วนนี้จะเป็นข้อเสนอแนะของผู้วิจัย ซึ่งควรจะเสนอแนะ จากผลการวิจยั ที่ได้ว่าจะนาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ไม่ควรจะเสนอแนะลอยๆ ครอบจกั รวาล

ห น้ า | 193 3. ภาคเอกสารอ้างอิง ส่วนนี้เป็นส่วนที่ประกอบด้วยรายการเอกสารต่างๆ ที่ได้ อ้างอิงไว้ในเอกสารแนวคิด ทฤษฏี และรายงานการวิจัย เอกสารทุกเล่มที่อ้างอิงไว้ในภาค เนื้อหาจะต้องปรากฏอยู่ในเอกสารอ้างอิง การจัดลาดับของเอกสารอ้างอิงน้ันจัดลาดับตาม ตัวอักษรของชื่อผู้แต่ง ซึ่งถ้าเป็นภาษาไทยจะเป็นชื่อต้น แต่ถ้าเป็นภาษาต่างประเทศจะเป็นชื่อ ท้าย จดั ลาดับเอกสารภาษาไทยก่อนแล้วตามด้วยภาษาต่างประเทศทีหลงั 4. ภาคผนวก ส่วนน้ีเป็นส่วนที่ให้รายละเอียดของการวิเคราะหข์ ้อมลู สูตรต่างๆ ทีใ่ ช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล รายละเอียดของการวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนภาคผนวกนี้อาจจะไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับความจาเป็นและความเหมาะสมของงานวิจัยแต่ละเร่ือง ซึ่งในส่วนของภาคผนวกนี้ อาจจะประกอบด้วยภาคผนวกย่อยๆ หลายส่วนได้ การเริ่มภาคผนวกย่อยทุกคร้ังให้ขึ้นหน้า ใหม่ 3. การประเมินคณุ ภาพผลงานวิจัย การประเมินผลรายงานการวิจัย เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยควรใช้ในการประเมินคุณภาพของ รายงานทั้งของตนเองและของผู้อื่น กล่าวคือ ประเมินผลรายงานของตนเพื่อเป็นแนวทางในการ ทาวิจัยครั้งต่อไป และประเมินผลรายงานของผู้อื่นเพื่อคัดเลือกรายงานที่มีคุณค่าและเชื่อถือ ได้มาใช้ประกอบการทาวิจัยของตน ซึ่งในการประเมินผลรายงานการวิจัยนั้น อาจพิจารณา แยกเป็นส่วนๆ ดงั น้ี 1. ชือ่ เรอ่ื ง 1.1 ชัดเจน ทาให้มองเหน็ ขอบข่ายของปัญหาหรอื ไม่ 1.2 ชัดเจน ทาให้มองเห็นนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาหรอื ไม่ 1.3 ชดั เจน ทาให้เห็นกลุ่มเป้าหมายทีต่ อ้ งการแก้ไขปญั หา/พฒั นา หรอื ไม่ 1.4 ชัดเจน ทาให้เหน็ ขอบเขตด้านพืน้ ที่ ที่ตอ้ งการแก้ไขปญั หา/พฒั นา หรอื ไม่ 1.5 ใช้ภาษาเหมาะสมเพียงใด 1.6 เป็นเรือ่ งที่มคี ุณค่า น่าสนใจ และทนั สมยั หรอื ไม่ 1.7 ซ้าซ้อนกับผลการวิจัยของผู้อ่นื หรอื ไม่ 2. ส่วนประกอบตอนต้น 2.1 การวางรปู แบบของปกนอกและปกในเหมาะสมหรอื ไม่ 2.2 สารบญั บญั ชตี าราง และบัญชภี าพประกอบสอดคล้องกบั ภาคเนือ้ เร่อื งหรือไม่ และระบุรายละเอียดไว้ชดั เจนเพียงใด

ห น้ า | 194 3. ภูมิหลัง 3.1 การกล่าวถึงปัญหาได้ใช้ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโดยการวิเคราะห์ อย่างถี่ถ้วนหรอื ไม่ 3.2 การอธิบายความสัมพันธ์ของปัญหาหรือการจาแนกตัวแปรได้อย่าง สมเหตสุ มผลหรอื ไม่ 3.3 ข้อความที่เป็นปญั หากล่าวอย่างชัดเจน รัดกุมและสนั้ หรอื ไม่ 3.4 มีเหตผุ ล และข้อมูลสนับสนนุ ทีน่ า่ เชอ่ื ถือดีเพียงใด 3.5 ลาดบั เนื้อความตอ่ เนือ่ งกัน และสละสลวยเพียงใด 3.6 ใช้ภาษาเหมาะสม ชัดเจน และอ่านเข้าใจง่ายเพียงใด 4. จุดมุ่งหมายของการวจิ ยั 4.1 ใช้ภาษาสั้นๆ รดั กมุ และหลีกเลี่ยงคาซ้าซ้อนหรอื ไม่ 4.2 ระบุปัญหา/ประเดน็ การพัฒนา อย่างชดั เจนเพียงใด 4.3 ปญั หา/ประเด็นการพัฒนา แตล่ ะขอ้ กว้างหรอื แคบเกินไปหรอื ไม่ 4.4 ปัญหา/ประเดน็ การพัฒนา แตล่ ะขอ้ สามารถเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้หรือไม่ 5. ขอบเขตของการวิจัย 5.1 ระบกุ ลุ่มประชากรชัดเจนหรอื ไม่ 5.2 ระบุตวั แปรชัดเจนหรือไม่ 5.3 ระบุขอบเขตของเนอื้ หาในการวิจยั ได้ชดั เจนหรอื ไม่ 5.4 ระบุขอบเขตของระยะเวลาในการวิจัยได้ชดั เจนหรอื ไม่ (ถ้ามี) 6. ข้อตกลงเบือ้ งตน้ 6.1 นาข้อบกพร่องของการวจิ ัยมาเปน็ ข้อตกลงเบือ้ งตน้ หรอื ไม่ 6.2 ซ้าซ้อนกบั ขอบเขตของการวิจยั และคานิยามศัพท์เฉพาะหรอื ไม่ 6.3 จาเป็นต้องมีขอ้ ตกลงเบอื้ งตน้ นั้นๆ หรอื ไม่ 7. คานิยามศัพทเ์ ฉพาะ 7.1 ให้นยิ ามคาศัพท์ทีจ่ าเปน็ ต้องให้ความหมาย (อาจพิจารณาจากช่ือเรื่อง จดุ ประสงคก์ ารวิจยั สมมตฐิ านการวิจัยและตัวแปรการวิจยั ) ครบถ้วนหรอื ไม่ 7.2 ได้ให้นิยามคาที่มลี ักษณะเป็นนามธรรมในรปู ของนยิ ามปฏิบัติการหรอื ไม่ 7.3 การวดั ค่าตัวแปรหรอื คณุ ลักษณะที่จะศกึ ษาได้นยิ ามไว้หรอื ไม่ 7.4 คานยิ ามสอดคล้องกับคาที่ใชใ้ นการเขียนรายงานการวิจยั หรอื ไม่ 7.5 ใช้ภาษาในการให้ความหมายของคาได้เหมาะสม เข้าใจง่าย และชัดเจนเพียงใด

ห น้ า | 195 8. สมมุติฐาน 8.1 สอดคล้องกับจุดมงุ่ หมายของการวิจัยและสามารถตอบปัญหาได้ครบถ้วน หรอื ไม่ 8.2 สอดคล้องกบั ข้อเทจ็ จริงหรอื ทฤษฎีและผลการวิจัยของผอู้ ืน่ ทีเ่ ปน็ ที่ยอมรับ ทัว่ ไปหรอื ไม่ 8.3 อธิบายข้อเท็จจริงของปัญหาที่จะทาได้ครบถ้วน สมเหตสุ มผลหรอื ไม่ 8.4 สามารถทดสอบได้และเกบ็ รวบรวมข้อมูลได้หรือไม่ 8.5 ใช้คาชัดเจนและงา่ ยต่อการตรวจสอบเพียงใด 8.6ช่วยทานายข้อเท็จจริงและอธิบายความสัมพันธ์ต่างๆ ที่ยังไม่ทราบมาก่อนได้ หรอื ไม่มากน้อยเพียงใด 9. เอกสารและการวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 9.1 สมั พันธ์กับปัญหาหรอื ไม่ 9.2 มีการศกึ ษาอย่างครอบคลุมและท่วั ถึงหรอื ไม่ 9.3 ใช้ภาษาส้ันๆ อ่านเข้าใจง่ายและสละสลวยเพียงใด 9.4 เขียนเรียงลาดบั ต่อเนื่องกัน ทาให้มองเห็นพฒั นาการในการแก้ปัญหาหรอื ไม่ 9.5 มีการวิเคราะหแ์ ละสรุปหรอื ไม่ 9.6 มีการอ้างองิ เมอ่ื กล่าวถึงแนวคิดหรือผลการวิจัยของผู้อ่ืนหรอื ไม่ 10. เครื่องมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั 10.1 มีความเที่ยงตรงและมีความเชอ่ื ม่ันหรือไม่ 10.2 ข้อคาถามมีความเป็นปรนัย ชัดเจน และใช้ภาษาเหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่าง มากน้อยเพียงใด 10.3 ลกั ษณะของเครื่องมอื เหมาะสมกับปัญหาและกลุ่มตัวอย่างเพียงใด 10.4 ความยาวของเครื่องมอื ส้ันหรอื ยาวเกินไปหรอื ไม่ 10.5 ชีแ้ จงวิธีการตอบชดั เจนเพียงใด 10.6 ลาดบั ข้อคาถามตอ่ เนื่องกัน และแบ่งเปน็ ด้านหรอื จัดเป็นหมวดหมู่เหมาะสม มากน้อยเพียงใด 11. วิธีดาเนินการ 11.1 อธิบายถึงการเลือกกลุ่มตัวอย่างและวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างได้เหมาะสม ถกู ต้องหรอื ไม่ 11.2 อธิบายถึงการเลือกใช้เคร่ืองมือว่ามีอะไรบ้าง และระบุวิธี ข้ันตอนการสร้าง เครื่องมือไว้ชดั เจนหรอื ไม่

ห น้ า | 196 11.2 ชี้แจงลักษณะของเคร่ืองมือ วิธีการใช้เคร่ืองมือ ตัวอย่างเคร่ืองมือ ตลอดจน การตรวจใหค้ ะแนนไว้ชดั เจนเพียงใด 11.3 ระบุวิธีการเกบ็ รวบรวมข้อมูลไว้ชัดเจนหรอื ไม่ 11.4 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลสอดคล้องตามแผนดาเนินการหรือรูปแบบการวิจัย ทีก่ าหนดไว้หรอื ไม่ 11.5 ระบวุ ิธีการวิเคราะหข์ ้อมลู ไว้ชัดเจนเพียงใด 11.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลและลักษณะ ของปัญหามากน้อยเพียงใด 11.7 ระบุสตู รทีใ่ ช้ถูกต้องหรอื ไม่ 11.8 อธิบายถึงการทดสอบสมมุตฐิ านไว้ชดั เจนและเหมาะสมหรือไม่ 12. ผลการวิจยั 12.1 เสนอผลเป็นลาดับต่อเน่อื งกนั หรอื ไม่ 12.2 สอดแทรกตารางและภาพประกอบในการเสนอผลเหมาะสมเพียงใด 12.3 มีการกล่าวนา มีเลขที่และชื่อพร้อมท้ังอธิบายประกอบทุกคร้ังที่มีตารางหรอื ภาพประกอบหรอื ไม่ 12.4 ชือ่ ตารางและชือ่ ภาพประกอบเหมาะสมเพียงใด 12.5 ลักษณะของตารางซับซ้อนเกินไปหรอื ไม่ 12.6 ภาพประกอบมีความชัดเจนเพียงใด 12.7 อธิบายสัญลกั ษณ์ทีใ่ ชใ้ นการเสนอผลการวจิ ัยหรอื ไม่ 12.8 แปลผลได้ถูกต้องตามความหมายของค่าสถิติโดยปราศจากความลาเอียง หรอื ไม่ 12.9 แปลผลสอดคล้องกบั สมมุตฐิ านหรอื ไม่ 12.10 ใช้ภาษาอธิบายได้ชดั เจนแจม่ แจ้งเพียงใด 12.11 ผลทีไ่ ด้ขัดแย้งกันเองหรอื ไม่ 13. สรปุ ผลการวิจยั 13.1 สรุปส้ันๆ เฉพาะประเดน็ ทีส่ าคัญหรือไม่ 13.2 ใช้ภาษางา่ ยๆ กะทดั รดั และชัดเจนเพียงใด 13.3 สรุปผลตรงตามความเปน็ จริงหรอื ไม่ มีขอ้ อคติเพียงใด 14. อภิปรายผล 14.1 ย่อและสรปุ ผลได้ชัดเจนหรอื ไม่ 14.2 อภปิ รายได้เหมาะสม โดยยึดหลักการตอบคาถามว่าสอดคล้องกับสมมตุ ิฐาน หรอื ไม่

ห น้ า | 197 14.3 อภิปรายสอดคล้องกับสมมุติฐาน หลักทฤษฎี และผลการวิจัยของผู้อื่น หรอื ไม่ 14.3 ได้บอกให้ทราบว่าแนวคิดใหม่หรือข้อคิดทีไ่ ด้จากการวิจยั นั้นคืออะไรหรือ 15. ขอ้ เสนอแนะ 15.1 ระบุข้อบกพร่องของการวิจัย การนาผลการวิจัยไปใช้ และแนวทางในการทา วิจยั ตอ่ ไปชดั เจนเพียงใด 15.2 สามารถปฏิบัติตามได้หรอื ไม่ 16. บรรณานกุ รม 16.1 ถกู ต้องตามหลกั การเขียนบรรณานกุ รมหรอื ไม่ 16.2 แสดงให้เหน็ ถึงการคน้ คว้ามากน้อยเพียงใด 16.3 มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลออนไลด์มากเกินไปหรือไม่ (ไม่ควรเกินร้อยละ 30 ของท้ังหมด) 17. ภาคผนวก 17.1 จาเปน็ ต้องมีภาคผนวกน้ัน ๆ หรอื ไม่ 17.2 สามารถอธิบายรายละเอียดบางอย่างเพิม่ เติมทาให้เข้าใจได้ดีข้นึ เพียงใด 18. บทคดั ยอ่ 18.1 ยาวเกินไปหรอื ไม่ 18.2 มีสว่ นสาคัญครบถ้วนหรอื ไม่ 18.3 สรุปย่อเกินไปหรอื ไม่ 18.4 ใช้ภาษางา่ ยๆ สั้นๆ ชัดเจน และตรงจุดเพียงใด 19. ลักษณะรปู เล่มของรายงาน 19.1 มีสว่ นต่างๆ ของรายงานครบถ้วนหรอื ไม่ 19.2 พิมพ์ถูกต้องชัดเจนและสะอาดเรียบร้อยเพียงใด 19.3 การอา้ งองิ ถูกต้องชดั เจนเพียงใด 19.4 รูปแบบของรายงานถูกต้องเป็นไปตามหลักสากลหรอื ไม่ 19.5 วางรปู แบบการพิมพค์ งทีส่ มา่ เสมอหรอื ไม่ 19.6 การย่อหนา้ และเว้นวรรคตอนเหมาะสมเพียงใด

ห น้ า | 198 4. สรุป การจัดทารายงานการวิจัยมีการจัดทาใน 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) การนาเสนอในรูปแบบ ของรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์และการนาเสนอในรปู แบบบทความการวิจัย โดยมีเป้าหมาย ในการจัดทาเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย เพื่อให้เกิดการนาผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์อย่าง กว้างขวางหรือเกิดการแลกเปลี่ยน พัฒนาความรู้ใหม่ ๆ จากข้อค้นพบอย่างต่อเน่ือง ซึ่งการ นาเสนอผลงานวิจัยท้ังแบบมีหลักในการพิจารณาอยู่หลายประการดังที่ได้นาเสนอข้างต้น ซึ่ง เป็นข้อพิจารณาถึงคุณภาพของผลงานวิจัยไปในการณ์เดียวกัน และเพื่อให้การเผยแพร่ ผลงานวิจัยทีผ่ ู้วจิ ัยได้ใช้ความทุ่มเท อตุ สาหะในการศกึ ษาเปน็ ที่แพร่หลาย ผเู้ ขียนจะได้นาเสนอ ในเน้ือหาเทคนิคในการเผยแพร่ผลงานวิจัยในบทต่อไป 5. แบบฝึกหดั 1. ให้นักศึกษาจดั ทารายงานการวิจัยชนั้ เรียนฉบับสมบรู ณ์ ประกอบด้วย 1.1 ภาคนา 1.2 ภาคเนื้อหา 1.3 ภาคเอกสารอ้างอิง 1.4 ภาคผนวก 2. ให้นักศึกษาวิพากษ์คุณภาพผลงานวิจัยของเพื่อนจานวน 5 ผลงานโดยใช้หลักการ พิจารณาคณุ ภาพผลงานวิจัยที่นา่ เชอ่ื ถือ 6. แหล่งขอ้ มูลในการศกึ ษาเพ่มิ เติม นิโลบล นิ่มกิ่งรัตน์. (2543). การวิจัยทางการศึกษา (Educational Research). ภาควิชาประเมินผลและวิจัยการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่. รัตนะ บัวสนธ์. (2544).วิจัยและพัฒนาการศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร. สรชัย พิศาลบตุ ร. (2556). การวิจยั ทางการศึกษา (Educational Research). บริษัท ส. เอเซียเพรส (1989) จากัด กรงุ เทพฯ.

ห น้ า | 199 สิทธิ์ ธีรสรณ์. (2555). เทคนิคการเขียนรายงานการวิจยั . สานกั พิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . สุวิมล ว่องวาณิช. (2544). การวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียน. ภาควิชาวิจัยการศึกษา คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

ห น้ า | 200 บทที่ 11 เทคนคิ การเผยแพร่ผลงานวิจยั จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. นักศึกษาสามารถอธิบายถึงความเปน็ มาและความสาคญั ของบทความเชิงวิชาการ 2. นักศึกษามีความเข้าใจความเข้าใจ ในเทคนิคการใช้ภาษาในการเขียนบทความเชิง วิชาการ 3. นักศึกษามีความรคู้ วามเข้าใจ ในจริยธรรมในการเขียนบทความเชิงวิชาการ 4. นักศึกษาสามารถเขียนรายงานการวิจัยในรูปแบบของบทความวชิ าการได้ การเผยแพร่ผลงานวิจัยนอกจากจะเผยแพร่ในรูปแบบของรายงานการวิจัยแล้วยัง นิยมเผยแพร่ในรูปแบบของบทความวิชาการ ซึ่งเป็นงานเขียนประเภทหนึ่งที่มีเผยแพร่ในสื่อ สิ่งพิมพ์เฉพาะประเภทในหลายหลายรูปแบบ ได้แก่ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ หนังสือ โปสเตอร์ในการประชุม บทความวจิ ัย บทความในการประชมุ บทความปริทศั น์และบทความใน หนังสือ เป็นต้น ซึ่งแตกต่างจากสิ่งพิมพ์อื่นท้ังในด้านรูปแบบและเน้ือหา ผู้วิจัยที่มีความ ต้องการเผยแพร่ผลงานวิจัยให้แพร่หลายในวงวิชาการจาเป็นต้องมีความรู้ในเทคนิควิธีการ เขียนบทความวิชาการใน 4 ด้าน ได้แก่ 1. ความเป็นมาและความสาคัญของบทความเชิง วิชาการ 2. การใชภ้ าษาในการเขียนบทความเชิงวิชาการ 3. จรยิ ธรรมในการเขียนบทความเชิง วิชาการ 4. การเขียนรายงานการวิจยั ลงในวารสารทางวิชาการ 1. ความเป็นมาและความสาคัญของบทความเชิงวิชาการ การสื่อสารทางวิชาการ (Scholarly Communication) เป็นกิจกรรมที่นักวิชาการสร้าง งานเขียนทางวิชาการ ประเมินคุณภาพของงานเหล่านั้นเผยแพร่ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อ สาธารณชน และเก็บรกั ษาให้คงอยู่ตอ่ ไปด้วยการตพี ิมพ์เผยแพร่ การเขียนเชงิ วิชาการ (Scholarly Writing หรอื Academic Writing) เป็นรปู แบบหนง่ึ ของ การส่อื สารทางวิชาการ สาหรบั กลุ่มเป้าหมายที่เป็นชมุ ชนวิทยาการ (Scientific Community) ซึง่ เป็นกลุ่มคนที่มบี รรทัดฐาน พฤติกรรม และเจตคติ ที่ผนึกคนในกลุ่มเข้าด้วยกัน กลุ่มนีเ้ ปน็ กลุ่ม ทางวิชาชีพที่ประกอบด้วยผคู้ นที่มปี ฏิสมั พนั ธ์กันและมีหลกั จรยิ ธรรม ความเชื่อ ค่านิยม วิธีการ และการฝึกฝน และเส้นทางอาชีพเดียวกัน ชุมชนนี้ประกอบด้วย นักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย

ห น้ า | 201 ฯลฯ ซึ่งมีความรู้ ความคิดวิเคราะห์ และความสามารถในการวิพากษ์ คนในชุมชนนี้แสดง ความรู้ที่มีการตรวจสอบและเสนอแนวคิดทีเ่ ป็นตรรกะโดยผ่านงานเขียน การเขียนเชิงวิชาการ นี้ถือเป็นกิจกรรมที่ทั้งผู้เขียนและผู้อ่านต่างก็อยู่ในชุมชนเดียวกัน การเขียนเพื่อตีพิมพ์เป็น ประโยชน์แก่ตัวผู้เขียน แก่ผู้อ่าน และแก่วิทยาการสาขานั้น กระบวนการเขียนเริ่มที่ผู้เขียนต้อง ศึกษางานในอดีตภายใต้หัวข้อที่เลือกอย่างกว้างขวาง ทาให้เกิดความคุ้นเคยกับองค์ความรู้ใน เร่ืองน้ัน ตลอดจนทราบแนวคิดและทฤษฎีที่สาคัญ นอกจากนี้ ผู้เขียนงานวิชาการยังอาจได้สิ่ง ตอบแทนรูปอื่น เช่น ค่าตอบแทนจากการเขียนบทความ โอกาสที่จะได้ไปนาเสนอในที่ประชุม หรอื ตาแหน่งทางวิชาการที่สูงข้ึน เปน็ ต้น ผทู้ ี่อา่ นบทความก็จะได้รบั ความรู้เพิ่มเติม โดยเฉพาะ องค์ความรทู้ ี่เกิดขึน้ ใหม่ ทาให้ทนั สมยั ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในศาสตร์ ส่วนแวดวงวิชาการ ก็ เกิดความคึกคกั จากความรู้ใหม่ๆ ทีเ่ ผยแพร่ นักวิชาการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกนั และกนั ทา ให้องค์ความรู้มกี ารพัฒนาและต่อยอดไปในระดับที่สงู ขึน้ การเขียนเชิงวิชาการมีรากฐานจากการแสวงหาความรู้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) ซึ่งดาเนินไปตามขั้นตอนอย่างมีระบบเริ่มต้ังแต่การระบุปัญหา การเก็บ ข้อมูลด้วยการสังเกตหรือทดลอง การสร้างและทดสอบสมมุติฐาน ไปจนถึงการวิเคราะห์และ สรุป ความเป็นวิชาการในงานเขียนยังสะท้อนจากการผูกประโยคและเรียงร้อยเข้ากันเป็นย่อ หน้าที่กลมกลืน ใช้ภาษาตามหลักไวยากรณ์ ใช้เคร่ืองหมายวรรคตอนที่เหมาะสม และสะกด การันต์ถูกต้อง หากบทความที่เขียนบกพร่องในเร่ืองเหล่านี้ ก็จะไม่สามารถสื่อข้อมูลและ ความคิดของผู้เขียนตามที่ต้ังใจไว้ได้ และพลอยทาให้ผู้อ่านไม่เชื่อถือในความรู้และ ความสามารถของเจ้าของงานไปด้วย (สิทธิ์ ธีรสรณ์, 2555) บทความวชิ าการที่เหมาะสมสาหรบั การตพี ิมพ์ในวารสารตอ้ งมีคณุ ลกั ษณะดังน้ี  นาเสนอผลการศึกษาที่ไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน  ได้รับการกลน่ั กรองโดยผู้ทรงคณุ วฒุ ิ  ผอู้ ่านสามารถสืบค้นได้ในภายหลงั 1.1 วารสารวิชาการ วารสาร (Journal) ที่เกิดขึ้นคร้ังแรกในยุโรป คือ Journal des Scavans (ตรงกับ ภาษาอังกฤษว่า (Journal of Scholars) ซึ่งก่อตั้งโดยนักเขียนชาวฝร่ังเศส ชื่อ Denis de Sallo (1626 – 1669) และออกฉบับแรกใน ค.ศ. 1665 (อีกไม่กี่เดอื นในปีเดียวกนั นั้น ก็เกิดวารสารอีก เล่มหนึ่งในประเทศอังกฤษชื่อ Philosophical Transactions of the Royal Society of London) วารสารเล่มนี้ตีพิมพ์บทความที่เป็นข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และเน้ือหาอื่น เช่น ข่าว มรณกรรม ประวัติศาสนจักร และรายงานทางกฎหมาย ซึ่งดาเนินการจนหยุดไปใน ค.ศ. 1792 และเริ่มตีพิมพ์อีกคร้ังใน ค.ศ. 1797 โดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Journal des Savants (ตรงกับ

ห น้ า | 202 ภาษาอังกฤษว่า Journal of the Learned) และนาเสนอเนื้อหาด้านวรรณคดีเพิ่มขึ้นเร่ือยๆ จน กลายเปน็ วารสารทางวรรณคดีตราบจนปัจจบุ นั สิ่งพิมพ์รายคาบ (Periodical) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีกาหนดออกเป็นระยะที่แน่นอน มี หลายประเภท เชน่ วารสาร นิตยสาร หนังสือพมิ พ์ ฯลฯ วารสารวิชาการเป็นสิ่งพิมพ์รายคาบที่ ตีพิมพ์สาหรับกลุ่มคนเฉพาะในสาขาใดสาขาหนึ่งที่มีความรู้ในเน้ือหาสาระและเข้าใจในเร่ือง ระเบียบวิธีวิจัยของสาขานั้นร่วมกนั หรอื ทีเ่ ราเรียกว่า ชุมชนวิทยาการ ดงั กล่าวก่อนหน้านี้ บทความวิชาการจะปรากฏอยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์รายคาบที่เรียกว่า วารสารวิชาการ (Scholarly Journal) ซึ่งมีโครงสร้างเนื้อหาและรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน และสะท้อนความเป็น วิชาการ ต่างจากสิ่งพิมพ์ประเภทอื่น เช่น นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ฯลฯ บางครั้งเราจึงเรียก บทความวชิ าการว่า บทความวารสาร ลักษณะที่ทาให้วารสารแตกต่างจากสิ่งพิมพ์รายคาบประเภทอื่น นอกจากจะเป็น เรือ่ งเนือ้ หาที่เป็นบทความวิชาการแล้ว ยงั เป็นประเดน็ ในเรื่องผู้อ่าน ผเู้ ขียน ชือ่ วารสาร รูปเล่ม ลาดับหน้า ตลอดจนผู้ตีพิมพ์ (ดูตารางที่ 11.1) อย่างไรก็ตาม บางครั้งเราอาจพบสิ่งพิมพ์ราย คาบบางเล่มต้ังชื่อเล่มว่า วารสาร เพื่อสร้างความประทับใจว่าเป็นงานวิชาการ แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่วารสารวิชาการ เพราะขาดคณุ สมบตั ิบางอย่างตามทีร่ ะบใุ นตารางนี้ ตาราง 11.1 ลกั ษณะของวารสารกบั สิ่งพิมพ์ประชานิยม เกณฑ์ วารสาร สื่อ 1. ผูอ้ ่าน นักวิชาการ อาจารย์ นักศกึ ษา สิ่งพิมพป์ ระชานิยม บุคคลทั่วไป ไม่ตอ้ งอาศัยความรู้ เฉพาะสาขา 2. ผูเ้ ขียน ระบวุ ฒุ ิการศกึ ษาหรอื ตาแหนง่ ไม่ต้องระบวุ ฒุ ิการศกึ ษาหรือ วิชาการ ตาแหน่งวิชาการ 3. ชื่อเลม่ มกั มีคาว่า “วารสาร” “วิจยั ” หรอื ตั้งชื่อใหข้ ายได้ “ปริทัศน์” 4. รปู เล่ม เรียบๆ ใช้สสี วยงาม 5. ลาดบั หน้า บทความแต่ละเร่ือง เรียงหน้า อาจมโี ฆษณาคั่นระหว่างหน้าใน 6. ผูต้ ีพมิ พ์ ติดตอ่ กันจนจบเรอ่ื ง บทความ เปน็ สถาบนั การศกึ ษา เป็นองค์กรธรุ กิจ

ห น้ า | 203 วารสารนอกจากจะเป็นเวทีที่ใช้เพื่อสื่อสารทางวิชาการแล้ว ยังเป็นประโยชน์แก่ นักวิชาการที่ใช้วารสารในการค้นคว้า เพราะจะช่วยลดโอกาสที่ผู้นั้นจะศึกษาซ้าซ้อนกับงานที่ คนอื่นเคยทาแล้ว จุดประกายความคิดในการสร้างสรรค์งานในแง่มุมใหม่ๆ ซึ่งทาให้ศาสตร์ แขนงน้ันก้าวหน้ายิ่งข้ึน โดยการขยายองค์ความรเู้ ดิม อนึ่ง บทความที่นักวิชาการเขียนเพื่อแสดงความเห็นเชิงวิเคราะห์หรือวิพากษ์ และ ตีพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ประชานิยม เช่น หนังสือพิมพ์ แม้จะมีความทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และ สะท้อนบุคลิกภาพของผู้เขียนก็จริง แต่ก็เป็นการนาเสนอความเห็นของผู้เขียนในฐานะ คอลัม นิสต์ (Columnist) ซึง่ ไม่ถือเปน็ บทความวชิ าการ (Scholarly Article) ตามเกณฑใ์ นตารางที่ 11.2 ตาราง 11.2 ลักษณะของบทความในวารสารกับในสิง่ พิมพป์ ระชานิยม เกณฑ์ บทความ 1. วตั ถปุ ระสงค์ วารสาร สิง่ พิมพ์ประชานิยม รายงานผลการศกึ ษาค้นคว้า ให้ความบันเทิง ขายสินค้า แสดง ความคิดเหน็ 2. ภาษา ทางการและเฉพาะด้าน ไม่เปน็ ทางการ 3. บทคดั ย่อ ต้องมี ไม่จาเป็น 4. เอกสารอา้ งอิง ต้องมี ไม่จาเปน็ 5. การกลัน่ กรอง โดยผู้ทรงคณุ วฒุ ิ โดยบรรณาธิการ 6. การหาขอ้ มูล ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเต็มรูป ใช้เอกสารหรือสอบถามอย่างไม่ แบบอย่างเคร่งครัด เปน็ ทางการในฐานะผสู้ ื่อข่าว บทความวารสารถือเป็นบทความเชิงประจักษ์ (Empirical Article) กล่าวคือ เป็น บทความที่ผู้เขียนดาเนินการศึกษาเร่ืองที่เขียนโดยเก็บข้อมูลด้วยตนเอง (อันนี้เป็นแนวคิดของ พวกปฏิฐานนิยม) ตัวบทความถือเปน็ เอกสารชั้นตน้ ส่วนบทความที่ปรากฏในสือ่ ประชานิยมน้ัน ส่วนใหญ่ไม่ใช่บทความเชิงประจักษ์ เพราะผู้เขียนเขียนขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าเอกสารที่มีอยู่ แล้วของผอู้ ื่น ไม่ได้ดาเนินการศึกษาเชิงประจกั ษ์ด้วยตนเอง แตก่ ระนนั้ บางคร้ังส่ือประชานิยมก็ ตีพิมพ์บทความเชิงประจักษ์ในลักษณะคล้ายๆ กับวารสาร ซึ่งก็ไม่ปรากฏบ่อยนัก แต่ข้อ แตกต่าง คือ บทความในสื่อประชานิยมมกั ขาดรายละเอียดสาคญั ที่ผู้อ่านจาเป็นต้องทราบเพื่อ เปน็ แนวทางในการศกึ ษาซ้า สื่อประชานิยมจงึ ไม่เหมาะแก่การคน้ คว้างานวิจัย

ห น้ า | 204 1.2 ดชั นีผลกระทบการอา้ งอิงวารสาร ดัชนีผลกระทบการอ้างอิงวารสาร (Journal Impact Factor หรือ JIF) ถูกใช้เป็นตัววัด ความถี่โดยเฉลี่ยของบทความในวารสารที่ถูกนาไปอ้างถึงในปีนั้นโดยเปรียบเทียบจานวน วารสารที่ตีพิมพ์ในวารสารดังกล่าวใน 2 ปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่บ่งบอกคุณภาพของวารสารเล่ม หนง่ึ ๆ ยิ่งถกู อ้างมากเท่าไร ก็ยิง่ เปน็ วารสารทีม่ คี ุณภาพมากเท่าน้ัน แมจ้ ะมีคนอา้ งว่า การวิเคราะหก์ ารอา้ งองิ (Citation Analysis) ดงั กล่าวข้างตน้ มชี ่องว่าง ที่ไม่รัดกุม เช่น การเพิ่มระดับผลกระทบด้วยการอ้างงานของตัวเองหรือบอกให้เพื่อน นักวิชาการคนอื่นมาอ้างงานของตน แต่ในแวดวงวิชาการก็ยังถือว่าดัชนีผลกระทบเป็น เครื่องมือทีเ่ ปน็ มาตรฐานในการประเมินคุณภาพวารสาร หน่วยงานที่ริเริ่มแนวคิดเร่ืองการจัดระดับคุณภาพวารสารเป็นแห่งแรกในระดับสากล คือ สถาบันเพื่อสารสนเทศทางวิทยาศาสตร์ (Institute for Scientific Information หรือ ISI) คิด ขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 เพื่อใช้คัดเลือกวารสารเข้าสู่ฐานข้อมูลของสถาบัน ซึ่งมี 3 ฐานข้อมูล คื อ Science Citation Index (SCI), Social Science Citation Index (SSCI) แ ล ะ Arts and Humanities Citation Index (A&HCI) ปัจจุบัน แวดวงวิชาการในประเทศไทยมีวารสารเป็นจานวนมาก ท้ังในระดับหน่วยงาน คณะ และภาควิชา ผู้เขียนไม่ต้องแข่งขันเพื่อให้ได้ลงตีพิมพ์ ใครส่งก็มักจะได้รับการตีพิมพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นอาจารย์ในสถาบันนั้นเอง บทความที่ปรากฏในวารสารจึงมีคุณภาพ หลากหลาย และไม่น่าแปลกที่บทความจานวนมากไม่ถูกนาไปอ้างอิง เพราะไม่มีคุณภาพพอ ดังนน้ั หากต้องการใหว้ ารสารมคี ุณค่ายิง่ ขึน้ ทางกองบรรณาธิการประจาเล่มอาจต้องคัดกรอง บทความมากกว่านี้ และผเู้ ขียนเองก็ต้องเขียนบทความให้มีคุณภาพมากขึน้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขียนจากงานวิจยั ต้นฉบับ (Original Research) หน่วยงานที่รับผิดชอบการทาดัชนีผลกระทบการอ้างอิงวารสารสา หรับวารสารใน ประเทศไทย มีดังนี้ 1. ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งตั้งอยู่ที่ 126 ถนนประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140 โทรศัพท์/โทรสาร 0-2470-8647 2. ศูนย์ดัชนีการอ้างองิ วารสารไทย สานกั หอสมดุ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ท่าพระ จนั ทร์ กรุงเทพฯ 10200 โทรศัพท์ 0-2613-3540-41 โทรสาร 0-2623-5713 บทความวิชาการเป็นรูปแบบของการเขียนเชิงวิชาการที่ได้จากการศึกษาตามหลัก วิทยาศาสตร์และการอ้างอิงงานอื่น บทความวิชาการปรากฏในวารสารวิชาการ ซึ่งเป็นสื่อ สิ่งพิมพ์ที่นกั วิชาการเขียนสาหรบั ผู้อ่านเฉพาะสาขา ใช้ภาษาทางการ อาศยั การสบื ค้นและวิจัย

ห น้ า | 205 ต้องแสดงแหล่งค้นคว้า และต้องถูกตรวจสอบโดยนักวิชาการคนอื่นในสาขา ส่วนคุณภาพของ วารสารดูได้จากดัชนีผลกระทบ 2. การใช้ภาษาในการเขียนบทความวิชาการ ในบทความวิชาการ สิ่งที่สาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเน้ือหา คือ ภาษาที่ใช้เขียน หาก เน้ือหาดี ถูกต้อง ตรงตามหลักวิชา แต่ผู้เขียนใช้ภาษาต่ากว่ามาตรฐานหรือผิดขนบที่ใช้กับงาน เขียนประเภทนี้ ก็ทาให้บทความด้อยคุณค่า และทาให้เสียโอกาสที่จะได้รับพิจารณาตีพิมพ์ ผเู้ ขียนจึงต้องใช้ลลี าและภาษาในบทความอย่างเหมาะสม 2.1 ระดบั ภาษา ภาษามีหลายระดับ จะใช้ระดับใด ขึ้นอยู่กับกาลเทศะหรือเวลาสถานที่ ในกรณีที่ เป็นการเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร ผู้เขียนควรใช้ภาษาระดับทางการหรือที่เรียกว่า วัจนลีลาทางการ (Formal Style) ที่มีลักษณะเป็นมาตรฐาน ไม่มีคาสบถ คาสแลง ไม่มีการ กร่อนคา หรือละคาน้าเสียง และลีลาในบทความต้องดูจริงจัง ไม่เหลาะแหละเลินเล่อจนไร้ ความเข้มขลังในวิทยาการ แต่ถ้าเป็นบทความที่จะเผยแพร่ในสื่อมวลชล ก็อาจใช้วัจนลีลาใน ระดับที่มคี วามเปน็ ทางการน้อยลง ตัวอย่างต่อไปนีแ้ สดงการใช้ภาษาผดิ ระดับภาษา  “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยมีอุปสรรคหลายเร่ือง แต่เร่ืองหลักที่ต้อง ได้รับการแก้ไขโดยไม่รีรอ คือ มลภาวะในสถานที่ท่องเที่ยว” [วลีว่า โดยไม่รีรอ เป็นภาษาพูด ต้องเปลี่ยนเปน็ โดยทันที]  “ผู้บริโภคข้าวอินทรีย์ส่วนเป็นกลุ่มคนที่เคยซื้อไปแล้วติดใจในคุณภาพของข้าว” [คาวา่ ติดใจ เปน็ ภาษาพดู ต้องเปลี่ยนเปน็ พอใจ หรอื ประทับใจ]  “การลาออกของพนักงานในบริษัทเป็นจานวนมากในคราวเดียวกันเป็นสิ่งที่น่า จบั ตามอง” [วลีว่า เป็นสิ่งที่นา่ จับตามอง เป็นภาษาสือ่ มวลชน ต้องแก้เปน็ เปน็ เรื่องน่าให้ความ สนใจอย่างยิง่ หรอื เป็นเรือ่ งสาคัญที่ควรพิจารณา] 2.2 ภาษาตา่ งประเทศ ในการเขียนบทความวิชาการที่เป็นภาษาไทย เรามักเลี่ยงศัพท์ภาษาต่างประเทศ ไม่ได้ โดยเฉพาะศัพท์เฉพาะศาสตร์ (Terminology) ทั้งนี้เนื่องจากสังคมไทยเปิดรับวิทยาการ ความรใู้ นด้านต่างๆ จากต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา

ห น้ า | 206 ผเู้ ขียนต้องใช้ภาษาต่างประเทศในบทความดว้ ยความระมัดระวงั ข้อผดิ พลาดที่เกิดขึน้ มักเกีย่ วข้องกบั การทับศัพท์ การใชค้ าภาษาไทยแทน และการสะกดคา 1.1 การเขียนทับศพั ท์ ถ้าคาภาษาต่างประเทศที่ต้องการใช้ไม่มีในภาษาไทย ก็ต้องใช้วิธี ทับศัพท์ (Transliteration) หรือยืมศัพท์ (Lexical Borrowing) ซึ่งเป็นการรับเอาคาของภาษาหนึ่งมาใช้ใน อีกภาษาหนึ่งโดยวิธีถ่ายเสียงและถอดตัวอักษร ในการทับศัพท์น้ัน ผู้เขียนไม่ควรสะกดจาก เสียงเอาเอง ต้องทบั ศพั ท์โดยใช้แนวทางจากเอกสารดงั ตอ่ ไปนี้  หลักเกณฑ์การทับศัพท์ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝร่ังเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาอิตาลี ภาษาสเปน ภาษารัสเซีย ภาษาอาหรับ ภาษามลายู ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน (2535)  ประกาศสานักนายกรัฐมนตรีและประกาศราชบัณฑิตยสถาน เร่ืองกาหนดชื่อ ประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง (2545) คาที่มักทับศัพท์ผิด เช่น “ระดับแอลฟ่า” [ที่ถูกต้อง คือ ระดับแอลฟา ], “อิเล็คทรอนิกส์” [ที่ถูกต้อง คือ อิเล็กทรอนิกส์], “โควต้า” [ที่ถูกต้อง คือ โควตา], “แฟ็กซ์ เอกสาร” [ที่ถูกต้อง คือ แฟกซ์เอกสาร], “ดิจิตอล” [ที่ถูกต้อง คือ ดิจิทัล], “อินเตอร์เน็ต” [ที่ ถูกต้อง คือ อินเทอร์เนต็ ], “ลอจิสตกิ ส์” [ที่ถูกต้อง คือ โลจสิ ติกส์], “ซพั พลายเออร์” [ทีถ่ ูกต้อง คือ ซัปพลายเออร์], “เว็ปไซต์” [ที่ถูกต้อง คือ เว็บไซต์], “อีเมล์” [ที่ถูกต้อง คือ อีเมล], “กราฟฟิก” [ที่ถกู ต้อง คอื กราฟิก] ฯลฯ 1.2 การใชค้ าภาษาไทยแทน ถ้าคาภาษาต่างประเทศมีศัพท์บัญญัติ (Coined Word) หรือ (Coined Vocabulary) หรือมีคาเรียกในภาษาไทย ก็ควรใช้ศัพท์ที่เปน็ ภาษาไทย ไม่ควรใช้วิธีเขียนทับศัพท์ ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้  “ผู้วิจัยนาแบบสอบถามไปฝากไว้กับรีเซฟชั่นของโรงแรมเพื่อแจกให้แก่พนักงาน ต่อไป” [ควรเปลี่ยนจาก รีเซฟช่ัน เป็น พนกั งานต้อนรบั ]  “ผู้วิจัยตรวจสอบสัญชาติของนักท่องเที่ยวขาเข้าโดยขอดูพาสปอร์ตของผู้ เดินทาง” [ควรเปลี่ยนจาก พาสปอร์ต เป็น หนังสือเดินทาง]  “พนักงานให้สัมภาษณ์ว่า โรงแรมไม่ค่อยแคร์การทางานของตนเท่าที่ควร จึง ต้องการเปลีย่ นงานหรอื ลาออก” [ควรเปลีย่ นจาก แคร์ เป็น สนใจ] ในการตัดสินใจว่าจะเขียนทับศัพท์หรือไม่นั้น ผู้เขียนบทความต้องตรวจสอบจาก พจนานุกรมศัพท์บัญญัติในสาขาต่างๆ ของราชบัณฑิตยสถานก่อน ว่าคาต่างประเทศคาน้ัน

ห น้ า | 207 ได้รับการบัญญัติศัพท์ไว้หรือไม่ ถ้าไม่พบก็อาจเป็นศัพท์ที่ราชบัณฑิตยสถานเสนอให้ใช้คาไทย แทนได้ ซึ่งตรวจสอบจากหนังสือ ศัพท์ต่างประเทศที่ใช้คาไทยแทนได้ โดยราชบัณฑิตยสถาน (2549) อีกลาดับหนึ่ง ศัพท์ภาษาต่างประเทศที่ราชบัณฑิตยสถานเสนอให้ใช้คาไทยแทนได้ เช่น Office (ให้ ใช้วา่ ทีท่ างาน), Proceedings (ให้ใชว้ ่า ประมวลบทความจากการประชุม), Plot (ให้ใชว้ ่า สารวจ ประชามติ), Premium (ให้ใช้ว่า เบี้ยประกัน หรือ ของสมนาคุณ), Outsource (ให้ใช้ว่า จ้าง หนว่ ยงานภายนอก) ฯลฯ 1.3 การใชค้ าตามภาษาเดิม การใช้คาต่างประเทศในบทความอาจอยู่ในรูปของการกากับคาน้ันในวงเล็บ หรือ ใช้วิธีปนรหัส (Code Mixing) ซึ่งเป็นการใช้คาภาษาต่างประเทศปนเข้าไปในเนื้อความภาษาไทย เลย ดงั ตวั อย่างต่อไปนี้  “……ถึงแม้ว่าไม่มีผู้นิยามคาว่า ความจงรักภักดีของลูกค้า อย่างเป็นที่ยอมมรับ ทั่วไปในระดบั สากล (Dick & Basu, 1994; Oliver, 1999)……” [ใช้ชือ่ บคุ คลเปน็ ภาษาต่างประเทศ]  “……ออสทีโอคลาสต์สลายกระดูกและปล่อยแคลเซียมให้เป็นอิสระ แต่ไม่มี receptors ส า ห รั บ PHT ส่ ว น preosteoblastic precursors แ ล ะ preosteoblasts มี receptors สาหรับ PHT……” สิง่ ที่ผู้เขียนพึงระวงั เมอ่ื จะใช้คาภาษาต่างประเทศในงานเขียน คือ การสะกดคา ดงั นน้ั จึงต้องตรวจสอบตัวสะกดของศัพท์คาน้ันจากพจนานุกรมภาษาน้ันให้แน่ใจก่อนนามาเขียนใน บทความ คาภาษาต่างประเทศที่มักสะกดผิด เช่น “Sale Promotion (การส่งเสริมการขาย)” [ที่ ถูกต้อง คือ Sales Promotion], “Public Relation (การประชาสัมพันธ์)” [ที่ถูกต้อง คือ Public Relations], “Mix Method (วิธีวิจัยแบบผสม) ” [ที่ถูกต้อง คือ Mixed Method], “r square (สัมประสิทธิ์การทานาย)” [ที่ถูกต้อง คือ r squared หรือ r2], “Build-in (สร้างเป็นส่วนถาวรใน โครงสร้างที่ใหญ่กว่า)” [ที่ถูกต้อง คือ Built-in], “Medias (สื่อหลายประเภท)” [ที่ถูกต้อง คือ Media], “internet (ในกรณีเปน็ คานาม)” [ที่ถูกต้อง คือ Internet], “Phenomenons (ปรากฏการณ์ หลายอย่าง)” [ที่ถูกต้อง คือ Phenomena], “ดัชนีความสอดคล้อง (Index of Consistency หรือ IOC)” [IOC ที่ถกู ต้องย่อมาจาก Index of Item Objective Congruence] อย่างไรก็ตาม การสอดแทรกคาภาษาต่างประเทศในบทความนั้น ถ้าไม่จาเป็นจริงๆ หรอื ถ้าไม่ช่วยใหผ้ อู้ ่านเข้าใจเนื้อความดีข้ึน ก็ไม่ต้องมีก็ได้ เพราะถ้ามีมากเกินไปจะดูรก และยัง เพิม่ โอกาสที่จะสะกดหรอื ใช้ผิดอกี ด้วย

ห น้ า | 208 2.3 การเลือกใช้คา คาในภาษาไทยหลายคามีความหมายใกล้เคียงกัน ต้องเลือกใช้ให้ถกู ต้องตรงกบั บริบท และหน้าที่ของคา คาที่ใช้ผิดบ่อยมักเป็นคาลักษณนาม คาบุพบท และคาสันธาน ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้  “พนักงานเห็นด้วยกับนโยบายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของโรงแรมในบาง นโยบาย” [คาวา่ นโยบาย ไม่ใช่คาลักษณนาม ควรเปลี่ยนเปน็ เรื่อง]  “วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้มี 4 เป้าหมาย ดังนี้……” [คาว่า เป้าหมาย ไม่ใช่ คาลกั ษณนาม ต้องเปลีย่ นเปน็ ข้อ หรอื ประการ]  “เราอาจสรุปได้ว่า ความเข้มแข็งของธุรกิจโรงแรมขึ้นอยู่กับทุกปัจจัยที่กล่าว ข้างตน้ ” [คาวา่ ปัจจยั ไม่ใช่คาลกั ษณนาม ควรเปลี่ยนเปน็ ปจั จยั ทกุ ข้อ/ประการ]  “บางโรงเรียนไม่อนญุ าตใหผ้ ู้วิจัยเข้าไปเกบ็ ข้อมูล จงึ ตอ้ งเลือกตวั อย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling)” [ควรเปลีย่ นจาก บางโรงเรียน เปน็ โรงเรียนบางแหง่ ]  “กลยุทธ์การตลาดเพื่อต่อต้านการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ในเด็กวัยรุ่น” [ควร เปลีย่ นจาก ใน เปน็ ของ]  “หลักสูตรการฝึกอบรมนี้อาจลดความขัดแย้งระหว่างพนักงานและผู้บริหาร” [ควรเปลีย่ นจาก และ เปน็ กบั เพราะคาบุพบท กบั ใช้บ่งบอกความสัมพนั ธ์ระหว่างกัน]  “อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองคร้ังนี้ อาทิเช่น หลอดทดลอง กระดาษเขียนตอบ เทอร์โมมเิ ตอร์ ฯลฯ” [คาวา่ อาทิ, และ, เชน่ มีความหมายเหมอื นกนั ต้องเลือกใช้คาใดคาหนึง่ ]  “การพัฒนาบุคลากรทาได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสม ได้แก่ การฝึกอบรม การเข้าร่วมสัมมนา การดูงาน ฯลฯ” [ควรเปลี่ยนจาก ได้แก่ เปน็ เชน่ เพราะยกมากล่าวไม่ครบ ทั้งชุด]  “องค์ประกอบของส่วนประสมทางการตลาดมี 4 ประการ เช่น ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทาง และการส่งเสริมการตลาด” [ควรเปลีย่ นจาก เชน่ เป็น ได้แก่ เพราะแจงครบทั้งหมด] 2.4 ความชดั เจน จะว่าไปแล้ว การสื่อสารทุกประเภทล้วนต้องชัดเจนท้ังสิ้น ไม่เพียงแต่การเขียน บทความ แต่ด้วยเป็นเพราะเราใช้งานเขียนประเภทนี้เป็นสื่อในการเผยแพร่ความรู้ใหม่เป็นครั้ง แรก ความชัดเจนจึงยิ่งทวีความสาคัญมากกว่าปกติ กล่าวได้ว่า เป็นคุณสมบัติที่บทความ วิชาการหน่งึ ๆ ขาดไม่ได้ และจะว่าไปแล้วสาคัญยิ่งกว่าลีลาการเขียนด้วยซ้า ผเู้ ขียนต้องนาเสนอเนื้อหาในบทความด้วยความชัดเจน เรียบงา่ ย และเปน็ ระเบียบ ไม่ต้องประดิดประดอยถ้อยคาสานวนให้ไพเราะหรือสละสลวยเหมือนกับการเขียนทาง

ห น้ า | 209 วรรณคดี ไม่ต้องใช้โวหารหรือกลวิธีใดๆ ทางวรรณศิลป์ เพราะรังแต่จะทาให้ผู้อ่านไม่แน่ใจว่า ผู้เขียนต้องการหมายถึงอะไรกนั แน่ และทาให้คนอ่านสะดุดทีร่ ูปแบบแทนทีจ่ ะมุ่งความสนใจไป ที่เน้ือหา ภาษาทีง่ ดงามจงึ เหมาะกับงานเขียนเชิงสร้างสรรค์มากกว่า การจัดระเบียบเนื้อหาในบทความสะท้อนให้เห็นว่าผู้เขียนมีวิธีคิดที่เปน็ เหตุเป็นผล เป็นระเบียบ และชัดเจน เม่ือเนื้อหาในบทความเป็นระเบียบก็จะสื่อสารได้ชัดเจน ผู้อ่านอ่าน แล้วกเ็ ข้าใจได้ไม่ยาก ยังส่งผลใหบ้ ทความสามารถสร้างคณุ ปู การตอ่ องค์ความรู้ ถ้าอา่ นแลว้ ไม่ เข้าใจก็กลายเปน็ บทความทีไ่ ม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ผู้เขียนควรเลือกใช้คาที่ชัดเจน ไม่ทาให้ผู้อ่านสับสน ภาษาที่ใช้ต้องไม่วกวน ต้อง เขียนตรงประเด็น สะท้อนความม่ันใจของผู้เขียน ถ้าไม่แน่ใจให้ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนที่จะ เขียน ผู้เขียนควรวางคาขยายไว้ใกล้กับคาที่ต้องการขยายมากที่สุด ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้ เห็นความสาคญั ของตาแหนง่ ของคาขยาย  “ผู้วิจัยเดินทางไปเก็บข้อมูลจากชาวบ้านที่ประสบภัยแล้งเป็นบางครั้ง” [ถ้า หมายถึงผวู้ ิจัยให้ผู้อ่นื ไปแทนบางครง้ั กค็ วรวางคาวา่ บางครง้ั หลังคาว่า เดินทาง]  “คณะผู้วิจัยสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างทุกคน” [อาจหมายถึง ผู้วิจัยทุกคน หรือคน ทกุ คนในกลุ่มตวั อย่างกไ็ ด้]  “เด็กอายุ 10 ขวบมักจะเล่นกับเด็กรุ่นเดียวกันมากกว่าเด็กอายุ 7 – 8 ขวบ” [อาจหมายถึง เด็กอายุ 10 ขวบชอบเล่นกับเด็กอายุ 10 ขวบ และไม่ชอบเล่นกับเด็กอายุ 7 – 8 ขวบ หรอื เดก็ อายุ 10 ขวบชอบเด็กรุ่นเดียวกนั กจ็ รงิ แตเ่ ดก็ อายุ 7 – 8 ขวบชอบเล่นกับเพื่อนรนุ่ เดียวกนั มากกว่า]  “กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่ได้ตอบคาถามเกี่ยวกับรายได้ต่อเดือน” [ในงานวิจัย เชิงปริมาณ คาที่แสดงการประมาณ (Approximation) เช่น เกือบท้ังหมด ส่วนใหญ่ น้อยมาก ฯลฯ ขาดความแม่นยา ถ้าเปน็ ไปได้ควรระบุจานวนเปน็ ตวั เลขที่แน่นอน] 2.5 ความกะทดั รดั บทความที่ใช้ภาษาสั้นๆ กระชับ และกะทัดรัด นอกจากจะทาให้อ่านง่ายแล้ว ยังเพิ่ม โอกาสที่จะได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ยิ่งขึ้น เนื่องจากวารสารเล่มหนึ่งๆ มีงบประมาณในการ ผลติ จากดั จงึ ตอ้ งใชห้ นา้ กระดาษน้อยที่สดุ เท่าทีเ่ ป็นไปได้โดยไม่ทาให้เสียเนื้อความ งานเขียนที่กะทัดรัดไม่จาเป็นต้องใช้คาน้อยทีส่ ุด แตก่ ินความมากโดยใช้คาที่มีพลังมาก ที่สุด ทั้งนี้ ผู้เขียนอาจทาให้บทความสั้นลงโดยไม่ใช้คามากเกินจาเป็น หลีกเลี่ยงถ้อยคา ฟุ่มเฟือย และรวมหลายประโยคเข้าดว้ ยกัน ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้  “ผลวิจัยมีนัยสาคัญทางสถิติ” [ควรตัดคาว่า ทางสถิติ ออก เพราะฟุ่มเฟือย งานวิจัยอย่างไรก็ต้องใชส้ ถิตใิ นการทดสอบอยู่แล้ว]

ห น้ า | 210  “ในอนาคตข้างหน้า อาจเพิ่มตัวแปรแฝงในโมเดลนี้” [คาวา่ อนาคต ส่อว่าเป็นสิ่ง ทีจ่ ะเกิดในภายหน้า คาวา่ ข้างหน้า จงึ ไม่จาเปน็ ]  “ผู้วิจัยมีความคิดเห็นว่า ผลการทดสอบไม่สะท้อนศักยภาพของกลุ่มตัวอย่าง อย่างแท้จริง” [วลีว่า มีความคิดเหน็ ฟุ่มเฟือย ควรลดเหลอื มีความเหน็ ว่า]  “ครัวเรือนที่ศึกษามีรายได้อย่างน้อยไม่ต่ากว่า 2 หม่ืนบาทต่อเดือน” [คาว่า อย่างนอ้ ย มีความหมายเหมอื นกับคาวา่ ไม่ต่ากว่า จงึ ควรใช้คาใดคาหนึ่ง]  “งานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อความสาเร็จของสถาบัน การเงินระหว่างประเทศในไทย” [ควรตัดคาว่า ถึง ออกเพราะถึงแม้ตัดออกก็ยังได้ความหมาย เหมอื นเดิม]  “งานวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ โดย ผู้วิจัยศึกษาแบบกรณีศึกษา” [ควรรวมประโยคเข้าด้วยกันเพื่อให้กระชับขึ้น โดยไม่ให้สูญเสีย ความหมาย เป็น งานวิจัยแบบกรณีศึกษาคร้ังนี้ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากสานักงาน คณะกรรมการวจิ ยั แหง่ ชาติ]  “ผู้วิจัยทาการขออนุญาตจากผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมก่อนเข้าไปทาการเก็บ ข้อมลู ” [ควรตดั คาว่า ทาการ ออก] บทความวิชาการต้องใช้ภาษาทางการ ไม่ใช้ภาษาพูดหรือภาษาสื่อมวลชน ผู้เขียนควร ใช้ศัพท์ภาษาต่างประเทศในกรณีทีจ่ าเป็นเท่าน้ัน ถ้ามีคาในภาษาไทยกค็ วรใช้คานั้น โดยเฉพาะ ศัพท์บัญญัติ ถ้าไม่มีก็ต้องทับศัพท์ตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถาน หรือเขียนตามภาษา เดิมโดยตรวจสอบตัวสะกดจากพจนานุกรมภาษาน้ัน ผู้เขียนบทความต้องเลือกใช้คาให้ถูกต้อง ตามหลกั ไวยากรณ์ เรียบเรียยงประโยคชดั เจน กะทัดรดั และหลีกเลีย่ งคาฟุ่มเฟือย 3. จรยิ ธรรมในการเขียนบทความวิชาการ ก่อนที่จะลงมือเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร หรือแม้กระท่ังก่อนจะเริ่มต้น งานวิจัย ผู้เขียนต้องตระหนักบรรทัดฐานทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตงานวิชาการ ประเภทนี้ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในเรอ่ื งความถูกต้องตามหลกั วิชาการ การป้องกนั สิทธิและสวัสดิ ภาพของผู้ที่เราศกึ ษาหรอื วิจยั และการจดั การในเรอ่ื งทรัพย์สนิ ทางปัญญา

ห น้ า | 211 3.1 ความถกู ต้องตามหลักวิชา เนื้อหาในบทความที่เขียนต้องถูกต้องตามหลักวิชา ซึ่งพิจารณาจากความเป็นของ แท้ ความเริม่ แรก และการอา้ งองิ อย่างครบถ้วน 1) ความเปน็ ของแท้ บทความที่มีความเป็นของแท้ (Authenticity) เป็นงานเขียนที่ผู้เขียนเขียนขึ้นเอง ไม่ได้ให้ใครเขียนให้ ใช้ข้อมูลมาจากงานของตัวเองไม่ได้สมมุติข้อมูลขึ้นเอง หรือใช้ข้อมูลจาก งานของผู้อน่ื เนือ้ หาในบทความวชิ าการมแี ตข่ ้อเท็จจริง ไม่ใช่เรอ่ื งสมมตุ ิเช่นการแตง่ นยิ าย นอกจากนี้ ผู้ศึกษาไม่ควรนาเสนอข้อมูลที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง เช่น ละเลยข้อมูลบางอย่าง ปรับเปลี่ยนผลวิจัย หรือตกแต่งภาพเพื่อเน้นบางส่วนที่ต้องการ ถ้าใช้ วิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ก็ต้องใช้เทคนิคทางสถิติที่เหมาะสม และรายงานผลอย่าง ถูกต้อง 2) ความเรม่ิ แรก ข้อค้นพบที่ผู้เขียนนาเสนอในบทความต้องมีความเริ่มแรก (Originality) กล่าวคือ ทาเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ทาซ้า ไม่เคยนาไปเผยแพร่ที่ใดมาก่อน ผู้เขียนจึงไม่ควรส่ง บทความที่เขียนไปยงั วารสารมากกว่าหน่ึงฉบับด้วยหวังทีจ่ ะเพิ่มโอกาสได้รับการตอบรับตีพิมพ์ เพราะหากได้รบั การตพี ิมพ์ในวารสารมากกว่าหน่ึงฉบับ บทความนน้ั ก็ถือวา่ ขาดความเริม่ แรก ความเริ่มแรกยังรวมถึงการไม่แบ่งผลวิจัยเป็นส่วนย่อยจนทาให้งานวิจัยขาด บูรณภาพ (Integrity) หรือความสมบูรณ์ของเน้ือหาเพียงเพื่อที่จะเผยแพร่ในวารสารหลายๆ ฉบับ อย่างไรกต็ าม หากผู้เขียนตอ้ งการเขยี นบทความมากกว่าหนง่ึ เรอ่ื งจากงานวิจยั เดียวกนั ก็ ต้องพยายามทาให้บทความมเี นือ้ หาสมบูรณ์ในตัวเองโดยไม่ซ้าซ้อนกัน 3) การอา้ งอิง การเขียนบทความวิชาการต้องมีการอ้างอิง (Citing) อย่างเหมาะสมและ ครบถ้วน สิ่งนีเ้ องที่ทาให้บทความวชิ าการตา่ งจากบทความประเภทอืน่ การอ้างอิงต้องปรากฏอยู่ในเนื้อความหรืออยู่ในรูปเชิงอรรถใต้หน้าหรือท้ าย บทความ และผู้เขียนต้องนามาเรียบเรียงอีกคร้ังที่ท้ายบทความหรือที่เรียกว่า เอกสารอ้างอิง ด้วย นักวิชาการที่ดีจะสร้างสรรค์งานใหม่บนพื้นฐานของงานคนอื่นถือเป็นการต่อ ยอดองค์ความรู้ แต่จะไม่ทาให้คนอื่นเข้าใจผิดว่างานของผู้อื่นเป็นงานของตน ดังนั้น เม่ือไรก็ ตามที่ผู้เขียนบทความเสนอข้อมูลที่ไม่ได้มาจากงานที่ศึกษาเอง ก็ต้องบอกแหล่งที่มาเสมอ มิฉะนั้นจะถือเปน็ การลอกเลียนวรรณกรรม (Plagiarism) แมจ้ ะไม่เจตนากต็ าม

ห น้ า | 212 การลอกเลียนวรรณกรรม เป็นการนางานของผู้อื่น (รวมถึงความคิดและ ข้อความ) มาใช้โดยไม่ได้อ้างอิงอย่างเหมาะสม ถือเสมือนเป็นการขโมย เพราะทาให้คนอื่น เข้าใจว่าผู้เขียนเป็นเจ้าของงานนั้น ดังนั้น ในการกล่าวถึงงานอื่นในบทความวิชาการที่เขียน ไม่ ว่าผู้เขียนจะคัดลอกข้อความจากงานน้ันมากล่าวซ้า หรือใช้วิธีถอดความ (Paraphrase) ซึ่งเป็น การนามากล่าวอีกครั้งด้วยถ้อยคาที่ต่างจากเดิม (ซึ่งอาจใช้วิธีสรุปความหรือลาดับประโยค ใหม่) ผู้เขียนตอ้ งระบแุ หลง่ ที่มา ถึงแม้ว่าผู้วิจัยจะไม่ได้อ้างข้อความจากงานอื่น แต่ใช้งานอื่นเป็นแม่แบบสาหรับ งานของตนกค็ วรระบผุ เู้ ปน็ เจ้าของงานด้วย มิฉะนั้นก็เข้าข่ายลอกเลียนวรรณกรรมเช่นเดียวกนั นอกจากนี้ ผู้เขียนไม่ควรเขียนถึงงานที่ตัวเองทาในอดีตเสมือนหนึ่งว่าเป็น งานวิจัยชิ้นใหม่ เพราะถือว่าเป็นการลอกเลียนวรรณกรรมตัวเอง (Self-plagiarism) แม้ว่าจะ เป็นงานของเราเองก็ต้องอ้างอิงอย่างเปิดเผย เพื่อจะไม่ทาให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเป็นงานที่เพิ่งทา ใหม่ 3.2 สิทธิและสวสั ดิภาพของกลมุ่ ตวั อย่าง ผู้เขียนต้องปกป้องสิทธิและสวัสดิภาพของกลุ่มตัวอย่าง ต้องรักษาความลับและ ขออนุญาตหากจะวจิ ยั ในคนหรอื สิ่งมีชีวติ 1) การรกั ษาความลับ การเผยแพร่ความรู้ในศาสตร์ทุกสาขาต้องอาศัยการตีความหลักฐานและ ข้อเท็จจริงโดยไม่อาศัยความรู้สึกส่วนตัวและปราศจากความลาเอียง แต่บางครั้งผู้เขียน บทความมีผลประโยชน์ทับซ้อนในงานวิจัยที่กาลังเขียนถึง เช่น เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่เข้า ไปศึกษา มีหุ้นในบริษัทน้ัน หรือได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากบริษัทน้ัน ทาให้สิ่งที่รายงานไม่ ตรงกับข้อเท็จจริงนัก ผู้เขียนบทความต้องชี้แจงให้ผู้อ่านทราบว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับงานที่ กาลงั เขียนถึง หรอื กลุ่มตวั อย่างที่ศกึ ษา ในการรายงานผลการศึกษาผู้เขียนต้องสลัดความรู้สึก ส่วนตัว รายงานตามความเป็นจริง ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง และไม่ปกปิดผลวิจัยส่วนที่ไม่ ต้องการเปิดเผย 2) การวจิ ยั ในคนหรอื สิ่งมีชีวติ ในกรณีที่บทความมาจากงานวิจัยที่อาจมีผลกระทบต่อชีวิตหรือความเป็นอยู่ ของคนหรือสัตว์ (เช่น การทดลองยาใหม่กับคน) บรรณาธิการวารสารอาจขอหลักฐานจาก ผู้เขียนบทความที่แสดงว่างานวิจัยเร่ืองนั้นได้ดาเนินภายใต้กรอบจริยธรรม และได้รับเห็นชอบ

ห น้ า | 213 จากคณะกรรมการกากับดูแลการวิจัยในคนหรือคณะกรรมการกากับดูแลการวิจัยใน สตั ว์ทดลอง 3.3 ทรพั ย์สินทางปัญญา ผู้เขียนต้องปกป้องสิทธิด้านทรัพย์สินทางปัญญาโดยระบุ ชื่อเจ้าของบทค ว าม และแจ้งข้อมูลแสดงความเป็นเจา้ ของบทความ 1) ความเปน็ ผปู้ ระพันธ์ ความเป็นผู้ประพันธ์ (Authorship) บ่งบอกว่าใครเป็นผู้เขียนในงานเขียนหนึ่งๆ ซึ่งอาจไม่ใชเ่ ปน็ เจ้าของลิขสิทธิ์ (Copyright Owner) ของงานน้ัน วารสารบางเล่มถือลิขสิทธิ์ของ บทความที่ลงในเล่ม ใครจะนาส่วนใดส่วนหนึ่งของบทความน้ันไปใช้ ต้องขออนุญาตจาก วารสารไม่ใชจ่ ากผู้เขียน ผู้เขียนบทความอาจเป็นบุคคลหนึ่งๆ หรือเป็นคณะ หรืออาจเป็นหน่วยงาน (Corporate Author) ในกรณีที่มผี เู้ ขียนมากกว่าหนึง่ คน บางคนในรายชอ่ื อาจไม่ใช่คนลงมอื เขียน ตัวเล่มรายงาน แต่มีหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ถือเป็นการสร้างคุณูปการทางปัญญา (Intellectual Contribution) เช่น เก็บข้อมูล ตีความข้อมูล หาทฤษฎี ฯลฯ ผู้เขียนบทความจะ ลาดับตามความสาคัญ ผู้ที่สาคัญมากที่สุดจะเป็นชื่อแรก ถ้าเป็นบทความจากงานวิทยานิพนธ์ ชื่อผู้เขียนหลักควรเป็นชื่อนักศกึ ษาไม่ใช่ชื่ออาจารย์ทีป่ รึกษา แตถ่ ้าเปน็ งานวิจยั ที่อาจารย์เป็นผู้ เริม่ ตน้ โครงการและให้นกั ศกึ ษาช่วยเพื่อจะได้เรียนรู้ทักษะการทาวิจยั ไปด้วย ชื่อหลักก็ควรเป็น ชือ่ อาจารย์ 2. การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา (2547) กล่าวถึง “ลิขสิทธิ์” (Copyright) ว่าเป็นสิทธิ แต่เพียงผู้เดียวของผู้สร้างสรรค์ที่จะกระทาการใดๆ เกี่ยวกับงานที่ได้สร้างสรรค์โดยการใช้ สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ และความวิริยะอุตสาหะของตนเอง และไม่ลอกเลียนงาน ของผู้อื่น บรรดางานที่สร้างสรรค์น้ันต้องเป็นงานตามประเภทที่กฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความ คุ้มครอง ซึง่ ผสู้ ร้างสรรคจ์ ะได้รบั ความคุ้มครองทันทีที่สร้างงานน้ันโดยไม่ต้องจดทะเบียน ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เม่ือผู้เขียนเขียนบทความด้วยตัวเอง ไม่ได้ ลอกเลียน ตัดต่อ หรอื ดัดแปลงงานของใคร ก็จะได้รับความคุ้มครองสิทธิใ์ นผลงานของตนทันที ที่เขียนเสร็จ โดยไม่ต้องจดทะเบียนใดๆ ลิขสิทธิ์นี้มีตลอดอายุของผู้เขียนนับแต่สร้างงานและ ต่อไปอีก 50 ปี หลงั จากเสียชวี ิต อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนอาจแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ (ไม่ใช่จดลิขสิทธิ์) ที่กรมทรัพย์สิน ทางปัญญาเพื่อขอหนังสือรับรองการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ โดยผู้เขียนส่งต้นฉบับผลงาน พร้อม

ห น้ า | 214 สาเนาบัตรประชาชน และแบบฟอร์ม ลข.01 ซึ่งดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของกรมทรัพย์สิน ทางปัญญา ไปที่สานักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา 44/100 ถ.สนามบินน้า ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.จันทบรุ ี 11000 4. การเขียนรายงานการวิจยั ลงในวารสารทางวิชาการ รายงานการวิจัยที่ลงในวารสารนั้นมีรูปแบบต่างๆ กนั ผวู้ ิจัยควรจะศกึ ษารปู แบบการ เขียนวารสารแต่ละเล่ม รูปแบบการเขียนรายงานการวิจัยที่เป็นที่นิยมใช้กันอย่างมากในวง การศึกษา คือ รูปแบบทางการเขียนของ American Psychological Association (APA) ซึ่ง ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังน้ี 1. ชือ่ เรอ่ื ง หรอื ชื่อของงานวิจัย 2. ชื่อผู้วจิ ัย 3. บทคัดย่อ ซึ่งประกอบด้วย วัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีการวิจัยและผลที่ได้อย่าง คร่าวๆ 4. ส่วนเนอื้ หาของรายงาน จะประกอบด้วย 4.1 คานา ในส่วนนี้จะต้องระบุให้เห็นว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายที่สาคัญของการศกึ ษา คร้ังนี้ และมีเหตุผลหรือความจาเป็นอย่างไร ที่จะต้องศึกษาเร่ืองนี้มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎี หรอื หลกั การตา่ งๆ อย่างไร รวมท้ังการอภิปรายถึงผลงานวิจยั ที่เกี่ยวข้องกบั งานทีศ่ ึกษาวิจัย 4.2 วิธีการวจิ ยั ส่วนน้ีเป็นส่วนทีก่ ล่าวถึงวิธีการที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ กลุ่มตวั อย่าง วิธีการสุ่มตัวอย่าง เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย วิธีการรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล เขียนใหล้ ะเอียดพอทีผ่ ู้อา่ นอ่านแลว้ นาไปทาซ้าได้ 4.3 ผลการวิจัย ส่วนนี้เป็นส่วนที่เสนอผลการวิจัย ซึ่งอาจจะเสนอในลักษณะการ บรรยาย ตารางหรอื แผนภมู ิก็ได้ และการแปลความหมายของข้อมูลทีค่ ้นพบจะรวมอยู่ในส่วนนี้ 4.4 วิจารณ์และข้อเสนอแนะ ส่วนนี้เป็นส่วนที่วิจารณ์หรืออภิปรายเกี่ยวกับ ผลการวิจัยที่ได้ โดยพยายามโยงผลการวิจัยที่ได้นั้นไปสู่การแก้ปัญหาที่มีอยู่ว่าจะนาไปใช้ได้ หรอื ไม่ และจะใช้ในลกั ษณะอย่างไร รวมทั้งขอ้ เสนอแนะต่างๆ ในการทีจ่ ะนาผลการวิจยั ไปใช้ 5. เอกสารอ้างองิ เอกสารทุกชิน้ ทีอ่ ้างถึงในส่วนของเนือ้ หาต้องปรากฏอยู่ใน้อกสาร- อ้างองิ วิธีการเขียนเอกสารอ้างอิงในรายงานการวิจัยที่นิยมใช้กันมากในวงการศึกษานั้น ยึดตามรูปแบบการเขียนของ American Psychological Association ซึ่งผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ จากหนังสือคู่มือที่ชื่อว่า Publication Muanual of the American Psychological Association อีก

ห น้ า | 215 รูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้กันมากพอสมควร คือ ยึดตามรูปแบบของ Turabian, K .L. ซึ่งหา อ่านได้จากหนังสือที่ชื่อว่า A Manual for Writers of Term Papers, Theses, and Dissertations หรอื จากตาราบรรณารกั ษาศาสตร์เบื้องต้น ของ ศาสตราจารย์ สุทธิลักษณ์ อาพนั วงศ์ ส า ห รั บ วิ ธี ก า ร เ ขี ย น เ อ ก ส า ร อ้ า ง อิ ง ใ น วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ข อ ง ม ห า วิ ท ย า ลั ย ห รื อ สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ นั้น นิสิตนักศึกษาควรจะศึกษาจากคู่มือวิทยานิพนธ์ของแต่ละสถาบัน ที่ศึกษาอยู่ซึง่ อาจจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ละสถาบัน 6. ภาคผนวก เป็นส่วนที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม จะมีหรือไม่มีก็ได้แล้วแต่ความจาเป็น หรอื ความเหมาะสมของงานวิจัยแตล่ ะเร่ือง (ดูตัวอย่างการเขยี นรายงานการวิจัยลงในวารสารใน ภาคผนวก ก) 5. สรปุ ผู้เขียนบทความวารสารต้องมีจริยธรรมในการเขียน ซึ่งได้แก่ การที่ผู้เขียนเขียน บทความน้ันด้วยตัวเอง และเป็นการเผยแพร่คร้ังแรก การอ้างอิงอย่างถูกต้องและครบถ้วน การไม่เปิดเผยข้อมูลที่พึงปกปิด ถ้าเปน็ บทความวิจยั จากงานที่ศกึ ษาในคนหรอื สัตว์ ต้องพร้อม แสดงหลักฐานที่แสดงจรรยาบรรณนักวิจัยในการศึกษาต่อวารสาร การระบุชื่อผู้มีส่วนร่วมใน การเขียนบทความน้ันตรงตามความเป็นจริง และการแสดงความเป็นเจ้าของงานเขียนนั้นด้วย การแจ้งข้อมลู ลิขสิทธิ์ 6. แบบฝึกหดั 1. จงระบุถึงหลกั เกณฑ์ในการพิจารณาคุณภาพของผลงานวิชาการมาพอสงั เขป 2. จงระบุลกั ษณะสาคัญของการใช้ภาษาในการเขียนงานวิชาการ 3. จงอธิบายถึงจริยธรรมในการเขียนผลงานวิชาการทีน่ กั วิจัยต้องปฏิบตั ิ 4. จงเขียนบทความวิจยั จากผลงานวิจยั ของนักศกึ ษาคนละ 1 บทความ

ห น้ า | 216 8. แหล่งข้อมูลในการศึกษาเพิม่ เติม นิโลบล นิ่มกิ่งรัตน์. (2543). การวิจัยทางการศึกษา (Educational Research). ภาควิชาประเมินผลและวิจัยการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่. รัตนะ บัวสนธ์. (2544).วิจัยและพัฒนาการศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร. สรชัย พิศาลบตุ ร. (2556). การวิจยั ทางการศึกษา (Educational Research). บริษัท ส. เอเซียเพรส (1989) จากัด กรุงเทพฯ. สิทธิ์ ธีรสรณ์. (2555). จากงานวิจัยสู่บทความวิชาการ. สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. สุวิมล ว่องวาณิช. (2544). การวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียน. ภาควิชาวิจัยการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

ห น้ า | 217 ภาคผนวก ก.