โครงสร้าง วิชาฟิสกิ ส์ (ว33206) กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดบั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/1 นางกมลชนก เทพบุ ครูผูช้ ว่ ย โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 จังหวดั เชยี งใหม่ สานักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ คาอธิบายรายวชิ า รายวิชาฟสิ ิกส์ (ว33206) กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดบั ช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 6/1 จานวน 80 ชั่วโมง จานวน 2 หนว่ ยกติ ศึกษา การเกิดคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โพลาไรเซซันของคล่ืนแม่เหล็ ไฟฟ้า การส่ือสารโดยอาศัยค่ล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า สมมตฐิ านของพลังค์ ทฤษฎ่ีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ่์ โฟ โตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค เสถียรภาพของนิวเคลียส กัมมันตภาพรังสี ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค โดยใช้กระบวนการทาง่วิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้น ข้อมูล การสังเกต ่วิเคราะห์ เปรียบเทียบ อ่ธิบาย อภิปราย และสรุป เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มี ความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการ ทางวทิ ยาศาสตร์ รวมท้ังทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ในด้าน การใชัเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการคิดและการแก้ปัญหา ด้านการส่ือสาร สามารถสื่อสารสิ่งท่ีเรียนรู้และนา ความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรมและค่านิยมท่ีเหมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. อธบิ ายการเกิดและลกั ษณะเฉพาะของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า แสงไม่โพลาไรส์ แสงโพลาไรส์เชิงเส้น และแผ่น โพลารอยด์ รวมท้ังอธบิ ายการนาค่ลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าในชว่ งความถต่ี ่างๆ ไปประยุกตใ์ ช้ และหลกั การทางาน ของอุ ปกรณ่์ ท่ีเกย่ี วข้อง 2. สบื คน้ และอธบิ ายการสื่อสารโดยอาศัยคลนื่ แ่มเ่ หล็กไฟฟ้าในการส่งผ่านสารสนเทศ และเปรียบเทียบการ สื่อสารด้วยสัญญาณแอนะล็อกกับสญั ญาณดิจทิ ัล 3. อธิบายสมมติฐานของพลังค์ ทฤษ่ฎี อะตอมของโบร์ และการเกิดเส้นสเปกตรัมของอะตอม่ไฮโดรเจน รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ๆท่ีเกี่ยวข้อง 4. อธบิ ายปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทริกและคานวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ของโฟโตอิเลก็ ตรอนและ ฟังก่์ชันงานของโลหะ 5. อ่ธิบายท่วิภาวะของค่ลืน่ และอนภุ าค รวมทง้ั อ่ธิบายและคานวณความยาวค่ล่ืนเดอบรอยล์ 6. อ่ธิบายกัมมันตภาพรังสีและความแตกต่างของรังสีแอลฟา บตี าและแกมมา 7. อ่ธิบายและคานวณกัมมันตภาพของนิวเคลยี สกัมมันตรังสี รวมทั้งทดลอง อ่ธบิ าย และคานวณนิวเคลียส กมั มนั ตรังสีทเี หลือจากการสลายและครึ่งช่ีวิต 8.อ่ธิบายแรงนิวเคลยี ร์ เส่ถยี รภาพของนวิ เคลียส และพลังงานยึดเหนยี่ ว รวมทง้ั คานวณปริมาณตา่ งๆ ที่ เกี่ยวขอ้ ง 9. อ่ธิบายปฏิกิรยิ านวิ เคลยี ร์ ฟชิ ่ชัน และฟิว่ชนั รวมทั้งคานวณพลงั งานนิวเคลียร์ 10. อ่ธิบายประโยชน์ของพลงั งานนวิ เคลียร์และรังสี รวมทัง้ อันตรายและการปอ้ งกันรงั สีในด้านต่าง ๆ 11.อธิบายการคน้ คว้าวจิ ยั ดา้ นฟิสิกส์อนุภาค แบบจาลองมาตรฐาน และการใช้ประโยชนจ์ ากการคนคว้าวิจยั ดา้ น ฟสิ ิกส์สอนภาคในดานต่าง ๆ รวม 11 ผลการเรียนรู้
ผังมโนทัศน์ วชิ าฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 หน่วยที่ 1 คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ จานวน 10 ชั่วโมง วทิ ยาศาสตร์ จานวน 80 ชั่วโมง หน่วยที่ 2 หนว่ ยที่ 3 ฟสิ กิ สอ์ ะตอม ฟสิ ิกส์นวิ เคลยี รแ์ ละฟสิ ิกส์อนภุ าค จานวน 35 ชว่ั โมง จานวน 35 ชวั่ โมง
หน่วยท่ี ช่อื หน่วยการ ผลการเรียนรู้ โครงสรา้ งรายวิชาฟสิ กิ ส์ ระ เรียนรู้ ภาคเรยี นที่ 2 ป 1. อธิบายการเกิดและลักษณะเฉพาะของ 1 คลืน่ คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า แสงไม่โพลาไรส์ แสงโพ คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าทมี่ สี นา แม่เหลก็ ไฟฟา้ ลาไรส์เชงิ เส้น และแผน่ โพลารอยด์ รวมทัง้ เรยี กคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ ลกั ษณ อธิบายการนาค่ลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าในชว่ ง แหลง่ กาเนิดคลนื่ แสงท่วั ไปในช ความถต่ี า่ งๆ ไปประยกุ ตใ์ ช้ และหลกั การ สะท้อนจาก สิง่ ตา่ งๆรอบตวั ทางานของ อปุ กรณ่์ ที่เกยี่ วขอ้ ง ระนาบท่ตี งั้ ฉากกับทิศทางการเ โพลาไรส์ เมอื่ แสงไมโ่ พลาไรส์ผา่ นแผน่ แนวโพลาไรส์ ของแผ่นโพลาร ขนานกับแนวโพลาไรส์จะผา่ น ขณะไม่มีแผน่ โพลารอยด์ก้ัน แส เชิงเสน้ สมบตั ิของแสงลกั ษณะน
ะดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 6/1 เวลา นา้ หนักคะแนน คะแนน ปกี ารศึกษา 2563 (ชวั่ โมง) K PA เต็ม 2 11 4 สาระสาคญั 5 ามไฟฟ้าเปล่ียนแปลงทศิ ทางกลบั ไปมาในระนาบเดยี ว ณะนีว้ า่ คลืน่ โพลาไรส์เชงิ เส้น ชวี ติ ประจาวนั เช่น ดวงอาทติ ยห์ ลอดไฟรวมทั้งแสงจะ จะมสี นามไฟฟา้ เปลีย่ นแปลงกลบั ไปมาอยใู่ นหลาย เคลอ่ื นแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงดังกลา่ วจึงเป็นแสงไม่ นโพลารอยด์ สนามไฟฟ้าของแสงที่มที ิศทางต้ังฉากกบั รอยด์จะถกู ดูดกลนื แตส่ นามไฟฟ้าของแสงท่ีมีทศิ ทาง แผ่นโพลารอยด์ได้ทาใหค้ วามสวา่ งลดลงเม่ือเทยี บกบั สงท่ีผ่านแผ่นโพลารอยดอ์ อกมาจงึ เปน็ แสงโพลาไรส์ นี้เรยี กวา่ โพลาไรเซชัน
2. สบื คน้ และอธิบายการสอื่ สารโดยอาศยั คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าเกดิ จากการ คลน่ื แ่มเ่ หลก็ ไฟฟ้าในการสง่ ผา่ นสารสนเทศ สนามไฟฟ้ากล่าวคือ สนามไฟฟ และเปรียบเทยี บการสอ่ื สารดว้ ยสัญญาณแอ ขณะเดียวกนั สนามแม่เหล็กทเี่ ป นะล็อกกบั สญั ญาณดิจิทลั แมเ่ หล็กไฟฟ้าจงึ ประกอบดว้ ย ตลอดเวลาโดยท้งั สองสนามมีท การเคลื่อนที่ของคลื่นแม่เหล็กไ ตวั กลาง สามารถแผ่ออกไปได ประมาณ 3x108 เมตรต่อวินาท จะมอี ตั ราเรว็ ไมเ่ ทา่ กันในตวั กล แมเ่ หล็กไฟฟา้ เม่อื ตอ่ แหลง่ กา ประกอบด้วยท่อนโลหะทีอ่ ยูใ่ น มาด้วยความเรง่ ในแนวด่ิง ทาให ทิศทาง ยกเวน้ ทิศทางท่ีอย่ใู น ความถ่ีตางๆมากมายต่อเนื่องก คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ สเปกตรมั รงั สอี นิ ฟราเรด แสง รงั สีอัลตร แม่เหล็กไฟฟ้าแตแ่ ละชนดิ ถกู น .
รเหนี่ยวนาอย่างต่อเน่ืองระหว่างสนามแม่เหลก็ และ 5 2 11 4 ฟา้ ทเี่ ปล่ียนแปลงตามเวลาทาให้เกิดสนามแมเ่ หล็กใน ปลี่ยนแปลงตามเวลาก็ทาใหเ้ กดิ สนามไฟฟา้ คล่ืน สนามแมเ่ หลก็ และสนามไฟฟ้าท่ีเปลี่ยนแปลง ทศิ ทางตง้ั ฉากกนั และต้งั ฉากกับทิศทางของความเรว็ ใน ไฟฟ้าคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ เป็นคลื่นตามขวางทไี่ ม่อาศยั ดใ้ นสุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากับอัตราเร็วแสงหรอื ทีและมีอตั ราเร็วน้อยลงเมือ่ เคล่ือนทผ่ี า่ นตัวกลาง โดย ลางต่างๆ ข้นกับตัวกลางและชนิดของ คลนื่ าเนิดไฟฟา้ กระแสสลับเขา้ กับสายอากาศที่ นแนวดิ่ง อเิ ลก็ ตรอนในสายอากาศจะเคลอ่ื นท่ีกลับไป ห้เกิดคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าแผอ่ อกรอบสายอากาศทกุ นแนวเสน้ ตรงเดียวกบั สายอากาศคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ มี กันเป็นชว่ งกว้างเรียกรวมกันวา่ สเปกตรัม มคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ประกอบด้วย คล่นื วิทยุไมโครเวฟ ราไวโอเลต รงั สเี อกซ์ และรงั สีแกมมาในปจั จุบนั คล่ืน นาไปประยุกตใ์ ช้ในด้านต่างๆ .
หนว่ ย ชื่อหน่วยการ ผลการเรยี นรู้ วตั ถุดา (blackbody) ท่ี เรียนรู้ แม่เหล็กไฟฟ้าไดอ้ ย่างสมบูรณ์พ 2 ฟิสิกส์อะตอม 3. อธบิ ายสมมตฐิ านของพลงั ค์ ทฤษ่ฎี แมเ่ หล็กไฟฟ้าของวตั ถุดา อะตอมของโบร์ และการเกดิ เส้นสเปกตรัม (Planck’s hypothesis) ซ ของอะตอม่ไฮโดรเจน รวมทั้งคานวณ ดาดดู กลนื หรอื แผอ่ อกมามคี า่ ไ ปรมิ าณต่าง ๆทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง เทา่ ของ hfเรียกวา่ ควอนตมั ข of energy)ตามสมการ E 4. อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ และ เมอื่ แสงทม่ี ีความถเี่ หมาะสมต คานวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ โลหะน้ันได้ เรยี กปรากฏการณ ของโฟโตอเิ ลก็ ตรอนและ photoelectric effect) โ ฟังก่ช์ นั งานของโลหะ โตอิเล็กตรอน (photoele กระทบ ไอนส์ ไตนไ์ ดเ้ สนอแน 5. อ่ธบิ ายท่วภิ าวะของค่ลนื่ และอนุภาค อาศัยสมมติฐานของพลังค์วา่ แ รวมท้งั อ่ธบิ ายและคานวณความยาวค่ลนื่ เด พลังงาน ซ่ึงเรยี กว่า โฟตอน อบรอยล์ โตอเิ ล็กทริกจะเกดิ ขึ้นได้จะต้อง เดอ เบรยไดเ้ สนอสมมตฐิ านว ยาวคลื่น ซึ่งเรียกวา่ ความยาว ของเดอบรอยล
สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั คะแนน คะแนน (ชั่วโมง) K PA เต็ม เปน็ วัตถุทแ่ี ผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ และดูดกลืนคลื่น 5 21 8 พลังค์ได้ตัง้ สมมติฐานเพ่ืออธิบายการแผค่ ลน่ื 12 เรียกวา่ สมมตฐิ านของพลงั ค์ 5 11 7 ซ่งึ มีใจความว่าพลังงานของคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ท่ีวัตถุ 13 ไดเ้ ฉพาะบางค่าเท่าน้ัน และค่านีเ้ ป็นจานวนเต็ม 3 11 5 ของพลังงาน ( quantum 10 E = nhf ตกกระทบผวิ โลหะ จะทาให้อเิ ล็กตรอนหลุดจากผิว ณ์นวี้ ่า ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก( โดยเรยี กอเิ ล็กตรอนที่หลุดจากผวิ โลหะว่า โฟ ectron) ซง่ึ จะมีจานวนเพิม่ ข้ึนตามความเข้มแสงทตี่ ก นวความคิดเพ่ืออธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทรกิ โดย แสงมีลักษณะเป็นกอ้ นพลังงานหรือควอนตมั ของ ( photon) มพี ลงั งาน hf และ ปรากฏการณ์โฟ งใชแ้ สงท่ีมคี วามถ่ีมากกวา่ หรือเท่ากับความถี่ วา่ อนภุ าคสามารถแสดงสมบตั ิของคล่นื ไดโ้ ดยมีความ วคลน่ื เดอบรอยล์ และสมมตฐิ านน้ีเรียกวา่ สมมตฐิ าน
หน่วยท่ี ชอ่ื หน่วยการ ผลการเรียนรู้ รงั สที ่ีแผอ่ อกมาจากธาตแุ ละไอ 3 เรียนรู้ แอลฟา (alpha ray) รังสีบีตา 6. อ่ธบิ ายกัมมนั ตภาพรงั สแี ละความ แต่ละชนดิ มอี งคป์ ระกอบ ประ ฟิสกิ ส์นิวเคลยี ร์ แตกตา่ งของรังสแี อลฟา บตี าและแกมมา แตกตา่ งกนั และฟิสกิ ส์ การแผร่ งั สีของธาตแุ ละไอโซโท อนภุ าค 7. อ่ธบิ ายและคานวณกมั มันตภาพของ มีการเปล่ียน แปลงเพ่อื ใหม้ เี สถ นวิ เคลยี สกมั มนั ตรังสี รวมทั้งทดลอง อ่ธิ นวิ เคลียสชนิดใหม่หรอื เปล่ียนไ บาย และคานวณนิวเคลยี ส กัมมนั ตรงั สที ี พลงั งานต่ากวา่ เดมิ เรียกกระบ เหลือจากการสลายและคร่ึงช่ีวติ (radioactive decay) 8.อ่ธบิ ายแรงนวิ เคลยี ร์ เส่ถยี รภาพของ การทาใหน้ วิ คลอี อนแยกออกจ นิวเคลยี ส และพลังงานยึดเหน่ียว รวมทั้ง ทาใหน้ ิวคลีออนทัง้ หมดในนิวเค คานวณปริมาณต่างๆ ที่เก่ยี วขอ้ ง (binding energy หรือ nucle energy, E) พลงั งานยดึ เหนยี่ ว 9. อ่ธบิ ายปฏิกริ ิยานวิ เคลยี ร์ ฟชิ ่ชนั ของนิวเคลียสกบั มวล รวมของ และฟิว่ชนั รวมทั้งคานวณพลังงานนิวเคลียร์ มวล (mass defect, Δm การพิจารณาเสถยี รภาพของนิว นิวคลีออน กระบวนการท่นี ิวเคลยี สมีการเ เรยี กวา่ ปฏิกริ ิยานิวเคลยี ร(์ nu มวลมากแยกออกเป็นนิวเคลียส ส่วนปฏิกริ ยิ าที่นิวเคลยี สท่ีมีมว ชนั (fusion)
สาระสาคญั เวลา นา้ หนักคะแนน คะแนน (ชัว่ โมง) K PA เต็ม อโซโทปกมั มนั ตรังสีสว่ นใหญม่ ี 3 ชนิดได้แก่รงั สี 1 11 3 า(beta ray) และรงั สีแกมมา (gamma ray) ซึง่ รงั สี 5 ะจไุ ฟฟา้ มวลอานาจทะลุผ่าน และ สมบัตอิ ่ืน ๆ ทปกัมมันตรงั สีมสี าเหตุมาจากการท่นี วิ เคลียสไม่เสถยี ร 10 2 11 4 10 6 11 6 ถยี รภาพมากกวา่ เดมิ โดยอาจเปลย่ี นไปเปน็ ไปอยู่ในระดบั บวนการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่า การสลายกัมมันตรังสี หรอื การสลาย (decay) จากกนั ตอ้ งใหพ้ ลังงานแก่นิวเคลยี สโดยพลังงานที่พอดี คลียสแยกออกจากกนั เรยี กว่า พลงั งานยดึ เหน่ยี ว ear binding วมคี า่ เทยี บเท่ากบั ส่วนของมวลทแี่ ตกตา่ งระหวา่ งมวล งนิวคลีออนทงั้ หมดในนิวเคลยี สเรยี กวา่ ส่วนพร่อง m) ตามสมการ E =(Δm)c วเคลียสสามารถพิจารณาได้จากพลังงานยึดเหน่ยี วตอ่ เปลี่ยนแปลงองคป์ ระกอบภายในเมือ่ ไดร้ ับการกระตุ้น 5 3 11 4 uclear reaction)ซ่ึงปฏกิ ริ ยิ านิวเคลียร์ที่นิวเคลยี ส สที่มมี วลน้อยกวา่ เรยี กวา่ ฟชิ ชนั (fission) วลนอ้ ยรวมกันเป็นนิวเคลยี สทม่ี ีมวลมาก เรยี กวา่ ฟวิ
หนว่ ยท่ี ชือ่ หน่วยการ ผลการเรยี นรู้ เรียนรู้ 3 ฟิสิกส์ 10. อ่ธิบายประโยชน์ของพลังงาน รังสจี ากธาตุและไอโซโทปก นิวเคลยี รแ์ ละ นวิ เคลียรแ์ ละรังสี รวมทั้งอนั ตรายและ หลากหลายดา้ น เช่น ดา้ น ฟสิ ิกสอ์ นุภาค การปอ้ งกนั รงั สีในด้านต่าง ๆ ดา้ นความปลอดภัย แต่ในข จากรงั สีท่อี าจเกดิ ขน้ึ 11.อธบิ ายการคน้ ควา้ วิจัยดา้ นฟสิ กิ ส์ ถงึ แมร้ ่างกายของมนษุ ย์จะ อนุภาค แบบจาลองมาตรฐาน และ ปรมิ าณไม่มากจงึ ไมท่ าให้ เ การใช้ประโยชน์จากการคนคว้าวิจัย กาเนิดรังสีหรอื จาเป็นตอ้ งท ด้าน ฟิสิกส์สอนภาคในด้านตา่ ง ๆ เกดิ จากรงั สโี ดยมหี ลกั การส รังสีให้มากท่ีสุดการพยายา และมกี ารใช้วัสดกุ าบังรังสีใ สอบกลางภาค สอบปลายภาค
สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั คะแนน คะแนน (ชั่วโมง) เตม็ กมั มนั ตรังสสี ามารถนามาใชป้ ระโยชน์ได้ K PA นการแพทย์ ด้านเกษตรกรรม ดา้ นอตุ สาหกรรม 2 1 11 3 ขณะเดยี วกัน ต้องมกี ารป้องกันอนั ตราย ะไดร้ บั รงั สจี ากสง่ แวดล้อมตลอดเวลา แต่มี 3 1 11 3 เกิดอนั ตรายถา้ ทราบว่าอยใู่ กลบ้ รเิ วณที่มแี หลง่ ทางานเก่ียวกับรังสี ควรป้องกันอันตรายที่อาจ 10 5 5 20 สาคัญคือการพยายามอยู่ห่างจากแหล่งกาเนิด ามใช้เวลาทอยูใกล้แหล่กาเนิดรังสีใหน้ ้อยทส่ี ุด ในกรณีท่ีตอ้ งทางานเก่ียวกบั รงั สี 20 5 5 30 รวม 61 20 19 100
การวิเคราะห์มาต รายวิชาฟสิ ิกส์ ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี6/1 จานวน ผลการเรียนรู้ รอู้ ะไร ทาอะไร 1. อธบิ ายการเกิดและลกั ษณะเฉพาะของ ร้อู ะไร คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า แสงไมโ่ พลาไรส์ แสงโพ คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า แสงไมโ่ พลาไรส์ แสงโพลาไรส์เชิงเส้น แ ลาไรสเ์ ชงิ เส้น และแผ่นโพลารอยด์ รวมทั้ง โพลารอยด์ รวมท้ังอธิบายการนาค่ลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วง อธบิ ายการนาค่ลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าในชว่ ง ตา่ งๆ ไปประยกุ ตใ์ ช้ และหลกั การทางานของ อุปกรณ่์ ที่เก่ยี ความถ่ีตา่ งๆ ไปประยุกต์ใช้ และหลักการ ทาอะไร ทางานของ อปุ กรณ่์ ที่เก่ยี วขอ้ ง อธบิ ายการเกิดและลักษณะเฉพาะของคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า แส ลาไรส์ แสงโพลาไรส์เชิงเสน้ และแผน่ โพลารอยด์ รวมท้ังอธบิ 2. สบื ค้นและอธิบายการสอื่ สารโดยอาศัย นาค่ล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่ต่างๆ ไปประยุกต์ใ คล่ืนแ่มเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในการส่งผา่ นสารสนเทศ หลกั การทางานของ อุปกรณ่์ ทีเ่ ก่ียวข้อง และเปรียบเทียบการสื่อสารด้วยสญั ญาณแอ รู้อะไร นะลอ็ กกบั สญั ญาณดจิ ทิ ลั คล่นื แ่มเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในการสง่ ผา่ นสารสนเทศ และเปรยี บเทียบ ส่อื สารดว้ ยสญั ญาณแอนะล็อกกบั สญั ญาณดจิ ิทัล 3. อธิบายสมมติฐานของพลงั ค์ ทฤษ่ฎี ทาอะไร อะตอมของโบร์ และการเกดิ เส้นสเปกตรัม สืบค้นและอธิบายการส่ือสารโดยอาศัยคล่ืนแ่ม่เหล็กไฟฟ้า ของอะตอมไ่ ฮโดรเจน รวมท้งั คานวณ ส่งผา่ นสารสนเทศ และเปรยี บเทียบการส่ือสารดว้ ยสญั ญาณ ปรมิ าณต่าง ๆท่เี กยี่ วขอ้ ง อกกับสัญญาณดจิ ทิ ัล รู้อะไร สมมติฐานของพลังค์ ทฤษ่ฎี อะตอมของโบร์ และการเ สเปกตรัมของอะตอม่ไฮโดรเจน รวมทั้งคานวณปริมาณต เก่ียวข้อง ทาอะไร อธิบายสมมติฐานของพลังค์ ทฤษ่ฎี อะตอมของโบร์ และการ เส้นสเปกตรัมของอะตอมไ่ ฮโดรเจน รวมทั้งคานวณปริมาณต เก่ยี วข้อง
ตรฐานและตวั ช้วี ดั น 2.0 หน่วยกิต ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 ภาระงาน/ช้นิ งาน สมรรถนะสาคญั คณุ ลักษณะของ คุณลักษณะอันพงึ วิชา ประสงค์ ใบงาน และแผ่น 1. ความสามารถใน - ความรบั ผิดชอบ - มวี นิ ัย งความถี่ การสือ่ สาร - ความรอบคอบ - ใฝเ่ รียนรู้ ยวข้อง - มุ่งมนั่ ใน 2. ความสามารถใน สงไม่โพ การคดิ การทางาน บายการ ใช้ และ ใบงาน 1. ความสามารถใน - ความรบั ผิดชอบ - มวี นิ ัย บการ การสอื่ สาร - ความรอบคอบ - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งม่ันใน าในการ 2. ความสามารถใน ณแอนะล็ การคิด การทางาน ใบงาน 1. ความสามารถใน - ความรับผดิ ชอบ - มีวินยั เกิดเส้น การสื่อสาร - ความรอบคอบ - ใฝ่เรยี นรู้ ต่าง ๆที่ - มุ่งมัน่ ใน 2. ความสามารถใน รเกดิ การคดิ การทางาน ตา่ ง ๆท่ี
ผลการเรยี นรู้ ร้อู ะไร ทาอะไร 4. อธบิ ายปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ล็กทรกิ และ รู้อะไร คานวณพลงั งานโฟตอน พลงั งานจลนข์ องโฟ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและคานวณพลังงานโฟตอน พ โตอเิ ล็กตรอนและ ฟงั ก่ช์ นั งานของโลหะ จลน์ของโฟโตอเิ ล็กตรอนและ ฟังก่์ชนั งานของโลหะ ทาอะไร อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและคานวณพลังงาน พลงั งานจลนข์ องโฟโตอเิ ล็กตรอนและ ฟงั ก่ช์ นั งานของโลหะ 5. อ่ธบิ ายท่วภิ าวะของค่ลน่ื และอนุภาค รวม รู้อะไร ทั้งอ่ธบิ ายและคานวณความยาวค่ลน่ื เดอบ ท่วภิ าวะของค่ลื่นและอนุภาค รวมทั้งอ่ธิบายและคานวณคว รอยล์ ค่ลน่ื เดอบรอยล์ ทาอะไร อ่ธบิ ายท่วภิ าวะของค่ลน่ื และอนุภาค รวมทงั้ อ่ธบิ ายและคาน ความยาวค่ลน่ื เดอบรอยล์ 6. อ่ธบิ ายกัมมันตภาพรังสีและความ รอู้ ะไร แตกตา่ งของรงั สีแอลฟา บตี าและแกมมา กัมมันตภาพรังสแี ละความแตกต่างของรงั สีแอลฟา บีตาและ ทาอะไร อ่ธบิ ายกัมมันตภาพรงั สีและความแตกต่างของรังสแี อลฟา บีต แกมมา 7. อ่ธบิ ายและคานวณกัมมันตภาพของ รูอ้ ะไร นวิ เคลียสกมั มนั ตรังสี รวมทัง้ ทดลอง อ่ธิ คานวณกัมมันตภาพของนิวเคลียสกัมมันตรังสี รวมทั้งทดล บาย และคานวณนิวเคลยี ส กมั มันตรังสที ี บาย และคานวณนิวเคลียส กัมมันตรังสีทีเหลือจากการสล เหลือจากการสลายและคร่งึ ช่ีวติ คร่ึงช่วี ติ ทาอะไร อ่ธิบายและคานวณกัมมันตภาพของนิวเคลียสกัมมันตรังสี ทดลอง อ่ธบิ าย และคานวณนิวเคลียส กัมมันตรังสีทีเหลือจ สลายและครง่ึ ช่วี ติ
ภาระงาน/ช้นิ งาน สมรรถนะสาคญั คณุ ลกั ษณะของ คุณลกั ษณะอันพึง ใบงาน วชิ า ประสงค์ พลังงาน 1. ความสามารถใน - ความรบั ผิดชอบ - มีวนิ ัย โฟตอน การส่ือสาร - ความรอบคอบ - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมน่ั ใน 2. ความสามารถใน การคดิ การทางาน ใบงาน 1. ความสามารถใน - ความรับผดิ ชอบ - มีวนิ ยั วามยาว การสื่อสาร - ความรอบคอบ - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมน่ั ใน นวณ 2. ความสามารถใน การคิด การทางาน ใบงาน 1. ความสามารถใน - ความรับผดิ ชอบ - มวี ินัย ะแกมมา การสื่อสาร - ความรอบคอบ - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งม่นั ใน ตาและ 2. ความสามารถใน การคิด การทางาน ใบงาน ลอง อ่ธิ 1. ความสามารถใน - ความรบั ผดิ ชอบ - มวี นิ ยั ลายและ การสื่อสาร - ความรอบคอบ - ใฝเ่ รียนรู้ - มงุ่ มั่นใน รวมทั้ง 2. ความสามารถใน จากการ การคดิ การทางาน
8.อ่ธบิ ายแรงนวิ เคลยี ร์ เส่ถยี รภาพของ รอู้ ะไร นวิ เคลยี ส และพลงั งานยึดเหน่ียว รวมทั้ง แรงนิวเคลียร์ เส่ถียรภาพของนิวเคลียส และพลังงานยึด คานวณปริมาณต่างๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง รวมท้งั คานวณปริมาณตา่ งๆ ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ทาอะไร 9. อ่ธบิ ายปฏิกริ ิยานิวเคลยี ร์ ฟิช่ชนั อ่ธบิ ายแรงนวิ เคลยี ร์ เส่ถยี รภาพของนิวเคลยี ส และพลงั งานย และฟิว่ชนั รวมท้งั คานวณพลงั งานนิวเคลยี ร์ เหนี่ยว รวมทง้ั คานวณปรมิ าณต่างๆ ที่เกยี่ วขอ้ ง รู้อะไร ปฏิกิริยานิวเคลียร์ ฟิช่ชัน และฟิว่ชัน รวมทั้งคานวณพ นิวเคลียร์ ทาอะไร อ่ธบิ ายปฏิกิริยานิวเคลียร์ ฟิช่ชนั และฟวิ ่ชนั รวมท้ังคานวณพ นวิ เคลยี ร์ 10. อ่ธบิ ายประโยชน์ของพลังงานนวิ เคลียร์ รอู้ ะไร และรงั สี รวมทั้งอันตรายและการป้องกันรงั สี ประโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์และรังสี รวมท้ังอันตรายแ ในด้านต่าง ๆ ปอ้ งกนั รังสใี นดา้ นต่าง ทาอะไร อ่ธบิ ายประโยชน์ของพลงั งานนวิ เคลียร์และรังสี รวมท้งั อนั ตร การป้องกนั รังสใี นด้านตา่ งๆ 11.อธบิ ายการค้นคว้าวิจยั ด้านฟิสกิ ส์อนุภาค ร้อู ะไร แบบจาลองมาตรฐาน และการใช้ประโยชน์ งานท่ีทาโดยแก๊สในภาชนะปิดโดยความดันคงตัว และอ จากการคนควา้ วิจยั ด้าน ฟิสิกส์สอนภาคใน ความสัมพันธ์ระหว่างความร้อน พลังงานภายในระบบ แ ด้านต่าง ๆ รวมท้ังคานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่เี กีย่ วข้องและนาความร้เู รอื่ งพ ภายในระบบไปอธิบายหลักการทางานของเครอื่ งใช้ในชีวิตปร ทาอะไร อธิบายการค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค แบบจาลองมา และการใช้ประโยชนจ์ ากการคนคว้าวจิ ัยด้าน ฟิสิกสส์ อนภาค ตา่ ง ๆ
ใบงาน 1. ความสามารถใน - ความรับผดิ ชอบ - มีวนิ ัย ดเหน่ียว การส่ือสาร - ความรอบคอบ - ใฝเ่ รียนรู้ - มุง่ ม่ันใน ยดึ 2. ความสามารถใน การคิด การทางาน ใบงาน พลังงาน 1. ความสามารถใน - ความรับผดิ ชอบ - มวี นิ ยั การสอื่ สาร - ความรอบคอบ - ใฝเ่ รยี นรู้ พลังงาน - มงุ่ มนั่ ใน 2. ความสามารถใน ใบงาน การคดิ การทางาน และการ 1. ความสามารถใน - ความรบั ผิดชอบ - มีวินัย รายและ การสอ่ื สาร - ความรอบคอบ - ใฝเ่ รียนรู้ - ม่งุ ม่ันใน ใบงาน 2. ความสามารถใน อธิบาย การคดิ การทางาน และงาน พลงั งาน 1. ความสามารถใน - ความรับผิดชอบ - มีวนิ ัย ระจาวนั การสื่อสาร - ความรอบคอบ - ใฝเ่ รยี นรู้ - มุ่งม่ันใน าตรฐาน 2. ความสามารถใน คในด้าน การคิด การทางาน
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: