33. ครูสุ่มนักเรียนออกมาหน้าชั้นเรียนเพ่ืออธิบายคาตอบของตนเอง พร้อมท้ังให้เหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึงตอบ แบบนั้น โดยท่เี พอื่ น ๆ ในช้ันเรียนคอยเปรียบเทียบคาตอบของตนเองว่าตรงกับเพ่อื นหรือไม่ 34. ครใู หน้ กั เรียนจบั คกู่ บั เพื่อนทนี่ ง่ั ข้าง ๆ แลว้ รว่ มกันศกึ ษา เร่ือง สเปกตรัมจากอะตอมของแกส๊ โดยนกั เรยี นทุก คนจะต้องจดบันทึกความรู้ที่ได้จากการศึกษาลงในสมุดบันทึกประจาตัว จากน้ันแต่ละคู่ร่วมกันอภิปรายผล การศึกษาเพื่อใหไ้ ด้ข้อสรุปร่วมกัน 35. ครเู ปิดวีดิทศั น์จากสื่อดิจทิ ลั เช่น YouTube ท่ีมีเน้ือหาสาระเกยี่ วกบั สเปกตรมั ของแสงให้นักเรียนไดศ้ ึกษาหา องคค์ วามรเู้ พมิ่ เติม จากนน้ั ครูอาจสมุ่ ถามความรู้ทีไ่ ดจ้ ากการศึกษาสือ่ ดิจทิ ัลนี้ 36. นักเรียนและครูรว่ มกันอภิปรายความรู้เก่ียวกับสเปกตรัม จนไดข้ ้อสรุปเกี่ยวกับพลังงานและความถ่ีของคลื่น แมเ่ หล็กไฟฟ้าออกมาเป็นสมการแสดงความสัมพันธ์ ������ = ℎ������ = ℎ������ ������ 37. ครูให้นักเรียนแต่ละคู่ร่วมกันศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับการศึกษาสเปกตรัมท่ีเกิดจากการเผาสารประกอบและธาตุ บางชนดิ หรอื การทดสอบสีของเปลวไฟ จากสื่อดิจิทัลต่าง ๆ จากนนั้ นาขอ้ มูลท่ไี ด้มาสรุปเปน็ องคค์ วามรขู้ องคู่ ตนเอง 38. ครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมาหนา้ ชั้นเรียนเป็นคู่ ๆ เพ่ือให้นาเสนอและอธิบายผลการศึกษาของตนเอง เปน็ การ แลกเปลี่ยนความรซู้ ง่ึ กันและกัน โดยครูคอยเสนอแนะและใหค้ าแนะนา 39. ครูให้นกั เรียนศกึ ษาการทดสอบสขี องเปลวไฟจากหนงั สือเรียนอกี คร้ัง เพ่อื สรุปความรทู้ ตี่ นเองไดศ้ ึกษาจากสื่อ ดิจิทลั ตา่ ง ๆ ใหเ้ ปน็ ไปในแนวทางเดียวกนั 40. ครูใหน้ กั เรยี นศกึ ษาตวั อยา่ งท่ี 6.6 รว่ มกนั บนกระดานหน้าชั้นเรียน ชว่ั โมงท่ี 2 ขน้ั สอน ขั้นรู้ (Knowing) 41. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มเท่า ๆ กัน กลุ่มละประมาณ 6 คน โดยคละความสามารถของนักเรียนตาม ผลสมัฤทธ์ิ (เก่ง ค่อนข้างเกง่ ปานกลาง ค่อนขา้ งออ่ น อ่อน) ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เพ่ือร่วมกันศึกษากิจกรรม การศึกษาสเปกตรมั ของแก๊สร้อน จากหนังสือเรียน โดยให้นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มกาหนดให้สมาชิกแต่ละคนมีบทบาท หนา้ ทีข่ องตนเอง เช่น สมาชกิ คนท่ี 1 : เตรยี มวัสดุอปุ กรณ์ สมาชิกคนที่ 2 : อ่านและศึกษาวิธีปฏบิ ตั กิ ิจกรรม แล้วนามาอธิบายสมาชิกในกล่มุ สมาชกิ คนที่ 3 : บนั ทกึ ผลการปฏิบัติกิจกรรม สมาชกิ คนที่ 4-5 : ค้นคว้าเพ่มิ เตมิ หาแหลง่ ขอ้ มลู อ้างอิงเพ่ือสนบั สนนุ การปฏบิ ัตกิ ิจกรรม สมาชิกคนท่ี 6 : นาเสนอผลการปฏิบตั ิกจิ กรรม 42. ครูช้ีแจงจดุ ประสงค์ของกจิ กรรมใหน้ ักเรียนทราบ เพ่อื เปน็ แนวทางการปฏบิ ตั ิที่ถูกต้อง 43. ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมหรือเทคนิคเก่ียวกับการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นให้นักเรียนทุกกลุ่มลงมือปฏิบัติตาม ขน้ั ตอน 44. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั พดู คยุ วเิ คราะห์ผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม แล้วอภิปรายผลรว่ มกนั 45. ครเู น้นยา้ ให้นักเรียนตอบคาถามท้ายกิจกรรม จากหนังสือเรยี น ลงในสมุดบันทกึ ประจาตวั เพ่ือนาสง่ ครูเปน็ การ ตรวจสอบความเข้าใจจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม
46. ครูนาอภิปรายและให้ความรู้เกี่ยวกับสเปกตรัมของแสงท่ีได้จากการทากิจกรรม จากน้ันชักชวนนกั เรียนสน นทนาต่อว่า เม่ือวิเคราะห์สเปกตรัมของแก๊สที่ประกอบด้วยอะตอมของธาตุไฮโดรเจนจะเห็นเส้นสว่างที่มี ความยาวคล่ืนเรียงกันเป็นกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ เรียกว่า อนุกรม จนกระท่ังบลั เมอรส์ ามารถคิดค้นสมการ ที่ใช้ในการคานวณหาค่าความยาวคล่ืนของสเปกตรัมเส้นสว่างต่าง ๆ ของอะตอมไฮโดรเจนในช่วงแสงที่ตา มองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปล่า ดังสมการ ������ = ������ (������2���−���222) ชว่ั โมงท่ี 3 ขน้ั สอน ขนั้ รู้ (Knowing) 47. ครูนักเรียนศกึ ษา เรอื่ ง การแผค่ ล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าของวัตถดุ า จากหนังสือเรยี น 48. ครสู ุม่ ถามนักเรียนว่า “วตั ถดุ าคืออะไร” (แนวตอบ : วัตถุอดุ มคติที่สามารถดูดกลืนคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าทมี่ าตกกระทบได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อวัตถุดาเกิด สมดุลของอุณหภูมิ จะแผ่รังสีความร้อนออกมาเป็นสเปกตรัมที่มีลักษณะเฉพาะตัว ตาแหน่งสูงสุดของ สเปกตรัม ณ ความยาวคลื่นค่าหนึง่ จะขึ้นกับอุณหภูมิของวตั ถุดาและค่าคงตวั บางตวั เท่านั้น) 49. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายความรู้เก่ียวกับวัตถุดา โดยจากการศกึ ษาสเปกตรัมของการแผร่ ังสคี วามร้อน จากวตั ถุดา โดยการวัดความเข้มของคลืน่ กับความยาวคล่ืนท่ีแผอ่ อกมา พบว่า อุณหภูมิของวัตถุสัมพันธ์กับ ค ว า ม ย า ว ค ลื ่น ที ่ใ ห ้ค ่า ค ว า ม เ ข ้ม ส ูง ส ุด ข อ ง ส เ ป ก ต ร ัม ที ่แ ผ ่อ อ ก ม า ด ัง ส ม ก า ร ������������������������������ = 2.9 × 10−3 m K 50. ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมว่า จากแบบจาลองของวัตถุดา รังสีที่หลุดเล็ดลอดออกมาจากรูเปิดเป็นรังสีที่ถูกปล่อย จากผนงั ไมใ่ ชร่ ังสีสะทอ้ น และวตั ถทุ กุ ชนิดในจักรวาลจะแผร่ งั สใี นลักษณะเดยี วกบั วัตถดุ า 51. ครใู ห้นักเรียนศึกษากราฟแสดงความสมั พันธ์ระหวา่ งอุณหภมู กิ บั การแผ่รงั สขี องวตั ถุ จากหนงั สือเรียน 52. ครสู ุ่มนกั เรยี นเพอ่ื ตอบคาถามเกีย่ วกับกราฟแสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอุณหภูมิกับการแผ่รงั สีของวัตถุ เชน่ กราฟความสัมพนั ธ์นเ้ี กดิ จากการแผ่รังสขี องวตั ถุ ณ อุณหภมู ิใดบ้าง (แนวตอบ : 2,000 เคลวิน 3,000 เคลวิน 4,000 เคลวิน และ 5,000 เคลวนิ ) จากกราฟสามารถสรุปแนวโน้มการแผ่รังสขี องวตั ถุเทียบกบั อุณหภมู ิไดอ้ ย่างไร (แนวตอบ : วตั ถทุ ม่ี ีอุณหภมู ติ ่ากวา่ จะแผร่ ังสีทีม่ ีความยาวคล่นื สูงกว่า) หากต้องการทาให้วตั ถหุ น่ึง ๆ สามารถแผร่ งั สีควมร้อนใหไ้ ด้ความยาวคล่นื ที่ใหค้ า่ ความเข้มสงู สดุ ของ สเปกตรัมในชว่ งรังสีอลั ตราไวโอเลตจะต้องทาอย่างไร (แนวตอบ : ตอ้ งทาใหว้ ัตถมุ ีอณุ หภูมสิ งู ขึน้ กวา่ น้มี าก ๆ) 53. ครูให้นกั เรยี นศึกษาสมมติฐานของพลังคจ์ ากหนังสือเรียน โดยจดบันทึกลงในสมุดบันทึกประจาตวั 54. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปราความรู้เพื่อให้เข้าใจไปในแนวทางเดียวกันว่า สมมติฐานของพลังค์สรุปได้ว่า พลังงานท่ีวัตถุดาดูดกลืนหรือแผ่ออกมามีค่าได้เฉพาะบางค่าเท่าน้ัน และค่านี้จะเป็นจานวนเท่าของ ℎ������ เรียกว่า ควอนตัมพลังงาน (quantum of energy) โดยท่ีคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าหรอื แสงความถ่ี ������ จะมพี ลังงาน ดังสมการ ������ = ������ℎ������ และค่าพลังงานที่วัตถุปลดปล่อยหรือดูดกลืนในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เรียกว่า โฟ ตอน
ชั่วโมงที่ 4 ขน้ั สอน ขั้นรู้ (Knowing) 55. ครูให้นกั เรียนปดิ หนังสือเรียน จากน้ันครูอ่านข้อคาถามในตัวอย่างที่ 6.7-6.8 จากหนังสอื เรยี น ให้นักเรียนจด ลงกระดาษ A4 56. ครูให้เวลานักเรียนในการศึกษาและแสดงวิธีแก้โจทย์ปัญหาเพ่ือหาคาตอบจากข้อคาถามที่ครูมอบหมาย ให้ โดยนักเรียนคนใดทาเสร็จแล้วให้เขียนช่ือ-สกุล เลขที่ และช้ัน ไว้ที่มุมขวาบนของกระดาษ จากน้ันนาส่ง ครูหนา้ ชน้ั เรยี น 57. ครตู รวจคาตอบของนกั เรียนในเบือ้ งตน้ แลว้ สุม่ ตวั แทนนักเรียนออกมาอธบิ ายและแสดงวธิ ีแก้โจทย์ปัญหาเพื่อ หาคาตอบบนกระดานหน้าชั้นเรียนคนละ 1 ข้อ โดยครูคอยสังเกตการณ์และให้คาแนะนาเม่ือนักเรียนเกิด ปัญหาหรอื มีข้อสงสยั ขั้นเข้าใจ (Understanding) 7. ครูใช้คาถามให้นักเรียนอธิบายสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง สเปกตรัมจากอะตอมของแก๊ส และการแผ่ คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าของวตั ถดุ า โดยครูสุ่มนักเรียนจานวนหนง่ึ ออกมาหน้าห้องเพือ่ อธบิ ายผลการศกึ ษาในแตล่ ะ หัวข้อ 8. เม่ือนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความเข้าใจของนักเรียนแล้ว ครูอาจยกตัวอย่างหรือปรับเปลี่ยน สถานการณจ์ ากตัวอย่างทไี่ ดศ้ กึ ษา แลว้ ใหน้ กั เรียนอธบิ ายสงิ่ ท่ีเหมอื นและสิง่ ทแี่ ตกตา่ ง 9. ครูมอบหมายให้นักเรียนศกึ ษาทาความเขา้ ใจเก่ยี วกับสเปกตรัมของอะตอมเพิ่มเตมิ จากแบบฝึกหดั ฟสิ ิกส์ ม.6 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6 ฟิสกิ สอ์ ะตอม ข้ันลงมอื ทา้ (Doing) 6. ครูให้นักเรียนสรุปความรู้เก่ียวกับสเปกตรัมจากอะตอมของแก๊ส และการแผ่คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุดา โดยสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบของอินโฟกราฟิก ลงในกระดาษ A4 พร้อมท้ังตกแต่งให้สวยงาม เสรจ็ แล้ว นาสง่ ครูเพ่ือตรวจให้คะแนน 7. ครูแจกใบงานที่ 6.3 เร่ือง สมมติฐานของพลังค์ ให้นักเรียนคนละ 1 ชุด จากนนั้ มอบหมายให้นกั เรียนนากลับไป ศึกษาเป็นการบ้าน เสร็จแลว้ ตัวแทนรวบรวมส่งครู 8. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือน แล้วร่วมกันศึกษาแบบฝึกหัด Topic Questions จากหนังสือเรียน โดยครู มอบหมายให้นักเรียนแตล่ ะคนเขยี นแสดงวธิ กี ารแกโ้ จทยป์ ัญหาลงในสมดุ บนั ทกึ ประจาตวั ขน้ั สรุป 5. ครูและนักเรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยให้นักเรียนอธิบายสรุปความรู้เกี่ยวกับสเปกตรัมจากอะตอมของแก๊ส และการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุดาที่ได้ศึกษามาแล้วทั้งเนื้อหาและตัวอย่างจาก หนังสือเรียน และ กิจกรรมท่ีนอกเหนอื จากหนงั สือเรียน พร้อมทั้งยกอย่างสถานการณใ์ นชวี ติ ประจาวันทีเ่ กีย่ วขอ้ งเพ่อื ทดสอบความ เขา้ ใจ 6. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเนื้อหาท่ีได้ศึกษาผ่านมาแล้วในส่วนท่ียังไม่เข้าใจหรือสงสัย จากนั้นครูให้ ความรู้เพ่ิมเติมในส่วนนั้น โดยท่ีครูอาจจะใช้ PowerPoint เรื่อง สเปกตรัมของอะตอม มาเปิดให้นักเรียนดู ประกอบเพอ่ื ช่วยในการอธิบายใหเ้ ข้าใจมากย่ิงขึน้
ขน้ั ประเมิน 7. ประเมินความรู้เกี่ยวกับเรื่อง สเปกตรัมของอะตอม โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม การทา แบบฝกึ หดั และการสรปุ สาระสาคัญ 8. ประเมินทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากการคานวณเกี่ยวกับการดูดกลืนหรือคายพลังงานตาม สมมตฐิ านของพลงั ค์จากสถานการณ์ต่าง ๆ และจากตวั อย่างทค่ี รูกาหนดให้ 9. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น การทางาน รว่ มกบั ผู้อนื่ อยา่ งสร้างสรรค์ 9. สอื่ การเรียนการสอน / แหล่งเรยี นรู้ 1) หนังสือเรยี น รายวิชาเพ่ิมเติมวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟิสกิ ส์ ม.6 เล่ม 1 2) แบบฝึกหัด รายวิชาเพมิ่ เตมิ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสกิ ส์ ม.6 เล่ม 1 10. การวดั ผลและประเมนิ ผล รายการวัด วธิ วี ดั เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารประเมิน 10.1 การประเมินระหว่าง - ตรวจใบงานท่ี 8 - ใบงานท่ี 8 - ร้อยละ 60 ผ่าน การจดั กิจกรรม - ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝึกหดั เกณฑ์ 1) สเปกตรัมของ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ อะตอม 2) การนาเสนอ - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบประเมนิ การ - ระดับคณุ ภาพ 2 ผลงาน ผลงาน นาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์ 3) พฤตกิ รรมการ - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2 ทางานรายบุคคล การทางาน การทางาน ผา่ นเกณฑ์ รายบคุ คล รายบคุ คล 4) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2 ทางานกลุ่ม การทางานกลมุ่ การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์ 5) คุณลกั ษณะ - สังเกตความมีวนิ ัย - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2 อันพงึ ประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ และม่งุ ม่นั คุณลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์ ในการทางาน อันพงึ ประสงค์ ลงช่ือ..................................................ผสู้ อน (............................................)
ความเ ้ขม เร่อื ง สมมตฐิ านของพลังค์ ค้าชแี้ จง : ใหน้ กั เรียนตอบคา้ ถามต่อไปนี้ 1. เมื่อให้แสงสีแดงท่ีมีความยาวคล่ืน 660 นาโนเมตร จานวน 2 × 1022 โฟตอน เดินทางผ่านเข้าไปในน้ามวล 500 กรัม สมมติวา่ น้าสามารถดูดกลืนพลังงานร้อยละ 30 ให้กลายเป็นความรอ้ น อยากทราบวา่ โฟตอนของแสงสีแดงนีม้ ีพลังงาน เทา่ ใด .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. จากกราฟแสดงความสัมพันธ์ทก่ี าหนดให้ต่อไปนี้ ความยาวคลื่นที่ให้ค่าความเข้มสูงสุดของวัตถุทอ่ี ุณหภูมิต่าง ๆ มีค่า เท่าใด ความยาวคลืน่ (nm) กราฟแสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างอณุ หภมู กิ บั การแผ่รงั สีของวตั ถุ ..................................................................................................................................... ......................................... .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................
ใบงานท่ี 8 เฉลย เรอื่ ง สมมติฐานของพลังค์ ค้าชีแ้ จง : ให้นกั เรียนตอบคา้ ถามตอ่ ไปนี้ 1. เม่ือให้แสงสีแดงท่ีมีความยาวคล่ืน 660 นาโนเมตร จานวน 2 × 1022 โฟตอน เดินทางผ่านเข้าไปในน้ามวล 500 กรัม สมมติว่าน้าสามารถดูดกลืนพลงั งานร้อยละ 30 ให้กลายเป็นความรอ้ น อยากทราบว่า โฟตอนของแสงสีแดงนม้ี ีพลังงาน เท่าใด วธิ ีท้า จากสมการ ������ = ������ℎ������ ������ = ������ℎ ������ ������ (2×1022)(6.626×10−34 J s)(3×108 ������ = 660 × 10−9 m m/s) ������ = 3.9756×10−3 J m 660 × 10−9 m ������ = 6,023.636 J ������ = 6.02 × 103 J ดังนนั้ โฟตอนของแสงสแี ดงน้มี ีพลงั งานเทา่ กบั 6.02 × 103 จลู 2. จากกราฟแสดงความสัมพันธ์ทกี่ าหนดให้ต่อไปนี้ ความยาวคลื่นที่ให้ค่าความเข้มสูงสุดของวัตถุทอ่ี ุณหภูมิต่าง ๆ มีค่า เท่าใด ความเ ้ขม ความยาวคลน่ื (nm) กราฟแสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอุณหภูมิกับการแผ่รงั สีของวัตถุ
วธิ ที ้า พจิ ารณาที่อุณหภูมิ 3,500 เคลวนิ จะได้ว่า จากสมการ ������������������������������ = 2.9 × 10−3 m K ������������������������ = 2.9 × 10−3 mK ������ 2.9 × 10−3 m K ������������������������ = 3,500 K ������������������������ = 8.28 × 10−7 m ������������������������ = 828 × 10−9 m = 828 nm พิจารณาทอ่ี ุณหภูมิ 4,000 เคลวนิ จะได้วา่ จากสมการ ������������������������������ = 2.9 × 10−3 m K ������������������������ = 2.9 × 10−3 mK ������ 2.9 × 10−3 m K ������������������������ = 4,500 K ������������������������ = 7.25 × 10−7 m ������������������������ = 725 × 10−9 m = 725 nm พิจารณาทอ่ี ุณหภูมิ 4,500 เคลวนิ จะได้ว่า จากสมการ ������������������������������ = 2.9 × 10−3 m K ������������������������ = 2.9 × 10−3 mK ������ 2.9 × 10−3 m K ������������������������ = 4,500 K ������������������������ = 6.44 × 10−7 m ������������������������ = 644 × 10−9 m = 644 nm พจิ ารณาท่อี ุณหภมู ิ 5,000 เคลวนิ จะไดว้ า่ จากสมการ ������������������������������ = 2.9 × 10−3 m K ������������������������ = 2.9 × 10−3 mK ������ 2.9 × 10−3 m K ������������������������ = 4,500 K ������������������������ = 5.80 × 10−7 m ������������������������ = 580 × 10−9 m = 580 nm พิจารณาทอ่ี ุณหภมู ิ 5,500 เคลวนิ จะได้วา่ จากสมการ ������������������������������ = 2.9 × 10−3 m K ������������������������ = 2.9 × 10−3 mK ������ 2.9 × 10−3 m K ������������������������ = 5,500 K ������������������������ = 5.27 × 10−7 m ������������������������ = 527 × 10−9 m = 527 nm ดงั น้ัน ความยาวคลื่นที่ให้ค่าความเข้มสูงสุดของวัตถุที่อุณหภูมิ 3,500 เคลวิน 4,000 เคลวิน 4,500 เคลวิน 5,000 เคลวนิ และ 5,500 เคลวิน มีค่าเท่า 828 นาโนเมตร 725 นาโนเมตร 644 นาโนเมตร 580 นาโนเมตร และ 527 นาโน เมตร ตามลาดบั
แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 2 เรื่อง ฟสิ ิกส์อะตอม แผนจดั การเรยี นรู้ที่ 9 เรอื่ ง ทฤษฎีอะตอมของโบร์ รายวิชา ฟสิ กิ ส์ รหสั วชิ า ว33206 ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6/1 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 น้าหนักเวลาเรยี น 80 (นน./นก.) เวลาเรยี น 4 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ เวลาท่ีใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 8 ชัว่ โมง .......................................................................................................................................................... 1. ผลการเรียนรู้ อธิบายสมมติฐานของพลังค์ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ และการเกิดเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน รวมทงั้ คานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกยี่ วขอ้ ง 2. จดุ ประสงค์ 1. อธบิ ายโครงสร้างและการเกิดสเปกตรมั ของอะตอมไฮโดรเจนตามสมมติฐานของโบรไ์ ด้ (K) 2. คานวณหารศั มวี งโคจรของอเิ ล็กตรอนและพลงั งานอะตอมของไฮโดรเจนได้ (P) 3. มีความรบั ผิดชอบต่องานท่ีไดร้ ับมอบหมาย และปฏบิ ตั ิงานตรงตามเวลาท่ีครูกาหนด (A) 3. สาระสา้ คญั โบร์ได้เสนอแบบจาลองอะตอมของไฮโดรเจนโดยอาศัยกลศาสตร์ควอนตัมมาใช้กับแบบจาลองอะตอมของ รัทเทอรฟ์ อร์ด โดยสมมตฐิ านของโบรส์ ามารถสรุปได้เปน็ 2 ข้อ ดังนี้ 1) สมมติฐานข้อที่ 1 อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบนิวเคลียสในวงโคจรบางวงได้โดยไม่แผ่คลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าออกมา เรียกสถานะน้ีว่า สถานะคงตัว สามารถคานวณหาโมเมนตัมเชิงมุมของวงโคจรได้ ดังสมการ ������ = ������������������������������ = ������ℏ 2) สมมติฐานข้อที่ 2 อิเล็กตรอนจะดูดกลืนหรือคายพลังงานทุกครั้งเมื่อเกิดการเปลี่ยนวงโคจร โดยพลังงาน ดังกล่าวจะปรากฏในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถ่ีเป็นไปตามสมมติฐานของพลังค์ ดังสมการ ℎ������ = |∆������| = ������������������ − ������������������ ฟรังก์และเฮิรตซ์ได้ทาการทดลองเพื่อสนับสนุนทฤษฎีอะตอมของโบร์ โดยใช้ชุดการทดลองที่ปรับพลังงานจลน์ ของอิเล็กตรอนให้เคลื่อนที่ไปชนกับไอปรอทเพ่ือท่ีจะศึกษาการรับพลังงานของอะตอม พบว่า ถ้าพลังงานจลน์ของ อิเล็กตรอนน้อยกว่า 4.9 อิเล็กตรอนโวลต์ อิเล็กตรอนจะไม่สูญเสียพลังงานจลน์เลย และหลังจากน้ันได้มี นกั วิทยาศาสตร์หลายท่านได้ทาการทดลองเพิ่มเติม เม่ือไดท้ าการทดลองกับธาตุชนดิ อื่นก็ได้ผลคลา้ ยคลึงกับปรอท กล่าว ไดว้ ่า พลงั งานของอะตอมมคี ่าไม่ต่อเน่ือง ซึ่งเป็นไปตามสมมตฐิ านของโบร์ เรนิ เกนต์ได้คน้ พบรงั สเี อกซโ์ ดยบังเอิญ โดยสามารถสรุปสมบัติของรังสีเอกซ์ได้ ดงั น้ี รังสีเอกซ์เป็นท้ังคลื่นและอนภุ าค รังสีเอกซ์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รังสีเอกซ์ปกระกอบด้วยรังสีท่ีมีความยาวคลื่นแตกต่างกันมาก รังสีเอกซ์สามารถทะลุ ผ่านวัตถุที่ไม่หนามากได้ รังสีเอกซ์สามารถทาให้อากาศแตกตัวเป็นไอออนได้ ซงึ่ การเกิดรังสีเอกซ์จะมี 2 กระบวนการ คือ การเกิดรังสีเอกซต์ ่อเนื่อง และการเกดิ รงั สเี อกซ์เฉพาะตัว 4. สมรรถนะสา้ คญั ของนักเรียน 1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
5. คณุ ลักษณะของวิชา - กระบวนการกลมุ่ - ความรบั ผิดชอบ - ความรอบคอบ 6. คุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ 1. มีวินยั 2. ใฝเ่ รยี นรู้ 7. ชิ้นงาน/ภาระงาน - ใบงานที่ 9 เรอื่ ง สเปกตรัมของอะตอม 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ชวั่ โมงที่ 1-2 ขน้ั นา ข้ันการใชค้ วามรเู้ ดิมเช่อื มโยงความร้ใู หม่ (Prior Knowledge) 15. ครูชักชวนนักเรยี นสนทนาทบทวนความรเู้ กี่วกับแบบจาลองอะตอมของทอมสัน และแบบจาลองอะตอมของ รทั พเทอรฟ์ อร์ด โดยสมุ่ นกั เรยี นเพอ่ื ให้อธบิ ายโครงสรา้ งและลกั ษณะพอสังเขป 16. ครใู ชค้ าถามเพอ่ื ถามทบทวนความรเู้ ดมิ ของนกั เรียน เช่น สเปกตรัมของแสงขาวมกี ส่ี ี อะไรบา้ ง (แนวตอบ : มี 7 สี ได้แก่ แสงสีม่วง แสงสีคราม แสงสีน้าเงิน แสงสีเขียว แสงสีเหลือง แสงสีแสด และ แสงสีแดง) แสงสีใดในสเปกตรมั ของแสงขาวมคี วามยาวคลนื่ มากทส่ี ุด และน้อยทส่ี ุด (แนวตอบ : แสงสีแดงมคี วามยาวคลนื่ มาสดุ และแสงสีม่วงมคี วามยาวคลน่ื นอ้ ยที่สุด) คา่ คงตวั ของพลงั ค์ (Plank’s constant) มคี ่าเท่าใด (แนวตอบ : 6.626 × 10-34 จลู วนิ าท)ี 17. ครถู ามคาถาม Key Question กบั นักเรียนว่า “เหตุใดอิเล็กตรอนจึงเคล่ือนทีร่ อบ ๆ นิวเคลียสได้โดยไม่ถูกดูด เข้าไปในนิวเคลียส” โดยนักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบของคาถามเพื่อ เชอ่ื มโยงเขา้ สู่เนื้อหาทีก่ าลงั จะศึกษาเรียนรูต้ อ่ ไป (แนวตอบ : พลังงานศักย์ไฟฟ้าซึ่งเกิดจากแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้ามีค่าน้อยกว่าพลังงานจลน์ของ อิเล็กตรอนมาก อเิ ล็กตรอนจงึ ถูกยึดเหนย่ี วไว้ในวงโคจรรอบนิวเคลียส)
ขน้ั สอน ขน้ั รู้ (Knowing) 58. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ แล้วร่วมกันศึกษา เร่ือง ระดับพลังงานของอะตอม โดยนักเรียนทุกคน จะต้องจดบันทึกความรู้ที่ได้จากการศึกษาลงในสมุดบันทึกประจาตัว จากนั้นแต่ละคู่ร่วมกันอภิปรายผล การศึกษาเพอื่ ให้ไดข้ อ้ สรปุ ร่วมกัน 59. ครสู ุม่ นักเรียนเพ่อื ถามคาถามว่า “สถานะคงตัว คืออะไร” โดยส่มุ นกั เรยี นประมาณ 3-4 คน เพ่ือดแู นวคาตอบ (แนวตอบ : สถานะท่ีอิเล็กกตรอนเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบนิวเคลียสในวงโคจรบางวงโดยไม่แผ่รังสีคลื่น แมเ่ หล็กไฟฟ้าออกมา โดยในวงโคจรนีโ้ มเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนจะมคี ่าคงตัวเปน็ จานวนเทา่ ของอนุภาค มลู ฐาน) 60. ครเู ปิดวีดิทัศน์จากสอื่ ดจิ ิทลั เช่น YouTube ท่ีมีเนอื้ หาสาระเก่ียวกบั แบบจาลองอะตอมของโบร์ใหน้ กั เรียนได้ ศกึ ษาหาองคค์ วามร้เู พิม่ เตมิ จากนัน้ ครอู าจสมุ่ ถามความรทู้ ไ่ี ด้จากการศึกษาสอ่ื ดิจิทัลน้ี 61. ครูให้นักเรียนจับคูก่ ับเพ่ือนที่น่งั ข้าง ๆ จากนั้นร่วมกันศกึ ษาตัวอย่างท่ี 6.9-6.10 จากหนงั สือเรียน โดยครเู น้น ย้ากับนักเรียนว่า เม่ือศึกษาตัวอย่างน้ีเสร็จแล้ว นักเรียนจะต้องสามารถอธิบายสมมติฐานข้อที่ 1 ของโบร์ได้ เพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจให้นักเรียนกระตือรือร้นที่จะต้องพยายามทาความเข้าใจจากโจทยป์ ญั หาหรือ ขอ้ คาถามมากข้ึน 62. ครูคอยสังเกตการณ์และสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนเป็นรายบุคคล เม่ือครบเวลาที่ครูกาหนดแล้ว ครูสุ่ม ตัวแทนนักเรียนจากการสังเกตพฤติกรรมความสนใจและความตั้งใจในการศึกษาตัวอย่าง โดยให้นักเรียน ออกมาอธิบายวิธกี ารหรอื ขั้นตอนการแสดงวธิ แี ก้โจทยป์ ัญหาเพือ่ หาคาตอบบนกระดานหน้าชนั้ เรียน 63. ครูนาข้อคาถามหรือโจทย์ปัญหาเพิ่มเติมซ่ึงนอกเหนือจากหนังสือเรียนมาให้นักเรียนได้ศึกษาและทาความ เข้าใจมากขน้ึ 64. ครูขออาสาสมัครตัวแทนนักเรียนออกมาหนา้ ชนั้ เรียนเพ่อื อภิปรายผลการศกึ ษาเกี่ยวกบั สมมตฐิ านขอ้ ที่ 1 ของ โบร์ ในกรณที ไ่ี ม่มนี กั เรียนคนใดออกมา ครอู าจเพ่มิ เงื่อนไขของการเป็นตัวแทนดว้ ยการใหค้ ะแนนพิเศษ ชั่วโมงที่ 3 ขน้ั สอน ขน้ั รู้ (Knowing) 65. ครูถามคาถามทบทวนความรู้ที่ได้ศึกษามาแล้วเพ่ือเช่ือมโยงเข้าสู่เนื้อหาใหม่ว่า “สมมติฐานข้อที่ 1 ของโบร์ ม่งุ เนน้ ศกึ ษาและอธบิ ายเก่ยี วกบั สิ่งใด” (แนวตอบ : สมมติฐานข้อท่ี 1 ของโบร์ มุ่งเน้นศึกษาเกี่ยวกับการที่อิเล็กตรอนเคลื่อนท่ีเป็นวงกลมรอบ นิวเคลียสในบางวงโคจรได้โดยไม่แผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา โมเมนตัมเชิงมุมของ อิเล็กตรอนจะมี คา่ เปน็ จานวนเท่าของอนุภาคมูลฐาน ดงั สมการ ������ = ������������������������������ = ������ℏ) 66. ครูให้นกั เรียนคเู่ ดิมที่เคยร่วมกันศึกษาเกี่ยวกับสมมตฐิ านข้อท่ี 1 ของโบร์ รว่ มกันศึกษาสมมตฐิ านขอ้ ที่ 2 ของ โบร์ จากหนงั สือเรยี น
67. ครูสังเกตพฤติกรรมนักเรียนรายบุคคล โดยสุ่มนักเรียนท่ีไม่ค่อยมีสมาธิหรือไม่กระตือรือร้นใน การศึกษา จากนนั้ ถามคาถามกบั นกั เรียนวา่ “สมมตฐิ านข้อที่ 2 ของโบร์ มุ่งเนน้ ศกึ ษาและอธบิ ายเก่ียวกับสง่ิ ใด” (แนวตอบ : สมมติฐานข้อท่ี 2 ของโบร์ มุ่งเน้นศึกษาเกี่ยวกับการท่ีอิเล็กตรอนจะดูดกลืนหรือคายพลงั งานทกุ ครั้งเม่ืออิเล็กตรอนเปล่ียนวงโคจร โดยพลังงานท่ีอิเล็กตรอนดูดกลืนหรือคายจะปรากฏในรูปคล่ืน แม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถ่ี ������ ตามสมมติฐานของพลังค์ สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ได้ ดังสมการ ℎ������ = |∆������| = ������������������ − ������������������) 68. ครสู ุม่ ถามคาถามกับนักเรียนวา่ “รัศมีโบร์ คืออะไร” (แนวตอบ : รศั มีวงโคจรชน้ั ในสุดของอเิ ลก็ ตรอน สาหรับอะตอมไฮโดรเจน) 69. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการศึกษาร่วมกัน โดยครูอาจถามคาถามเพื่อให้นักเรียนได้เกิด กระบวนการคิดว่า “เมื่อธาตุแต่ชนิดได้รับพลังงานงานกระตุ้นจะมีการปล่อยพลังงานงานออกมา เรา สามารถอธิบายการเกิดสเปกตรัมทีเ่ กิดขึน้ ในกรณนี ้ีได้ว่าอยา่ งไร” ครทู ้ิงชว่ งเวลาใหน้ ักเรียนคดิ สกั ครูห่ นึ่ง 70. ครูนาอภิปรายว่า เม่ืออะตอมของธาตุใด ๆ ได้รับพลังงานจานวนหนึ่ง ทาให้อิเล็กตรอนที่อยู่ในวงโคจรหนึ่ง ๆ มีพลังงานสูงขึ้น อิเล็กตรอนจึงเคล่ือนท่ีจากสถานะพ้ืน (Ground state) ไปยังสถานะถูกกระตุ้น (Excited state) แต่อิเล็กตรอนท่ีอยู่ในสถานะถูกกระตนุ้ จะไม่เสถยี ร จึงเคลือ่ นท่ีกลับมายังสถานะพื้นหรือสถานะเดิมท่ี มีพลังงานตา่ กว่า พร้อมกับคายพลังงานออกมาในรูปพลังงานแสงสเปกตรัม 71. ครถู ามนักเรยี นวา่ นักเรียนรู้จะหน่วยอิเล็กตรอนโวลต์หรือไม่ คือหนว่ ยของปริมาณใดและมีคา่ เท่ากบั เท่าใดเม่ือ เทียบกบั หนว่ ยในระบบเอสไอ (แนวตอบ : หน่วยของพลังงานของอะตอม เม่ือเทยี บกับหน่วยของพลังงานในระบบเอสไอจะมีคา่ เท่ากับ 1.6 × 10-19 จูล) 72. ครูให้นักเรียนศึกษาความสัมพันธ์ของความยาวคลื่นแสงในสเปกตรัมเส้นสว่างของอะตอมไฮโดรเจน และ อนกุ รมเสน้ สเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน จากหนังสือเรยี น 73. นักเรียนและครรู ่วมกันสนทนาเกี่ยวกับอนุกรมเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจนจนได้ขอ้ สรุปตามตารางท่ี 6.2 จากหนงั สือเรียน ชัว่ โมงท่ี 4 ขน้ั สอน ข้นั เขา้ ใจ (Understanding) 1. ครใู หน้ ักเรยี นปิดหนังสือเรียน ครูอา่ นโจทย์หรือข้อคาถามจากตวั อย่างท่ี 6.11 ใหน้ กั เรียนจดลงในสมุดบันทึก ประจาตัว จากน้ันให้เวลานักเรียนสักครู่หน่ึงในการแสดงวิธีแก้โจทย์ปัญหาเพื่อหาคาตอบ เสร็จแล้วครูทา เชน่ เดมิ จากตวั อย่างที่ 6.12-6.13 จนนกั เรยี นแสดงวธิ ที าจนเสรจ็ ทกุ คน 2. ครูเดินตรวจคาตอบของนักเรียนทุกคน จากนั้นครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมาแสดงวิธีทาและอธิบายข้ันตอน การแก้โจทย์ปัญหาหน้าช้ันเรยี นคนละ 1 ขอ้ โดยครคู อยสอบถามนักเรยี นคนอื่น ๆ ว่ามใี ครท่ีแสดงวิธีทาต่าง จากบนกระดานบ้าง ถา้ มี ครูใหน้ กั เรียนคนนั้นออกมาอธิบายวธิ ีของตนเองหน้าช้ันเรยี น จากน้ันครูช้ีแนะและ อธบิ ายวธิ ีการที่ถูกต้อง
3. ครูใช้คาถามให้นักเรียนอธิบายสิ่งท่ีนักเรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับเรื่อง ระดับพลังงานของอะตอมตามสมมติฐาน ทัง้ 2 ข้อของโบร์ โดยครูสุ่มนักเรียนจานวนหนึง่ ออกมาหนา้ ห้องเพอ่ื อธบิ ายผลการศกึ ษาในแตล่ ะหวั ข้อ 4. เม่ือนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความเข้าใจของนักเรียนแล้ว ครูอาจยกตัวอย่างหรือปรับเปลี่ยน สถานการณ์จากตวั อย่างท่ีไดศ้ กึ ษา แล้วให้นักเรยี นอธบิ ายสงิ่ ท่ีเหมือนและส่งิ ที่แตกต่าง 5. ครูมอบหมายให้นักเรียนศึกษาทาความเข้าใจเกี่ยวกับระดบั พลังงานของอะตอมเพ่ิมเติมจากแบบฝึกหดั ฟิสกิ ส์ ม.6 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 6 ฟสิ กิ สอ์ ะตอม ขัน้ ลงมอื ทา้ (Doing) 9. ครูให้นักเรียนสรุปความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีอะตอมของโบร์ โดยสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบของผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) ลงในกระดาษ A4 พร้อมท้ังตกแต่งให้สวยงาม เสรจ็ แล้วนาส่งครเู พ่อื ตรวจใหค้ ะแนน 10. ครูสุ่มตัวแทนนกั เรยี นออกมานาเสนอผลงานของตนเองหน้าช้นั เรยี น ชว่ั โมงท่ี 5 ขน้ั สอน ขั้นรู้ (Knowing) 7. ครูชักชวนนักเรียนสนทนาเก่ียวกับนักวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนช่ืนชอบและรู้จัก โดยครูสุ่มถามนักเรียนเป็น รายบุคคลเพื่อให้นักเรียนไดน้ าเสนอชอื่ และขอ้ มูลของนกั วทิ ยาศาสตรใ์ นใจตนเอง 8. ครูมอบหมายให้นักเรียนใช้ส่ือดิจิทัลทั้งหลายในการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ เจมส์ ฟรังก์ (James Franck) และ กุสตาฟ เฮิรตซ์ (Gustav Hertz) โดยกาหนดให้เขียนข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับทั้ง 2 ท่าน ลงในกระดาษ A4 ให้ได้มาก ทีส่ ุดในเวลาท่ีครกู าหนด 9. ครถู ามนักเรียนว่า นกั เรยี นทราบขอ้ มูลของทั้ง 2 ท่านว่าอยา่ งไรบา้ ง และข้อมลู ใดท่ีมีสว่ นสาคญั และเกย่ี วขอ้ ง กับฟสิ กิ สอ์ ะตอมบา้ ง จากน้ันครูสุ่มนกั เรียนใหย้ ืนขึ้นแลว้ นาเสนอข้อมลู ทไี่ ด้ศกึ ษามาพร้อมทัง้ ตอบคาถามท่ีครู กาหนดให้ 10. ครูให้นักเรียนศึกษาเร่ือง การทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ จากหนังสือเรียน โดยจดบันทึกข้อมูลลงในสมุด บนั ทกึ ประจาตวั 11. นักเรียนร่วมกันตอบคาถาม Concept Question จากหนังสือเรียนที่ถามว่า “จากการทดลองของ ฟรังก์และ เฮริ ตซส์ ามารถคานวณเพ่ือใหไ้ ด้ค่าความยาวคล่นื แสงท่ีเปลง่ ออกมาจากไอปรอทได้อยา่ งไร” (แนวตอบ : สามารถหาได้โดยอาศัยสมมติฐานของพลังค์ จากสมการ ������ = ℎ������ ������ จะไดว้ ่า 4.9 eV = (6.626×10−34 J s)(3×108 m/s) ������ (6.626×10−34 J s)(3×108 m/s) ������ = (4.9 eV)(1.6×10−19 J/eV) = 253.5 nm ดังนั้น คา่ ความยาวคล่ืนแสงทเ่ี ปลง่ ออกมาจากไอปรอทมคี า่ เท่ากับ 253.5 นาโนเมตร) 12. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายจนได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ว่า นอกจากไอปรอท แล้ว นักวิทยาศาสตร์หลายท่านยังได้ทาการทดลองเพิ่มเติมโดยใช้ธาตุชนิดอื่น ซึ่งก็ให้ผลคล้ายคลึงกับไอ ปรอท คือ ในการชนระหว่างอิเล็กตรอนกับอะตอม อะตอมจะดูดกลืนพลังงานได้บางคา่ เท่านนั้ กล่าวได้ว่า พลงั งานของอะตอมมีค่าไม่ตอ่ เนอื่ ง เปน็ ไปตามสมมตฐิ านของโบร์
13. ครูถามคาถามกระตุ้นความสนใจกับนกั เรียนว่า นักเรียนรู้จักรังสีเอกซ์หรือไม่ และรังสีเอกซ์สามารถนาไปใช้ ประโยชน์อะไรไดบ้ ้างในชวี ิตประจาวนั จากน้นั ครสู ุ่มนกั เรียนเพ่อื ให้แสดงความคดิ เหน็ ของตนเอง 14. ครูถามคาถามกับนักเรียนต่อวา่ นักเรียนทราบหรือไม่ว่ารังสีเอกซ์มีท่ีมาอย่างไร โดยครูทิ้งช่วงเวลาให้นกั เรียน คดิ หาคาตอบสักครู่หน่ึง เพือ่ นาเขา้ สบู่ ทเรียน 15. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพ่อื นทนี่ ่ังข้าง ๆ จากน้ันร่วมกันศึกษา เรือ่ ง รังสีเอกซ์ จากหนังสือเรียน โดยจดบันทึก และสรปุ ความรู้ทไ่ี ด้ลงในสมดุ บนั ทึกประจาตวั 16. ครใู หน้ ักเรยี นปิดหนงั สือเรยี น ครูสมุ่ ตวั แทนนักเรียน 6 คน ให้พดู สมบตั ขิ องรงั สีเอกซ์จากหนังสือเรียนมาคนละ 1 ขอ้ ห้ามซา้ กัน เพอ่ื ทดสอบความกระตอื รอื ร้นและใสใ่ จในการศกึ ษา ช่ัวโมงที่ 6-7 ขน้ั สอน ข้นั รู้ (Knowing) 17. ครูให้นักเรียนคู่เดิมท่ีเคยร่วมกันศึกษา เร่ือง รังสีเอกซ์ ร่วมกันศึกษาเกี่ยวกับการเกิดรังสีเอกซ์ ซ่ึงมี กระบวนการเกิด 2 กระบวนการ คือ การเกิดรังสีเอกซ์ต่อเน่ือง และการเกิดรังสีเอกซ์เฉพาะตัว โดยครู มอบหมายให้แต่ละคู่แบ่งกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสารสนเทศคนละ 1 กระบวนการ จากน้ันนา ขอ้ มูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกันให้ได้เป็นผลการศึกษาของคู่ตนเอง พร้อมท้ังจดบันทึกข้อมูลและองค์ความรู้ท่ีได้ ลงในสมดุ บันทกึ ประจาตวั 18. ครูสุ่มนกั เรียนเพอ่ื ให้ความหมายของการเกดิ รังสีเอกซท์ ้งั 2 กระบวนการ 19. ครูให้นกั เรยี นแต่ละครู่ ว่ มกันศกึ ษาการเกดิ รงั สเี อกซจ์ ากหนงั สือเรียน 20. ครูให้นักเรียนจับกลุ่มกันอย่างอิสระ กลุ่มละ 3-4 คน ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเกยี่ วกบั การ วเิ คราะห์การเลี้ยวเบนรังสีเอกซจ์ ากแหลง่ ข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เช่น วารสารงานวิจยั ของทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต จากนั้นนาข้อมูลที่ได้มาทาเป็นรายงาน พร้อมท้ังตกแต่งให้สวยงาม เสรจ็ แลว้ ตวั แทนนกั เรียนเกบ็ รวบรวมนาส่งครู 21. นกั เรียนและครรู ว่ มกนั ศกึ ษาตัวอย่างท่ี 6.14-6.15 จากหนงั สอื เรียน โดยครคู อยสังเกตการณแ์ ละให้คาปรึกษา เมื่อนกั เรียนเกดิ ปญั หาหรอื สงสยั 22. ครชู ักชวนนกั เรียนสนทนาวา่ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์สามารถอธิบายสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจนและทาให้ ทราบถึงการจัดเรยี งตัวของอิเลก็ ตรอนในอะตอมไฮโดรเจนได้ แล้วถา้ เปน็ อะตอมของธาตุอื่น ๆ ยงั จะสามารถ ใชท้ ฤษฎอี ะตอมของโบรอ์ ธบิ ายและคานวณหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ได้เชน่ เดยี วกบั อะตอมไฮโดรเจนหรือไม่ 23. ครูใหน้ กั เรียนศึกษาเกย่ี วกบั ความไมส่ มบูรณ์ของทฤษฎอี ะตอมของโบรจ์ ากหนงั สอื เรียน
ชั่วโมงที่ 8 ขน้ั สอน ขน้ั เขา้ ใจ (Understanding) 1. ครใู ช้คาถามให้นักเรียนอธิบายสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับเร่ือง การทดลองของฟรงั ก์และเฮิรตซ์ รังสีเอกซ์ และความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎีอะตอมของโบร์ โดยครูสุ่มนักเรียนจานวนหนึ่งออกมาหน้าห้องเพ่ืออธบิ าย ผลการศึกษาในแตล่ ะหัวข้อ 2. เม่ือนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความเข้าใจของนักเรียนแล้ว ครูอาจยกตัวอย่างหรือปรับเปลี่ยน สถานการณ์จากตวั อย่างท่ีไดศ้ กึ ษา แลว้ ให้นักเรยี นอธบิ ายสง่ิ ทเี่ หมอื นและสงิ่ ที่แตกตา่ ง 3. ครูมอบหมายให้นักเรยี นศึกษาทาความเข้าใจเกีย่ วกบั การทดลองของฟรงั กแ์ ละเฮิรตซ์และรังสีเอกซ์ เพ่ิมเติม จากแบบฝกึ หดั ฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6 ฟสิ กิ สอ์ ะตอม ขั้นลงมอื ทา้ (Doing) 1. ครูให้นักเรียนสรปุ ความรู้เกยี่ วกับการทดลองของฟรังกแ์ ละเฮิรตซ์ รังสีเอกซ์ และความไมส่ มบูรณ์ของทฤษฎี อะตอมของโบร์ โดยสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบของแผ่นพับความรู้ ลงในกระดาษ A4 พร้อมทั้งตกแต่งให้ สวยงาม เสร็จแล้วนาส่งครเู พอ่ื ตรวจให้คะแนน 2. ครูแจกใบงานที่ 6.4 เร่ือง รังสีเอกซ์ ใหน้ ักเรียนคนละ 1 ชุด จากนั้นมอบหมายให้นักเรียนนากลับไปศึกษาเป็น การบ้าน เสร็จแล้วตัวแทนรวบรวมสง่ ครู 3. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อน แล้วร่วมกันศึกษาแบบฝึกหัด Topic Questions จากหนังสือเรียน โดยครู มอบหมายใหน้ ักเรยี นแตล่ ะคนเขยี นแสดงวิธีการแกโ้ จทย์ปญั หาลงในสมุดบันทึกประจาตวั ขน้ั สรปุ 1. ครูและนักเรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยให้นักเรียนอภิปรายสรุปความรู้เก่ียวกับทฤษฎีอะตอมของโบร์ ท่ีได้ ศกึ ษามาแล้วท้ังเนื้อหาและตัวอย่างจากหนงั สือเรียน และกิจกรรมที่นอกเหนือจากหนังสือเรียน พร้อมท้ังยก อยา่ งสถานการณท์ ่ีเกยี่ วข้องเพ่อื ทดสอบความเขา้ ใจ 2. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเน้ือหาที่ได้ศึกษาผ่านมาแล้วในส่วนท่ียังไม่เข้าใจหรือสงสัย จากนั้นครูให้ ความรู้เพิ่มเติมในส่วนน้ัน โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เรื่อง ทฤษฎีอะตอมของโบร์ มาเปิดให้นักเรียนดู ประกอบเพ่อื ชว่ ยในการอธบิ ายให้เข้าใจมากยง่ิ ขึน้ ขน้ั ประเมิน 10. ประเมินความรู้เก่ียวกับเร่ือง ทฤษฎีอะตอมของโบร์ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม การทาแบบฝกึ หัด และการสรุปสาระสาคญั 11. ประเมินทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากการคานวณเพ่ือหาค่าของปริมาณที่เกี่ยวข้องกับระดับ พลงั งานของอะตอมจากสถานการณ์ตา่ ง ๆ และจากตัวอย่างทค่ี รกู าหนดให้ 12. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น การทางาน รว่ มกบั ผู้อ่ืนอย่างสร้างสรรค์
9. สอื่ การเรยี นการสอน / แหลง่ เรยี นรู้ 1) หนังสอื เรียน รายวิชาเพมิ่ เตมิ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 1 2) แบบฝกึ หัด รายวชิ าเพ่มิ เติมวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟสิ ิกส์ ม.6 เล่ม 1 10. การวดั ผลและประเมนิ ผล รายการวดั วธิ วี ัด เครอื่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน 10.1 การประเมินระหวา่ ง - ตรวจใบงานท่ี 9 - ใบงานท่ี 9 - ร้อยละ 60 ผา่ น การจดั กจิ กรรม - ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝกึ หัด เกณฑ์ 1) ทฤษฎอี ะตอมของ - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ โบร์ 2) การนาเสนอ - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบประเมนิ การ - ระดบั คณุ ภาพ 2 ผลงาน ผลงาน นาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์ 3) พฤติกรรมการ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภาพ 2 ทางานรายบุคคล การทางาน การทางาน ผ่านเกณฑ์ รายบคุ คล รายบุคคล 4) พฤตกิ รรมการ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2 ทางานกลุม่ การทางานกลุ่ม การทางานกลมุ่ ผา่ นเกณฑ์ 5) คุณลักษณะ - สงั เกตความมีวนิ ัย - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพ 2 อันพงึ ประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมน่ั คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์ ในการทางาน อนั พึงประสงค์ ลงช่อื ..................................................ผสู้ อน (............................................)
ใบงานที่ 9 เร่ือง รังสีเอกซ์ ค้าช้แี จง : ใหน้ ักเรยี นตอบค้าถามต่อไปนี้ 1. ใครเปน็ ผนู้ พบรงั สเี อกซ์และใชเ้ คร่อื งมือใดในการทดลอง 2. รังสเี อกซ์ประพฤติตัวเป็นคลื่นหรอื อนุภาค เพราะเหตุใด 3. การเกดิ รังสเี อกซ์มีกก่ี ระบวนการ อะไรบา้ ง 4. ทดลองให้ความต่างศักย์ไฟฟ้าขนาด 40,000 โวลต์ แก่อิเล็กตรอน แล้วทาให้อิเล็กตรอนพุ่งไปชนเป้าโลหะทังสเตน ความยาวคล่นื ตา่ สดุ ของรงั สเี อกซท์ ีไ่ ด้จากการทดลองคร้งั นี้จะมีค่าเทา่ ใด 5. จะต้องให้ความต่างศักย์แก่หลอดรังสีแคโทดขนาดเท่าใด หากต้องการให้เกิดรังสีเอกซ์ที่มีความยาวคล่ืนเท่ากับ 10- 11 เมตร
ใบงานท่ี 9 เฉลย เร่ือง รงั สีเอกซ์ คา้ ชแ้ี จง : ให้นักเรยี นตอบค้าถามตอ่ ไปนี้ 1. ใครเปน็ ผู้นพบรังสีเอกซ์และใช้เครือ่ งมอื ใดในการทดลอง วลิ เฮล์ม คอนราด เรินต์เกน ใชห้ ลอดรงั สีแคโทดในการทดลอง ทาให้เขาเป็นผู้ค้นบรงั สีเอกซ์เป็นครง้ั แรก 2. รงั สเี อกซ์ประพฤตติ วั เปน็ คลื่นหรอื อนภุ าค เพราะเหตุใด รังสีเอกซ์สมารถประพฤติตัวเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาค เนื่องจากรังสีเอกซ์สามารถแสดงคุณสมบัติ การ สะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการเล้ียวเบนได้ ซ่ึงเป็นคุณสมบัติองคลื่น นอกจากนี้รังสีเอกซ์ยังมีโมเมนตัม เหมอื นอนุภาคทั่วไป 3. การเกิดรังสีเอกซ์มกี ก่ี ระบวนการ อะไรบา้ ง มี 2 กระบนการ ได้แก่ การเกดิ รังสเี อกซต์ ่อเนื่อง และการเกิดรังสีเอกซเ์ ฉพาะตวั 4. ทดลองให้ความต่างศักย์ไฟฟ้าขนาด 40,000 โวลต์ แก่อิเล็กตรอน แล้วทาให้อิเล็กตรอนพุ่งไปชนเป้าโลหะทังสเตน ความยาวคล่นื ตา่ สุดของรงั สีเอกซ์ทไี่ ด้จากการทดลองครง้ั นี้จะมีคา่ เทา่ ใด วธิ ีทา้ จากสมการ ������min = ℎ������ ������������ ������min = (6.626 × 10−34 J s)(3 × 108 m/s) (1.6 × 10−19 C)(40,000 V) ������min = 0.194 nm ดังน้ัน ความยาวคลน่ื ต่าสุดของรงั สีเอกซ์ท่ีได้จากการทดลองครง้ั นี้จะมคี ่าเทา่ กับ 0.194 นาโนเมตร 5. จะต้องให้ความต่างศักย์แก่หลอดรังสีแคโทดขนาดเท่าใด หากต้องการให้เกิดรังสีเอกซ์ที่มีความยาวคล่ืนเท่ากับ 10- 11 เมตร วิธีทา้ จากสมการ ������min = ℎ������ ������������ 10−11 m = (6.626 × 10−34 J s)(3 × 108 m/s) (1.6 × 10−19 C)������ ������ = 1.24 × 10−6 J m/C 10−11 m ������ = 124,000 V ดังนน้ั จะต้องให้ความตา่ งศักย์แก่หลอดรังสีแคโทดขนาด 124,000 โวลต์
แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรอื่ ง ฟิสกิ สอ์ ะตอม แผนจัดการเรียนร้ทู ่ี 10 เรอ่ื ง ทฤษฎีอะตอมของโบร์ รายวชิ า ฟิสิกส์ รหสั วชิ า ว33206 ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6/1 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2563 น้าหนักเวลาเรียน 80 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ เวลาทใ่ี ชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 8 ชวั่ โมง .......................................................................................................................................................... 1. ผลการเรยี นรู้ อธิบายสมมติฐานของพลังค์ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ และการเกิดเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน รวมทั้งคานวณปรมิ าณต่าง ๆ ที่เกย่ี วข้อง 2. จุดประสงค์ 1. อธิบายโครงสร้างและการเกิดสเปกตรมั ของอะตอมไฮโดรเจนตามสมมติฐานของโบรไ์ ด้ (K) 2. คานวณหารศั มวี งโคจรของอเิ ล็กตรอนและพลังงานอะตอมของไฮโดรเจนได้ (P) 3. มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ งานท่ไี ด้รับมอบหมาย และปฏบิ ัตงิ านตรงตามเวลาที่ครูกาหนด (A) 3. สาระสา้ คญั โบร์ได้เสนอแบบจาลองอะตอมของไฮโดรเจนโดยอาศัยกลศาสตร์ควอนตัมมาใช้กับแบบจาลองอะตอมของ รทั เทอรฟ์ อรด์ โดยสมมติฐานของโบรส์ ามารถสรุปได้เปน็ 2 ขอ้ ดงั น้ี 3) สมมติฐานข้อที่ 1 อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบนิวเคลียสในวงโคจรบางวงได้โดยไม่แผ่คลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าออกมา เรียกสถานะนี้ว่า สถานะคงตัว สามารถคานวณหาโมเมนตัมเชิงมุมของวงโคจรได้ ดังสมการ ������ = ������������������������������ = ������ℏ 4) สมมติฐานข้อที่ 2 อิเล็กตรอนจะดูดกลืนหรือคายพลังงานทุกครั้งเมื่อเกิดการเปลี่ยนวงโคจร โดยพลังงาน ดังกล่าวจะปรากฏในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่เป็นไปตามสมมติฐานของพลังค์ ดังสมการ ℎ������ = |∆������| = ������������������ − ������������������ ฟรังก์และเฮิรตซ์ได้ทาการทดลองเพื่อสนับสนุนทฤษฎีอะตอมของโบร์ โดยใช้ชุดการทดลองที่ปรับพลังงานจลน์ ของอิเล็กตรอนให้เคล่ือนท่ีไปชนกับไอปรอทเพ่ือที่จะศึกษาการรับพลังงานของอะตอม พบว่า ถ้าพลังงานจลน์ของ อิเล็กตรอนน้อยกว่า 4.9 อิเล็กตรอนโวลต์ อิเล็กตรอนจะไม่สูญเสียพลังงานจลน์เลย และหลังจากนั้นได้มี นักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้ทาการทดลองเพ่ิมเติม เม่ือได้ทาการทดลองกบั ธาตุชนิดอื่นก็ได้ผลคลา้ ยคลึงกับปรอท กล่าว ได้ว่า พลังงานของอะตอมมีคา่ ไม่ตอ่ เน่ือง ซงึ่ เป็นไปตามสมมตฐิ านของโบร์ เรนิ เกนต์ไดค้ น้ พบรังสเี อกซ์โดยบงั เอิญ โดยสามารถสรุปสมบัติของรงั สีเอกซ์ได้ ดงั น้ี รังสีเอกซ์เปน็ ทั้งคล่ืนและอนุภาค รังสีเอกซ์เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า รังสีเอกซ์ปกระกอบด้วยรังสีที่มีความยาวคลื่นแตกต่างกันมาก รังสีเอกซ์สามารถทะลุ ผ่านวัตถุที่ไม่หนามากได้ รังสีเอกซ์สามารถทาให้อากาศแตกตัวเป็นไอออนได้ ซึง่ การเกิดรงั สีเอกซ์จะมี 2 กระบวนการ คือ การเกิดรังสีเอกซ์ตอ่ เน่ือง และการเกิดรังสเี อกซ์เฉพาะตวั 4. สมรรถนะสา้ คญั ของนกั เรยี น 1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
5. คุณลกั ษณะของวิชา - กระบวนการกลุ่ม - ความรบั ผิดชอบ - ความรอบคอบ 6. คณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค์ 1. มวี ินยั 2. ใฝเ่ รียนรู้ 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน - ใบงานที่ 9 เรอื่ ง สเปกตรัมของอะตอม 8. กจิ กรรมการเรียนรู้ ช่ัวโมงท่ี 1-2 ขน้ั นา ข้นั การใชค้ วามร้เู ดิมเชื่อมโยงความรใู้ หม่ (Prior Knowledge) 1. ครูชกั ชวนนักเรียนสนทนาทบทวนความรูเ้ กี่วกับแบบจาลองอะตอมของทอมสนั และแบบจาลองอะตอมของ รทั พเทอรฟ์ อรด์ โดยสุม่ นักเรยี นเพอ่ื ให้อธบิ ายโครงสรา้ งและลักษณะพอสังเขป 2. ครใู ช้คาถามเพื่อถามทบทวนความรเู้ ดมิ ของนักเรียน เชน่ a. สเปกตรมั ของแสงขาวมกี สี่ ี อะไรบ้าง (แนวตอบ : มี 7 สี ได้แก่ แสงสีม่วง แสงสีคราม แสงสีน้าเงิน แสงสีเขียว แสงสีเหลือง แสงสีแสด และ แสงสแี ดง) b. แสงสใี ดในสเปกตรัมของแสงขาวมคี วามยาวคลนื่ มากท่สี ดุ และน้อยท่สี ดุ (แนวตอบ : แสงสแี ดงมีความยาวคลื่นมาสดุ และแสงสีมว่ งมคี วามยาวคล่ืนนอ้ ยท่ีสุด) c. ค่าคงตัวของพลังค์ (Plank’s constant) มคี ่าเท่าใด (แนวตอบ : 6.626 × 10-34 จูล วินาท)ี 3. ครูถามคาถาม Key Question กบั นกั เรียนว่า “เหตุใดอิเล็กตรอนจึงเคล่ือนทร่ี อบ ๆ นิวเคลยี สได้โดยไม่ถูกดูด เข้าไปในนิวเคลียส” โดยนักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับคาตอบของคาถามเพื่อ เชื่อมโยงเขา้ ส่เู นือ้ หาท่กี าลงั จะศึกษาเรยี นรู้ตอ่ ไป (แนวตอบ : พลังงานศักย์ไฟฟ้าซ่ึงเกิดจากแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้ามีค่าน้อยกว่าพลังงานจลน์ของ อิเล็กตรอนมาก อิเลก็ ตรอนจงึ ถกู ยดึ เหนย่ี วไว้ในวงโคจรรอบนิวเคลียส) ขน้ั สอน
ขัน้ รู้ (Knowing) 1. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนท่ีนั่งข้าง ๆ แล้วร่วมกันศึกษา เร่ือง ระดับพลังงานของอะตอม โดยนักเรียนทุกคน จะต้องจดบันทึกความรู้ที่ได้จากการศึกษาลงในสมุดบันทึกประจาตัว จากน้ันแต่ละคู่ร่วมกันอภิปรายผล การศึกษาเพือ่ ให้ได้ขอ้ สรุปรว่ มกนั 2. ครสู ุ่มนกั เรียนเพ่ือถามคาถามว่า “สถานะคงตวั คืออะไร” โดยสุม่ นักเรยี นประมาณ 3-4 คน เพอ่ื ดูแนวคาตอบ (แนวตอบ : สถานะที่อิเล็กกตรอนเคลื่อนท่ีเป็นวงกลมรอบนิวเคลียสในวงโคจรบางวงโดยไม่แผ่รังสีคลื่น แม่เหล็กไฟฟา้ ออกมา โดยในวงโคจรนโี้ มเมนตัมเชิงมมุ ของอิเลก็ ตรอนจะมีค่าคงตวั เป็นจานวนเท่าของอนภุ าค มูลฐาน) 3. ครเู ปดิ วดี ทิ ศั นจ์ ากสอ่ื ดิจิทลั เชน่ YouTube ท่ีมีเนอ้ื หาสาระเก่ียวกบั แบบจาลองอะตอมของโบร์ใหน้ กั เรยี นได้ ศกึ ษาหาองค์ความรู้เพ่ิมเตมิ จากนน้ั ครูอาจสมุ่ ถามความรทู้ ี่ไดจ้ ากการศกึ ษาส่ือดิจทิ ลั นี้ 4. ครูให้นกั เรียนจับค่กู ับเพื่อนที่นงั่ ข้าง ๆ จากนัน้ ร่วมกนั ศึกษาตัวอย่างที่ 6.9-6.10 จากหนงั สือเรียน โดยครเู น้น ย้ากับนักเรียนว่า เมื่อศึกษาตัวอย่างนี้เสร็จแล้ว นักเรียนจะต้องสามารถอธิบายสมมติฐานข้อที่ 1 ของโบร์ได้ เพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจให้นักเรียนกระตือรือร้นที่จะต้องพยายามทาความเข้าใจจากโจทยป์ ัญหาหรือ ข้อคาถามมากข้ึน 5. ครูคอยสังเกตการณ์และสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนเป็นรายบุคคล เม่ือครบเวลาที่ครูกาหนดแล้ว ครูสุ่ม ตัวแทนนักเรียนจากการสังเกตพฤติกรรมความสนใจและความต้ังใจในการศึกษาตัวอย่าง โดยให้นักเรียน ออกมาอธิบายวธิ ีการหรือขั้นตอนการแสดงวิธีแกโ้ จทย์ปญั หาเพื่อหาคาตอบบนกระดานหนา้ ชั้นเรียน 6. ครูนาข้อคาถามหรือโจทย์ปัญหาเพ่ิมเติมซึ่งนอกเหนือจากหนังสือเรียนมาให้นักเรียนได้ศึกษาและทาความ เขา้ ใจมากข้นึ 7. ครขู ออาสาสมคั รตัวแทนนักเรยี นออกมาหนา้ ชน้ั เรยี นเพื่ออภิปรายผลการศกึ ษาเก่ยี วกบั สมมตฐิ านข้อท่ี 1 ของ โบร์ ในกรณที ่ีไมม่ ีนกั เรียนคนใดออกมา ครูอาจเพมิ่ เง่ือนไขของการเปน็ ตัวแทนดว้ ยการใหค้ ะแนนพิเศษ ช่ัวโมงที่ 3 ขน้ั สอน ขนั้ รู้ (Knowing) 8. ครูถามคาถามทบทวนความรู้ท่ีได้ศึกษามาแล้วเพ่ือเช่ือมโยงเข้าสู่เนื้อหาใหม่ว่า “สมมติฐานข้อที่ 1 ของโบร์ มุ่งเนน้ ศึกษาและอธบิ ายเกีย่ วกบั สิง่ ใด” (แนวตอบ : สมมติฐานข้อที่ 1 ของโบร์ มุ่งเน้นศึกษาเก่ียวกับการที่อิเล็กตรอนเคล่ือนท่ีเป็นวงกลมรอบ นิวเคลียสในบางวงโคจรได้โดยไม่แผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา โมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนจะมี ค่าเปน็ จานวนเท่าของอนุภาคมูลฐาน ดังสมการ ������ = ������������������������������ = ������ℏ) 9. ครใู ห้นกั เรียนคเู่ ดิมทเี่ คยร่วมกันศึกษาเกี่ยวกบั สมมติฐานขอ้ ท่ี 1 ของโบร์ รว่ มกนั ศกึ ษาสมมติฐานข้อท่ี 2 ของ โบร์ จากหนังสือเรียน
10. ครูสังเกตพฤติกรรมนักเรียนรายบุคคล โดยสุ่มนักเรียนท่ีไม่ค่อยมีสมาธิหรือไม่กระตือรือร้นในการศกึ ษา จากน้ันถามคาถามกับนักเรียนวา่ “สมมติฐานข้อท่ี 2 ของโบร์ ม่งุ เนน้ ศึกษาและอธบิ ายเกี่ยวกบั สง่ิ ใด” (แนวตอบ : สมมติฐานข้อท่ี 2 ของโบร์ มุ่งเน้นศึกษาเกี่ยวกับการท่ีอิเล็กตรอนจะดูดกลืนหรือคายพลงั งานทกุ คร้ังเมื่ออิเล็กตรอนเปลี่ยนวงโคจร โดยพลังงานที่อิเล็กตรอนดูดกลืนหรือคายจะปรากฏในรูปคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ ������ ตามสมมติฐานของพลังค์ สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ได้ ดังสมการ ℎ������ = |∆������| = ������������������ − ������������������) 11. ครสู ุ่มถามคาถามกับนักเรยี นวา่ “รศั มโี บร์ คอื อะไร” (แนวตอบ : รศั มีวงโคจรช้ันในสดุ ของอเิ ลก็ ตรอน สาหรบั อะตอมไฮโดรเจน) 12. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการศึกษาร่วมกัน โดยครูอาจถามคาถามเพื่อให้นักเรียนได้เกิด กระบวนการคิดว่า “เมื่อธาตุแต่ชนิดได้รับพลังงานงานกระตุ้นจะมีการปล่อยพลังงานงานออกมา เรา สามารถอธบิ ายการเกดิ สเปกตรัมท่ีเกิดขน้ึ ในกรณีนีไ้ ด้วา่ อยา่ งไร” ครทู ้งิ ช่วงเวลาใหน้ ักเรียนคิดสักครู่หนึง่ 13. ครูนาอภิปรายว่า เมื่ออะตอมของธาตุใด ๆ ได้รับพลังงานจานวนหนึ่ง ทาให้อิเล็กตรอนท่ีอยู่ในวงโคจรหน่ึง ๆ มีพลังงานสูงขึ้น อิเล็กตรอนจึงเคลื่อนที่จากสถานะพื้น (Ground state) ไปยังสถานะถูกกระตุ้น (Excited state) แต่อิเล็กตรอนท่ีอยู่ในสถานะถูกกระตุ้นจะไม่เสถยี ร จงึ เคลื่อนท่ีกลับมายังสถานะพื้นหรือสถานะเดิมท่ี มีพลังงานต่ากว่า พร้อมกับคายพลังงานออกมาในรูปพลังงานแสงสเปกตรมั 14. ครถู ามนักเรยี นว่า นักเรียนรู้จะหน่วยอิเล็กตรอนโวลต์หรือไม่ คอื หน่วยของปรมิ าณใดและมีคา่ เท่ากับเท่าใดเมื่อ เทียบกับหนว่ ยในระบบเอสไอ (แนวตอบ : หนว่ ยของพลังงานของอะตอม เมื่อเทยี บกับหน่วยของพลงั งานในระบบเอสไอจะมีค่าเท่ากับ 1.6 × 10-19 จลู ) 15. ครูให้นักเรียนศึกษาความสัมพันธ์ของความยาวคล่ืนแสงในสเปกตรัมเส้นสว่างของอะตอมไฮโดรเจน และ อนุกรมเสน้ สเปกตรมั ของอะตอมไฮโดรเจน จากหนังสือเรียน 16. นักเรยี นและครรู ่วมกันสนทนาเกี่ยวกับอนุกรมเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจนจนได้ข้อสรุปตามตารางที่ 6.2 จากหนังสือเรียน ชวั่ โมงที่ 4 ขน้ั สอน ขัน้ เขา้ ใจ (Understanding) 1. ครูใหน้ ักเรียนปิดหนังสือเรียน ครูอา่ นโจทย์หรือข้อคาถามจากตวั อยา่ งท่ี 6.11 ให้นักเรียนจดลงในสมดุ บันทึก ประจาตัว จากนั้นให้เวลานักเรียนสักครู่หน่ึงในการแสดงวิธีแก้โจทย์ปัญหาเพ่ือหาคาตอบ เสร็จแล้วครูทา เช่นเดมิ จากตัวอย่างท่ี 6.12-6.13 จนนกั เรยี นแสดงวิธที าจนเสรจ็ ทุกคน 2. ครูเดินตรวจคาตอบของนักเรียนทุกคน จากน้ันครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมาแสดงวิธีทาและอธิบายข้ันตอน การแกโ้ จทย์ปัญหาหนา้ ชั้นเรยี นคนละ 1 ข้อ โดยครูคอยสอบถามนักเรยี นคนอ่ืน ๆ ว่ามใี ครที่แสดงวิธที าต่าง จากบนกระดานบ้าง ถ้ามี ครูให้นกั เรียนคนนั้นออกมาอธิบายวธิ ีของตนเองหน้าชัน้ เรยี น จากนัน้ ครูชแี้ นะและ อธบิ ายวธิ ีการทถ่ี กู ต้อง 3. ครูใช้คาถามให้นักเรียนอธิบายสิ่งท่ีนักเรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับเร่ือง ระดับพลังงานของอะตอมตามสมมติฐาน ทงั้ 2 ขอ้ ของโบร์ โดยครสู ุ่มนักเรยี นจานวนหน่งึ ออกมาหนา้ ห้องเพ่ืออธบิ ายผลการศึกษาในแต่ละหัวขอ้
4. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความเข้าใจของนักเรียนแล้ว ครูอาจยกตัวอย่างหรือปรับเปล่ียน สถานการณจ์ ากตวั อย่างท่ไี ด้ศกึ ษา แล้วใหน้ กั เรยี นอธบิ ายส่งิ ที่เหมอื นและส่ิงทแ่ี ตกตา่ ง 5. ครูมอบหมายให้นักเรียนศึกษาทาความเขา้ ใจเกย่ี วกับระดับพลังงานของอะตอมเพ่ิมเติมจากแบบฝึกหัด ฟิสิกส์ ม.6 เล่ม 2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 6 ฟสิ ิกส์อะตอม ข้ันลงมือทา้ (Doing) 1. ครูให้นักเรียนสรุปความรู้เก่ียวกับทฤษฎีอะตอมของโบร์ โดยสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบของผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) ลงในกระดาษ A4 พร้อมท้งั ตกแต่งใหส้ วยงาม เสรจ็ แล้วนาส่งครเู พ่ือตรวจใหค้ ะแนน 2. ครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมานาเสนอผลงานของตนเองหน้าชน้ั เรยี น ชั่วโมงท่ี 5 ขน้ั สอน ขั้นรู้ (Knowing) 1. ครูชักชวนนักเรียนสนทนาเก่ียวกับนักวิทยาศาสตร์ท่ีนักเรียนชื่นชอบและรู้จัก โดยครูสุ่มถามนักเรียนเป็น รายบคุ คลเพอื่ ใหน้ ักเรียนได้นาเสนอช่ือและข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ในใจตนเอง 2. ครูมอบหมายให้นักเรียนใช้สื่อดิจิทัลทั้งหลายในการสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับ เจมส์ ฟรังก์ (James Franck) และ กุสตาฟ เฮิรตซ์ (Gustav Hertz) โดยกาหนดให้เขียนข้อมูลที่เก่ียวข้องกับท้ัง 2 ท่าน ลงในกระดาษ A4 ให้ได้มาก ทสี่ ุดในเวลาทคี่ รกู าหนด 3. ครูถามนักเรยี นว่า นกั เรยี นทราบขอ้ มลู ของทั้ง 2 ทา่ นวา่ อยา่ งไรบ้าง และขอ้ มูลใดทมี่ ีส่วนสาคัญและเก่ยี วขอ้ ง กับฟสิ กิ ส์อะตอมบา้ ง จากนั้นครสู มุ่ นักเรียนให้ยืนข้ึนแล้วนาเสนอข้อมูลทไ่ี ด้ศกึ ษามาพรอ้ มทั้งตอบคาถามทีค่ รู กาหนดให้ 4. ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่อง การทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ จากหนังสือเรียน โดยจดบันทึกข้อมูลลงในสมุด บันทึกประจาตวั 5. นักเรียนร่วมกันตอบคาถาม Concept Question จากหนังสือเรียนที่ถามว่า “จากการทดลองของ ฟรังก์และ เฮิรตซ์สามารถคานวณเพื่อให้ได้ค่าความยาวคล่ืนแสงทเ่ี ปล่งออกมาจากไอปรอทไดอ้ ย่างไร” (แนวตอบ : สามารถหาไดโ้ ดยอาศยั สมมตฐิ านของพลังค์ จากสมการ ������ = ℎ������ ������ จะไดว้ า่ 4.9 eV = (6.626×10−34 J s)(3×108 m/s) ������ (6.626×10−34 J s)(3×108 m/s) ������ = (4.9 eV)(1.6×10−19 J/eV) = 253.5 nm ดงั น้ัน ค่าความยาวคลน่ื แสงทเี่ ปล่งออกมาจากไอปรอทมีคา่ เทา่ กบั 253.5 นาโนเมตร) 6. นกั เรียนและครูร่วมกันอภิปรายจนได้ข้อสรุปเก่ียวกับการทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ว่า นอกจากไอปรอท แล้ว นักวิทยาศาสตร์หลายท่านยังได้ทาการทดลองเพิ่มเติมโดยใช้ธาตุชนิดอื่น ซึ่งก็ให้ผลคล้ายคลึงกับไอ ปรอท คือ ในการชนระหว่างอิเล็กตรอนกับอะตอม อะตอมจะดูดกลืนพลังงานได้บางคา่ เท่าน้นั กล่าวไดว้ ่า พลังงานของอะตอมมคี า่ ไม่ต่อเนือ่ ง เป็นไปตามสมมติฐานของโบร์ 7. ครูถามคาถามกระตุ้นความสนใจกับนักเรียนว่า นกั เรียนรู้จักรังสีเอกซ์หรอื ไม่ และรังสีเอกซ์สามารถนาไปใช้ ประโยชนอ์ ะไรไดบ้ ้างในชวี ิตประจาวัน จากนนั้ ครสู ุม่ นกั เรียนเพือ่ ให้แสดงความคดิ เหน็ ของตนเอง
8. ครูถามคาถามกบั นักเรียนต่อวา่ นักเรียนทราบหรอื ไม่ว่ารังสีเอกซม์ ที ่ีมาอย่างไร โดยครูท้ิงชว่ งเวลาใหน้ ักเรียน คดิ หาคาตอบสกั ครหู่ นง่ึ เพื่อนาเข้าสบู่ ทเรียน 9. ครูให้นักเรียนจับคกู่ ับเพือ่ นท่ีนั่งข้าง ๆ จากน้ันร่วมกันศึกษา เรอ่ื ง รังสีเอกซ์ จากหนังสือเรียน โดยจดบันทึก และสรุปความร้ทู ่ไี ด้ลงในสมดุ บนั ทึกประจาตวั 10. ครใู หน้ ักเรียนปิดหนงั สือเรียน ครูสุ่มตัวแทนนักเรียน 6 คน ให้พดู สมบัตขิ องรงั สีเอกซจ์ ากหนังสือเรียนมาคนละ 1 ขอ้ หา้ มซา้ กนั เพอื่ ทดสอบความกระตอื รือรน้ และใสใ่ จในการศึกษา ชว่ั โมงท่ี 6-7 ขน้ั สอน ขน้ั รู้ (Knowing) 11. ครูให้นักเรียนคู่เดิมท่ีเคยร่วมกันศึกษา เร่ือง รังสีเอกซ์ ร่วมกันศึกษาเก่ียวกับการเกิดรังสีเอกซ์ ซ่ึงมี กระบวนการเกิด 2 กระบวนการ คือ การเกิดรังสีเอกซ์ต่อเนื่อง และการเกิดรังสีเอกซ์เฉพาะตัว โดย ครู มอบหมายให้แต่ละคู่แบ่งกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสารสนเทศคนละ 1 กระบวนการ จากน้ันนา ข้อมูลท่ีได้มาอภิปรายร่วมกันให้ได้เป็นผลการศึกษาของคู่ตนเอง พร้อมท้ังจดบันทึกข้อมูลและองค์ความรู้ท่ีได้ ลงในสมดุ บนั ทึกประจาตัว 12. ครสู ่มุ นกั เรยี นเพ่ือให้ความหมายของการเกดิ รงั สเี อกซท์ ้ัง 2 กระบวนการ 13. ครูให้นกั เรยี นแตล่ ะคู่ร่วมกนั ศกึ ษาการเกิดรงั สเี อกซจ์ ากหนงั สอื เรยี น 14. ครูให้นักเรียนจับกลุ่มกันอย่างอิสระ กลุ่มละ 3-4 คน ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเกย่ี วกับการ วิเคราะห์การเลีย้ วเบนรงั สเี อกซจ์ ากแหลง่ ข้อมูลสารสนเทศตา่ ง ๆ เช่น วารสารงานวิจัยของท้ังในประเทศไทย และต่างประเทศ ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต จากน้ันนาข้อมูลท่ีได้มาทาเป็นรายงาน พร้อมท้ังตกแต่งให้สวยงาม เสรจ็ แลว้ ตัวแทนนักเรียนเกบ็ รวบรวมนาสง่ ครู 15. นักเรียนและครูรว่ มกันศกึ ษาตวั อย่างที่ 6.14-6.15 จากหนงั สือเรียน โดยครูคอยสังเกตการณ์และใหค้ าปรึกษา เมอ่ื นักเรียนเกิดปญั หาหรอื สงสัย 16. ครูชักชวนนักเรยี นสนทนาวา่ ทฤษฎีอะตอมของโบร์สามารถอธิบายสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจนและทาให้ ทราบถึงการจัดเรียงตัวของอิเลก็ ตรอนในอะตอมไฮโดรเจนได้ แล้วถา้ เป็นอะตอมของธาตอุ ืน่ ๆ ยงั จะสามารถ ใชท้ ฤษฎีอะตอมของโบร์อธบิ ายและคานวณหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ได้เชน่ เดยี วกบั อะตอมไฮโดรเจนหรอื ไม่ 17. ครูใหน้ กั เรยี นศกึ ษาเก่ียวกับความไมส่ มบูรณ์ของทฤษฎอี ะตอมของโบรจ์ ากหนงั สือเรยี น ช่วั โมงที่ 8 ขน้ั สอน ขน้ั เขา้ ใจ (Understanding)
1. ครใู ชค้ าถามใหน้ ักเรียนอธบิ ายส่ิงที่นักเรียนไดเ้ รียนรู้เก่ียวกับเรื่อง การทดลองของฟรงั ก์และเฮิรตซ์ รังสีเอกซ์ และความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎีอะตอมของโบร์ โดยครูสุ่มนักเรียนจานวนหน่ึงออกมาหน้าห้องเพ่ืออธบิ าย ผลการศึกษาในแต่ละหวั ข้อ 4. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความเข้าใจของนักเรียนแล้ว ครูอาจยกตัวอย่างหรือปรับเปลี่ยน สถานการณ์จากตัวอย่างท่ีได้ศกึ ษา แลว้ ให้นักเรียนอธิบายสิง่ ทเ่ี หมือนและส่งิ ทแ่ี ตกต่าง 5. ครูมอบหมายให้นักเรยี นศึกษาทาความเขา้ ใจเกยี่ วกบั การทดลองของฟรงั กแ์ ละเฮริ ตซแ์ ละรังสีเอกซ์ เพิ่มเติม จากแบบฝึกหดั ฟิสิกส์ ม.6 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 ฟิสิกส์อะตอม ขน้ั ลงมอื ทา้ (Doing) 1. ครูให้นักเรียนสรุปความรู้เกี่ยวกับการทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ รังสีเอกซ์ และความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎี อะตอมของโบร์ โดยสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบของแผ่นพับความรู้ ลงในกระดาษ A4 พร้อมท้ังตกแต่งให้ สวยงาม เสร็จแลว้ นาสง่ ครเู พือ่ ตรวจใหค้ ะแนน 2. ครูแจกใบงานท่ี 6.4 เร่ือง รังสีเอกซ์ ให้นักเรียนคนละ 1 ชุด จากนั้นมอบหมายให้นักเรียนนากลับไปศึกษาเป็น การบ้าน เสรจ็ แล้วตัวแทนรวบรวมส่งครู 3. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อน แล้วร่วมกันศึกษาแบบฝึกหัด Topic Questions จากหนังสือเรียน โดยครู มอบหมายใหน้ ักเรียนแต่ละคนเขียนแสดงวธิ กี ารแกโ้ จทยป์ ญั หาลงในสมุดบนั ทกึ ประจาตวั ขน้ั สรุป 3. ครูและนักเรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยให้นักเรียนอภิปรายสรุปความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีอะตอมของโบร์ ที่ได้ ศกึ ษามาแล้วท้ังเน้ือหาและตัวอย่างจากหนังสือเรยี น และกิจกรรมที่นอกเหนอื จากหนังสอื เรยี น พร้อมทั้งยก อยา่ งสถานการณ์ท่เี กีย่ วข้องเพอ่ื ทดสอบความเขา้ ใจ 4. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได้ศึกษาผ่านมาแล้วในส่วนที่ยังไม่เข้าใจหรือสงสัย จากนั้นครูให้ ความรู้เพ่ิมเติมในส่วนน้ัน โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เร่ือง ทฤษฎีอะตอมของโบร์ มาเปิดให้นักเรียนดู ประกอบเพื่อช่วยในการอธิบายใหเ้ ข้าใจมากยงิ่ ขึ้น ขน้ั ประเมนิ 2. ประเมินความรู้เกี่ยวกับเร่ือง ทฤษฎีอะตอมของโบร์ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม การทาแบบฝกึ หดั และการสรุปสาระสาคญั 3. ประเมินทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากการคานวณเพ่ือหาค่าของปริมาณที่เก่ียวข้องกับระดับ พลังงานของอะตอมจากสถานการณต์ ่าง ๆ และจากตวั อยา่ งที่ครูกาหนดให้ 4. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น การทางาน รว่ มกับผู้อืน่ อย่างสรา้ งสรรค์ 9. ส่ือการเรยี นการสอน / แหลง่ เรยี นรู้ 1) หนงั สือเรยี น รายวิชาเพิม่ เตมิ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟสิ กิ ส์ ม.6 เล่ม 1 2) แบบฝึกหัด รายวชิ าเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟสิ กิ ส์ ม.6 เลม่ 1
10. การวัดผลและประเมนิ ผล วธิ ีวดั เครอื่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน รายการวัด - ตรวจใบงานที่ 9 - ใบงานท่ี 9 - ร้อยละ 60 ผ่าน - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝึกหดั เกณฑ์ 10.1 การประเมินระหวา่ ง - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ การจดั กจิ กรรม - ประเมนิ การนาเสนอ 1) ทฤษฎอี ะตอมของ ผลงาน - แบบประเมนิ การ - ระดับคุณภาพ 2 โบร์ - สังเกตพฤติกรรม 2) การนาเสนอ การทางาน นาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์ ผลงาน รายบุคคล 3) พฤตกิ รรมการ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดับคณุ ภาพ 2 ทางานรายบุคคล การทางานกล่มุ - สงั เกตความมีวินัย การทางาน ผา่ นเกณฑ์ 4) พฤตกิ รรมการ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ทางานกลุ่ม ในการทางาน รายบคุ คล 5) คณุ ลกั ษณะ - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2 อันพึงประสงค์ การทางานกลมุ่ ผา่ นเกณฑ์ - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2 คณุ ลักษณะ ผ่านเกณฑ์ อันพงึ ประสงค์ ลงชอื่ ..................................................ผู้สอน (............................................)
ใบงานที่ 9 เร่ือง รังสีเอกซ์ ค้าช้แี จง : ใหน้ ักเรยี นตอบค้าถามต่อไปนี้ 1. ใครเปน็ ผนู้ พบรงั สเี อกซ์และใชเ้ คร่อื งมือใดในการทดลอง 2. รังสเี อกซ์ประพฤติตัวเป็นคลื่นหรอื อนุภาค เพราะเหตุใด 3. การเกดิ รังสเี อกซ์มีกก่ี ระบวนการ อะไรบา้ ง 4. ทดลองให้ความต่างศักย์ไฟฟ้าขนาด 40,000 โวลต์ แก่อิเล็กตรอน แล้วทาให้อิเล็กตรอนพุ่งไปชนเป้าโลหะทังสเตน ความยาวคล่นื ตา่ สดุ ของรงั สเี อกซท์ ีไ่ ด้จากการทดลองคร้งั นี้จะมีค่าเทา่ ใด 5. จะต้องให้ความต่างศักย์แก่หลอดรังสีแคโทดขนาดเท่าใด หากต้องการให้เกิดรังสีเอกซ์ที่มีความยาวคล่ืนเท่ากับ 10- 11 เมตร
ใบงานท่ี 9 เฉลย เร่ือง รงั สีเอกซ์ คา้ ชแ้ี จง : ให้นักเรยี นตอบค้าถามตอ่ ไปนี้ 1. ใครเปน็ ผู้นพบรังสีเอกซ์และใช้เครือ่ งมอื ใดในการทดลอง วลิ เฮล์ม คอนราด เรินต์เกน ใชห้ ลอดรงั สีแคโทดในการทดลอง ทาให้เขาเป็นผู้ค้นบรงั สีเอกซ์เป็นคร้ังแรก 2. รงั สเี อกซ์ประพฤตติ วั เปน็ คลื่นหรอื อนภุ าค เพราะเหตใุ ด รังสีเอกซ์สมารถประพฤติตัวเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาค เนื่องจากรังสีเอกซ์สามารถแสดงคุณสมบัติ การ สะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการเล้ียวเบนได้ ซ่ึงเป็นคุณสมบัติองคลื่น นอกจากนี้รังสีเอกซ์ยังมีโมเมนตัม เหมอื นอนุภาคทั่วไป 3. การเกิดรังสีเอกซ์มกี ก่ี ระบวนการ อะไรบา้ ง มี 2 กระบนการ ได้แก่ การเกดิ รังสเี อกซต์ ่อเนื่อง และการเกิดรังสีเอกซ์เฉพาะตวั 4. ทดลองให้ความต่างศักย์ไฟฟ้าขนาด 40,000 โวลต์ แก่อิเล็กตรอน แล้วทาให้อิเล็กตรอนพุ่งไปชนเป้าโลหะทังสเตน ความยาวคล่นื ตา่ สุดของรังสีเอกซ์ทไี่ ด้จากการทดลองครง้ั นี้จะมีคา่ เทา่ ใด วธิ ีทา้ จากสมการ ������min = ℎ������ ������������ ������min = (6.626 × 10−34 J s)(3 × 108 m/s) (1.6 × 10−19 C)(40,000 V) ������min = 0.194 nm ดังน้ัน ความยาวคลน่ื ต่าสุดของรงั สีเอกซ์ท่ีได้จากการทดลองครง้ั นี้จะมคี ่าเท่ากบั 0.194 นาโนเมตร 5. จะต้องให้ความต่างศักย์แก่หลอดรังสีแคโทดขนาดเท่าใด หากต้องการให้เกิดรังสีเอกซ์ที่มีความยาวคล่ืนเท่ากับ 10- 11 เมตร วิธีทา้ จากสมการ ������min = ℎ������ ������������ 10−11 m = (6.626 × 10−34 J s)(3 × 108 m/s) (1.6 × 10−19 C)������ ������ = 1.24 × 10−6 J m/C 10−11 m ������ = 124,000 V ดังนน้ั จะต้องให้ความตา่ งศักย์แก่หลอดรังสีแคโทดขนาด 124,000 โวลต์
แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรื่อง ฟิสิกสอ์ ะตอม แผนจดั การเรียนร้ทู ี่ 11 เรอื่ ง ปรากฏการณค์ อมป์ตันและสมมตฐิ านเดอบรอยล์ รายวิชา ฟิสกิ ส์ รหัสวิชา ว33206 ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 6/1 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 น้าหนักเวลาเรยี น 80 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ชั่วโมง/สปั ดาห์ เวลาที่ใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 2 ชว่ั โมง .......................................................................................................................................................... 1. ผลการเรยี นรู้ อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและคานวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ของโฟโตอิเล็กตรอน และฟังก์ชันงานของโลหะ 2. จดุ ประสงค์ 1. อธิบายสมบัติทวภิ าวะของคลืน่ และอนุภาคจากปรากฏการณค์ อมปต์ ันและสมมติฐานเดอบรอยล์ได้ (K) 2. คานวณหาความยาวคล่ืนเดอบรอยล์และปริมาณทเ่ี กี่ยวข้องได้ (P) 3. มีความรับผดิ ชอบต่องานทไี่ ด้รับมอบหมาย และปฏิบัติงานตรงตามเวลาท่ีครูกาหนด (A) 3. สาระส้าคญั ปรากฏการณ์คอมปต์ ันเป็นปรากฏการณ์ทศี่ ึกษาการกระเจิงของรังสีเอกซ์ โดยให้รงั สีเอกซ์ทาอันตรกริ ิยา กับเปา้ แล้วพบว่า เกดิ การเบนของรังสเี อกซ์ นอกจากนี้ ความยาวคลื่นของรังสเี อกซย์ ังเปลี่ยนไปจากเดิมด้วย โดยคอมป์ ตันได้ทดลองฉายรังสีเอกซ์ให้พุ่งชนเป้าแกรไฟต์ ปรากฏว่ามีอิเล็กตรอนและรังสีเอกซ์กระเจิง ออกมา ซึ่งเป็น หลักฐานท่ีแสดงให้เห็นธรรมชาติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าว่ามีลักษณะเป็นอนุภาค กล่าวได้ว่า ปรากฏารณ์คอมป์ตัน สนบั สนุนแนวคิดของไอน์สไตนท์ ีว่ ่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ สามารถแสดงสมบัตคิ วามเป็นอนุภาคได้ หลุยส์ เดอ บรอยล์ ได้เสนอแนวคิดว่า ถ้าคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถแสดงสมบัติความเป็นอนุภาคได้ สิ่งตา่ ง ๆ ท่เี ป็นอนุภาค เช่น อิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน อะตอม โมเลกุล หรือแม้กระท่ังลูกฟุตบอล ก็สามารถแสดงสมบัติ ความเปน็ คลื่นได้ กล่าวได้ว่า ไม่วา่ อนภุ าคจะมมี วลหรือไมก่ ็ตาม ถา้ อนุภาคนั้นมีการเคลื่อนท่ีกจ็ ะสามารถแสดงสมบัติ ของคล่นื ไดท้ ง้ั สนิ้ สมบัตดิ ังกล่าวเรยี กว่า ทวิภาวะของคลื่นและอนภุ าค 4. สมรรถนะสา้ คัญของนกั เรียน 1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการแกป้ ญั หา 5. คุณลักษณะของวิชา - ความรับผิดชอบ - ความรอบคอบ - กระบวนการกลุ่ม 6. คุณลักษณะท่พี งึ ประสงค์ 1. มวี นิ ยั 2. ใฝ่เรยี นรู้ 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน - ใบงานที่ 11 เรือ่ ง ปรากฏการณ์คอมปต์ นั และสมมติฐานเดอบรอยล์
8. กจิ กรรมการเรียนรู้ ชั่วโมงท่ี 1 ขน้ั นา ขั้นการใช้ความรู้เดิมเชอื่ มโยงความร้ใู หม่ (Prior Knowledge) 5. ครชู กั ชวนนกั เรียนสนทนาทบทวนความรู้เกี่วกบั ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทรกิ 6. ครูสุม่ ตัวแทนนกั เรยี นอธบิ ายสรปุ เกยี่ วกับแนวคิดของปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ 7. ครูถามคาถามกับนักเรียนว่า “รังสีเอกซ์เป็นคล่ืนชนิดใด และมีกระบวนการเกิดก่ีกระบวนการ อะไรบา้ ง” โดยครสู มุ่ นกั เรียนใหย้ ืนขน้ึ แลว้ ตอบคาถาม เพอ่ื ทบทวนความรเู้ ดมิ ทศี่ ึกษามาแล้ว (แนวตอบ : รังสีเอกซ์เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหน่ึง มีกระบวนการเกิด 2 กระบวนการ คือ การเกิดรังสี เอกซต์ ่อเน่ือง และการเกิดรังสีเอกซเ์ ฉพาะตวั ) ขน้ั สอน ขั้นรู้ (Knowing) 8. ครูให้นักเรียนศึกษา เรื่อง ปรากฏการณ์คอมป์ตัน จากหนังสือเรียน โดยครูมอบหมายให้นักเรียนจดบันทึก สรุปองคค์ วามรทู้ ไี่ ดล้ งในสมุดบันทกึ ประจาตัว 9. ครูสุ่มตัวแทนนกั เรยี นออกมาหนา้ ชั้นเรียน จากน้นั ใหน้ ักเรียนอธิบายผลการศึกษาเก่ียวกับปรากฏการณ์คอมป์ตัน โดยครูคอยสังเกตการณ์และแนะนาในสิ่งท่ีถูกต้อง เพื่อให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์และเกิดความเข้าใจไป แนวทางเดียวกนั 10. นกั เรียนและครูร่วมกันอภปิ รายเกี่ยวกับปรากฏการณ์คอมป์ตันวา่ “เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการฉายรังสี เอกซ์ความยาวคลื่นค่าหน่ึงให้กระทบแท่งแกรไฟต์แล้วปรากฏว่ามีอิเล็กตรอนและรังสีเอกซ์กระเจิงออกมา โดยความยาวคล่ืนของรังสีเอกซ์ที่กระเจิงออกมาน้ันจะข้ึนอยู่กับรูปแบบการชนที่เกิดขึ้นตามกฎการอนุรักษ์ พลังงานและกฎการอนุรกั ษ์โมเมนตมั สรุปได้ว่า ปรากฏการณ์คอมป์ตันเป็นปรากฏการณ์ที่สนับสนุนแนวคิด ของไอน์สไตน์ที่ว่า คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถแสดงสมบัติความเปน็ อนภุ าคได้” 11. ครูชักชวนนักเรียนสนทนาว่า มีทฤษฎี แนวคิด หรือสมมติฐานใดอีกบ้างท่ีสนับสนุนแนวคิดของ ไอนส์ ไตน์ ท่ีว่า แสงหรือคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถแสดงสมบัติเป็นอนุภาคได้ โดยครูทิ้งช่วงเวลาให้นักเรียนได้คิดหรือ แสดงความคิดเหน็ ซึ่งครูจะยงั ไม่เฉลยคาตอบว่าถูกหรือผิด 12. ครูใหน้ ักเรียนสืบคน้ ขอ้ มูลท่คี รูตัง้ ประเดน็ คาถามไว้จากแหล่งข้อมลู สารสนเทศ เช่น อินเทอร์เน็ต 13. ครเู ปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นได้แสดงความคดิ เหน็ จากประเด็นคาถามหลังจากที่สืบคน้ ขอ้ มูลมาแล้ว 14. ครูใหน้ กั เรยี นคเู่ ดมิ ร่วมกันศึกษา เร่ือง สมมติฐานเดอบรอยล์ จากหนงั สอื เรยี น 15. ครูสมุ่ นกั เรียนเพื่อถามคาถามวา่ “สมมติฐานเดอบรอยล์ คอื อะไร” (แนวตอบ : สมมติฐานเดอบรอยล์ เป็นแนวคิดของ หลยุ ส์ เดอ บรอยล์ ท่ีว่า แสงมีสมบัติเป็นได้ท้ังคล่ืนและ อนุภาค และถ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแสดงสมบัติของอนุภาคได้ สิ่งต่าง ๆ ท่ีเป็นอนุภาค เช่น อิเล็กตรอน โปรตอน นวิ ตรอน อะตอม โมเลกุล ลกู ฟุตบอล กส็ ามารถแสดงสมบัตขิ องคลน่ื ได)้
16. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลการศึกษา เรื่อง สมมติฐานเดอบรอยล์ ว่า “ตามสมมติฐานเดอบรอยล์ ไม่ว่าอนุภาคจะมีมวลหรือไม่ก็ตาม ถ้าอนุภาคนั้นมีการเคล่ือนท่ีก็จะสามารถแสดงสมบตั ิของคล่ืนไดท้ ้งั สนิ้ สรุปได้ว่า คล่ืนสามารถแสดงสมบัติของอนุภาคได้และอนุภาคแสดงสมบัติของคล่นื ได้ เรียกวมบัตดิ ังกลา่ วว่า ทวภิ าวะของคล่นื และอนุภาค” 17. ครูให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทภาพของไอน์สไตน์เพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลสารสนเทศ เพื่อ ประกอบการศกึ ษาเก่ยี วกบั สมมตฐิ านเดอบรอยล์ใหม้ ีความเขา้ ใจมากย่ิงขึ้น ชัว่ โมงที่ 2 ขน้ั สอน ขัน้ เขา้ ใจ (Understanding) 18. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนอย่างอิสระ จากนั้นให้ร่วมกันศึกษาตัวอย่างที่ 6.18-6.21 จากหนังสือเรียน โดยจด บนั ทึกลงในสมดุ บนั ทกึ ประจาตวั 19. ครูนาข้อคาถามหรือโจทย์ปัญหาเพ่ิมเติมซ่ึงนอกเหนือจากหนังสือเรียนมาให้นักเรียนได้ศึกษาและทาความ เขา้ ใจมากข้นึ 20. ครสู มุ่ นักเรียนออกมาหน้าชั้นเรียน จากนัน้ ครูใหน้ กั เรียนอธิบายขั้นตอนและวิธีการหาคาตอบจากตัวอยา่ งและ ข้อคาถามท่ีครใู ห้เพมิ่ เติมบนกระดาน 21. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความเข้าใจของนักเรียนแล้ว ครูอาจยกตัวอย่างหรือปรับเปลี่ยน สถานการณ์จากตัวอยา่ งทไ่ี ดศ้ ึกษา แลว้ ให้นกั เรยี นอธบิ ายส่งิ ท่ีเหมอื นและสง่ิ ท่ีแตกตา่ ง 22. นกั เรียนรว่ มกนั ตอบคาถาม Concept Question จากหนงั สือเรยี นทถี่ ามวา่ “ในชวี ติประจาวันคล่นื ของอนภุ าคมี อิทธพิ ลต่อปรากฏการณท์ ่สี ังเกตได้หรือไม่ อยา่ งไร” (แนวตอบ : หน่ึงในอิทธิพลของคลื่นของอนุภาคในชีวิตประจาวัน คือ เซลล์แสงอาทิตย์ โดยการเลือกวัสดุท่ีมี แถบพลังงานให้เหมาะสมกับชนิดของแสง หรือเหมาะสมกับพลังงานของโฟตอนที่มาตกกระทบและสามารถ กระตุ้นอเิ ล็กตรอนในวัสดุใหห้ ลดุ ออกจากผวิ โลหะที่เปน็ ขว้ั ไฟฟา้ ) 23. ครูมอบหมายให้นักเรียนศึกษาทาความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์คอมป์ตันและสมมติฐานเดอบรอย์เพิ่มเติม จากแบบฝกึ หัด ฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 ฟิสิกสอ์ ะตอม ข้นั ลงมือท้า (Doing) 24. ครูให้นักเรียนสรุปความรู้เก่ียวกับปรากฏการณ์คอมป์ตันและสมมติฐานเดอบรอย์ โดยสร้างสรรค์ออกมาใน รปู แบบของใบความรู้ ลงในกระดาษ A4 พร้อมท้ังตกแต่งใหส้ วยงาม เสรจ็ แล้วนาส่งครูเพ่ือตรวจให้คะแนน 25. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อน แล้วร่วมกันศึกษาแบบฝึกหัด Topic Questions จากหนังสือเรียน โดยครู มอบหมายใหน้ ักเรียนแตล่ ะคนเขยี นแสดงวิธีการแก้โจทย์ปญั หาลงในสมุดบันทกึ ประจาตวั 26. ครแู จกใบงานท่ี 6.6 เรอ่ื ง สมมติฐานเดอบรอยล์ ให้นักเรียนคนละ 1 ชุด จากนัน้ มอบหมายให้นกั เรยี นนากลับไป ศกึ ษาเปน็ การบ้าน เสร็จแล้วตัวแทนรวบรวมส่งครู
ขน้ั สรุป 5. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันลงข้อสรปุ โดยให้นักเรียนอภิปรายสรุปความรูเ้ กี่ยวกับทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค ที่ ได้ศึกษามาแล้วทั้งเนื้อหาและตัวอย่างจากหนังสือเรียน และกิจกรรมที่นอกเหนือจากหนังสือเรียน พร้อม ทัง้ ยกอยา่ งสถานการณ์ทเี่ กยี่ วขอ้ งเพ่อื ทดสอบความเขา้ ใจ 6. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเน้ือหาที่ได้ศึกษาผ่านมาแล้วในส่วนท่ียังไม่เข้าใจหรือสงสัย จากน้ันครูให้ ความรู้เพ่ิมเติมในส่วนน้ัน โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เร่ือง ปรากฏการณ์คอมป์ตันและสมมติฐานเดอบ รอยล์ มาเปิดให้นักเรียนดปู ระกอบเพอื่ ชว่ ยในการอธิบายให้เขา้ ใจมากย่ิงขน้ึ ขน้ั ประเมิน 27. ประเมินความรู้เกี่ยวกับเร่ือง ปรากฏการณ์คอมป์ตันและสมมติฐานเดอบรอยล์ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบ คาถาม การทาแบบฝกึ หดั และการสรุปสาระสาคญั 28. ประเมินทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากการคานวณหาความยาวคลื่นเดอบรอยล์และปริมาณท่ี เกี่ยวขอ้ งจากตวั อย่างทค่ี รกู าหนดให้ 29. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย และ ปฏบิ ัตงิ านตรงตามเวลาทค่ี รกู าหนด 9. ส่ือการเรียนการสอน / แหล่งเรียนรู้ 1) หนังสอื เรียน รายวชิ าเพิ่มเตมิ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟสิ กิ ส์ ม.6 เล่ม 1 2) แบบฝกึ หัด รายวชิ าเพมิ่ เตมิ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟสิ กิ ส์ ม.6 เลม่ 1
10. การวดั ผลและประเมนิ ผล วิธวี ดั เครอ่ื งมือ เกณฑ์การประเมิน รายการวัด - ตรวจใบงานท่ี 11 - ใบงานท่ี 11 - ร้อยละ 60 ผ่าน - ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝกึ หัด เกณฑ์ 10.1 การประเมินระหว่าง - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ การจัดกิจกรรม - ประเมินการนาเสนอ 1) ปรากฏการณ์ ผลงาน - แบบประเมนิ การ - ระดบั คุณภาพ 2 คอมปต์ ันและ - สงั เกตพฤติกรรม สมมตฐิ าน การทางาน นาเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์ เดอบรอยล์ รายบคุ คล 2) การนาเสนอ - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2 ผลงาน 3) พฤติกรรมการ การทางาน ผา่ นเกณฑ์ ทางานรายบคุ คล รายบคุ คล 4) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2 ทางานกลมุ่ การทางานกลุ่ม - สังเกตความมวี นิ ยั การทางานกลุม่ ผา่ นเกณฑ์ 5) คุณลักษณะ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น อันพงึ ประสงค์ ในการทางาน - แบบประเมิน - ระดับคณุ ภาพ 2 คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์ อนั พึงประสงค์ ลงชอ่ื ..................................................ผสู้ อน (............................................)
ใบงานท่ี 11 เรอื่ ง สมมตฐิ านเดอบรอยล์ ค้าชี้แจง : ให้นักเรยี นตอบคา้ ถามตอ่ ไปนี้ 1. ลกู บอลลกู หนึ่งมมี วล 1 กโิ ลกรัม ถูกกระทาใหเ้ คล่ือนท่ีดว้ ยอตั ราเร็ว 15 เมตรตอ่ วนิ าที จงหาว่าความยาวคลน่ื เดอบรอยล์ ของลูกบอลน้มี ีคา่ เท่าใด 2. อิเล็กตรอนอนุภาคหนึ่งมีความยาวคล่ืนเดอบรอยล์เท่ากับ 0.2 นาโนเมตร อยากทราบว่าอิเล็กตรอนนี้มีอัตราเร็ว เท่าใด 3. อนุภาคนิวตรอนมีมวล 1.67492 x 10-27 กิโลกรัม เคล่ือนที่ดวยความเร็ว 650 เมตรต่อวินาที อยากทราบว่าความยาว คล่ืนเดอบรอยลข์ องอนุภาคนวิ ตรอนน้ีมคี ่าเท่าใด
ใบงานที่ 11 เฉลย เรื่อง สมมติฐานเดอบรอยล์ ค้าชี้แจง : ให้นักเรยี นตอบค้าถามต่อไปน้ี 1. ลูกบอลลกู หน่ึงมมี วล 1 กิโลกรัม ถูกกระทาให้เคล่อื นที่ดว้ ยอัตราเร็ว 15 เมตรต่อวินาที จงหาวา่ ความยาวคลนื่ เดอบรอยล์ ของลูกบอลน้ีมีคา่ เท่าใด วิธที า้ จากสมการ ������ = ℎ ������������ 6.626 × 10−34 J s ������ = (1 kg)(15 m/s) ������ = 4.417 × 10−35 m ดงั น้ัน ความยาวคลน่ื เดอบรอยลข์ องลกู บอลนีม้ ีค่าเทา่ กับ 4.417 × 10-35 เมตร 2. อิเล็กตรอนอนุภาคหนึ่งมีความยาวคล่ืนเดอบรอยล์เท่ากับ 0.2 นาโนเมตร อยากทราบว่าอิเล็กตรอนนี้มีอัตราเร็ว เท่าใด วิธที ้า จากสมการ ������ = ℎ ������������ 6.626 × 10−34 J s 0.2 × 10−9 m = (9.11 × 10−31 kg)������ 0.2 × 10−9 m = 7.273 × 10−4 J s/kg ������ ������ = 3.6365 × 106 m/s ดังนั้น ความยาวคลื่นเดอบรอยลข์ องลูกบอลนมี้ คี า่ เทา่ กับ 4.417 × 10-35 เมตร 3. อนุภาคนิวตรอนมีมวล 1.67492 x 10-27 กิโลกรัม เคลื่อนที่ดวยความเร็ว 650 เมตรต่อวินาที อยากทราบว่าความยาว คล่ืนเดอบรอยลข์ องอนภุ าคนวิ ตรอนน้ีมีค่าเท่าใด วิธีทา้ จากสมการ ������ = ℎ ������������ 6.626 × 10−34 J s ������ = (1.67492 × 10−27 kg)(650 m/s) ������ = 6.626 × 10−34 J s 1.088698 × 10−24 kg ������ = 6.086 × 10−10 m ดงั นนั้ ความยาวคล่นื เดอบรอยลข์ องลกู บอลน้ีมีค่าเทา่ กับ 6.086 × 10-10 เมตร
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 เร่ือง ฟิสิกส์อะตอม แผนจดั การเรียนรู้ท่ี 12 เรอ่ื ง กลศาสตร์ควอนตัม รายวิชา ฟิสิกส์ รหัสวิชา ว33206 ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6/1 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 น้าหนกั เวลาเรียน 80 (นน./นก.) เวลาเรยี น 4 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ เวลาทใ่ี ช้ในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 4 ชว่ั โมง .......................................................................................................................................................... 1. ผลการเรยี นรู้ อธบิ ายทวภิ าวะของคลนื่ และอนุภาค รวมทัง้ อธบิ ายและคานวณความยาวคลนื่ เดอบรอยล์ 2. จุดประสงค.์ 1. อธิบายหลักความไม่แนน่ อนของไฮเซนเบิรก์ ได้ (K) 2. คานวณหาปริมาณท่ีเกี่ยวข้องกับหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กได้ (P) 3. มคี วามรับผิดชอบต่องานท่ีได้รบั มอบหมาย และปฏิบตั ิงานตรงตามเวลาท่ีครูกาหนด (A) 3. สาระส้าคัญ กลศาสตร์ควอนตัม เป็นศาสตร์หรือวิชาที่ศึกษาธรรมชาติในระดับอะตอมได้อย่างกว้างขวาง โดยมี พนื้ ฐานจากทวภิ าวะของคล่นื และอนุภาค กลา่ วไดว้ ่า กลศาสตร์ควอนตมั เปน็ ศาสตร์ท่ีเน้นอธบิ ายพฤติกรรมของอนุภาค ขนาดเล็ก ซ่ึงต่างจากศาสตร์อนื่ ๆ ท่เี คยศึกษามา เวอรเ์ นอร์ ไฮเซนเบิรก์ ได้เสนอหลักความไม่แน่นอนไว้ว่า เราไมส่ ามารถที่จะรู้ตาแหนง่ และความเร็วของอนุภาคใน เวลาเดียวกนั ได้อย่างแม่นยา ดังนัน้ ในการวัดปริมาณใด ๆ จะมคี วามไมแ่ น่นอนปรากฏอย่เู สมอโดยธรรมชาติ 4. สมรรถนะสา้ คญั ของนกั เรยี น - กระบวนการกลุ่ม 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแก้ปัญหา 5. คุณลักษณะของวิชา - ความรบั ผิดชอบ - ความรอบคอบ 6. คุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ 1. มวี นิ ยั 2. ใฝเ่ รียนรู้ 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน - ใบงานที่ 11 เร่ือง กลศาสตร์ควอนตัม
8. กจิ กรรมการเรียนรู้ ช่วั โมงที่ 1 ขน้ั นา ข้นั การใชค้ วามร้เู ดิมเชื่อมโยงความรู้ใหม่ (Prior Knowledge) 30. ครูชักชวนนักเรียนสนทนาทบทวนความรู้เก่ียวกับทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค ซึ่งกล่าวถึง สภาวะที่คลื่น สามารถแสดงสมบัตคิ วามเป็นอนุภาคได้ และอนุภาคสามารถแสดงสมบัติความเปน็ คลื่นได้ 31. ครูเปิดวีดิทัศน์เก่ียวกับทวิภาวะของคลื่นและอนุภาคจาก YouTube ให้นักเรียนศึกษา เพ่ือเป็นการทบทวน ความร้เู ดมิ โดยเม่ือดูเสรจ็ แลว้ ครูสุม่ ตัวแทนนกั เรยี นอภิปราบความรทู้ ี่ได้ ขน้ั สอน ข้นั รู้ (Knowing) 32. ครูให้นักเรยี นศึกษา เร่ือง กลศาสตร์ควอนตัม จากหนังสือเรียน โดยครูมอบหมายให้นักเรียนจดบันทกึ สรุปองค์ ความรู้ทไ่ี ด้ลงในสมดุ บันทึกประจาตวั 33. ครูมอบหมายให้นักเรียนนาโทรศัพท์มือถือข้ึนมาแล้วสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม รวมทั้งข้อมูล เกี่ยวกับแอรว์ นิ ชเรอดงิ เงอร์ เพิม่ เติมจากสือ่ สารสนเทศ 34. ครูสุ่มตวั แทนนกั เรียนออกมาหน้าชนั้ เรยี น จากน้ันใหน้ กั เรียนอภปิ รายผลการศกึ ษาเกีย่ วกับกลศาสตร์ควอนตัม โดย ครูคอยสังเกตการณแ์ ละแนะนาในส่ิงทถ่ี ูกต้อง เพื่อให้นักเรียนได้คดิ วิเคราะห์และเกิดความเขา้ ใจไปแนวทาง เดยี วกัน 35. นกั เรียนและครูร่วมกนั อภิปรายเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมว่า “กลศาสตร์ควอนตัม เป็นศาสตรห์ รือวิชาที่ศกึ ษา ธรรมชาติในระดบั อะตอมได้อย่างกว้างขวาง โดยมีพ้ืนฐานจากทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค กลา่ วได้วา่ กลศาสตร์ ควอนตมั เปน็ ศาสตร์ทเี่ น้นอธิบายพฤติกรรมของอนภุ าคขนาดเล็ก ซึ่งต่างจากศาสตรอ์ ่ืน ๆ ที่เคยศึกษามา” 36. ครูชักชวนนักเรียนสนทนาแล้วถามคาถามว่า “การศึกษาการเคล่ือนที่ของอนุภาคในระดับควอนตัม เรา สามารถใช้สมการความสมั พันธ์ใดในการแก้ปัญหาเพื่อหไ้ ด้มาซึง่ คาตอบ” (แนวตอบ : สมการชเรอดงิ เงอร์ (Schrodinger Equation)) 37. ครใู ห้นกั เรียนสืบค้นขอ้ มลู เกยี่ วกับสมการชเรอดิงเงอร์จากอินเทอรเ์ นต็ 38. ครูสุ่มกั เรียนอภปิ รายเก่ียวกับสมการชเรอดงิ เงอรร์ วมท้งั ใหข้ อ้ คิดเห็นเปรียบเทียบกบั กฎการเคลือ่ นทขี่ องนวิ ตัน 39. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่า “สมการของนิวตันและสมการของชเรอดิง เงอร์ เป็นเคร่ืองมือที่ท่ัวโลกต้องใช้ในการศึกษาสภาพการเคล่ือนท่ีของวัตถุหรืออนุภาคที่มีแรงมาเกี่ยวข้อง โดยสมการทั้งสองต่างกันตรงที่สมการของนิวตัน (������������ = ������������) เป็นสมการที่ใช้สาหรับศึกษาการเคล่ือนท่ี ของวัตถขุ นาดใหญ่ และมีความเรว็ ไม่สงู มาก (เมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วแสงในสุญญากาศ) ส่วนสมการของช เรอดิงเงอร์ เป็นสมการท่ีใช้สาหรับการแก้ปัญหาเก่ียวกับการเคล่ือนที่ของวัตถุในระดับควอนตัม เช่น ระดับ อเิ ล็กตรอนในอะตอม หรอื การเคลอื่ นทขี่ องอนภุ าคองคป์ ระกอบพืน้ ฐานของวัตถุในจกั รวาล” 40. ครเู ปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนได้แสดงความคิดเหน็ จากข้อมูลทไ่ี ดร้ ่วมกันอภิปราย 41. ครูให้นักเรยี นศึกษาเร่ือง หลักความไม่แน่นอน จากแหล่งขอ้ มูลสารสนเทศต่าง ๆ จากน้ันครมู อบหมายให้นักเรียน เขียนสรุปความร้เู กย่ี วกับเร่อื งทศี่ กึ ษาลงในกระดาษ A4 แลว้ นาส่งครู
42. ครูให้นักเรียนเปิดหนังสือเรียนเพื่อศึกษาเกี่ยวกับหลักความไม่แน่นอน เพื่อเป็นการเน้นยา้ กับผลการศึกษา และขอ้ มลู ท่ีไดส้ บื ค้นมาก่อนหนา้ นี้ 43. ครสู ุม่ นักเรียนยนื ขึน้ แล้วอภปิ รายเก่ียวกับหลักความไม่แนน่ อนที่ตนเองไดศ้ ึกษามา ชัว่ โมงท่ี 2 ขน้ั สอน ขัน้ เข้าใจ (Understanding) 1. ครูให้นักเรยี นปดิ หนังสอื เรยี น จากน้ันครูอ่านโจทย์ปัญหาของตวั อยา่ งท่ี 6.22-6.23 จากหนงั สือเรียนให้นักเรยี น จดลงในสมดุ บนั ทกึ ประจาตัว แลว้ แสดงวธิ ีแก้โจทยป์ ญั หาเพอื่ ใหไ้ ดค้ าตอบ 2. ครูนาข้อคาถามหรือโจทย์ปัญหาเพิ่มเติมซึ่งนอกเหนือจากหนังสือเรียนมาให้นักเรียนได้ศึกษาและทาความ เขา้ ใจมากขนึ้ 3. ครสู ุ่มนักเรยี นออกมาหน้าชั้นเรียน จากนั้นครูใหน้ กั เรียนอธบิ ายขนั้ ตอนและวิธีการหาคาตอบจากตัวอยา่ งและ ข้อคาถามทค่ี รูใหเ้ พ่มิ เตมิ บนกระดาน 4. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความเข้าใจของนักเรียนแล้ว ครูอาจยกตัวอย่างหรือปรับเปล่ียน สถานการณจ์ ากตวั อยา่ งทไี่ ดศ้ กึ ษา แลว้ ใหน้ ักเรยี นอธบิ ายส่งิ ทเ่ี หมอื นและส่ิงทแ่ี ตกต่าง 5. ครูให้นกั เรยี นศึกษาเกย่ี วกบั โครงสรา้ งอะตอมตามแนวคดิ กลศาสตรค์ วอนตัมจากหนังสือเรียน 6. ครสู ุ่มนกั เรียนอภิปรายผลการศึกษาเกีย่ วกับโครงสร้างอะตอมตามแนวคิดกลศาสตร์ควอนตัม 7. ครูมอบหมายให้นักเรียนศึกษาทาความเข้าใจเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมเพ่ิมเติมจากแบบฝึกหัด ฟิสิกส์ ม.6 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 6 ฟิสิกส์อะตอม ข้นั ลงมือท้า (Doing) 44. ครูให้นักเรียนสรุปความรู้เกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม โดยสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบของใบความรู้ ลงใน กระดาษ A4 พรอ้ มทั้งตกแตง่ ให้สวยงาม เสรจ็ แล้วนาส่งครเู พอ่ื ตรวจให้คะแนน 45. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือน แล้วร่วมกันศึกษาแบบฝึกหัด Topic Questions จากหนังสือเรียน โดยครู มอบหมายให้นักเรียนแต่ละคนเขยี นแสดงวิธีการแกโ้ จทยป์ ัญหาลงในสมุดบนั ทึกประจาตวั โดยที่ครกู าหนดให้ ใช้หลักการแก้โจทยป์ ญั หา 4 ข้ันตอน ของโพลยา ดังน้ี a. ข้ันที่ 1 ทาความเข้าใจโจทย์ (Understanding the problem) เป็นการคิดเก่ียวกับปัญหาและตัดสิน ว่าอะไรทต่ี ้องการค้นหา โดยนกั เรยี นต้องทาความเข้าใจปญั หาและระบุสว่ นท่ีสาคัญของปญั หา b. ขั้นที่ 2 วางแผนแก้ปัญหา (Devising a plan) เป็นการค้นหาความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์ระหว่าง ขอ้ มลู และตัวไมร่ ู้ค่า นาความสัมพันธ์ทไ่ี ดม้ าผสมผสานกับประสบการณ์ กาหนดแนวทางหรือแผนในการ แกป้ ญั หา c. ขั้นที่ 3 ปฏิบัติตามแผน (Carrying out the plan) เป็นการลงมือปฏิบัติตามแผนหรือแนวทางท่ีวางไว้ อาจตรวจสอบความเป็นไปได้ของแผน เพิ่มเติมรายละเอียด แล้วลงมือปฏิบัติจนได้ความสาเร็จ ถ้า ไม่สาเร็จตอ้ งคน้ หาและทาการแกป้ ญั หาจนสามารถแกป้ ัญหาได้ d. ข้นั ท่ี 4 ตรวจสอบ (Looking back) เป็นการมองยอ้ นกลับไปยงั คาตอบที่ได้มา เร่ิมจากการตรวจสอบ ความถูกต้อง ความสมเหตุสมผลของคาตอบและยุทธวธิ ีแก้ปัญหาท่ีใช้ มีคาตอบหรือยุทธวิธีอ่ืนในการ แกป้ ัญหานอี้ กี หรือไม่
46. ครูแจกใบงานท่ี 6.8 เร่อื ง หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก ให้นกั เรยี นคนละ 1 ชุด จากนั้นครูมอบหมาย ให้นกั เรียนศกึ ษาและลงมือทา เสรจ็ แล้วตวั แทนรวบรวมสง่ ครู ชั่วโมงท่ี 3-4 ขน้ั สอน ขัน้ ลงมอื ท้า (Doing) 47. ครใู ห้นักเรียนศกึ ษากจิ กรรม Apply Your Knowledge จากหนังสอื เรยี น โดยจดบนั ทึกและตอบคาถามลงใน สมดุ บันทึกประจาตัว 48. ครูให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง ด้วยกรอบ Self Check เรื่อง ฟิสิกส์อะตอม จากหนังสือ เรียน ลงในสมุดบนั ทกึ ประจาตวั 49. ครูมอบหมายให้นกั เรียนทาแบบฝึกหัดจาก Unit Questions หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 6 ฟิสกิ สอ์ ะตอม จากหนงั สือ เรียน โดยทาลงในสมุดบนั ทึกประจาตัว แลว้ รวบรวมสง่ ครูเพ่อื ตรวจสอบและใหค้ ะแนน 50. ครมู อบหมายให้นักเรียนทาแบบฝกึ หัดจาก Test for U หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 ฟสิ กิ ส์อะตอม จากหนังสือเรียน โดยทาลงในสมุดบนั ทึกประจาตวั เปน็ การบ้าน แลว้ รวบรวมส่งครูเพ่อื ตรวจสอบและให้คะแนน 51. ครใู หน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบหลงั เรียน เพอ่ื ทดสอบความรูค้ วามเข้าใจหลงั จากทไ่ี ด้ศกึ ษาแลว้ ขน้ั สรุป 52. ครูและนักเรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยให้นักเรียนอธิบายสรุปความรู้เกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมที่ได้ศึกษา มาแล้วทั้งเนื้อหาและตัวอย่างจากหนังสือเรียน และกิจกรรมที่นอกเหนือจากหนังสือเรียน พร้อมท้ังยก อยา่ งทเ่ี กี่ยวขอ้ งเพ่ือทดสอบความเขา้ ใจ 53. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเน้ือหาท่ีได้ศึกษาผ่านมาแล้วในส่วนที่ยังไม่เข้าใจหรือสงสัย จากนั้นครูให้ ความรู้เพิ่มเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เรื่อง กลศาสตร์ควอนตัม มาเปิดให้นักเรียนดู ประกอบเพ่อื ช่วยในการอธิบายให้เข้าใจมากยง่ิ ขนึ้ 54. ครูให้นักเรียนทาสรุปความรู้ โดยสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบของแผ่นพับความรู้ เร่ือง กลศาสตร์ควอนตัม ลงในกระดาษ A4 พรอ้ มทั้งตกแตง่ ให้สวยงาม เสร็จแลว้ ตัวแทนนกั เรยี นเก็บรวบรวมส่งครู ขน้ั ประเมนิ 55. ประเมินความรู้เก่ียวกับเรื่อง กลศาสตร์ควอนตัม โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม การทาแบบฝึกหดั และการสรปุ สาระสาคญั 56. ประเมินทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากการคานวณหาปริมาณที่เกี่ยวข้องกับหลักความไม่ แน่นอนของไฮเซนเบิร์กจากตัวอยา่ งที่ครูกาหนดให้ 57. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับมอบหมาย และ ปฏบิ ตั ิงานตรงตามเวลาท่คี รกู าหนด 9. สือ่ การเรยี นการสอน / แหลง่ เรียนรู้
1) หนังสือเรยี น รายวชิ าเพิ่มเติมวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟิสกิ ส์ ม.6 เล่ม 1 2) แบบฝกึ หัด รายวิชาเพิม่ เติมวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ม.6 เล่ม 1 10. การวดั ผลและประเมนิ ผล รายการวดั วิธีวัด เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมิน 10.1 การประเมินระหว่าง - ตรวจใบงานท่ี 12 - ใบงานท่ี 12 - ร้อยละ 60 ผ่าน การจัดกจิ กรรม - ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝกึ หัด เกณฑ์ 1) กลศาสตร์ควอนตัม - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ 2) การนาเสนอ - ประเมินการนาเสนอ - แบบประเมินการ - ระดับคุณภาพ 2 ผลงาน ผลงาน นาเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์ 3) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2 ทางานรายบุคคล การทางาน การทางาน ผ่านเกณฑ์ รายบคุ คล รายบคุ คล 4) พฤตกิ รรมการ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2 ทางานกลุ่ม การทางานกลมุ่ - สงั เกตความมีวนิ ยั การทางานกลมุ่ ผา่ นเกณฑ์ 5) คณุ ลกั ษณะ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมัน่ อันพงึ ประสงค์ ในการทางาน - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภาพ 2 คณุ ลักษณะ ผ่านเกณฑ์ อนั พงึ ประสงค์ ลงชือ่ ..................................................ผู้สอน (............................................)
ใบงานที่ 12 เร่อื ง หลักความไม่แนน่ อนของไฮเซนเบริ ก์ ค้าชแ้ี จง : ใหน้ ักเรยี นตอบค้าถามตอ่ ไปนี้ 1. อนภุ าคแอลฟามวล 6.7 x 10-27 กโิ ลกรัม เคลอื่ นท่ีด้วยความเรว็ 8.2 x 106 เมตรต่อวินาที ถ้าความไมแ่ นน่ อนของการวัด ความเร็วเป็น 0.2 x 105 เมตรต่อวินาที ความไม่แน่นอนของตาแหน่งของอนุภาคเป็นเท่าใด กาหนดให้อนุภาค แอลฟามมี วลคงตวั 2. อิเล็กตรอนตัวหนึ่งเคล่ือนท่ีด้วยอัตราเร็ว 3 × 103 เมตรต่อวินาที ถ้าร้อยละของความแม่นยาในการวัดเท่ากับ 0.1 ความไมแ่ น่นอนของตาหนง่ ของอเิ ลก็ ตรอนตัวนเ้ี ปน็ เทา่ ใด
ใบงานที่ 12 เฉลย เรอ่ื ง หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก ค้าชี้แจง : ให้นักเรยี นตอบค้าถามตอ่ ไปน้ี 1. อนภุ าคแอลฟามวล 6.7 x 10-27 กโิ ลกรัม เคลื่อนท่ีดว้ ยความเรว็ 8.2 x 106 เมตรต่อวินาที ถ้าความไม่แนน่ อนของการวัด ความเร็วเป็น 0.2 x 105 เมตรต่อวินาที ความไม่แน่นอนของตาแหน่งของอนุภาคเป็นเท่าใด กาหนดให้อนุภาค แอลฟามีมวลคงตัว วิธที ้า จากสมการ ∆������∆������ = ℎ 2 ∆������ = ℎ 2∆������ ∆������ = ℎ 4������(������∆������) ∆������ = 6.626 × 10−34 J s 4������(6.7 ×10−27 kg)(0.2 ×105m/s ) ∆������ = 6.626 × 10−34 J s m/s 1.683893662 ×10−21 kg ∆������ = 3.935 × 0−13 m ดังนน้ั ความไม่แน่นอนของตาแหนง่ ของอนภุ าคเปน็ 3.935 × 10-13 เมตร 2. อิเล็กตรอนตัวหน่ึงเคล่ือนท่ีด้วยอัตราเร็ว 3 × 103 เมตรต่อวินาที ถ้าร้อยละของความแม่นยาในการวัดเท่ากับ 0.1 ความไม่แนน่ อนของตาหนง่ ของอิเล็กตรอนตัวนเ้ี ป็นเทา่ ใด วธิ ที า้ คานวณหาโมเมนตัมของอิเล็กตรอน จากสมการ ������ = ������������ ������ = (9.11 × 10−27 kg)(3 × 103 m/s) ������ = 2.733 × 10−20 kg m/s จากสมการ ∆������∆������ = ℎ 2 ∆������ = ℎ 2∆������ ∆������ = ℎ 4������∆������ ∆������ = 6.626 × 10−34 J s 4������(0.001)(2.733×10−20 kg m/s ) ∆������ = 6.626 × 10−34 J s 3.434389089×10−22 kg m/s ∆������ = 1.929 × 0−12 m ดงั น้นั ความไมแ่ น่นอนของตาแหน่งของอเิ ล็กตรอนเป็น 1.929 × 10-12 เมตร
แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรือ่ ง ฟิสกิ ส์นวิ เคลียร์ แผนจัดการเรียนรูท้ ี่ 13 เรอื่ ง การค้นพบกมั มัตภาพรงั สี รายวชิ า ฟสิ ิกส์ รหัสวชิ า ว33206 ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 6/1 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 น้าหนักเวลาเรียน 80 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ชว่ั โมง/สัปดาห์ เวลาทใ่ี ชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 4 ช่วั โมง .......................................................................................................................................................... 1. ผลการเรียนรู้ อธบิ ายกัมมันตภาพรังสแี ละความแตกต่างของรังสแี อลฟา บีตา และแกมมา 2. จดุ ประสงค.์ 1. อธิบายวธิ ีการทดลองของเบก็ เคอเรลที่นาไปสู่การค้นพบกมั มนั ตภาพรงั สไี ด (K) 2. บอกความหมายของกัมมันตภาพรงั สแี ละธาตกุ ัมมันตรงั สไี ด้ (K) 3. สืบค้นข้อมูลและเขียนสรุปองค์ความรู้เก่ียวกับการค้นพบกัมมันตภาพรังสีได้อย่างถูกต้อง (P) 4. มีความรับผดิ ชอบตอ่ งานที่ได้รบั มอบหมาย และปฏิบตั งิ านตรงตามเวลาที่ครูกาหนด (A) 3. สาระสา้ คญั กมั มนั ตภาพรังสี (radioactivity) เป็นปรากฏการณ์อยา่ งหน่ึงของสารท่ีมีสมบัติในการแผ่รังสีออกมาได้ เอง เรียกว่า ธาตุกัมมันตรังสี กัมมันตภาพรังสีที่แผ่ออกมามีอยู่ 3 ชนิด คือ รังสีแอลฟา รังสีบีตา และรังสีแกมมา โดยสามารถตรวจสอบคุณสมบัติของรังสีได้ด้วยวิธกี ารตา่ ง ๆ เช่น การเบนของรังสีในสนามแม่เหลก็ ความสามารถในการ ทาให้เกดิ การแตกตวั เป็นไอออน และอานาจทะลุผ่านของรังสี 4. สมรรถนะส้าคัญของนักเรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแก้ปัญหา 5. คุณลักษณะของวิชา - ความรบั ผิดชอบ - ความรอบคอบ - กระบวนการกลุ่ม 6. คุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ 1. มวี ินัย 2. ใฝเ่ รยี นรู้ 7. ชิน้ งาน/ภาระงาน - ใบงานท่ี 13 เร่อื ง การค้นพบกมั มตั ภาพรังสี
8. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ชวั่ โมงท่ี 1-2 ขน้ั นา ข้นั การใชค้ วามรเู้ ดิมเชอื่ มโยงความรูใ้ หม่ (Prior Knowledge) 58. ครูชักชวนนักเรยี นสนทนาเกี่ยวกบั แหล่งพลงั งานไฟฟ้าในประเทศไทย เชน่ ไฟฟา้ ท่เี ปลย่ี นรูปมาจากพลังงานลม ไฟฟ้าท่ีเปล่ียนรูปมาจากพลังงานน้า พลังงานไฟฟ้าท่ีเปลี่ยนรูปมาจากถ่านหิน โดยครูขออาสาสมัครออกมา อภปิ รายเก่ียวกับแหล่งพลังงานไฟฟา้ ในประเทศไทย 59. ครูให้นักเรียนสืบคน้ ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งพลงั งานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยนาข้อมูลที่ได้มาจัดกระทาในรูปของ ใบงานสรปุ ความรู้ ลงในกระดาษ A4 เสรจ็ แล้วครูเก็บรวบรวมผลงานของนกั เรียนเพื่อตรวจในเบ้ืองตน้ 60. ครูสุ่มผลงานนกั เรียนทีโ่ ดดเดน่ แล้วให้เจ้าของผลงานออกมานาเสนอผลงานของตนเองหน้าชัน้ เรยี น 61. ครูเปิดวดี ิทัศน์เก่ียวกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ท่ีมีเน้ือหาแสดงหลักการทางานในเบือ้ งตน้ รวมทั้งมีเน้ือหาที่แสดงให้ เห็นถึงประโยชน์และโทษของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพือ่ กระตุ้นความสนใจของนักเรียนก่อนเข้าสู่เนือ้ หาท่ีกาลัง จะศกึ ษา 62. ครูให้นกั เรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เร่ือง ฟิสิกส์นวิ เคลยี ร์ ซงึ่ เป็นปรนัยจานวน 10 ข้อ ใช้เวลา 10 นาที เพื่อตรวจสอบความรพู้ น้ื ฐานของนกั เรยี นกอ่ นเข้าสเู่ นอื้ หา 63. ครูถามคาถาม Big Question กับนักเรียนว่า “การค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคสามารถนาไปอธิบาย เก่ียวกับจักรวาลวทิ ยาได้หรอื ไม่ อย่างไร” โดยครูเนน้ ย้ากับนักเรียนว่าเมอ่ื ศกึ ษาเนื้อหาในหน่วยการเรียนรู้นี้ จบแลว้ นกั เรยี นจะตอ้ งตอบคาถามนี้ไดอ้ ยา่ งถูกต้องและชดั เจน (แนวตอบ : ได้ เน่ืองจากการคน้ คว้าวิจัยดา้ นฟิสิกส์อนุภาคทาให้ค้นพบอนภุ าคมลู ฐานต่าง ๆ ได้เป็นแบบจาลอง มาตรฐาน โดยอนุภาคมูลฐานเหล่านั้นเปน็ พ้ืนฐานหนึง่ ของสสารในอวกาศ นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์หลาย ท่านได้พยามศึกษาพฤติกรรมและอันตรกิริยาของอนุภาคมูลฐานในอวกาศ เพ่ือให้ได้คาตอบของ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนแล้วและอาจจะเกิดข้ึนในอนาคต การได้มาซ่ึงผลการทดลองหรือผลการศึกษา ต่าง ๆ ทาให้คาดการณ์และวิเคราะห์เหตุปัจจัยท้ังหลาย เกิดเป็นการแจ้งเตือนหรือรับมือกับสิ่งท่ีกาลังจะ เกดิ ขน้ึ นับไดว้ า่ การคน้ คว้าวจิ ัยด้านฟสิ ิกสอ์ นุภาคเป็นหน่งึ ในความก้าวหน้าของโลกในยคุ ปจั จุบนั ) 64. ครูให้นักเรียนตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนเองก่อนท่ีจะศึกษาเน้ือหาในหน่วยการเรียนร้นู ้ี โดยการทา Check for Understanding จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทกึ ประจาตวั 65. ครูแจ้งผลการเรียนร้ทู ี่เกี่ยวข้องกับหน่วยการเรยี นรู้ที่ 7 ฟิสิกสน์ วิ เคลียร์ ให้นักเรียนทราบ เพื่อเป็นแนวทางให้ ทราบถงึ เน้ือหาทก่ี าลังจะศกึ ษา
ขน้ั สอน ขนั้ รู้ (Knowing) 66. ครูถามคาถามกระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยใช้คาถาม Key Question จากหนังสือเรียนท่ีถามว่า “ธาตุ ท่วั ไปสามารถเรอื งแสงไดเ้ องหรือมีแสงในตอนกลางคืนไดห้ รอื ไม่” (แนวตอบ : ธาตุโดยท่ัวไปมีทั้งที่สามารถเรืองแสงได้และเรืองแสงไม่ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านความเสถียรของ นิวเคลียสของธาตุน้ัน ๆ โดยส่วนมากธาตุท่ีมีมวลอะตอมมาก มักจะอยู่ในสภาวะไม่เสถียรจึงมีการแผ่รังสี ออกมา) 67. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนตามเลขท่ี เช่น เลขที่ 1 จับคู่กับเลขที่ 2 จากน้ันให้นักเรียนทุกคนไปนั่งกับคู่ของ ตนเอง จากนน้ั ครูมอบหมายให้แต่ละคูร่ ่วมกนั ศกึ ษา เร่อื ง การค้นพบกัมมันตภาพรังสี ในหวั ข้อ การทดลองของ เบก็ เคอเรล 68. ครูใช้คาถามทดสอบความสนใจในการศึกษาหาความรู้ว่า “การทดลองของเบ็กเคอเรลคืออะไร มีวิธีการอย่างไร และผลการทดลองเปน็ อย่างไร” (แนวตอบ : เบ็กเคอเรลได้ทาการทดลองเพ่ือศึกษาว่า เม่ือสารใด ๆ เกิดการเรอื งแสง สารน้ันจะแผ่รังสีเอกซ์ ออกมาพร้อมกับการเรืองแสงหรือไม่ โดยเขาได้ทดลองการเรืองแสงของสารประกอบยูเรเนียม วิธีการ ทดลอง คือ นาแผ่นฟิล์มท่ีใส่ไว้ในซองกระดาษสีดาทึบไปวางไว้ใต้เกลือยูเรเนียม แล้วนาไปตากแดด ผลการ ทดลองของเขาเป็นไปตามสมมตฐิ าน คอื มีรอยดาปรากฏบนแผน่ ฟลิ ์ม) 69. ครูให้นักเรียนคู่เดิมร่วมกันศึกษา เรื่อง การศึกษารังสีที่แผ่ออกมาจากธาตุกัมมันตรังสี ในส่วนของหัวข้อที่ เกีย่ วกบั การเบนของรงั สีในสนามแมเ่ หล็ก จากหนงั สอื เรียน 70. ครูให้นักเรียนแต่ละคู่ร่วมกนั อภิปรายผลการศึกษาร่วมกันจนได้เป็นองค์ความรู้ จากน้ันครูใหน้ ักเรียนจดบันทึก องค์ความรู้ทไี่ ด้ลงในสมดุ บนั ทึกประจาตวั 71. ครูใช้คาถามถามนักเรยี นโดยการส่มุ ตัวแทนนกั เรยี นใหย้ นขนึ้ แล้วตอบคาถาม ดังน้ี a. ธาตุกัมมนั ตรังสีคอื อะไร (แนวตอบ : ธาตุทม่ี ีคุณสมบัติสามารถแผร่ ังสไี ดเ้ องอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง) b. กมั มันตภาพรงั สีคืออะไร (แนวตอบ : ปรากฏการณ์ทธ่ี าตแุ ผร่ ังสีได้เองอย่างต่อเนือ่ ง) c. สภาวะไม่เสถียรของนิวเคลียสคอื อะไร (แนวตอบ : สภาวะที่นิวเคลียสของธาตุมีสัดส่วนของจานวนโปรตอนต่อจานวนนิวตรอนไม่เหมาะสม) 72. ครูให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมจากสื่อดจิ ิทัล เช่น ครูเปิดวีดิทัศน์เกี่ยวกับการเบี่ยงเบนของอนุภาคเม่อื เคลื่อนที่ ผา่ นสนามแม่เหล็กให้นักเรียนดู 73. ครูสุ่มนักเรียนออกมาหน้าช้ันเรียน เพ่ืออภิปรายผลการศึกษาเก่ียวกับการเบี่ยงเบนของอนภุ าคเมื่อเคล่ือนที่ ผา่ นสนามแม่เหล็กทตี่ นเองได้ศกึ ษาจากหนังสอื เรยี นและจากวีดทิ ศั น์ท่ีครูนามาเปิดใหด้ ู 74. ครูเน้นย้ากับนักเรียนเก่ียวกบั สญั ลกั ษณ์ ประจุ และมวล ของอนุภาคท่ีปลดปล่อยออกมาจากธาตุกมั มนั ตรังสี โดยมอบหมายให้นักเรียนทาความเข้าใจ จดจา และจดบันทึกตารางที่ 7.1 จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึก ประจาตวั
75. ครูสุ่มถามนักเรียนเกี่ยวกับลัญลักษณ์ ประจุ และมวล ของอนุภาคที่ปลดปล่อยออกมาจากธาตุ กัมมันตรังสี โดยห้ามนักเรียนดูคาตอบท่ีถูกต้องจากหนังสือเรียนและสมุดบันทึกประจาตัว เพ่ือ ทดสอบ ความรู้ความจาหลงั จากที่ได้ศึกษามาแลว้ ช่วั โมงที่ 3-4 ขน้ั สอน ข้ันรู้ (Knowing) 76. ครูถามคาถามทบทวนความรู้เดิมกบั นกั เรียนเกี่ยวกับคณุ สมบตั ิการเบนของรงั สใี นสนามแมเ่ หล็ก 77. ครูให้นักเรียนคู่เดิมร่วมกันศึกษาคุณสมบัติต่อไปของรังสีแอลฟา รังสีบีตา และรังสีแกมมา คือ ความสามารถในการทาใหเ้ กิดการแตกตวั เปน็ ไอออน 78. ครสู มุ่ ถามนักเรียนว่า “ความสามารถในการเคล่ือนทีแ่ ละทาให้เกิดการแตกตวั เป็นไอออนของรงั สแี อลฟา รงั สี บตี า และรังสแี กมมา มคี วามเหมอื นหรอื แตกต่างกันอยา่ งไร (แนวตอบ : มีความแตกต่างกัน เนื่องจากรังสีแต่ละชนิดมีมวลต่างกัน โดยที่รังสีแอลฟาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ ระยะทางน้อยท่ีสุด และรังสีแกมมาสามารถเคล่ือนทไ่ี ปได้ระยะทางมากที่สุด ซ่ึงรังสแี อลลฟาทาใหต้ ัวกลางท่ี เคลื่อนที่ผ่านแตกตัวเป็นไอออนได้มากท่ีสุด เพราะอนุภาคแอลฟา 1 อนุภาค มีมวลมากกว่าอนุภาคบีตา 1 อนุภาค และเน่ืองจากรังสีแกมมาไม่มีมวล จึงทาให้ความสามารถในการทาให้ตัวกลางแตกตัวเป็นไอออนได้ดี รองลงมา) 79. ครูให้นักเรียนร่วมกันศึกษาต่อในหัวข้ออานาจทะลุผ่านของรังสีจากหนังสือเรียน โดยครูให้นักเรียนศกึ ษาหา ความรเู้ พ่ิมเตมิ จากแหลง่ ข้อมูลสารสนเทศ ขัน้ เขา้ ใจ (Understanding) 8. ครูให้นกั เรียนแต่ละคู่ไปจับกลุ่มกับเพ่อื นคู่อ่ืน ๆ อีก 2 คู่ ร่วมกุล่มให้ได้กลุ่มละ 6 คน จากนั้นครแู จกกระดาษฟ ลปิ ชาร์ตและปากกาเมจกิ ใหน้ ักเรียนกลุ่มละ 1 ชุด 9. ครูมอบหมายให้แต่ละกลุ่มเขียนสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของรังสีที่แผ่ออกมาจากธาตุ กัมมันตรังสลี งในกระดาษฟลปิ ชาร์ต โดยให้นกั เรยี นสร้างสรรค์ผลงานของกลุม่ตนเองในรูปแบบต่าง ๆ ตามความ สนใจ 10. เม่ือนักเรียนสร้างสรรค์ผลงานเสร็จแล้ว ครูให้นักเรียนนาผลงานของตนเองไปติดตามผนังโดยรอบหอ้ งเรยี น จากน้ันครูให้นักเรียนแต่กลุ่มเดินชมผลงานของกลุ่มอ่ืน ๆ โดยวิธีการเดินชมและวิเคราะห์ผลงานแบบหมุนวน กลุ่มละประมาณ 1-2 นาที 11. ครูให้นักเรียนกลับเข้ากลุ่มตนเองจากน้ันเขียนช่ืนชมหรือเสนอแนะพร้อมท้ังให้คะแนน (คะแนนเต็ม 10) ลงใน กระดาษกระดาษโนต๊ (post-it) ของแต่ละกลมุ่ จากนนั้ นาไปแปะไวท้ ่ผี ลงานของกล่มุ นนั้ ๆ 12. ครูเดินตรวจนับคะแนนของแต่ละกลุ่ม แล้วให้กลุ่มที่ได้คะแนนมากท่ีสุด 1-2 กลุ่ม ออกมานาเสนอและ อภปิ รายผลงานของกลมุ่ ตนเองหนา้ ชั้นเรียน
13. ครมู อบหมายใหน้ กั เรยี นศึกษาทาความเขา้ ใจเก่ียวกับการค้นพบกมั มนั ตภาพรังสีเพม่ิ เตมิ จากแบบฝึกหัด ฟสิ ิกส์ ม.6 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ฟิสกิ สน์ วิ เคลยี ร์ ขัน้ ลงมอื ทา้ (Doing) 80. ครูให้นักเรียนศึกษาแบบฝึกหัด Topic Questions จากหนังสือเรียน โดยครูมอบหมายให้นักเรียนแต่ละคน เขยี นแสดงวธิ กี ารแก้โจทย์ปัญหาลงในสมุดบนั ทึกประจาตัว 81. ครูแจกใบงานท่ี 13 เร่ือง การค้นพบกัมมันตภาพรังสี ให้นักเรียนคนละ 1 ชุด จากนั้นมอบหมายให้นักเรียน ศกึ ษาและลงมอื ทา เสรจ็ แลว้ ตัวแทนรวบรวมส่งครู ขน้ั สรุป 82. ครูและนกั เรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยใหน้ ักเรียนอธิบายสรุปความรู้เกี่ยวกับการค้นพบกัมมันตภาพรังสีท่ีได้ศึกษา มาแล้วทงั้ เนือ้ หาและตัวอย่างจากหนงั สือเรียน และกิจกรรมทนี่ อกเหนอื จากหนังสือเรียน พรอ้ มท้งั ยกอยา่ งที่ เกี่ยวข้องเพ่ือทดสอบความเขา้ ใจ 83. ครูเปดิ โอกาสให้นักเรยี นสอบถามเนอ้ื หาท่ไี ด้ศึกษาผ่านมาแลว้ ในส่วนทีย่ ังไมเ่ ข้าใจหรือสงสยั จากนนั้ ครูใหค้ วามรู้ เพิ่มเติมในส่วนน้ัน โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เรื่อง การค้นพบกัมมันตภาพรังสี มาเปิดให้นักเรียนดู ประกอบเพ่อื ช่วยในการอธิบายให้เขา้ ใจมากย่งิ ขนึ้ 84. ครูให้นักเรียนสรุปความรู้เก่ียวกับการค้นพบกัมมันตภาพรังสี โดยสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบของแผ่นพับ ความรู้ ลงในกระดาษ A4 พรอ้ มทัง้ ตกแต่งให้สวยงาม เสร็จแล้วนาส่งครูเพื่อตรวจให้คะแนน ขน้ั ประเมิน 85. ประเมินความรเู้ ก่ียวกับเร่อื ง การคน้ พบกัมมนั ตภาพรงั สี โดยสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม การทาแบบฝกึ หัด และการสรุปสาระสาคญั 86. ประเมินทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากการสืบค้นข้อมูลและเขียนสรุปองค์ความรู้เก่ียวกับ การค้นพบกมั มันตภาพรงั สีได้อย่างถกู ตอ้ ง 87. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับมอบหมาย และ ปฏบิ ัตงิ านตรงตามเวลาทีค่ รูกาหนด 9. ส่อื การเรียนการสอน / แหลง่ เรียนรู้ 1) หนังสอื เรยี น รายวิชาเพิม่ เติมวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟิสกิ ส์ ม.6 เลม่ 1 2) แบบฝึกหดั รายวิชาเพ่มิ เติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสกิ ส์ ม.6 เลม่ 1
10. การวดั ผลและประเมินผล วธิ วี ัด เคร่อื งมือ เกณฑ์การประเมิน รายการวัด - ตรวจใบงานที่ 13 - ใบงานท่ี 13 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝกึ หัด - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ 10.1 การประเมินระหว่าง การจัดกจิ กรรม - ประเมินการนาเสนอ - แบบประเมนิ การ - ระดบั คณุ ภาพ 2 1) การค้นพบกมั มัต ผลงาน ภาพรังสี - สงั เกตพฤติกรรม นาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์ 2) การนาเสนอ การทางาน ผลงาน รายบคุ คล - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภาพ 2 3) พฤตกิ รรมการ ทางานรายบคุ คล การทางาน ผ่านเกณฑ์ รายบคุ คล 4) พฤตกิ รรมการ - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพ 2 ทางานกลุม่ การทางานกล่มุ - สังเกตความมวี ินัย การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์ 5) คณุ ลักษณะ ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ ม่ัน อนั พึงประสงค์ ในการทางาน - แบบประเมิน - ระดับคณุ ภาพ 2 คุณลักษณะ ผา่ นเกณฑ์ อนั พึงประสงค์ ลงช่ือ..................................................ผู้สอน (............................................)
ใบงานท่ี 12 เรอื่ ง การคน้ พบกมั มันตภาพรงั สี ค้าชี้แจง : ให้นักเรยี นตอบค้าถามตอ่ ไปน้ี 1. เบ็กเคอเรลค้นพบกัมมนั ตภาพรงั สไี ดอ้ ยา่ งไร 2. กมั มันตภาพรังสีและกัมมนั ตรังสีเหมอื นหรอื แตกต่างกันอย่างไร 3 รังสีทีแ่ ผ่ออกมาจากธาตกุ ัมมันตรังสมี ีก่ีชนดิ อะไรบ้าง 4. รงั สีทีแ่ ผ่ออกมาจากธาตุกมั มันตรังสีมอี านาจทะลุผ่านอย่างไร 5. จงเตมิ คาตอบลงในตารางใหถ้ ูกตอ้ งและครบถ้วน ชนดิ ของรังสี รังสีแอลฟา รงั สีบีตา รงั สแี กมมา สญั ลกั ษณ์ ประจุไฟฟา้ มวล
ใบงานท่ี 13 เฉลย เรอ่ื ง การคน้ พบกัมมันตภาพรงั สี ค้าช้แี จง : ให้นกั เรียนตอบค้าถามต่อไปนี้ 1. เบ็กเคอเรลค้นพบกัมมนั ตภาพรังสีได้อยา่ งไร เบ็กเคอเรลได้ค้นพบกัมมันตภาพรังสีจากการทดลอง นาแผ่นฟิล์มที่ใส่ไว้ในซองกระดาษสีดาทึบไปวางไว้ใต้เกลือ ยูเรเนยี ม แล้วนาไปตากแดด ท้ังน้ีเพื่อศึกษารังสีเอ็กซ์ทเี่ กิดจากสารประกอบยูเรเนียมแตป่ รากฏว่า รังสีท่ที าปฏกิ ิริยา กบั แผ่นฟลิ ์มมีความเขม้ ขน้ สูงกวา่ รงั สเี อ็กซ์ ทั้งทีส่ ารประกอบยเู รเนยี มอยู่ในท่มี ดื ไม่ได้รับแสงแดด 2. กมั มันตภาพรงั สีและกัมมนั ตรงั สีเหมอื นหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไร กัมมนั ตภาพรงั สี คือ ปรากฏการณท์ ่ีธาตุแผร่ ังสีได้เองอย่างต่อเน่อื ง สว่ นกมั มันตรงั สีหรือธาตุกมั มันตรงั สี คือ ธาตุท่ี มคี ณุ สมบัตสิ ามารถแผร่ ังสไี ด้เองอยา่ งต่อเนอ่ื ง 3 รังสที แ่ี ผอ่ อกมาจากธาตุกมั มันตรังสีมกี ชี่ นดิ อะไรบ้าง มี 3 ชนิด ไดแ้ ก่ รงั สีแอลฟา รังสีบีตา และรังสแี กมมา 4. รังสีทแ่ี ผ่ออกมาจากธาตกุ ัมมนั ตรงั สมี ีอานาจทะลุผ่านอยา่ งไร รังสีแอลฟาไม่สามารถเคลื่อนทีผ่ ่านแผ่นกระดาษได้ รังสีบตี าสามารถเคล่ือนที่ผา่ นแผน่ กระดาษได้ แต่ไม่สามารถ เคลื่อนที่ผ่านแผ่นอะลูมิเนียมได้ และรังสีแกมมาสามารถเคลื่อนที่ผ่านแผ่นกระดาษและแผ่นอะลูมิเนียมได้ แต่ไม่ สามารถเคล่ือนที่ผ่านแผ่นตะกั่วได้ จึงสรุปได้ว่า รังสีแกมมามีอานาจทะลุผ่านสูงสุด รองลงมา คอื รงั สบี ตี า และรงั สี แอลฟา ตามลาดบั 5. จงเตมิ คาตอบลงในตารางให้ถูกตอ้ งและครบถว้ น ชนดิ ของรงั สี รงั สแี อลฟา รงั สีบีตา รงั สแี กมมา ������ ������ สัญลักษณ์ ������ -1e 0 ประจุไฟฟ้า +2e 9.11 × 10-31 kg 0 มวล 6.65 × 10-27 kg
แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 3 เร่ือง ฟสิ กิ สน์ วิ เคลียร์ แผนจดั การเรยี นรู้ที่ 14 เรือ่ ง การเปลย่ี นสภาพนวิ เคลยี ส รายวิชา ฟิสกิ ส์ รหัสวชิ า ว33206 ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6/1 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 น้าหนกั เวลาเรียน 80 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ชั่วโมง/สัปดาห์ เวลาท่ีใช้ในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 3 ช่วั โมง .......................................................................................................................................................... 1. ผลการเรียนรู้ อธิบายกัมมนั ตภาพรงั สีและความแตกตา่ งของรังสแี อลฟา บีตา และแกมมา 2. จดุ ประสงค.์ 1. อธบิ ายการคน้ พบนิวตรอนตามสมมติฐานโปรตอน-นิวตรอนได้ (K) 2. สืบค้นข้อมูลและเขียนสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของนิวเคลียสและการค้นพบนิวตรอนได้อย่าง ถูกตอ้ ง (P) 3. มคี วามรับผิดชอบตอ่ งานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย และปฏบิ ัติงานตรงตามเวลาทค่ี รกู าหนด (A) 3. สาระส้าคัญ การแผ่รังสีจากธาตุกัมมันตรังสีเกิดจากการเปล่ียนสภาพนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี เม่ือนิวเคลียสของธาตุ กัมมนั ตรังสเี กิดการเปล่ยี นแปลง ธาตุกัมมันตรงั สนี น้ั จะมกี ารแผร่ ังสีแอลฟา หรือรงั สบี ตี า หรือรงั สีแกมมา ออกมา จึง กล่าวได้ว่า รังสีแอลฟา รังสีบีตา และรังสีแกมมาเกิดจากการเปลี่ยนสภาพนิวเคลียส โดยการเปล่ียนสภาพ นิวเคลยี สมักจะทาให้มีธาตใุ หมเ่ กิดข้นึ พร้อมกับการแผร่ งั สีแอลฟาหรอื รังสบี ีตาเสมอ รทั เทอร์ฟอร์ดได้ได้เสนอความคิดเกยี่ วกับชนดิ ของอนุภาคในนิวเคลยี สวา่ อิเล็กตรอนและโปรตอนในนิวเคลียส อาจรวมกันเป็นอนุภาคที่มีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า เรียกว่า นิวตรอน จากนั้นแชดวิกได้วิเคราะห์ผลการทดลองของ รทั เทอร์ฟอร์ดและได้เสนอแนวคิดซงึ่ สนับสนุนความคิดของรัทเทอรฟ์ อร์ดท่ีว่า มอี นภุ าคนิวตรอนอยใู่ นนิวเคลยี ส 4. สมรรถนะสา้ คญั ของนักเรยี น 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแก้ปญั หา 5. คุณลกั ษณะของวิชา - ความรับผิดชอบ - ความรอบคอบ - กระบวนการกลุ่ม 6. คณุ ลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงค์ 1. มวี นิ ัย 2. ใฝเ่ รยี นรู้ 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน - ใบงานที่ 14 เรอื่ ง การเปลีย่ นสภาพนวิ เคลียส
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142