ขน้ั สอน ข้ันรู้ (Knowing) 1. ครูให้ควำมรู้กับนักเรียนว่ำ เรำสำมำรถนำควำมรู้เกี่ยวกับกระแสไฟฟ้ำเหน่ียวนำไปอธิบำยผลท่ีเกิดขึ้นใน เครอื่ งใช้ไฟฟำ้ บำงชนิด เช่น มอเตอรไ์ ฟฟำ้ แบลลสั ตใ์ นวงจรฟลอู อเรสเซนต์ 2. ครูอธิบำยเพิ่มเติมเกี่ยวกับมอเตอร์ไฟฟ้ำและแรงเคลื่อนไฟฟ้ำว่ำ เม่ือพิจำรณำมอเตอร์ไฟฟ้ำที่มีกระแสไฟฟ้ำ เข้ำมอเตอร์ กระแสไฟฟ้ำนี้จะทำให้เกิดโมเมนต์ของแรงคู่ควบซึ่งจะทำให้ขดลวดหมุน แต่ขณะที่มอเตอร์หมุน ฟลักซ์แม่เหล็กท่ีผ่ำนขดลวดจะมีค่ำเปล่ียนแปลง เกิดแรงเคล่ือนไฟฟ้ำเหน่ียวนำที่มีทิศตรงข้ำมกับ แรงเคลื่อนไฟฟ้ำเดิม ทำให้กระแสไฟฟ้ำเหนี่ยวนำในขดลวดในทิศตรงข้ำมกับกระแสไฟฟ้ำท่ีทำให้ขดลวดหมุน จงึ เปน็ ผลทำให้กระแสไฟฟ้ำผำ่ นมอเตอรข์ ณะหมุนด้วยอัตรำเร็วคงตัว มคี ำ่ นอ้ ยกว่ำกระแสไฟฟำ้ ท่ีผ่ำนมอเตอร์ ขณะเร่ิมหมุน แรงเคล่อื นไฟฟ้ำเหน่ียวนำนเ้ี รยี กวำ่ แรงเคลอ่ื นไฟฟำ้ ต้ำนกลบั (back emf) 3. ครูให้นักเรียนจับคู่กัน เปิดโอกำสให้เลือกจับคู่ตำมควำมสมัครใจของนักเรียน จำกน้ันให้แต่ละคู่ร่วมกันศึกษำ ค้นคว้ำข้อมูล เร่ือง เคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำ จำกหนังสือเรียนหรือแหล่งกำรเรียนรู้ต่ำง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต โดยให้แต่ ละคู่ เลือกศึกษำคนละ 1 เร่ือง จำกน้ันให้แต่ละคนภำยในคู่นำเรื่องท่ีตนเองศึกษำค้นคว้ำมำอธิบำยให้เพื่อนฟัง แลว้ รว่ มกันสรปุ ข้อมูลท่ีได้ลงในสมุดประจำตัว หวั ขอ้ เรอ่ื ง มีดังนี้ คนท่ี 1 ศึกษำเครื่องกำเนดิ ไฟฟำ้ กระแสตรง (DC generator) คนที่ 2 ศกึ ษำเครือ่ งกำเนดิ ไฟฟ้ำกระแสสลบั (AC generator) 4. ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนกั เรียนแตล่ ะกลุ่มขณะปฏิบตั ิกจิ กรรม และเปิดโอกำสให้นักเรียนทุกคนซกั ถำมได้เม่ือ เกิดปญั หำหรอื ข้อสงสยั 5. ครูสุ่มนักเรยี นจำนวน 2-3 คู่ ออกมำนำเสนอผลกำรศึกษำขอ้ มูลหน้ำช้ันเรียน ในระหว่ำงท่ีนักเรียนนำเสนอครู คอยใหข้ ้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพือ่ ให้นักเรยี นมีควำมเข้ำใจท่ถี กู ตอ้ ง 6. ครูตง้ั ประเด็นคำถำม โดยใหน้ ักเรยี นร่วมกันอภิปรำยแสดงควำมคิดเห็นเพ่ือหำคำตอบรว่ มกนั ดังนี้ เมื่อพจิ ำรณำระนำบขดลวดขณะตง้ั ฉำกกับสนำมแมเ่ หลก็ กระแสไฟฟ้ำเหนี่ยวมีค่ำเทำ่ ใด ณ เวลำ ������ ขณะระนำบของขดลวดขนำนกับสนำมแม่เหล็ก เวลำ ������ ขณะระนำบขดลวดตั้งฉำกกับ 42 สนำมแม่เหล็ก เวลำ 3������ ขณะระนำบของขดลวดขนำนกบั สนำมแม่เหล็ก และเวลำ ������ขณะระนำบขดลวด 4 ตัง้ ฉำกกบั สนำมแม่เหล็ก คำ่ ของกระแสไฟฟำ้ มีคำ่ อยำ่ งไร ขน้ั เขา้ ใจ (Understanding) 1. ครูชี้ให้นักเรียนเห็นควำมแตกต่ำงของกรำฟระหว่ำงแรงเคลื่อนไฟฟ้ำเหน่ียวนำ (และกระแสไฟฟ้ำเหน่ียวนำ) กับ เวลำระหว่ำงไฟฟ้ำกระแสสลบั และกรำฟไฟฟ้ำกระแสตรง ตำมรำยละเอยี ดในหนงั สือเรียน 2. ครูให้ควำมรู้กับนักเรียนเกี่ยวกับกรำฟควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำกับเวลำของไฟฟ้ำกระแสสลับ ควำมถ่ีของไฟฟ้ำ กระแสสลับ และควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำของไฟฟ้ำกระแสสลับในประเทศ รวมท้ังแนะนำกำรใช้เคร่ืองไฟฟ้ำอย่ำง ถูกตอ้ ง ตำมรำยละเอยี ดในหนังสอื เรียน 3. ครูอธิบำยเพิ่มเติมว่ำ เครื่องกำเนิดไฟฟ้ำกระแสสลับสำหรับกำรใช้งำน สำรองไฟฟ้ำ ในกรณีไฟฟ้ำหลักขัดข้อง (Emergency Standby Power – ESP) เคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำประเภทน้ี ในประเทศไทยนิยมใช้มำกท่ีสุด เน่ืองจำกไฟฟ้ำหลักโดยทั่วไป ค่อนข้ำงม่ันคง และคลอบคลุมเกือบทั่วประเทศไทย ซึ่งครูอำจให้นักเรียนไป ศกึ ษำเป็นควำมรเู้ สริม
4. ครใู ห้ควำมรู้กับนักเรยี นเก่ียวกับเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำกระแสสลับ 3 เฟส ตำมรำยละเอียดในหนังสือเรียน ซง่ึ อำจ แยกหวั ข้อ ดังนี้ กำรส่งพลงั งำนไฟฟำ้ ไปตำมบ้ำนเรือน ข้อดีของกำรผลิตและกำรส่งกระแสไฟฟ้ำ 3 เฟส ควำมต่ำงศักยไ์ ฟฟำ้ ทเี่ หมำะสม ขนั้ ลงมือทา (Doing) 1. นักเรียนจับคู่ (คู่เดิม) จำกนั้นร่วมกันทำใบงำน เรื่อง แรงเคลื่อนไฟฟ้ำเหนี่ยวนำในมอเตอร์และเครื่อง กำเนิดไฟฟ้ำ 2. ครูสุ่มนักเรียนจำนวน 2 คู่ ออกมำเฉลยใบงำน โดยครูให้นักเรียนรว่ มกันพิจำรณำว่ำคำตอบใดถูกต้อง จำกนั้น ครูเฉลยคำตอบที่ถูกตอ้ งใหน้ กั เรยี น ข้นั สรุป 1. ครูกล่ำวสรปุ วำ่ โรงไฟฟำ้ จะสง่ กำลงั ไฟฟ้ำด้วยควำมต่ำงศักยค์ ำ่ หนึง่ เมอื่ ถึงสถำนีย่อยควำมต่ำงศักยจ์ ะถูกทำให้ ลดลงเหลือ 220 โวลต์ สำหรับใช้ตำมบ้ำนเรือน ซึ่งอุปกรณ์ท่ีใช้เปลี่ยนควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำน้ี คือ หม้อแปลง ไฟฟ้ำ ซง่ึ นกั เรยี นจะได้เรียนในคำบตอ่ ไป 3. ครูเปดิ โอกำสให้นักเรียนสอบถำมเน้ือหำทีไ่ ด้ศกึ ษำผำ่ นมำแลว้ ว่ำมีสว่ นไหนท่ียังไม่เข้ำใจ แล้วให้ควำมรู้เพ่มิ เติม ในส่วนน้ัน โดยท่ีครูอำจจะใช้ PowerPoint เร่ือง แรงเคลื่อนไฟฟ้ำเหนย่ี วนำในมอเตอรแ์ ละเคร่ืองกำเนดิ ไฟฟ้ำ มำช่วยในกำรอธบิ ำย 4. ครูมอบหมำยให้นักเรียนฝึกทำแบบฝึกหัด Topic Question เรื่อง แรงเคลื่อนไฟฟ้ำเหนี่ยวนำในมอเตอร์และ เครือ่ งกำเนิดไฟฟ้ำ จำกหนงั สือเรียนฯ ลงในสมดุ ประจำตวั และศกึ ษำเนอ้ื หำ เรื่อง หมอ้ แปลงไฟฟ้ำ ซงึ่ จะเรียน ในคำบต่อไปมำลว่ งหน้ำ ขน้ั ประเมิน 1. ประเมนิ ควำมรเู้ ก่ยี วกบั เรอ่ื ง แรงเคล่ือนไฟฟำ้ เหนย่ี วนำในมอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ำ โดยสังเกตพฤติกรรม กำรตอบคำถำม กำรทำแบบฝกึ หดั ใบงำน และกำรสรุปสำระสำคญั 2. ประเมินทักษะและกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์จำกโดยสังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่ม กำรปฏิบัติกิจกรรม และกำรนำควำมรทู้ ไ่ี ดไ้ ปใช้ประโยชน์ 3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์โดยสังเกตพฤติกรรมจำกกำรสังเกตพฤติกรรมกำรปฏิบัติกิจกรรม กำร อภปิ รำย และกำรทำแบบฝกึ หัด 9. ส่อื การเรียนการสอน / แหล่งเรยี นรู้ 1) หนังสอื เรยี น รำยวชิ ำเพม่ิ เตมิ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ฟสิ กิ ส์ ม.6 เล่ม 1 2) แบบฝกึ หัด รำยวชิ ำเพ่ิมเตมิ วิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟสิ กิ ส์ ม.6 เลม่ 1
10. การวัดผลและประเมนิ ผล รายการวัด วธิ ีวดั เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมนิ - ใบงำนที่ 8 - ร้อยละ 60 ผ่ำน 10.1 กำรประเมนิ ระหว่ำง - ตรวจใบงำนที่ 8 - แบบฝกึ หดั เกณฑ์ - รอ้ ยละ 60 ผ่ำนเกณฑ์ กำรจัดกจิ กรรม - ตรวจแบบฝึกหดั 1) แรงเคลือ่ นไฟฟำ้ เหนย่ี วนำในมอเตอร์ และเครื่องกำเนดิ ไฟฟำ้ 2) กำรนำเสนอ - ประเมนิ กำรนำเสนอ - แบบประเมินกำร - ระดับคุณภำพ 2 ผลงำน ผลงำน นำเสนอผลงำน ผ่ำนเกณฑ์ 3) พฤติกรรมกำร - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภำพ 2 ทำงำนรำยบุคคล กำรทำงำน กำรทำงำน ผำ่ นเกณฑ์ รำยบคุ คล รำยบคุ คล 4) พฤติกรรมกำร - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภำพ 2 ทำงำนกล่มุ กำรทำงำนกลุ่ม กำรทำงำนกลุ่ม ผำ่ นเกณฑ์ 5) คุณลักษณะ - สังเกตควำมมวี นิ ัย - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภำพ 2 อนั พงึ ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมนั่ คุณลักษณะ ผ่ำนเกณฑ์ ในกำรทำงำน อนั พึงประสงค์ ลงช่อื ..................................................ผูส้ อน (............................................)
ใบงานท่ี 8 เรอ่ื ง แรงเคล่ือนไฟฟ้าเหนี่ยวนาในมอเตอรแ์ ละเคร่อื งกาเนดิ ไฟฟ้า คาชี้แจง : ให้นักเรยี นอธิบำยควำมแตกตำ่ งของแรงเคลื่อนไฟฟ้ำและกระแสไฟฟ้ำระหวำ่ งเครอื่ งกำเนดิ ไฟฟำ้ กระแสสลับ (AC) กบั เครอื่ งกำเนิดไฟฟำ้ กระแสตรง (DC) เครื่องกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสตรง เครอื่ งกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
ใบงานท่ี 8 เฉลยเรื่อง แรงเคลอ่ื นไฟฟา้ เหนีย่ วนาในมอเตอรแ์ ละเครือ่ งกาเนดิ ไฟฟา้ คาชี้แจง : ใหน้ กั เรยี นอธิบำยควำมแตกต่ำงของแรงเคลอื่ นไฟฟ้ำและกระแสไฟฟ้ำระหว่ำงเครอ่ื งกำเนดิ ไฟฟ้ำกระแสสลับ (AC) กับเครอื่ งกำเนิดไฟฟำ้ กระแสตรง (DC) เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสตรง เครอื่ งกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง เครื่องกำเนิดไฟฟ้ำกระแสสลบั ประกอบด้วยขดลวดตำนำทห่ี มุนอยู่ภำยในสนำมแม่เหล็กโดยมแี รงภำยนอกมำกระทำขดลวดจะทำให้ เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้ำเหน่ียวนำ ������ = −������ (������������) เม่ือ N คือ จำนวนรอบของขดลวดซ่ึงแต่ละรอบมีพื้นท่ีหน้ำตัด A เท่ำกัน เม่ือขดลวด ������������ หมุนด้วยอัตรำเร็วเชิงมุม ������ รอบแกนตั้งฉำกกับสนำมแม่เหล็ก จะได้ ������ = ������������ cos(������������) ดังน้ันจะได้ ������ = ������������������������ sin(������������) จำกสมกำรจะเห็นว่ำ แรงเคล่ือนไฟฟ้ำเหนี่ยวนำ (emf) เปลี่ยนแปลงเป็นตำมเวลำเป็นฟังก์ชันไซน์ และ แรงเคลื่อนไฟฟำ้ เหนี่ยวนำจะค่ำสูงสุดเม่ือ ������������ = 90° หรอื 270° และท่ี ������������ = 0° หรอื 180° ซึ่งเป็นมุมที่ระนำบของขดลวดตวั นำ ตง้ั ฉำกกบั สนำมแม่เหล็กแรงเคล่ือนไฟฟ้ำเหนี่ยวนำจะเปน็ ศนู ย์ เคร่ืองกำเนิดไฟฟำ้ กระแสตรง จะมสี ว่ นประกอบคลำ้ ยกบั เคร่อื งกำเนิดไฟ้ฟำ้ กระแสสลบั เวน้ แตข่ วั้ ไฟฟำ้ ทส่ี มั ผสั และวงแหวนหมุนซ่งึ มี เพียงวงเดยี วแต่แบ่งออกเป็นสองส่วน ซ่งึ เรียกวำ่ คอมมิวเตเตอร์ (Commutator) มแี รงดันเหมอื นกันเสมอ ดังนนั้ กระแสไฟฟ้ำทเี่ กิดขึ้น จึง เปน็ ไฟฟำ้ กระแสตรง
เร่ือง แรงเคลอื่ นไฟฟ้าเหนยี่ วนาในมอเตอร์และเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟ้า คาชแี้ จง : ใหน้ กั เรยี นอธิบำยควำมแตกต่ำงของแรงเคลอื่ นไฟฟำ้ และกระแสไฟฟ้ำระหวำ่ งเคร่อื งกำเนิดไฟฟ้ำกระแสสลับ (AC) กับเครอ่ื งกำเนิดไฟฟ้ำกระแสตรง (DC) เครื่องกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสตรง เครอื่ งกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง เครื่องกำเนิดไฟฟ้ำกระแสสลบั ประกอบด้วยขดลวดตำนำท่หี มุนอยู่ภำยในสนำมแม่เหล็กโดยมีแรงภำยนอกมำกระทำขดลวดจะทำให้ เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้ำเหน่ียวนำ ������ = −������ (������������) เมื่อ N คือ จำนวนรอบของขดลวดซึ่งแต่ละรอบมีพ้ืนที่หน้ำตัด A เท่ำกัน เม่ือขดลวด ������������ หมุนด้วยอัตรำเร็วเชิงมุม ������ รอบแกนตั้งฉำกกับสนำมแม่เหล็ก จะได้ ������ = ������������ cos(������������) ดังน้ันจะได้ ������ = ������������������������ sin(������������) จำกสมกำรจะเห็นว่ำ แรงเคล่ือนไฟฟ้ำเหน่ียวนำ (emf) เปล่ียนแปลงเป็นตำมเวลำเป็นฟังก์ชันไซน์ และ แรงเคลื่อนไฟฟำ้ เหน่ยี วนำจะคำ่ สูงสดุ เมือ่ ������������ = 90° หรือ 270° และท่ี ������������ = 0° หรือ 180° ซงึ่ เปน็ มุมที่ระนำบของขดลวดตวั นำ ต้งั ฉำกกบั สนำมแมเ่ หล็กแรงเคลือ่ นไฟฟ้ำเหนีย่ วนำจะเปน็ ศนู ย์ เครื่องกำเนดิ ไฟฟำ้ กระแสตรง จะมีส่วนประกอบคล้ำยกบั เครื่องกำเนดิ ไฟฟ้ ้ำกระแสสลบั เว้นแตข่ ัว้ ไฟฟ้ำทีส่ ัมผัสและวงแหวนหมนุ ซงึ่ มี เพยี งวงเดียวแตแ่ บง่ ออกเปน็ สองสว่ น ซึ่งเรยี กวำ่ คอมมิวเตเตอร์ (Commutator) มีแรงดันเหมอื นกันเสมอ ดังนั้นกระแสไฟฟ้ำทเ่ี กิดข้นึ จึง เป็นไฟฟำ้ กระแสตรง
แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 เรอ่ื ง แมเ่ หลก็ และไฟฟา้ แผนจัดการเรียนร้ทู ี่ 9 เร่อื ง หม้อแปลง รายวชิ า ฟสิ ิกส์ รหัสวิชา ว33205 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 น้าหนกั เวลาเรียน 80 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ชั่วโมง/สัปดาห์ เวลาทใี่ ชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 4 ชั่วโมง ............................................................................................................................. ............................. 1. ผลการเรยี นรู้ 4) สังเกต และอธิบำยกำรเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำ กฎกำรเหนี่ยวนำของฟำรำเดย์ และคำนวณปริมำณต่ำง ๆ ที่ เกย่ี วข้อง รวมทงั้ นำควำมร้เู รื่องอีเอ็มเอฟเหนีย่ วนำไปอธบิ ำยกำรทำงำนของเครอื่ งใช้ไฟฟำ้ ได้ 5) อธบิ ำย และคำนวณควำมต่ำงศกั ยอ์ ำร์เอ็มเอสและกระแสไฟฟ้ำอำร์เอม็ เอสได้ 6) อธิบำยหลักกำรทำงำนและประโยชน์ของเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำกระแสสลับ 3 เฟส กำรแปลงอีเอ็มเอฟของหม้อ แปลง และคำนวณปริมำณตำ่ ง ๆ ทเี่ ก่ียวข้องได้ 2. จุดประสงค์ 1. อธิบำยกำรผลิตพลังงำนไฟฟ้ำและกำรส่งกำลังไฟฟ้ำ หม้อแปลง ตลอดจนกำรนำควำมรู้ทำงแม่เหล็กไฟฟ้ำไปใช้ ประโยชน์ได้ (K) 2. ปฏบิ ตั ิกิจกรรมหม้อแปลงได้อย่ำงถูกต้อง (P) 3. ควำมเป็นคนช่ำงสงั เกต ช่ำงคิด ช่ำงสงสยั ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ มน่ั ในกำรเสำะแสวงหำควำมรู้ (A) 3. สาระสาคญั ในระบบส่งจ่ำยกำลังไฟฟ้ำจำกโรงไฟฟ้ำไปยังบ้ำนเรือนจะมีอุปกรณ์ไฟฟ้ำอย่ำงหน่ึงติดต้ังไว้เป็นช่วงๆ อุปกรณ์ ไฟฟ้ำดังกล่ำว คือ หม้อแปลงไฟฟ้ำ หรือเรียกสั้นๆ ว่ำ หม้อแปลง ซึ่งใช้สำหรับเพ่ิมแรงดันไฟฟ้ำให้สูงมำกพอที่จะส่งจ่ำย กำลังไฟฟ้ำไปตำมสำยส่งได้ไกลๆ และมีกำรสูญเสียในสำยส่งน้อยที่สุด หรือเพื่อลดแรงดันไฟฟ้ำให้ เหมำะสมกับ แรงดนั ไฟฟ้ำใชง้ ำนของเคร่ืองใช้ไฟฟำ้ ท่ีใชต้ ำมบำ้ นเรือน 4. สมรรถนะสาคญั ของนักเรียน 1. ควำมสำมำรถในกำรคดิ 2. ควำมสำมำรถในกำรแกป้ ัญหำ 5. คณุ ลักษณะของวชิ า - ควำมรับผิดชอบ - ควำมรอบคอบ - กระบวนกำรกลุ่ม 6. คุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ 1. มวี ินยั 2. ใฝ่เรียนรู้ 7. ช้ินงาน/ภาระงาน - ใบงำนที่ 9 เร่อื ง หม้อแปลง
8. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ช่วั โมงที่ 1-2 ขั้นนำ ขน้ั การใช้ความร้เู ดิมเช่ือมโยงความรใู้ หม่ (Prior Knowledge) 1. ครูทบทวนควำมรู้เดิมเก่ีบวกับแรงเคลื่อนไฟฟ้ำเหนี่ยวนำในมอเตอร์และเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำ และนำเข้ำสู่ บทเรยี นเก่ียวกับหม้อแปลงไฟฟ้ำ โดยครถู ำมคำถำมเพือ่ กระตนุ้ กำรคดิ ดงั นี้ หมอ้ แปลงทำหน้ำท่ีอะไร ทำงำนไดอ้ ย่ำงไร และนำไปใชป้ ระโยชนอ์ ยำ่ งไรบำ้ ง แกนหมอ้ แปลงทำหน้ำท่เี หมอื นอปุ กรณใ์ ดในวงจรไฟฟ้ำ หม้อแปลงใชล้ ดหรือเพิม่ แรงดนั ไฟฟำ้ กระแสตรงได้หรอื ไม่ เพรำะเหตใุ ด กำรใช้หมอ้ แปลงท่มี ีกำลงั ไฟฟำ้ ต่ำกวำ่ เครื่องใช้ไฟฟ้ำจะส่งผลต่อหม้อแปลงและเครือ่ งใชไ้ ฟฟำ้ อย่ำงไร กำรสูญเสียหม้อแปลงใช้ลดหรือเพ่ิมแรงดันไฟฟ้ำกระแสตรงได้หรอื ไม่ เพรำะเหตุใด 2. ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรำยแสดงควำมคิดเห็นอย่ำงอิสระโดยไม่มีกำรเฉลยว่ำถูกหรือผิด ซ่ึงนักเรียนจะได้ คำตอบท่ถี ูกตอ้ งจำกกำรเรยี นต่อไป ข้นั สอน ข้ันรู้ (Knowing) 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ทั้งหมด 4 กลุ่ม ให้ผู้แทนนักเรียนแต่ละกลุ่มออกมำจับสลำกเลือกหัวข้อในกำรสืบค้น จำก แหลง่ เรยี นรูต้ ่ำง ๆ ดังน้ี สว่ นประกอบของหม้อแปลงไฟฟ้ำ หลักกำรทำงำนของหม้อแปลงไฟฟำ้ ชนดิ ของหม้อแปลงไฟฟำ้ กำรใช้งำนหม้อแปลงไฟฟำ้ ชนิดต่ำง ๆ 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรำยเรื่องท่ีได้ศึกษำ จำกน้ันให้นักเรียนแต่ละคนเขียนสรุปควำมรู้ท่ีได้จำก กำรศึกษำคน้ คว้ำลงในสมดุ ประจำตัว เพ่ือนำส่งครทู ้ำยชัว่ โมง 3. ครใู ห้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำผลกำรสืบคน้ มำจดั ให้อยใู่ นแบบท่ีนำ่ สนใจ 4. ครใู ห้ตวั แทนนักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกมำนำเสนอผลกำรสบื ค้นหน้ำชั้นเรียน 5. นกั เรียนร่วมกันสรุปสำระสำคญั เกยี่ วกับหม้อแปลงไฟฟำ้ ให้ได้ประเด็น ดังน้ี หม้อแปลงไฟฟ้ำทำหน้ำท่ีเพิ่มและลดแรงดันไฟฟ้ำกระแสสลับให้เหมำะสมตำมที่วงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้ ถูกออกแบบ ซงึ่ สำมำรถนำหม้อแปลงไปใช้ในงำนหลำยด้ำน ท้ังในระบบกำรจ่ำยไฟฟ้ำ หรือเป็นอุปกรณ์ ประกอบในเคร่ืองใช้ไฟฟ้ำต่ำง ๆ ที่ใช้กันตำมบ้ำนเรือน เช่น โทรทัศน์ เครื่องขยำยเสียง หรืออะแดป เตอร์แปลงไฟเพื่อใชใ้ นงำนตำ่ ง ๆ กำรทำงำนของหม้อแปลงไฟฟ้ำอธิบำยได้ด้วยกฎกำรเหนี่ยวนำของฟำรำเดย์ กล่ำวคือ ขดลวดปฐมภูมิ ซึ่งต่ออยู่กับแหล่งจ่ำยไฟฟ้ำกระแสสลับทำให้เกิดสนำมแม่เหล็กท่ีเปล่ียนแปลงตำมเวลำ โดยฟลักซ์ แม่เหล็กจะวนไปตำมแกนเหล็กและตัดผ่ำนขดลวดทุติยภูมิ ฟลักซ์แม่เหล็กท่ีเปลี่ยนแปลงตำมเวลำจะ เหนีย่ วนำให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟำ้ และกระแสไฟฟำ้ เหน่ียวนำข้นึ ในวงจรของขดลวดทตุ ยิ ภมู ิ
เม่ือจ่ำยกระแสไฟฟ้ำสลับให้กับขดลวดปฐมภมู ิ หม้อแปลงจะเกดิ สนำมแม่เหลก็ ทไี่ หลตำมเขม็ และทวน เข็มนำฬิกำ สนำมแม่เหล็กจะเคล่ือนท่ีไปตัดกับขดลวดทุติยภูมิ ทำให้เกิดแรงดันเหนี่ยวนำขึ้นที่ขดลวด ทุติยภูมิที่ต่อกับโหลด โดยแรงเคล่ือนเหน่ียวนำท่ีเกิดข้ึน จะมีควำมสัมพันธ์กับกำรเปล่ียนแปลงของ สนำมแม่เหลก็ และจำนวนรอบของขดลวด ข้นั เข้าใจ (Understanding) 1. ครูให้ควำมรู้กับนักเรียนเกี่ยวกับขดลวดปฐมภูมิ ขดลวดทุติยภูมิ และควำมสัมพันธ์ของแรงเคลื่อนไฟฟ้ำใน ขดลวดกบั จำนวนรอบของขดลวด ตำมรำยละเอียดในหนงั สอื จนได้ควำมสัมพันธต์ ำมสมกำร ������2 = ������2 ������1 ������1 2. ครูให้นักเรียนแต่ละคนศึกษำสมกำรท่ีใช้ในกำรคำนวณเกี่ยวกับหม้อแปลง ตำมรำยละเอียดในหนังสือเรียน และศกึ ษำตัวอย่ำงท่ี 1.9 เพอื่ ใหน้ กั เรียนเกดิ ควำมเขำ้ ใจมำกยิ่งข้ึน 3. นักเรียนจับคู่กับเพื่อนในช้ันเรียน ตำมควำมสมัครใจของนักเรียน จำกน้ันร่วมกันทำใบงำน เรื่อง หม้อแปลง ไฟฟำ้ 4. ครูสุ่มนักเรียนจำนวน 2 คู่ ออกมำเฉลยใบงำน โดยนักเรียนร่วมกันพิจำรณำว่ำคำตอบใดถูกต้อง จำกน้ันครู เฉลยคำตอบท่ถี กู ตอ้ งใหน้ กั เรียน 5. ครูให้ควำมรู้กับนักเรียนเกี่ยวกับหม้อแปลงขึ้น หม้อแปลงลง หม้อแปลงเชิงอุดมคติ กำรสูญเสียในแกนเหล็ก จำกกำรเกดิ กระแสวน (eddy current) และกำรใช้เครือ่ งใช้ไฟฟำ้ บำงชนดิ ตำมรำยละเอยี ดในหนังสอื ชั่วโมงที่ 3-4 ขั้นสอน ขนั้ ลงมือทา (Doing) 1. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ปฏิบัติกิจกรรม หม้อแปลง โดยให้นักเรียนแบ่งบทบำทหน้ำที่ของ สมำชิกภำยในกลุ่มว่ำใครมีบทบำทหน้ำท่ีอย่ำงไร 2. นักเรียนทำกิจกรรมโดยครูกำหนดเวลำในกำรทำกิจกรรม ขณะท่ีนักเรียนทำกิจกรรม ครูคอยตรวจพฤติกรรม ของนกั เรยี นและจดบันทกึ ในแบบบนั ทกึ พฤตกิ รรม (หมายเหต:ุ ครูเริม่ ประเมินนกั เรียน โดยใช้แบบประเมนิ การปฏบิ ตั กิ ิจกรรม) 3. ครูแจ้งจุดประสงค์ของกิจกรรม หม้อแปลง ให้นักเรียนทรำบ เพ่ือเป็นแนวทำงกำรปฏิบัติที่ถูกต้อง จำกนั้นให้ นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกจิ กรรมตำมขน้ั ตอน จำกหนังสอื เรียน 4. นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ร่วมกันแลกเปลย่ี นควำมรแู้ ละวิเครำะห์ผลกำรปฏิบัตกิ ิจกรรม แล้วอภิปรำยผลร่วมกัน จำน น้ันแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมำนำเสนอผลกำรทำกิจกรรม ในระหว่ำงท่ีนักเรียนนำเสนอครูคอยให้ ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติมเพอ่ื ให้นักเรยี นมีควำมเข้ำใจท่ถี ูกต้อง 5. นกั เรียนรว่ มกันตอบคำถำมท้ำยกิจกรรม หม้อแปลง โดยใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกนั อภปิ รำยเพื่อหำคำตอบ 6. ครูสุ่มเลอื กนักเรยี น 2-3 กลุม่ ใหอ้ อกมำนำเสนอคำตอบของกล่มุ ตนเอง เมื่อนกั เรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอคำตอบ ของกล่มุ ตนเองเรียบร้อยแล้ว จำกนน้ั ครูเฉลยคำถำมท้ำยกิจกรรม
ข้นั สรปุ 1. นกั เรียนและครรู ่วมกนั สรุปเกี่ยวกับกจิ กรรม หมอ้ แปลง ดังน้ี เม่อื กระแสตรงผ่ำนขดลวดขดแรก จะไมม่ ีกระแสเหนยี่ วนำเกิดขึ้นในขดลวดขดที่สอง เมอื่ กระแสสลับผ่ำนขดลวดขดแรก จะมกี ระแสเหนี่ยวนำเกิดขึ้นในขดลวดขดทส่ี อง หลอดไฟที่ต่อกบั ขดลวด 200 รอบ จะสวำ่ งกว่ำหลอดไฟท่ีตอ่ กบั ขดลวด 100 รอบ 2. ครูเปดิ โอกำสใหน้ ักเรียนสอบถำมเน้ือหำท่ไี ดศ้ ึกษำผ่ำนมำแลว้ ว่ำมสี ่วนไหนท่ียังไมเ่ ขำ้ ใจ แล้วให้ควำมรู้เพ่ิมเติม ในส่วนนั้น โดยทค่ี รอู ำจจะใช้ PowerPoint เรอื่ ง หม้อแปลงไฟฟ้ำ มำชว่ ยในกำรอธบิ ำย 3. ครูใหน้ กั เรยี นทุกคนสรปุ เป็นแผนผังมโนทศั น์ (Concept Mapping) เร่อื ง หม้อแปลง 4. ครูมอบหมำยให้นักเรียนฝึกทำแบบฝึกหัด Topic Question เร่ือง หม้อแปลง จำกหนังสือเรียนฯ ลงในสมุด ประจำตวั 5. ครูใหน้ ักเรียนทำแบบฝกึ หัด เร่ือง หม้อแปลง เป็นกำรบ้ำนแล้วนำสง่ ครู และศึกษำเนื้อหำ เร่ือง ค่ำของปริมำณ ทเ่ี กย่ี วข้องกบั ไฟฟำ้ กระแสสลับ ซ่ึงจะเรียนในคำบต่อไปมำลว่ งหนำ้ ขัน้ ประเมนิ 1. ประเมินควำมรู้เก่ียวกับเร่ือง หม้อแปลง โดยสังเกตพฤติกรรมกำรตอบคำถำม กำรทำแบบฝึกหัด ใบงำน และ กำรสรปุ สำระสำคัญ 2. ประเมินทักษะและกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์จำกโดยสังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่ม กำรปฏิบัติกิจกรรม หมอ้ แปลง และกำรนำควำมรูท้ ่ไี ด้ไปใช้ประโยชน์ 3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์โดยสังเกตพฤติกรรมจำกกำรสังเกตพฤติกรรมกำรปฏิบัติกิจกรรม กำร อภิปรำย และกำรทำแบบฝึกหัด 9. ส่อื การเรียนการสอน / แหลง่ เรียนรู้ 1) หนงั สือเรียน รำยวชิ ำเพ่ิมเตมิ วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟสิ กิ ส์ ม.6 เล่ม 1 2) แบบฝึกหัด รำยวิชำเพิม่ เตมิ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ฟิสกิ ส์ ม.6 เลม่ 1
10. การวดั ผลและประเมินผล วิธวี ดั เครือ่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ รายการวัด - ตรวจใบงำนที่ 9 - ตรวจแบบฝึกหัด - ใบงำนที่ 9 - รอ้ ยละ 60 ผำ่ น 10.1 กำรประเมินระหว่ำง กำรจัดกิจกรรม - ประเมินกำรนำเสนอ - แบบฝกึ หดั เกณฑ์ 1) หมอ้ แปลง ผลงำน 2) กำรนำเสนอ - สงั เกตพฤติกรรม - รอ้ ยละ 60 ผำ่ นเกณฑ์ ผลงำน กำรทำงำน 3) พฤติกรรมกำร รำยบุคคล - แบบประเมนิ กำร - ระดับคุณภำพ 2 ทำงำนรำยบุคคล - สังเกตพฤติกรรม กำรทำงำนกลุ่ม นำเสนอผลงำน ผำ่ นเกณฑ์ 4) พฤติกรรมกำร - สังเกตควำมมวี ินัย ทำงำนกลุ่ม ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ มั่น - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดับคุณภำพ 2 ในกำรทำงำน 5) คุณลกั ษณะ กำรทำงำน ผ่ำนเกณฑ์ อนั พึงประสงค์ รำยบคุ คล - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภำพ 2 กำรทำงำนกลุ่ม ผ่ำนเกณฑ์ - แบบประเมนิ - ระดับคุณภำพ 2 คุณลกั ษณะ ผ่ำนเกณฑ์ อันพงึ ประสงค์ ลงชอื่ ..................................................ผสู้ อน (............................................)
ใบงานที่ 9 เร่ือง หมอ้ แปลง คาชี้แจง : ใหน้ ักเรียนตอบคำถำมตอ่ ไปนี้ 1) จำนวนรอบของขดลวดปฐมภูมิและขดลวดทุติยภูมิของหม้อแปลงเคร่ืองหน่ึงเป็น 200 รอบ และ 1,200 รอบ ตำมลำดับ ถ้ำมี กระแสไฟฟ้ำผำ่ นขดลวดปฐมภมู ิ 3.0 แอมแปร์ และหมอ้ แปลงมปี ระสทิ ธภิ ำพ 90% จะมีกระแสไฟฟ้ำผ่ำนขดลวดทตุ ยิ ภมู ิเท่ำใด 2) หมอ้ แปลงลงนำไปใช้กบั เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำในบ้ำนที่มกี ำลังไฟฟ้ำ 750 วัตต์ ถำ้ หลังจำกใช้งำนไป 1 นำที พบวำ่ เกิดควำม รอ้ นข้นึ ในแกนเหลก็ 5 กโิ ลจลู โดยเครอ่ื งใช้ไฟฟำ้ ไดร้ ับกำลังคงเดิม ขนำดของฟิวสท์ น่ี ำมำใชใ้ นวงจรดำ้ นเข้ำควรมคี ่ำ ตำ่ สุดกี่แอมแปร์
ใบงานที่ 9 เฉลย เรือ่ ง หมอ้ แปลง คาช้ีแจง : ให้นกั เรยี นตอบคำถำมตอ่ ไปนี้ 1) จำนวนรอบของขดลวดปฐมภูมิและขดลวดทุติยภูมิของหม้อแปลงเครื่องหน่ึงเป็น 200 รอบ และ 1,200 รอบ ตำมลำดับ ถ้ำมี กระแสไฟฟำ้ ผ่ำนขดลวดปฐมภมู ิ 3.0 แอมแปร์ และหมอ้ แปลงมปี ระสิทธิภำพ 90% จะมกี ระแสไฟฟำ้ ผำ่ นขดลวดทตุ ยิ ภูมเิ ท่ำใด วิธีทา จำก ������������������. = (������2������2) × 100% และ ������1 = ������1 ������1������1 ������2 ������2 จะได้ ������������������. = (������2������2) × 100% ������1������1 จึงได้ 90 = ( ������2(1200) ) × 100 (3.0)(200) 90 200 ������2 = (100) (1200) (3.0������) = 0.45������ ดังนัน้ กระแสไฟฟ้ำทผ่ี ำ่ นขดลวดทุติยภูมิจงึ มีค่ำเปน็ 0.45 แอมแปร์ 2) หม้อแปลงลงนำไปใช้กับเครอ่ื งใช้ไฟฟ้ำในบ้ำนท่ีมีกำลังไฟฟ้ำ 750 วตั ต์ ถ้ำหลงั จำกใชง้ ำนไป 1 นำที พบวำ่ เกดิ ควำม ร้อนขนึ้ ในแกนเหลก็ 5 กโิ ลจลู โดยเคร่ืองใช้ไฟฟ้ำไดร้ ับกำลงั คงเดมิ ขนำดของฟิวส์ท่นี ำมำใช้ในวงจรด้ำนเขำ้ ควรมคี ำ่ ต่ำสดุ กแ่ี อมแปร์ วธิ ที า กำลงั ไฟฟำ้ ที่สญู เสียไปในแกนเหลก็ มคี ำ่ เป็น ������������������������������ = ������ = 5×103J = 103 W ������ 60 s 12 โดยทกี่ ำลงั ด้ำนเข้ำมคี ่ำเท่ำกับผลบวกของกำลงั ดำ้ นออกกับกำลังไฟฟ้ำทส่ี ญู เสียไปในแกน หรอื ������������������ = ������������������������ + ������������������������������ จึงได้ ������1(220������) = 750 W + 103 W = 10,000 W 12 12 และ ������1 = 10,000 = 3.8 A 12(220������) ดงั น้นั กระแสไฟฟ้ำด้ำนเข้ำมีค่ำเท่ำกบั 3.8 แอมแปร์ ดงั นน้ั ขนำดของฟิวส์ที่นำมำใช้ในวงจรดำ้ นเขำ้ ควรมีคำ่ ตำ่ สุด 4.0 แอมแปร์
แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 เรื่อง ความรอ้ นและแกส๊ แผนจดั การเรยี นรู้ที่ 10 เร่ือง ความร้อน รายวชิ า ฟิสิกส์ รหัสวิชา ว33205 ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6/1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 น้าหนักเวลาเรยี น 80 (นน./นก.) เวลาเรยี น 4 ชั่วโมง/สัปดาห์ เวลาท่ีใชใ้ นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 4 ชั่วโมง .......................................................................................................................................................... 1. ผลการเรียนรู้ อธิบำยและคำนวณควำมร้อนที่ทำให้สสำรเปลี่ยนอุณหภูมิ ควำมร้อนที่ทำให้สสำรเปลี่ยนสถำนะและ ควำมรอ้ นทเี่ กดิ จำกกำรถำ่ ยโอนตำมกฎกำรอนรุ กั ษ์พลงั งำน 2. จุดประสงค์ 1. อธิบำยควำมหมำยของระดับอณุ หภูมหิ รอื สเกลอุณหภูมิได้ (K) 2. อธบิ ำยผลหลักกำรเปลยี่ นอุณหภูมแิ ละกำรเปล่ียนสถำนะของสสำรได้ (K) 3. คำนวณหำปริมำณทีเ่ ก่ียวข้องกับกำรเปลี่ยนอณุ หภูมแิ ละกำรเปลยี่ นสถำนะของสำรได้ (P) 4. มีควำมสนใจใฝ่ร้หู รืออยำกรอู้ ยำกเห็น และทำงำนรว่ มกับผู้อืน่ อยำ่ งสรำ้ งสรรค์ (A) 3. สาระสาคญั ระดับควำมร้อนของวัตถุสำมำรถบอกได้ด้วยอุณหภูมิ โดยอุณหภูมิจะแปรผันตำมพลังงำนจลน์เฉลี่ย ของแกส๊ กล่ำวได้วำ่ วัตถุท่ีมีควำมร้อนมำกจะมอี ุณหภูมิสูง วัตถุท่มี ีควำมร้อนนอ้ ยจะมีอณุ หภมู ติ ่ำ และเม่ือเรำนำวัตถุ ที่มีอุณหภูมิต่ำงกันมำสัมผัสกัน จะเกิดกำรถ่ำยโอนควำมร้อน จนกระทั่งวัตถุทั้งสองมีอุณหภูมิเท่ำกันหรือเรียกว่ำ เกดิ สมดลุ ควำมร้อน เมื่อพิจำรณำควำมร้อนที่เกิดจำกพลังงำนจลน์ของอะตอมหรือโมเลกุลของสสำร สำมำรถกล่ำวได้ว่ำ กำรถ่ำย โอนควำมรอ้ นเกิดได้ 3 แบบ คือ กำรนำควำมร้อน กำรพำควำมรอ้ น และกำรแผ่รงั สีควำมร้อน 4. สมรรถนะสาคัญของนักเรียน 1. ควำมสำมำรถในกำรคดิ - กระบวนกำรกลุ่ม 2. ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำ 5. คุณลักษณะของวชิ า - ควำมรบั ผดิ ชอบ - ควำมรอบคอบ 6. คณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ 1. มวี นิ ัย 2. ใฝเ่ รียนรู้ 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน - ใบงำนที่ 10 เร่ือง ควำมรอ้ น
8. กิจกรรมการเรยี นรู้ ชั่วโมงที่ 1-2 ขนั้ นำ ขน้ั การใช้ความรู้เดมิ เชื่อมโยงความรูใ้ หม่ (Prior Knowledge) 1. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง ควำมร้อนและทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ซึ่งเป็นปรนัยจำนวน 10 ข้อ ใชเ้ วลำ 10 นำที เพอื่ ตรวจสอบควำมร้พู ื้นฐำนของนกั เรียนก่อนเข้ำสเู่ นื้อหำ 2. ครูใช้คำถำมเพ่ือให้นักเรียนเกิดปัญหำและหำควำมรู้เพื่อให้ได้คำตอบ โดยใช้คำถำม Big Question จำก หนังสือเรียนว่ำ “บอลลูนสำมำรถลอยข้ึนไปบนท้องฟ้ำได้เกิดจำกส่ิงใดและมีหลักกำรอย่ำงไร” โดยเม่ือ นกั เรยี นศึกษำเรยี นรจู้ นจบหนว่ ยกำรเรยี นรนู้ ีแ้ ล้ว นักเรียนจะต้องตอบคำถำมและให้เหตผุ ลของข้อคำถำมนี้ได้ (แนวตอบ : บอลลูนสามารถลอยขึ้นไดโ้ ดยอาศัยหลักการของแก๊สตามกฎของชาร์ล โดยที่อากาศรอ้ นเกิดจากการ เผาไหมข้ องแกส๊ โพรเพนจากบริเวณฐานบอลลูน ส่งผลให้อากาศภายในบอลลูนร้อนขึน้ โมเลกุลของอากาศเกิด การขยายตัว ความหนาแน่นของอากาศภายในน้อยกว่าภายนอก และเน่ืองจากภายใต้ความดันบรรยากาศท่ี เท่ากันจงึ เกิดแรงลอยตวั บอลลนู จึงลอยขึน้ ดา้ นบนได้) 3. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบควำมเข้ำใจก่อนเรียนจำก Understanding Check จำกหนังสือเรยี น ลงในสมุด บนั ทกึ ประจำตัว (แนวตอบ : 1. ผิด 2. ถูก 3. ถกู 4. ถกู 5. ถกู ) 4. ครูถำมคำถำม Key Question กับนักเรียนว่ำ “สิ่งใดที่มีผลต่อกำรเปลี่ยนสถำนะของสสำร” โดยนักเรียน ร่วมกันตอบคำถำมและแสดงควำมคิดเห็นเก่ียวกับคำตอบของคำถำมเพื่อเชื่อมโยงเข้ำสู่เน้ือหำที่กำลังจะศึกษำ เรยี นรู้ต่อไป (แนวตอบ : ความร้อน ซงึ่ เป็นปจั จยั สาคญั อยา่ งหน่ึงทมี่ ีผลโดยตรงต่อสถานะของสสาร) 5. ครูทบทวนควำมรู้เดิมของนักเรียนว่ำ พลังงำนแบ่งได้ 2 ประเภท คือ พลังงำนท่ีใช้แล้วหมดไป ได้แก่ น้ำมัน แก๊สธรรมชำติ ถ่ำนหิน และพลังงำนท่ีใช้แล้วไม่หมดไปหรือพลังงำนทดแทน ได้แก่ แก๊สชีวภำพ (ได้จำกกำรหมัก มูลสัตว์) แก๊สโซฮอลล์ พลงั งำนน้ำ พลังงำนลม และพลังงำนแสงอำทิตย์ โดยนักเรียนจะสงั เกตได้ว่ำ พลงั งำนท่ีเรำ ใชป้ ระโยชนม์ ำกทส่ี ุดนนั้ อยู่ในรปู ของควำมรอ้ น ซ่งึ แหล่งพลงั งำนควำมร้อนท่ีมหำศำลท่ีสุด คอื ดวงอำทิตย์ 6. ครูถำมคำถำมกระตุ้นควำมสนใจกับนักเรียนว่ำ “เรำใช้พลังงำนในรูปของควำมร้อนอย่ำงไรบ้ำง” โดยให้ นักเรียนร่วมกนั แสดงควำมคิดเห็น (แนวตอบ : ปัจจุบันมีการนาความร้อนไปเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า เป็นพลังงานแสง นาไปใช้ในการตากแห้ง อาหาร การอบ เครอื่ งทาน้าอุ่น เตาอบ)
ขัน้ สอน ขนั้ รู้ (Knowing) 1. ครูชักชวนนักเรียนสนทนำโดยใช้คำถำมว่ำ นักเรียนคงรู้จักและสัมผัสกับควำมร้อนมำนำน และนักเรียน ทรำบหรอื ไม่วำ่ ควำมรอ้ นมคี วำมหมำยว่ำอย่ำงไร (แนวตอบ : ความร้อนเป็นพลังงานรปู หน่ึงที่สะสมอยู่ในรปู พลงั งานจลน์ของโมเลกุลของวตั ถุ) 2. ครูถำมคำถำมกระตุ้นกับนักเรียนต่อว่ำ “เม่ือทรำบถึงควำมหมำยของควำมร้อนแล้ว นักเรียนสำมำรถระบุระดับ ควำมร้อนได้หรือไม่ อย่ำงไร” ครูทิ้งช่วงเวลำให้นักเรียนคิดโดยท่ีครูยังไม่ต้องกำรคำตอบ เพ่ือเป็นกำรชัก นำเขำ้ สูเ่ น้ือหำทก่ี ำลงั จะศึกษำ 3. ให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนที่น่ังข้ำง ๆ จำกน้ันร่วมกันศึกษำ เรื่อง ควำมร้อน ในหัวข้อท่ีเก่ียวกับอุณหภูมิ จำก หนงั สอื เรยี น ในลกั ษณะของเพือ่ นคู่คิด 4. ครใู ห้สุ่มตวั แทนนักเรียนคนหน่ึงใช้มอื ข้ำงหนึ่งแตะท่แี กว้ น้ำแข็ง แล้วเอำมืออีกขำ้ งหน่ึงไปจบั ที่แขนเพื่อน และ นักเรียนอีกคนท่ีไม่ได้แตะแก้วน้ำแข็งจับแขนเพ่ือนคนเดียวกันท่ีแตะแก้วน้ำแข็ง จำกน้ันครูถำมคำถำมกับ นกั เรยี นว่ำ “จำกควำมรู้สึก ณ ตอนน้ี แขนของเพ่อื นรอ้ นหรือเยน็ ” (แนวตอบ : นักเรียนคนที่เอามือแตะแก้วน้าแข็งจะตอบว่า “เย็น” เนื่องจากความรู้สึกของเราไม่สามารถ บอกอุณหภูมิที่แม่นยาได้ โดยที่นักเรียนท้ัง 2 คน ซึ่งจับแขนเพ่ือนคนเดียวกันแต่ตอบแตกตา่ งกนั ) 5. ครูเน้นยำ้ กับนักเรียนว่ำ เมื่อนักเรียนได้ศึกษำเก่ียวกับระดับอุณหภูมิหรือสเกลอุณหภูมิจบแล้ว นักเรียน จะต้องสำมำรถคำนวณหรือแปลงหน่วยของอณุ หภูมิได้ 6. นักเรียนแต่ละคู่ร่วมกันศึกษำตัวอย่ำงที่ 2.1-2.2 จำกหนังสือเรียน โดยครูมอบหมำยให้นักเรียนจดบันทึก ลงในสมดุ บนั ทกึ ประจำตวั 7. ครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมำหน้ำชั้นเรียน เพื่ออธิบำยข้ันตอนและวิธีกำรแก้โจทย์ปัญหำเพื่อให้ได้คำตอบ เสร็จแล้วครถู ำมควำมคิดเห็นนักเรียนในช้นั เรียนวำ่ \"ใครมีข้ันตอนหรือวธิ ีกำรแก้โจทย์ปัญหำ และหรือมีคำตอบ ที่แตกต่ำงจำกเพื่อนหรือไม่” (ถ้ำมี ครูอำจให้นักเรียนคนน้ันออกมำนำเสนอและอธิบำยบนกระดำนหน้ำชั้น เรียน ซ่งึ ครูคอยสังเกตกำรณ์และตรวจสอบหรือให้คำแนะนำว่ำถูกหรือผิด) 8. ครใู ห้นักเรียนศึกษำต่อในหวั ข้อท่เี กีย่ วกับกำรเปลีย่ นอณุ หภูมขิ องสสำร จำกหนังสอื เรยี น 9. นักเรียนร่วมกันตอบคำถำม Concept Question จำกหนังสือเรียนท่ีถำมว่ำ “หน่วยที่ใช้ในกำรวัดปริมำณ ควำมรอ้ นของสำร นอกจำกหน่วยจูลแลว้ ยังมีหน่วยใดอีกบ้ำงและมคี ่ำเท่ำใดเมื่อเทียบกบั หน่วยจูล” (แนวตอบ : หน่วยแคลอรี โดยท่ี 1 แคลอรี มีค่าเท่ากับ 4.2 จูล และหน่วยบีทียู โดยที่ 1 บีทียู มีค่าเท่ากับ 252 แคลอรี หรือ 1,055 จูล) 10. ครูให้นักเรียนแต่ละคู่ (คู่ที่เคยร่วมกันศึกษำเนื้อหำก่อนหน้ำนี้) ร่วมกันศึกษำตัวอย่ำงที่ 2.3-2.4 จำก หนงั สือเรยี น โดยจดบนั ทึกลงในสมุดบนั ทกึ ประจำตวั 11. ครูให้นักเรียนปิดหนังสือเรียน ครูแจกกระดำษ A4 ให้นักเรียนคนละ 1 ใบ จำกนั้นครูอ่ำนโจทย์หรือข้อ คำถำมของตัวอย่ำงท่ี 2.5 จำกหนังสือเรียน ให้นักเรียนฟังและจดตำมลงในกระดำษ A4 ครูมอบหมำยให้ แต่ละคนแสดงวิธีกำรแก้โจทย์ปัญหำเพื่อหำคำตอบ เสร็จแล้วตัวแทนเก็บรวบรวมส่งครูเพ่ือตรวจและให้เป็น คะแนนพิเศษ 12. นักเรียนเปิดหนังสือเรียนหน้ำตัวอย่ำงที่ 2.5 จำกน้ันครูและนักเรียนร่วมกันศึกษำข้ันตอนและวิธีกำรแก้โจทย์ ปญั หำ เพื่อตรวจสอบว่ำสงิ่ ทตี่ นเองทำสง่ ครนู นั้ ถูกต้องหรือไม่
13. ครูถำมคำถำมกับนักเรียนว่ำ “มีใครแสดงวิธีกำรแก้โจทย์ปัญหำหรือได้คำตอบท่ีแตกต่ำงจำกหนังสือเรยี น บ้ำง” (ถ้ำมี ครูอำจให้นกั เรียนคนนั้นออกมำนำเสนอและอธบิ ำยบนกระดำนหน้ำช้นั เรียน ซงึ่ ครูคอยสงั เกตกำรณ์ และตรวจสอบหรอื ใหค้ ำแนะนำว่ำถกู หรือผดิ ) ชัว่ โมงท่ี 3 ขน้ั สอน ข้ันรู้ (Knowing) 14. ครูเปิดวีดิทัศน์เกี่ยวกับกำรสร้ำงถนนคอนกรีต หรือกำรสร้ำงทำงรถไฟ ให้นักเรียนศึกษำ โดยครูคอยถำม คำถำมกระตุ้นเพ่ือเชื่อมโยงควำมรู้ใหม่จำกวีดิทัศน์กับควำมรู้ที่นักเรียนกำลังจะได้ศึกษำเกยี่ วกบั กำรขยำยตัว เชงิ ควำมรอ้ นของของแข็ง จำกหนังสอื เรยี น 15. ครูให้นกั เรยี นศึกษำเก่ียวกบั กำรขยำยตัวเชงิ ควำมร้อนของของแข็ง จำกหนังสอื เรยี น 16. ครูสุ่มนักเรียนเพื่อถำมคำถำมว่ำ “ในชีวิตประจำวันของนักเรียน นอกจำกกำรสร้ำงถนนคอนกรีตแล้ว ยังมีส่ิง ใดบ้ำงท่เี มอ่ื ผลิตหรอื สร้ำงข้ึนมักจะต้องคำนึงถงึ คณุ สมบตั ิกำรขยำยตัวเชิงควำมรอ้ นของวัสดนุ ้ัน ๆ ด้วย” 17. ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนำอภิปรำยเกี่ยวกับกำรขยำยตัวเชิงควำมร้อนของของแข็งจำกที่ได้ศึกษำแล้ว โดยครใู ห้นักเรยี นทำกำรจดบันทกึ สรปุ ควำมร้ลู งในสมุดบันทกึ ประจำตัว 18. นักเรยี นศึกษำตวั อยำ่ งที่ 2.6-2.7 จำกหนงั สอื เรียน 19. ครูสุ่มตัวแทนนกั เรยี น 2 คน ยืนข้นึ แล้วอธบิ ำยตัวอยำ่ งที่ 2.6 และ 2.7 คนละ 1 ตัวอย่ำง 20. ครูให้นักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือสแกน QR Code เร่ือง กำรขยำยตัวจำกควำมร้อน จำกหนังสือเรียน เพื่อเป็น กำรศึกษำเพม่ิ เติมจำกสือ่ ดจิ ทิ ลั ซ่ึงอำจเป็นควำมรู้เพม่ิ เติมท่ีนอกเหนือจำกหนงั สือเรยี น 21. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรำยสรุปควำมรู้เก่ียวกับกำรขยำยตัวเชิงควำมร้อนของของแข็งอีกครั้ง เพ่ือให้ นักเรยี นทุกคนมีควำมเขำ้ ใจไปในแนวทำงเดียวกนั กอ่ นท่ีจะทำกำรศึกษำเรื่องอนื่ ๆ ต่อไป ชว่ั โมงที่ 4-5 ขน้ั สอน ข้นั รู้ (Knowing) 22. ครูนำวีดิทัศน์เกี่ยวกับสถำนะของสำรมำเปิดให้นกั เรียนดู เพ่ือเป็นกำรกระตุ้นควำมรู้นำเข้ำสู่เนื้อหำทีก่ ำลังจะ ศึกษำ 23. ครูถำมคำถำมกับนักเรียนว่ำ “นักเรียนรู้จักสถำนะของสำรหรือไม่ และสำมำรถอธิบำยและแยกแยะแต่ละ สถำนะได้มำกน้อยขนำดไหน” ซ่ึงเป็นคำถำมกระตุ้นให้นักเรียนได้เกิดกระบวนกำรคิดจำกควำมรเู้ ดิมของแต่ ละคนและครูยงั ไม่ตอ้ งกำรคำตอบ 24. ครูนำอุปกรณ์มำเป็นส่ือสำหรับสอนเกี่ยวกับสถำนะของสำรขึ้นมำแสดงให้นักเรียนดู เช่น ลูกอม ก้อนช็อค โกแลต เทียนไข น้ำเปล่ำ น้ำอัดลม ขวดเปล่ำ จำกนั้นครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมำหน้ำชั้นเรียนและให้ อธิบำยบอกถึงควำมแตกต่ำงของสถำนะจำกสอื่ ประกอบกำรสอนทค่ี รูเตรียมไว้ 25. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันอภิปรำยถึงควำมแตกตำ่ งของสถำนะจำกสื่อประกอบกำรสอนท่คี รูเตรยี มไว้ 26. ครขู อตวั แทนนักเรียน 12 คน ออกมำหน้ำช้ันเรียน จำกนั้นครแู บง่ นักเรยี นออกเป็น 3 กลุม่ ดงั นี้
กลุ่มท่ี 1 จำนวน 6 คน โดยครูให้นักเรียนยืนชิดกันให้มำกท่ีสุดเป็นกลุ่ม โดยคนท่ีอยู่รอบนอกอำจจะ กอดคอ กอดเอว หรือจับมอื ประสำนกบั เพือ่ นทัง้ 2 ข้ำงของตนเอง กลมุ่ ท่ี 2 จำนวน 4 คน โดยครใู ห้นกั เรยี นยืนจบั มอื กนั เป็นวงกลมแบบหลวม ๆ ไม่ต้องชิดกัน กล่มุ ท่ี 3 จำนวน 2 คน โดยครูให้นักเรยี นยืนหำ่ งกนั 2 ชว่ งแขน แบบไม่ต้องจับมอื 27. ครูออกแรงผลักไปท่ีนักเรียนคนหนึ่งของแต่ละกลุ่ม แล้วให้นักเรียนที่เหลือในห้องเรียนสังเกตส่ิงที่เกิดข้ึนกับ แต่ละกลุ่ม โดยครูอำจกระทำซำ้ อกี 1-2 รอบ เพื่อให้นกั เรียนไดเ้ ห็นภำพชดั เจนมำกขึ้น 28. ตัวแทนนักเรียนกลับไปนั่งที่ จำกนั้นครูอธิบำยถึงกิจกรรมสำธิตที่ผ่ำนมำว่ำ “นักเรียนแต่ละคน เปรียบเสมือนอนุภำคที่อยู่ในสำรแต่ละสถำนะ คือ กลุ่มที่ 1 เปรียบได้กับสำรในสถำนะของแข็ง มีกำรจัดเรียงตัว ของอนุภำคอย่ำงเป็นระเบียบและรวมตัวอยู่ชิดกันมำก ส่งผลให้ของแข็งมีรูปร่ำงท่ีแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงไป ตำมภำชนะหรือแรงเพียงน้อยนิดที่มำกระทำ กลุ่มท่ี 2 เปรียบได้กับสำรในสถำนะของเหลว มีกำรจัดเรียงตัว ของอนุภำคค่อนข้ำงหลวม ไม่เป็นระเบียบมำกนัก ส่งผลให้ของเหลวมีรูปร่ำงท่ีไม่แน่นอน สำมำรถ เปลี่ยนแปลงไปได้ตำมภำชนะท่บี รรจหุ รือแรงทม่ี ำกระทำ และกลุ่มท่ี 3 เปรียบได้กับสำรในสถำนะแก๊ส มีกำร จัดเรียงตัวของอนุภำคที่ค่อนข้ำงหลวม แต่ละอนุภำคจะอยู่ห่ำงกัน เคลื่อนที่ไปมำได้อย่ำงอิสระ ส่งผลให้ แก๊สมีรูปร่ำงเปล่ียนแปลงไปตำมภำชนะที่บรรจุเชน่ เดยี วกับของเหลว แตไ่ มส่ ำมำรถจบั ตอ้ งได้” 29. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มอย่ำงอิสระ กลุ่มละ 5-6 คน จำกนั้นร่วมกันศึกษำเก่ียวกับสถำนะและกำรเปล่ียน สถำนะ (ของนำ้ ) จำกหนงั สอื เรยี น 30. ครูมอบหมำยให้แต่ละกลุ่มร่วมกันสร้ำงสรรค์ผลงำนเพ่ือนำเสนอควำมรู้เก่ียวกับเนื้อหำที่กำลังศึกษำให้ออกมำ ในรปู แบบทีก่ ลุ่มของตนเองคดิ ว่ำนำ่ สนใจ (ใบควำมรู้ แผน่ พับควำมรู้ แผนผังควำมคิด อนิ โฟกรำฟกิ ) พร้อมท้ัง ตกแตง่ ใหส้ วยงำม 31. ครูเก็บรวมรวมผลงำนของนักเรียน จำกน้ันสุ่มผลงำนของแต่ละกลุ่มแล้วให้ตัวแทนเจ้ำของผลงำนออกมำ นำเสนอผลงำนของกล่มุ ตนเองหนำ้ ชั้นเรียนจนครบทกุ กลุ่ม 32. ครูให้นักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือสแกน QR Code เร่ือง กำรเปล่ียนสถำนะของน้ำ จำกหนังสือเรียน เพ่ือเป็น กำรศกึ ษำเพมิ่ เติมจำกส่อื ดิจิทลั ซง่ึ อำจเปน็ ควำมรเู้ พ่มิ เตมิ ทีน่ อกเหนือจำกหนังสือเรยี น 33. นักเรียนร่วมกันตอบคำถำม Concept Question จำกหนังสือเรียนที่ถำมว่ำ “ควำมร้อนแฝงใน กระบวนกำรดดู ควำมร้อนของสำรและกระบวนกำรคำยควำมรอ้ นของสำรเหมือนหรือแตกต่ำงกันอย่ำงไร” (แนวตอบ : ต่างกัน คือ ความร้อนแฝงในกระบวนการดูดความร้อนของสาร เป็นค่าพลังงาน (ความร้อน) ที่ใช้ใน การเปล่ียนสถานะจากแก๊สเป็นของเหลวหรือจากของเหลวเป็นของแข็ง และความร้อนแฝงในกระบวนการคาย ความร้อนของสารเป็นค่าพลังงาน (ความร้อน) ท่ีใช้ในการเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลวหรือจาก ของเหลวเปน็ แก๊ส) 34. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษำตวั อย่ำงท่ี 2.8 จำกหนงั สือเรียน โดยครูมอบหมำยให้จดบันทึกลงในสมุดบันทึก ประจำตวั 35. นักเรียนและครรู ว่ มกันอภปิ รำยเก่ยี วกับตวั อย่ำงท่ี 2.8 เพื่อให้เกิดควำมเขำ้ ใจทตี่ รงกัน
ชัว่ โมงท่ี 6 ขน้ั สอน ข้ันรู้ (Knowing) 36. ครูถำมคำถำมจำกประสบกำรณ์ของนักเรียนว่ำ “หำกนำทัพพโี ลหะใส่ลงไปในหม้อต้มน้ำร้อน เมื่อนักเรียนจับ ทพั พีดงั กลำ่ วนักเรียนจะรู้สกึ อย่ำงไร และหำกวำงทพั พีไว้ด้ำนนอกหม้อต้มน้ำรอนครหู่ นงึ่ แล้วนักเรียนใชม้ ือข้ำง เดิมจับทัพพี นักเรียนจะรู้สึกแตกต่ำงจำกคร้ังแรกที่จับอย่ำงไร” โดยครูเปิดโอกำสให้นักเรียนแสดงควำมคิด เหน้ แตค่ รจู ะยังไมต่ ดั สนิ ควำมคิดเห็นของนักเรยี น 37. ครูให้นักเรียนศึกษำเกี่ยวกับ กำรถ่ำยโอนควำมร้อน จำกหนังสือเรียน โดยจดบันทึกควำมรู้ที่ได้ลงในสมุดบันทึก ประจำตัว 38. นักเรียนร่วมกันตอบคำถำม Concept Question จำกหนังสือเรียนที่ถำมว่ำ “เหตุใดตะหลิวหรืออุปกรณ์ ทำอำหำรท่ผี ลติ มำจำกวสั ดุประเภทโลหะ จึงต้องมีดำ้ มจบั ทผี่ ลิตมำจำกวัสดุประเภทไมห้ รอื พลำสติก” (แนวตอบ : เน่ืองจากโลหะเป็นตัวนาความร้อนที่ดีชนิดหน่ึง ซง่ึ เมื่อโลหะสัมผัสกับความร้อนและมือเราสัมผัส โลหะต่อ ความรอ้ นจะถา่ ยโอนดว้ ยกระบวนการนาความร้อนมาสู่มอื ของเราอยา่ งรวดเร็ว น่ันคือเหตผุ ลหน่ึงท่ี ตะหลิวหรืออุปกรณ์ทาอาหารจะต้องมีด้ามจับท่ีทาจากไม้หรือพลาสติก ซึ่งเป็นวัสดุประเภทฉนวนความร้อน เพ่ือปอ้ งกนั การถ่ายโอนความร้อนมาสู่มอื ของเรา) ขัน้ เข้าใจ (Understanding) 1. ครูใช้คำถำมให้นักเรียนอธิบำยสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง ควำมร้อน โดยครูสุ่มนักเรียนจำนวน หน่ึงออกมำหนำ้ ห้องเพื่ออธิบำยผลกำรศึกษำในแตล่ ะหวั ข้อ 2. เมื่อนักเรียนอธิบำยผลกำรศกึ ษำตำมควำมเข้ำใจของนักเรยี นแล้ว ครูอำจยกตัวอย่ำงหรือปรบั เปลี่ยนสถำนกำรณ์ จำกตัวอย่ำงทไี่ ด้ศึกษำ แล้วใหน้ กั เรียนอธบิ ำยสง่ิ ท่ีเหมอื นและส่งิ ที่แตกตำ่ ง 3. ครูมอบหมำยให้นักเรียนศึกษำทำควำมเข้ำใจเกี่ยวกับควำมร้อนเพิ่มเติมจำกแบบฝึกหัด ฟิสิกส์ ม.6 เล่ม 1 หน่วยกำรเรยี นรทู้ ่ี 2 ควำมร้อนและทฤษฎีจลนข์ องแกส๊ ขน้ั ลงมือทา (Doing) 1. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนข้ำง ๆ แล้วร่วมกันศึกษำแบบฝึกหัด Topic Questions จำกหนังสือเรียน โดยครู มอบหมำยให้นักเรียนแต่ละคนเขียนแสดงวิธีกำรแก้โจทย์ปัญหำลงในสมุดบันทึกประจำตัว โดยท่ีครูกำหนดให้ ใช้หลักกำรแก้โจทย์ปญั หำ 4 ข้นั ตอน ของโพลยำ (Polya’s problem solving process) ดังน้ี ขั้นที่ 1 ทำควำมเข้ำใจโจทย์ (Understanding the problem) เป็นกำรคิดเกี่ยวกับปัญหำและตัดสิน ว่ำอะไรทีต่ ้องกำรค้นหำ โดยนกั เรียนตอ้ งทำควำมเข้ำใจปัญหำและระบุส่วนทีส่ ำคัญของปัญหำ ข้ันที่ 2 วำงแผนแก้ปัญหำ (Devising the plan) เป็นกำรค้นหำควำมเช่ือมโยงหรือควำมสัมพันธ์ระหว่ำง ข้อมูลกับสิ่งที่ไม่รู้ นำควำมสัมพันธ์ที่ได้มำผสมผสำนกับประสบกำรณ์ กำหนดแนวทำงหรือแผนในกำร แกป้ ญั หำ ขั้นท่ี 3 ปฏิบัติตำมแผน (Carrying out the plan) เป็นกำรลงมือปฏิบัติตำมแผนหรือแนวทำงท่ีวำงไว้ อำจตรวจสอบควำมเป็นไปได้ของแผน เพ่ิมเติมรำยละเอียด แล้วลงมือปฏิบัติจนได้ควำมสำเร็จ ถ้ำไม่ สำเรจ็ ต้องคน้ หำและทำกำรแก้ปัญหำจนสำมำรถแก้ปัญหำได้
ขั้นที่ 4 ตรวจสอบ (Looking back) เป็นกำรมองย้อนกลับไปยังคำตอบที่ได้มำ เริ่มจำกกำรตรวจสอบ ควำมถูกต้อง ควำมสมเหตุสมผลของคำตอบและยุทธวิธีแก้ปัญหำท่ีใช้ มีคำตอบหรือยุทธวิธีอืน่ ในกำร แก้ปัญหำนี้อีกหรือไม่ 2. ครูแจกใบงำนท่ี 2.1 เรื่อง ควำมร้อน ให้นักเรียนคนละ 1 ชุด จำกน้ันมอบหมำยให้นำกลับไปศึกษำเป็น กำรบ้ำน เสรจ็ แล้วตัวแทนรวบรวมส่งครูเพื่อตรวจและให้คะแนนก่อนท่ีจะเจอกันในช่ัวโมงถดั ไป ขั้นสรุป 1. ครูและนักเรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยให้นักเรียนอธิบำยสรุปควำมรู้เก่ียวกับควำมร้อนท่ีได้ศึกษำมำแล้วท้ัง เน้ือหำและตัวอย่ำงจำกหนังสือเรียน และกิจกรรมที่นอกเหนือจำกหนังสือเรียน พรอ้ มทั้งยกอย่ำงสถำนกำรณ์ ในชวี ติ ประจำวันท่เี ก่ียวข้องเพ่อื ทดสอบควำมเขำ้ ใจ 2. ครูเปดิ โอกำสให้นักเรียนสอบถำมเน้ือหำทไี่ ดศ้ กึ ษำผ่ำนมำแล้วในส่วนที่ยงั ไม่เข้ำใจหรือสงสัย จำกนัน้ ครใู ห้ควำมรู้ เพ่ิมเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอำจจะใช้ PowerPoint เร่ือง ควำมร้อน มำเปิดให้นักเรียนดูประกอบเพ่ือช่วยใน กำรอธบิ ำยใหเ้ ข้ำใจมำกยง่ิ ขน้ึ 3. ครูให้นักเรียนสรุปควำมรู้เก่ียวกับควำมร้อน โดยสร้ำงสรรค์ออกมำในรูปแบบของ แผนท่ีควำมคิด (Mind Mapping) ลงในกระดำษ A4 พร้อมท้งั ตกแต่งใหส้ วยงำม เสร็จแลว้ นำส่งครูเพอ่ื ตรวจให้คะแนน ข้นั ประเมิน 1. ประเมินควำมรู้เก่ียวกับเรื่อง ควำมร้อน โดยสังเกตพฤติกรรมกำรตอบคำถำม กำรทำแบบฝึกหัด และกำร สรุปสำระสำคญั 2. ประเมินทักษะและกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์จำกกำรคำนวณเก่ียวกับควำมร้อนจำกตัวอย่ำงท่ีครู กำหนดให้ และกำรนำควำมรู้ทีไ่ ด้ไปใช้ประโยชน์ 3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมควำมสนใจใฝ่รู้หรืออยำกรู้อยำกเห็น กำรทำงำน รว่ มกบั ผู้อน่ื อยำ่ งสร้ำงสรรค์ 9. สอ่ื การเรียนการสอน / แหล่งเรยี นรู้ 1) หนังสอื เรยี น รำยวชิ ำเพ่ิมเติมวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ม.6 เล่ม 1 2) แบบฝกึ หัด รำยวชิ ำเพิ่มเตมิ วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 1
10. การวดั ผลและประเมินผล วิธีวัด เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ รายการวดั - ตรวจใบงำนท่ี 11 - ตรวจแบบฝึกหัด - ใบงำนท่ี 11 - ร้อยละ 60 ผำ่ น 10.1 กำรประเมินระหวำ่ ง กำรจดั กจิ กรรม - ประเมินกำรนำเสนอ - แบบฝกึ หดั เกณฑ์ 1) ควำมรอ้ น ผลงำน 2) กำรนำเสนอ - สงั เกตพฤติกรรม - รอ้ ยละ 60 ผำ่ นเกณฑ์ ผลงำน กำรทำงำน 3) พฤติกรรมกำร รำยบคุ คล - แบบประเมนิ กำร - ระดับคุณภำพ 2 ทำงำนรำยบคุ คล นำเสนอผลงำน ผ่ำนเกณฑ์ - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภำพ 2 กำรทำงำน ผ่ำนเกณฑ์ รำยบคุ คล 4) พฤติกรรมกำร - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภำพ 2 ทำงำนกลมุ่ กำรทำงำนกลุ่ม - สงั เกตควำมมีวนิ ยั กำรทำงำนกลุ่ม ผำ่ นเกณฑ์ 5) คณุ ลักษณะ ใฝเ่ รียนรู้ และมุง่ มน่ั อันพงึ ประสงค์ ในกำรทำงำน - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภำพ 2 คณุ ลกั ษณะ ผ่ำนเกณฑ์ อนั พงึ ประสงค์ ลงชื่อ..................................................ผู้สอน (............................................)
ใบงานที่ 10 เร่อื ง ความร้อน คาชีแ้ จง : ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามต่อไปน้ี 1. นำยสุวัฒน์มีของเหลวชนิดหน่ึงมวล 3.5 กิโลกรัม โดยเขำนำไปให้ควำมร้อนปริมำณ 600 กิโลจูล จนของเหลวมีอุณหภูมิ เพ่ิมข้นึ จำก 25 องศำเซลเซียส เป็น 85 องศำเซลเซียส ควำมจคุ วำมรอ้ นจำเพำะของของเหลวน้ีมคี ่ำเทำ่ ใด 2. ไอน้ำจำนวน 50 กรัม ที่อุณหภูมิ 100 องศำเซลเซียส กลั่นตัวเป็นหยดน้ำท่ีมีอุณหภูมิ 80 องศำเซลเซียสอยำกทรำบ ว่ำ ไอน้ำน้ีจะคำยควำมร้อนออกมำในปริมำณเท่ำใด กำหนดให้ควำมร้อนแฝงจำเพำะของกำรกลำยเป็นไอของน้ำ เท่ำกับ 540 แคลอรีต่อกรัม และควำมจุควำมรอ้ นจำเพำะของน้ำเทำ่ กับ 1.0 แคลอรีต่อกรมั องศำเซลเซยี ส
ใบงานท่ี 10 เฉลย เร่ือง ความรอ้ น คาชีแ้ จง : ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. นำยสุวัฒน์มีของเหลวชนิดหน่ึงมวล 3.5 กิโลกรัม โดยเขำนำไปให้ควำมร้อนปริมำณ 600 กิโลจูล จนของเหลวมีอุณหภูมิ เพมิ่ ขึ้นจำก 25 องศำเซลเซียส เป็น 85 องศำเซลเซยี ส ควำมจุควำมร้อนจำเพำะของของเหลวน้ีมคี ่ำเทำ่ ใด วธิ ที า จำกสมกำร ������ = ������������∆������ 600 × 103 J = (3.5 kg)������(85 ℃ − 25 ℃) 600 × 103 J = (3.5 kg)������(60 ℃) 600 × 103 J = (240 kg ℃)������ ������ = 600×103 J 240 kg ℃ ������ = 2,500 J/kg ℃ ดงั น้ัน ควำมจุควำมร้อนจำเพำะของของเหลวน้ีมีค่ำเทำ่ กับ 2,500 จูลต่อกโิ ลกรัม องศำเซลเซียส 2. ไอน้ำจำนวน 50 กรัม ท่ีอุณหภูมิ 100 องศำเซลเซียส กลั่นตัวเป็นหยดน้ำที่มีอุณหภูมิ 80 องศำเซลเซียสอยำกทรำบ ว่ำ ไอน้ำน้ีจะคำยควำมร้อนออกมำในปริมำณเท่ำใด กำหนดให้ควำมร้อนแฝงจำเพำะของกำรกลำยเป็นไอของน้ำ เท่ำกบั 540 แคลอรตี ่อกรัม และควำมจคุ วำมรอ้ นจำเพำะของน้ำเทำ่ กับ 1.0 แคลอรีตอ่ กรัม องศำเซลเซียส วธิ ที า ไอนำ้ นำ้ นำ้ 100 °C 100 °C 80 °C Q1 Q2 50 g 50 g 50 g จำกสมกำร ������ = ������������ จำกสมกำร ������1 = (50 g)(540 Cal/g) ������1 = 27,000 Cal ������ = ������������∆������ ������2 = (50 g)(1.0 Cal/g ℃)(80 ℃ − 100℃) ������2 = −1,000 Cal ควำมร้อนทั้งหมดของกระบวนกำรนี้เท่ำกบั ������ = ������1 + ������2 ������ = 27,000 Cal + (−1,000 Cal) ������ = 26,000 Cal ดังนน้ั ไอนำ้ น้ีจะคำยควำมรอ้ นออกมำในปรมิ ำณ 26,000 แคลอรี
แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 เรอ่ื ง ความร้อนและแกส๊ แผนจัดการเรียนรูท้ ่ี 11 เร่อื ง กฎของแก๊สอุดมคติ รายวิชา ฟิสิกส์ รหัสวชิ า ว33205 ระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 นา้ หนกั เวลาเรยี น 80 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ชั่วโมง/สปั ดาห์ เวลาทใี่ ช้ในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 6 ชัว่ โมง ............................................................................................................................. ............................. 1. ผลการเรียนรู้ อธบิ ำยกฎของแก๊สอดุ มคติและคำนวณปริมำณต่ำง ๆ ที่เกย่ี วข้อง 2. จุดประสงค์. 1. อธบิ ำยควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งอุณหภมู ิ ควำมดัน และปริมำตรของแก๊สได้ (K) 2. ใชก้ ฎตำ่ ง ๆ ของแกส๊ คำนวณหำอณุ หภูมิ ควำมดนั ปริมำตร และจำนวนโมลหรือมวลของแกส๊ ได้ (P) 3. มีควำมสนใจใฝร่ ู้หรอื อยำกรู้อยำกเห็น และทำงำนร่วมกบั ผู้อ่ืนอย่ำงสรำ้ งสรรค์ (A) 3. สาระสาคัญ คุณสมบัติของแก๊สอุดมคติสำมำรถอธิบำยได้ด้วยตัวแปร 3 ตัว คือ ควำมดัน ปริมำตร และอุณหภูมิ นอกจำกนี้ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงตัวแปรทั้งสำมสำมำรถอธิบำยได้ด้วยสมกำรต่ำง ๆ เรียกว่ำ กฎของแก๊ส ประกอบด้วย กฎของบอยล์ กล่ำวไว้ว่ำ สำหรับแก๊สในภำชนะปิด ถ้ำรักษำอุณหภูมิให้คงตัว ปริมำณของแก๊สจะ แปรผกผันกับควำมดันของแก๊ส ดังสมกำร ������ ∝ 1 กฎของชำร์ล กล่ำวไว้ว่ำ สำหรับแก๊สในภำชนะปิด เมื่อควำมดัน ������ คงตัว ปริมำตรของแก๊สท่ีมีมวลคงตัวจะแปรผนั ตรงกับอณุ หภูมิ ดงั สมกำร ������ ∝ ������ และกฎของเกย์-ลสู แซก กล่ำวไว้ว่ำ เมื่อปริมำตรของแก๊สคงตวั ควำมดันของแก๊สท่ีมีมวลคงตัวจะแปรผันตรงกับอุณหภมู ิ ดงั สมกำร ������ ∝ ������ ซ่ึงจำกกฎของ บอยล์ กฎของชำร์ล และกฎของเกย์-ลูสแซก สำมำรถเขียนควำมสัมพันธ์ของกฎทั้งสำมได้เป็น ������������ = ������������������ และ ������������ = ������������������������ เรยี กว่ำ กฎของแกส๊ อดุ มคติ 4. สมรรถนะสาคญั ของนักเรียน - กระบวนกำรกลุม่ 1. ควำมสำมำรถในกำรคดิ 2. ควำมสำมำรถในกำรแกป้ ัญหำ 5. คุณลักษณะของวชิ า - ควำมรบั ผดิ ชอบ - ควำมรอบคอบ 6. คณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ 1. มวี นิ ยั 2. ใฝเ่ รียนรู้ 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน - ใบงำนที่ 11 เรื่อง กฎของแก๊สอุดมคติ
8. กิจกรรมการเรียนรู้ ชว่ั โมงที่ 1 ขั้นนำ ข้นั การใช้ความรู้เดมิ เช่ือมโยงความรใู้ หม่ (Prior Knowledge) 1. ครูทบทวนควำมรู้เกี่ยวกับสมบัติของของแข็งและของเหลวเกี่ยวกับรูปร่ำง ปริมำตร จุดเดือดและจุด หลอมเหลว 2. ครูถำมคำถำม Key Question กับนักเรียนว่ำ “แก๊สอุดมคติมีคุณสมบัติอย่ำงไร” โดยนักเรียนร่วมกนั ตอบ คำถำมและแสดงควำมคิดเห็นเกยี่ วกับคำตอบของคำถำมเพ่ือเชื่อมโยงเข้ำส่เู น้ือหำทก่ี ำลงั จะศึกษำเรยี นรูต้ ่อไป (แนวตอบ : ในทางทฤษฎีได้กาหนดสมบัติของแก๊สอุดมคติไว้ว่าเป็นแก๊สที่ไม่มีแรงดึงดูดระหว่าง โมเลกุล และมีพฤติกรรมเป็นไปตามสมการสภาวะของแก๊สอุดมคติ ซึ่งสมการดังกล่าวเกิดจากแนวคิดที่ได้จาก การศึกษาพฤติกรรมของแก๊ส 3 หลักการ ได้แก่ กฎของบอยล์ กฎของชาร์ล และกฎของเกย์-ลสู แซก) ขน้ั สอน ข้นั รู้ (Knowing) 3. ให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนที่น่ังข้ำง ๆ จำกน้ันร่วมกันศึกษำ เรื่อง แก๊สอุดมคติ ในหัวข้อที่เกี่ยวกับสมบัติของแก๊ส อดุ มติ จำกหนังสอื เรียน ในลักษณะของเพ่อื นคู่คิด 4. ครูมอบหมำยให้นักเรียนเขียนสรุปควำมรู้เก่ียวกับสมบัติของแก๊สอุดมคติลงในกระดำษ A4 คู่ละ 1 แผ่น พร้อมทั้ง ตกแต่งใหส้ วยงำม 5. ครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมำนำเสนอผลงำนของตนเองหน้ำช้ันเรียน 2-3 คน จำกน้ันตัวแทนนักเรียนเก็บ รวบรวมผลงำนสง่ ครูเพอ่ื ตรวจให้คะแนน 6. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรำยเกี่ยวกับสมบัติของแก๊สอุดมคติ หลังจำกที่ได้ร่วมกันศึกษำเนื้อหำจำกหนังสือ เรยี นแลว้ 7. นกั เรียนรว่ มกันตอบคำถำมท้ำทำยกำรคิดขัน้ สงู (H.O.T.S.) จำกหนงั สือเรยี นทีถ่ ำมวำ่ “เพรำะเหตุใดรูปรำ่ งและ ปริมำตรของสำรที่อยู่ในสถำนะแกส๊ จงึ มีควำมไมแ่ น่นอน” (แนวตอบ : แก๊สมีแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค (โมเลกุล หรืออะตอม) น้อยมาก จึงทาให้อนุภาคของแก๊ส สามารถเคล่ือนท่ีหรือแพร่กระจายเต็มภาชนะที่บรรจุ จึงทาให้แก๊สมีรูปร่างเป็นปริมาตรไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไปตามภาชนะที่บรรจุ)
ชั่วโมงที่ 2-3 ขัน้ สอน ขนั้ รู้ (Knowing) 8. ครูทบทวนควำมรูเ้ ก่ยี วกับสมบตั ิทำงกำยภำพของแก๊ส กำรวัดอุณหภูมิ ควำมดัน ทส่ี ำมำรถทำกำรทดลองและ วัดไดไ้ ม่ยำกนัก ได้แก่ ปรมิ ำตร V ควำมดนั P และอุณหภมู ิ T 9. ครูให้นกั เรียนศึกษำกฎของแก๊สอุดมคตใิ นหัวข้อทเ่ี ก่ียวกับกฎของบอยลจ์ ำกหนงั สอื เรียน โดยจดบนั ทึกควำมรทู้ ี่ได้ ลงในสมดุ บันทกึ ประจำตวั 10. ครูชักชวนนักเรียนสนทนำเกี่ยวกับกรอบ Physics Focus จำกหนังสือเรียน ซึ่งกล่ำวเปรียบเทียบถึงกำร หำยใจของมนุษย์กับกฎของบอยล์ ครูนำวีดิทัศน์ที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนกำรหำยใจของมนุษย์ มำเปิดให้ นกั เรียนได้ศกึ ษำเพิ่มเตมิ เพือ่ สร้ำงควำมเข้ำใจเกยี่ วกบั กฎของบอยล์มำกยง่ิ ขนึ้ 11. นักเรยี นศึกษำตัวอย่ำงที่ 2.9-2.10 จำกหนังสอื เรียน ซึง่ เปน็ กำรคำนวณเกีย่ วกับกฎของบอยล์ เสร็จแล้วครสู ุ่ม ตัวแทนนักเรียนออกมำอธิบำยผลกำรศึกษำของตนเองบนกระดำนหน้ำช้ันเรียน โดยครูคอยให้คำแนะนำเมื่อ นกั เรียนไม่เขำ้ ใจหรอื เกิดควำมสงสยั 12. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มเท่ำ ๆ กัน กลุ่มละประมำณ 6 คน โดยคละควำมสำมำรถของนักเรียนตำม ผลสัมฤทธิ์ (เก่ง ค่อนข้ำงเก่ง ปำนกลำง ค่อนข้ำงอ่อน อ่อน) ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เพ่ือร่วมกันศึกษำกิจกรรม กฎของบอยล์ จำกหนังสือเรียน โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มกำหนดใหส้ มำชิกแตล่ ะคนมีบทบำทหน้ำท่ีของตนเอง เช่น a. สมำชิกคนท่ี 1 : เตรยี มวัสดุอุปกรณ์ b. สมำชิกคนที่ 2 : อ่ำนและศึกษำวธิ ีปฏบิ ัตกิ จิ กรรม แล้วนำมำอธบิ ำยสมำชกิ ในกลุ่ม c. สมำชิกคนท่ี 3 : บนั ทึกผลกำรปฏิบัตกิ ิจกรรม d. สมำชิกคนที่ 4-5 : คน้ คว้ำเพ่ิมเตมิ หำแหล่งข้อมลู อำ้ งองิ เพื่อสนับสนนุ กำรปฏิบัติกจิ กรรม e. สมำชิกคนที่ 6 : นำเสนอผลกำรปฏบิ ัติกจิ กรรม 13. ครูชแ้ี จงจุดประสงค์ของกิจกรรมให้นกั เรียนทรำบ เพื่อเปน็ แนวทำงกำรปฏิบตั ทิ ่ีถูกต้อง 14. ครูให้ควำมรู้เพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับกำรปฏิบัติกิจกรรม จำกนั้นให้นักเรียนทุกกลุ่มลงมือปฏิบัติตำม ขั้นตอน 15. นักเรียนแต่ละกลมุ่ รว่ มกนั พูดคยุ วเิ ครำะหผ์ ลกำรปฏบิ ตั ิกิจกรรม แล้วอภปิ รำยผลร่วมกัน 16. ครูเน้นย้ำให้นกั เรียนตอบคำถำมทำ้ ยกิจกรรม จำกหนังสือเรียน ลงในสมดุ บันทกึ ประจำตัว เพื่อนำส่งครูเป็นกำร ตรวจสอบควำมเขำ้ ใจจำกกำรปฏบิ ัติกิจกรรม 17. ครูนำอภิปรำยและให้ควำมรู้เก่ียวกับกฎของบอยล์และกรำฟแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมดัน (P) กับส่วน กลับของปริมำตร (1/V) เมื่ออุณหภูมิคงตัว กรำฟมีลักษณะเป็นเส้นตรงผ่ำนจุดกำเนิด ซ่ึงสรุปได้ว่ำ สำหรับแก๊ส ปริมำณหนึ่งที่มีอุณหภูมิคงตัว ภำยในภำชนะปิด ควำมดันของแก๊สแปรผกผันกับปริมำตรของแก๊ส เรียก ขอ้ สรุปน้ีวำ่ กฎของบอยล์
ชวั่ โมงที่ 4-5 ขัน้ สอน ขนั้ รู้ (Knowing) 18. ครูทบทวนควำมรู้เก่ียวกับกฎของบอยล์ท่ีนักเรียนได้ร่วมกันศึกษำมำแล้วดังท่ีกล่ำวว่ำ แก๊สปริมำณหนึ่งเมื่อ อุณหภูมิคงตัว ภำยในภำชนะปิด ควำมดันของแก๊สแปรผกผันกับปริมำตรของแก๊ส เรียกข้อสรุปนี้ว่ำ กฎของ บอยล์ และมีควำมสัมพันธ์ดังสมกำร P1V1 = P2V2 โดยครูสอบถำมนักเรียนเพ่ิมเติมวำ่ มีใครยังไม่เขำ้ ใจหรือ สงสยั เก่ยี วกบั กฎของบอยลอ์ ีกหรือไม่ 19. ครูให้นักเรียนศึกษำกฎของแก๊สอุดมคติในหัวข้อที่เกี่ยวกับกฎของชำร์ลจำกหนังสือเรียน โดยจดบันทึกควำมรู้ท่ี ได้ลงในสมุดบนั ทึกประจำตวั 20. ครูให้นักเรียนปิดหนังสือเรียน จำกน้ันครูอ่ำนข้อคำถำมตัวอย่ำงท่ี 2.11 จำกหนังสือเรียน ให้นักเรียนจดลงใน สมุดบนั ทกึ ประจำตัว แล้วแสดงวธิ ที ำเพ่อื คำนวณหำคำตอบ 21. ครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมำนำเสนอวิธีทำของตนเองหน้ำช้ันเรียน เสร็จแล้วครูสอบถำมนักเรียนในชั้นเรียน ว่ำมีใครที่มีวิธีทำหรือคำตอบที่แตกต่ำงจำกที่เพื่อนนำเสนอหรือไม่ หำกมีใครแตกต่ำงครูอำจให้ออกมำ นำเสนอวิธที ำของตนเองหน้ำชนั้ เรียนเพ่ือให้นักเรยี นและครรู ่วมกันศกึ ษำ พจิ ำรณำ และตรวจคำตอบร่วมกนั 22. ครูให้นักเรียนแยกเข้ำกลุ่มของตนเองตำมที่เคยได้แบ่งไว้แล้วจำกกำรทำกิจกรรมกฎของบอยล์ เพื่อร่วมกัน ศึกษำกิจกรรม กฎของชำร์ล จำกหนังสือเรียน โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มกำหนดให้สมำชิกแต่ละคนมีบทบำท หน้ำที่ของตนเอง ซ่ึงอำจเป็นหน้ำที่เดิมหรืออำจเปลี่ยนแปลงได้ตำมควำมเหมำะสมหรือตำมควำมสำมำรถของ แตล่ ะคน 23. ครูชแ้ี จงจุดประสงคข์ องกจิ กรรมใหน้ ักเรียนทรำบ เพ่ือเป็นแนวทำงกำรปฏิบตั ทิ ่ีถกู ต้อง 24. ครูให้ควำมรู้เพ่ิมเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับกำรปฏิบัติกิจกรรม จำกน้ันให้นักเรียนทุกกลุ่มลงมือปฏิบัติตำม ขนั้ ตอน 25. นักเรียนแต่ละกลมุ่ รว่ มกันพูดคยุ วเิ ครำะหผ์ ลกำรปฏบิ ัติกิจกรรม แลว้ อภิปรำยผลรว่ มกัน 26. ครูเน้นย้ำใหน้ ักเรยี นตอบคำถำมท้ำยกิจกรรม จำกหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจำตวั เพ่อื นำส่งครูเป็นกำร ตรวจสอบควำมเขำ้ ใจจำกกำรปฏิบัติกจิ กรรม 27. ครูนำอภิปรำยและให้ควำมรู้เก่ียวกับกฎของชำร์ลและกรำฟแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปริมำตร (V) กับ อณุ หภูมิ (T) ในหนว่ ยเคลวิน เมื่อควำมดันคงตัว กรำฟมีลักษณะเป็นเสน้ ตรงผำ่ นจุดกำเนดิ ซ่ึงสรุปได้ว่ำ สำหรับ แกส๊ ปริมำณหนึ่งทค่ี วำมดันคงตัว ภำยในภำชนะปดิ ปริมำตรของแกส๊ แปรผันตรงกับอุณหภมู ิสัมบูรณ์ของแก๊ส เรยี กขอ้ สรปุ นว้ี ่ำ กฎของชำรล์
ชว่ั โมงที่ 6 ขัน้ สอน ขนั้ รู้ (Knowing) 28. ครูทบทวนควำมร้เู กี่ยวกบั กฎของบอยล์และกฎของชำร์ลที่นกั เรยี นได้รว่ มกันศึกษำมำแล้ว โดยครใู ช้คำถำมถำม นักเรยี นในประเดน็ ดังนี้ a. กฎของบอยล์ มีใจควำมวำ่ อยำ่ งไร (แนวตอบ : สาหรับแก๊สปริมาณหนึ่งที่อุณหภูมิคงตัว ภายในภาชนะปิด ความดันของแก๊สแปรผกผัน กับปรมิ าตรของแก๊ส) b. สมกำรกฎของบอยล์ทใ่ี ช้ในกำรคำนวณมีควำมสมั พนั ธอ์ ย่ำงไร (แนวตอบ : P1V1 = P2V2) c. กฎของชำร์ล มใี จควำมวำ่ อย่ำงไร (แนวตอบ : สาหรับแก๊สปริมาณหนึ่งที่ความดันคงตัว ภายในภาชนะปิด ปริมาตรของแก๊สแปรผันตรง กบั อุณหภมู สิ ัมบรู ณ์ของแกส๊ ) d. สมกำรกฎของชำรล์ ท่ีใช้ในกำรคำนวณมีควำมสมั พนั ธอ์ ยำ่ งไร (แนวตอบ : V1/T1 = V2/T2) 29. ครูให้นักเรียนศึกษำกฎของแก๊สอุดมคติในหัวข้อท่ีเก่ียวกับกฎของเกย์-ลูสแซกจำกหนังสือเรียน โดยจดบันทึก ควำมรู้ท่ีได้ลงในสมุดบนั ทกึ ประจำตัว 30. นักเรียนร่วมกันตอบคำถำมท้ำทำยกำรคิดข้ันสูง (H.O.T.S.) จำกหนังสือเรียนที่ถำมว่ำ “เพรำะเหตุใดกำรอุ่น อำหำรด้วยเตำอบไมโครเวฟ จงึ ต้องทำกำรเปิดฝำกลอ่ งหรอื กระปอ๋ งทเ่ี ป็นบรรจภุ ัณฑ์” (แนวตอบ : เนื่องจากความร้อนที่เกดิ จากคลนื่ ไมโครเวฟทาใหอ้ ุณหภูมิของอาหารและภายในบรรจุภณั ฑ์เพ่ิมสูงข้ึน ซ่ึงจากกฎของเกย์-ลูสแซกที่มีใจความสาคัญว่า สาหรับแก๊สภายในภาชนะปิด ถ้าปริมาตรของแก๊สคงตัว ความ ดันจะแปรผันตรงกับอุณหภูมิของแก๊ส น่ันคือ เม่ืออุณหภูมิสูงข้ึน ความดันภายในก็สูงขึ้นตาม ถ้าไม่เปิดหรือ แง้มฝาบรรจุภัณฑ์ เม่ือความดันเพ่ิมสูงข้ึนถึงจุดหน่ึงอาจทาให้เกิดการระเบิดได้) 31. นักเรียนและครูร่วมกันศึกษำและอธิบำยเกี่ยวกับกฎของแก๊ส ซ่ึงเมื่อนำกฎของบอยล์ กฎของชำร์ล และกฎ ของเกย์-ลูสแซก มำรวมกัน สำมำรถเขียนแสดงควำมสัมพันธ์ได้ ดังสมกำร PV = nRT และPV = NkBT เรียก ควำมสมั พันธ์ดังกล่ำววำ่ กฎของแกส๊ อุดมคติ 32. ครูมอบหมำยใหน้ ักเรยี นศึกษำตัวอยำ่ งท่ี 2.12-2.13 ด้วยตนเอง พร้อมท้ังจดบันทึกวธิ ีกำรแกโ้ จทย์ปัญหำตำม วธิ ีคดิ ของตนเองลงในสมุดบนั ทกึ ประจำตัว 33. นักเรียนร่วมกันตอบคำถำม Concept Question จำกหนังสือเรียนท่ีถำมว่ำ “กฎของแก๊สอุดมคติเกิดจำก ควำมสมั พันธร์ ะหว่ำงกฎของแก๊สใดบำ้ ง อย่ำงไร” (แนวตอบ : เกิดจากการรวมกันของกฎของบอยล์ กฎของชาร์ล และกฎของเกย์-ลูสแซก สามารถเขียนแสดง ความสัมพนั ธ์ได้ ดงั สมการ PV = nRT และPV = NkBT)
34. ครูถำมคำถำมกับนักเรียนว่ำ หำกนำแก๊สที่ไม่ทำปฏิกิริยำเคมีต่อกันมำกกว่ำ 2 ชนิด มำผสมรวมกัน จะ สำมำรถใช้กฎของแก๊สอุดมคติที่ได้ศึกษำมำแล้วในกำรพิจำรณำได้อย่ำงไร โดยครูท้ิงช่วงเวลำให้นักเรียยนได้ เกิดควำมสงสัยสักครู่หนึ่ง จำกนั้นให้นักเรียนศึกษำเน้ือหำเกี่ยวกับกำรใช้กฎของแก๊สอดุ มคติในกำรพิจำรณำ กำรนำแก๊ส 3 ชนดิ ทมี่ จี ำนวนโมลตำ่ งกนั มำผสมกนั จำกหนังสือเรียน 35. ครใู หน้ กั เรยี นจบั คกู่ ับเพื่อนขำ้ ง ๆ แล้วร่วมกนั ศึกษำตวั อยำ่ งท่ี 2.14-2.15 จำกหนังสอื เรียน ขน้ั เข้าใจ (Understanding) 4. ครูใช้คำถำมให้นักเรียนอธิบำยสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง กฎของแก๊สอุดมคติ โดยครูสุ่ม นักเรียน จำนวนหนึง่ ออกมำหนำ้ หอ้ งเพือ่ อธิบำยผลกำรศึกษำในแต่ละหัวข้อ 5. เม่ือนักเรียนอธิบำยผลกำรศึกษำตำมควำมเข้ำใจของนักเรียนแล้ว ครูอำจยกตัวอย่ำงหรือปรับเปล่ียนสถำนกำรณ์ จำกตัวอยำ่ งท่ีได้ศกึ ษำ แล้วให้นักเรียนอธบิ ำยส่งิ ทเี่ หมอื นและส่ิงท่ีแตกตำ่ ง 6. ครูมอบหมำยให้นักเรียนศึกษำทำควำมเข้ำใจเกี่ยวกับกฎของแก๊สอุดมคติเพิ่มเติมจำกแบบฝึกหัด ฟสิ ิกส์ ม.6 เล่ม 1 หนว่ ยกำรเรยี นรู้ที่ 2 ควำมร้อนและทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ ขนั้ ลงมือทา (Doing) 3. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนข้ำง ๆ แล้วร่วมกันศึกษำแบบฝึกหัด Topic Questions จำกหนังสือเรียน โดยครู มอบหมำยให้นักเรียนแต่ละคนเขียนแสดงวิธีกำรแก้โจทย์ปัญหำลงในสมุดบันทึกประจำตัว โดยท่ีครู กำหนดใหใ้ ชห้ ลกั กำรแกโ้ จทยป์ ัญหำ 4 ข้ันตอน ของโพลยำ (Polya’s problem solving process) ดังนี้ ขั้นที่ 1 ทำควำมเข้ำใจโจทย์ (Understanding the problem) เป็นกำรคิดเกี่ยวกับปัญหำและตัดสิน ว่ำอะไรทตี่ อ้ งกำรค้นหำ โดยนักเรยี นตอ้ งทำควำมเข้ำใจปัญหำและระบุส่วนท่ีสำคัญของปัญหำ ขั้นท่ี 2 วำงแผนแก้ปัญหำ (Devising the plan) เป็นกำรค้นหำควำมเชื่อมโยงหรือควำมสัมพันธ์ระหว่ำง ข้อมูลกับส่ิงที่ไม่รู้ นำควำมสัมพันธ์ท่ีได้มำผสมผสำนกับประสบกำรณ์ กำหนดแนวทำงหรือแผนในกำร แกป้ ญั หำ ขั้นที่ 3 ปฏิบัติตำมแผน (Carrying out the plan) เป็นกำรลงมือปฏิบัติตำมแผนหรือแนวทำงท่ีวำงไว้ อำจตรวจสอบควำมเป็นไปได้ของแผน เพิ่มเติมรำยละเอียด แล้วลงมือปฏิบัติจนได้ควำมสำเรจ็ ถำ้ ไม่ สำเรจ็ ต้องค้นหำและทำกำรแกป้ ัญหำจนสำมำรถแกป้ ัญหำได้ ข้ันที่ 4 ตรวจสอบ (Looking back) เป็นกำรมองย้อนกลับไปยังคำตอบท่ีได้มำ เริ่มจำกกำรตรวจสอบ ควำมถูกต้อง ควำมสมเหตุสมผลของคำตอบและยุทธวิธีแก้ปัญหำท่ีใช้ มีคำตอบหรือยุทธวธิ ีอ่ืนในกำร แกป้ ญั หำนอ้ี ีกหรือไม่ 4. ครูแจกใบงำนท่ี 2.2 เร่ือง กฎของแก๊สอุดมคติ ให้นักเรียนคนละ 1 ชุด จำกน้ันมอบหมำยให้นำกลับไปศึกษำเป็น กำรบ้ำน เสรจ็ แลว้ ตัวแทนรวบรวมส่งครเู พือ่ ตรวจและให้คะแนนก่อนทจ่ี ะเจอกนั ในชว่ั โมงถัดไป ขัน้ สรุป 4. ครูและนักเรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยให้นักเรียนอธิบำยสรุปควำมรู้เก่ียวกับควำมร้อนท่ีได้ศึกษำมำแล้วท้ัง เน้ือหำและตวั อย่ำงจำกหนังสือเรียน และกจิ กรรมทีน่ อกเหนือจำกหนังสือเรียน พร้อมทั้งยกอย่ำงสถำนกำรณ์ ในชีวติ ประจำวันท่เี กีย่ วข้องเพอื่ ทดสอบควำมเขำ้ ใจ
5. ครูเปิดโอกำสให้นักเรียนสอบถำมเนื้อหำที่ได้ศึกษำผ่ำนมำแล้วในส่วนที่ยังไม่เข้ำใจหรือสงสัย จำกนั้นครูให้ ควำมรู้เพิ่มเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอำจจะใช้ PowerPoint เร่ือง กฎของแก๊สอุดมคติ มำเปิดให้นักเรียนดู ประกอบเพื่อช่วยในกำรอธิบำยใหเ้ ขำ้ ใจมำกย่ิงขนึ้ 6. ครูมอบหมำยให้นักเรียนสร้ำงสรรค์ผลงำนกำรสรุปควำมรู้ เรื่อง กฎของแก๊สอุดมคติ ออกมำในรูปแบบของผัง มโนทศั น์ ลงในกระดำษ A4 พรอ้ มท้ังตกแต่งให้สวยงำม ขน้ั ประเมนิ 36. ประเมินควำมรู้เก่ียวกับเร่ือง กฎของแก๊สอุดมคติ โดยสังเกตพฤติกรรมกำรตอบคำถำม กำรทำแบบฝกึ หัด และกำรสรปุ สำระสำคัญ 37. ประเมินทักษะและกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์จำกกำรคำนวณหำปริมำณที่เกี่ยวข้องกับกฎของแก๊สอุดม คติทคี่ รูกำหนดให้ และกำรนำควำมรู้ท่ีไดไ้ ปใช้ประโยชน์ 38. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมควำมสนใจใฝ่รู้หรืออยำกรู้อยำกเห็น กำรทำงำน รว่ มกบั ผอู้ ืน่ อยำ่ งสรำ้ งสรรค์ 9. สือ่ การเรียนการสอน / แหลง่ เรียนรู้ 1) หนังสือเรียน รำยวิชำเพม่ิ เติมวทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟสิ กิ ส์ ม.6 เลม่ 1 2) แบบฝึกหัด รำยวชิ ำเพิ่มเตมิ วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 1 10. การวัดผลและประเมนิ ผล วิธีวัด เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน รายการวัด - ตรวจใบงำนท่ี 11 - ใบงำนท่ี 11 - รอ้ ยละ 60 ผำ่ น - ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝึกหดั เกณฑ์ 10.1 กำรประเมินระหว่ำง - รอ้ ยละ 60 ผ่ำนเกณฑ์ กำรจดั กิจกรรม - ประเมนิ กำรนำเสนอ 1) กฎของแกส๊ ผลงำน - แบบประเมินกำร - ระดับคุณภำพ 2 อุดมคติ - สังเกตพฤติกรรม 2) กำรนำเสนอ กำรทำงำน นำเสนอผลงำน ผำ่ นเกณฑ์ ผลงำน รำยบคุ คล 3) พฤติกรรมกำร - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภำพ 2 ทำงำนรำยบุคคล กำรทำงำน ผ่ำนเกณฑ์ รำยบคุ คล 4) พฤติกรรมกำร - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภำพ 2 ทำงำนกลุม่ กำรทำงำนกลุ่ม - สงั เกตควำมมวี ินยั กำรทำงำนกลุ่ม ผ่ำนเกณฑ์ 5) คณุ ลักษณะ ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ ม่นั อันพงึ ประสงค์ ในกำรทำงำน - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภำพ 2 คุณลักษณะ ผ่ำนเกณฑ์ อันพึงประสงค์ ลงช่อื ..................................................ผ้สู อน (............................................)
ใบงานที่ 11 เรอื่ ง กฎของแก๊สอดุ มคติ คาชี้แจง : ให้นักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. ขวด 2 ใบ ใบแรกมีขนำดควำมจุ 2,000 ลูกบำศก์เมตร และใบท่ีสองมีขนำดควำมจุ 6,000 ลูกบำศก์เมตร ตำมลำดับ โดยขวดใบที่กน่ึงบรรจุแก๊สควำมดัน 2 นิวตันต่อตำรำงเมตร และขวดใบที่สองบรรจุแก๊สควำมดัน 5 นิวตันต่อตำรำง เมตร จำกนั้นทำกำรต่อทอ่ ทีม่ ีวำล์วเชือ่ มต่อเข้ำหำกัน อยำกทรำบว่ำ เม่ือเปิดวำล์วใหแ้ ก๊สผสมกัน ภำยในขวดใบทหี่ นึ่ง จะมคี วำมดนั เทำ่ ใด 2. ถงั เหลก็ ใบหน่ึงมคี วำมจุ 2 ลิตร ทำกำรอัดแกส๊ ไนโตรเจน 5 ลิตร ที่ควำมดัน 760 มิลลิเมตรปรอท เข้ำไปในถังจดหมด สมมติให้อุณหภูมิของแก๊สไนโตรเจนคงตัว จงหำว่ำก่อนอัดแก๊สควำมดันของแก๊สไนโตรเจนในถังเหลก็ แต่เดมิ จะมี ค่ำเป็นก่นี ิวตันตอ่ ตำรำงเมตร
ใบงานท่ี 11 เฉลย เรื่อง กฎของแกส๊ อดุ มคติ คาชแี้ จง : ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1. ขวด 2 ใบ ใบแรกมีขนำดควำมจุ 2,000 ลูกบำศก์เมตร และใบที่สองมีขนำดควำมจุ 6,000 ลูกบำศก์เมตร ตำมลำดับ โดยขวดใบท่ีหนึ่งบรรจุแก๊สควำมดัน 2 นิวตันต่อตำรำงเมตร และขวดใบที่สองบรรจุแก๊สควำมดัน 5 นิวตันต่อตำรำง เมตร จำกนั้นทำกำรต่อทอ่ ท่มี ีวำล์วเช่อื มต่อเข้ำหำกัน อยำกทรำบว่ำ เม่ือเปิดวำล์วใหแ้ ก๊สผสมกัน ภำยในขวดใบท่หี นึ่ง จะมีควำมดันเทำ่ ใด วธิ ที า จำกสมกำร ������รวม������รวม = ������1������1 + ������2������2 ������รวม(2,000 m3 + 6,000 m3) = (2 N/m2)(2,000 m3) + (5 N/m2)(6,000 m3) ������รวม(8,000 m3) = 4,000 N m + 30,000 N m ������รวม(8,000 m3) = 34,000 N m ������รวม = 34,000 N m 8,000 m3 ������รวม = 4.25 N/m2 ดังน้นั ภำยในขวดใบทหี่ น่ึงจะมคี วำมดันเทำ่ กับ 4.25 นวิ ตันต่อตำรำงเมตร 2. ถงั เหลก็ ใบหน่งึ มีควำมจุ 2 ลิตร ทำกำรอดั แกส๊ ไนโตรเจน 5 ลติ ร ทค่ี วำมดนั 760 มลิ ลิเมตรปรอท เข้ำไปในถังจดหมด สมมติให้อุณหภูมิของแก๊สไนโตรเจนคงตัว จงหำว่ำก่อนอัดแก๊สควำมดันของแก๊สไนโตรเจนในถงั เหล็กแตเ่ ดิมจะมี ค่ำเป็นกน่ี ิวตนั ตอ่ ตำรำงเมตร วิธีทา จำกสมกำร ������1������1 = ������2������2 (760 mmHg)(5 L) = ������2(2 L) ������2 = (760 mmHg)(5 L) 2L ������2 = 1,900 mmHg เนอ่ื งจำก 760 มิลลเิ มตรปรอท มคี ำ่ เท่ำกบั 101,325 นวิ ตันต่อตำรำงเมตร จะได้วำ่ ������2 = (1,900 mmHg) (101,325 N/m2) 760 mmHg ������2 = 253,312.5 N/m2 ������2 = 2.53 × 105 N/m2 ดังนั้น ควำมดันของแกส๊ ไนโตรเจนในถังเหลก็ จะมีคำ่ เป็น 2.53 × 105 นวิ ตนั ตอ่ ตำรำงเมตร
แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 เรอ่ื ง ความรอ้ นและแกส๊ แผนจัดการเรียนร้ทู ี่ 12 เรอื่ ง ทฤษฎีจลน์ของแกส๊ รายวชิ า ฟิสิกส์ รหัสวิชา ว33205 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6/1 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 น้าหนกั เวลาเรียน 80 (นน./นก.) เวลาเรยี น 4 ชั่วโมง/สัปดาห์ เวลาท่ีใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 2 ชวั่ โมง ................................................................................................................. ......................................... 1. ผลการเรียนรู้ อธิบำยแบบจำลองของแก๊สอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส และอัตรำเร็วอำร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊ส รวมท้งั คำนวณปริมำณตำ่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง 2. จุดประสงค์. 1. อธบิ ำยควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ งควำมดนั และพลงั งำนจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สได้ (K) 2. คำนวณหำควำมดันและพลังงำนจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊ส และอัตรำเร็วอำร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊ส จำกปริมำณทเ่ี กยี่ วขอ้ งได้ (P) 3. มีควำมสนใจใฝ่รู้หรืออยำกรู้อยำกเห็น และทำงำนรว่ มกบั ผู้อืน่ อยำ่ งสร้ำงสรรค์ (A) 3. สาระสาคญั ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส เป็นทฤษฎีที่พยำยำมอธิบำยสมบัติต่ำง ๆ ของแก๊ส โดยศึกษำจำกทิศทำงกำรเคลื่อนท่ีของ โมเลกุลของแก๊สและลักษณะของโมเลกุลของแก๊สโดยกำรใช้แบบจำลองหรือทฤษฎีในระดับจุลภำค คือ พิจำรณำ คุณสมบัติของโมเลกุลของแก๊สเพียง 1 หรือ 2 โมเลกุล เพื่อเป็นตัวแทนของโมเลกุลล้ำน ๆ โมเลกุลในระดับมหภำค ดังน้ัน กำรพิจำรณำพลังงำนที่เกิดจำกกำรเคล่ือนท่ีของโมเลกุลของแก๊ส (พลงั งำนจลน์) และอัตรำเรว็ ในกำรเคล่ือนท่ี จึงจำเปน็ ตอ้ งให้หลักกำรทำงคณติ ศำสตร์ในกำรหำค่ำเฉล่ยี และควำมนำ่ จะเป็น 4. สมรรถนะสาคญั ของนกั เรียน - กระบวนกำรกลุ่ม 1. ควำมสำมำรถในกำรคดิ 2. ควำมสำมำรถในกำรแกป้ ัญหำ 5. คุณลักษณะของวชิ า - ควำมรับผดิ ชอบ - ควำมรอบคอบ 6. คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรยี นรู้ 7. ช้นิ งาน/ภาระงาน - ใบงำนท่ี 12 เรื่อง ทฤษฎจี ลน์ของแกส๊
8. กิจกรรมการเรยี นรู้ ชวั่ โมงท่ี 1 ขั้นนำ ข้นั การใช้ความรูเ้ ดมิ เช่ือมโยงความร้ใู หม่ (Prior Knowledge) 39. ครูทบทวนควำมรู้เกี่ยวกับสมบัติของแก๊สอุดมคติ โดยให้นักเรียนร่วมกันตอบคำถำมว่ำ “แบบจำลองของแก๊ส อุดมคตปิ ระกอบด้วยอะไรบ้ำง” (แนวตอบ : 1. แก๊สประกอบด้วยโมเลกุลจานวนมาก โมเลกุลเหล่านัน้ อยู่ห่างกันมากและไม่มีแรงกระทาตอ่ กัน 2. โมเลกุลของแก๊สมีมวลแต่มีขนาดเล็กมากจนถือว่ามีปริมาตรเป็นศูนย์ 3. โมเลกุลของแก๊สเคลื่อนท่ีอย่าง อิสระด้วยอัตราเร็วคงตัวตลอดเวลาในแนวเส้นตรง 4. เม่ือโมเลกุลของแก๊สชนกันหรือชนกับผนังภาชนะจะมี การถา่ ยโอนพลังงานจลน์ระหวา่ งกนั ไดแ้ ต่ไม่มีการเปล่ียนรูปเปน็ พลงั งานรปู อ่นื ) 40. ครูถำมคำถำม Key Question กับนักเรียนว่ำ “ทฤษฎีจลน์ของแก๊สศึกษำเก่ียวกับสิ่งใด” โดยนักเรียนร่วมกัน ตอบคำถำมและแสดงควำมคิดเห็นเก่ียวกับคำตอบของคำถำมเพ่ือเช่ือมโยงเข้ำสู่เน้ือหำท่ีกำลังจะศึกษำเรียนรู้ ต่อไป (แนวตอบ : ศึกษาสมบัตติ า่ ง ๆ ของแกส๊ โดยศึกษาจากทิศทางเคล่ือนท่ีของโมเลกลุ แก๊สและลกั ษณะของโมเลกุล แกส๊ ) ขน้ั สอน ข้นั รู้ (Knowing) 41. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนท่ีนั่งข้ำง ๆ จำกน้ันร่วมกันศึกษำ เร่ือง ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ในหัวข้อที่เก่ียวกับ ควำมดนั และพลงั งำนจลน์เฉล่ียของโมเลกุลของแก๊ส จำกหนังสือเรียน 42. ครูมอบหมำยให้นักเรียนจดบันทึกและเขียนสรุปควำมรู้เก่ียวกับควำมดันและพลังงำนจลน์เฉลี่ยของโมเลกุล ของแก๊สลงในกระดำษ A4 คนละ 1 แผ่น พรอ้ มท้ังตกแตง่ ให้สวยงำม 43. ครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมำนำเสนอผลงำนของตนเองหน้ำช้ันเรียน 2-3 คน จำกน้ันตัวแทนนักเรียนเก็บ รวบรวมผลงำนส่งครเู พือ่ ตรวจให้คะแนน 44. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรำยเกี่ยวกับควำมดันและพลังงำนจลน์เฉล่ียของโมเลกุลของแก๊ส หลังจำกท่ีได้ รว่ มกนั ศึกษำเน้อื หำจำกหนังสือเรียนแล้ว 45. นักเรียนร่วมกันตอบคำถำม Concept Question จำกหนงั สือเรยี นท่ถี ำมว่ำ “กำรหำสมกำรพลังงำนจลน์เฉลี่ยของ โมเลกลุ ของแก๊ส สำมำรถพิจำรณำได้จำกสงิ่ ใด” (แนวตอบ : พิจารณาได้จากอัตราเรว็ ในการเคล่ือนท่ขี องโมเลกุลของแกส๊ และกฎของแก๊สอดุ มคติ) 46. ครูนำนักเรียนอภิปรำยเกี่ยวกับสมกำรควำมสัมพันธ์ของพลังงำนจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สว่ำ ณ อุณหภูมิเดียวกัน โมเลกุลของแก๊สแต่ละโมเลกุลจะมีกำรเคลื่อนท่ีด้วยอัตรำเร็วท่ีไม่เท่ำกัน แต่จะมีพลังงำน จลน์เฉลีย่ เท่ำกัน โดยทพี่ ลังงำนจลน์เฉลย่ี ของโมเลกลุ ของแก๊สจะแปรผันตรงกับอณุ หภูมิสัมบรู ณ์หรืออณุ หภูมิ ของแก๊สในหนว่ ยเคลวิน
ชวั่ โมงท่ี 2 ขน้ั สอน ขั้นรู้ (Knowing) 47. ครูให้นักเรยี นคู่เดิมที่เคยร่วมกันศึกษำเนอื้ หำมำแล้วก่อนหน้ำน้ี ร่วมกนั ศึกษำ เรอื่ ง ทฤษฎจี ลนข์ องแก๊ส ในหวั ข้อที่ เก่ียวกบั อตั รำเร็วของโมเลกุลของแก๊ส จำกหนังสือเรยี น 48. ครูใช้คำถำมเพ่ือทดสอบควำมสนใจของนักเรียนว่ำ “กำรบอกค่ำอัตรำเร็วเฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สสำมำรถ บอกไดด้ ้วยสง่ิ ใด” โดยครูอำจสุ่มนกั เรียนจำกกำรสงั เกตกำรณ์เป็นรำยบุคลลเพ่ือตอบคำถำม (แนวตอบ : ค่ารากท่ีสองของกาลังสองเฉลีย่ ของอัตราเรว็ หรือเรยี กว่า อตั ราเร็วอารเ์ อ็มเอส) 49. นักเรียนศึกษำตัวอย่ำงที่ 2.15 จำกหนังสือเรียน ซึ่งเป็นกำรใช้ทฤษฎีจลน์ของแก๊สในกำรคำนวณ เพ่ือหำ คำตอบ เสร็จแล้วครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมำอธิบำยผลกำรศึกษำของตนเองบนกระดำนหน้ำชั้นเรียน โดย ครูคอยใหค้ ำแนะนำเมื่อนักเรียนไมเ่ ข้ำใจหรือเกิดควำมสงสยั ขั้นเข้าใจ (Understanding) 7. ครูใช้คำถำมให้นักเรียนอธิบำยส่ิงที่นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเร่ือง ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส โดยครูสุ่มนักเรียน จำนวนหนึง่ ออกมำหน้ำหอ้ งเพอื่ อธบิ ำยผลกำรศึกษำในแตล่ ะหัวข้อ 8. เมื่อนักเรียนอธิบำยผลกำรศึกษำตำมควำมเข้ำใจของนักเรียนแล้ว ครูอำจยกตัวอย่ำงหรือปรบั เปลี่ยนสถำนกำรณ์ จำกตวั อยำ่ งท่ีไดศ้ ึกษำ แล้วให้นักเรยี นอธบิ ำยส่งิ ทเ่ี หมอื นและสิ่งทแ่ี ตกตำ่ ง 9. ครูมอบหมำยให้นักเรียนศึกษำทำควำมเข้ำใจเก่ียวกับทฤษฎีจลน์ของแก๊สเพิ่มเติมจำกแบบฝึกหัด ฟสิ ิกส์ ม.6 เล่ม 1 หน่วยกำรเรยี นรู้ที่ 2 ควำมร้อนและทฤษฎีจลนข์ องแกส๊ ข้ันลงมือทา (Doing) 5. ครูให้นักเรียนศึกษำแบบฝึกหัด Topic Questions จำกหนังสือเรียน โดยครูมอบหมำยให้นักเรียนแต่ละคน เขียนแสดงวิธีกำรแก้โจทย์ปัญหำลงในสมุดบันทึกประจำตัว 6. ครูแจกใบงำนที่ 2.3 เร่ือง ทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส ให้นักเรียนคนละ 1 ชุด จำกน้ันมอบหมำยให้นำกลับไปศึกษำเป็น กำรบำ้ น เสรจ็ แลว้ ตัวแทนรวบรวมสง่ ครูเพ่อื ตรวจและใหค้ ะแนนก่อนทจี่ ะเจอกนั ในช่ัวโมงถัดไป ข้นั สรุป 7. ครูและนักเรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยให้นักเรียนอธิบำยสรุปควำมรู้เก่ียวกับควำมร้อนที่ได้ศึกษำมำแล้วท้ัง เน้ือหำและตวั อย่ำงจำกหนังสือเรยี น และกจิ กรรมทีน่ อกเหนือจำกหนังสือเรียน พรอ้ มท้ังยกอย่ำงสถำนกำรณ์ ในชีวติ ประจำวนั ทเี่ กยี่ วข้องเพ่อื ทดสอบควำมเข้ำใจ 8. ครูเปิดโอกำสให้นักเรียนสอบถำมเน้ือหำท่ีได้ศึกษำผ่ำนมำแล้วในส่วนที่ยังไม่เข้ำใจหรือสงสัย จำกน้ันครูให้ ควำมรู้เพิ่มเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอำจจะใช้ PowerPoint เรื่อง ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส มำเปิดให้นักเรียนดู ประกอบเพื่อช่วยในกำรอธบิ ำยใหเ้ ขำ้ ใจมำกยิ่งขนึ้ 9. ครูมอบหมำยให้นักเรียนสร้ำงสรรค์ผลงำนกำรสรุปควำมรู้ เรื่อง ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ออกมำในรูปแบบแผ่นพับ ควำมรู้ ลงในกระดำษ A4 พร้อมทัง้ ตกแต่งใหส้ วยงำม
ข้ันประเมิน 1. ประเมินควำมรู้เกี่ยวกับเร่ือง ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส โดยสังเกตพฤติกรรมกำรตอบคำถำม กำรทำแบบฝกึ หัด และกำรสรปุ สำระสำคญั 2. ประเมินทักษะและกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์จำกกำรคำนวณหำปริมำณที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีจลน์ของ แก๊สท่คี รกู ำหนดให้ และกำรนำควำมรทู้ ไี่ ดไ้ ปใช้ประโยชน์ 3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมควำมสนใจใฝ่รู้หรืออยำกรู้อยำกเห็น กำรทำงำน รว่ มกับผูอ้ นื่ อย่ำงสรำ้ งสรรค์ 9. สื่อการเรยี นการสอน / แหลง่ เรียนรู้ 1) หนงั สือเรยี น รำยวิชำเพ่ิมเติมวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 1 2) แบบฝึกหดั รำยวิชำเพ่มิ เติมวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ฟสิ ิกส์ ม.6 เล่ม 1 10. การวัดผลและประเมินผล วธิ ีวดั เคร่ืองมือ เกณฑก์ ารประเมิน รายการวดั - ตรวจใบงำนที่ 13 - ใบงำนท่ี 13 - ร้อยละ 60 ผ่ำนเกณฑ์ - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝกึ หดั - รอ้ ยละ 60 ผำ่ นเกณฑ์ 10.1 กำรประเมินระหว่ำง กำรจัดกจิ กรรม - ประเมินกำรนำเสนอ - แบบประเมนิ กำร - ระดบั คุณภำพ 2 1) ทฤษฎีจลน์ ผลงำน ของแกส๊ - สงั เกตพฤติกรรม นำเสนอผลงำน ผ่ำนเกณฑ์ 2) กำรนำเสนอ กำรทำงำน ผลงำน รำยบุคคล - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภำพ 2 3) พฤติกรรมกำร ทำงำนรำยบุคคล กำรทำงำน ผ่ำนเกณฑ์ รำยบคุ คล 4) พฤติกรรมกำร - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภำพ 2 ทำงำนกลมุ่ กำรทำงำนกลุ่ม - สังเกตควำมมวี นิ ัย กำรทำงำนกลุ่ม ผ่ำนเกณฑ์ 5) คณุ ลกั ษณะ ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมั่น อันพึงประสงค์ ในกำรทำงำน - แบบประเมิน - ระดบั คุณภำพ 2 คุณลกั ษณะ ผ่ำนเกณฑ์ อนั พึงประสงค์ ลงชอื่ ..................................................ผู้สอน (............................................)
ใบงานที่ 12 เรอ่ื ง ทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส คาชี้แจง : ให้นกั เรยี นตอบคาถามต่อไปน้ี 1. แก๊สอะตอมเดี่ยวชนิดหนึ่งที่อุณหภูมิ 227 องศำเซลเซียส อยำกทรำบว่ำ พลังงำนจลน์เฉล่ียของโมเลกุลของแก๊ส จะมีค่ำเท่ำกับเท่ำใด 2. พลังงำนจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สอะตอมเดี่ยวชนิดหนึ่งจะลดลงร้อยละเท่ำใดจำกเดิม หำกเดิมแก๊สชนิดนี้มี อุณหภูมิ 127 องศำเซลเซียส แล้วลดลงเหลือเพียง 27 องศำเซลเซียส
ใบงานท่ี 13 เฉลย เรอ่ื ง ทฤษฎีจลนข์ องแก๊ส คาชีแ้ จง : ใหน้ ักเรียนตอบคาถามต่อไปนี้ 1. แก๊สอะตอมเดี่ยวชนิดหนึ่งที่อุณหภูมิ 227 องศำเซลเซียส อยำกทรำบว่ำ พลังงำนจลน์เฉล่ียของโมเลกุลของแก๊ส จะมีค่ำเท่ำกับเท่ำใด วธิ ที า จำกสมกำร ���̅��������� = 3 ������������������ 2 3 ���̅��������� = 2 (1.38 × 10−23 J/K)(227 + 273 K) ���̅��������� = 3 (1.38 × 10−23 J/K)(500 K) 2 ���̅��������� = 3(1.38 × 10−23 J/K)(250 K) ���̅��������� = (1.38 × 10−23 J/K)(750 K) ���̅��������� = 1,035 × 10−23 J ���̅��������� = 1.035 × 10−20 J ดังนัน้ พลงั งำนจลน์เฉล่ียของโมเลกุลของแก๊สจะมีค่ำเท่ำกบั 1.035 × 10-20 จลู 2. พลังงำนจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สอะตอมเดี่ยวชนิดหนึ่งจะลดลงร้อยละเท่ำใดจำกเดิม หำกเดิมแก๊สชนิดนี้มี อุณหภูมิ 127 องศำเซลเซียส แล้วลดลงเหลือเพียง 27 องศำเซลเซียส วิธที า จำกโจทย์ หำกพูดถงึ ร้อยละ จะกำหนดให้ ���̅���������1 = 100% จะได้ว่ำ ∆���̅��������� = ���̅���������2 − ���̅���������1 ∆���̅��������� = ���̅���������2 − 100% (1) หำ ���̅���������2 จำกสมกำร =���̅���������2 32������������������2 ���̅���������1 23������������������1 ���̅���������2 = 27+273 K 100% 127+273 K ���̅���������2 = 300 K 100% 400 K ���̅���������2 = (300 K) (100%) 400 K ���̅���������2 = 75% นำค่ำ ���̅���������2 ไปแทนลงในสมกำรที่ (1) จะได้ว่ำ ∆���̅��������� = 75% − 100% ∆���̅��������� = −25% ดงั นัน้ พลังงำนจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สอะตอมเด่ียวชนิดน้ีจะลดลงร้อยละ 25 จำกเดิม
แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 เร่อื ง ความรอ้ นและแก๊สแผนจัดการเรียนรูท้ ่ี 13 เรอ่ื ง ความร้อนและทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ รายวิชา ฟิสิกส์ รหัสวิชา ว33206 ระดับชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 6/1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 นา้ หนกั เวลาเรียน 80 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ เวลาทใ่ี ชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 4 ชั่วโมง ............................................................................................................................. ............................. 1. ผลการเรียนรู้ อธิบำยและคำนวณงำนท่ีทำโดยแก๊สในภำชนะปิดโดยควำมดันคงตัว และอธิบำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำง ควำมร้อน พลังงำนภำยในระบบ และงำน รวมทั้งคำนวณปริมำณต่ำง ๆ ท่ีเก่ียวข้องและนำควำมรู้เร่ืองพลังงำนภำยใน ระบบไปอธิบำยหลกั กำรทำงำนของเครอ่ื งใชใ้ นชวี ิตประจำวนั 2. จุดประสงค์. 1. อธิบำยควำมสมั พันธ์ระหว่ำงควำมร้อน พลังงำนภำยในระบบ และงำนที่เกิดข้ึนเน่ืองจำกควำมร้อนได้ (K) 2. คำนวณหำปริมำณที่เกีย่ วข้องกับพลงั งำนภำยในระบบจำกกฎขอ้ ท่ีหนึ่งของอุณหพลศำสตร์ได้ (P) 3. มคี วำมสนใจใฝร่ หู้ รืออยำกรู้อยำกเห็น และทำงำนรว่ มกบั ผู้อนื่ อยำ่ งสร้ำงสรรค์ (A) 3. สาระสาคญั พลังงำนภำยในระบบ หมำยถึง ผลรวมของพลังงำนจลน์เฉลี่ยทั้งหมดของแก๊สในระบบปิด เนื่องจำกแก๊สอุดม คติจะไม่มีแรงอื่นมำกระทำต่อโมเลกุลจึงไม่มีพลังงำนศักย์ กล่ำวได้ว่ำ พลังงำนภำยในระบบ คือ ผลรวมของพลังงำน จลน์ทั้งหมดของโมเลกุล พลังงำนภำยในระบบมีควำมสัมพันธ์กับควำมร้อนและงำน เช่น เม่ือมีกำรถ่ำยโอนควำม ร้อนในระบบปิด ผลของกำรถ่ำยโอนควำมร้อนน้ีจะเท่ำกับผลรวมของพลังงำนภำยในระบบท่ีเปลี่ยนแปลงกับงำน เปน็ ไปตำมกฎกำรอนรุ กั ษ์พลังงำน เรยี กกฎขอ้ ท่หี น่งึ ของอุณหพลศำสตร์ แสดงได้ดว้ ยสมกำร ������ = ∆������ + ������ 4. สมรรถนะสาคญั ของนกั เรยี น 1. ควำมสำมำรถในกำรคิด 2. ควำมสำมำรถในกำรแกป้ ัญหำ 5. คณุ ลกั ษณะของวิชา - ควำมรับผิดชอบ - ควำมรอบคอบ - กระบวนกำรกล่มุ 6. คุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ 1. มวี นิ ัย 2. ใฝเ่ รียนรู้ 7. ช้นิ งาน/ภาระงาน - ใบงำนท่ี 13 เร่ือง ควำมร้อนและทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส
8. กิจกรรมการเรียนรู้ ชั่วโมงท่ี 1-2 ขั้นนำ ข้นั การใช้ความรู้เดิมเชื่อมโยงความรใู้ หม่ (Prior Knowledge) 4. ครูทบทวนควำมรู้เกี่ยวกับควำมร้อน แก๊สอุดมคติ และทฤษฎีจลน์ของแก๊ส โดยครูอำจใช้คำถำมเพ่ือ ตรวจสอบควำมรูค้ วำมเขำ้ ใจของนักเรียนในเร่อื งน้ัน ๆ 5. ครูถำมคำถำม Key Question กับนักเรียนว่ำ “พลังงำนภำยในระบบเกี่ยวข้องกับแก๊สอย่ำงไร” โดย นักเรียนร่วมกันตอบคำถำมและแสดงควำมคิดเห็นเก่ียวกับคำตอบของคำถำมเพื่อเช่ือมโยงเข้ำสู่เน้ือหำที่กำลัง จะศึกษำเรยี นรู้ต่อไป (แนวตอบ : พลงั งานภายในระบบเป็นการศึกษาพลังงานท้ังหมดของโมเลกุลของแกส๊ ในระบบนนั้ ) ขน้ั สอน ข้นั รู้ (Knowing) 6. ครูใหน้ ักเรยี นจบั ค่กู บั เพอื่ นทน่ี ั่งข้ำง ๆ จำกนนั้ ร่วมกันศกึ ษำ เรือ่ ง พลังงำนภำยในระบบ จำกหนงั สอื เรยี น 7. ครมู อบหมำยให้นักเรียนจดบันทกึ และเขยี นสรุปควำมรเู้ กี่ยวกับพลังงำนภำยในระบบลงในกระดำษ A4 คนละ 1 แผ่น พรอ้ มท้ังตกแต่งใหส้ วยงำม 8. ครูสุ่มนักเรียนเพื่อให้นักเรียนอธิบำยภำพกำรเปลี่ยนแปลงปริมำตรของแก๊สในกระบอกสูบเน่ืองจำกแรง F จำกหนังสอื เรยี น 9. ครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมำนำเสนอผลงำนของตนเองหน้ำชั้นเรียน 2-3 คน จำกน้ันตัวแทนนักเรียนเก็บ รวบรวมผลงำนส่งครเู พือ่ ตรวจใหค้ ะแนน 10. ครูให้นักเรียนศึกษำและทำควำมเข้ำใจเก่ียวกับควำมหมำยของเครื่องหมำยของปริมำณท่ีเก่ียวข้องกับ พลังงำนภำยในระบบ จำกตำรำงควำมหมำยของเครื่องหมำยของปริมำณ Q ∆U และ W จำกหนังสือ เรียน 11. ครูให้นักเรียนปิดหนังสือเรียน จำกนั้นครูสุ่มถำมเครื่องหมำยของปริมำณ Q ∆U และ W โดยให้นักเรียน อธิบำยหรอื บอกควำมหมำยของปรมิ ำณนัน้ ๆ 12. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรำยเกี่ยวกับพลังงำนภำยในระบบ หลังจำกที่ได้ร่วมกันศึกษำเนื้อหำ จำก หนงั สอื เรยี นแล้ว 13. นักเรียนศึกษำตัวอย่ำงที่ 2.16 จำกหนงั สอื เรียน โดยจดลงสมดุ บนั ทกึ ประจำตวั 14. ครูใหน้ ักเรียนปิดหนังสือเรียน จำกนัน้ ครูอำ่ นโจทยต์ ัวอย่ำงท่ี 2.17 ให้นักเรยี นจดลงในกระดำษ A4 แล้วครูให้ เวลำนักเรียนแสดงวิธีคำนวณเพื่อแก้โจทย์ปัญหำ เสร็จแล้วครูเก็บรวบรวมนำกลับไปตรวจ เพื่อให้เป็นคะแนน พเิ ศษ 15. ครูนำนักเรียนอภิปรำยเกี่ยวกับพลังงำนภำยในระบบว่ำ พลังงำนภำยในระบบจะมีควำมสัมพันธ์กับควำมร้อน และงำน เช่น เมื่อมีกำรถ่ำยโอนควำมร้อนในภำชนะปิด ผลของกำรถำ่ ยโอนควำมรอ้ นนี้จะเท่ำกับผลรวมของ พลังงำนภำยในระบบที่เปลี่ยนแปลงไปกับงำนที่ระบบกระทำหรือถูกกระทำโดยสิ่งแวดล้อม เป็นไปตำมกฎ กำรอนุรักษพ์ ลังงำน เรียกว่ำ กฎข้อที่หน่งึ ของอุณหพลศำสตร์
16. ครูสอบถำมควำมเข้ำใจของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง พลังงำนภำยในระบบ และกฎข้อที่หนึ่งของอุณหพล ศำสตร์ โดยครูอำจใช้คำถำมเพ่อื ตรวจสอบควำมเข้ำใจของนักเรยี นอีกครั้งหน่ึงก่อนศึกษำเนอื้ หำเร่ืองถดั ไป ช่วั โมงท่ี 3-4 ขนั้ สอน ขนั้ รู้ (Knowing) 17. ครใู ห้นกั เรยี นนับเลข 1-8 วนไปจนครบทุกคน จำกนัน้ ใหน้ กั เรียนทน่ี บั เลขเดียวกันแยกเข้ำกลุ่มของตนเอง 18. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษำ เรื่อง กำรประยุกต์ใช้ควำมรู้เก่ียวกับพลังงำนภำยในระบบจำกหนังสือ เรียน 19. ครใู ห้นักเรียนนำโทรศัพทม์ ือถือข้นึ มำแล้วสแกน QR Code เร่อื ง พลังงำนภำยในระบบ จำกหนังสือเรียน เพื่อศึกษำ เพ่ิมเติมจำกส่ือดจิ ิทัล 20. ครูจดั เตรียมสลำกชื่อเร่ืองทีจ่ ะให้แต่ละกลุ่มศกึ ษำเพ่ิมเตมิ ในหัวข้อดังต่อไปน้ี a. เคร่อื งยนตเ์ บนซนิ จำนวน 2 แผน่ b. เครอ่ื งยนต์ดีเซล จำนวน 2 แผน่ c. ตู้เยน็ จำนวน 2 แผ่น d. เครื่องปรับอำกำศ จำนวน 2 แผน่ 21. นักเรียนส่งตัวแทนกลุ่มออกมำหน้ำช้ันเรียนเพื่อจับสลำกช่ือเร่ืองที่จะต้องศึกษำเพิ่มเติม จำกนั้นครูมอบหมำย ให้สมำชิกแต่ละกลุ่มจัดทำโปสเตอร์ควำมรู้ ซึ่งเป็นกำรนำเสนอข้อมูลเก่ยี วกับเรื่องทแ่ี ต่ละกลุ่มจับสลำกได้ โดย ครูแจกกระดำษฟลปิ ชำร์ตให้นักเรียนกลุ่มละ 1 แผ่น แล้วให้เวลำนักเรียนได้ศึกษำหำควำมรู้เพ่มิ เตมิ พร้อมท้ัง ตกแต่งผลงำนของกลุ่มตนเองใหส้ วยงำม 22. ครูให้นักเรียนนำผลงำนของตนเองไปติดไว้กับผนังโดยรอบห้องเรียน จำกนั้นครูสุ่มเรียกเลขที่ของนักเรียน โดยกลุ่มใดที่มีคนท่ีมีเลขที่ตำมที่ครูขำนเรียกจะเป็นกลุ่มท่ีจะต้องนำเสนอผลงำนก่อน เสร็จแล้วครูสุ่มเลขท่ี เช่นเดิมเพื่อให้ทุกกลุ่มได้นำเสนอผลงำนของตนเอง เสร็จแล้วครูเดินตรวจผลงำนของนกั เรียนในภำพรวมอีก ครัง้ เพ่ือใหค้ ะแนน 23. นักเรียนและครูร่วมกันพูดคุยและอธิบำยเก่ียวกับกำรประยุกต์ใช้ควำมรู้เก่ียวกับพลังงำนภำยในระบบในกำร อธบิ ำยกำรทำงำนของเคร่อื งยนตค์ วำมร้อน ตู้เย็น และเคร่อื งปรบั อำกำศ ขั้นเขา้ ใจ (Understanding) 10. ครูใช้คำถำมให้นักเรียนอธิบำยส่ิงท่ีนักเรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับเร่ือง พลังงำนภำยในระบบ โดยครูสุ่มนักเรียน จำนวนหน่ึงออกมำหนำ้ หอ้ งเพอ่ื อธบิ ำยผลกำรศึกษำในแต่ละหัวข้อ 11. เมื่อนักเรียนอธบิ ำยผลกำรศึกษำตำมควำมเข้ำใจของนักเรียนแล้ว ครูอำจยกตัวอย่ำงหรือปรับเปลี่ยนสถำนกำรณ์ จำกตัวอย่ำงท่ไี ดศ้ ึกษำ แล้วใหน้ กั เรียนอธบิ ำยสง่ิ ท่ีเหมือนและส่งิ ทแ่ี ตกต่ำง 12. ครมู อบหมำยให้นักเรียนศึกษำทำควำมเข้ำใจเกย่ี วกับพลังงำนภำยในระบบเพิม่ เติมจำกแบบฝึกหัด ฟสิ ิกส์ ม.6 เลม่ 1 หนว่ ยกำรเรยี นร้ทู ี่ 2 ควำมร้อนและทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
ข้นั ลงมือทา (Doing) 7. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือน แล้วร่วมกันศึกษำแบบฝึกหัด Topic Questions จำกหนังสือเรียน โดยครู มอบหมำยให้นักเรียนแต่ละคนเขียนแสดงวิธกี ำรแก้โจทย์ปัญหำลงในสมุดบันทึกประจำตัว โดยที่ครูกำหนดให้ ใช้หลกั กำรแกโ้ จทยป์ ัญหำ 4 ขน้ั ตอน ของโพลยำ (Polya’s problem solving process) ดังน้ี ขั้นที่ 1 ทำควำมเข้ำใจโจทย์ (Understanding the problem) เป็นกำรคิดเกี่ยวกับปัญหำและตัดสิน วำ่ อะไรที่ตอ้ งกำรค้นหำ โดยนกั เรยี นต้องทำควำมเข้ำใจปัญหำและระบุสว่ นทส่ี ำคัญของปญั หำ ข้ันท่ี 2 วำงแผนแก้ปัญหำ (Devising the plan) เป็นกำรค้นหำควำมเชื่อมโยงหรือควำมสัมพันธ์ระหว่ำง ข้อมูลกับสิ่งที่ไม่รู้ นำควำมสัมพันธ์ที่ได้มำผสมผสำนกับประสบกำรณ์ กำหนดแนวทำงหรือแผนในกำร แกป้ ญั หำ ข้ันท่ี 3 ปฏิบัติตำมแผน (Carrying out the plan) เป็นกำรลงมือปฏิบัติตำมแผนหรือแนวทำงท่ีวำงไว้ อำจตรวจสอบควำมเป็นไปได้ของแผน เพ่ิมเติมรำยละเอียด แล้วลงมือปฏิบัติจนได้ควำมสำเร็จ ถำ้ ไม่ สำเร็จต้องคน้ หำและทำกำรแก้ปญั หำจนสำมำรถแกป้ ัญหำได้ ขั้นที่ 4 ตรวจสอบ (Looking back) เป็นกำรมองย้อนกลับไปยังคำตอบท่ีได้มำ เร่ิมจำกกำรตรวจสอบ ควำมถูกต้อง ควำมสมเหตุสมผลของคำตอบและยุทธวิธีแก้ปัญหำที่ใช้ มีคำตอบหรือยุทธวิธีอื่นในกำร แก้ปญั หำนอ้ี กี หรอื ไม่ 8. ครูแจกใบงำนที่ 2.4 เรื่อง พลังงำนภำยในระบบ ให้นักเรียนคนละ 1 ชุด จำกนั้นมอบหมำยให้นำกลับไป ศึกษำเปน็ กำรบ้ำน เสรจ็ แล้วตัวแทนรวบรวมสง่ ครเู พื่อตรวจและให้คะแนนกอ่ นทีจ่ ะเจอกันในช่ัวโมงถัดไป 9. ครใู หน้ ักเรยี นศึกษำกรอบ Physics in real life เร่ือง บอลลนู อำกำศรอ้ น จำกหนังสือเรียน 10. ครูให้นักเรยี นศึกษำกิจกรรม Apply Your Knowledge จำกหนังสือเรยี น โดยจดบนั ทึกและตอบคำถำมลงใน สมุดบันทกึ ประจำตัว 11. ครูให้นักเรียนตรวจสอบควำมเข้ำใจของตนเอง ด้วยกรอบ Self Check เรื่อง ควำมร้อนและทฤษฎีจลน์ของ แก๊ส จำกหนงั สอื เรียน ลงในสมดุ บันทึกประจำตวั 12. ครูมอบหมำยให้นักเรยี นทำแบบฝึกหัดจำก Unit Questions หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 2 ควำมร้อนและทฤษฎีจลน์ ของแก๊ส จำกหนังสือเรียน โดยทำลงในสมุดบันทึกประจำตัวเป็นกำรบ้ำน แล้วรวบรวมส่งครูเพื่อตรวจสอบ และใหค้ ะแนน 13. ครูมอบหมำยให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดจำก Test for U หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 2 ควำมร้อนและทฤษฎีจลน์ของ แก๊ส จำกหนังสือเรยี น โดยทำลงในสมุดบันทกึ ประจำตัวเปน็ กำรบำ้ น แล้วรวบรวมส่งครูเพ่ือตรวจสอบและให้ คะแนน 14. ครูใหน้ กั เรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรียน เพ่อื ทดสอบควำมร้คู วำมเข้ำใจหลงั จำกทีไ่ ดศ้ ึกษำแล้ว ข้นั สรุป 1. ครูและนักเรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยให้นักเรียนอธิบำยสรุปควำมรู้เก่ียวกับควำมร้อนที่ได้ศึกษำมำแล้วท้ัง เน้ือหำและตัวอย่ำงจำกหนังสือเรียน และกิจกรรมทีน่ อกเหนือจำกหนังสือเรียน พรอ้ มทั้งยกอย่ำงสถำนกำรณ์ ในชวี ติ ประจำวันทเี่ กย่ี วข้องเพือ่ ทดสอบควำมเข้ำใจ 2. ครูเปิดโอกำสให้นักเรียนสอบถำมเน้ือหำที่ได้ศึกษำผ่ำนมำแล้วในส่วนท่ียังไม่เข้ำใจหรือสงสัย จำกนั้นครูให้ ควำมรู้เพิ่มเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอำจจะใช้ PowerPoint เร่ือง พลังงำนภำยในระบบ มำเปิดให้นักเรียนดู ประกอบเพ่ือช่วยในกำรอธิบำยให้เข้ำใจมำกยิ่งขน้ึ
3. ครูให้นักเรียนทำสรุปผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) เรื่อง ควำมร้อนและทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ลงใน กระดำษ A4 พร้อมทัง้ ตกแตง่ ให้สวยงำม ขัน้ ประเมนิ 4. ประเมินควำมรู้เกี่ยวกับเรื่อง พลังงำนภำยในระบบ โดยสังเกตพฤติกรรมกำรตอบคำถำม กำรทำ แบบฝกึ หดั และกำรสรปุ สำระสำคญั 5. ประเมินทักษะและกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์จำกกำรคำนวณหำปริมำณที่เกี่ยวข้องกับพลังงำนภำยใน ระบบทค่ี รูกำหนดให้ และกำรนำควำมรทู้ ไี่ ดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 6. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมควำมสนใจใฝ่รู้หรืออยำกรู้อยำกเห็น กำรทำงำน ร่วมกบั ผอู้ น่ื อย่ำงสร้ำงสรรค์ 9. สือ่ การเรยี นการสอน / แหลง่ เรียนรู้ 1) หนังสอื เรยี น รำยวชิ ำเพิ่มเติมวทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟิสกิ ส์ ม.6 เล่ม 1 2) แบบฝึกหดั รำยวิชำเพิม่ เติมวทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 1 10. การวดั ผลและประเมินผล วธิ ีวดั เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน รายการวัด - ตรวจใบงำนที่ 13 - ใบงำนที่ 13 - รอ้ ยละ 60 ผำ่ นเกณฑ์ - ตรวจแบบฝึกหดั - แบบฝึกหดั - ร้อยละ 60 ผ่ำนเกณฑ์ 10.1 กำรประเมนิ ระหว่ำง กำรจดั กจิ กรรม - ประเมนิ กำรนำเสนอ - แบบประเมินกำร - ระดับคุณภำพ 2 1) ควำมร้อนและ ผลงำน ทฤษฎจี ลน์ - สังเกตพฤติกรรม นำเสนอผลงำน ผ่ำนเกณฑ์ ของแก๊ส กำรทำงำน 2) กำรนำเสนอ รำยบคุ คล - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดับคุณภำพ 2 ผลงำน 3) พฤติกรรมกำร กำรทำงำน ผำ่ นเกณฑ์ ทำงำนรำยบคุ คล รำยบคุ คล 4) พฤติกรรมกำร - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดับคุณภำพ 2 ทำงำนกลมุ่ กำรทำงำนกลุ่ม - สังเกตควำมมีวนิ ยั กำรทำงำนกลุ่ม ผำ่ นเกณฑ์ 5) คณุ ลักษณะ ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งม่นั อันพงึ ประสงค์ ในกำรทำงำน - แบบประเมิน - ระดบั คุณภำพ 2 คณุ ลกั ษณะ ผ่ำนเกณฑ์ อนั พงึ ประสงค์ ลงช่ือ..................................................ผสู้ อน (............................................)
แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 3 เร่ือง ของแข็งและของไหล แผนจดั การเรียนรูท้ ี่ 14 เรือ่ ง ความเคน้ ความเครยี ด รายวิชา ฟิสิกส์ รหัสวชิ า ว33205 ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6/1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 น้าหนักเวลาเรยี น 80 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ช่ัวโมง/สัปดาห์ เวลาทใ่ี ชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 2 ช่วั โมง ................................................................................................................... ....................................... 1. ผลการเรยี นรู้ อธิบำยสภำพยืดหยุ่นและลักษณะกำรยืดและหดตัวของวัสดุที่เป็นแท่ง เม่ือถูกกระทำด้วยแรงค่ำต่ำง ๆ รวมท้ัง ทดลอง อธิบำยและคำนวณควำมเค้นตำมยำวควำมเครียดตำมยำวและมอดุลัสของยัง และนำควำมรู้ เรื่องสภำพ ยืดหย่นุ ไปใชใ้ นชีวิตประจำวัน 2. จดุ ประสงค์ 1. อธบิ ำยสภำพยดื หยนุ่ และลักษณะกำรยดื และหดตวั ของวัสดุท่ีเป็นแท่งได้ (K) 2. อธิบำยควำมหมำยของควำมเค้นตำมยำวและควำมเครยี ดตำมยำวได้ (K) 3. มที กั ษะในกำรคำนวณหำปริมำณท่เี กย่ี วข้องกับควำมเคน้ ตำมยำวและควำมเครยี ดตำมยำว (P) 4. มีควำมสนใจใฝ่รหู้ รอื อยำกรู้อยำกเหน็ และทำงำนร่วมกับผู้อนื่ อย่ำงสร้ำงสรรค์ (A) 3. สาระสาคัญ สภำพยดื หยุ่นเป็นสมบัติอย่ำงหน่ึงของวสั ดุ โดยเมอ่ื ออกแรงกระทำตอ่ วัสดุแลว้ ทำให้วสั ดุมีรูปร่ำงหรอื มีควำมยำว ที่เปลี่ยนแปลงไปจำกเดิม แต่เมื่อหยุดออกแรงกระทำต่อวัสดุ วัสดุจะสำมำรถกลับคืนสู่รูปร่ำงเดิมได้ หำกออกแรง ต่อไปวัสดุจะขำดหรือเปล่ียนแปลงรูปร่ำงไปอย่ำงถำวร โดยที่อตั รำส่วนระหว่ำงแรงภำยนอกท่ีกระทำต่อวัสดุกับพ้ืนท่ี หน้ำ ตัดของวัสดุ คือ ควำมเค้น โดยทวั่ ไปสำมำรถแบ่งควำมเค้นตำมลักษณะของแรงที่มำกระทำได้เป็น 2 ลกั ษณะ คือ ควำม เค้นตำมยำว และควำมเค้นเฉือน และควำมเครียด เป็นปริมำณที่แปรผันตรงกับรูปร่ำงหรือขนำดของวัตถุที่ เปลี่ยนแปลงไปจำกเดิม โดยทั่วไปสำมำรถแบ่งควำมเครียดตำมลักษณะของแรงที่มำกระทำได้เป็น 2 ลักษณะ เช่นเดียวกับควำมเค้น คือ ควำมเครียดตำมยำว และควำมเครียดเฉอื น 4. สมรรถนะสาคัญของนักเรียน - กระบวนกำรกลุ่ม 1. ควำมสำมำรถในกำรคิด 2. ควำมสำมำรถในกำรแกป้ ัญหำ 5. คณุ ลกั ษณะของวิชา - ควำมรบั ผดิ ชอบ - ควำมรอบคอบ 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1. มีวนิ ัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน - ใบงำนที่ 14 เรื่อง ควำมเค้นควำมเครยี ด
8. กิจกรรมการเรียนรู้ ช่ัวโมงท่ี 1 ข้นั นำ ขั้นการใช้ความรเู้ ดิมเชื่อมโยงความรใู้ หม่ (Prior Knowledge) 1. ครูให้นักเรียนยกตัวอย่ำงสิ่งของที่มีสถำนะเป็นของแข็งที่มีลักษณะแตกต่ำงกันที่นักเรียนรู้จักหรือสำมำรถพบ เหน็ ได้ในชวี ติ ประจำวนั มำคนละ 3 ชนิด 2. ครูถำมคำถำมกับนักเรียนว่ำ “จำกวัตถุที่นักเรียนยกตัวอย่ำงมำนั้น ถ้ำออกแรงดึงหรือแรงอัดกระทำ ต่อวัถตุน้ัน ๆ ผลท่ีเกิดขึ้นกับวัตถุจะเป็นอย่ำงไร” โดยครูสุ่มนักเรียนเพ่ือตอบคำถำมและแสดงควำมคิดเหน็ 3. ครูนำฟองน้ำ ดินน้ำมัน แท่งไม้ และลวดเหล็กข้ึนมำพ่ือใช้เป็นอุปกรณ์ในกำรสำธิต จำกน้ันครูออกแรงโดยใช้มือ กดอัดลงบนอุปกรณ์สำธิตเหล่ำน้ัน โดยให้นักเรียนสังเกตว่ำขณะท่ีครูออกแรงกระทำ อุปกรณ์สำธิตเหล่ำน้ันมีกำร เปล่ียนแปลงหรือไม่ อย่ำงไร และหลังหยุดออกแรงกระทำอุปกรณ์สำธิตเหล่ำนั้นมีกำรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่ำงไร 4. ครูใหน้ ักเรยี นรว่ มกนั ตอบคำถำมและอธบิ ำยส่งิ ทเ่ี กดิ ข้ึนจำกกำรสำธิต 5. นกั เรียนทง้ั หมดร่วมกนั ตงั้ คำถำมเก่ียวกับส่งิ ที่ต้องกำรรจู้ ำกเนอ้ื หำที่เก่ยี วข้องกับสภำพยดื หย่นุ 6. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง สภำพยืดหยุ่น ซึ่งเป็นปรนัยจำนวน 10 ข้อ ใช้เวลำ 10 นำที เพ่อื ตรวจสอบควำมรูพ้ ืน้ ฐำนของนักเรยี นกอ่ นเข้ำสู่เน้อื หำ 7. ครูใช้คำถำมเพื่อให้นักเรียนเกิดปัญหำและหำควำมรู้เพ่ือให้ได้คำตอบ โดยใช้คำถำม Big Question จำก หนังสือเรียนว่ำ “วัสดุจะมีลักษณะอย่ำงไรเมื่อถูกแรงกระทำจนเกินขีดจำกัดสภำพยืดหยุ่น ” โดยเม่ือ นกั เรยี นศึกษำเรยี นรู้จนจบหน่วยกำรเรียนรู้น้แี ลว้ นกั เรียนจะต้องตอบคำถำมและให้เหตุผลของข้อคำถำมนี้ได้ (แนวตอบ : ขีดจากัดสภาพยืดหยุ่น เป็นตาแหน่งสุดท้ายของวัสดุท่ีจะกลับสู่สภาพเดิมได้ หากวัสดุถูกแรง กระทาจนเกินขดี จากัดสภาพยืดหยุ่นวสั ดนุ ้ัน ๆ จะเปลีย่ นแปลงรปู รา่ งไปอยา่ งถาวร) 8. ครูให้นกั เรียนทำแบบทดสอบควำมเข้ำใจก่อนเรียนจำก Understanding Check จำกหนังสือเรียน ลงในสมุด บันทึกประจำตวั (แนวตอบ : 1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก 4. ถกู 5. ถูก) 9. ครูถำมคำถำม Key Question กับนักเรียนว่ำ “ควำมเค้นและควำมเครียดสัมพันธ์กันอย่ำงไร” โดยนักเรียน ร่วมกันตอบคำถำมและแสดงควำมคิดเห็นเกี่ยวกับคำตอบของคำถำมเพื่อเชื่อมโยงเข้ำสู่เนื้อหำที่กำลังจะศึกษำ เรยี นร้ตู ่อไป (แนวตอบ : ความสัมพันธร์ ะหว่างความเค้นและความเครียดของวสั ดุน้ันเป็นการแสดงสมบัติของวัสดุแตล่ ะชนิด อย่างชัดเจนว่ามีพฤติกรรมเป็นอย่างไร วัสดุต่างชนิดกันเมื่อนาค่าความเค้นและความเครียดมาเขียนกราฟแสดง ความสมั พนั ธ์ ลักษณะของกราฟทีไ่ ด้ก็จะแตกต่างกันไป หากวัสดยุ ังอยใู่ นช่วงของสภาพยืดหยนุ่ ความสัมพันธ์ของ ความเค้นและความเครียดก็จะเป็นไปตามกฎของฮุก (Hooke’s Law) น่ันคือ ความเค้นจะแปรผันตรงกับความ แครยี ด) ข้ันสอน
ข้นั รู้ (Knowing) 10. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนที่นั่งข้ำง ๆ จำกนั้นร่วมกันศึกษำ เรื่อง ควำมเค้นและควำมเครียด จำกหนังสือ เรียน ในลกั ษณะของเพอื่ นคู่คิด 11. ครูส่มุ นักเรียนเพ่ือให้ยกตัวอยำ่ งพร้อมทั้งอธบิ ำยกำรเปล่ียนแปลงรปู รำ่ งหรือลกั ษณะทำงกำยภำพของวัตถุนั้น ๆ เมอ่ื ถูกแรงกระทำ 12. ครูเปิดวีดิทัศน์เก่ียวกับสภำพยืดหยุ่นให้นักเรียนศึกษำ โดยครูชว่ ยเช่ือมโยงควำมรู้ใหม่จำกวดี ิทัศน์กบั ควำมรู้ ทน่ี ักเรียนได้ศึกษำหำควำมรู้มำแล้วจำกหนังสอื เรยี นด้วยกำรใช้คำถำมกระตุ้นให้นักเรียนตอบจำกควำมรู้และ ประสบกำรณ์ของนกั เรียน 13. ครูให้นกั เรยี นสรุปควำมรู้ เร่ือง ควำมเค้น จำกหนังสอื เรียนลงในสมุดบันทึกประจำตัว 14. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรำยเกี่ยวกับควำมเค้น เพ่ือให้นักเรียนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจไปในแนวทำงเดียวกัน รวมท้ังมีควำมเข้ำใจสมกำรควำมสัมพันธ์ระหว่ำงแรงที่กระทำต่อวัตถุแล้วทำให้วัตถุเปลี่ยนแปลง รูปร่ำงกับ พื้นที่หน้ำตัดของวตั ถุทถ่ี ูกแรงกระทำ เพอ่ื ทจ่ี ะสำมำรถนำไปคำนวณหำควำมเค้นทเี่ กดิ ข้นึ ได้ 15. ครูถำมคำถำมกระตนุ้ กับนกั เรยี นวำ่ “นกั เรียนรู้จกั ควำมเครียดหรอื ไมแ่ ละควำมเครียดมีควำมหมำยวำ่ อย่ำงไร” โดยครูสุ่มนักเรียนจำนวนหน่ึงเพ่ือแสดงควำมคิดเห็น ซ่ึงครูจะยังไม่ตัดสินควำมคิดเห็นหรือคำตอบของ นักเรียนว่ำถูกหรือผิด จำกนั้นครูอธิบำยควำมหมำยของควำมเครียดเพื่อเป็นกำรนำเข้ำสู่เนื้อหำท่ีกำลังจะ ศกึ ษำ (แนวตอบ :ความเครียด ในทางชีววิทยา หมายถึง การท่ีส่ิงมีชีวิตไม่สามารถตอบสนองอย่างพอเหมาะต่อความ ต้องการทางกายหรือจิต และความเครียด ในทางฟิสิกส์ หมายถึง การวัดการเปล่ียนรูปของวัตถุที่เกิดจากแรง ภายนอกมากระทา โดยแสดงการกระจัดสัมพทั ธ์ระหวา่ งอนุภาคในวตั ถุ) 16. ครูนำหนังยำงสำหรบั ผูกมัดถุงแกงข้ึนมำแล้วใช้มอื ดึงหนังยำงออกในทิศตรงขำ้ ม แล้วถำมคำถำมกับนักเรียนว่ำ “กำรท่ีครูออกแรงดึงหนังยำงในลักษณะนี้มีควำมเครียดเกิดข้ึนหรือไม่” โดยให้นักเรียนร่วมกันแสดงควำม คิดเห็นและตอบคำถำม จำกน้ันครูแสดงกำรบีบอัดยำงลบให้นักเรียนดู แล้วถำมคำถำมเดิมกับนักเรียน เพื่อ เป็นกำรกระตุน้ นำเขำ้ สูเ่ นื้อหำท่กี ำลังจะศกึ ษำ 17. ครใู ห้นกั เรียนสรุปควำมรู้ เร่ือง ควำมเครยี ด จำกหนังสือเรียนลงในสมดุ บนั ทึกประจำตัว 18. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรำยเก่ียวกับควำมเรียด เพื่อให้นักเรียนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจไปในแนวทำงเดียวกัน รวมทั้งมีควำมเข้ำใจสมกำรควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมยำวของวัตถุที่เปลี่ยนแปลงไปกับ ควำมยำวเดมิ ของ วัตถุ เพอื่ ที่จะสำมำรถนำไปคำนวณหำควำมเครียดทเ่ี กดิ ขึ้นได้ 19. นักเรียนและครูร่วมกันศึกษำและอธิบำยตัวอย่ำงที่ 3.1 จำกหนังสือเรียน โดยครูนำอ่ำนโจทย์และอธิบำย ขัน้ ตอนกำรแกไ้ ขโจทย์ปญั หำเพ่ือให้ไดค้ ำตอบบนกระดำน 20. ครูให้นักเรียนศึกษำตัวอย่ำงที่ 3.2-3.5 จำกหนังสือเรียน โดยครูทิ้งช่วงเวลำให้นักเรียนได้ทำกำรจดบันทึก ลงในสมุดบันทกึ ประจำตวั
ชวั่ โมงท่ี 2 ข้นั สอน ขน้ั เข้าใจ (Understanding) 13. ครูใช้คำถำมให้นักเรียนอธิบำยสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ในช่ัวโมงท่ีผ่ำนมำ โดยครูสุ่มนักเรียนจำนวนหนึ่งออกมำ หน้ำหอ้ งเพื่ออธบิ ำยผลกำรศึกษำตวั อย่ำงท่ี 3.2-3.5 จำกหนงั สอื เรยี น 14. เมื่อนักเรียนอธิบำยผลกำรศึกษำตำมควำมเข้ำใจของนักเรียนแล้ว ครูอำจยกตัวอย่ำงหรือปรับเปลี่ยน สถำนกำรณ์จำกตัวอย่ำงที่ได้ศึกษำ แล้วให้นักเรียนอธิบำยสิ่งที่เหมือนและสิ่งที่แตกต่ำง จำกนั้นแสดง วธิ ีกำรแกโ้ จทย์ปัญหำดงั กล่ำวบนกระดำนหน้ำช้ันเรยี น 15. ครูมอบหมำยให้นักเรียนศึกษำทำควำมเข้ำใจเกี่ยวกับควำมเค้นและควำมเครียดเพ่ิมเติมจำกแบบฝึกหัด ฟิสิกส์ ม. 6 เลม่ 1 หน่วยกำรเรยี นร้ทู ี่ 3 สภำพยดื หยุน่ ข้ันลงมือทา (Doing) 21. นกั เรียนแบ่งกลุ่มตำมควำมสมคั รใจอย่ำงอิสระออกเป็น 6 กล่มุ เทำ่ ๆ กนั 22. ครูนำกอ้ นดนิ นำ้ มัน ก้อนดนิ เหนียว และก้อนแป้งโรตี ที่มขี นำดตำ่ งกนั อย่ำงละ 2 ก้อน ขึ้นมำเพื่อใช้เป็นวัสดุ ประกอบกำรศกึ ษำ โดยครสู ุ่มแจกนักเรยี นกลมุ่ ละ 1 กอ้ น 23. ครูให้นักเรียนนำควำมรู้ที่ได้ศึกษำมำแล้วเกี่ยวกับควำมเค้นและควำมเครียด โดยครูมอบหมำยให้นักเรียน ออกแบบใบงำนเพ่ือคำนวณหำควำมเค้นและควำมเครียดจำกวัสดุที่ครูกำหนดให้ ซ่ึงในใบงำนน้ัน ๆ จะต้อง มกี ำรถ่ำยภำพขณะทำกจิ กรรม เพอื่ เป็นหลักฐำนประกอบกำรคำนวณหำผลลัพธ์ 24. ครสู ุ่มนักเรียนตวั แทนกลุ่มออกมำนำเสนอผลงำนของกล่มุ ตนเองหน้ำช้นั เรียน เพ่ือให้เพ่ือนกล่มุ อ่ืน ๆ ได้ทรำบถึง ผลกำรคำนวณท่ีต่ำงกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับวัสดุท่ีแต่ละกลุ่มได้และขนำดของแรงท่ีใช้ในกำรดึงหรือกดอัดให้วัสดุ เปล่ียนแปลงรูปร่ำงจนเกิดควำมเคน้ ตำมยำวและควำมเครียดตำมยำว 25. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อน แล้วร่วมกันศึกษำแบบฝึกหัด Topic Questions จำกหนังสือเรียน โดยครู มอบหมำยใหน้ ักเรียนแต่ละคนเขียนแสดงวิธีกำรแก้โจทย์ปญั หำลงในสมุดบันทึกประจำตวั โดยทีค่ รกู ำหนดให้ ใชห้ ลักกำรแกโ้ จทย์ปัญหำ 4 ขน้ั ตอน ของโพลยำ ดังนี้ a. ขั้นท่ี 1 ทำควำมเข้ำใจโจทย์ (Understanding the problem) เป็นกำรคิดเก่ียวกับปัญหำและตดั สนิ ว่ำอะไรทต่ี อ้ งกำรค้นหำ โดยนักเรียนต้องทำควำมเข้ำใจปัญหำและระบสุ ่วนทสี่ ำคัญของปญั หำ b. ข้ันท่ี 2 วำงแผนแก้ปัญหำ (Devising a plan) เป็นกำรค้นหำควำมเช่ือมโยงหรือควำมสัมพันธ์ระหว่ำง ข้อมูลและตวั ไมร่ ู้ค่ำ นำควำมสมั พันธ์ท่ีได้มำผสมผสำนกับประสบกำรณ์ กำหนดแนวทำงหรือแผนในกำร แก้ปัญหำ c. ขั้นท่ี 3 ปฏิบัติตำมแผน (Carrying out the plan) เป็นกำรลงมือปฏิบัติตำมแผนหรือแนวทำงที่วำงไว้ อำจตรวจสอบควำมเป็นไปได้ของแผน เพ่ิมเติมรำยละเอียด แล้วลงมือปฏิบัติจนได้ควำมสำเร็จ ถ้ำ ไม่สำเร็จต้องค้นหำและทำกำรแก้ปัญหำจนสำมำรถแก้ปัญหำได้ d. ขั้นที่ 4 ตรวจสอบ (Looking back) เป็นกำรมองย้อนกลับไปยังคำตอบที่ได้มำ เริ่มจำกกำรตรวจสอบ ควำมถูกต้อง ควำมสมเหตุสมผลของคำตอบและยุทธวิธีแก้ปัญหำท่ีใช้ มีคำตอบหรือยุทธวิธีอ่ืนในกำร แก้ปัญหำนอี้ กี หรือไม่ 26. ครูแจกใบงำนที่ 3.1 เร่ือง ควำมเค้นและควำมเครียด ให้นักเรียนคนละ 1 ชุด จำกน้ันมอบหมำยให้นำกลับไป ศึกษำเปน็ กำรบำ้ น เสรจ็ แล้วตวั แทนรวบรวมสง่ ครูเพื่อตรวจและให้คะแนนก่อนท่ีจะเจอกันในชั่วโมงถดั ไป
ข้นั สรุป 27. ครูและนักเรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยใหน้ ักเรียนอธิบำยสรปุ ควำมรู้เกี่ยวกับควำมเค้นและควำมเครียดท่ีได้ศึกษำ มำแล้วทั้งเนื้อหำและตัวอย่ำงจำกหนังสือเรียน และกิจกรรมที่นอกเหนือจำกหนังสือเรียน พร้อมท้ังยกอย่ำง สถำนกำรณ์ในชีวติ ประจำวนั ท่เี ก่ียวข้องเพอ่ื ทดสอบควำมเข้ำใจ 28. ครูเปิดโอกำสให้นักเรียนสอบถำมเน้ือหำท่ีได้ศึกษำผ่ำนมำแล้วในส่วนที่ยังไม่เข้ำใจหรือสงสัย จำกนั้นครูให้ ควำมรู้เพิ่มเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอำจจะใช้ PowerPoint เรื่อง ควำมเค้นและควำมเครียด มำเปิดให้ นักเรียนดูประกอบเพอ่ื ช่วยในกำรอธบิ ำยให้เข้ำใจมำกยง่ิ ข้นึ 29. ครูให้นักเรยี นสรุปควำมรเู้ กี่ยวกับควำมเค้นและควำมเครียด โดยสร้ำงสรรค์ออกมำในรูปแบบของผังมโนทัศน์ (concept Mapping) ลงในกระดำษ A4 พร้อมทัง้ ตกแต่งให้สวยงำม เสรจ็ แลว้ นำส่งครเู พ่อื ตรวจใหค้ ะแนน ขั้นประเมนิ 30. ประเมินควำมรู้เกย่ี วกับเร่อื ง ควำมเคน้ และควำมเครียด โดยสังเกตพฤตกิ รรมกำรตอบคำถำม กำรทำแบบฝึกหัด ใบงำน และกำรสรปุ สำระสำคัญ 31. ประเมินทักษะและกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์จำกโดยสังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่ม กำรปฏิบัติกิจกรรม กำรคำนวณหำควำมเค้นและควำมเครียดจำกตัวอย่ำงทค่ี รูกำหนดให้ และกำรนำควำมรู้ท่ไี ด้ไปใช้ประโยชน์ 32. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมควำมสนใจใฝ่รู้หรืออยำกรู้อยำกเห็น กำรทำงำน รว่ มกับผู้อืน่ อยำ่ งสร้ำงสรรค์ 9. ส่ือการเรียนการสอน / แหลง่ เรียนรู้ 1) หนังสือเรยี น รำยวิชำเพิ่มเติมวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ฟิสกิ ส์ ม.6 เลม่ 1 2) แบบฝึกหดั รำยวชิ ำเพม่ิ เตมิ วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ฟิสกิ ส์ ม.6 เล่ม 1
10. การวดั ผลและประเมนิ ผล วธิ ีวดั เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมิน รายการวดั - ตรวจใบงำนท่ี 14 - ใบงำนที่ 14 - ร้อยละ 60 ผำ่ นเกณฑ์ - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝกึ หัด - รอ้ ยละ 60 ผ่ำนเกณฑ์ 10.1 กำรประเมินระหว่ำง กำรจัดกจิ กรรม - ประเมนิ กำรนำเสนอ - แบบประเมนิ กำร - ระดบั คุณภำพ 2 1) ควำมเคน้ ผลงำน ควำมเครียด - สังเกตพฤติกรรม นำเสนอผลงำน ผำ่ นเกณฑ์ 2) กำรนำเสนอ กำรทำงำน ผลงำน รำยบคุ คล - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภำพ 2 3) พฤติกรรมกำร ทำงำนรำยบคุ คล กำรทำงำน ผ่ำนเกณฑ์ รำยบุคคล 4) พฤติกรรมกำร - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภำพ 2 ทำงำนกลมุ่ กำรทำงำนกลุ่ม - สงั เกตควำมมวี ินัย กำรทำงำนกลุ่ม ผำ่ นเกณฑ์ 5) คณุ ลกั ษณะ ใฝเ่ รยี นรู้ และมุง่ มน่ั อนั พึงประสงค์ ในกำรทำงำน - แบบประเมิน - ระดบั คุณภำพ 2 คุณลักษณะ ผ่ำนเกณฑ์ อันพงึ ประสงค์ ลงช่อื ..................................................ผ้สู อน (............................................) ใบงานที่ 14
เร่อื ง ความเค้นและความเครียด คาชีแ้ จง : ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. ลวดโลหะเส้นหนึ่งยำว 120 เมตร เส้นผ่ำนศูนย์กลำง 2.2 มิลลิเมตร ออกแรงดึง 380 นิวตัน ทำให้ลวดโลหะมีควำม ยำวเป็น 120.10 เมตร จงหำควำมเคน้ ดึงและควำมเครียดดึงทีเ่ กิดข้ึนในลวดโลหะเสน้ นี้ 2. ลวดเหล็กสำหรับดงึ ลิฟต์ตัวหน่ึงมีขีดจำกัดสภำพยืดหยุ่น 2 × 108 นิวตันต่อตำรำงเมตร และมีพ้ืนทหี่ น้ำตัด 1 ตำรำง เซนติเมตร ถ้ำลิฟต์ตัวน้ีมีควำมสำมำรถเคล่ือนท่ีขึ้นไปด้วยควำมเร่งสูงสุด 6 เมตรต่อวินำที2 มวลรวมของทั้งลิฟต์และ สัมภำระภำยในลฟิ ตท์ เี่ ปน็ ไปได้มำกทสี่ ุดมคี ำ่ เทำ่ ใด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152