Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วันอาสาฬหบูชา

วันอาสาฬหบูชา

Published by DHARMA Sawaddee, 2021-07-23 11:03:05

Description: ประวัติความเป็นมา และความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา

Search

Read the Text Version

“วนั อาสาฬหบชู า” ประจาปี 2564

“วันอาสาฬหบูชา” ประจาปี 2564 ตรงกับวันที่ 24 กรกฎาคม 2564 และ “วันเข้าพรรษา” 2564 ทตี่ รงกับ วนั ท่ี 25 กรกฎาคม 2564 ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนชาวไทย \"อยู่บ้าน สร้างบุญ\" ลด ละ เลิก อบายมุขตลอดพรรษา ถวายเป็นพุทธบูชา เสริมสิริมงคลแก่ตนเอง ครอบครวั ประเทศชาติ และรว่ มสืบสานวฒั นธรรมวถิ ีใหม่ ส่งตอ่ ความดี ดว้ ยรูปแบบธรรมะออนไลน์ 1

ประวตั คิ วามเป็ นมาของวัน “วันอาสาฬหบชู า” วนั อาสาฬหบูชา (บาลี: อาสาฬหปูชา; อกั ษรโรมัน: Āsāḷha Pūjā) เป็นวนั สาคญั ทางศาสนาพทุ ธนิกายเถรวาทและวนั หยุดราชการในประเทศ ไทย คาวา่ อาสาฬหบชู า ย่อมาจาก \"อาสาฬหปรู ณมบี ชู า\" แปลวา่ \"การบชู า ในวนั เพ็ญเดือนอาสาฬหะ\" อนั เป็นเดือนท่ีส่ีตามปฏิทินของประเทศอินเดีย ตรงกบั วนั เพ็ญ เดือน 8 ตามปฏิทินจนั ทรคติของไทย ซ่งึ มกั จะตรงกบั เดือน กรกฎาคมหรอื เดือนสิงหาคม แตถ่ า้ ในปีใดมเี ดือน 8 สองหน ก็ใหเ้ ลอื่ นไปทา ในวนั เพ็ญเดือน 8 หลงั แทน วันอาสาฬหบูชาไดร้ บั การยกย่องเป็นวนั สาคัญทางพระพุทธศาสนา เน่ืองจากเหตกุ ารณส์ าคญั ท่ีเกิดขนึ้ เม่ือ 45 ปี ก่อนพทุ ธศกั ราช ในวนั ขนึ้ 15 ค่า เดือน 8 คือวนั อาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่ า อิสิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี แควน้ กาสี อนั เป็นวนั ท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรง แสดงปฐมเทศนาคือ ธัมมจกั กปั ปวตั ตนสตู รแก่ปัญจวคั คีย์ การแสดงธรรม ครงั้ นั้นทาใหพ้ ราหมณโ์ กณฑัญญะ 1 ในปัญจวัคคีย์ ประกอบดว้ ย โกณ ฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิ เกิดความเลือ่ มใสในพระธรรม ของพระพทุ ธเจา้ จนไดด้ วงตาเห็นธรรมหรือบรรลเุ ป็นพระอริยบุคคลระดบั โสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจา้ ดว้ ยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสาวกและ ภกิ ษุองคแ์ รกในโลก 2

และทาใหใ้ นวนั นนั้ มีพระรตั นตรยั ครบองคส์ ามบริบูรณเ์ ป็นครงั้ แรกในโลก คือ มีทัง้ พระพุทธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ ดว้ ยเหตุนีจ้ ึงทาใหว้ ันนีถ้ ูก เรยี กวา่ \"วนั พระธรรม\" หรือ วนั พระธรรมจกั ร อนั ไดแ้ ก่วนั ท่ีลอ้ แห่งพระธรรม ของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ \"วันพระสงฆ์\" คือวันท่ีมี พระสงฆเ์ กิดขนึ้ เป็นครงั้ แรก และจดั วา่ เป็น\"วนั พระรตั นตรยั \" อกี ดว้ ย เดิมนนั้ ไม่มกี ารประกอบพธิ ีการบชู าในเดือน 8 หรอื วนั อาสาฬหบชู าใน ประเทศพทุ ธเถรวาทมาก่อน จนมาในปี พ.ศ. 2501 การบชู าในเดือน 8 หรือ วันอาสาฬหบูชาจึงไดเ้ ร่ิมมีขึน้ ในประเทศไทย ตามท่ีคณะสังฆมนตรี ได้ กาหนดใหว้ นั นีเ้ ป็นวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาของประเทศไทยอย่างเป็น ทางการเม่ือ พ.ศ. 2501 โดยคณะสงั ฆมนตรีไดม้ ีมติใหเ้ พ่ิมวนั อาสาฬหบชู า เป็นวนั สาคญั ทางศาสนาพทุ ธในประเทศไทย ตามคาแนะนาของ พระธรรม โกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี) โดยคณะสังฆมนตรีได้ออกเป็ นประกาศ สานักสังฆนายกเม่ือวันท่ี 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 กาหนดให้วัน อาสาฬหบูชาเป็ นวันสาคัญทางพุทธศาสนาพร้อมทั้งกาหนดพิธี อาสาฬหบูชาขึน้ อย่างเป็นทางการเป็นครงั้ แรกในประเทศไทย โดยมีพิธี ปฏิบตั เิ ทยี บเท่ากบั วนั วสิ าขบชู าอนั เป็นวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาสากล 3

อย่างไรก็ตาม วันอาสาฬหบูชาถือเป็นวันสาคัญท่ีกาหนดให้กับ วันหยุดของรฐั เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านนั้ ส่วนในต่างประเทศท่ีนับถือ พทุ ธศาสนานิกายเถรวาทอ่ืน ๆ ยงั ไม่ไดใ้ หค้ วามสาคญั กบั วนั อาสาฬหบชู า เทียบเทา่ กบั วนั วสิ าขบชู า ใจความสาคัญของปฐมเทศนา ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครัง้ แรกของพระพุทธเจ้าทรงแสดง หลกั ธรรมสาคญั ๒ ประการคอื ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นขอ้ ปฏิบตั ิท่ีเป็นกลาง ๆ ถูกตอ้ งและเหมาะสมท่ีจะใหบ้ รรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดาเนิน ชีวิตท่ีเอยี งสดุ ๒ อยา่ ง หรอื อย่างหนง่ึ อย่างใด คอื ๑. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มวั เมาในรูป รส กล่ิน เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กาม สขุ ลั ลกิ านโุ ยค ๒. การสร้างความลาบากแก่ตนดาเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บาเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพ่งึ อานาจสิ่งศกั ดิส์ ิทธิ์ เป็นตน้ 4

ก า ร ด า เ นิ น ชี วิ ต แ บ บ ท่ี ก่ อ ค ว า ม ทุ ก ข์ใ ห้ ต น เ ห นื่ อ ย แ ร ง ก า ย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรยี กวา่ อตั ตกลิ มถานุโยค ดงั นนั้ เพ่อื ละเวน้ ห่างจากการปฏิบตั ิทางสดุ เหลา่ นี้ ตอ้ งใชท้ างสายกลาง ซ่ึงเป็นการดาเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองคป์ ระกอบ ๘ ประการ เรยี กว่า อรยิ อฏั ฐังคิกมคั ค์ หรอื มรรคมอี งค์ ๘ ไดแ้ ก่ ๑. สมั มาทฏิ ฐิ เหน็ ชอบ คือ รู้เขา้ ใจถกู ต้อง เหน็ ตามทเ่ี ป็ นจรงิ ๒. สมั มาสงั กัปปะ ดาริชอบ คือ คดิ สุจรติ ตัง้ ใจทาสิ่งทดี่ งี าม ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคาสุจรติ ๔. สมั มากัมมันตะ กระทาชอบ คือ ทาการทส่ี ุจรติ ๕. สมั มาอาชวี ะ อาชพี ชอบ คือ ประกอบสมั มาชพี หรอื อาชพี ทสี่ ุจริต ๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพยี รละช่ัวบาเพญ็ ดี ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คอื ทาการดว้ ยจติ สานึกเสมอ ไม่เผลอพลาด ๘. สัมมาสมาธิ ตงั้ จติ ม่นั ชอบ คือ คุมจติ ใหแ้ น่วแน่ม่นั คง ไมฟ่ ุ้งซา่ น 5

ข. อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซ่ึงคือ บคุ คลท่ีห่างไกลจากกิเลส ไดแ้ ก่ ๑. ทุกข์ ไดแ้ ก่ ปัญหาทงั้ หลายท่ีเกิดขนึ้ กบั มนษุ ย์ บคุ คลตอ้ งกาหนด รูใ้ หเ้ ท่าทนั ตามความเป็นจริงว่ามนั คืออะไร ตอ้ งยอมรบั รูก้ ลา้ สหู้ นา้ ปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกส่ิงไม่เท่ียง มีการ เปล่ยี นแปลงไปเป็นอยา่ งอ่นื ไม่ยดึ ตดิ ๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการ สาคญั ของทกุ ข์ คอื ตณั หาหรือเสน้ เชือกแหง่ ความอยากซง่ึ สมั พนั ธก์ บั ปัจจยั อ่ืน ๆ ๓. นิโรธ ไดแ้ ก่ ความดบั ทกุ ข์ เร่ิมดว้ ยชีวิตท่ีอิสระ อย่อู ย่างรูเ้ ท่าทนั โลกและชีวติ ดาเนินชีวิตดว้ ยการใชป้ ัญญา ๔. มรรค ไดแ้ ก่ กระบวนวิธีแห่งการแกป้ ัญหา อนั ไดแ้ ก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการดงั กลา่ วขา้ งตน้ 6

ผลจากการแสดงปฐมเทศนา เม่ือพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็น หัวหนา้ เบญจวัคคียไ์ ดเ้ กิดเขา้ ใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือ ธรรมจกั ษุ บรรลุเป็นโสดาบนั จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพทุ ธศาสนา มีช่ือวา่ อญั ญาโกณฑัญญะ 7

ความหมายของอาสาฬหบชู า “อาสาฬหบูชา” (อา-สาน-หะ-บู-ชา/อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา) ประกอบดว้ ยคา ๒ คา คือ อาสาฬห (เดือน ๘ ทางจนั ทรคติ) กบั บูชา (การ บูชา) เม่ือรวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน ๘ หรือการบูชาเพ่ือระลึกถึง เหตุการณส์ าคญั ในเดือน ๘ หรือเรียกใหเ้ ต็มว่า อาสาฬหบูรณมีบูชา โดย สรุป วนั อาสาฬหบชู า แปลว่า การบชู าในวนั เพ็ญ เดือน ๘ หรอื การบชู าเพ่ือ ระลกึ ถึงเหตกุ ารณส์ าคญั ในวนั เพ็ญ เดือน ๘ คอื ๑. เป็นวนั ท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนา ๒. เป็นวนั ท่ีพระพทุ ธเจา้ เรม่ิ ประกาศพระศาสนา ๓. เป็นวนั ท่ีเกิดอริยสงฆค์ รงั้ แรกคือการท่ีท่านโกณฑัญญะรูแ้ จง้ เห็น ธรรม เป็นพระโสดาบนั จดั เป็นอรยิ บคุ คลทา่ นแรกในอรยิ สงฆ์ ๔. เป็นวนั ท่ีเกิดพระภกิ ษุรูปแรกในพระพทุ ธศาสนา คือ การท่ที ่านโกณ ฑัญญะขอบรรพชาและ ไดบ้ วชเป็นพระภิกษุ หลงั จากฟังปฐมเทศนาและ บรรลธุ รรมแลว้ ๕. เป็นวนั ท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงไดป้ ฐมสาวกคือ การท่ีท่านโกณฑญั ญะ นั้น ได้บรรลุธรรม และบวชเป็ นพระภิกษุ จึงเป็ นสาวกรูปแรกของ พระพุทธเจา้ เม่ือเปรียบกบั วนั สาคญั อ่ืน ๆ ในพระพุทธศาสนา บางทีเรียก วนั อาสาฬหบชู า นีว้ า่ วนั พระสงฆ์ (คือวนั ท่ีเรม่ิ เกิดมพี ระสงฆ)์ 8

วันเขา้ พรรษา 2564 ประวัติความเป็ นมาวันเข้าพรรษา 9

ประวตั วิ ันเขา้ พรรษา วนั เขา้ พรรษา เม่อื ครงั้ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อย่ทู ่วี ดั เวฬวุ นั เมืองราชคฤห์ พอถึงฤดฝู นพระภิกษุส่วนใหญ่ก็อยู่ประจาท่ีเช่นเดียวกับนกั บวชนอกพทุ ธ ศาสนาท่ีมักถือเป็ นประเพณี ปฏิบัติอยู่จาพรรษามาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ปรากฏว่ามีพระภิกษุกล่มุ ฉัพพคั คียพ์ าบริวารจานวน ๑,๕oo รูปเท่ียวจาริก ไปตามท่ีต่างๆ เน่ืองจากตอนตน้ พทุ ธกาลยงั ไม่มีพทุ ธานญุ าตใหภ้ ิกษุอย่จู า พรรษา ทาใหช้ าวบา้ นพกนั ติเตียนถึงการจาริกของท่านเพราะไปเหยียบขา้ ว กลา้ ในนาเสียหาย เม่ือรูไ้ ปถึงพระพทุ ธเจา้ จึงทรงรบั ส่งั ใหป้ ระชุมสงฆ์ ตรสั ถามจนไดค้ วามจริง แลว้ ทรงบญั ญัติใหพ้ ระภิกษุอย่จู าพรรษา เป็นเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน ในกรณีท่ีมีกิจจาเป็น พระพุทธเจา้ ก็ไดป้ ระทานอนุญาตให้ พระภิกษุไปคา้ งคืนท่ีอ่ืนไดค้ ราวละไม่เกิน วนั โดยไม่ถือว่าอาบัติ เรียกว่า เป็นเหตพุ ิเศษหรอื \"สตั ตาหกรณียกิจ\" ซง่ึ มีอยู่ 4 ประการคอื 1. เพ่ือนสหธรรมิก (ผมู้ ีธรรมรว่ มกนั ) ทงั้ ๕ คือ ภิกษ ภิกษุณี สิกขามา นา(นางผกู้ าลงั ศกึ ษา /สามเถรีผมู้ อี ายุ ด๘ปีและอีก ๒ ปีจะครบบวชเป็นภิกษุณี สามเถร สามณรี หรือบิดามารดา ป่วยไปเพ่อื พยาบาลได้ 2. ไปเพ่อื ยบั ยงั้ เพือ่ นสหธรรมกิ ท่อี ยากสกึ มิใหส้ กึ ได้ 3. ไปเพ่อื กิจของสงฆ์ เช่น หาอปุ กรณซ์ อ่ มกฏุ ิ วิหารท่ชี ารุดทรุดโทรมได้ 10

4. ไปเพื่อฉลองศรทั ธาทายกท่ีเขาส่งตวั แทนมานิมนตไ์ ปร่วมบาเพ็ญ บุญไดน้ อกจากนั้น วนั เขา้ พรรษา ยงั ยกเวน้ ส่าหรบั พระภิกษุท่ีประสบเหตุ ดงั ต่อไปนี้ แมจ้ ะเป็นระหว่างพรรษาก็สามารถหลีกไปท่ีอ่ืนไดโ้ ดยไม่อาบตั ิ แตข่ าดพรรษา คือ ถกู สตั วร์ า้ ยรบกวนหรือเบียดเบียน ถกู งรู บกวนหรือขบกดั ถกู โจรเบียดเบียนหรือปลน้ ทบุ ตี ถกู ปีศาจรบกวน เขา้ สิงหรือฆ่า ชาวบา้ นท่ี ใหค้ วามอปุ ถมั ภไ์ ม่สามารถอปุ ถมั ภไ์ ดต้ ่อไปเพราะยา้ ยถ่ิน ฐานไปท่ีอ่ืน หรือ เสนาสนะของภิกษุถูกไฟใหมน้ า้ ท่วม หรือมีผูจ้ ะพยายามทารา้ ย พระภิกษุ สามารถหลกี ไปอย่ทู ่อี ่นื ระหวา่ งพรรษาได้ วันเข้าพรรษา นอกจากจะเป็นช่วงท่ีพระภกิ ษุอย่ปู ระจาท่ีดงั กล่าวแลว้ ยงั ก่อใหเ้ กิดประเพณีสาคญั ขึน้ อีก 2 ประเพณีคือ ประเพณีถวายผ้าอาบ นา้ ฝน และ ประเพณีแหเ่ ทยี นพรรษา 1. ประเพณีถวายผ้าอาบน้าฝน เกิดขึน้ โดยมีเร่ืองเล่าว่า ในสมัย พทุ ธกาล ครงั้ หน่งึ นางวสิ าขา มหาอบุ าสิกาตอ้ งการจะนิมนตพ์ ระภิกษุไปฉนั ภตั ตาหารท่บี า้ นจงึ ใหห้ ญิงรบั ใชไ้ ปพระวหิ ารเชตวนั เพ่ือนิมนตพ์ ระ ปรากฏวา่ นางไปเห็นพระภิกษุเปลือยกายอาบนา้ ฝนอยู่ก็กลับมารายงานดว้ ยความ เขา้ ใจผิดว่าไม่พบพระ เห็นแต่พวกชีเปลือย นางวิสาขาก็รูด้ ว้ ยปัญญาว่าคง เป็นพระอาบนา้ ฝนอยู่ ดงั นนั้ นางจงึ ไดท้ ลู ขอพรจากพระพทุ ธเจา้ ขอถวายผา้ อาบนา้ ฝนแดพ่ ระภกิ ษุและภิกษุณีเป็นประจาแตน่ นั้ มา จึงเกิดเป็นประเพณีท่ี ชาวพทุ ธปฏบิ ตั ิสบื ต่อมาจนทกุ วนั นี้ และกลา่ วกนั วา่ ผทู้ ่ถี วายผา้ อาบนา้ ฝน 11

จะไดร้ บั อานิสงสเ์ หมือนการถวายผา้ อ่ืนๆตามนยั ท่ีพระพทุ ธเจา้ ตรสั ไว้ คือ ทาใหเ้ ป็นผมู้ ีผวิ พรรณผ่องใส สวยงาม ไม่มโี รคภยั ไขเ้ จ็บ มคี วามสะอาดผอ่ ง ใสทงั้ กายและใจ ส่วนประเพณีแหเ่ ทยี นพรรษา เกิดจากความจาเป็นท่ีวา่ สมยั ก่อนยงั ไม่มีไฟฟ้าใชเ้ ช่นปัจจุบัน ดังนั้น เม่ือพระภิกษุอยู่รวมกันมากๆเพ่ือปฏิบตั ิ กิจวตั ร เช่น การสวดมนตต์ อนเชา้ มืดและพลบค่า การศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม การบชู าพระรตั นตรยั ฯลฯ จาเป็นตอ้ งใชแ้ สงสวา่ งจากเทียน ดงั นนั้ ชาวบา้ นจึงไดร้ ่วมกนั นาเทียนมาถวาย ซ่งึ ช่วงตน้ ก็คงจะถวาย เป็นเทียนเล็กๆธรรมดา ครนั้ ต่อมาก็ไดม้ ีการมัดเทียนเล็กๆมารวมกนั เป็นตน้ คลา้ ยตน้ กลว้ ยหรือลาไมไ้ ผ่ แลว้ ติดกบั ฐาน ท่ีเรียกกนั ว่า ตน้ เทียน หรือ ตน้ เทียนพรรษา และก็ววิ ฒั นาการมาเร่อื ยๆจนเป็นเทียนพรรษาอย่างท่ีเราเห็น กนั อยใู่ นปัจจบุ นั กลา่ วกนั วา่ เทยี นพรรษา เรม่ิ มาจากผทู้ ่ีนบั ถือศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู ซง่ึ นบั ถือววั ท่ีเป็นพาหนะของพระอิศวร เม่ือววั ตาย ก็จะเอาไขจากววั มาทา เป็นนา้ มนั เพื่อจุดบูชาพระเป็นเจา้ ท่ีตนเคารพ แต่ชาวพุทธจะทาเทียนเพ่ือ บชู าพระรตั นตรยั โดยเอามาจากรงั ผึง้ รา้ ง ตม้ เอาขีผ้ ึง้ มาฟ่ันเป็นเทียนเล็กๆ เพ่ือจุดบูชาพระ และได้ยึดเป็นประเพณีท่ีจะนาเทียนไปถวายพระภิกษุ ในช่วงเขา้ พรรรษา เพ่ือปรารถนาใหต้ นเองมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดดุจดัง แสงสวา่ งของดวงเทยี น 12

อน่ึง การท่ีพระภิกษุจานวนมากอยู่จาพรรษาถึง 3 เดือนนี้ นับเป็น โอกาสเหมาะท่ีจะไดศ้ ึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติ ธรรมกบั พระเถระท่ีเป็นอปุ ัชายอ์ าจารยอ์ ย่างเต็มท่ี ในขณะเดียวกนั ก็เป็ น โอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ไปบาเพ็ญกุศล เช่น ทาบุญตักบาตร รักษาศีล สวดมนต์ ฟังธรรม เจริญภาวนา ตลอดจนไปศึกษาหา ความรู้กับพระภิกษุ ซ่งึ ต่อมาไดเ้ กิดเป็นประเพณีนิยมท่ีจะใหล้ กู หลาน ไปบวชเรียนในช่วงเขา้ พรรษา เพ่ือใหไ้ ดศ้ ึกษาพระธรรมคาสอนของพระ พทุ ธองค์ และไดฝ้ ึกฝนตนเอง สาหรับปัจจุบัน ได้มีพุทธศาสนิกชนจานวนไม่น้อยท่ีถือเอาวัน เขา้ พรรษาเป็นวนั สารวจพฤติกรรมของตนท่ีผ่านมา และตงั้ จิตอธิษฐานท่ี จะลด ละ เลิกส่ิงท่ีไม่ดีต่างๆ เช่น เลิกเหลา้ อดบุหร่ี การพูดจาหยาบคาย ฯลฯ ในช่วงเทศกาลเขา้ พรรษา ๓ เดือน โดยใชว้ นั นีเ้ ป็นวนั เร่ิมตน้ ในการ กระทาดี ซ่ึงก็นับว่าเป็นระยะเวลาท่ียาวนานเพียงพอสาหรบั ความตงั้ ใจ สรา้ งเสริมคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงคใ์ หเ้ กิดขึน้ อนั มีอานิสงสท์ าใหต้ นเอง ครอบครวั และสงั คมเกิดความสขุ สงบรม่ เย็น 13

อานิสงสแ์ หง่ การจาพรรษา เม่ือพระภิกษุอย่จู าพรรษาครบ 3 เดือนไดป้ วารณาแลว้ ย่อมจะไดร้ บั อานิสงสแ์ ห่งการจาพรรษา 5 อย่าง ตลอด 1 เดือนนับแต่วนั ออกพรรษา เป็นตน้ ไป คือ 1. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทท่ี ๖ แห่ง อเจลกวรรค ปาจติ ตยี ก์ ัณฑ์ 2. เทย่ี วจารกิ ไปโดยไม่ต้องถอื ไตรจวี รไปครบสารับ 3. ฉันคณะโภชนแ์ ละปรัมปรโภชนไ์ ด้ 4. เก็บอตเิ รกจวี รไดต้ ามปรารถนา 5. จวี รอนั เกดิ ขึน้ ในทนี่ ั้นเป็ นของพวกเธอ และยงั ไดโ้ อกาสเพ่ือท่ีจะกราลกฐิน และไดร้ บั อานิสงสพ์ รรษาทงั้ 5 ขนึ้ นนั้ เพ่ิมออกไปอีก 4 เดือน ในฤดหู นาว คือตงั้ แตแ่ รม 1 ค่า เดือน 12 ไป จนถึงขนึ้ 15 ค่า เดอื น 4 อกี ดว้ ย 14

ขอบคณุ ภาพและขอ้ มลู : ธรรมะไทย Website: www.tnnthailand.com Website: www.canva.com Website: www.sanook.com

มลู นิธพิ ระพุทธสันตธิ รรม

มลู นิธพิ ระพุทธสันตธิ รรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook