Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore account

account

Published by สุกานดา จันทเวทย์, 2021-11-13 04:53:45

Description: account

Search

Read the Text Version

รูปแบบการสอน หลักการ 1. นักศกึ ษาเป็ นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองเพ่มิ เตมิ 2. นักศึกษารววมวางแผนการเรียน/แลกเปล่ียนเรียนรู้ บทเรียน กจิ กรรม อาจารย์เป็ นผู้แนะแนวไปสวูการค้นคว้า และแนะนาส่ือการเรียน การสอนท่สี วงผลให้ผู้เรียนได้ความรู้ด้วยตนเอง

ข้อแนะนาสาหรับนักศึกษา 1. นักศึกษาต้องเข้าเรียนอยวางน้อย 80 % ของเวลาเรียนทงั้ หมด จงึ จะมีสทิ ธ์ิสอบ 2. นักศกึ ษาต้องศกึ ษาค้นคว้าอวานตาราเรียนเพ่มิ เตมิ เสมอ 3. นักศึกษาต้องทาแบบฝึ กหดั ด้วยตนเอง 4. นักศึกษาต้องแตวงกายให้เรียบร้อยตามระเบียบของวิทยาลัยฯ 5. นักศึกษาต้องสวงใบลาทุกครัง้ (กรณีขาดเรียน การลาปว วย การลากจิ )

ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ดร.ทพิ ยวรรณ แพงบุปผา

ความหมาย ราชบัณฑติ ยสถาน (2555) ให้ความหมาย ทฤษฎี หมายถงึ ความคดิ หรือ ชุดของความคดิ ท่ตี ้องการอธิบาย บรรยาย หรือทานายปรากฏการณ์ หรือหลักการอยวางใดอยวางหน่ึง เกรดเลอร์ ((Gredler, 1997) ให้ความหมายววา ทฤษฎเี ป็ นกรอบแนวคดิ ท่ี แยกลักษณะสาคัญออกจากสารสนเทศท่วั ไปของปรากฏการณ์ และ ต้องผวานการทดสอบจนเป็ นท่ยี อมรับ

ทศิ นา แขมมณี (2555) ให้ความหมายของทฤษฎีการเรียนรู้ คือ ข้อความรู้ ท่ี พรรณนา/อธิบาย/ทานายปรากฏการณ์ตวาง ๆ เก่ยี วกับการเรียนรู้ ซ่งึ ได้รับการพสิ ูจน์ทดสอบตามกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์หรือ กระบวนการสืบสอบ แสวงหาความรู้ท่เี หมาะกับศาสตร์แตวละสาขา ซ่งึ ได้รับการยอมรับ ววาเช่ือถือได้ และสามารถนาไปนิรนัยเป็ นหลัก หรือกฎการเรียนรู้ยวอย ๆ หรือนาไปใช้เป็ นหลักในการจดั กระบวนการ เรียนรู้ให้แกวผู้เรียนได้ ทฤษฎีโดยท่วั ไปมักประกอบด้วยหลักการยวอยๆ หลายหลักการ

บทบาทของทฤษฎีการเรียนรู้ 1. เป็ นกรอบแนวคิดในการดาเนินการวจิ ยั ทฤษฎีการเรียนรู้ประกอบด้วย หลักการเรียนรู้ยวอย หลายหลักการท่สี ามารถตรวจสอบได้ในห้องทดลอง หรือนาไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ตวาง ๆ ซ่งึ ข้อมูล เชวน การทดลอง ของธอร์นไดค์ ทาให้เกดิ ความรู้เร่ืองกฎแหวงผล ซ่งึ กลวาวววาพฤตกิ รรม การตอบสนองตวอส่ิงเร้าใด ท่ไี ด้รับผลท่ที าให้ผู้เรียนพงึ พอใจ และนาไปใช้ ในการจดั การเรียนการสอน

2. ชววยในการจัดการกับความรู้ ถ้าพจิ ารณาเนือ้ หาความรู้ท่นี ามาสอนใน ห้องเรียนจะพบววา ความรู้บางอยวางเป็ นรูปธรรม บางอยวางเป็ นนามธรรม ความรู้บางอยวางเป็ นพนื้ ฐานต้องเรียนกวอน บางอยวางมีความซับซ้อน ต้องมี พนื้ ฐานบางเร่ืองมากวอนจงึ จะเรียนรู้ได้ การจัดเนือ้ หาให้เหมาะสมกับ ผู้เรียน 3. ชววยให้เข้าใจพฤตกิ รรมของผู้เรียนและปรับพฤตกิ รรมของนักเรียนให้ดี ขนึ้ เชวน การให้คาชมเชย การลงโทษ

4. ชววยในการจัดการกับประสบการณ์ท่คี วรมีมากวอนของผู้เรียน ใน การเรียนรู้เร่ืองใหมว ความรู้ พนื้ ฐานหรือประสบการณ์เดมิ นับววามี ความสาคัญเป็ นอยวางมาก เพราะจากทฤษฎีการสร้างความรู้ทาให้ ทราบววา การเรียนรู้เร่ืองใหมวต้องมีพนื้ ฐานจากความรู้และประสบการณ์ เดมิ ท่เี ก่ียวข้องจงึ จะชววยให้ 5. ชววยในการวางแบบแผนในการทางาน การใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ใน การวางแผนการเรียนการสอนจงึ เป็ นการทางาน อยวางเป็ นระบบเพ่อื ไปสวูเป้าหมายหรือผลท่คี าดหวัง



ทฤษฎีการเรียนรู้ สาคัญตวอครูผู้สอนเพ่อื นาไปประยุกต์ใช้ใน การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ให้แกวผู้เรียน

ทฤษฎีการเรียนรู้และการประยุกต์สวูการเรียนการสอน ทฤษฎกี ารเช่ือมโยงของธอร์นไดค์ ทฤษฎีการวางเง่อื นไขแบบปฏบิ ตั กิ าร (Operant conditioning Theory) ของสกนิ เนอร์ (Skinner) ทฤษฎเี กสตลั ต์ (Gestalt Theory) ทฤษฎพี ัฒนาการทางสตปิ ัญญาของเพยี ร์เจย์ ทฤษฎพี ฒั นาการของไวก็อทสกี ทฤษฎกี ารประมวลผลสารสนเทศ (Information processing Theory) ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธินิยมเชิงสังคม (Social-cognitive Theory) ของแบนดรู า (Bandura, 1977) ทฤษฎีการสร้างความรู้ (constructivism) (Gredler, 1997)

ทฤษฎีการเรียนรู้และการสอนในชววงคริสต์ศตวรรษท่ี 20 1.ทฤษฎีการเรียนรู้กลวุมพฤตกิ รรมนิยม 2. ทฤษฎีการเรียนรู้กลวุมพุทธนิ ิยมหรือกลวุมความรู้ความเข้าใจ 3. ทฤษฎีการเรียนรู้กลวุมมนุษยนิยม 4. ทฤษฎีการเรียนรู้กลวุมผสมผสาน

* แนวคดิ หรือหลกั การของทฤษฎี * แนวทางการประยุกต์ใช้ทฤษฎี

1.ทฤษฎกี ารเรียนรู้กลวุมพฤตกิ รรมนิยม (Behaviorism) มองธรรมชาตขิ องมนุษย์เป็ นกลาง คือ ไมวดี ไมวเลว และให้ความสนใจ พฤตกิ รรมของมนุษย์มาก เพราะเป็ นส่งิ ท่เี หน็ ได้ชัด สามารถวัด สังเกต ได้ และเช่ือววา การเรียนรู้เกดิ จากการเช่ือมโยงระหววางส่งิ เร้าและ การตอบสนอง ประกอบด้วย 3 ทฤษฎีท่สี าคัญ (ทศิ นา แขมณี, 2553)

1. ทฤษฎกี ารเช่ือมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s connectionism) 2. ทฤษฎกี ารวางเง่อื นไข (Conditioning Theory) มี 4 แบบ คอื 1) การวางเง่อื นไขแบบคลาสสคิ 2) การวางเง่อื นไขของวตั สัน 3) การวางเง่อื นไขแบบตวอเน่ือง และ 4) การวางเง่อื นไขแบบ ปฏบิ ัตกิ าร 3. ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮลั ล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory)

1. ทฤษฎีการเช่ือมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s connectionism) ธอร์นไดค์เป็ นชาวอเมริกัน เช่ือววา การเรียนรู้เกดิ จากการเช่ือมโยง ระหววางส่งิ เร้ากับการตอบสนอง ซ่งึ มีหลายรูปแบบ บุคคลจะมีการลอง ผิดลองถกู และมีการปรับเปล่ียนไปเร่ือยๆ จนกววาจะพบรูปแบบการ ตอบสนองท่ใี ห้ผลท่พี งึ พอใจมากท่สี ุด เม่ือเกดิ การเรียนรู้แล้วบุคคลจะ ใช้รูปแบบการตอบสนองท่เี หมาะสมเพยี งรูปแบบเดียว และจะพยายาม ใช้ รูปแบบการตอบสนองการเช่ือมโยงกับส่ิงเร้ าในการเรียนร้ ูตว อไป เร่ือยๆ

สรุปกฎการเรียนรู้ท่สี าคัญจากทฤษฎีการเช่ือมโยงของธอร์นไดค์ คือ 1. กฎแหวงความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกดิ ขนึ้ ได้ดี ถ้าผู้เรียนมีความพร้อมทงั้ ด้านรวางกายและจติ ใจ 2. กฎแหวงการฝึ กหดั (Law of Exercise) การเรียนรู้ท่คี งทนจะเกดิ จาก การฝึ กหดั หรือกระทาซา้ บวอยๆ ด้วยความเข้าใจ 3. กฎแหวงการใช้และไมวใช้ (Law of Use and Disuse) ถ้ามีการนา ความรู้ท่เี คยได้เรียนรู้ไปแล้วไปใช้บวอยๆ จะทาให้การเรียนรู้เกดิ ความ คงทน แตวหากความรู้ท่เี คยเรียนไปไมวได้ถกู นาไปใช้จะทาให้เกดิ การลืม

4. กฎแหวงผลท่พี งึ พอใจ (Low of Effect) เม่อื บุคคลได้รับผลจาก การเรียนรู้ท่พี งึ พอใจจะทาให้อยากเรียนรู้จวอไป แตวถ้าได้รับผล ท่ไี มวพงึ พอใจกจ็ ะไมวอยากเรียนรู้

@ การนาแนวคดิ ของทฤษฎกี ารเช่ือมโยงของธอร์นไดค์ไปประยุกต์ใช้ ในการจัดการเรียนรู้ สามารถทาได้ดังนี้ 1.ผ้ ูสอนควรตรวจสอบความพร้ อมหรือสร้ างความพร้ อมให้ แกว ผ้ ูเรียนทงั ้ ทางด้านรวางกายและจติ ใจ รวมทงั้ ความรู้เดมิ ท่จี าเป็ นกวอนเร่ิมบทเรียน ใหมว เชวน การให้ผู้เรียนมีเวลาในการเตรียมตัวกวอนเร่ิมบทเรียน การสร้างบรรยากาศท่เี อือ้ ตวอการเรียนรู้ และการทบทวนความรู้เดมิ 2. ผู้สอนควรให้ผู้เรียนฝึ กทกั ษะท่สี าคัญและจาเป็ นบวอยๆ เพ่อื ให้เกิด การเรียนรู้ท่คี งทน

3. ผู้สอนควรเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้นาความรู้ในส่ิงท่ไี ด้จากการเรียนรู้นัน้ ไป ใช้บวอยๆ ในสถานการณ์ท่หี ลากหลาย 4. หลังจากท่ผี ู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจุดประสงค์ท่ผี ู้สอนกาหนดแล้ว ผู้สอนควรให้คาชมเชยหรือรางวัลท่ที าให้ผู้เรียนพงึ พอใจตวอส่งิ ท่ไี ด้กระทา ในการรววมกจิ กรรมการเรียน ซ่งึ จะชววยให้ผู้เรียนเกดิ แรงจูงใจใน การเรียนรู้มากขนึ้ และทาให้การเรียนการสอนประสบผลสาเร็จ

2. ทฤษฎีการวางเง่อื นไข (conditioning Theory) ทฤษฎีการวางเง่อื นไข สามารถแบวงตามลักษณะของการวางเง่อื นไข ออกเป็ น 4 ทฤษฎียวอย ดังนี้ 2.1 ทฤษฎกี ารวางเง่อื นไขแบบคลาสสคิ (Classical conditioning)



แสดงววา การเรียนรู้ของสุนัขเกดิ จากการเช่ือมโยงระหววางเสียง กระด่งิ และพฤตกิ รรมนา้ ลายไหล พาฟลอฟ จงึ สรุปววา การเรียนรู้ของส่งิ มีชีวติ สามารถเกดิ จากการ ตอบสนองตวอส่งิ เร้าท่วี างเง่อื นไข กฎการเรียนรู้ของพาฟลอฟ สามารถสรุปได้ ดังนี้ 1. พฤตกิ รรมการตอบสนองของมนุษย์สามารถเกดิ ขนึ้ ได้จากการ เช่ือมโยงระหววางส่งิ เร้าท่ไี มววางเง่อื นไขหรือความต้องการทางธรรมชาติ (unconditioned stimulus) กับส่งิ เร้าท่วี างเง่อื นไข (conditioned stimulus)

2. กฎแหวงการลดภาวะ (Law of Extinction) ความเข้มข้นของ การตอบสนองจะลดลงเร่ือยๆ หากบคุ คลได้รับส่งิ เร้าท่วี างเง่อื นไข อยวางเดยี วหรือความสัมพันธ์ระหววางส่งิ เร้าท่วี างเง่อื นไขกับส่งิ เร้าท่ไี มว วางเง่อื นไขหวางกันออกไปมากขนึ้ 3. กฎแหวงการฟื้นคืนสภาพเดมิ ตามธรรมชาติ (Law of Spontaneous Recovery) การตอบสนองท่เี กดิ จากการวางเง่อื นไขท่ลี ดลงสามารถ เกดิ ขนึ้ ได้อีกโดยใช้ส่งิ เร้าตามธรรมชาตหิ รือส่งิ เร้าท่ไี มววางเง่อื นไขมา เข้าควูกับส่งิ เร้าท่วี างเง่อื นไขอีก

4. กฎแหวงการถวายโยวงการเรียนรู้สวูสถานการณ์อ่ืนๆ (Law of Generalization) เม่ือเกดิ การเรียนรู้จากการวางเง่อื นไขแล้ว ถ้ามี ส่งิ เร้าท่คี ล้ายกับส่งิ เร้าท่วี างเง่อื นไขท่เี คยใช้มากระตุ้น อาจทาให้เกิด การตอบสนองท่เี หมือนกนั ได้ 5. กฎแหวงการจาแนกความแตกตวาง (Law of discrimination) คอื ถ้าอินทรีย์มี การเรียนรู้ โดยการตอบสนองจากการวางเง่อื นไขตวอส่งิ เร้าท่วี างเง่อื นไขแล้ว ถ้าส่งิ เร้าอ่นื ท่มี ีคุณสมบัตแิ ตกตวางจากส่งิ เร้าท่วี างเง่อื นไขเดมิ อนิ ทรีย์จะตอบสนอง แตกตวางไปจาก ส่งิ เร้าท่วี างเง่อื นไขนัน้

เชวน ถ้าสุนัขมีอาการนา้ ลายไหลจากการส่ันกระด่งิ แล้วเม่ือสุนัขตัวนัน้ ได้ยนิ เสียง ประทดั หรือเสียงปื นจะไมวมีอาการนา้ ลายไหล ดงั นัน้ อาจกลวาวได้ววา การเรียนรู้ของส่ิงมีชีวติ ในมุมมองของพาฟลอฟ คอื การวางเง่อื นไขแบบคลาสสิค ซ่งึ หมายถงึ การใช้ส่งิ เร้า 2 ส่งิ ควูกัน คือ ส่งิ เร้าท่วี าง เง่อื นไขและส่งิ เร้าท่ไี มวได้วางเง่อื นไขเพ่อื ให้เกดิ การเรียนรู้ คือ การตอบสนองท่เี กิด จากการวางเง่อื นไข ซ่งึ ถ้าส่ิงมีชีวติ เกดิ การเรียนรู้จริงแล้วจะมีการตอบสนองตวอส่งิ เร้า 2 ส่งิ ในลักษณะเดยี วกันแล้วไมวววาจะตดั ส่งิ เร้าชนิดใดชนิดหน่ึงออกไป การตอบสนอง กย็ งั คงเป็ นเชวนเดมิ เพราะผู้เรียนสามารถเช่ือมโยงระหววางส่ิงเร้าท่วี างเง่อื นไขกบั ส่งิ เร้าท่ไี มววางเง่อื นไขกบั การตอบสนองได้

การประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน 1.ในแงวของความแตกตวางระหววางบุคคล ความแตกตวางทางด้านอารมณ์มแี บบ แผนการตอบสนองได้ไมวเทวากัน จาเป็ นต้องคานึงถงึ สภาพทางอารมณ์ผู้เรียนววา เหมาะสมท่จี ะสอนเนือ้ หาอะไร 2.การวางเง่อื นไข เป็ นเร่ืองท่เี ก่ยี วกับพฤตกิ รรมทางด้านอารมณ์ด้วย โดยปกติ ผู้สอนสามารถทาให้ผู้เรียนรู้สกึ ชอบหรือไมวชอบเนือ้ หาท่เี รียนหรือส่งิ แวดล้อม ในการเรียน 3.การลบพฤตกิ รรมท่วี างเง่อื นไข ผู้เรียนท่ถี กู วางเง่อื นไขให้กลัวผู้สอน เราอาจ ชววยได้โดยป้องกันไมวให้ผู้สอนทาโทษเขา

4.การสรุปความเหมือนและการแยกความแตกตวาง เชวน การอวานและ การสะกดคา ผู้เรียนท่สี ามารถสะกดคาววา \"round\" เขาก็ควรจะเรียนคา ทกุ คาท่อี อกเสียง o-u-n-dไปในขณะเดยี วกันได้ เชวนคาววา found, bound, sound, ground, แตวคาววา wound (บาดแผล) นัน้ ไมวควรเอา เข้ามารวมกับคาท่อี อกเสียง o - u - n - d และควรฝึ กให้รู้จักแยกคานี้ ออกจากกลวุม

2.2 ทฤษฎกี ารวางเง่อื นไขของวัตสัน จอห์น บี วัตสัน (John B. Watson) เป็ นนักจติ วทิ ยาชาวอเมริกัน มี ชววงชีวติ อยวรู ะหววางปี ค.ศ. 1878 – 1958 รวมอายุได้ 90 ปี วัตสันได้ นาเอาทฤษฎีของพาฟลอฟมาเป็ นหลักสาคัญในการอธิบายเร่ืองการเรียน ผลงานของวัตสันได้รับความนิยมแพรวหลายจนได้รับการยกยวองววาเป็ น “บดิ าของจติ วทิ ยาพฤตกิ รรมนิยม” ทฤษฎขี องเขามีลักษณะในการอธิบาย เร่ืองการเกดิ อารมณ์จากการวางเง่อื นไข (Conditioned emotion)

วัตสัน ได้ทาการทดลองโดยให้เดก็ คนหน่ึงเลวนกับหนูขาว และขณะท่เี ดก็ กาลังจะจับหนูขาว กท็ าเสียงดงั จนเดก็ ตกใจร้องไห้ หลังจากนัน้ เดก็ จะกลัว และร้องไห้เม่ือเหน็ หนูขาว ตวอมาทดลองให้นาหนูขาวมาให้เดก็ ดู โดยแมวจะ กอดเดก็ ไว้ จากนัน้ เดก็ กจ็ ะควอย ๆ หายกลัวหนูขาว จากการทดลองดังกลวาว วัตสันสรุปเป็ นทฤษฎีการเรียนรู้ ดงั นี้ 1. พฤตกิ รรมเป็ นส่ิงท่สี ามารถควบคุมให้เกิดขนึ้ ได้ โดยการควบคุมส่งิ เร้าท่ี วางเง่อื นไขให้สัมพนั ธ์กับส่งิ เร้าตามธรรมชาติ และการเรียนรู้จะคงทนถาวร หากมีการให้ส่ิงเร้าท่สี ัมพนั ธ์กันนัน้ ควบควูกันไปอยวางสม่าเสมอ 2. เม่ือสามารถทาให้เกดิ พฤตกิ รรมใด ๆ ได้ กส็ ามารถลดพฤตกิ รรมนัน้ ให้ หายไปได้

การนาไปประยกุ ต์ใช้ สามารถนาความรู้ไปแก้ไขปัญหาด้านความกลัวของเดก็ หรือ วางเง่อื นไขเพ่อื ให้เกิดการตอบสนองในเร่ืองท่ตี ้องการให้แสดง พฤตกิ รรม

ลักษณะของทฤษฎกี ารวางเง่อื นไขแบบคลาสสิค 1.การตอบสนองเกดิ จากส่งิ เร้า หรือส่งิ เร้าเป็ นตวั ดงึ การตอบสนองมา 2.การตอบสนองเกดิ ขนึ้ โดยไมวได้ตัง้ ใจ หรือไมวได้จงใจ 3.ให้ตวั เสริมแรงกวอน แล้วผู้เรียนจงึ จะตอบสนอง เชวน ให้ผงเนือ้ กวอนจงึ จะมีนา้ ลายไหล 4.รางวัลหรือตวั เสริมแรงไมวมีความจาเป็ นตวอการวางเง่อื นไข 5.ไมวต้องทาอะไรกับผู้เรียน เพยี งแตวคอยจนกระท่งั มีส่ิงเร้ามากระตุ้น จงึ จะเกิดพฤตกิ รรม 6. เก่ียวข้องกบั ปฏกิ ริ ิยาสะท้อนและอารมณ์ ซ่งึ มีระบบประสาทอัตโนมตั ิ เข้าไปเก่ยี วข้องในแงวของความแตกตวางระหววางบุคคล

การประยกุ ต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน 1.ในแงวของความแตกตวางระหววางบุคคล ความแตกตวางทางด้านอารมณ์มี แบบแผนการตอบสนองได้ไมวเทวากัน จาเป็ นต้องคานึงถงึ สภาพทาง อารมณ์ผู้เรียนววาเหมาะสมท่จี ะสอนเนือ้ หาอะไร 2.การวางเง่อื นไข เป็ นเร่ืองท่เี ก่ียวกับพฤตกิ รรมทางด้านอารมณ์ด้วย โดย ปกตผิ ู้สอนสามารถทาให้ผู้เรียนรู้สึกชอบหรือไมวชอบเนือ้ หาท่เี รียนหรือ ส่งิ แวดล้อมในการเรียน 3.การลบพฤตกิ รรมท่วี างเง่อื นไข ผู้เรียนท่ถี ูกวางเง่อื นไขให้กลัวผู้สอน เราอาจชววยได้โดยป้องกันไมวให้ผู้สอนทาโทษเขา

2.3 ทฤษฎีการวางเง่อื นไขแบบตวอเน่ืองของกัทธรี (Guthrie’s Contiguous Conditioning theory) เอด็ วิน อาร์ กทั ธรี (Edwin R. Guthrie) มีชววงชีวติ อยวใู นระหววางปี ค.ศ. 1886-1959 รวมอายุได้ 73 ปี เป็ นศาสตราจารย์ทางจติ วทิ ยาแหวง มหาวทิ ยาลัยวอชิงตันสหรัฐอเมริกา เป็ นบุคคลสาคัญบุคคลหน่ึงท่ที าให้ วงการทฤษฎีการเรียนรู้ก้าวหน้าไปได้ไกล จุดเร่ิมต้นของทฤษฎีการเรียนรู้ ของเขามีรากฐานมาจาก “ทฤษฎีการเรียนรู้ของวัตสัน” คือ การศกึ ษาการวาง เง่อื นไขแบบคลาสสิคหรือผลจากการแสดงปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex) เน้นถงึ การเรียนรู้แบบสัมพนั ธ์ตวอเน่ือง

หลักการเรียนรู้ของทฤษฎี การเรียนรู้ของอนิ ทรีย์เกดิ จากความสัมพนั ธ์ตวอเน่ืองระหววางส่ิงเร้ากับ การตอบสนอง โดยเกดิ จากการกระทาเพยี งครัง้ เดยี ว (One-trial Learning) มติ ้องลองทาหลาย ๆ ครัง้ เขาเช่ือววาเม่ือใดกต็ ามท่ีมี การตอบสนองตวอส่งิ เร้าแสดงววาอนิ ทรีย์เรียนรู้ท่จี ะตอบสนองตวอส่ิงเร้าท่ี ปรากฏในขณะนัน้ ทนั ที และเป็ นการตอบสนองตวอส่งิ เร้าอยวางสมบูรณ์ ไมว จาเป็ นต้องฝึ กหดั อีกตวอไป

เขาค้านววาการฝึ กในครัง้ ตวอไปไมวมีผลให้ส่งิ เร้าและการตอบสนองสัมพันธ์ กนั แนวนแฟ้นขนึ้ เลย (ซ่งึ แนวความคิดนีต้ รงกันข้ามกบั แนวความคิด ของธอร์นไดค์ ท่กี ลวาวววาการเรียนรู้จะเกดิ จากการลองผิดลองถูก โดยกระทา การตอบสนองหลายๆ อยวาง และเม่ือเกดิ การเรียนรู้คือการแก้ปัญหาแล้ว จะต้องมีการฝึ กหดั ให้กระทาซา้ บวอยๆ) กัทธรี กลวาวววา “ส่งิ เร้า ท่ที าให้เกดิ อาการเคล่ือนไหวเป็ นส่ิงเร้าท่วี าง เง่อื นไขท่แี ท้จริง”

การทดลอง ในการทดลอง กัทธรีจะปลวอยแมวท่หี วิ จัดเข้าไปในกลวองปัญหา แมวจะ หาทางออกทางประตูหน้า ซ่งึ เปิ ดแง้มอยวู โดยมีปลายแซลมอน (Salmon) วางไว้บนโต๊ะท่อี ยวเู บือ้ งหน้ากวอนแล้ว ตลอดเวลาในการทดลอง กัทธรีจะจด บันทกึ พฤตกิ รรมตวาง ๆ ของแมวตงั้ แตวถกู ปลวอยเข้าไปในกลวองปัญหาจนหา ทางออกจากกลวองได้

ผลท่ไี ด้จากการทดลอง สรุปได้ดงั นี้ 1.แมวบางตัวจะกัดเสาหลายครัง้ 2. แมวบางตวั จะหนั หลังชนเสาและหนีจากกลวองปัญหา 3. แมวบางตัวอาจใช้ขาหน้าและขาหลังชนเสาและหมุนรอบ ๆ เสา

จากผลการทดลองดังกลวาว กทั ธรีได้สรุปเป็ นกฎการเรียนรู้ ดงั นี้ กทั ธรีกลวาวววา พฤตกิ รรมของมนุษย์มีส่งิ เร้าควบคุม และการเช่ือมโยง ระหววางส่ิงเร้ากับการตอบสนองจะเปล่ียนไปตามกฎเกณฑ์ เขายอมรับววา พฤตกิ รรมหลายอยวางมีจุดมวุงหมาย พฤตกิ รรมใดท่ที าซา้ ๆ เกิดจากกลวุม ส่งิ เร้าเดมิ มาทาให้เกดิ พฤตกิ รรมเชวนนัน้ อีก สรุปกฎการเรียนรู้ คือ 1. กฎแหวงความตวอเน่ือง (Law of Contiguity) เม่ือมีส่งิ เร้ากลวุมหน่ึงท่เี กิด พร้อมกับอาการเคล่ือนไหว เม่ือส่งิ เร้านัน้ เกดิ ขนึ้ อีก อาการเคล่ือนไหว เดมิ กม็ ีแนวโน้มท่จี ะเกดิ ตามมาด้วย เชวน เม่ือมีงมู าปรากฏตวอหน้า เดก็ ชาย ก. จะกลัวและว่งิ หนี ทุกครัง้ ท่เี หน็ งเู ดก็ ชาย ก. กจ็ ะกลัวและว่งิ หนีเสมอ ฯลฯ

2.กฎของการกระทาครัง้ สุดท้าย (Law of Recency) หลักของการกระทา ครัง้ สุดท้าย (Recency) นัน้ ถ้าการเรียนรู้เกดิ ขนึ้ อยวางสมบรู ณ์จากการ กระทาเพยี งครัง้ เดยี ว ซ่งึ เป็ นการกระทาครัง้ สุดท้ายในสภาพการณ์นัน้ เม่ือ สภาพการณ์ใหมวเกดิ ขนึ้ อีกบุคคลจะทาเหมือนท่เี คยได้กระทาในครัง้ สุดท้าย ไมวววาการกระทาครัง้ สุดท้ายจะผิดหรือถกู กต็ าม 3. การเรียนรู้เกดิ ขนึ้ ได้แม้เพยี งครัง้ เดยี ว (One trial learning) เม่ือมีส่งิ เร้า มากระตุ้น อนิ ทร์จะแสดงปฏกิ ริ ิยาตอบสนองออกมา ถ้าเกดิ การเรียนรู้ขนึ้ แล้วแม้เพยี งครัง้ เดยี ว กน็ ับววาได้เรียนรู้แล้ว ไมวจาเป็ นต้องทาซา้ อีก หรือไมว จาเป็ นต้องฝึ กซา้

4.หลักการจงู ใจ (Motivation) ในการทาให้เกดิ การเรียนรู้นัน้ กทั ธรีเน้น การจูงใจ (Motivation) มากกววาการเสริมแรง ซ่งึ มีแนวความคดิ เชวนเดยี วกบั การวางเง่อื นไขแบบคลาสสคิ ของพาฟลอฟและวตั สัน การนาไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน 1. การนาหลักการเรียนรู้ไปใช้ จากการหลักการเรียนรู้ท่วี วาการเรียนรู้เกดิ จากการกระทาหรือการตอบสนองเพยี งครัง้ เดียวได้ต้องลองกระทาหลาย ๆ ครัง้ หลักการนีน้ วาจะใช้ได้ดีในผู้ใหญวมากกววาเดก็ และผู้มีประสบการณ์เดมิ มากกววาผู้ไมวเคยมีประสบการณ์เลย

2. ถ้าต้องการให้อนิ ทรีย์เกดิ การเรียนรู้ควรใช้การจูงใจ เพ่อื ให้เกดิ พฤตกิ รรม มากกววาการเสริมแรง 3. เน่ืองจากแนวความคดิ ของกัทธรีคล้ายคลงึ กับแนวความคดิ ของวัตสันมาก ดงั นัน้ การนาไปประยกุ ต์ใช้ในการเรียนการสอนกเ็ ป็ นไปในทานองเดียวกัน กับทฤษฎขี องวัตสันนัน้ เอง 4.กทั ธรีเช่ือววาการลงโทษมีผลตวอการเรียนรู้ คือทาให้อนิ ทรีย์กระทาในส่ิงใด ส่งิ หน่ึง เขาแยกการลงโทษออกเป็ น 4 ขัน้ ดังนี้ 4.1 การลงโทษสถานเบา อาจทาให้ผู้ถูกลงโทษมีอาการต่ืนเต้นเพยี ง เล็กน้อย แตวยังคงแสดงพฤตกิ รรมเดมิ อีกตวอไป

4.2 การเพ่มิ การลงโทษ อาจทาให้ผู้ถกู ลงโทษเลกิ แสดงพฤตกิ รรมท่ไี มวพงึ ปรารถนาได้ 4.3 ถ้ายงั คงลงโทษตวอไป การลงโทษจะเปรียบเสมือนแรงขับท่กี ระตุ้นให้ อินทรีย์ตอบสนองตวอส่งิ เร้า จนกววาอนิ ทรีย์จะหาทางลดความเครียดจาก แรงขับท่เี กดิ ขนึ้ การเรียนรู้ท่แี ท้จริงเกดิ จากการได้รับรางวัลท่พี อใจ 4.4 ถ้าเกดิ พฤตกิ รรมท่ไี มวดีคือพฤตกิ รรมท่ไี มวพงึ ปรารถนา แล้วลงโทษจะทา ให้มีพฤตกิ รรมอ่ืนเกดิ ตามมาหลังจากถูกลงโทษ จงึ ควรขจัดพฤตกิ รรมท่ไี มว ดเี สียกวอน กวอนท่จี ะลงโทษ

2.4 ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวางเง่อื นไขแบบการกระทา หรือแบบ โอเปอแรนท์ (Operant Conditioning Theory) สกนิ เนอร์ (B.F. Skinner) เป็ นเจ้าของทฤษฎีสกนิ เนอร์ได้ทดลองการวาง เง่อื นไขแบบการกระทากับหนูและนกในห้องทดลอง จนกระทงั้ ได้หลักการ ตวางๆ มาเป็ นแนวทางการศกึ ษาการเรียนรู้ของมนุษย์ สกนิ เนอร์มีแนวคดิ ววา การเรียนรู้เกดิ ขนึ้ ภายใต้เง่อื นไขและสภาวะ แวดล้อมท่เี หมาะสม เพราะทฤษฎีนีต้ ้องการเน้นเร่ืองส่งิ แวดล้อม ส่งิ สนับสนุนและการลงโทษ โดยพฒั นาจากทฤษฎีของ พาฟลอฟ และ ธอร์ นไดค์

การวางเง่อื นไขแบบการกระทาหรือแบบปฏิบัตกิ าร ซ่งึ มีช่ือเรียกตวาง ๆ กัน คือ Operant Conditioning Theory หรือ Instrumental conditioning theory หรือ Type - R Conditioning Theory สกนิ เนอร์ได้เสนอแนวความคดิ โดย จาแนกทฤษฎีทางพฤตกิ รรมออกเป็ น 2 ประเภท คือ 1. พฤตกิ รรมท่เี กดิ จากการเรียนรู้แบบ Type S (Response Behavior) ซ่งึ มี ส่งิ เร้า (Stimulus) เป็ นตวั กาหนดหรือดงึ ออกมา เชวน นา้ ลายไหลเน่ืองจาก ใสวอาหารเข้าไปในปาก สะดุ้งเพราะถูกเคาะท่สี ะบ้าข้างเขวา หรือการหร่ีตา เม่ือถูกแสงไฟ พฤตกิ รรมดังกลวาวเป็ นการตอบสนองแบบอัตโนมัติ

2. พฤตกิ รรมท่เี กดิ จากการเรียนรู้แบบ Type R (Operant Behavior) พฤตกิ รรมหรือการตอบสนองขนึ้ อยวูกับการเสริมแรง (Reinforcement) การตอบสนองแบบนีจ้ ะตวางกบั แบบแรก เพราะอนิ ทรีย์เป็ นตัวกาหนด หรือเป็ นผู้ส่ังให้กระทาตวอส่งิ เร้า ไมวใช้ให้ส่งิ เร้าเป็ นตัวกาหนดพฤตกิ รรม ของอนิ ทรีย์ เชวน การถางหญ้า การเขียนหนังสือ การรีดผ้า พฤตกิ รรม ตวาง ๆ ของคน

ในชีวติ ประจาวันเป็ นพฤตกิ รรมแบบ Operant Conditioning หลักการ เรียนรู้ท่สี าคัญ เน้นการกระทาของผู้ท่เี รียนรู้มากกววาส่ิงเร้าท่กี าหนดให้ กลวาวคือ เม่ือต้องการให้อนิ ทรีย์เกดิ การเรียนรู้จากส่ิงเร้าใดส่งิ เร้าหน่ึง เรา จะให้ผู้เรียนรู้เลือกแสดงพฤตกิ รรมเองโดยไมวบังคับหรือบอกแนวทางในการ เรียนรู้ เม่ือผู้เรียนแสดงพฤตกิ รรมการเรียนรู้แล้วจงึ \"เสริมแรง\" พฤตกิ รรม นัน้ ทนั ที เพ่อื ให้ผู้เรียนรู้ววาพฤตกิ รรมท่แี สดงออกนัน้ เป็ นพฤตกิ รรมการ เรียนรู้ หรือกลวาวอีกนัยหน่ึงทฤษฎีการเรียนรู้การวางเง่อื นไขแบบการกระทา นัน้ พฤตกิ รรมการตอบสนองจะขนึ้ อยวกู ับการเสริมแรง (Reinforcement) ตัวเสริมแรงแบวงออกเป็ น 2 ลักษณะ คือ

1. ตัวเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) หมายถงึ ส่งิ เร้าใด ๆ ซ่งึ เม่ือนามาใช้แล้วทาให้อัตราการตอบสนองเพ่มิ มากขนึ้ เชวน คาชมเชย รางวัล อาหาร 2. ตวั เสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) หมายถงึ ส่ิงเร้าใด ๆ ซ่งึ เม่ือนามาใช้แล้วทาให้การตอบสนองเพ่มิ ขนึ้ ในทางลบ เป็ นตวั เสริมแรง ทางลบ เชวน เสียงดัง อากาศร้อน คาตาหนิ กล่นิ การทาโทษ เป็ น การนาตวั เสริมแรงลบเข้ามา เพราะการทาโทษบางอยวางหากนาไปใช้จะมี ผลให้อัตราการตอบสนองเปล่ียนไปในลักษณะท่เี ข้มขึน้

การนาไปประยกุ ต์ใช้ในการเรียนการสอน (สกนิ เนอร์) 1. ในการสอน การให้การเสริมแรงหลังการตอบสนองท่เี หมาะสมของเดก็ จะชววยเพ่มิ อัตรากาตอบสนองท่เี หมาะสมนัน้ 2. การเว้นระยะการเสริมแรงอยวางไมวเป็ นระบบ หรือเปล่ียนรูปแบบ การเสริมแรงจะชววยให้การตอบสนองของผู้เรียนคงทนถาวร 3. การลงโทษท่รี ุนแรงเกนิ ไป มีผลเสียมาก ผู้เรียนอาจไมวได้เรียนรู้หรือจาส่งิ ท่เี รียนรู้ไมวได้ ควรใช้วธิ ีการงดการเสริมแรงเม่ือผู้เรียนมีพฤตกิ รรมไมว พงึ ประสงค์

4. หากต้องการเปล่ียนพฤตกิ รรม หรือปลูกฝังนิสัยให้แกวผู้เรียน ควร แยกแยะขัน้ ตอนของปฏกิ ริ ิยาตอบสนองออกเป็ นลาดับขัน้ โดย พจิ ารณาให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน และจงึ พจิ ารณา แรงเสริมท่จี ะให้แกวผู้เรียน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook