Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการการบริหารการศึกษาและภาวะผู้นำ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ฉบับที่ 25

วารสารวิชาการการบริหารการศึกษาและภาวะผู้นำ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ฉบับที่ 25

Published by ED-APHEIT, 2019-07-18 06:38:16

Description: วารสารวิชาการการบริหารการศึกษาและภาวะผู้นำ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ฉบับที่ 25

Search

Read the Text Version

190 กล่าวโดยสรปุ องค์กรบริหารสว่ นตาบลนาคูณใหญใ่ ชร้ ะบบเลอื กตงั้ โดยตรง ประชาชนจะเปน็ ผู้เลอื กนายก องค์การบริหารส่วนตาบลนาคูณใหญ่ ให้ทาหน้าที่ในการบริหารและพัฒนาทอ้ งถ่นิ โดยได้รบั อานาจจากประชาชน และประชาชนในพ้ืนที่ตาบลนาคณู ใหญ่มีความตอ้ งการนายกทีม่ คี วามเป็นผู้นา มีความรู้ความสามารถ มีบคุ ลิกภาพ ที่ดี มีคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม และมีมนุษยสมั พนั ธ์ทีด่ ี จากเหตุผลดงั กล่าวจะเห็นได้วา่ ผู้นา มีความสาคญั ต่อองคก์ าร เป็นอยา่ งย่งิ ทาให้ผู้วจิ ยั ในฐานะเปน็ สมาชกิ ของชุมชนต้องการนาปัญหาดังกล่าวมาศกึ ษาเพ่อื เป็นประโยชนต์ อ่ การศึกษาถึงรปู แบบภาวะผู้นานายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบลที่พึงประสงค์ของประชาชน ในเขตพ้นื ทีต่ าบล นาคูณใหญ่ อาเภอนาหว้า จังหวดั นครพนม เพ่อื ให้ประชาชนตระหนกั ถึงความสาคญั ของคณุ ลกั ษณะนายกองค์การ บริหารส่วนตาบลที่ประชาชนมีความประสงค์และตอ้ งการให้เขา้ มาบริหารท้องถิน่ ก่อให้เกิดกระแสการสรรหาคนดี มคี วามรู้ ความสามารถ มีจริยธรรมและคณุ ธรรมเข้ามาบริหารและพฒั นาทอ้ งถน่ิ สนองตอบนโยบายของรฐั และความตอ้ งการของประชาชนภายในทอ้ งถน่ิ ต่อไป คาถามของการวิจยั 1. ภาวะผู้นานายกองค์การบริหารสว่ นตาบลทีพ่ ึงประสงค์ของประชาชนตาบลนาคูณใหญ่ อาเภอนาหว้า จงั หวดั นครพนม เปน็ อยา่ งไร 2. ภาวะผู้นานายกองค์การบริหารส่วนตาบลทีพ่ ึงประสงค์ของประชาชนตาบลนาคูณใหญ่ อาเภอนาหวา้ จังหวัดนครพนม แตกตา่ งกนั ตามคณุ ลกั ษณะส่วนบคุ คลหรอื ไม่ ความมงุ่ หมายของการวิจยั 1. เพื่อศกึ ษาภาวะผู้นานายกองค์การบริหารส่วนตาบลทีพ่ ึงประสงค์ของประชาชนตาบลนาคณู ใหญ่ อาเภอนาหวา้ จงั หวัดนครพนม 2. เพอ่ื เปรียบเทียบภาวะผู้นานายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบลที่พึงประสงค์ของประชาชนตาบลนาคณู ใหญ่ อาเภอนาหวา้ จังหวัดนครพนม ตามคุณลกั ษณะส่วนบคุ คล กรอบแนวคดิ ของการวิจัย ตวั แปรตาม ตัวแปรอสิ ระ (Dependent Variable) (Independent Variable) ภาวะผู้นานายกองค์การบริหารส่วนตาบล ที่พึงประสงค์ คุณลักษณะสว่ นบุคคล ของประชาชน 1. ภาวะผู้นาเชิงศรัทธาบารมี ตาบลนาคนู ใหญ่ทีม่ ีสทิ ธิเลอื กตงั้ 2. ภาวะผู้นาเชิงวิสยั ทศั น์ 1. เพศ 3. ภาวะผู้นาเชิงยุทธศาสตร์ 2. อายุ 4. ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง 3. ระดบั การศกึ ษา 5. ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม 4. รายได้ตอ่ เดอื น 5. อาชพี ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดของการวจิ ยั

191 วิธีดาเนนิ การวิจัย ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง 1. ประชากร (Population) ประชากรที่ใชใ้ นการวิจัยครั้งนจี้ ะทาการวิจยั เฉพาะประชากรที่อาศัยอยู่ในเขต ตาบลนาคูณใหญ่ อาเภอนาหวา้ จงั หวัดนครพนม ทม่ี อี ายตุ งั้ แต่ 18 ปี ขึ้นไป มีท้ังหมด 7 หมบู่ า้ น จานวนท้ังส้นิ 1,247 ครวั เรือน (ขอ้ มลู จากที่ทาการปกครองอาเภอนาหวา้ จังหวดั นครพนม ณ เดอื นตลุ าคม พ.ศ. 2557) 2. กลุ่มตวั อยา่ ง (Sample) ทใ่ี ชใ้ นการวิจัยคร้ังนีค้ ือประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตนาคูณใหญ่ อาเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม การกาหนดขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งใชว้ ธิ ีคานวณ โดยใชแ้ นวคดิ ของ Taro Yamane (Yamane, 1973, p. 727) เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกีย่ วกบั ภาวะผู้นานายกองค์การบริหารส่วนตาบลทีพ่ ึง ประสงค์ของประชาชนตาบลนาคณู ใหญ่ อาเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม มีลักษณะเปน็ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั การเก็บรวมรวบขอ้ มลู ผู้วิจยั ดาเนินเก็บขอ้ มลู ในการวจิ ยั โดยได้ดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมลู การวจิ ัยดังนี้ 1. ทาหนังสอื ขอความอนุเคราะห์เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จาก มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร เพ่อื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 2. ส่งแบบสอบถามไปให้ผู้ทีเ่ กีย่ วข้องพร้อมชีแ้ จงรายละเอยี ดความมุ่งหมาย ของการออกแบบสอบถามนี้ เพอ่ื ทาความเขา้ ใจให้ตรงในการตอบแบบสอบถาม 3. ดาเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยผู้วจิ ยั ดาเนนิ การเกบ็ ขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง 4. ตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบรู ณ์ของแบบสอบถาม สถิตทิ ใี่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ ค่าเฉลีย่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที (t-test) ชนิด Independent Samples การทดสอบเอฟ (F-test) และการวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOWA) สรุปผลการวิจัย การวจิ ยั เรือ่ งภาวะผู้นานายกองค์การบริหารส่วนตาบลที่พงึ ประสงค์ของประชาชนตาบลนาคณู ใหญ่ อาเภอนาหวา้ จังหวดั นครพนม สรุปได้ดงั น้ี 1. ประชาชนผู้มสี ิทธิเ์ ลอื กตงั้ มีความคิดเห็นดว้ ยเกี่ยวกับภาวะผู้นานายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบล ทีพ่ ึงประสงค์ของประชาชนตาบลนาคณู ใหญ่ อาเภอนาหวา้ จงั หวัดนครพนม โดยรวมพบวา่ อยใู่ นระดับปานกลาง เม่อื พิจารณาเป็นรายดา้ นโดยเรียงลาดบั จากมากไปหาน้อย ดังน้ี ภาวะผู้นาศรัทธาบารมี ( X = 3.61) และภาวะผู้นา การเปลี่ยนแปลง ( X = 3.57) ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงทางสังคม ( X = 3.48) และภาวะผู้นาเชิงวสิ ัยทัศน์ ( X = 2.98) และอยู่ในระดับน้อย คือ ภาวะผู้นาเชิงยุทธศาสตร์ ( X = 2.48) ตามลาดบั 2. การวเิ คราะห์เปรียบเทียบความคิดเหน็ เกีย่ วกบั ภาวะผู้นาของนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ และอาชพี แตกต่างกนั พบวา่

192 2.1 ประชาชนผู้มสี ิทธิ์เลอื กตงั้ ที่มเี พศแตกตา่ งกนั มีความคดิ เหน็ เกีย่ วกับภาวะผู้นานายกองค์การ บริหารส่วนตาบล โดยรวมและรายด้านมีความแตกต่างกันอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .01 2.2 ประชาชนผู้มสี ิทธิ์เลอื กตง้ั ที่มอี ายแุ ตกตา่ งกัน มคี วามคิดเหน็ ดว้ ยเกี่ยวกบั ภาวะผู้นา นายกองค์การบริหารส่วนตาบล โดยรวมและรายด้านไมแ่ ตกตา่ งกนั 2.3 ประชาชนผู้มสี ิทธิ์เลอื กตง้ั ที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกัน มคี วามคิดเห็นดว้ ยเกี่ยวกบั ภาวะผู้นา ของนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบล รายรูปแบบ 2 รปู แบบ คือ ภาวะผู้นาเชิงวิสัยทัศน์และภาวะผู้นาเชิงยุทธศาสตร์ แตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติที่ระดับ .01 2.4 ประชาชนผู้มสี ิทธิเ์ ลอื กตง้ั ที่มรี ายได้แตกตา่ งกัน มีความคิดเหน็ ดว้ ยเกีย่ วกบั ภาวะผู้นานายก องคก์ ารบริหารส่วนตาบล คือ ภาวะผู้นาเชิงศรัทธาบารมี และภาวะผู้นาเชิงยทุ ธศาสตร์ แตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั 0.05 2.5 ประชาชนผู้มสี ิทธิเ์ ลอื กตงั้ ทีม่ ีอาชพี แตกต่างกัน มีความคดิ เหน็ ดว้ ยเกีย่ วกับภาวะผู้นาของนายก องคก์ ารบริหารส่วนตาบล คือ ภาวะผู้นาเชิงศรัทธาบารมี ภาวะผู้นาเชิงวิสัยทัศน์ และภาวะผู้นาเชิงยุทธศาสตร์ แตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั 0.05 อภปิ รายผลการวิจัย การวจิ ยั เรื่อง ภาวะผู้นานายกองค์การบริหารส่วนตาบลที่พึงประสงค์ของประชาชนตาบลนาคณู ใหญ่ อาเภอนาหวา้ จังหวัดนครพนม จากการวเิ คราะหข์ ้อมูลการวิจัยมปี ระเด็นทีส่ าคญั ควรนามาอธิบาย ดงั น้ี 1. ประชาชนผู้มสี ิทธิเ์ ลอื กตงั้ มีความคิดเห็นดว้ ยเกี่ยวกับภาวะผู้นานายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบล ทีพ่ ึงประสงค์ของประชาชน ตาบลนาคณู ใหญ่ อาเภอนาหว้า จงั หวดั นครพนม โดยรวมพบวา่ อยู่ในระดบั ปานกลาง เมอ่ื พิจารณาเปน็ รายดา้ นโดยเรียงลาดบั จากมากไปหาน้อย ดงั น้ี ภาวะผู้นาศรทั ธาบารมี ( X = 3.61) และภาวะผู้นา การเปลี่ยนแปลง ( X = 3.57) ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงทางสงั คม ( X = 3.48) และภาวะผู้นาเชิงวสิ ยั ทศั น์ ( X = 2.98) และอยู่ในระดบั น้อย คือ ภาวะผู้นาเชิงยุทธศาสตร์ ( X = 2.48) ตามลาดบั ซึง่ สอดคล้องกบั งานวิจัยของ ธงชัย อตุ คา (2553, หนา้ 90-93) ศกึ ษาวจิ ยั เรื่อง รูปแบบภาวะผู้นาของนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ในเขตอาเภอกุฉินารายณ์ จงั หวดั กาฬสินธ์ุ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลโดยใชแ้ บบสอบถาม กลุ่มตวั อย่าง คือ ประชาชน จานวน 398 คน ข้าราชการผู้ปฏบิ ตั งิ าน จานวน 156 คน และผู้บริหารองคก์ ารบริหารส่วนตาบลในเขตอาเภอ กฉุ ินารายณ์ จานวน 45 คน ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) ผู้บริหารองคก์ ารบริหารส่วนตาบลในเขตอาเภอกฉุ ินารายณ์ จังหวดั กาฬสินธุ์ มีภาวะผู้นา โดยรวมและจาแนกเปน็ รายดา้ นตามรปู แบบภาวะทั้ง 4 รูปแบบ อยใู่ นระดบั ปานกลาง ประกอบด้วย รปู แบบสนบั สนุน รปู แบบมงุ่ มนั่ ความสาเร็จของงาน รูปแบบให้มีสว่ นร่วมและรปู แบบสั่งการ 2) รูปแบบ ภาวะผู้นาของนายกองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล ตามความคดิ เหน็ ของประชาชน ข้าราชการ และผู้บริหารองคก์ าร บริหารส่วนตาบล ทีม่ ีเพศ อายุและระดับการศกึ ษาแตกต่างกนั พบวา่ โดยรวมและจาแนกเป็นรายดา้ นตามรปู แบบ ภาวะผู้นา ทง้ั 4 แบบ ไมแ่ ตกตา่ งกัน 3) ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และความตอ้ งการเกีย่ วกบั รูปแบบภาวะผู้นา ของนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบล ควรให้ความไวว้ างใจผู้ใต้บงั คับบัญชาทุกระดบั ชนั้ ควรมกี ารกาหนดวสิ ยั ทศั น์ ให้ชัดเจนในการทางาน ควรยดึ หลกั ศาสนาเป็นหลกั ในการปฏบิ ัตงิ าน ควรประพฤติตนเป็นแบบอย่างทีด่ ตี อ่ ผู้ใต้บังคับบญั ชา 2. เพ่อื เปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกบั ภาวะผู้นานายกองค์การบริหารส่วนตาบล เพศ อายุ การศึกษา รายได้ และอาชพี สามารถอภิปรายได้วา่

193 2.1 ประชาชนผู้มสี ิทธิเ์ ลอื กตง้ั ที่มเี พศแตกตา่ งกันมีความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั ภาวะผู้นานายกองค์การ บริหารส่วนตาบล โดยรวมและรายด้านมีความแตกต่างกันอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับ งานวจิ ยั ของ อานวย วงศจ์ ันทร์ (2553, บทคัดยอ่ ) ศึกษาเรือ่ ง ภาวะผู้นาของนายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลตาม ความตอ้ งการของประชาชนในตาบลแมส่ ูน อาเภอฝาง จังหวัดเชยี งใหม่ พบวา่ ภาวะผู้นาของนายกองค์การบริหาร ส่วนตาบลตามความตอ้ งการของประชาชนในตาบลแมส่ นู อาเภอฝาง จงั หวดั เชยี งใหม่ ในภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก ภาวะผู้นาท่มี คี ่าเฉลีย่ สงู ที่สดุ คอื มสี ตปิ ัญญา ไหวพริบ เฉลียวฉลาด รองลงมาคือ มีคณุ ธรรมและภาวะผู้นาทม่ี ี ค่าเฉลี่ยตา่ ทีส่ ดุ คือ ใชอ้ านาจในการสงั่ การเพ่อื ให้ผใู้ ตบ้ งั คับบญั ชาปฏบิ ัตติ ามคาสัง่ การเปรียบเทียบความตอ้ งการตอ่ ภาวะผู้นาของนายกองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล พบวา่ การเปรียบเทียบความตอ้ งการภาวะผู้นาของนายกองคก์ าร บริหารส่วนตาบล จาแนกตามอายุและระดับการศกึ ษาในภาพรวมพบวา่ มคี วามตอ้ งการไมแ่ ตกต่างกนั สว่ นการ เปรียบเทียบความตอ้ งการภาวะผู้นาของนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบล จาแนกตามเพศและตาแหนง่ พบว่า ภาพรวมมีความแตกต่างกันอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทีร่ ะดบั .05 ผลการศึกษาปรากฏเช่นน้ี อาจเปน็ เพราะประชาชน ผู้มีสทิ ธิ์เลอื กตง้ั เพศหญิงเหน็ หน้าผู้นาสามารถปฏบิ ตั ติ ามสัญญาหรอื นโยบายในการหาเสียงเลอื กตง้ั ได้และสามารถ ปรบั เปลี่ยนการบริหารงานตามสถานการณท์ ีม่ ีการเปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเร็วได้รวมท้ังสามารถแก้ไขปญั หาเดือดร้อน ของประชาชนในท้องถิ่น มคี วามสนับสนนุ การสร้างงาน สร้างอาชีพ เช่น กลุ่มผลิตภณั ฑท์ อผา้ กลุ่มผลิตภัณฑจ์ ักสาน และกลุ่มผลิตภณั ฑ์จากภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ แตม่ คี วามคิดเห็นดว้ ยเกี่ยวกับภาวะผู้นาเชิงวิสยั ทัศน์ และภาวะผู้นาเชิง ยทุ ธศาสตร์น้อยกวา่ ประชาชนผู้มสี ิทธิ์เลอื กตงั้ เพศชายอาจเป็นเพราะประชาชนผู้มสี ิทธิ์เลอื กตง้ั เพศชาย มอง ความสาเรจ็ ของการบริหารงาน ทกั ษะและความชานาญในการบริหารงานมากกว่าตวั บคุ คลรวมท้ังสามารถนาเอา ความรู้และเทคโนโลยสี มยั ใหมม่ าพัฒนาต่อยอดและประยกุ ตใ์ ห้เหมาะสมกับการพัฒนาทอ้ งถน่ิ ของตน จึงทาให้ ประชาชนผู้มสี ิทธิเลอื กตง้ั เพศหญิง มีความคดิ เห็นด้วยเกีย่ วกับภาวะผู้นารปู แบบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง และภาวะ ผู้นาการเปลีย่ นแปลงทางสงั คมมากกวา่ แตม่ คี วามคิดเห็นดว้ ยเกีย่ วกับภาวะผู้นารปู แบบภาวะผนู้ าเชงิ วสิ ยั ทศั น์ และประชาชนเลอื กตง้ั เพศชาย 2.2 ประชาชนผู้มสี ิทธิเ์ ลอื กตง้ั ที่มอี ายแุ ตกตา่ งกนั มคี วามคิดเหน็ ด้วยเกีย่ วกบั ภาวะผู้นานายองค์การ บริหารส่วนตาบล โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกนั สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ัยของ ธงชยั อุตคา (2553, หนา้ 90-93) ศกึ ษาวจิ ัยเรือ่ ง รูปแบบภาวะผู้นาของนายกองค์การบริหารส่วนตาบลในเขตอาเภอกฉุ ินารายณ์ จงั หวัดกาฬสินธ์ุ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยใชแ้ บบสอบถาม กลุ่มตวั อยา่ ง คือ ประชาชน จานวน 398 คน ข้าราชการผู้ปฏบิ ตั งิ าน จานวน 156 คน และผู้บริหารองคก์ ารบริหารส่วนตาบลในเขตอาเภอกุฉินารายณ์ จานวน 45 คน ผลการวิจยั พบวา่ 1) ผู้บริหารองคก์ ารบริหารส่วนตาบลในเขตอาเภอกุฉินารายณ์ จังหวดั กาฬสินธ์ุ มีภาวะผู้นา โดยรวมและจาแนกเป็น รายดา้ นตามรูปแบบภาวะทั้ง 4 รปู แบบ อยใู่ นระดบั ปานกลาง ประกอบด้วย รูปแบบสนับสนนุ รปู แบบมงุ่ มน่ั ความสาเร็จของงาน รปู แบบใหม้ สี ่วนร่วมและรูปแบบส่งการ 2) รปู แบบภาวะผู้นาของนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ตามความคิดเห็นของประชาชน ข้าราชการ และผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตาบล ที่มีเพศ อายุและระดับการศึกษา แตกตา่ งกนั พบวา่ โดยรวมและจาแนกเปน็ รายดา้ นตามรูปแบบภาวะผู้นา ทงั้ 4 แบบ ไมแ่ ตกตา่ งกนั ผลการศึกษา ปรากฏเช่นน้อี าจเป็นเพราะเหน็ วา่ ประชาชนมองวา่ นายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบลคอื บคุ คลท่อี ยู่ในเขตพ้นื ที่ มองเห็น ปญั หาและความต้องการของกลุ่มอายแุ ตล่ ะชว่ งวยั ได้หมดแลว้ จึงมคี วามคิดเหน็ ไม่แตกต่างตอ่ ภาวะผู้นานายก องคก์ ารบริหารส่วนตาบล 2.3 ประชาชนผู้มสี ิทธิ์เลอื กตง้ั ทีม่ ีระดับการศกึ ษาแตกต่างกนั มคี วามคิดเห็นดว้ ยเกี่ยวกบั ภาวะผู้นา ของนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบล รายรปู แบบ 2 รปู แบบ คือ ภาวะผู้นาเชิงวิสัยทศั น์และภาวะผู้นาเชิงยทุ ธศาสตร์ แตกตา่ งกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .01 ผลการศึกษาปรากฏเช่นนีอ้ าจเปน็ เพราะเห็นวา่ การกาหนดนโยบาย

194 ขององค์การบริหารส่วนตาบลเป็นเรื่องที่ประชาชนไม่เข้าใจในนโยบายที่องค์การบริหารส่วนตาบล กาหนดขนึ้ เพอ่ื ใช้ ในการบริหารองคก์ ารบริหารส่วนตาบล การรับรู้การทางานของนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ความโปร่งใสในการ บริหารงาน จึงทาให้ประชาชนไมเ่ ข้าใจในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตาบลหรือไมเ่ ข้าไปตรวจสอบการ บริหารงานขององค์การบริหารส่วนตาบลเพยี งแต่ได้รับประโยชนจ์ ากนโยบายขององคก์ ารบริหารส่วนตาบล บางประการก็เปน็ ที่พอใจของประชาชน และเห็นวา่ การกาหนดทิศทางของการบริหารพร้อมกับการกาหนดแนวทาง การพฒั นาท้องถิน่ ซึ่งเรียกว่าแผนพัฒนาทอ้ งถ่นิ นัน่ เป็นส่งิ ทีป่ ระชาชนยากทีจ่ ะทาให้เข้าใจรวมทั้งการวเิ คราะห์จุดอ่อน จุดแขง็ ของท้องถิ่น การจดั สรรงบประมาณให้ประชาชนผู้มสี ิทธิเ์ ลอื กตงั้ ทีม่ ีระดับการศกึ ษาประถมศึกษา ไมส่ ามารถทราบได้วา่ ควรเป็นอยา่ งไร และควรจดั สรรอย่างไรเพ่อื ให้เกิดประโยชนส์ ูงแก่ท้องถนิ่ และประชาชน 2.4 ประชาชนผู้มสี ิทธิเ์ ลอื กตง้ั ที่มรี ายได้แตกตา่ งกนั มีความคิดเห็นดว้ ยเกี่ยวกับภาวะผู้นานายก องคก์ ารบริหารส่วนตาบล คือ ภาวะผู้นาเชิงศรทั ธาบารมี และภาวะผู้นาเชิงยทุ ธศาสตร์ แตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสาคัญ ทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05 ผลการศกึ ษาปรากฏเช่นน้ี อาจเป็นเพราะประชาชนเห็นว่าการที่นายกองคก์ ารบริหาร ส่วนตาบลมีความรู้จกั คุ้นเคยการทากิจกรรมตามขนบธรรมเนยี มประเพณีร่วมกนั การแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดสามารถ พ่งึ ตนเองได้มคี วามเสียสละในการช่วยเหลอื และสามารถทาใหป้ ระชาชนเข้ามามสี ่วนร่วมในการพัฒนาทอ้ งถ่นิ สนับสนนุ ให้หมบู่ ้านในท้องถิ่นเกดิ ความรู้สมัยใหม่เพอ่ื ใชใ้ นการประกอบอาชพี ทาให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจในการ บริหารท้องถิ่นของนายกองค์การบริหารส่วนตาบล และการปฏบิ ัตติ นทีเ่ ป็นแบบอย่างที่ดดี ้านคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ในการดารงชีวิต การปฏบิ ัตติ นที่เหมาะสมและดีงาม 2.5 ประชาชนผู้มสี ิทธิเ์ ลอื กตงั้ ทีม่ ีอาชพี แตกต่างกัน มคี วามคิดเห็นดว้ ยเกี่ยวกับภาวะผู้นาของนายก องคก์ ารบริหารส่วนตาบล คือ ภาวะผู้นาเชิงศรัทธาบารมี ภาวะผู้นาเชงิ วสิ ยั ทศั น์ และภาวะผู้นาเชิงยุทธศาสตร์ แตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาปรากฏเช่นน้ี อาจเป็นเพราะประชาชนเห็นว่า การกาหนดนโยบายขององคก์ ารบริหารส่วนตาบลเป็นเรือ่ งที่ประชาชนเข้าใจในนโยบายทีอ่ งคก์ ารบริหารส่วนตาบล กาหนดขึน้ เพ่อื ใชใ้ นการบริหารองคก์ ารบริหารส่วนตาบล การรับรู้การงานของนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบล การนาเอาเทคโนโลยมี าพัฒนาท้องถิ่น ความโปร่งใสในการบริหารของนายกองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลได้รับประโยชน์ จากนโยบายขององคก์ ารบริหารส่วนตาบลบางประการก็เป็นที่พอใจของประชาชน และเหน็ วา่ การกาหนดทิศทาง ของการบริหารพร้อมกับการกาหนดแนวทางการพฒั นาทอ้ งถน่ิ ซึ่งเรียกว่าแผนพฒั นาทอ้ งถ่นิ นนั้ เป็นเรื่องทีส่ ามารถ ทาความเขา้ ใจได้ รวมท้ังการวเิ คราะห์จดุ อ่อน จุดแขง็ ของท้องถิ่น การจัดสรรงบประมาณทป่ี ระชาชนผู้มสี ิทธิ์เลอื กตง้ั ที่ประกอบอาชพี ของราชการ/พนกั งานและลกู จ้างของรัฐสามารถทราบได้วา่ ควรเปน็ อยา่ งไรและความจดั สรรอย่างไร เพ่อื ให้เกิดประโยชนส์ งู สดุ แกท่ ้องถิน่ ข้อเสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้ 1.1 นายกองค์การบริหารส่วนตาบลควรมคี วามสามารถในการตดั สนิ ใจทีร่ วดเรว็ ทนั ต่อสถานการณ์ ส่อื สารและกระตนุ้ ให้ประชาชนเข้ามามสี ่วนร่วมในการพัฒนาทอ้ งถ่นิ ได้ 1.2 นายกองค์การบริหารส่วนตาบลควรให้ความสาคญั ต่อการกาหนดนโยบาย ควรรับฟังความคิดเห็น ของประชาชนอยา่ งเหมาะสมและสามารถใชท้ รัพยากรที่มีอยใู่ นท้องถิ่นทีเ่ กิดประโยชนแ์ ก่ประชาชนได้ 1.3 นายกองค์การบริหารส่วนตาบลควรกาหนดนโยบายทีป่ ฏบิ ตั ใิ ห้เปน็ จริงได้ในระยะยาว และกาหนด แผนกลยทุ ธ์ทีส่ อดคล้องกบั นโยบายหลักทางทอ้ งถน่ิ เชน่ แผนพัฒนาฯ 3 ปี

195 1.4 นายกองค์การบริหารส่วนตาบลสามารถปฏิบัตติ ามนโยบาย สนบั สนนุ ส่งเสริมการประกอบวิชาชพี ให้กับประชาชนท้องถิ่น 2. ขอ้ เสนอแนะสาหรับการทาวิจัย ครัง้ ต่อไป 2.1 ควรศกึ ษาวจิ ัยวจิ ยั หาประสิทธิภาพภาวะผู้นาของนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบล วา่ สามารถ นามาใชใ้ นการพฒั นาภาวะผู้นาของนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบล ได้จริงและมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสงู สุด อย่างตอ่ เน่อื งต่อเนอ่ื ง 2.2 ควรศกึ ษาวจิ ัยเกี่ยวกับการพัฒนารปู แบบภาวะผู้นาของนายกองค์การบริหารส่วนตาบล เพอ่ื เป็นการ สร้างความพร้อมท้ังดา้ นความรคู้ วามเข้าใจ ทกั ษะและเจตคตทิ ดี่ ีในการบริหารและจัดการกิจการสถานะในดา้ นตา่ งๆ เอกสารอา้ งองิ ขวญั ลภา ยนิ ดสี ขุ . (2554). คณุ ลักษณะของนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบลที่พึงประสงค์ของประชาชนในเขตพ้นื ที่ อาเภอพนัสนคิ ม จังหวดั ชลบุรี. ปริญญา รม.ชลบุรี : มหาวทิ ยาลยั บรู พา. จิรายุทธ พทุ ธศรี. (2551). คุณลักษณะของนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบลทีป่ ระชาชนต้องการ กรณศี กึ ษา องคก์ ารบริหารส่วนตาบลในเขต อาเภอเมอื ง จงั หวัดนครศรีธรรมราช. ปริญญา รป.ม. ขอนแก่น: มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. ธงชยั อตุ คา. (2553). รูปแบบภาวะผู้นาของนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบลในเขตอาเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ. วทิ ยานพิ นธ์ รป.ม. มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม. อภิชาต สถิตนริ ามัย. (2555). รฐั ธรรมนญู การกระจายอานาจ และการมสี วนร่วมของประชาชน. เชยี งใหม: แผนงานสรางเสริมนโยบายสาธารณะทีด่ สี ถาบันศกึ ษานโยบาย สาธารณะ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม. อานวย วงศจ์ ันทร์. (2553). ภาวะผู้นาของนายกองค์การบริหารส่วนตาบลตามความตอ้ งการของประชาชน ในตาบลแมส่ ูน อาเภอฝาง จังหวัดเชยี งใหม่. ปริญญา รป.ม. เชียงใหม่ : มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. Yamane, Taro. (1973). Statistics: An Introductory Analysis. Third editio. Newyork : Harper and Row Publication.

196 ความสมั พันธร์ ะหว่างภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบคุ ลากร กบั แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน บ้านพกั เด็กและครอบครัวในเขตพื้นทภ่ี าคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนบน 1 The Relationship between Transformational Leadership of Personnel and Work Motivation the Houses for Children and Family of Upper Northeastern Region 1 ปฐมาพนั ธุ์ หนั จางสิทธิ์* ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ชาติชัย อุดมกิจมงคล** รองศาสตราจารย์ ดร.จิตติ กิตติเลิศไพศาล*** บทคดั ย่อ การวจิ ัยคร้ังนมี้ วี ตั ถุประสงค์เพอ่ื 1) ศกึ ษาระดับภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบคุ ลากร 2) ศึกษาระดับ แรงจงู ใจในการปฏบิ ัตงิ าน 3) ศกึ ษาความสมั พนั ธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลีย่ นของบคุ ลากรกบั แรงจงู ใจในการ ปฏบิ ตั งิ าน และ 4) ศกึ ษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของบคุ ลากร กับแรงจงู ใจในการปฏบิ ตั งิ าน กลุ่มตวั อยา่ งท่ใี ชใ้ นการวิจยั คือ บุคลากรบ้านพกั เด็กและครอบครวั ในเขตพ้นื ทีภ่ าคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 จานวน 75 คน โดยใชแ้ บบสอบถามเป็นเครอ่ื งมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ได้คา่ ความเชอ่ื มั่นท้ังฉบับ เท่ากบั .72 และสถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ ค่าความถี่ คา่ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์ สหสมั พันธ์อยา่ งง่ายของเพยี รสัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) ผลการวจิ ัย พบวา่ 1. ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบคุ ลากรบ้านพักเด็กและครอบครัว โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก ทกุ ด้าน ( X = 4.04) 2. แรงจูงใจในการปฏบิ ตั งิ านของบคุ ลากรบ้านพักเดก็ และครอบครัว โดยภาพรวมอยใู่ นระดับมาก ทกุ ด้าน ( X = 3.99) 3. ความสัมพนั ธ์ระหว่างภาวะผนู้ าการเปลีย่ นแปลงกับแรงจูงใจในการปฏบิ ัตงิ านของบคุ ลากร ในภาพรวม อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 โดยมีความสมั พันธ์กันในระดับสงู และมีความสมั พันธ์ทางบวก (r = 0.68) 4. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบุคลากรบ้านพักเด็กและครอบครวั ในเขตพ้ืนทีภ่ าค ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 ด้านการกระตนุ้ ทางปัญญา ควรกาหนดวธิ ีการกระตุ้นให้บุคลากรเกิดการตื่นตวั และ ตระหนกั กับปัญหาการทางานและปญั หาสังคมที่เกิดข้ึน รวมทั้งควรสนบั สนนุ ให้มีแนวทางใหมๆ่ ในการแกป้ ัญหา ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ผู้บริหารควรร่วมกันชื่นชมยนิ ดอี ย่างจรงิ ใจ เมอ่ื บุคลากรปฏบิ ัตหิ นา้ ทีส่ าคัญๆ ได้สาเรจ็ ควรช้แี จงให้ผู้ร่วมงานให้ได้ทราบกบั ความมุ่งหวงั ทีจ่ ะได้รบั สนบั สนนุ ให้ผู้ร่วมงานปฏบิ ัตติ นตามกฏระเบียบอย่าง เครง่ ครัดและพยายามดูแลใหผ้ รู้ ่วมงานประสานสามคั คีกัน ด้านแรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธิ์ ควรเปิดโอกาสให้บุคลากรได้คิด วา่ ปฏิบตั งิ านตามความคิดตนเอง เพม่ิ ความรบั ผิดชอบในการปฏบิ ตั งิ านทีท่ ้าทายความสามารถ คาสาคญั : ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง,แรงจงู ใจในการปฏิบัตงิ าน * รฐั ประศาสนศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร ** ประธานกรรมการบรหิ ารหลกั สูตรรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร *** คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร

197 ABSTRACT The objectives of this study were: 1) to investigate a degree of transformational leadership of, 2) to examine a degree of work motivation, 3) to examine the relationship between transformational leadership and work motivation, and 4) to explore guidelines for developing transformational leadership and work motivation of personnel. A sample used in study was 75 personnel in the Houses for Children and Families of Upper Northeastern Region 1. The instrument used in data collection was a ret of questionnaire, which had the entire reliability coefficient of .72. Statistics used in data analysis were frequency, percentage, percentage, mean, standard deviation, and Pearson’s product moment correlation coefficient. Findings of the study revealed as follows: 1. The overall transformational leadership of personnel in the Houses for Children and Families was at a high level ( X = 4.04). 2. The overall work motivation of personnel in the Houses for Children and Families was at a high level ( X = 3.99). 3. Transformational leadership had positively high relationship with work motivation of personnel of the Houses for Children and Families of Upper Northeastern Region 1 at the .05 level of significance (r = 0.68). 4. The guidelines for developing transformational leadership of personnel in the Houses for Children and Families of Upper Northeastern Region 1 weve as follows : Intellectual stimulation aspect, the guidelines for personnel to become active and aware of their work and social problems should be determined. New approaches should also be encouraged in problem solution. Inspiration aspect, Administrators should sincerely rejoice, when the personnel weve success in performing an important function. Co-workers should be informed about their inspirations. Co-workers are to be encouraged to harmonize each other. Achievement motive aspect. Personnel should be allowed to use their creativity and to take responsibility for their challenging work. Keywords: Transformational Leadership, Work Motivation ภูมหิ ลงั ภายใตบ้ ริบทการเปลี่ยนแปลงในกระแสโลกาภิวตั นท์ ี่มีการปรบั เปลี่ยนอยา่ งรวดเร็วและซับซ้อนทั้งดา้ น สภาพแวดลอ้ มทางสงั คมเศรษฐกิจการเมอื งและความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตร์รวมถึงการปฏวิ ัตทิ างด้านเทคโนโลยี อนั เน่อื งจากการความลา้ สมัยในดา้ นเทคโนโลยกี ารสอ่ื สารดาวเทียม และคอมพวิ เตอร์ ส่งผลให้เกิดการสร้างสรรค์ สังคมเศรษฐกิจใหม่ เกิดอารยธรรมใหม่ มกี ารเปลี่ยนแปลงในระบบอตุ สาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม การเมอื งโลก ประเทศไทยเองเปิดรับระบบการพัฒนาแบบโลกาภิวตั น์ มีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็วเชน่ เดียวกบั นานาประเทศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมไทยสปู่ ระชาคมอาเซียน ตอ้ งมีการปรบั เปลี่ยนทศั นคติที่นาไปสู่การเปลี่ยนแปลง ในระบบมาตรฐานและคณุ ภาพท้ังภายในและภายนอก การจดั องคก์ รสมัยใหม่ (Bureaucratization) ตอ้ งมีการ ปรับเปลี่ยนวธิ ีการบริหารงานให้กระชบั และรวดเรว็ ทัน ตอ่ สถานการณท์ ี่เปลี่ยนแปลง เนน้ คณุ ภาพและประสิทธิภาพ ของระบบงาน ระบบบคุ คล รวมถึงระบบองคก์ รต้องมคี วามสัมพนั ธ์และสอดคลอ้ งกัน (ภณ ใจสมัคร, 2555, หนา้ 3) จากการเปลีย่ นแปลงของปจั จยั แวดลอ้ มดงั กล่าวประเทศไทยได้มกี ารปฏริ ปู และพฒั นาระบบงานในด้าน ตา่ งๆ โดยเฉพาะการปฏริ ปู ระบบราชการ เพ่อื ตอบสนองนโยบายภาครัฐ ซงึ่ มวี ัตถุประสงค์ใหภ้ าครัฐสามารถ

198 นาบริการทีด่ สี ู่ประชาชน มรี ะบบการทางานและมีเจ้าหนา้ ทท่ี ี่ทางานอย่างมปี ระสิทธิภาพและประสิทธิผลภายใต้ การปรบั ปรงุ โครงสร้างขององค์กรให้มขี นาดเล็กลงรวมถึงการใชท้ รัพยากรที่มีอยอู่ ย่างคุ้มคา่ และได้ประโยชนส์ งู สุด จากแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ที่เนน้ คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา โดยมุ่งเนน้ พัฒนาศกั ยภาพและขีดความสามารถของบคุ ลากรทกุ ระดับสังคมปจั จบุ ัน อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคม ทีใ่ ห้ความสาคญั กบั สารสนเทศและเทคโนโลยสี ารสนเทศ หรือสังคมทีม่ ีสารสนเทศเป็นฐาน มาเป็นสังคมที่ให้ ความสาคัญกบั ความรู้คอื มีความรู้เปน็ ฐานทเ่ี รียกว่า “สังคมฐานความรู้” นั่นคือ การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ที่เคยมี ลักษณะของสารสนเทศ คือ อานาจ มาเป็น “ความรู้คอื อานาจ” (อัญญาณี คลา้ ยสบุ รรณ์, 2550, หนา้ 1) การที่บคุ คลจะปฏบิ ัตงิ านได้อยา่ งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลนน้ั ข้ึนอยู่กับองคป์ ระกอบหลายประการ เชน่ ด้านความรู้ ความสามารถ จรยิ ธรรมและคุณธรรม นอกจากน้ยี งั มอี งคป์ ระกอบที่สาคัญอย่างยิง่ อีกอย่างหน่งึ ก็คือ แรงจงู ใจในการปฏบิ ัตงิ านของบคุ ลากร ดงั น้ันผู้บริหารองค์กรจะต้องรู้จักวิธีสร้างแรงจูงใจให้แกบ่ คุ คลในองค์กร เพ่อื การโนม้ นา้ วจิตใจของบคุ คลให้เกิดความรกั ความผกู พัน ร่วมมอื ร่วมใจกันปฏบิ ตั งิ านดว้ ยความเตม็ ใจ ทุ่มเท ความรู้ ความสามารถที่มีอยใู่ หก้ ับงานในหน้าที่อยา่ งจริงจังใหบ้ ุคลากรได้ตระหนักถึงคณุ ค่าของตนที่มีต่อหนว่ ยงาน และความรับผิดชอบที่ตนเอง มตี อ่ งานในหน้าที่ จึงกล่าวได้ว่าแรงจูงใจในการปฏบิ ตั งิ านของบคุ คลในองค์กรมผี ลตอ่ ความสาเรจ็ ของงานหากบคุ ลากรในองคก์ ารไม่มแี รงจงู ใจในการปฏบิ ตั งิ านกจ็ ะเป็นมูลเหตุทีท่ าให้ขาดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการปฏบิ ัตงิ าน ดังนน้ั การเสริมสร้างแรงจงู ใจในการปฏบิ ตั งิ านจะช่วยให้เกิดประโยชนต์ อ่ การ ปฏบิ ตั งิ านของบุคคลกรในองคก์ รหลายประการ คือ มีความสนใจ ศรทั ธา และเชอ่ื ม่นั หน่วยงาน มคี วามกระตอื รือร้น ในการปฏบิ ตั งิ านให้ความร่วมมอื ต่อผู้บังคบั บญั ชา มีความเสียสละ และรบั มอบหมายงานอยา่ งเต็มความสามารถ (วราภรณ์ คาเพชรดี, 2552, หนา้ 15) บ้านพกั เดก็ และครอบครวั เป็นหน่วยงานราชการในสงั กัด กองคุ้มครองเดก็ และเยาวชน กรมกจิ การเดก็ และเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่นั คงของมนษุ ย์ เป็นหน่วยงานภาครัฐท่เี ปิดให้บริการ 24 ชว่ั โมง ผ่านช่องทางการรับเรือ่ งที่หมายเลขหนว่ ยงานและหมายเลขโทรศัพท์สายด่วน ศูนยป์ ระชาบดี 1300 ที่มีบทบาท ภารกิจในการให้บริการสวสั ดกิ ารสังคม การสังคมสงเคราะห์แก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้คนไร้ทีพ่ ึ่ง ผู้ประสบปัญหา ทางสงั คมโดยการชว่ ยเหลอื และแก้ไขปญั หาในรปู แบบของสถานสงเคราะห์ และการประสานงานส่งต่อหนว่ ยงาน ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งการส่งเสริม สนับสนุนให้ชมุ ชนและท้องถิน่ จัดสวสั ดกิ ารสงั คม เพอ่ื ใหก้ ลุ่มเป้าหมายทีม่ ีปญั หา ทางสงั คมสามารถดารงชีวิต และพึ่งตนเองได้อยา่ งมีศักดิศ์ รี (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนษุ ย,์ 2545, อัดสาเนา) ปจั จบุ นั บา้ นพักเด็กและครอบครัวหลายแห่งกาลงั ประสบปัญหาเกี่ยวกบั การขาดความกระตอื รือร้นในการ ปฏบิ ัตงิ านของทั้งผู้บริหาร และบคุ ลากรที่เกีย่ วข้อง ขาดความสามคั คี ผลงานไมก่ ้าวหนา้ เปน็ ต้น ทาให้คณุ ภาพของ การปฏบิ ตั งิ านไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควร (กรมพฒั นาสงั คมและสวัสดกิ าร, 2556, อัดสาเนา) บคุ ลากรมปี ัญหา ด้านสภาพแวดลอ้ มทีถ่ ูกสุขลกั ษณะ เนือ่ งจากบคุ ลากรในสภาพแวดลอ้ มที่ไม่เหมาะสม แออดั ไมส่ ะดวกตอ่ ในการปฏบิ ตั งิ านทางาน เพราะสานกั งานเป็นบ้านเชา่ ที่แบ่งสดั ส่วนเป็นสานกั งาน และทพ่ี ักอาศัยของผู้รับบริการ (กรมพฒั นาสังคมและสวสั ดกิ าร, 2557, อดั สาเนา) บุคลากรมคี วามเสีย่ งด้านสิ่งแวดลอ้ ม ความปลอดภัยและสภาพ การทางาน เน่อื งจากงานมลี กั ษณะท่ตี อ้ งดาเนินการลงพนื้ ที่ใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผู้ประสบปัญหาทางสังคมตลอด 24 ชวั่ โมง เชน่ การแยกเดก็ หรือเยาวชน ออกจากความดแู ลของผู้ปกครองในกรณีเร่งดว่ น เพ่อื รบั เด็กและเยาวชน เข้ารับการคุ้มครองสวสั ดภิ าพ เปน็ การช่วั คราว ตามพระราชบัญญัติคมุ้ ครองเดก็ พ.ศ. 2546 หรือการคดั แยก ผู้เสียหาย จากการค้ามนษุ ย์ พระราชบญั ญตั ิการป้องกันและปราบปรามการค้ามนษุ ย์ พ.ศ. 2551 และการเข้าไป ไกล่เกลีย่ หรอื ให้ความชว่ ยเหลอื ผู้ถกู กระทาความรุนแรงในครอบครัว ตามพระราชบญั ญัติคมุ้ ครองผู้ถูกกระทาความ

199 รนุ แรงในครอบครวั พ.ศ. 2550 (บ้านพกั เดก็ และครอบครวั จังหวัดนครราชสมี า, 2557, กรมพฒั นาสังคมและ สวัสดกิ าร, 2557) นอกจากนี้ มพี ระราชบญั ญัติเพม่ิ เตมิ ได้แก่ พระราชบัญญตั ิส่งเสริมการพฒั นาเด็กและเยาวชน แห่งชาติ พ.ศ. 2550 และทีแ่ กไ้ ขเพ่มิ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2560 พระราชบญั ญตั ิการป้องกนั และแก้ไขปญั หา การตง้ั ครรภใ์ นวยั รุ่น พ.ศ. 2559 และพระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็กท่เี กิดโดยอาศยั เทคโนโลยชี ว่ ยการเจรญิ พันธ์ุ ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ด้วยเหตนุ ผี้ ู้วิจยั จึงมคี วามสนใจศกึ ษา “ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของบุคลากรกับ แรงจงู ใจในการปฏบิ ัตงิ าน บ้านพักเด็กและครอบครวั เขตพ้นื ทีภ่ าคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1” โดยคาดหวงั วา่ ผลการวจิ ยั จะนาไปใชเ้ ป็นแนวทางในการบริหารจดั การบคุ ลากรให้มีการปฏบิ ัตงิ านอย่างมปี ระสิทธิภาพและ ประสิทธิผล ในอนาคตตอ่ ไป คาถามของการวิจัย 1. ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบุคลากรบ้านพกั เด็กและครอบครวั เขตพ้นื ทีภ่ าคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 อยู่ในระดับใด 2. แรงจงู ใจในการปฏบิ ัตงิ านของบคุ ลากร บ้านพักเดก็ และครอบครวั เขตพ้นื ที่ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 อยู่ในระดับใด 3. ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบุคลากรกับแรงจงู ใจในการปฏบิ ัตงิ าน บ้านพกั เด็กและครอบครัว เขตพ้นื ที่ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 มคี วามสมั พันธ์กันหรือไม่ 4. แนวทางพฒั นาภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของบุคลากรกบั แรงจูงใจในการปฏบิ ัตงิ าน บ้านพักเด็ก และครอบครัว เขตพ้ืนทีภ่ าคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 ควรเป็นอยา่ งไร ความมุ่งหมายของการวิจัย 1. เพ่อื ศึกษาระดบั ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบุคลากร บ้านพกั เดก็ และครอบครัวเขตพ้นื ที่ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 2. เพ่อื ศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏบิ ตั งิ านของบุคลากร บ้านพกั เด็กและครอบครัวเขตพ้นื ที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 3. เพอ่ื ศึกษาความสมั พันธ์ระหวา่ งภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของบุคลากรกบั แรงจงู ใจในการปฏบิ ัตงิ าน บ้านพักเด็กและครอบครวั เขตพ้นื ที่ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือตอนบน 1 4. เพ่อื ศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบคุ ลากรกับแรงจูงใจในการปฏบิ ัตงิ าน บ้านพกั เด็กและครอบครัวเขตพ้นื ทีภ่ าคะวันออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1

200 กรอบแนวคดิ ของการวิจัย ตัวแปรอสิ ระ ตัวแปรตาม (Independent Variable) (Dependent Variable) ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง แรงจงู ใจในการปฏบิ ัตงิ าน 1. การมีอิทธิพลเชงิ อดุ มการณ์ 1. แรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ์ 2. การสร้างแรงบันดาลใจ 2. แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ 3. การกระตนุ้ ทางปญั ญา 3. แรงจงู ใจใฝ่อานาจ 4. การคานึงถึงความเป็นเอกบคุ คล แนวทางการพฒั นาภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของบคุ ลากรกบั แรงจงู ใจในการปฏบิ ตั งิ าน บ้านพกั เด็กและครอบครัว เขตพ้นื ทีภ่ าคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดของการวจิ ยั วิธีดาเนนิ การวิจัย ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง ประชากรกลมุ่ เป้าหมายทีใ่ ชใ้ นการวิจยั คร้ังนี้ ได้แก่ บคุ ลากรบ้านพกั เด็กและครอบครวั เขตพ้นื ทีภ่ าคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวดั เลย จังหวัดหนองบวั ลาภู จังหวดั อดุ รธานี จงั หวดั หนองคาย และจังหวดั บงึ กาฬ ได้แก่ ขา้ ราชการ พนกั งานราชการ ลูกจ้าง จานวน 75 คน เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวิจยั ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบคุ ลากรกบั แรงจงู ใจในการปฏบิ ตั งิ านบ้านพกั เดก็ และครอบครัวเขตพ้นื ที่ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 มลี กั ษณะเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ค่าความเช่อื มนั่ การเกบ็ รวมรวบขอ้ มูล ผู้วิจยั ดาเนินเก็บขอ้ มลู ในการวจิ ยั โดยได้ดาเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลการวจิ ยั ดงั นี้ 1. ทาหนงั สอื ขอความอนุเคราะห์เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากมหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร เพ่อื เก็บ รวบรวมขอ้ มูล 2. ส่งแบบสอบถามไปให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพร้อมชีแ้ จงรายละเอยี ดความมุ่งหมายของการออกแบบ สอบถามนี้ เพือ่ ทาความเขา้ ใจให้ตรงในการตอบแบบสอบถาม 3. ดาเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยผู้วจิ ยั ดาเนนิ การเก็บขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง 4. ตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม

201 สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ ค่าเฉลีย่ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน การทดสอบที (t-test) ชนิด Independent Samples การทดสอบเอฟ (F-test) การวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOWA) และค่าสมั ประสิทธิ์สหสมั พนั ธ์อยา่ งง่ายของเพยี ร์สนั (Pearson Product-Moment Correlation Coefficient) สรปุ ผลการวิจัย 1. ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของบุคลากรบ้านพักเด็กและครอบครวั ในเขตพ้นื ทีภ่ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 โดยภาพรวมอยใู่ นระดับมากทุกด้าน ( X = 4.04) มคี ่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.02-4.08 เม่อื พิจารณา รายดา้ น พบว่า ด้านทีม่ ีคา่ เฉล่ยี มากท่สี ุด คือ ดา้ นการคานึงถึงความเปน็ ปัจเจกบคุ คล ( X = 4.08) มภี าวะผู้นา การเปลีย่ นแปลง อยู่ในระดบั มาก รองลงมา คือ ด้านการมอี ทิ ธิพลเชงิ อดุ มการณ์ ( X = 4.05) มภี าวะผู้นาการ เปลี่ยนแปลงอยใู่ นระดับมาก ส่วนดา้ นที่มีคา่ เฉลย่ี น้อยทีส่ ุด คือ ด้านการกระตนุ้ ทางปญั ญา ( X = 4.02) มีภาวะผู้นา การเปลีย่ นแปลงอยใู่ นระดบั มาก ตามลาดบั 2. แรงจงู ใจในการปฏบิ ัตงิ านของบุคลากรบ้านพักเดก็ และครอบครวั ในเขตพ้นื ทีภ่ าคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 โดยภาพรวมอยรู่ ะดับมากทกุ ด้าน ( X = 3.99) มีค่าเฉลีย่ อยู่ระหว่าง 3.92-4.10 เมอื่ พิจารณารายดา้ น พบวา่ ด้านทีม่ ีคา่ เฉลย่ี มากท่สี ุด คือ ด้านแรงจงู ใจใฝ่สัมพันธ์ ( X = 4.10) มีความผกู พนั ต่อองคก์ ารในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านแรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ์ ( X = 3.96) และด้านที่มีคา่ เฉลย่ี น้อยทีส่ ุด คือ ด้านแรงจงู ใจใฝ่อานาจ ( X = 3.92) มแี รงจูงใจในการปฏบิ ตั งิ านในระดับมาก ตามลาดับ 3. ความสัมพนั ธ์ระหว่างภาวะผนู้ าการเปลีย่ นแปลง (X) มคี วามสมั พันธ์กับแรงจูงใจในการปฏบิ ัตงิ าน โดยภาพรวม (Y) ของของบุคลากรบ้านพักเดก็ และครอบครวั เขตพ้ืนที่ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 ในภาพรวม อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีความสมั พนั ธ์กนั ในระดบั สงู และมคี วามสมั พนั ธ์ทางบวก (r = .68) อภปิ รายผลการวิจยั 1. จากผลการวจิ ัย พบวา่ ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของบคุ ลากรบ้านพักเดก็ และครอบครวั เขตพ้ืนที่ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 โดยภาพรวมอยใู่ นระดับมากทกุ ดา้ น ด้านการคานึงถึงความเปน็ ปจั เจกบคุ คล ด้านการมอี ทิ ธิพลเชงิ อดุ มการณ์ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และด้านการกระตนุ้ ทางปัญญา ( X = 4.02) มภี าวะผู้นา การเปลี่ยนแปลงอยใู่ นระดบั มาก แสดงให้เหน็ ว่า บุคลากรบ้านพกั เด็กและครอบครัวเขตพ้นื ที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 มภี าวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงทีด่ ี ซึ่งผลการวจิ ยั ในครง้ั น้ี สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ัยของ ณฐั ฌานนั ท์ เรือนดาหลวง (2551, บทคดั ยอ่ ) ได้ศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงในผู้บริหารสถานศกึ ษา ของผู้บริหาร ครูและคณะกรรมการสถานศึกษา สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาสิงหบ์ ุรี พบวา่ 1) พฤติกรรมภาวะ ผู้นาการเปลี่ยนแปลงในผู้บริหารสถานศกึ ษาของผู้บริหาร ครแู ละคณะกรรมการสถานศกึ ษา สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ที่ การศึกษาสิงหบ์ ุรี ภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก เมอ่ื พิจารณาแต่ละด้าน มพี ฤตกิ รรมภาวะผู้นาในระดับมากทีส่ ดุ ในด้าน การมอี ทิ ธิพลอย่างมอี ุดมการณ์ และระดบั พฤติกรรมภาวะผู้นาฝนระดบั มากในดา้ นการสร้างแรงบันดาลใจ ด้านการ กระตนุ้ ปญั ญา และดา้ นการคานงึ ถึงความเป็นปจั เจกบุคคล 2) ค่าเฉลีย่ ระดบั ของพฤติกรรมภาวะผู้นาการ เปลี่ยนแปลงในผู้บริหารสถานศกึ ษาของผู้บริหาร ครู และคณะกรรมการสถานศึกษา สังกดั สานักงานเขตพ้นื ที่ การศึกษาสิงหบ์ ุรีไม่แตกต่างกนั เมอ่ื จาแนกตามเพศและระดับการศึกษา แตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สาคัญ

202 ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 3) ค่าเฉลยี่ ระดับของพฤตกิ รรมภาวะผู้นาในผู้บริหารสถานศกึ ษาของผู้บริหาร ครู และคณะกรรมการสถานศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาสิงหบ์ รุ ี พบวา่ ไมแ่ ตกตา่ งกนั เมอ่ื จาแนกตามอายุ แตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .05 รวมท้ังสอดคล้องกบั งานวิจยั ของ อมิตา วงั แก้วหริ ัญ (2553, บทคัดยอ่ ) ได้ศึกษาอานาจพยากรณข์ องการรับรู้ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงและกลวิธีการจัดการปัญหาท่มี ตี อ่ คณุ ภาพชีวิตการทางานของพนกั งานกลุ่มสานกั งานในโรงงานอตุ สาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จงั หวัดลาพนู ผลการวจิ ัย พบวา่ 1) พนักงานกลุ่มสานกั งานมกี ารรับรู้ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงโดยรวมอยใู่ นระดับสูง กลวธิ ีการจัดการปัญหา แบบมงุ่ แก้ปัญหาอยู่ในระดบั สูง กลวิธีการจัดการปัญหาแบบมงุ่ ปรบั อารมณอ์ ยู่ในระดับต่าและคุณภาพชวี ติ การ ทางานโดยรวมอยใู่ นระดับดี 2) การรับรู้ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงมอี านาจพยากรณ์คุณภาพชวี ติ การทางานของ พนักงานกลุ่มสานกั งานได้อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติ 3) กลวธิ ีการจดั การแบบมุ่งแก้ปัญหามีอานาจพยากรณ์คุณภาพ ชวี ติ การทางานของพนักงานกลม่ สานกั งานได้อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติ 2. จากผลการวจิ ยั พบวา่ แรงจงู ใจในการปฏบิ ตั งิ านของบคุ ลากรบ้านพักเดก็ และครอบครวั เขตพ้ืนที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 โดยภาพรวมอยรู่ ะดับมากทกุ ด้าน ( X = 3.99) มคี ่าเฉลี่ยอยรู่ ะหว่าง 3.92-4.10 เมอ่ื พิจารณารายดา้ น พบว่า ดา้ นที่มีคา่ เฉล่ยี มากทีส่ ุด คือ ด้านแรงจงู ใจใฝ่สมั พันธ์ ( X = 4.10) มีความผกู พนั ตอ่ องคก์ ารในระดบั มาก รองลงมา คือ ด้านแรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธิ์ ( X = 3.96) และด้านทีม่ ีคา่ เฉลย่ี น้อยที่สุด คือ ด้านแรงจูงใจใฝ่อานาจ ( X = 3.92) มแี รงจูงใจในการปฏบิ ัตงิ าน ในระดบั มาก สอดคล้องกับงานวจิ ัยของ อมรรัตน์ เทพพทิ ักษ์ (2552, บทคัดยอ่ ) ได้ศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงกบั แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของ เจ้าหนา้ ทก่ี รมการค้าภายใน กระทรวงพาณชิ ย์ ผลการวจิ ัยพบวา่ ระดบั ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงท้ัง 4 ด้าน และระดบั แรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธิข์ องเจ้าหนา้ ทก่ี รมการค้าภายใน กระทรวงพาณชิ ย์ ทั้ง 5 ดา้ น อยใู่ นระดบั สูง เม่อื พิจารณาผลการวจิ ัยรายดา้ นของภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง พบวา่ ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงทางด้าน การสร้าง บารมี การคานึงถึงความเปน็ ปัจเจกบุคคลการกระตุ้นปญั ญา อยู่ในระดบั สูง และการสร้างแรงบนั ดาลใจอยู่ในระดับ ปานกลาง ส่วนผลการวจิ ยั รายด้านของระดบั แรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ์ พบวา่ แรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธิท์ างด้าน ความมุ่งมัน่ พยายาม การรู้จักวางแผนงาน ความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง ความกระตอื รือร้น อยใู่ นระดบั สูง ส่วนความกล้าเสีย่ ง อยู่ในระดับปานกลาง การศึกษาวิจัยพบวา่ ความแตกต่างของปจั จัยสว่ นบุคคล คือ อายุ ระดบั เงินเดอื น ระยะเวลา ในการปฏบิ ัตงิ านทีแ่ ตกต่างกนั ส่งผลตอ่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิท์ ี่ไมแ่ ตกตา่ งกนั แตค่ วามแตกตา่ งของปัจจยั สว่ นบคุ คล ทางด้าน สถานภาพในหน่วยงานระหว่างข้าราชการระดับ 3 และข้าราชการระดับ 4 มผี ลตอ่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ที่แตกต่างกันอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติ การศึกษาพบวา่ ภาวะผนู้ าการเปลีย่ นแปลงมคี วามสมั พนั ธ์เชงิ บวกกับ แรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธิ์โดยมรี ะดับความสมั พันธ์อยใู่ นระดับคอ่ นข้างมาก ค่าความสมั พนั ธ์อยทู่ ี่ 0.788 3. จากผลการวจิ ัย พบวา่ ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง (X) มคี วามสัมพนั ธ์กบั แรงจูงใจในการปฏบิ ตั งิ าน โดยภาพรวม (Y) ของของบคุ ลากรบ้านพกั เดก็ และครอบครวั เขตพ้ืนที่ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 ในภาพรวม อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .05 โดยมีความสมั พันธ์กันในระดบั สูง และมีความสมั พนั ธ์ทางบวก (r = .68) สอดคล้องกบั งานวิจัยของ อมรรัตน์ เทพพทิ ักษ์ (2552, บทคัดยอ่ ) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นา การเปลี่ยนแปลงกบั แรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธิ์ของเจ้าหนา้ ท่กี รมการคา้ ภายใน กระทรวงพาณชิ ย์ ผลการวจิ ยั พบวา่ ระดบั ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงท้ัง 4 ด้าน และระดับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของเจ้าหนา้ ท่กี รมการค้าภายใน กระทรวงพาณชิ ย์ ทั้ง 5 ด้าน อยใู่ นระดบั สงู เม่อื พจิ ารณาผลการวจิ ัยรายดา้ นของภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลง พบวา่ ภาวะผู้นาการ เปลีย่ นแปลงทางด้านการสร้างบารมี การคานึงถึงความเปน็ ปัจเจกบุคคล การกระตนุ้ ปัญญา อยู่ในระดบั สูง และการ สร้างแรงบันดาลใจอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนผลการวจิ ยั รายด้านของระดบั แรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธิ์ พบวา่ แรงจูงใจ ใฝ่สมั ฤทธิ์ทางด้าน ความมงุ่ ม่นั พยายาม การรู้จักวางแผนงาน ความรับผิดชอบตอ่ ตนเอง ความกระตอื รือร้น

203 อยู่ในระดับสงู ส่วนความกลา้ เสี่ยงอยู่ในระดบั ปานกลาง การศกึ ษาวจิ ยั พบวา่ ความแตกต่างของปจั จยั สว่ นบคุ คล คือ อายุ ระดับเงินเดอื น ระยะเวลาในการปฏบิ ัตงิ านที่แตกต่างกัน สง่ ผลตอ่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ที่ไมแ่ ตกตา่ งกัน แตค่ วาม แตกตา่ งของปจั จัยสว่ นบคุ คลทางด้าน สถานภาพในหนว่ ยงานระหว่างข้าราชการระดับ 3 และข้าราชการระดบั 4 มผี ลตอ่ แรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธิท์ ีแ่ ตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ การศึกษาพบวา่ ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลง มคี วามสมั พันธ์เชงิ บวกกบั แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์โดยมรี ะดับความสมั พนั ธ์อยใู่ นระดบั คอ่ นข้างมาก ค่าความสัมพนั ธ์ อยู่ที่ 0.788 ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะสาหรบั การนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1 การพัฒนาภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบคุ ลากรบ้านพกั เดก็ และครอบครวั ในเขตพ้นื ที่ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 ด้านการกระตุ้นทางปัญญา โดยควรกาหนดแนวทางหรือวธิ ีการในการกระตุ้นให้ บุคลากรเกิดการตืน่ ตวั และตระหนกั กบั ปญั หาการทางานและปญั หาสงั คมทีเ่ กิดข้ึน รวมทั้งควรสนับสนนุ ให้มีแนวทาง ใหมๆ่ จากแนวคิดวธิ ีคดิ ใหมๆ่ ในการแกป้ ัญหา 1.2 การพฒั นาภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของบคุ ลากรบ้านพกั เด็กและครอบครวั ในเขตพ้นื ที่ภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ โดยผู้บริหารและบคุ ลากรควรร่วมกนั ชืน่ ชมยนิ ดอี ย่าง จรงิ ใจ เมอ่ื ปฏบิ ัตหิ นา้ ทส่ี าคัญๆ ได้สาเร็จ โดยควรช้แี จงใหผ้ ู้ร่วมงานให้ได้ทราบกับความมงุ่ หวงั ทีจ่ ะได้รบั สนบั สนนุ ให้ ผู้ร่วมงานปฏบิ ตั ติ นตามกฏระเบียบอย่างเครง่ ครดั และพยายามดูแลให้ผู้ร่วมงานประสานสามคั คีสัมพนั ธ์กนั 1.3 การพฒั นาแรงจูงใจในการปฏบิ ตั งิ านของบคุ ลากรบ้านพกั เด็กและครอบครัวในเขตพ้นื ที่ภาค ตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 ด้านแรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ์ โดยควรเปิดโอกาสให้บคุ ลากรได้คดิ วา่ ปฏบิ ัตงิ านตาม ความคิดตนเอง เพ่มิ ความรบั ผดิ ชอบในการปฏบิ ตั งิ านทีไ่ ด้รับมอบหมาย อาจมีการตง้ั เป้าหมายในระดับสูงที่สามารถ ปฏบิ ัตงิ านให้บรรลุได้และพัฒนาผลสัมฤทธิโ์ ดยการปฏบิ ตั งิ านทีท่ ้าทายความสามารถ 2. ข้อเสนอแนะสาหรับการทาวิจัย ครัง้ ต่อไป 2.1 ควรทาการวจิ ัยปัจจยั หรือตัวแปรทีส่ ง่ ผลกระทบตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตการทางานและคุณภาพ การให้บริการของบุคลาการบ้านพักเดก็ และครอบครวั เขตพ้นื ที่ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน 1 2.2 ควรมกี ารวจิ ัยเกีย่ วกับปจั จยั ที่มีผลต่อคณุ ภาพชีวิตการทางานกับความผกู พันต่อองคก์ าร เพ่อื นามาเปรียบเทียบและหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขเพือ่ ให้การดาเนนิ งานภายในองค์กรมปี ระสิทธิภาพตอ่ ไป 2.3 ควรทาการวจิ ัยการพัฒนารูปแบบการดาเนนิ ชีวิตกับการทางาน และนาไปสู่แนวทางการพฒั นา เพ่อื ยกระดบั คุณภาพชีวิตของการทางาน เอกสารอา้ งองิ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดกิ าร. (2547). การศึกษาเรื่องโครงการศกึ ษารูปแบบการเสริมสรางเครอื ขาย พฒั นาสังคมและสวสั ดกิ าร. กรงุ เทพฯ: กรมพัฒนาสงั คมและสวสั ดกิ าร. กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมัน่ คงของมนุษย,์ คณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพ คนพกิ าร. แผนพัฒนาคุณภาพ ชวี ติ คนพิการแห่งชาติ พ.ศ. 2545-2549, กรุงเทพฯ : บริษัทศรีเมอื งการพมิ พจ์ ากัด 2546

204 ณัฐฌานนั ท์ เรือนดาหลวง. (2551). พฤตกิ รรมภาวะผู้น าการเปลีย่ นแปลงในผู้บริหารสถานศกึ ษาของ ผู้บริหาร ครู และคณะกรรมการสถานศกึ ษา สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาสิงหบ์ ุรี. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. ลพบรุ ี: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เทพสตรี. ภณ ใจสมคั ร. (2553). การเตรียมความรู้และความเขา้ ใจเกี่ยวกับการกา้ วสู่ประชาคมอาเซียน. กลุ่มวิชา สงั คมศาสตร์สานักวชิ าศึกษาทวั่ ไป มหาวิทยาลยั เกษมบัณฑิต. วราภรณ์ คาเพชรดี. (2552). แรงจูงใจในการปฏบิ ตั งิ านของบุคลากรสานกั งานสรรพากรพนื้ ที่ อุบลราชธานี. วทิ ยานพิ นธ์ บธ.ม. อบุ ลราชธานี: มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอบุ ลราชธานี. อมรรัตน์ เทพพทิ กั ษ์. (2552). ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงกับแรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิข์ อง เจ้าหนา้ ท่กี รมการค้าภายใน กระทรวงพาณชิ ย์. วทิ ยานพิ นธ์ ศศ.ม. จังหวดั นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหดิ ล. อมิตา วงั แก้วหิรัญ. (2553). อานาจพยากรณ์ของการรับรู้ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงและกลวิธกี ารจดั การปญั หาทม่ี ี ตอ่ คุณภาพชวี ติ การทางานของพนักงานกลุ่มสานกั งานในโรงงานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จังหวดั ลาพูน. วทิ ยานพิ นธ์ วท.ม. เชียงใหม่: มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. อัญญาณี คลา้ ยสบุ รรณ์. (2550). การจดั การความรู้ฉบบั ปฐมบท. นครปฐม: เพชรเกษมพริน้ ต้ิงกรุ๊ป.

205 การศึกษาระบบการบริหารจัดการของคุรสุ ภาในยคุ ดิจิทัล A Study on the Administration System of the Teachers' Council of Thailand in the Digital Era ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ * รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีศักดิ์ จนิ ดานรุ ักษ์ ** ดร.ศนุ ิสา ทดลา *** ดร.อโนทยั แทนสวัสดิ์ **** ดร.วาสนา วิสฤตาภา ***** ดร.ธนภทั ร จันทร์เจริญ ****** จินตนา ปรัสพนั ธ์ ******* บทคดั ยอ่ การศึกษาระบบการบริหารจัดการของคุรุสภาในยุคดจิ ิทลั มีวตั ถุประสงค์เพ่อื 1) ศึกษาข้อมูลระบบการ บริหารจัดการของคุรุสภาในอดตี ถึงปจั จบุ นั 2) พฒั นารูปแบบระบบการบริหารจดั การของครุ ุสภาในยุคดจิ ิทัล และ 3) จดั ทาขอ้ เสนอเชงิ กลยุทธ์ของการพฒั นาระบบการบริหารจดั การคุรุสภาในยคุ ดจิ ิทลั โดยใชก้ ระบวนการวจิ ยั เชงิ ปริมาณ กลุ่มตัวอยา่ งประกอบด้วย 1) คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ ผู้ทรงคุณวฒุ ิ บุคลากรของครุ สุ ภา อาจารย์มหาวิทยาลยั นกั วิชาการ และผู้ทีม่ ีสว่ นเกีย่ วข้อง 2) ผปู้ ระกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา โดยเลอื กกลุ่มตวั อยา่ ง แบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) และการสมุ่ อยา่ งง่าย (Simple Random Sampling) ตามลาดับ เคร่อื งมือทีใ่ ช้ ในการวิจัย ได้แก่ แบบวเิ คราะห์เอกสาร แบบสอบถาม และแบบสมั ภาษณก์ ึ่งโครงสร้าง วเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยวิธีการ วเิ คราะห์เน้ือหา (Content Analysis) การแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) คา่ เฉล่ยี (Mean) ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที (t-Test) ผลการวจิ ัย พบวา่ 1. ระบบการบริหารจดั การของคุรสุ ภาในอดตี ถึงปจั จบุ นั แบ่งเป็น 5 ยุค ดงั น้ี 1) ยุคยังไมม่ รี ะบบบริหาร จัดการทีช่ ัดเจน (พ.ศ. 2488-2545) 2) ยคุ จดั การขอ้ มูลโดยใชง้ านเฉพาะเครื่อง (Stand Alone) (พ.ศ. 2546) 3) ยคุ ใชเ้ ครอื ขา่ ย (Network) (พ.ศ. 2547-2548) 4) ยคุ ใชโ้ ปรแกรมทีเ่ ป็นระบบงานหลัก (พ.ศ. 2549-2557) และ 5) ยคุ บริการขอ้ มูลสารสนเทศ (พ.ศ. 2558-ปจั จุบัน) 2. รปู แบบระบบการบริหารจัดการของคุรุสภาในยคุ ดิจทิ ัล มี 4 องคป์ ระกอบ คือ 1) หลกั การ 2) จดุ ประสงค์ 3) การดาเนนิ งานซึ่งกล่าวถงึ การบริหารจดั การอย่างเปน็ ขน้ั ตอนและมีความสมั พันธ์กันของระบบงาน หลัก 4 ระบบ ประกอบด้วย 3.1) ระบบบริการผู้รับบริการ 3.2) ระบบบริหารสานักงาน และ 3.3) ระบบส่งเสริมการ ประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา ทน่ี าไปสู่ระบบการบริหารจดั การของคุรุสภาในยุคดจิ ิทลั และ 4) การวัด และประเมินผล คาสาคัญ : การบริหารจัดการ, คุรสุ ภาในยุคดิจิทัล * วิทยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรุ กิจบณั ฑิตย์ ** สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช *** สาขาวิชาบริหารการศึกษา คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา **** สาขาวิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา ***** วิทยาลยั ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรุ กิจบณั ฑิตย์ ****** สาขาวิชาบริหารการศึกษา คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ******* ภาควิชาครุศาสตร์เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนือ

206 3. ข้อเสนอเชงิ กลยทุ ธ์ของการพฒั นาระบบการบริหารจัดการของครุ สุ ภาในยคุ ดจิ ิทลั ประกอบด้วย 1) แผนพัฒนาระบบการบริหารจัดการของครุ ุสภาในยุคดิจิทัล ระยะสั้น 1 ปี และระยะยาว 4-5 ปี 2) เทคโนโลยดี ิจิทัล ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์และเครือข่าย รวมถึงเทคโนโลยดี ิจทิ ัลที่นามาใชก้ ับระบบสารสนเทศทีเ่ หมาะสม 3) ผู้บริหารและบุคลากรของสานกั งานเลขาธกิ ารครุ ุสภา ควรมที ักษะ ความเขา้ ใจ และใชเ้ ทคโนโลยดี ิจิทัล (Digital literacy) เพ่อื การปฏบิ ตั งิ านและการทางานรว่ มกนั ให้มคี วามทันสมยั ปลอดภยั และมีประสิทธิภาพ 4) ผู้ใชบ้ ริการ และบคุ คลทเ่ี กี่ยวข้อง โดยครุ สุ ภาควรพฒั นาชอ่ งทางการประชาสัมพันธ์ให้มคี วามหลากหลาย ทนั สมยั และเขา้ ถึง ผู้ประกอบวิชาชพี ครู เพื่อสร้างความเข้าใจในการใชร้ ะบบของการเข้าถึงบริการต่างๆ ท่นี าไปสกู่ ารใช้บริการอยา่ งมี ประสิทธิภาพ 5) ทรพั ยากร เป็นสว่ นสนบั สนนุ ให้การดาเนนิ งานเปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในเรือ่ ง งบประมาณสนบั สนุนการดาเนนิ งานให้เปน็ ไปตามแผนแม่บทเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร การปรับปรุงและ พัฒนาโครงสร้างและระบบการบริหารทีเ่ อ้อื ต่อการพฒั นาระบบการบริหารจัดการ มีการจัดสรรอตั รากาลังในการ ปฏบิ ตั งิ านอย่างพอเพยี งเหมาะสมกับภารกิจของหนว่ ยงาน และ 6) วิธีการในการบริหารจัดการของสานกั งาน เลขาธกิ ารคุรุสภา เปน็ แนวทางในการส่งเสริมในการบริหารจัดการเปน็ ไปอยา่ งราบรื่น เช่น ปรบั ปรุงนโยบาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศและแนวปฏบิ ัตใิ ห้เหมาะสม ทันสมัย มีความคล่องตัว สอดคล้องกับการ ดาเนนิ งานไปสคู่ ุรสุ ภายคุ ดจิ ิทลั ABSTRACT This research title is the study the Management of Administrative Systems of Teachers Council in the Digital Age. The objectives of this research were aimed; 1) To study about the data of the Management of Administrative System of Teachers Council from the past to present, 2) To develop the models of the development of the Management of Administrative System of Teachers Council in the Digital Age and 3) To create the proposal of the strategy of the development of the Management of Administrative System of Teachers Council in the Digital Age. The population is the 1) committee, subcommittee, professional, teachers of the Teachers Council, university professors, academic workers, and the group of the related persons under standard of the research is Stratified Random Sampling, select the samples by Purposive Sampling. 2) the educators select sample by Simple Random Sampling. The research instruments are document analyzer, questionnaire, and structured-interview questions. Analyze data by content analysis, frequency distribution, percentage, mean, and Standard Deviation. The results of the research were as followed: 1. The Information Management of Administrative System of Teachers Council from the past to present found that the condition of the Management of Administrative System of Teachers Council has 5 ages which are 1) The Age of unclear the Management of Administrative System (1945) 2) The Age of Information management using Stand Alone (2003) 3) The Age of using Network (2004-2005) 4) The Age of using Program of primary work (2005-2014) , and 5) The Age of Information Service (2015-Present). 2. The models of the development of the Management of Administrative System of Teachers Council in the Digital Age has 4 components: 1) The Principal 2) The Objectives 3) The Operations which mentioned about the systematic of the Management of Administration and related to the 3 systems of primary

207 work composed of the 3.1) service system of service recipients, 3.2) the system of office services, and 3.3) the system of professional promotion which leaded to Management System of The Teachers Council in the Digital Age, and 4) Measurement and Evaluation. 3. The proposal of strategies of the development of the Management of Administrative System of Teachers Council in the Digital Age are consisted of 1) A development plan of Management System of The Teachers Council in the Digital Age for a short period: 1 year, and for a long period : 4-5 years. 2) The Digital Technology consisted of computers and network included digital technology used in the proper information service for the benefits to the operators, administrators, service recipients, and relevant persons. 3) The Administrators and the personnel of the Secretariat of the Teachers Council of Thailand have to get skills, understanding, and Digital Literacy for the modern, safe, and efficiency operations and collaborative work. 4) The service recipients and the related person whom the Teachers Council should develop various public relation channel, up to date and access to professional teachers to build understanding of access the system which leads to efficient use of the service. 5) The Resources which leads to efficient and effective of the Operations such as budget to support the operations to follow the master plan of information and communication technology. The improvement and development of the structure and the system of administration that facilitate the development of management system, the sufficient capacity is allocated to the work properly of the agency, and 6) The method of the Management of Administration for the Secretariat of the Teachers Council of Thailand such as updated policy, rules, regulations, order, announcement and proper guidelines, modern, fluent, consistent with the operation to the Teachers Council in Digital Age. The appointments of a person responsible for creating a data update mechanism to comply with new technologies and the needs of the transition. Keywords: The Management of Administrative System, Teachers Council in the Digital Age ภูมหิ ลงั “คุรุสภา” เปน็ หน่วยงานหนง่ึ ที่มีประวตั คิ วามเปน็ มาอนั ยาวนานควบคู่กบั กระทรวงศึกษาธกิ ารจัดตงั้ ขึน้ เม่อื ปีพุทธศกั ราช 2488 ในสมัยของนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรฐั มนตรี และมีนายทวี บณุ ยเกตุ เปน็ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร ขณะนั้นได้เกิดปัญหาวิกฤติในวชิ าชีพครูเปน็ อยา่ งมาก กล่าวคือ คนดี คนเก่ง ไมอ่ ยากเรียนครู และครเู ก่ง ครูดมี คี วามสามารถจานวนมากได้ละท้ิงอาชพี ครไู ปประกอบอาชพี อืน่ ๆ สง่ ผลให้ตอ้ งมกี ารตรา พระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 ขึ้น เพื่อแก้ปญั หาวิกฤตวิ ชิ าชีพครู จากสาระสาคญั ในพระราชบัญญตั ิฉบับน้ี ก่อให้เกิดการจดั ตง้ั สภาในกระทรวงศึกษาธกิ าร ซึ่งเรียกว่า “ครุ ุสภา” มฐี านะเป็นนิติบคุ คลและมีอานาจหน้าทใี่ ห้ ความเหน็ เรือ่ ง นโยบายการศึกษาและวิชาการศกึ ษาทว่ั ไป แกก่ ระทรวงศึกษาธกิ าร ควบคมุ จรรยา และวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ และส่งเสริมฐานะครู รวมไปถงึ ครอบครัวใหไ้ ด้รบั ความชว่ ยเหลอื ตามสมควร ส่งเสริมความรู้และ ความสามคั คขี องครู และทาหนา้ ทแ่ี ทน ก.พ. เกีย่ วกบั การบริหารงานบคุ คล โดยกาหนดใหค้ รทู กุ คนตอ้ งเป็นสมาชกิ ของคุรสุ ภา ในปี พ.ศ. 2546 ไดม้ กี ารตราพระราชบัญญัติสภาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษาขนึ้ ใหม่ มีผลบังคับใช้ ตง้ั แตว่ ันที่ 12 มิถนุ ายน 2546 โดยปรบั ปรงุ ครุ ุสภาเดิมตามพระราชบัญญตั ิครู พทุ ธศักราช 2488 เปน็ สภาครูและ บุคลากรทางการศกึ ษา มีชื่อเรียกเหมอื นเดิมวา่ “คุรุสภา” โดยกาหนดให้มบี ทบาทในการกาหนดมาตรฐานวชิ าชีพ ออกและเพิกถอนใบอนญุ าตประกอบวิชาชพี กากบั ดูแล การปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานวชิ าชีพและจรรยาบรรณของ

208 วิชาชีพ รวมไปถึงการพัฒนาวิชาชพี ทางการศกึ ษา อันเปน็ การยกระดับวชิ าชีพทางการศกึ ษาให้เปน็ วชิ าชีพชน้ั สงู (สานกั งานเลขาธกิ ารคุรสุ ภา, 2555) ซึ่งต้องทาหน้าทใี่ นการดแู ล กากับ ตดิ ตามและสนบั สนุนครแู ละบุคลากรทางการ ศกึ ษาทั่วประเทศนั้น แสดงให้เห็นว่าครุ ุสภาเปน็ อีกหนว่ ยงานหนึง่ ทีม่ ีขอ้ มลู ข่าวสาร งานบริหาร และการบริการ จานวนมากและหลากหลายมติ ิ ทาให้มีระบบการทางานท่เี กี่ยวเนอ่ื งกับการตดิ ตอ่ ประสานงาน และให้บริการจานวน มาก ทาให้ประสบปญั หาในการดาเนนิ งาน จึงจาเปน็ อยา่ งยง่ิ ที่จะต้องนาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศเข้ามาใช้ เพือ่ อานวยความสะดวกแก่ผู้บริหาร ผู้ให้บริการ และผู้เข้ารบั บริการควบคู่กันไป การนาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศเข้ามา ใชใ้ นระยะเริม่ ตน้ ย่อมประสบกับปญั หาต่างๆ อยบู่ ้าง จากเหตแุ ละความจาเปน็ ดังกลา่ ว คุรสุ ภาจาเปน็ ต้องบริหารจดั การอย่างมคี ณุ ภาพ ทันตอ่ ความตอ้ งการ และสอดรบั กบั การเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทลั เพื่อให้สามารถบริหารจดั การข้อมูล ข่าวสาร งานบริหาร และการบริการต่างๆ ให้อานวยความสะดวก สนองตอบความตอ้ งการ และเกิดประโยชนส์ งู สดุ สาหรบั ผู้ใชบ้ ริการ แนวคิดการให้บริการเพอ่ื ให้เกิดความพงึ พอใจด้วยการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศที่เหมาะสมมาใชเ้ พ่อื อานวย ความสะดวกให้ผู้รบั บริการสามารถใช้บริการได้งา่ ยและหลากหลายรูปแบบน้ี เปน็ การดาเนินงานทีส่ อดคล้องกบั ยุทธศาสตร์ที่ 1 ของการสร้างความเปน็ เลิศในการให้บริการประชาชนตามแผนยทุ ธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ ไทย (พ.ศ. 2556 – 2561) (สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ, 2556, หน้า 29) เพ่อื ให้เกิดระบบการ บริหารจัดการของคุรุสภาทีม่ ุ่งเนน้ การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการอานวยความสะดวกสาหรับการเข้าถึงขอ้ มลู ได้ อย่างถกู ต้อง ทันตอ่ ความต้องการ และสอดรบั กับกระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกในยคุ ดิจิทัล อีกทั้งสอดคล้อง กบั แผนพัฒนาของประเทศ จึงเห็นเป็นการสมควรให้มีการศึกษาข้อมลู ระบบการบริหารจดั การของคุรุสภาในอดตี จนถงึ ปจั จบุ ัน เพ่อื นาไปสู่การพัฒนารูปแบบระบบการบริหารจดั การของครุ สุ ภาในยคุ ดจิ ิทลั ท้ังนเี้ พ่อื เปน็ การใชเ้ ทคโนโลยดี ิจิทัล ในการปรบั ปรงุ ประสิทธิภาพการบริหารจดั การของ ครุ ุสภาท้ังสว่ นกลางและสว่ นภมู ภิ าค ให้เกิดบริการภาครัฐ ในรูปแบบดิจิทัลทีป่ ระชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้โดยไมม่ ขี อ้ จากัด ทางกายภาพ พ้ืนที่ และภาษานาไปสู่การ หลอมรวมการทางานของภาครฐั เสมือนเป็นองค์กรเดียวกนั คาถามการวิจัย 1. ข้อมูลระบบการบริหารจดั การของครสุ ภาในอดตี ถึงปจั จบุ ันควรเปน็ อยา่ งไร 2. ข้อมูลระบบการบริหารจัดการของครสุ ภาในอดตี ถึงปจั จบุ นั เป็นอยา่ งไร 3. ข้อเสนอเชงิ กลยทุ ธ์ของการพฒั นาระบบการบริหารจดั การของครุ สุ ภาในยุคดจิ ิทลั เป็นอยา่ งไร ความมุง่ หมายของการวิจยั 1. เพื่อศกึ ษาข้อมูลระบบการบริหารจัดการของครุสภาในอดตี ถงึ ปจั จุบัน 2. เพอ่ื พฒั นารปู แบบการพฒั นาระบบการบริหารจัดการของครุ สุ ภาในยคุ ดจิ ิทัล 3. เพ่อื จดั ทาข้อเสนอเชงิ กลยทุ ธ์ของการพฒั นาระบบการบริหารจดั การของครุ ุสภาในยุคดิจิทลั กรอบแนวคดิ ของการวิจยั ผู้วิจยั ได้ดาเนินการวจิ ัยโดยมวี ตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย 3 ข้อ ดงั น้ี วตั ถปุ ระสงค์ข้อที่ 1 เพอ่ื ศึกษาข้อมูลระบบ การบริหารจดั การของครุ สุ ภาในอดีตและปจั จุบัน โดยศึกษาสภาพระบบบริหารจัดการของครุ สุ ภา ประกอบด้วย

209 โครงสร้างการดาเนนิ งานของครุ ุสภาและสานกั งานเลขาธกิ ารครุ ุสภา บทบาทหน้าที่ ระบบสารสนเทศภายในและระบบ สารสนเทศภายนอก อกี ทงั้ ศกึ ษาสภาพการบริหารจัดการองคก์ รวชิ าชีพในประเทศและต่างประเทศเพอ่ื เป็นกรณีศึกษา ของรปู แบบการบริหารจัดการขององค์กรวชิ าชีพ รวมถึงศึกษาปัจจัยทีเ่ กี่ยวข้องกับการบริหารจัดการคุรุสภาในยคุ ดิจิทัลและระบบสารสนเทศที่ใช้เทคโนโลยดี ิจิทัลสนับสนุนการทางานและเป็นเคร่อื งมือการทางาน เพอ่ื เป็นแนวทางใน การนาเทคโนโลยดี ิจิทัลมาใชใ้ นการบริหารจัดการ วัตถปุ ระสงค์ขอ้ ที่ 2 เพือ่ พัฒนารปู แบบการพัฒนาระบบการบริหาร จดั การของคุรุสภาในยคุ ดิจิทัล โดยนาข้อมลู ที่ได้จากการศึกษาข้อที่ 1 มาสร้างเปน็ รปู แบบระบบการบริหารจดั การของ ครุ สุ ภาในยุคดิจทิ ัล โดยสังเคราะห์ลักษณะหรอื แนวทางในการดาเนนิ งานที่โดดเด่นของระบบการบริหารจดั การของ คุรุสภาในยคุ ดิจทิ ัลทีม่ ีความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทการทางานของคุรสุ ภาในยคุ ปัจจบุ นั ในระบบงานหลกั 3 ระบบ คือ 1) ระบบบริการผู้รบั บริการ 2) ระบบบริหารสานกั งาน และ 3) ระบบส่งเสริมการประกอบวิชาชพี ทางการ ศกึ ษา ซึ่งหลกั ของการสร้างรปู แบบประกอบด้วยกระบวนการบริหาร การบริหารจดั การแบบดิจิทลั องค์ประกอบของ รูปแบบ และวตั ถุประสงค์ข้อที่ 3 เพื่อจัดทาขอ้ เสนอเชงิ กลยทุ ธ์ของการพฒั นาระบบการบริหารจัดการของคุรุสภาในยคุ ดิจิทัล โดยนาข้อมลู ที่ได้จากวตั ถปุ ระสงค์ข้อที่ 1 และข้อที่ 2 มาวเิ คราะห์เพ่อื หาแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาเปน็ ข้อเสนอเชงิ กลยุทธ์เพ่อื เตรียมความพร้อมดา้ นตา่ งๆ ในการบริหารจัดการของคุรสุ ภาในยคุ ดิจทิ ลั แสดงได้ดัง ภาพประกอบ 1 ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดของการวจิ ยั วิธีดาเนนิ งานวิจยั ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากร คือ ผู้ทรงคณุ วุฒทิ างการศึกษา อาจารย์มหาวิทยาลัย นักวชิ าการที่มีความรู้ความสามารถ และมีความเชย่ี วชาญในสาขาท่เี กี่ยวข้อง และกลุ่มบคุ คลตามดลุ พนิ จิ ของผู้วิจัยภายใตม้ าตรฐานการวิจัย

210 กลุ่มตวั อยา่ ง คือ ผู้ประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา อาจารย์มหาวิทยาลัย นกั วิชาการทีม่ ีความรู้ ความสามารถและมีความเชย่ี วชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง และกลมุ่ บุคคลตามดุลพนิ จิ ของผู้วิจัย เลอื กกลุ่มตวั อยา่ ง ภายใตม้ าตรฐานการวิจยั แบบแบ่งช้ัน (Stratified Random Sampling) และเลอื กกลุ่มตัวอยา่ งของผู้ทรงคุณวฒุ ิ ทางการศกึ ษาแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) ตามบทบาทและอานาจหน้าที่ของคุรสุ ภา เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เคร่อื งมือที่ใช้ ได้แก่ แบบวเิ คราะห์เอกสาร แบบสอบถาม (Questionnaire) และแบบสมั ภาษณแ์ บบกึ่ง โครงสร้าง (Semi-Structured-Interview Questions) วิธีการเกบ็ รวมรวมขอ้ มูล ดาเนนิ การวิจยั ด้วยวิธีการวิจยั เชงิ พรรณนา (Descriptive Research) ผู้วิจยั ได้ออกแบบข้ันตอนการ ดาเนนิ การวิจยั ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เป็น 3 ขั้นตอน และดาเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดงั นี้ 1. การวิเคราะห์และสังเคราะห์ขอ้ มลู ทีไ่ ด้จากการศึกษาข้อมูลระบบบริหารจัดการของคุรุสภาท้ังใน อดตี และปจั จบุ ัน ข้อมูลการบรหิ ารจดั การขององคก์ รวิชาชพี ทงั้ ในประเทศและต่างประเทศ อีกทงั้ ปจั จัยที่เกีย่ วข้องกบั การบริหารจดั การครุ สุ ภาในยุคดิจิทลั และความคาดหวงั ในการบริหารจดั การของคุรุสภาในอนาคต 2. ในสว่ นของการเก็บขอ้ มลู โดยแบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม จะออกหนงั สือจาก มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช เพอ่ื ขอความอนุเคราะห์ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลกับกลมุ่ ตวั อย่าง 3. ติดตอ่ นดั หมายเพอ่ื ดาเนนิ การเกบ็ ขอ้ มูล ในการเกบ็ ขอ้ มลู จะอธิบายถึงวตั ถุประสงค์และประโยชน์ ที่จะได้รบั จากการทาแบบสอบถาม การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ผู้วิจยั กาหนดแนวทางในการวิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูป หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และใช้ t –test ชนิด Dependent Samples. ในการวิเคราะห์ความแตกตา่ งของสภาพปัจจบุ นั /สภาพที่พึงประสงค์ในการบริหาร จดั การของคุรสุ ภา สรุปผลการวิจยั 1. การศึกษาสภาพ ปัญหา และผลการบริหารจดั การของครุ สุ ภาจากเอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วข้องภายใต้ แผนยุทธศาสตร์และแผนพฒั นาวชิ าชีพของครุ ุสภาขา้ งต้น สามารถแบง่ ระบบการบริหารจัดการของครุ สุ ภาออกเปน็ 5 ยคุ ดงั น้ี 1) ยุคยงั ไม่มรี ะบบบริหารจดั การที่ชดั เจน (พ.ศ. 2488) 2) ยุคจดั การข้อมูลโดยใชง้ านเฉพาะเครื่อง (Stand Alone) (พ.ศ. 2546) 3) ยุคใชเ้ ครอื ขา่ ย (Network) (พ.ศ. 2547-2548) 4) ยุคใชโ้ ปรแกรมที่เป็นระบบงานหลกั (พ.ศ. 2549-2557) และ 5) ยุคบริการขอ้ มลู สารสนเทศ (พ.ศ. 2558-ปัจจบุ นั ) การพัฒนาไมส่ อดคลอ้ งกนั กบั ความ ตอ้ งการที่ต้องการความรวดเร็วและมอี สิ ระ บุคลากรในจดุ บริการในเขตพ้นื ทีต่ ่างๆ ทุกเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาขาดกลไก ที่จะดแู ลประสานงานกันอย่างตอ่ เนอ่ื งทาให้การปฏบิ ัตงิ านไม่รวดเร็วและไมเ่ ต็มที่ มีวิธีบริหารจัดการขอ้ มลู เพอ่ื การ ตัดสนิ ใจและเพ่อื การดาเนินงานของผู้บริหารไมม่ ากพอ ข้อมลู ที่มีอยยู่ งั กระจัดกระจายและอยู่ในรปู ของกระดาษไม่ได้ อยู่ในรปู แบบไฟลข์ ้อมลู ทีพ่ ร้อมใชง้ าน เรียกหาข้อมลู ได้ แต่ยังไมพ่ งึ พอใจ ไมท่ นั ท่วงทีต่อการนาไปใช้ยงั และยังไมด่ ีพอ

211 ภาพประกอบ 2 แสดงแนวคิดการแบ่งยคุ การบริหารจดั การของคุรสุ ภาในอดตี และปัจจุบนั 2. จากแนวคิดในการพฒั นารูปแบบการพฒั นาระบบการบริหารจัดการของครุ สุ ภาในยุคดจิ ิทัล ผู้วิจัยได้ สงั เคราะห์ลกั ษณะหรือแนวทางในการดาเนินงานทีโ่ ดดเด่นของระบบการบริหารจดั การของครุ ุสภาในยคุ ดจิ ิทัลที่มี ความเหมาะสมและสอดคล้องกบั บริบทการทางานในระบบงานหลกั 3 ระบบคือ 1) ระบบบริการผู้รบั บริการ 2) ระบบ บริหารสานกั งาน และ 3) ระบบส่งเสริมการประกอบวิชาชพี ทางการศึกษา ตามแนวคิดของ ไพฑรู ย์ สินลารัตน์ (2561) เรียกว่า “ทศลักษณข์ องครุ สุ ภาในยคุ ดิจทิ ัล” คือ ระบบการบริการผู้รับบริการ ตอ้ งมีลกั ษณะสาคญั คือ 1) สะดวกและง่ายต่อการใชง้ าน 2) ทันสมยั 3) รวดเรว็ และปลอดภยั 4) เข้าถึง ตรวจสอบได้และเสมอภาค ระบบการ บริหารสานกั งาน ต้องมลี กั ษณะสาคญั คือ 5) เชอ่ื มโยงเครอื ขา่ ยการทางานรว่ มกนั 6) บูรณาการการทางาน ท้ังภายในและภายนอก 7) เคร่อื งมือในการบริหารและตดั สนิ ใจ 8) มคี ณุ ภาพ 9) โปร่งใส และระบบส่งเสริม การประกอบวิชาชพี ต้องมลี กั ษณะสาคัญ คือ 10) สามารถจัดการความรู้เพ่อื พัฒนาวิชาชพี ผล การดาเนนิ การดงั กล่าวทาให้ไดร้ ปู แบบการพัฒนาระบบการบริหารจัดการของครุ สุ ภาในยคุ ดิจทิ ัล ดงั นี้ หลักการ 1. เพ่มิ ศักยภาพในการบูรณาการข้อมูลของผู้บริหาร บุคลากร ผู้รบั บริการ และหนว่ ยงานที่เกี่ยวข้อง ท้ังภายในและภายนอก 2. ตรวจสอบ วิเคราะห์ และตดั สินใจบนฐานขอ้ มูลการปฏบิ ตั งิ านจรงิ เพอ่ื การบริหารจัดการของ คุรสุ ภาดว้ ยระบบดิจิทลั 3. ประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี นการทางานแบบอัตโนมตั โิ ดยใชน้ วัตกรรมของการบริหารและการบริการ เพ่อื ประหยัด ปลอดภัย ยง่ั ยนื มีส่วนร่วม และรับผิดชอบตอ่ สงั คม จุดประสงค์ 1. เพอ่ื พัฒนาระบบการให้บริการผู้รบั บริการ บคุ ลากรและผู้บริหารให้เกิดความสะดวก ทันสมยั รวดเร็ว เสมอภาคและเข้าถึงโดยใชเ้ ทคโนโลยดี ิจิทัล 2. เพอ่ื พัฒนาระบบบริหารสานกั งานให้สามารถบูรณาการ เชื่อมโยงเครอื ขา่ ยความร่วมมอื และใช้ เป็นเครอ่ื งมือในการบริหารให้เกิดคณุ ภาพด้วยความโปร่งใสโดยใชเ้ ทคโนโลยดี ิจิทัล 3. เพอ่ื พัฒนาระบบส่งเสริมการประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษาให้สามารถพัฒนาวชิ าชีพโดยใช้ เทคโนโลยีดิจิทัล การดาเนนิ งาน 1. ระบบบริการผู้รับบริการ ประกอบด้วย ระบบใบอนุญาตประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา ระบบ ค่าธรรมเนยี มการประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา ระบบข้อมูลผปู้ ระกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา ระบบขนึ้ ทะเบียนรับ ใบอนญุ าตประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา และระบบตอ่ อายุใบอนญุ าตประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา โดยนา เทคโนโลยดี ิจิทัลมาใชเ้ พ่อื ความสะดวกและง่ายต่อการใชง้ าน ทนั สมยั รวดเรว็ และปลอดภยั ตลอดจนเข้าถึง ตรวจสอบได้และเสมอภาค

212 2. ระบบบริหารสานกั งาน ประกอบด้วย ระบบบริหารงานกลาง ระบบบริหารงานบคุ คล ระบบงาน การเงินและบญั ชี ระบบนโยบาย แผนงาน งบประมาณ ติดตามและประเมินผล ระบบงานวจิ ยั ระบบงานวเิ ทศสมั พนั ธ์ ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ ระบบงานส่อื สารองคก์ ร ระบบงานวทิ ยบริการ ระบบงานพสั ดแุ ละอาคารสถานที่ และ ระบบงานการประชมุ และประสานงาน โดยนาเทคโนโลยดี ิจิทลั มาใชเ้ พอ่ื เช่อื มโยงเครอื ขา่ ยการทางานรว่ มกัน บูรณา การการทางานทงั้ ภายในและภายนอก เป็นเคร่อื งมือในการบริหารและตดั สนิ ใจ รวมถึงมคี ุณภาพ โปร่งใส 3. ระบบส่งเสริมการประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา ประกอบด้วย ระบบมาตรฐานวชิ าชีพ ระบบ ยกย่องวชิ าชพี ระบบพฒั นาวิชาชพี และระบบจรรยาบรรณวชิ าชพี โดยนาเทคโนโลยดี จิ ิทัลมาใชเ้ พ่อื สามารถจัดการ ความรู้เพ่อื พัฒนาวิชาชพี การวดั และประเมินผล ประเมินผลความพงึ พอใจของผใู้ ชร้ ะบบและผู้รบั บริการโดยสงั เกต สอบถาม และสัมภาษณเ์ กี่ยวกับ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของระบบบริการผู้รับบริการ ระบบบริหารสานกั งาน และระบบส่งเสริมการประกอบ วชิ าชีพทางการศกึ ษา โดยเทคโนโลยดี ิจิทัลเป็นเครอ่ื งมือในการประเมินผล เช่น Google forms เป็นต้น ภาพประกอบ 3 ระบบบริหารจัดการของคุรสุ ภาในยคุ ดจิ ิทลั 3. ผลการจดั ทาขอ้ เสนอเชิงกลยุทธข์ องการพัฒนาระบบการบรหิ ารจัดการของครุ สุ ภาในยคุ ดิจิทลั 1. แผนพัฒนาระบบการบริหารจัดการของครุ ุสภาในยคุ ดิจิทลั ระยะสั้น 1 ปี ประกอบด้วย 8 แผน 9 โครงการยอ่ ย ระยะยาว 4-5 ปี ประกอบด้วย 2 แผน 3 โครงการยอ่ ย 2. เทคโนโลยดี ิจิทัล ประกอบดว้ ย คอมพวิ เตอร์และเครือข่าย รวมถึงเทคโนโลยดี ิจิทลั ที่นามาใชก้ บั ระบบ สารสนเทศทีเ่ หมาะสมเพ่อื ประโยชนต์ อ่ ผู้ปฏบิ ัตงิ าน ผู้บริหาร ผรู้ ับบริการและผู้ที่เกีย่ วข้อง

213 3. ผู้บริหารและบุคลากรของสานกั งานเลขาธกิ ารคุรสุ ภา ควรมที กั ษะ ความเขา้ ใจ และใชเ้ ทคโนโลยี ดิจิทัล (Digital literacy) เพอ่ื การปฏบิ ตั งิ านและการทางานรว่ มกนั ให้มคี วามทันสมยั ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 4. ผู้ใชบ้ ริการและบคุ คลที่เกีย่ วข้อง โดยคุรุสภาควรพัฒนาชอ่ งทางการประชาสมั พันธ์ให้มคี วาม หลากหลาย ทันสมัย และเขา้ ถึงผู้ประกอบวิชาชพี ครู เพือ่ สร้างความเข้าใจในการใชร้ ะบบของการเข้าถึงบริการต่างๆ ที่นาไปสู่การใชบ้ ริการอยา่ งประสิทธิภาพ 5. ทรัพยากร เป็นสว่ นสนับสนนุ ให้การพฒั นาระบบการบริหารจดั การของคุรสุ ภาในยคุ ดิจิทลั เปน็ ไป อย่างมปี ระสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึง่ ตวั อยา่ งของทรัพยากร เช่น งบประมาณสนบั สนุนการดาเนนิ งานให้เปน็ ไป ตามแผนแมบ่ ทเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร การปรับปรุงและพฒั นาโครงสร้างและระบบของการบริหาร ทีเ่ อ้ือตอ่ การพัฒนาระบบการบริหารจดั การ มีการจัดสรรอตั รากาลงั ในการปฏบิ ตั งิ านอย่างพอเพยี งเหมาะสมกบั ภารกิจของหน่วยงาน 6. วิธีการในการบริหารจดั การของสานักงานเลขาธกิ ารครุ สุ ภา ซึง่ เป็นแนวทางในการส่งเสริมในการ บริหารจดั การเป็นไปอยา่ งราบรื่น เชน่ ปรบั ปรงุ นโยบาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศและแนวปฏบิ ตั ใิ ห้ เหมาะสม ทันสมัย มีความคล่องตัว สอดคล้องกับการดาเนนิ งานไปสคู่ รุ สุ ภายุคดจิ ิทลั การแต่งต้ังผู้รบั ผิดชอบในการ สร้างกลไกปรับปรงุ ข้อมลู เพอ่ื ให้สอดคล้องกบั เทคโนโลยใี หมๆ่ และความตอ้ งการของการใช้งานที่เปลีย่ นไป อภปิ รายผลการวิจยั การอภิปรายผลการวิจยั จะนาเสนอใน 3 ประเดน็ คือ ประเดน็ แรก การศึกษาข้อมลู ระบบการบริหารจดั การ ของคุรุสภาในอดตี ถึงปัจจุบัน ประเด็นทีส่ อง รปู แบบการพัฒนาระบบการบริหารจดั การของ ครุ สุ ภาในยคุ ดิจทิ ลั และประเดน็ ทีส่ าม ข้อเสนอเชงิ กลยุทธ์ของการพฒั นาระบบการบริหารจดั การของครุ สุ ภาในยคุ ดจิ ิทลั ดังนี้ 1. การศึกษาข้อมูลระบบการบริหารจดั การของครุ ุสภาในอดตี ถงึ ปจั จบุ ัน พบวา่ ระบบวางแผนการ ทางานยงั ยึดติดกับระบบงานของกระทรวงหรือระบบราชการซึ่งมคี วามล่าช้าไมส่ อดคล้องกับระบบเทคโนโลยี การทา ความเข้าใจเกี่ยวกบั การจดั การของคุรุสภาจึงแบ่งออกเป็นช่วงเวลาตามการเกิดข้ึนและพฒั นาการของเทคโนโลยจี ะทา ให้เราเขา้ ใจการดาเนนิ งานของคุรุสภาได้ดีข้นึ และเป็นแนวทางทีจ่ ะพัฒนา ซึ่งการแบ่งในแนวนส้ี อดคล้องกับฮิกกินส์ (Higgins, 1995, pp.106-342) ที่กลา่ วว่า องค์การนวตั กรรมมอี งคป์ ระกอบที่ สาคัญ 7 ประการ ตามแนวคิด 7S ของ McKinsey ซึง่ 1 ในองค์ประกอบได้กลา่ วถงึ ด้านโครงสร้าง (Structure) การพฒั นาหรือปรบั ปรงุ โครงสร้างองค์การให้ ส่งเสริมตอ่ การเป็นองค์การนวัตกรรม จะตอ้ งคานงึ ถึงหลักการทีส่ าคัญ 5 ประการ คือ 1) การออกแบบงาน 2) การกระจายอานาจในการทางาน 3) การทางานเปน็ ทีม 4) ผู้จดั การจะต้องขยายการควบคุม และ 5) การใหม้ ี ส่วนร่วมในการทางาน ซงึ่ เปน็ ประโยชนต์ อ่ การทาความเขา้ ใจเรือ่ งเทคโนโลยี 2. รูปแบบการพฒั นาระบบการบริหารจดั การของครุ สุ ภาในยคุ ดิจิทัล มอี งคป์ ระกอบ 4 ประการ นาไปสู่ ระบบยอ่ ย ทเ่ี กีย่ วข้องกนั กับ ผู้รบั บริการ การบริหารสานกั งาน และการส่งเสริมการประกอบวิชาชพี ซึ่งสง่ เสริมให้ การบริหารจัดการของครุ สุ ภาในยคุ ดิจิทลั ที่บรรลจุ ุดมุ่งหมายขององคก์ รสอดรับกับแนวคิด Digital Transformation (OECD, 2016, p. 9) และ แฟรงค์ (Fang, 2002, p. 19) ท่กี ล่าววา่ องค์กรควรนาเทคโนโลยดี ิจิทลั มาใชอ้ ย่างเหมาะสม เพ่อื ประโยชนต์ อ่ ผู้รับบริการผ่านผลิตภณั ฑ์หรือการบริการที่สามารถตอบสนองตอ่ ความต้องการทีม่ ีความเฉพาะและ เหมาะสมกับแตล่ ะบุคคล ชว่ ยประหยัดเวลาและงบประมาณ รวมถึงการให้บริการที่มีผลิตภาพสูง ลดการใช้แรงงาน มรี ะดับความพึงพอใจสูง เพื่อสร้างให้เกิดความเช่อื มน่ั และความผกู พันตอ่ ผลิตภณั ฑแ์ ละการให้บริการ ในภาครัฐ Digital Transformation จะเป็นการเปลี่ยนผ่านรปู แบบการให้บริการภาครัฐไปสู่การเป็นรัฐบาลอเิ ลก็ ทรอนิกส์

214 (e-Government) ซึ่งจะเปน็ การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ การใชอ้ นิ เทอร์เนต็ เพ่อื ให้ ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเขา้ ถึงข้อมูลขา่ วสารและการบริการของรัฐได้อยา่ งสะดวก รวมถึงการตรวจสอบ คณุ ภาพของการให้บริการภาครฐั เปิดโอกาสในการมสี ่วนร่วมในระบบประชาธิปไตยและสร้างความสมั พันธ์ทีด่ ี ระหว่างรัฐและประชาชน 3. ข้อเสนอเชงิ กลยุทธ์เป็นขอ้ เสนอที่ครุ ุสภาควรจะดาเนนิ การเพอ่ื ให้การดาเนนิ งานของคุรุสภาเขา้ สู่ ยคุ ดจิ ิทัลอย่างเตม็ รูปแบบโดยสานกั งานเลขาธกิ ารคุรุสภาตอ้ งวางแผนดาเนนิ การอยา่ งจริงจงั และเปน็ รปู ธรรม ให้เกิดผลในทางปฏิบัตอิ ย่างแท้จริง ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนาผลวจิ ยั ไปใช้ 1.1 ให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้บริหารและบคุ ลากรของคุรุสภาทกุ คนเกีย่ วกับบทบาทหน้าที่ใหม่ ในเชงิ ดิจทิ ัล 1.2 จัดวางระบบ พฒั นาโครงสรา้ งทางเทคโนโลยโี ดยการนาเครอ่ื งมืออุปกรณท์ างดิจิทลั เข้ามาใช้ ในสานกั งาน 1.3 ผู้บริหารควรให้ความสาคัญในการสนับสนนุ งบประมาณทจ่ี าเปน็ อย่างเพยี งพอและทันทีทนั ใด 1.4 มกี ารตดิ ตามและประเมินผลการปรับบทบาทของคุรุสภาเข้าสู่ยุคดิจิทัล 1.5 ประชาสมั พันธ์เผยแพร่บทบาทและงานใหมๆ่ ของคุรสุ ภาตอ่ สงั คมและนานาชาติ 2. ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจัย คร้งั ต่อไป 2.1 วจิ ยั ภาพลักษณแ์ ละผลทีม่ ีตอ่ ผู้รับบริการของครุ สุ ภาในยุคดิจทิ ัล 2.2 ศกึ ษาเปรียบเทียบการดาเนินงานของคุรุสภาในยุคดิจิทัลกับการดาเนินงานของคุรุสภาในประเทศ เพ่ือนบ้าน 2.3 ศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์และผลลัพธ์ของการใช้ดิจิทัลในระบบของครุ สุ ภา 2.4 ศกึ ษาปัจจัยทีม่ ีอิทธิพลตอ่ การบริหารจดั การของครุ สุ ภาในยคุ ดิจิทลั 2.5 วจิ ยั ประเมินผลการดาเนนิ งานในระหว่างการนาข้อเสนอเชงิ กลยุทธ์ไปสกู่ ารปฏบิ ัติ เอกสารอา้ งองิ สานักงานคณะกรรมการกฤษฎกี า. (2546). พระราชบญั ญตั ิสภาครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546. [ออนไลน]์ . ได้จาก: http://web.krisdika.go.th/data/law/law2/%CA64/%CA64-20-2546-a0001.htm. (สบื ค้นเม่อื 19 เมษายน 2560). สานักงานเลขาธกิ ารคุรสุ ภา. (2550ก). พระราชบัญญตั ิสภาครูและบุคลากรทางการศกึ ษา. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พส์ กสค. _______. (2555). ความเป็นมา. [ออนไลน]์ . ได้จาก: ttp://www.ksp.or.th/ksp2013 /profile/index.php?l=th&tid=2&mid=12&pid=10. [สบื ค้นเมอ่ื 19 เมษายน 2560]. Fang, Z. (2002). E-Government in Digital Era: Concept, Practice, and Development. [online]. Available from: http://www.journal.au.edu/ijcim/2002/may02/article1.pdf. [accessed 2017 April 6].

215 Higgins, James M. (1995). Innovate or Evaporate: Test&Improve Your Organization’s IQ-Its Innovation Quotient. New York: New Management Publishing Company. OECD. (2016). Digital Government Strategies for Transforming Public Services in the Welfare Areas. [online]. Available from: http://www.oecd.org/gov/ digital-government/Digital-Government-Strategies-Welfare- Service.pdf.[accessed 2017 April 6].

216 การพัฒนาการจดั การเรียนรู้ตามหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการ จดั การการศึกษาวิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ The Development of Learning Management in the Master of Education Program in Educational Management at the College of Education, Dhurakij Pundit University ดร.พงษ์ภิญโญ แม้นโกศล * รองศาสตราจารย์ ดร.กล้า ทองขาว ** บทคดั ยอ่ การวจิ ยั น้มี ีวัตถปุ ระสงค์เพ่อื ศึกษาผลการพัฒนาคณุ ลกั ษณะของนักศกึ ษาระหว่างเรียน สาขาการจัดการ การศึกษาท่กี าหนดไวใ้ นหลักสตู ร ผลการพัฒนาคณุ ลักษณะพเิ ศษ ผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ ระดบั อุดมศึกษาแห่งชาติ (TQF) และศกึ ษาแนวทางการพัฒนาการจดั การเรียนรู้ของนักศึกษาระหว่างเรียนตาม หลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจดั การการศึกษา กลุ่มตวั อยา่ งได้แก่ นักศึกษาระหวา่ งเรียน 2 รนุ่ ผู้รบั ผิดชอบหลกั สูตร อาจารย์ผสู้ อน และผู้บังคบั บัญชาของนกั ศกึ ษา เก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยใชแ้ บบสอบถาม แบบสมั ภาษณแ์ บบมโี ครงสร้าง และแบบสัมภาษณเ์ จาะลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้คา่ เฉล่ยี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวเิ คราะห์เน้อื หา ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. คณุ ลักษณะและสมรรถนะตามหลักสตู รทีจ่ าเปน็ ต้องมแี ละไดร้ ับการพัฒนา ได้แก่ ความรับผดิ ชอบ ในวชิ าชีพ การเป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลงทางการศกึ ษา ความรลู้ ึกซึ้งทางการจดั การศึกษาและความสามารถในการ พฒั นาตนเองและวิชาชพี ได้อย่างตอ่ เน่อื ง อาจารย์ผู้สอนเห็นว่า นักศกึ ษาแมจ้ ะมีพ้ืนฐานประสบการณ์แตกต่างกนั มาก แตม่ พี ฒั นาการสูงขนึ้ สอดคลอ้ งกับความคดิ เห็นของผู้บังคบั บญั ชาของนกั ศึกษาท่เี หน็ ว่า นักศกึ ษาสามารถรเิ ริ่ม และนานวตั กรรมการจดั การมาใชใ้ นสถานศึกษา 2. ผลการพัฒนาคณุ ลกั ษณะพเิ ศษที่กาหนดไว้ในหลักสตู ร คือ นักศกึ ษาตอ้ งเปน็ ผู้มคี วามกล้าหาญ ทางจริยธรรม มีจิตวญิ ญาณความเปน็ ครู มีทกั ษะการเป็นผู้นาและการทางานเปน็ ทีม ผู้บงั คับบญั ชาเหน็ ว่านักศึกษา มคี ุณลกั ษณะดงั กล่าวสูงอยู่แลว้ มีขอ้ เสนอให้เพ่มิ การพฒั นาทักษะภาษาองั กฤษให้สามารถส่อื สารได้ดยี ง่ิ ขนึ้ สอดคล้องกับความเห็นของอาจารย์ผู้สอน โดยต้องการให้เพ่มิ การพฒั นาทกั ษะการสบื ค้นผลงานวจิ ัยจากตา่ งประเทศ ให้มากขึ้น 3. ผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิ พบวา่ นกั ศกึ ษามที ักษะดา้ นความรู้สูงที่สดุ รองลงมาคือ ทกั ษะความสมั พันธ์ระหว่างบคุ คลและความรับผิดชอบ และทักษะด้านการวิเคราะห์ตวั เลข การส่อื สารและการใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศตามลาดบั (4) แนวทางการพฒั นาการจดั การเรียนรู้ของนักศึกษาระหว่างเรียนพบวา่ วตั ถุประสงค์โครงสร้างและสาระการเรียนรู้สว่ นใหญ่ตรงตามความตอ้ งการของกลมุ่ ตวั อย่าง ส่วนกิจกรรมของ กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามหลกั สูตร ได้แก่ การเรียนรายวชิ าปกติ รายวชิ าสมั มนา รายวชิ าการฝึกปฏบิ ัตวิ ชิ าชีพ สารนิพนธ์และวิทยานพิ นธ์ที่ออกแบบและนาไปปฏบิ ัตสิ ่วนใหญม่ คี วามเหมาะสม แต่บางส่วนมคี วามจาเปน็ ต้องได้รบั การปรบั ปรงุ ให้ดีข้นึ คาสาคัญ : การประเมินหลกั สูตร, ผลการเรียนรู้, การจดั การเรียนรู้ * คณบดีวทิ ยาลยั ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรุ กิจบัณฑิตย์ ** ผู้อานวยการหลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจดั การการศึกษาวิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบณั ฑิตย์

217 ABSTRACT The research aims to investigate results of the development of characteristics of students during their study in the Educational Management Program as required by the curriculum, results of the development of special characteristics, learning outcomes outlined by the Thai Qualifications Framework for Higher Education (TQF), and guidelines for students’ development regarding learning management during their studies in the Master of Education Program in Educational Management. The subject of this research includes two batches of Master’s students who were taking courses in the Educational Management Program, educational administrators, instructors, and the students’ supervisors. Data was collected through a questionnaire, together with structured and in-depth interviews, and it was analyzed by using mean, standard deviation, and content analysis. Results suggest that characteristics and competencies of the students outlined in the curriculum requirements consist of professional responsibility, innovation leadership in education, intimate knowledge in the field of educational management, and abilities in continual self- and professional development. Instructors agree that the students’ development was at a high level in spite of their different background knowledge and experiences. Such comments are compatible with statements from supervisors regarding the way that the students were able to initiate innovation in educational management and apply it in educational institutions. Additionally, as for skills and special characteristics of the students which are required by the curriculum, the results indicate that the students need to have moral courage, the spirit of a teacher, as well as leadership and teamwork skills. The students’ supervisors typically view that the students actually possessed all those characteristics already and should, therefore, improve their English for better communication skills instead. This is also compatible with comments from instructors stating that the students should develop skills for researching studies from international journals. As for learning outcomes by TQF, the results show that the students achieve the highest level in the domain of knowledge, followed by the domains of interpersonal skills and responsibility, analytical and communication skills, respectively. Regarding the guidelines for the students’ development of learning management during their time studying in the program, the learning objectives, structure, and contents of the courses mostly matched the needs of the students sampled. Learning activities according to the learning management process as required by the curriculum, such as regular courses, seminars, professional practice, independent study, and thesis, are mostly considered suitable for teaching and learning, except for some of them that need to be improved. ภูมหิ ลงั หลกั การและวธิ ีการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนระดับบณั ฑิตศกึ ษา เพือ่ ให้ผู้เรียนมคี ณุ ลกั ษณะตามวตั ถปุ ระสงค์ ของหลกั สตู รนน้ั จะตอ้ งคานึงถงึ มาตรฐานคณุ ภาพการจัดการเรียนรู้ในตลอดระยะเวลาที่ดาเนินการ เพ่อื ให้ทราบว่า หลักสตู รและรายวชิ าต่างๆ เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั บริบทในปัจจุบนั อยา่ งไร ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ตรง ตามวัตถุประสงค์ของหลักสตู รและเกณฑ์มาตรฐานหลกั สตู รระดบั บณั ฑิตศกึ ษาหรือไม่ จึงจาเปน็ ต้องอาศยั การ ประเมินหลักสูตร ซึง่ วิชัย วงศ์ใหญ่ (2543, หน้า 33-44) และ สุนยี ์ ภู่พันธ์ุ (2546, หน้า 252) แบง่ ระยะเวลาการ ประเมินหลักสตู รออกเปน็ 3 ระยะ คือ ก่อนนาหลกั สตู รไปใช้ ระหว่างการใชห้ ลกั สูตร และภายหลังการใชห้ ลักสูตร

218 ครบกระบวนการ ทง้ั น้เี พอ่ื นาผลมาใชพ้ ัฒนาปรับปรงุ กระบวนการจดั การเรียนรู้ เพอ่ื ให้บรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ของ หลกั สูตร มาตรฐานความรู้ และสมรรถนะของผู้ประกอบวิชาชพี บริหารการศึกษาและผู้บริหารสถานศกึ ษา อีกท้ังยัง นาไปพฒั นาและปรับปรุงหลกั สูตรเพ่อื ให้ผู้เรียนเกิดผลสมั ฤทธิก์ ารเรียนรู้หรือคณุ ลักษณะตามที่คาดหวังได้ดยี ง่ิ ขึน้ (Stufflebeam et al. 1971, p. 128) จึงเหน็ สมควรวจิ ยั เพ่อื ให้มพี ฒั นาการการจัดการเรียนรู้ของนักศกึ ษาหลักสูตร ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการจดั การการศึกษา วทิ ยาลัยครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบัณฑิตย์ โดยศึกษา ระดับที่ต้องการบรรลวุ ัตถุประสงค์ของหลักสตู ร เพือ่ ศกึ ษาระดบั ความตอ้ งการบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ของการพัฒนา คุณลักษณะพเิ ศษ และศึกษาผลการเรียนรู้ (Learning Outcomes) ท้ัง 5 ด้านตามที่กาหนดไว้เป็นกรอบมาตรฐาน คณุ วฒุ ิ (TQF) ระดบั บัณฑิตศกึ ษา เพือ่ นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการปรบั ปรุงการจดั กระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรศกึ ษา ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาการจดั การการศึกษา วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบณั ฑิตย์ ให้มีคณุ ภาพ มาตรฐานดังกลา่ วตอ่ ไป คาถามการวิจยั 1. ผลการพัฒนานกั ศึกษาระหวา่ งเรียนตามวัตถปุ ระสงค์ของหลกั สตู รศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจดั การการศึกษา วทิ ยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบณั ฑิตย์ อยใู่ นระดับใด 2. ผลการพฒั นาคุณลกั ษณะพเิ ศษของนักศกึ ษาระหว่างเรียนระดับมหาบัณฑิต สาขาการจัดการการศึกษา วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบัณฑิตย์ อยู่ในระดับใด 3. ผลการเรียนรู้ (Learning Outcome) ของนักศกึ ษาระหวา่ งเรียนระดับมหาบัณฑิต สาขาการจดั การ การศึกษา วทิ ยาลยั ครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบัณฑิตย์ อยู่ในระดบั ใด 4. แนวทางการพฒั นาการจดั การเรียนรู้ของนักศึกษาระดับมหาบณั ฑติ สาขาการจดั การการศึกษา วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบณั ฑิตย์ ระหวา่ งเรียน มีแนวทางใดบ้าง ความมุ่งหมายของการวิจยั 1. เพือ่ ศกึ ษาผลการพฒั นานักศกึ ษาระหว่างเรียนตามวัตถุประสงค์ของหลกั สตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาการจดั การการศึกษา วทิ ยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบัณฑิตย์ 2. เพอ่ื ศึกษาผลการพฒั นาคณุ ลักษณะพเิ ศษของนักศกึ ษาระหว่างเรียนระดับมหาบณั ฑิต สาขาการจัดการ การศึกษา วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 3. เพ่อื ศึกษาผลการเรียนรู้ (Learning Outcome) ของนกั ศกึ ษาระหว่างเรียนระดับมหาบณั ฑิต สาขาการ จัดการการศึกษา วทิ ยาลยั ครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบณั ฑติ ย์ 4. เพ่อื ศึกษาแนวทางการพัฒนาการจดั การเรียนรู้ของนกั ศึกษาระดับมหาบัณฑิต สาขาการจดั การ การศึกษา วทิ ยาลยั ครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ระหวา่ งเรียน

219 กรอบแนวคดิ การวิจัย จดุ หมายและผลแหง่ การเรียนรู้ของนกั ศึกษาระหว่างเรียน • คณุ ลักษณะตามที่กาหนดไว้ในวตั ถุประสงค์ของหลกั สตู ร • คุณลักษณะพิเศษของนกั ศึกษาที่มุ่งพัฒนา • ผลการเรียนรู้ (Learning outcome) ของนักศึกษา กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แนวทางการพฒั นาการจัดการเรียนรู้ของนักศกึ ษาหลักสูตรศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาการจัดการการศึกษา วิทยาลยั ครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรุ กิจบัณฑิตย์ ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดการวิจยั วิธีดาเนนิ การวิจยั การพฒั นาการจดั การเรียนรู้ของนกั ศึกษาระหวา่ งเรียนเปน็ การวิจยั เชงิ พรรณนาและสารวจความเห็นของ นกั ศกึ ษา ผู้รบั ผิดชอบหลักสูตรและอาจารย์ผู้สอนในรายวชิ าต่างๆ ตามหลกั สูตร รวมท้ังรวบรวมความคดิ เห็นของ ผู้บังคบั บัญชาของนักศึกษาเก่ยี วกับคุณภาพผู้เรียนและแนวทางการพัฒนาความรู้ความสามารถของผู้เรียน ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากรในงานวจิ ัยคร้ังนี้ คือ นักศกึ ษาปริญญาโทสาขาการจดั การการศึกษา วทิ ยาลยั ครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ทศ่ี กึ ษาในปกี ารศึกษา 2555 และ 2556 จานวนรวมท้ังส้นิ 40 คน ผู้รบั ผิดชอบหลกั สูตร และอาจารย์ผู้สอนรายวชิ าต่างๆ ในหลกั สูตรจานวน 10 คน ผบู้ งั คบั บญั ชาของนกั ศึกษา จานวน 26 คน รวมทั้งส้นิ 66 คน กลุ่มตัวอยา่ ง ได้แก่ นักศกึ ษาทตี่ อบแบบสอบถาม จานวน 26 คน ตอบแบบสัมภาษณจ์ านวน 6 คน ผู้รับผิดชอบหลกั สตู ร และอาจารยผ์ ู้สอนทีใ่ ห้ขอ้ มูลโดยการสมั ภาษณ์ 7 คน ผู้บังคับบญั ชาของนกั ศึกษาทใ่ี ห้ขอ้ มูลโดย การสัมภาษณ์ จานวน 7 คน รวมทั้งส้นิ 46 คน เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการเกบ็ และรวบรวมขอ้ มูล คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับและแบบ สมั ภาษณแ์ บบมโี ครงสร้างและแบบสัมภาษณเ์ จาะลึก สถิติทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล ใชค้ ่าเฉลยี่ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการวเิ คราะห์เน้ือหา การเกบ็ รวมรวมข้อมูล การเก็บขอ้ มูลในการวจิ ัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยใชก้ ารเกบ็ ขอ้ มูล โดยแจกแบบสอบถามให้แกน่ กั ศกึ ษาโดยตรง และเกบ็ รวบรวมดว้ ยตนเอง สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ข้อมลู สถานภาพทั่วไปของนกั ศกึ ษา วิเคราะห์โดยใชส้ ถิตเิ ชงิ พรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ความถี่ (Frequency) และร้อยละ (Percentage) การวเิ คราะห์ระดับการพัฒนาการเรียนรู้ของนักศกึ ษาระหว่างเรียน หลกั สตู รศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจดั การการศึกษา ใชส้ ถิตเิ ชงิ พรรณนา คือ คา่ เฉลย่ี (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

220 สรุปผลการวิจยั 1. ผลการศึกษาคณุ ลกั ษณะ สมรรถนะและพฤติกรรมทีต่ ้องมตี ามวตั ถปุ ระสงค์ของหลักสูตรศกึ ษาศาสตร มหาบณั ฑิต สาขาการจดั การการศึกษา วทิ ยาลัยครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กิจบัณฑิตย์ ภาพรวมในทัศนะของ นกั ศกึ ษาระหว่างเรียนอยใู่ นระดบั เห็นดว้ ยมาก ( X =4.45) โดยด้านทีม่ ีคา่ เฉลย่ี สงู ทีส่ ุดและรองลงมาได้แก่ ต้องมคี วาม รบั ผิดชอบในวชิ าชีพทางการศกึ ษา ( X = 4.69) ต้องมคี วามเปน็ ผู้นาการเปลี่ยนแปลงทางการศกึ ษาและตอ้ งมีความรู้ ลึกซึ้งในเรื่องของการบริหารและการจัดการศึกษา ( X =4.62) และต้องสามารถพัฒนาตนเองและวชิ าชีพอย่างตอ่ เนอ่ื ง ( X =4.60) ความคิดเหน็ ของผู้รบั ผิดชอบหลักสตู รและอาจารย์ผู้สอนเกี่ยวกับพฒั นาการของนกั ศกึ ษาจากการ สัมภาษณพ์ บวา่ นักศกึ ษามคี วามรู้ระหว่างเรียนพอสมควร แต่เนือ่ งจากนักศกึ ษามคี วามแตกตา่ งกนั ทางประสบการณ์ การทางาน ความรู้ระหวา่ งเรียนจึงคอ่ นข้างแตกตา่ งกนั ไปด้วย การจดั กิจกรรมการเรียน ทาให้นกั ศึกษาได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และได้รับความรู้จากกิจกรรมการเรียนการสอน แต่พบวา่ นักศกึ ษาบางคนมีความรู้รอบตัวคอ่ นข้างจากัด ความคิดเห็นของผู้บังคบั บญั ชาตอ่ นกั ศกึ ษาระหว่างเรียน เกีย่ วกับคณุ ลักษณะตามวตั ถปุ ระสงค์ของ หลักสูตร จากการสัมภาษณพ์ บวา่ นกั ศกึ ษาสามารถนาหลักการบริหารไปใชใ้ นโรงเรียนได้อยา่ งเหมาะสม สามารถ จัดการศกึ ษาตามแนวนโยบายและแผนกลยุทธ์ของสถานศกึ ษา เป็นผู้นาการเปลีย่ นแปลงดา้ นการเรียนการสอน และพฒั นาการเรียนการสอนที่ตนเอง ทาวิจัยในช้ันเรียนได้ เป็นผู้นาความรู้และนวัตกรรมมาประยุกตใ์ ชใ้ นการจดั การ เรียนรู้ และได้รบั มอบหมายให้ช่วยงานดา้ นนโยบายและแผนกลยทุ ธ์ของสถานศกึ ษา 2. ผลการพฒั นาคุณลกั ษณะพเิ ศษในทศั นะของนักศึกษาในภาพรวมอยใู่ นระดับอยใู่ นระดบั มาก ( X =4.42) ด้านที่มีคา่ เฉลย่ี มากทีส่ ุดคือ ตอ้ งมีความกลา้ หาญทางจรยิ ธรรมในการเผชญิ ความทา้ ทาย ( X =4.69) ต้องมจี ิต วญิ ญาณความเป็นครู ( X =4.58) และตอ้ งมีทักษะการเปน็ ผู้นาและการทางานเปน็ ทีม ( X =4.46) ตามลาดบั ส่วนความสามารถดา้ นการใช้ภาษาอังกฤษ ความสามารถดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ และความสามารถในการ ประยกุ ตท์ ฤษฎี การวจิ ัยและการปฏบิ ตั ไิ ปพฒั นาตนเอง พัฒนางานและสังคม มคี ่าเฉลีย่ คะแนนต่ากว่าด้านอืน่ ๆ ( X =4.27) ความคิดเห็นของผู้รบั ผิดชอบหลกั สตู รและอาจารย์ผู้สอนในหลกั สูตรจากผลการสมั ภาษณ์พบวา่ ความสามารถของนกั ศกึ ษาดา้ นภาษาองั กฤษอยใู่ นระดับปานกลาง ด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศมีความสามารถในระดับ นาไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ ดา้ นการมจี ิตวญิ ญาณความเปน็ ครู มคี วามมุ่งมน่ั ศึกษาและมีเป้าหมายชัดเจนในความเป็น ครูและเป็นผู้บริหารการศึกษา มที ักษะมคี วามสามารถในการทางานเป็นทีม หัวหนา้ ทมี มคี วามเปน็ ผู้นาได้ดี แสดงความกล้าหาญทางจรยิ ธรรมค่อนขา้ งดี แสดงความตง้ั ใจจะศกึ ษาและเรียนรู้ทีจ่ ะบริหารการศึกษาให้กา้ วหนา้ หลายคนมีแนวคิดใหม่ ความคิดเหน็ ของผู้บังคับบัญชาตอ่ นักศกึ ษาระหว่างเรียน จากผลการสัมภาษณ์เกี่ยวกบั คณุ ลกั ษณะ พเิ ศษ พบว่า ความสามารถด้านการใชภ้ าษาอังกฤษอยใู่ นระดบั พอใช้ ด้านทักษะการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ สามารถ ใชไ้ ด้อยา่ งคล่องแคล่วและใชใ้ นการจัดการศกึ ษาได้ดี มีจติ วญิ ญาณความเป็นครูสูงมาก ทักษะการเปน็ ผู้นาและการ ทางานเปน็ ทีม มีความกล้าหาญทางจริยธรรม มีจิตอาสา มีธรรมาภบิ าลเป็นหลกั ในการทางาน มคี วามมุ่งมั่นนาการ เปลี่ยนแปลงทางการศกึ ษา สนองนโยบายของผู้บงั คบั บญั ชาได้ 3. ผลดา้ นการเรียนรู้ (Learning Outcome) ตามกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ อิ ุดมศกึ ษาแหง่ ชาติ (TQF) ในทัศนะ ของนักศกึ ษาพบดังน้ี

221 3.1 ด้านคุณธรรมและจรยิ ธรรมในภาพรวมนกั ศกึ ษามสี มรรถนะอยู่ในระดับมาก ( X =4.45) โดยขอ้ ทีม่ ี ค่าเฉลีย่ สงู ที่สดุ คือ สามารถวินจิ ฉยั อยา่ งผู้รู้ดว้ ยความยตุ ิธรรมชัดเจน ( X =4.58) รองลงมาคือสามารถแสดงออกซึ่ง ภาวะผู้นาในการส่งเสริมให้มีการประพฤติปฏบิ ตั ติ ามหลักคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ( X =4.46) และสามารถรเิ ริม่ ยกปญั หา ทางจริยธรรมเพอ่ื ทบทวน แก้ไขปญั หาและจัดการขอ้ โต้แย้งทีม่ ผี ลกระทบตอ่ ตนเองและผู้อื่น (X =4.42) ตามลาดับ ส่วนขอ้ ทีม่ ีคา่ เฉลย่ี ตา่ กว่าข้ออืน่ ๆ คือ สามารถวินจิ ฉัยปัญหาทางจรยิ ธรรมตามเหตผุ ลและค่านิยมทีด่ งี าม ( X =4.35) 3.2 ด้านความรู้ ในภาพรวมนกั ศกึ ษามคี ุณลกั ษณะหรือสมรรถนะอยู่ในระดบั มาก ( X =4.49) คือมคี วาม ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเน้ือหาสาระหลกั ของสาขาการจดั การการศึกษา ตลอดจนหลกั การทฤษฎีทีส่ าคัญ สามารถนาไปประยุกตใ์ นการศึกษาค้นควา้ ทางวชิ าการหรือการปฏบิ ตั วิ ชิ าชีพ เขา้ ใจวิธีการพัฒนาความรใู้ หมๆ่ และการประยุกตต์ ลอดจนถึงผลกระทบของงานวิจยั ในปจั จุบันที่มีต่อองคค์ วามรู้ในสาระวิชาและการปฏบิ ัตใิ นวชิ าชีพ ( X =4.62) รองลงมาคือ การตระหนักในระเบียบข้อบงั คบั ทีใ่ ชอ้ ยู่ในสภาพแวดลอ้ มของระดับชาตแิ ละนานาชาติ ทีอ่ าจมผี ลกระทบตอ่ วิชาชพี รวมท้ังเหตผุ ลและการเปลีย่ นแปลงที่จะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต ( X =4.50) เปน็ ต้น 3.3 ดา้ นทกั ษะทางปัญญา นกั ศกึ ษามที ักษะในภาพรวมอยใู่ นระดับมาก ( X =4.41) โดยสามารถใชค้ วามรู้ ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัตใิ นการจัดการกบั บริบทใหมท่ ีไ่ ม่คาดคิดทางวิชาการและวิชาชพี สามารถพัฒนาความคิด ใหมๆ่ บูรณาการเข้ากบั องค์ความรู้เดิมหรือเสนอความรู้ใหม่ที่ท้าทาย ( X =4.56) รองลงมาสามารถวางแผนและ ดาเนนิ โครงการสาคญั หรือโครงการวจิ ยั ได้ด้วยตนเอง ( X =4.44) และสามารถใชเ้ ทคนิคท่ัวไปหรือเฉพาะทางในการ วเิ คราะห์ประเด็นปญั หาทซ่ี ับซ้อนได้อยา่ งสร้างสรรค์ ( X =4.32) ตามลาดบั 3.4 ด้านทกั ษะความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลและความรบั ผิดชอบ นกั ศึกษามีทกั ษะและสมรรถนะใน ภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก ( X =4.48) โดยขอ้ ที่มีคา่ เฉลย่ี มากท่สี ุด ได้แก่ การแสดงออกซึง่ ทักษะความเปน็ ผู้นาได้อย่าง เหมาะสมตามโอกาสและสถานการณ์ ( X =4.68) สามารถตดั สนิ ใจและมีความรับผิดชอบในการดาเนนิ งานดว้ ยตนเอง และประเมินผลงานตนเองได้ (X =4.52) และสามารถแกไ้ ขปญั หาทีม่ ีความซับซ้อนหรือความยงุ่ ยากระดบั สูงทาง วชิ าชีพการจัดการการศึกษาไดด้ ้วยตนเอง ( X =4.44) ส่วนข้อทีม่ ีคา่ เฉล่ยี ต่าทส่ี ดุ คือ การร่วมมอื กบั ผู้อื่นอย่างเต็มที่ ในการจัดการขอ้ โต้แย้งและแกป้ ัญหาต่างๆ ( X =4.36) 3.5 ดา้ นทกั ษะการวเิ คราะห์เชงิ ตวั เลข การส่อื สารและการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ นักศึกษามสี มรรถนะ ในภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก ( X =4.41) โดยขอ้ ที่มีคา่ เฉลย่ี มากทีส่ ุดคือ สามารถคัดกรองข้อมูลทางคณิตศาสตร์และ สถิติ ( X =4.52) รองลงมาคือ สามารถสือ่ สารได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกบั บุคคลทง้ั ในวงวชิ าการ วชิ าชีพและ ชมุ ชนทวั่ ไป ( X =4.40) และสามารถนาเสนอรายงาน ทงั้ ในรปู แบบทีเ่ ป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ ผ่านสอ่ื ส่งิ พมิ พ์ ทางวิชาการและวิชาชพี รวมทั้งโครงร่างวทิ ยานพิ นธ์ สารนิพนธ์หรือโครงร่างการค้นคว้าทีส่ าคญั ( X =4.32) ตามลาดบั ผลการวัดและประเมินคุณลกั ษณะสมรรถนะและพฤติกรรมของนกั ศึกษาระหวา่ งเรียนในด้านผลการ เรียนรู้ (Learning Outcome) โดยสรปุ พบวา่ ในภาพรวมอยใู่ นระดับมาก ( X =4.45) ด้านทีม่ ีคา่ เฉล่ยี อยใู่ นระดบั มาก มากทส่ี ดุ คือ ดา้ นความรู้ (X =4.49) รองลงมาคือ ด้านทกั ษะความสัมพนั ธ์ระหว่างบคุ คลและความรบั ผิดชอบ ( X =4.48) และด้านคุณธรรมและจรยิ ธรรม ( X =4.45) ตามลาดับ ส่วนดา้ นทมี่ คี ่าเฉลีย่ ตา่ ทีส่ ดุ มี 2 ด้านได้แก่ ด้านทกั ษะทางปัญญา และด้านทักษะการวเิ คราะห์เชงิ ตวั เลข การสอ่ื สารและการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ ( X =4.41) ผลการศึกษาความคิดเหน็ ของผรู้ บั ผิดชอบหลกั สตู รและอาจารย์ผู้สอนในรายวชิ าของหลักสตู ร พบวา่ ผลการเรียนรู้ของนักศึกษา ด้านคุณธรรมและจรยิ ธรรม ด้านความรู้ มกี ารพัฒนาเพม่ิ ข้ึนเปน็ ลาดับ ส่วนทกั ษะ ทางปัญญา สงั เกตว่านกั ศกึ ษามกี ารคิดวิเคราะห์ได้ดขี ึน้ ทักษะความสมั พันธ์ระหว่างบคุ คลและความรบั ผิดชอบ

222 นกั ศกึ ษามคี วามสมั พันธ์ที่ดตี อ่ กัน และมีความรบั ผิดชอบสงู มากขึน้ มีทักษะการใชเ้ ทคโนโลยเี พอ่ื การสือ่ สาร และมีการสบื ค้นขอ้ มลู เพ่อื การเรียนรู้ทั้งในชั้นเรียนและนอกชนั้ เรียนได้ดี ผู้รับผิดชอบหลกั สูตรและอาจารยผ์ ู้สอนมขี ้อเสนอแนะวา่ นกั ศกึ ษาควรได้รบั การพฒั นาส่งเสริมการ เรียนรู้วิธีการเรียนและการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเองเพม่ิ ข้ึน ควรเพ่มิ กิจกรรมการทางานเปน็ ทีม และทกั ษะการเป็น ผู้นาในสถานการณ์ต่างๆ และให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงมากขึ้น ควรพัฒนาทกั ษะดา้ นภาษาองั กฤษให้สามารถ สอ่ื สารได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เน้นการศึกษารายกรณเี พอ่ื พัฒนาทกั ษะด้านผู้นาการเปลีย่ นแปลงทางการศกึ ษา 4. แนวทางการพฒั นาการจัดการเรียนรู้ของนกั ศึกษาระหวา่ งเรียนตามหลกั สตู รการจัดการการศึกษา จากผลการประมวลขอ้ มลู การศกึ ษา และจากข้อมูลทีไ่ ดจ้ ากผลการสมั ภาษณ์ นามากาหนดเป็นแนวทางการ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ได้ดังนี้ 4.1 วตั ถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ตามหลกั สตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิตสาขาการจดั การการศึกษา พบวา่ หลกั สตู รจะตอ้ งให้ความสาคัญในการพัฒนานักศึกษาระหวา่ งเรียน โดยต้องมคี วามรับผดิ ชอบตอ่ วิชาชพี ทาง การศึกษา เปน็ ผู้นาการเปลีย่ นแปลงทางการศกึ ษา สามารถพฒั นาตนเองและวิชาชพี ทางการบริหารการศึกษาอย่าง ตอ่ เน่อื ง มคี ณุ ธรรมและจรรยาบรรณในวชิ าชีพทางการศกึ ษา สามารถประยกุ ตค์ วามรู้และทฤษฎแี ละหลักการบริหาร และการจดั การการศึกษาไปสู่การปฏบิ ตั ไิ ด้ มคี วามสามารถในการวางนโยบายและกลยุทธ์ในการเปลี่ยนแปลง การศึกษาสามารถวางกลยุทธ์การพฒั นาการศกึ ษา สามารถทาแผนกลยุทธ์เพ่อื เปน็ เคร่ืองมือในการบริหารการศึกษา มีความรู้ความสามารถในการทาวิจัยเพ่อื ปรบั ปรุงเปลีย่ นแปลงคณุ ภาพการศึกษา และสามารถประยกุ ตใ์ ชผ้ ลงานวจิ ยั เพ่อื ปรบั ปรงุ เปลี่ยนแปลงคณุ ภาพการศึกษา 4.2 โครงสร้างและสาระการเรียนรู้ จากผลการสัมภาษณผ์ ู้รบั ผดิ ชอบหลกั สูตร คณาจารย์ผู้บงั คับบญั ชา และนกั ศกึ ษา พบวา่ แนวทางการพัฒนาโครงสร้างและสาระการเรียนรู้ คือ (1) ความรู้เชงิ วชิ าการควรมกี ารปรบั ปรงุ เน้อื หารายวชิ าให้ทนั สมัย เหมาะสมกบั สภาพสงั คมปจั จบุ ันและอนาคต จัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 มกี าร เรียนรู้ทฤษฎีใหม่ๆ ทางการบริหาร (2) ทกั ษะหรอื สมรรถนะ ทีค่ วรได้รับการพัฒนา คือ เน้นการพฒั นาภาวะผู้นา ทีน่ าไปสู่มาตรฐานสากล สามารถแสวงหาแนวทางปฏิบัตใิ หมๆ่ ในการพัฒนาองคก์ ารทางการศกึ ษาสามารถเป็นนกั คิดนักพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ มภี าวะผู้นาเชิงคุณธรรม และการพฒั นาทักษะการบริหารทีเ่ น้นประโยชนเ์ พอ่ื สว่ นร่วม 4.3 แนวทางการพฒั นาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักสูตร 4.3.1 แนวทางการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้รายวิชาปกติ นักศึกษาหรอื ผู้เรียนควรได้รับประสบการณ์ การเรียนรู้แบบเนน้ ผู้เรียนเป็นสาคญั ด้วยกจิ กรรมการเรียนที่หลากหลาย และเน้นการเรียนภาคทฤษฎคี วบคู่กับการ ปฏบิ ตั ิ เพื่อให้นักศกึ ษาได้รบั ประสบการณ์ตรง 4.3.2 แนวทางการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้รายวชิ าสถิติและการวจิ ยั ทางการศกึ ษา ควรพัฒนาทกั ษะ การวจิ ัย ส่งเสริมให้นาความรู้จากการศึกษาหลกั การและทฤษฎกี ารวจิ ยั เพ่อื พัฒนาไปสู่วิทยานพิ นธ์ได้ 4.3.3 แนวทางการจัดการเรียนรู้รายวชิ าสัมมนาการวิจยั ควรมกี ารจัดกิจกรรมสัมมนาในชั้นเรียน และนอกชนั้ เรียน มีการเชญิ วิทยากรและผู้เช่ยี วชาญดา้ นการวิจัยมาฝึกปฏบิ ตั ใิ ห้นกั ศกึ ษา เพิ่มพนู ทักษะการค้นคว้า งานวจิ ัยจากตา่ งประเทศ เพ่มิ พนู ความรู้ทางด้านการใชส้ ถิตแิ ละการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เป็นต้น 4.3.4 แนวทางการพัฒนากิจกรรมการจัดการเรียนรู้รายวชิ าการฝึกประสบการณ์วิชาชพี ต้องมกี าร จดั ประชมุ เพอ่ื นาผลการฝึกประสบการณ์มานาเสนอร่วมกนั เพอ่ื แลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาและประสบการณ์ร่วมกัน นักศกึ ษาจะต้องจดั ทาแผนกิจกรรมการฝึกปฏบิ ตั วิ ชิ าชีพ ประสานความรว่ มมือกบั สถานทีฝ่ กึ

223 4.3.5 แนวทางการพฒั นากิจกรรมการจัดทาวิทยานพิ นธ์และสารนพิ นธ์ของนกั ศึกษา คือ อาจารย์ ที่ปรึกษาควรพิจารณาร่างเค้าโครงวิทยานพิ นธ์ทีผ่ ่านความเห็นชอบในกระบวนการการเรียนรายวิชาสัมมนาการวจิ ยั ของนกั ศกึ ษามาพจิ ารณาและสง่ ตอ่ ให้แก่อาจารย์ทีน่ ักศกึ ษาเลอื กเปน็ อาจารย์ทีป่ รึกษาวิทยานิพนธ์ 4.4 แนวทางการพัฒนากิจกรรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ควรมกี ารวดั และประเมินและนาผล การทากิจกรรมระหว่างเรียน ทงั้ รายกลุ่มและรายบคุ คลทเ่ี นน้ พฒั นาการหรือความเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมของผู้เรียน มาประกอบการพจิ ารณาตดั สนิ ผลการเรียนให้มากยง่ิ ขนึ้ อภปิ รายผลการวิจัย 1. จากผลการวจิ ยั ครั้งนพี้ บวา่ นักศกึ ษาระหว่างเรียนหลกั สตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาการจัดการ การศึกษา ตอ้ งการพฒั นาคณุ ลกั ษณะหรือสมรรถนะด้านความรบั ผิดชอบในวชิ าชีพทางการศกึ ษา ต้องการเป็นผู้นา การเปลีย่ นแปลงทางการศกึ ษา และต้องการมคี วามรู้ลกึ ซึ้งเรือ่ งการจดั การศึกษาให้สามารถพฒั นาตนเองและวิชาชพี ได้อยา่ งต่อเน่อื ง แสดงให้เห็นว่านักศกึ ษาในหลักสูตรที่เป็นกลุ่มตัวอยา่ ง ตอ้ งการให้มีการพัฒนาคณุ ภาพการจดั การศึกษาระดบั บณั ฑิตศกึ ษาตามแนวคิดของ ประดิษฐ์ มีสขุ และทรงธรรม ธรี ะกุล ทีอ่ ธิบายว่าคุณภาพบณั ฑิตตอ้ งมี ความรู้ลกึ ซึง้ และมีทักษะในสาขาวิชาท่ศี กึ ษา มีความรู้เกีย่ วกับศาสตร์สาขาอืน่ ทีเ่ ชอ่ื มโยงกับศาสตร์ของตน มีความ เปน็ ผู้นา สามารถผลิตผลงานทางวิชาการและทางานวจิ ัยได้ด้วยตนเองอยา่ งถกู ตอ้ งและมีความมงุ่ มนั่ ทีจ่ ะพัฒนา วชิ าชีพอย่างตอ่ เนอ่ื ง (ประดิษฐ์ มีสขุ และทรงธรรม ธรี ะกลุ , 2551, หน้า 123) แต่จากการสังเกตพฤติกรรมของ นักศกึ ษาระหว่างเรียนของคณาจารยผ์ ู้สอนพบวา่ ผู้เรียนมพี ้ืนฐานของประสบการณ์การทางานค่อนขา้ งแตกตา่ งกัน ดงั นน้ั ผู้สอนต้องตระหนกั และเขา้ ใจเกีย่ วกบั ข้อแตกตา่ งดังกล่าว การจดั กจิ กรรมตา่ งๆ ในกระบวนการเรียน อาจารย์ ผู้สอนจึงมุ่งเนน้ การส่งเสริมให้ผเู้ รียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์และการค้นควา้ และนามาอภปิ ราย เกีย่ วกับในระหว่างเรียนท้ังภายในชน้ั เรียนและภายนอกชน้ั เรียนตามความเหมาะสม ทงั้ น้ีเพอ่ื มุ่งส่งเสริมและพฒั นา คณุ ลกั ษณะ สมรรถนะและพฤตกิ รรมของนกั ศึกษาให้เป็นไปตามทีก่ าหนดไวใ้ นแผนการเรียนการสอนและ วตั ถปุ ระสงค์ของหลักสตู ร โดยมคี ารับรองจากผู้บงั คับบญั ชาของนกั ศกึ ษาระหว่างเรียนวา่ ผู้เรียนสามารถนาความรู้ และประสบการณ์ไปใชใ้ นโรงเรียนได้ ผู้เรียนเปน็ ผู้นาการเปลีย่ นแปลงดา้ นการเรียนการสอน มีความสามารถในการ ประยกุ ตค์ วามรู้สกู่ ารปฏบิ ตั ิ มีความรับผิดชอบในงานในตนเองและวิชาชพี ได้รับมอบหมายให้ชว่ ยงานด้านนโยบาย และแผนของสถานศกึ ษา เป็นต้น 2. การพัฒนาคณุ ลกั ษณะหรือสมรรถนะพิเศษซึ่งเป็นคุณลกั ษณะเสริม คุณลกั ษณะและสมรรถนะพิเศษ ทีส่ าคัญพบวา่ สิ่งที่นกั ศกึ ษาตอ้ งการพฒั นาสงู ที่สดุ และรองลงมาคือ ความกล้าหาญทางจริยธรรม การเผชญิ กับ ความท้าทาย มีจิตวญิ ญาณความเป็นครู ทักษะการเป็นผู้นาและการทางานเปน็ ทีม ส่วนความสามารถในการใช้ ภาษาอังกฤษ เทคโนโลยสี ารสนเทศ การประยุกตท์ ฤษฎีการวิจยั และการปฏบิ ตั ไิ ปพฒั นาตนเองนั้น มีค่าเฉลี่ยของ คะแนนความตอ้ งการการพัฒนาตา่ กว่าด้านอืน่ ที่กลา่ วมาข้างตน้ ทงั้ น้ีอาจเป็นเพราะนักศึกษาเห็นวา่ กลุ่มสมรรถนะ หลังนมี้ กี ารกาหนดไวช้ ัดเจนในโครงสร้างและสาระของหลกั สตู รแลว้ กเ็ ป็นได้ ซึง่ ผู้รบั ผิดชอบหลักสตู รและอาจารย์ ผู้สอนประเมินวา่ นกั ศกึ ษามที ักษะภาษาองั กฤษอยใู่ นระดบั ปานกลาง สมรรถนะด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศมี ความสามารถในระดบั นาไปใชไ้ ด้ในชีวิตประจาวนั เช่นเดียวกับคณุ ลกั ษณะดา้ นการมจี ิตวญิ ญาณแห่งความเปน็ ครู และเปน็ ผู้นาทางการศกึ ษานน้ั มคี วามชดั เจนในความเห็นของกลุ่มตัวอยา่ ง นักศกึ ษาและอาจารยผ์ ู้สอน คล้ายกับ ความเห็นของกลุ่มตวั อยา่ งผู้บงั คับบัญชาของนกั ศึกษาซึ่งเห็นวา่ นักศกึ ษามจี ิตวญิ ญาณความเป็นครูสูงมาก มที ักษะ ความเปน็ ผู้นาในการทางานเปน็ ทีมได้ดี มีความกล้าหาญทางจรยิ ธรรม มีจิตอาสา และอื่นๆ อยา่ งไรก็ตาม จากการ ตลาดแรงงาน (ไพฑูรย์ สินลารตั น์, 2552, หน้า 87) ดังนั้น ความตอ้ งการพฒั นาคณุ ลกั ษณะหรือสมรรถนะพิเศษท่ี

224 อธิบายลักษณะหลักปรัชญาการเรียนรู้ของกลุ่มปรชั ญาปฏบิ ตั ินยิ มของไพฑรู ย์ สินลารตั น์ ทีว่ ่าการเรียนการสอนตาม หลักปรัชญาสาขานตี้ อ้ งการใหผ้ ู้เรียนมคี ุณลกั ษณะตรงตามที่ตลาดแรงงานตอ้ งการ เน้นการลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ต้องมี ทกั ษะสมยั ใหม่ เชน่ ภาษาองั กฤษ คอมพวิ เตอร์ ฯลฯ ทง้ั น้เี พอ่ื ให้บณั ฑิตสามารถปรับเปลีย่ นได้ตามความต้องการของ กาหนดไวใ้ นหลกั สตู ร เช่น ทกั ษะการใชภ้ าษาอังกฤษ การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ จึงยงั มคี วามจาเปน็ ทีน่ ักศกึ ษา ระหว่างเรียนจะต้องได้รบั การสง่ เสริมและพฒั นาต่อไป 3. จากการศกึ ษาผลการเรียนรู้ (Learning Outcome) ของนกั ศกึ ษาระหวา่ งเรียนพบวา่ ผู้เรียนมคี ณุ ลกั ษณะ สมรรถนะและพฤติกรรมทีม่ ีคา่ เฉลย่ี ของคะแนนสงู ทีส่ ุด และรองลงมาคือ (1) ความรู้ (2) ทักษะความสมั พนั ธ์ระหว่าง บุคคลและความรับผิดชอบ (3) คุณธรรมและจรยิ ธรรม (4) ทักษะทางปญั ญา (5) ทกั ษะการวิเคราะห์เชงิ ตัวเลข การสอ่ื สารและการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ ท้ังภาพรวมและรายด้านอยใู่ นระดบั มาก จากการประเมินตนเองของ นักศกึ ษาซึ่งสอดคล้องกบั การสงั เกตการณข์ องคณาจารย์ จากผลการสมั ภาษณผ์ ู้สอนทีเ่ หน็ ว่าผลการเรียนรู้ของ ผู้เรียนแต่ละดา้ นมกี ารพัฒนาเพ่มิ ข้ึนเป็นลาดบั มีการสบื ทอดกระบวนการทางานจากรนุ่ สรู่ ุ่นไดด้ ี มกี ารช่วยเหลอื เอ้อื เฟื้อกนั และกัน มีทกั ษะการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื สบื ค้นและมกี ารสอ่ื สารหลายรูปแบบ ทง้ั น้อี าจเปน็ เพราะ หลกั สูตรกาหนดใหผ้ ู้สอนจัดทาแผนการสอนและจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่เนน้ การลงมอื ปฏบิ ัติจรงิ ทุกๆ รายวชิ า โดยมีเป้าหมายการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิระดบั อุดมศึกษาแห่งชาติ (TQF) ซึง่ สอดคล้องกับ วชิ ยั วงศใ์ หญ่ (2543, หน้า 3) ที่เสนอวา่ คณุ ลกั ษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์จะใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู สว่ นหน่งึ ในการกาหนดหลกั สตู ร และการเรียนการสอนด้วย 4. ผลการศกึ ษาแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของนกั ศึกษาระหวา่ งเรียนพบวา่ คณุ ลักษณะ สมรรถนะและพฤติกรรมผู้เรียนทีก่ าหนดไว้ในหลกั สูตรรวมท้ังคณุ ลกั ษณะพิเศษของนกั ศกึ ษาทีม่ ุ่งพฒั นายังมี ความสาคญั และความจาเปน็ สาหรับคณุ ลกั ษณะพเิ ศษที่จาเป็นต้องพฒั นา คือ ทักษะการใชภ้ าษาอังกฤษ ทักษะใน การศึกษาค้นควา้ ผลงานทางวิชาการและงานวจิ ยั จากตา่ งประเทศ ทกั ษะกระบวนการทางานวิจยั และความสามารถ ประยุกตง์ านวจิ ัยและงานวชิ าการไปใชใ้ นการปรบั ปรุงเปลี่ยนแปลงทางการศกึ ษาให้เข้มข้นยง่ิ ขนึ้ สอดคลอ้ งกบั แนวความคิดของ เกรียงศกั ด์ิ เจรญิ วงศ์ศกั ดิ์ (2541, หน้า 127) ทเ่ี ห็นว่าการเพ่มิ ขดี ความสามารถในการแขง่ ขนั ของ ประเทศและการสนับสนนุ ให้เกิดการพัฒนาประเทศให้เจรญิ ก้าวหนา้ ผู้สาเรจ็ การศึกษาระดบั บณั ฑิตศกึ ษาจะต้องมี ความรู้ความชานาญเฉพาะด้าน คนกลุ่มน้จี ะต้องได้รบั การพฒั นาให้ครบถ้วนท้ังในเน้อื หาสาระของวิชาท่เี ป็นเลิศ ในดา้ นองคค์ วามรู้ที่มาจากความรู้ของตา่ งประเทศและสอดคลอ้ งกบั บริบทของสงั คมไทย สามารถนาความรู้ไปใช้ ประโยชนใ์ นสาขาท่เี รียนมา ส่วนโครงสร้างและสาระการเรียนรู้ที่เป็นองค์ความรู้เชงิ วิชาการและทกั ษะหรอื สมรรถนะ ที่ควรได้รับการพฒั นาที่กาหนดไวใ้ นปจั จุบนั แมจ้ ะมคี วามสาคัญและจาเป็น แตล่ กั ษณะของกจิ กรรมทีส่ ง่ เสริมและ พัฒนาควรให้มกี ารสอดคล้องกบั สภาพชีวิตจรงิ ที่มีการเปลีย่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา ทง้ั น้ีเพ่อื ให้โครงสร้างและสาระการ เรียนรู้ของหลกั สตู รสามารถพฒั นาทกั ษะที่ดแี ก่นักการจดั การศกึ ษาที่เป็นประโยชนเ์ พ่ือสว่ นรวมตอ่ ไป แนวทางการพัฒนาการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักสตู รด้านการจดั กิจกรรมการเรียนรายวชิ าปกติ การเรียนรายวชิ าสถิติวิจยั ทางการศกึ ษาและรายวชิ าสัมมนาการจดั การการศึกษา รายวชิ าฝึกประสบการณ์วิชาชพี และการจดั ทาวทิ ยานพิ นธ์และสารนิพนธ์ มีประเด็นและความเหน็ จากกลุ่มตัวอยา่ งคือนกั ศกึ ษา ผู้รบั ผิดชอบหลกั สตู ร และอาจารย์ผู้สอนอยหู่ ลายประการ สมควรนาไปเปน็ แนวทางและข้อปฏบิ ตั เิ พอ่ื การพัฒนาผู้เรียนให้มากขึน้ เชน่ ความหลากหลายของกิจกรรมการเรียนรู้ท้ังในช้ันเรียนและนอกห้องเรียน การเลอื กกิจกรรมการเรียนที่เนน้ การ ประยกุ ตค์ วามรู้สกู่ ารปฏบิ ัติ การเรียนจากประสบการณ์ตรง การพฒั นาทกั ษะการวเิ คราะห์ วพิ ากษโ์ ดยอิงหลักการ และเหตุผล เป็นต้น

225 กิจกรรมฝึกประสบการณ์วิชาชพี การจัดการศึกษา นอกจากผู้เรียนจะต้องทาจดั ทาแผนกจิ กรรมการฝึก ปฏบิ ตั วิ ชิ าชีพแลว้ ยงั จะต้องขอความร่วมมอื กับสถานทีฝ่ ึกปฏบิ ตั อิ ย่างเปน็ ระบบ เพือ่ ให้นกั ศึกษาได้รับประสบการณ์ จากการฝึกปฏบิ ตั วิ ชิ าชีพทีค่ รบถ้วนสมบรู ณ์ตามวัตถปุ ระสงค์ของรายวชิ า ส่วนปัญหาความล่าชา้ ในกระบวนการ จดั ทาวทิ ยานพิ นธ์ของนักศึกษาบางคน อันเน่อื งมาจากปญั หาสว่ นตัวที่สง่ ผลให้มีการสาเรจ็ การศึกษาล่าชา้ กว่าท่ี หลักสตู รกาหนด คณะกรรมการบริหารหลักสตู รควรศกึ ษาหามาตรการหรือแนวทางในการปรบั ปรงุ แก้ไข ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะในเชิงนโยบาย 1.1 ควรกาหนดเปน็ นโยบายให้สถาบันอุดมศกึ ษาของรัฐและเอกชนทีจ่ ดั หลกั สูตรระดับบณั ฑิตศกึ ษาให้มี การศึกษาเพือ่ การพฒั นาการจดั การเรียนรู้ของนักศึกษาระหวา่ งเรียนตามหลกั สูตรอย่างสม่าเสมอ ทง้ั น้เี พ่อื เป็น หลักประกนั ว่าผู้เรียนในหลักสตู รจะได้รบั การพฒั นาให้ตรงและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและเศรษฐกิจ มกี ารเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็วในปจั จุบันและอนาคต 1.2 แนวทางการศกึ ษาและการพฒั นาการจัดการเรียนรู้ของนกั ศึกษาระหวา่ งเรียน นบั วา่ เปน็ ระบบ ประกันคุณภาพการศึกษาภายในที่หน่วยงานต้นสังกัดหรือสานักงานรบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศึกษา (สมศ.) ควรนาไปเป็นแนวนโยบายและสง่ เสริมให้สถานศกึ ษานาไปใชเ้ ป็นกลไกการประกันคุณภาพการศึกษาระดบั หลักสตู รตอ่ ไป 2. ขอ้ เสนอแนะในเชิงปฏิบตั ิ 2.1 การจัดหลกั สูตรการศึกษาทกุ หลกั สตู ร และทุกระดบั ควรศกึ ษาและพัฒนาการจดั การเรียนรู้ของ ผู้เรียนระหว่างเรียนอยา่ งต่อเน่ือง เพ่อื ให้กระบวนการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา 2.2 ควรนาระบบประกันคุณภาพภายในระดับหลกั สูตร (มคอ.7) มาบรู ณาการกับการศกึ ษาเพอ่ื พัฒนาการจดั การเรียนรู้ของนกั ศึกษาระหวา่ งเรียน 3. ข้อเสนอแนะสาหรับการทาวิจัย คร้ังต่อไป 3.1 ควรมกี ารศึกษาแนวทางการพฒั นาการจัดการเรียนรู้ตามประเภทของรายวชิ า เชน่ กลุ่มรายวชิ า ทีเ่ รียนในชน้ั เรียน กลุ่มรายวชิ าประเภทมหี ้องปฏิบตั กิ ารหรือมีภาคสนาม กลุ่มวชิ าฝึกประสบการณว์ ชิ าชีพ และการ จัดทาวทิ ยานพิ นธ์และสารนิพนธ์ เป็นต้น 3.2 ทกุ หลักสูตรสามารถประยกุ ต์กรอบแนวคิดในการวจิ ัยคร้ังน้ไี ปใชใ้ นการพฒั นากระบวนการจดั การ เรียนรู้ของนักศึกษาระหวา่ งเรียนได้ เอกสารอา้ งองิ เกรยี งศักดิ์ เจริญวงศ์ศกั ดิ์. (2541). มหาวทิ ยาลัยทีท่ างแยก: จุดประกายวิสยั ทศั น์อดุ มศึกษาไทยในอนาคต. (พมิ พค์ รง้ั ที่ 1) กรุงเทพฯ: ซัคเซสมเี ดีย. ประดิษฐ์ มีสุข และทรงธรรม ธรี ะกลุ . (2551). วกิ ฤตคณุ ภาพบณั ฑิตศกึ ษากับบทบาทมหาวิทยาลยั ทกั ษณิ วชิ าการ 51 “มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ กับทางแกว้ กิ ฤตของชาติ” (ในโครงการทกั ษิณวิชาการ มหาวิทยาลยั ทักษณิ วทิ ยาเขตสงขลา) ระหว่างวันที่ 16 – 19 สิงหาคม 2551. ไพฑรู ย์ สินลารตั น์. (2552). ปรัชญาการศึกษาเบอื้ งต้น. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .

226 ราชกิจจานเุ บกษา ประกาศกระทรวงศึกษาธกิ าร เรือ่ ง เกณฑม์ าตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศกึ ษา พ.ศ. 2548 เล่ม 122 ตอนพเิ ศษ 39 ง V. 25 พฤษภาคม 2548. วชิ ัย วงศใ์ หญ่. (2543). การพฒั นาหลักสตู รระดับอดุ มศึกษา. กรุงเทพฯ : ชวนพิมพ.์ สุนยี ์ ภู่พันธ์. (2546). แนวคิดพนื้ ฐานการสร้างและการพฒั นาหลกั สูตร. กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Stufflebeam, D.L., et al. (1971). Educational Evaluation and Decision-Making. Itasca, Illinois: Peacock Publishing

227 บทบาทของผ้บู ริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปใชใ้ นสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 The School Administrators’ Roles in Promoting The Sufficiency Economy Philosophy in Schools under the Secondary Educational Service Area Office 32. กีรติกร หนตู อ* ดร.สุรนิ ทร์ ภูสิงห์** บทคดั ย่อ การวจิ ัยคร้ังนมี้ วี ัตถุประสงค์เพอ่ื 1) ศึกษาบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการสง่ เสริมการนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 ตามความ คิดเหน็ ของครู 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครตู ่อบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการสง่ เสริมการนาหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศึกษา สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 จาแนกตาม ขนาดโรงเรียนและประสบการณ์การทางานและ 3) ศึกษาข้อเสนอแนะสาหรบั การสง่ เสริมการนาหลักปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นการบริหารสถานศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 กลุ่มตัวอยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวิจยั เปน็ ข้าราชการครสู ังกดั สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 ปีการศกึ ษา 2560 จานวน 331 คน กาหนดขนาดโดยใชต้ ารางสาเร็จรูปของ Krejcie & Mogan แลว้ ทาการสมุ่ แบบแบ่งช้ัน เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนดิ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มคี ่าอานาจจาแนกตง้ั แต่ .313-.898 และค่าความเชื่อมนั่ .987 และแบบสมั ภาษณแ์ บบมโี ครงสร้าง สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล ได้แก่ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนสถิติที่ใชใ้ นการทดสอบสมมุตติฐาน ใชก้ ารวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว โดยใชส้ ถิติ F-test แบบ One Way ANOVA ผลการวจิ ัย พบวา่ 1. บทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ น สถานศกึ ษา โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก 2. ข้าราชการครูทีป่ ฏบิ ตั หิ นา้ ท่ใี นโรงเรียนที่มีขนาดต่างกันและมปี ระสบการณ์การทางานต่างกนั มคี วามคิดเหน็ ต่อระดบั บทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งไปใช้ ในสถานศึกษา ไมแ่ ตกตา่ งกนั 3. ข้อเสนอแนะตอ่ บทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการสง่ เสริมการนาหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ไปใชใ้ นสถานศกึ ษา ทส่ี าคญั คือ ควรนอ้ มนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชใ้ นทุกๆ ด้าน จัดสรรงบประมานอย่าง คุ้มคา่ พอประมาน พอเพยี ง ควรมกี ารสร้างความสามคั คีในหมคู่ ณะและผกู จิตสานึกใหค้ นรักองค์กร เปิดโอกาส ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผน ร่วมแสดงความคิดเห็น รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและร่วมตัดสินใจ ควรตดั สนิ ใจ ภายใตเ้ หตผุ ลอย่างรอบคอบยดึ หลักประหยัด สุจรติ และลดอบายมขุ ควรมคี วามโปร่งใส ส่งเสริมให้บคุ ลากรสร้าง ความรู้ ความเข้าใจ พฒั นาตนเองให้เป็นคนมีความรู้ทันต่อเหตุการณ์ และยดึ หลกั ธรรมในการบริหาร คาสาคญั : บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา, หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง, สังกดั สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 32 * ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั ชยั ภมู ิ ** รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั ราชภัฏชัยภมู ิ

228 ABSTRACT This research aimed: 1) to study the administrators’ roles in promoting the Sufficiency Economy Philosophy (PSE) in schools under the Secondary Educational Service Area Office 32 (SESAO 32) based on teachers’ opinion, 2) to compare the teachers’ opinion on the administrators’ roles in promoting the PSE in schools under SESAO 32 classify by school sizes and work experiences, and 3) to study the suggestions in promoting the PSE in the schools under SESAO 32. The samples were 331 teachers under SESAO 32 in the academic year of 2017. The sample size was determined based on Krejcie and Morgan’s Sample Size Table and then employed stratified random sampling. The research instruments were a set of 5-rating scale questionnaire with the discrimination between .313-.898 and the reliability of .987 and structure interview. The statistics used for analyzing the data were percentage, mean, and standard deviation and the hypothesis was tested by F-test (One Way ANOVA) The research results indicated as follows: 1. The school administrators’ roles toward the teachers’ opinion in overall was at a high level. When considering each aspect, it was found that the highest mean score was the management on morality and ethics. It was followed by the management on knowledge, reason, moderation, and self-immunity, respectively. 2. The teachers in different school sizes had the opinions on the school’s administrators’ roles in promoting the PSE in schools under SESAO 32 not different. 3. The main suggestions for the school administrators’ roles in promoting PSE in schools under SEAO 32. The school administrators should prevent the advanced debt over the allocated budget. They should accept the opinion of the majority and should always have a meeting before working. They should study the data clearly on school management and thoroughly and judge the problems from the information technology. The school administrators should manage the organization based on the Four Sublime States of Mind. Keywords : The School Administrators’ Roles, The Sufficiency Economy Philosophy, Educational Service Area Office 32. ภมู หิ ลงั “เศรษฐกิจพอเพยี ง” เปน็ หนึ่งในแนวพระราชดารขิ อง พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพล อดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร รัชกาลท่ี 9 ทไ่ี ด้พระราชทานปรัชญาในการดารงชวี ติ ทีย่ ึดหลกั ความพอเหมาะพอดี ความมเี หตมุ ีผล และความไมป่ ระมาท ซึง่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว รัชกาลท่ี 9 ทรงถือปฏบิ ัตดิ ้วยพระองค์เองอย่างตอ่ เนอ่ื ง ยาวนาน ดารงชีวิตเป็นแบบอย่างได้อยา่ งสมบรู ณ์ อกี ทง้ั ยังได้พระราชทานพระราชดารใิ ห้แกค่ นไทยนาไปปฏบิ ตั ใิ นการ ดาเนนิ ชีวิต สถาบันการศึกษาโดยเฉพาะในระดบั โรงเรียนได้นาพระราชดารัสของพระองค์ท่านมาปฏิบตั ใิ ชใ้ นการเรียน การสอน โดยกระทรวงศึกษาธกิ ารมนี โยบายสาคัญให้โรงเรียนทกุ แห่งยึดแนวเศรษฐกิจพอเพยี งในการจัดการเรียน การสอน โรงเรียนสว่ นใหญ่ไดจ้ ดั ทาเกษตรทฤษฎีใหม่ในโรงเรียนข้ึนตามแนวเศรษฐกิจพอเพยี ง กล่าวคอื แบ่งพืน้ ที่ใน โรงเรียนสาหรับทาการเกษตร การประมง และการเลยี้ งสัตว์ การดาเนนิ การเศรษฐกิจพอเพยี งตามเกษตรทฤษฎีใหม่ มกั พบในโรงเรียนแถบชนบททีม่ ีพ้ืนทีม่ ากพอ ส่วนโรงเรียนในเขตเมอื งนั้นมอี ยู่บ้างไม่มาก การนาหลกั เศรษฐกิจ พอเพยี งมาใชใ้ นการดาเนินชวี ติ ควรได้รบั การปลูกฝงั ตงั้ แตย่ งั เยาวว์ ัย เพื่อเปน็ กิจนสิ ยั เมอ่ื เติบโตเป็นผู้ใหญ่กจ็ ะมี

229 ความพอดีหรือพอประมาณอยใู่ นการดาเนินชวี ติ และในการทางานหลักการสาคญั ของปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มี 3 ประการ คือ การพึง่ พาตนเองเปน็ หลกั การพ่งึ พากันเองเปน็ หลัก และหลกั การจดั การที่ดี (กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2542, หนา้ 14-28) นอกจากน้ี (สเุ มธ ตันตเิ วชกุล, 2548, หนา้ 32) ยังได้กลา่ วถึงหลกั การ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ควรประกอบด้วย การดาเนนิ ชีวิตด้วยความอดทน มีลาดบั ขนั้ ตอนการปฏบิ ัติ สร้างระบบภมู ิคมุ้ กนั ในตัว มคี วามรอบคอบ และเสริมสร้างคุณธรรมจรยิ ธรรมจากหลักการปรชั ญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งดงั กล่าวขา้ งต้น หากไมเ่ ข้าใจปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งชดั เจนเพยี งพออาจทาให้ละเลยความสาคญั ของ การพฒั นา และการแขง่ ขนั ระหวา่ งประเทศ การพัฒนาคุณภาพชีวิตเพอ่ื การยืนหยัดอยู่ได้ในสงั คมโลกาภิวตั น์ (สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา กระทรวง ศกึ ษาธิการ, 2553, หนา้ 22) แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560, 2564) ทย่ี ดึ “หลกั ของปรชั ญาเศรษฐกิจ พอเพยี ง การพฒั นาทีย่ ง่ั ยนื ยดึ คนเป็นศูนย์กลางของการพฒั นา” มาเป็นแนวทางสู่การปฏบิ ตั เิ พอ่ื มุ่งสู่ “ความมัน่ คง มัน่ ค่งั และยัง่ ยืน” ดังนน้ั ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนและสงั คมไทยจึงให้ความสาคญั กับการพัฒนาคุณภาพคน เนอ่ื งจาก “คน” เป็นเป้าหมายสดุ ท้ายที่จะได้รับประโยชนแ์ ละผลกระทบจากการพฒั นา ขณะเดียวกนั เป็นผู้ขับเคลือ่ น การพฒั นาเพ่อื ไปสเู่ ป้าหมายที่ต้องการเพยี บพร้อมท้ังดา้ น “คุณธรรม” และ “ความรู้” ซึง่ จะนาไปสู่การคิดวเิ คราะห์ อย่าง “มเี หตผุ ล” รอบคอบระมัดระวัง ด้วยจิตสานกึ ใน “ศลี ธรรม” และ “คณุ ธรรม” ทาให้รู้เท่าทันการเปลีย่ นแปลง และสามารถตัดสินใจโดยใชห้ ลกั “ความพอประมาณ” ในการดาเนนิ ชีวิตอย่างมจี รยิ ธรรมซือ่ สัตย์ สจุ รติ อดทน ขยันหมัน่ เพยี ร อันจะเปน็ “ภมู ิคมุ้ กันในตัวทีด่ ”ี ใหค้ นพร้อมทีจ่ ะเผชญิ ตอ่ การเปลีย่ นแปลงทีจ่ ะเกิดข้ึน (สานกั งาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ, ม.ป.ป. : 65) พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พุทธศกั ราช 2542 และทีแ่ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบับที่ 2) พทุ ธศักราช 2545 ได้มีบทบญั ญตั ิเกี่ยวกับการศึกษาของชาติ เพ่อื เป็นหลักในการพฒั นาทรัพยากรมนุษยแ์ ละเปน็ เข็มทิศช้นี าในการ พัฒนาสังคมไทยอยา่ งยั่งยืน สาระสาคัญจะบ่งชถี้ ึงความเปลีย่ นแปลงที่เกิดข้ึนกบั เดก็ และเยาวชนของชาติ หลักการ และแนวทางในการจัดการศึกษา ตลอดจนสรรพกาลงั ทั้งมวลในการพฒั นาคนรนุ่ ใหม่ให้มคี วามรู้ ความสามารถ เปน็ คนเก่ง และเป็นคนดี พร้อมจะใชช้ วี ติ อยา่ งมีความสขุ ภายใตว้ ถิ ีชีวิตของความเปน็ ไทย และสามารถแข่งขนั กบั คน อ่นื ๆ ได้ในสังคมโลก ซึง่ ในมาตรา 6 ระบวุ า่ ต้องจดั การศกึ ษาเพอ่ื การพฒั นาคนไทยให้เป็นมนษุ ยท์ ี่สมบรู ณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สตปิ ญั ญา ความรู้และคณุ ธรรม มีจริยธรรมและคณุ ธรรมในการดารงชวี ติ สามารถอยใู่ นสงั คมได้อยา่ งมี ความสขุ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง” เป็นแนวทางปฏิบัติที่ยึดทางสายกลางอันประกอบด้วยความพอประมาณ มเี หตผุ ล และมภี ูมิคมุ้ กนั ในตัวทดี่ ีต่อการมผี ลกระทบอันเกิดจากการเปลีย่ นแปลง โดยอาศยั ความรอบรู้ รอบคอบ ในการนาวิชาการต่างๆ มาใชใ้ นการวางแผนและการดาเนนิ การทุกขั้นตอน ขณะเดีย่ วกนั ตอ้ งเสริมสร้างพ้นื ฐานจิตใจ ของคนในชาติให้มสี านึกในคณุ ธรรม ความซื่อสตั ย์ ขยนั และอดทน ทาให้มนษุ ยอ์ ยู่ในสงั คมได้อยา่ งสงบ (สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาต,ิ 2545, หนา้ 43) ในการนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชต้ อ้ งควบคู่ การเรียนการสอนทีย่ ึดผู้เรียนเป็นศนู ย์กลางสอดคล้องกบั พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 และทีแ่ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พทุ ธศักราช 2545 และฉบับที่ 3 พุทธศักราช 2553 ต้องเป็นการจดั การเรียนการสอน ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางทีน่ ักเรียนเรียนกับเพ่อื น และเรียนด้วยตนเอง โดยนกั เรียนเปน็ ผู้วางแผนการเรียน ดาเนิน การเรียน จดั สภาพแวดล้อมการเรียนการสอนเปน็ กลุ่มและเรียนดว้ ยตนเอง ผู้เรียนควบคมุ ตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้ใชส้ ่อื การสอนและแหลง่ ความรู้ และมกี ารประเมินการเรียนการสอนที่ครบวงจร (ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ และวาสนา ทวกี ุลทรัพย์, 2544, หนา้ 60-61) และหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งจะตอ้ งสอดแทรกอยู่ในทุกขั้นตอนของการ เรียนการสอน จะทาให้นักเรียนนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชไ้ ด้ตลอดของการเรียนและในการดาเนนิ ชวี ติ กระทรวงศึกษาธกิ ารเปน็ หนว่ ยงานหลักทีร่ บั ผิดชอบการจดั การด้านศึกษา เพ่อื พฒั นาเยาวชนและประชาชน

230 คนไทยให้มีความสมดุลทั้งดา้ นร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเปน็ พลเมอื งเมอื งไทยและพลเมอื งของ โลก ซึง่ กระทรวงศึกษาธกิ ารไดก้ าหนดนโยบายในการขบั เคลือ่ นหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งสู่สถานศึกษา เริ่มตง้ั แตป่ ีพุทธศักราช 2548 เป็นต้นมา สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน น้อมนาหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งมาเปน็ นโยบายสาคญั ในการประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั การศกึ ษา เพื่อพฒั นาผู้เรียนโดยหลกั สูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ได้กาหนดคณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ข้อที่ 4 จากจานวนทั้งหมด 8 ข้อ การขับเคลือ่ นหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งสู่สถานศึกษามีขอบข่าย 4 ด้าน คือ ด้านการบริหารจัดการ ด้านหลักสูตรและการจดั การเรียนการสอน ด้านการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ด้านพัฒนาบุคลากรของสถานศกึ ษา สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 จังหวดั บุรีรมั ย์ เป็นเขตพ้นื ที่ที่รบั ผิดชอบจดั การศกึ ษาระดับ มัธยมศกึ ษาตงั้ แตช่ นั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ถึงชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ปีการศกึ ษา 2550 มีโรงเรียนในสังกดั จานวน 66 โรงเรียน เขตบริการ 23 อาเภอ ประกอบด้วยโรงเรียนขนาดเล็ก 30 โรงเรียน โรงเรียนขนาดกลาง 24 โรงเรียน โรงเรียนขนาดใหญ่ 12 โรงเรียน ซึ่งมีจานวนบุคลากรในสงั กัดทง้ั หมด 3,613 สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 ตระหนกั เหน็ ความสาคญั อย่างยิ่งในการปลูกฝงั การดาเนนิ ชีวิตตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งพัฒนา ผู้เรียนให้เกิดกระบวนการคดิ มคี ุณลักษณะอยู่อยา่ งพอเพยี งจึงได้กาหนดเปน็ จุดเนน้ ที่สาคญั โดยกาหนดกลยุทธ์ที่ 2 ปลกู ฝงั คณุ ธรรมความสานกึ ในความเปน็ ชาติไทยและวิถชี วี ติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งเพอ่ื เปน็ กรอบ แนวทางให้หนว่ ยงานและสถานศกึ ษาในสงั กดั ใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนสสู่ ถานศกึ ษาตงั้ แตป่ ีการศึกษา 2553 เปน็ ต้นมา โดยส่งเสริมให้สถานศกึ ษาทกุ แห่งบริหารจัดการและจัดการเรียนรู้ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง และกาหนดให้สถานศกึ ษาทกุ แห่งผ่านการประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพยี งในปีการศึกษา 2557 (สานกั งานเขตพ้นื ที่ การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32, 2554, ออนไลน์) สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 ได้มกี ารขับการ เคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในสถานศกึ ษาอย่างตอ่ เน่อื ง สถานศึกษาทกุ แห่งได้น้อมนาหลกั ปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งมาใชใ้ นการบริหารสถานศกึ ษาและจดั การเรียนรู้โดยโรงเรียนได้จัดหนว่ ยการเรียนรู้และบูรณาการ จดั การเรียนการสอนตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ และจัดกิจกรรมหรือโครงงานทีเ่ หมาะสมกบั สภาพ โรงเรียน จากบริบทข้างตน้ ผู้วจิ ยั จึงมีความสนใจจะศกึ ษา บทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาตอ่ การสง่ เสริมการนาหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศึกษา สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 วา่ มีการนา หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มาใชใ้ นสถานศกึ ษามากนอ้ ยเพยี งใดเพ่อื ใชเ้ ป็นแนวทางในการพัฒนาการบริหาร จดั การการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในสถานศกึ ษาตอ่ ไป คาถามการวิจยั 1. บทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ น สถานศกึ ษา สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 ตามความคิดเหน็ ของครู อยู่ในระดบั ใด 2. ความคิดเหน็ ของครตู ่อบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งไปใชใ้ นสถานศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 จาแนกตามขนาดโรงเรียน และประสบการณ์การทางาน มคี วามแตกตา่ งกันหรือไมอ่ ย่างไร 3. ข้อเสนอแนะสาหรับการสง่ เสริมการนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นการบริหารสถานศึกษา มอี ะไรบ้าง

231 ความมุง่ หมายของการวิจยั 1. เพ่อื ศึกษาบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใช้ ในสถานศึกษา สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 ตามความคิดเห็นของครู 2. เพอ่ื เปรียบเทียบความคิดเห็นของครตู ่อบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลัก ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศึกษา สงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 จาแนกตาม ขนาดโรงเรียนและประสบการณ์การทางาน 3. เพอ่ื ศึกษาข้อเสนอแนะสาหรับการสง่ เสริมการนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นการบริหาร สถานศกึ ษา กรอบแนวคดิ ของการวิจัย ตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรตาม 1. ประสบการณ์การทางานประกอบด้วย หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 1.1 ไม่เกิน 10 ปี 1.2 11-20 ปี 1. ความพอประมาณ 2. ความมีเหตผุ ล 1.3 21 ปขี ึน้ ไป 3. การมีภมู ิคมุ กันที่ดีในตัว 4. ด้านความรู้ 5. ด้านการสรา้ งพนื้ ฐานจิตใจ 2. ขนาดโรงเรียนประกอบด้วย 2.1 โรงเรียนขนาดเล็ก ข้อเสนอแนะสาหรับการสง่ เสรมิ การนาหลกั ปรชั ญา 2.2 โรงเรียนขนาดกลาง ของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในสถานศกึ ษาของ 2.3 โรงเรียนขนาดใหญ่ สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย วิธีดาเนนิ การวิจยั ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 1. ประชากรที่ใชใ้ นการวิจัยในคร้ังนี้ ได้แก่ ครใู นสถานศึกษาสงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 32 ปีการศกึ ษา 2560 ใน 66 โรงเรียน จานวน 2,281 คน 2. กลุ่มตัวอยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษา มัธยมศกึ ษา เขต 32 ปีการศกึ ษา 2560 จานวน 331 คน เครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการวิจยั เป็นแบบสอบถามท่ใี ชส้ าหรับครู สว่ นแบบสมั ภาษณใ์ ชก้ บั ผู้ทรงคุณวฒุ ิ ทีเ่ กีย่ วกบั การบริหารสถานศกึ ษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในโรงเรียน สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่ การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ ความพอประมาณ ความมีเหตผุ ล การมภี มู ิคุมกนั ที่ดใี นตวั ด้านความรู้ ด้านการสร้างพ้นื ฐานจิตใจ

232 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจัยได้ดาเนนิ การตามข้ันตอน ดังตอ่ ไปน้ี 1. ขอหนงั สอื ขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากบณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ชัยภูมิ ถึงสานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 เพ่อื ขออนญุ าตใชแ้ บบสอบถาม ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากผบู้ ริหารและครทู ี่เปน็ กลุ่มตวั อยา่ งในการวิจัยครั้งนี้ 2. นาส่งแบบสอบถามพร้อมหนงั สอื ขอความอนเุ คราะห์ในการเกบ็ รวมรวบข้อมูลไปให้กลุ่มตัวอยา่ ง ทางไปรษณีย์ ให้กลมุ่ ตวั อย่างสง่ แบบสอบถามกลบั คืนทางไปรษณีย์ตามที่ผู้วจิ ยั ได้จา่ หน้าซองถึงผู้วิจัย พร้อมตดิ แสตมป์ไว้เรียบร้อยแล้ว สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย และค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนสถิตทิ ี่ใช้ ในการทดสอบสมมตุ ตฐิ าน ใชก้ ารวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว โดยใชส้ ถิติ F-test แบบ One Way ANOVA สรปุ ผลการวิจยั 1. บทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ น สถานศกึ ษา สังกดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 ตามความคิดเห็นของครู โดยภาพรวมอยใู่ นระดับ มาก เม่อื พิจารณาเปน็ รายดา้ น ปรากฏดงั นี้ 1.1 ดา้ นความพอประมาณ พบวา่ ความคิดเห็นของครูที่มีต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการ ส่งเสริมการนาหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 32 ด้านความพอประมาณ โดยภาพรวมอยใู่ นระดับมาก 1.2 ความคิดเห็นของครูที่มีต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลกั ปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 ด้านการบริหารงานโดย ใชเ้ หตผุ ล โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก 1.3 ความคิดเห็นของครูทีม่ ีต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลกั ปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศกึ ษา สังกัดสานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 ด้านการสร้างภมู ิคมุ้ กนั โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก 1.4 ความคิดเหน็ ของครทู ี่มีต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลกั ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 32 ดา้ นการบริหารงาน บนฐานความรู้ โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก 1.5 ความคิดเหน็ ของครทู ีม่ ีต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลกั ปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 32 ดา้ นการบริหารงาน ที่ต้ังอยบู่ นคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมโดยภาพรวมอยใู่ นระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการสง่ เสริมการนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งไปใชใ้ นสถานศึกษา สงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 จาแนกตามขนาดโรงเรียน และประสบการณ์การทางานโดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกตา่ งกนั 3. ข้อเสนอแนะตอ่ บทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการสง่ เสริมการนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ไปใชใ้ นสถานศกึ ษา สังกัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 ท่สี าคญั มีดังนี้

233 3.1 ด้านความพอประมาณ ควรมกี ารดาเนนิ การวางแผนงาน โครงการอย่างมปี ระสิทธิภาพ ควรจัดสรร ทรพั ยากรอย่างประหยดั คมุ้ ค่า การปรับปรุงของเก่ามาใชใ้ หม่ การตรวจสอบวัสดอุ ุปกรณต์ า่ งๆ ท่มี อี ยู่ให้พร้อมใช้ อยู่เสมอ ควรมกี ารสง่ เสริมให้ครปู ละบุคลการทางการศกึ ษานาหลักเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชใ้ นชวี ติ ประจาวันทกุ ๆ ด้าน ควรอธิบายถึงหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งให้กับนักเรียนเพ่อื จะได้นาไปใชใ้ นชีวิตประจาวันให้เกิดประโยชนต์ อ่ ตนเองและสังคม ควรทาความเข้าใจเกี่ยวกับหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งให้ชัดเจนในการนามาใชใ้ นการเรียน การสอนที่เหมาะสม 3.2 ด้านการบริหารโดยใชเ้ หตผุ ล สรุปวา่ มีขอ้ เสนอแนะสาคัญ คือ ควรเปิดโอกาสให้ทกุ คนมสี ่วนร่วม ในการวางแผน ร่วมแสดงความคิดเหน็ รับฟงั ความคิดเห็นของผู้อืน่ และร่วมตัดสินใจควรตดั สนิ ใจภายใตเ้ หตผุ ล อย่างรอบคอบยดึ หลักประหยัด สุจริตและลดอบายมุข ควรมคี วามโปร่งใส ตรวจสอบไดใ้ นการทางาน ควรบริหารงาน โดยพิจารณาความตอ้ งการทีแ่ ท้จริง และความเปน็ ไปไดใ้ นความสาเรจ็ เปน็ สาคัญ ควรส่งเสริมให้บคุ ลากร สร้างความรู้ ความเข้าใจ ไมเ่ ลอื กปฏบิ ัติ 3.3 ดา้ นการสร้างภูมิคมุ้ กัน คือ ควรมกี ารเตรียมการโดยการวางแผนการทางานล่วงหนา้ อย่างรดั กุม ควรมกี ารสร้างความสามคั คีในหมคู่ ณะและผูกจิตสานึกใหค้ นรกั องค์กร ควรส่งเสริมให้มีการปฏบิ ตั ิตามระเบียบของ ทางราชการควรมกี ารจัดลาดบั ความสาคญั ของงานอยา่ งเป็นระบบระเบียบควรตดิ ตาม ตรวจสอบการปฏบิ ตั งิ าน พร้อมนเิ ทศและรายงานผลการปฏบิ ัตงิ าน 3.4 ด้านการบริหารงานบนฐานความรู้ ควรมกี ารทาแผน จัดคนให้ตรงตามแผนและความรู้ ความสามารถสง่ เสริมใหค้ นในองค์กรให้ได้รบั การพฒั นาความรอู้ ย่างตอ่ เนอ่ื ง ปรับหลกั สตู รให้ส่งเสริมผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้อยา่ งต่อเนอ่ื ง ควรมกี ารประชมุ เพ่อื ปรึกษาหารอื และรายงานผลการปฏบิ ตั อิ ย่างสม่าเสมอ ส่งเสริมให้มีการ พัฒนาตนเองให้เปน็ คนที่มีความรู้ ทันต่อเหตกุ ารณ์สง่ เสริมให้คนในองค์กรใหไ้ ด้รบั การพฒั นาความรู้อยา่ งต่อเนอ่ื ง 3.5 ดา้ นการบริหารงานทีต่ ั้งอยบู่ นคุณธรรมและจรยิ ธรรม คือ ควรส่งเสริมให้คนในครูและนักเรียน เข้าร่วมกิจกรรมทางสาสนาอย่างตอ่ เนอ่ื ง ควรส่งเสริมให้มีการดารงตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี ควรยดึ หลกั ธรรมในการ บริหาร ควรเล็งเหน็ ความแตกต่างของคน ควรมีความโปร่งใส่ในการทางาน มคี วามเอ้อื เฟื้อเผื่อแผ่ความรบั ผิดชอบ ความเสียสละ ฯลฯ อภปิ รายผลการวิจยั บทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการนาหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศึกษา สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 มีสามารถนามาอภปิ รายผลได้ดังน้ี 1. ความคิดเหน็ ของครทู ี่มีต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการสง่ เสริมการนาหลกั ปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นสถานศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 โดยภาพรวมอยใู่ น ระดับมาก ทั้งนเี้ ปน็ เพราะอาจเนอ่ื งมากจากผู้บริหารสถานศกึ ษาได้แนวทางและวิธีการขับเคลอื่ นเศรษฐกิจพอเพยี ง ไปใชใ้ นสถานศกึ ษาของกระทรวงศึกษามาปฏบิ ตั อิ ย่างตอ่ เนอ่ื งสม่าเสมอ ซึง่ สอดคล้องกับแนวคดิ ของเจรญิ อภไิ ชย (2551, หนา้ 23) ท่กี ล่าววา่ การบริหารสถานศกึ ษาโดยการนาปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมากาหนดนโยบายและ แนวทางในการจัดการสถานศกึ ษา โดยใชห้ ลักในการบริหารจดั การและประสานกับทุกภาคส่วนในการใช้ทรพั ยากร การบริหารทั้งดา้ นบคุ ลากร งบประมาณ สภาพแวดลอ้ มอย่างคุ้มคา่ เปน็ ประโยชนส์ งู สดุ เพ่อื ให้สถานศึกษาเปน็ แหล่ง เรียนรู้ทีม่ ีคณุ ภาพและสามารถพร้อมรับตอ่ การเปลย่ี นแปลงตา่ งๆ ได้กรอบแนวคิดเปน็ ปรชั ญาที่ชแี้ นะแนวทางการ ดารงอยู่และปฏิบัตติ นในทางท่คี วรจะเป็น โดยมีพืน้ ฐานมาจากวถิ ีชีวิตด้ังเดิมของสงั คมไทย สามารถนามาประยกุ ตใ์ ช้

234 ตลอดเวลาและเป็นการมองโลกเชงิ ระบบที่มีการเปล่ยี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา มุ่งเนน้ การรอดพ้นจากและวกิ ฤติ เพอ่ื ความมัน่ คงและความยัง่ ยืนของการพฒั นาคณุ ลกั ษณะเศรษฐกิจพอเพยี งสามารถนามาประยุกตใ์ ชก้ บั การปฏบิ ัติ ตนได้ในทุกระดบั โดยเนน้ การปฏบิ ัตบิ นทางสายกลางและพัฒนาอย่างเป็นขนั้ ตอน และสอดคลอ้ งกับงานวจิ ยั ของ สกุลรัตน์ กมทุ มาศ (2550, บทคัดยอ่ ) ได้ทาการวจิ ยั เชงิ สารวจ ผลการวิจยั พบวา่ ด้านการบริหารบริหารงาน ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพยี งในภาพรวมอยใู่ นระดับมาก เมอ่ื จาแนกเป็นดา้ น พบว่า ดา้ นการสร้างความพอประมาน มคี ่าเฉลี่ยสงู สดุ รองลงมาคือ ดา้ นบริหารการบริหารงานที่ตง้ั อยบู่ นความยุตธิ รรมและจรยิ ธรรม ด้านการสร้าง ภมู ิคมุ้ กัน ด้านการสร้างความพอประมาน และพรทิพย์ บรรเทา (2558, บทคัดยอ่ ) ทาการศึกษาเรื่อง แนวทาง การบริหารสถานศกึ ษาตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งของสถานศึกษาในสังกดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 19 (เลย – หนองบวั ลาภ)ู ผลการวจิ ัยพบวา่ ดา้ นการบริหารวชิ าการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการบริหารทว่ั ไป อยู่ในระดบั มากท้ังภาพรวมและรายด้านทุกๆ ด้าน 2. ผลการเปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการสง่ เสริมการนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งไปใชใ้ นสถานศึกษา สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 จาแนกตามขนาดโรงเรียน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ทง้ั น้เี ป็นเพราะ ผู้บริหารสถานศกึ ษาได้มกี ารสง่ เสริมให้มี การเตรียมตัวให้พร้อมรับ ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงดา้ นตา่ งๆ ทค่ี าดว่าจะเกิดข้ึนในอนาคตท้ังใกล้และไกลสามารถประมาณได้อยา่ ง เหมาะสมเพราะไมป่ ระมาท มีเตรียมพร้อมตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงตา่ งๆ อยู่เสมอ สอดคลอ้ งกับแนวคิดของสมพร เทพสทิ ธา (2553, หนา้ 30) ไดก้ ล่าวถึงการบริหารสถานศกึ ษาตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งของผู้บริหาร สถานศกึ ษาไว้วา่ หมายถึงการทีผ่ ู้บริหารสถานศกึ ษาปฏบิ ตั ติ นและปฏบิ ตั งิ านเป็นแบบอย่างและส่งเสริมกิจกรรม ภายในโรงเรียน สอดคลอ้ งกับหลกั 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ของปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ดงั ตอ่ ไปนี้ 1) ด้านการสร้าง ความพอประมาณ หมายถงึ การบริหารโดยใชห้ ลกั ความพอประมาณ คือ มีการเตรียมความพร้อมในการทางาน การวางแผนการใชจ้ ่ายงบประมาณท่พี อดีมีประสิทธิภาพไมก่ ่อหน้สี นิ ส่งเสริมให้ครแู ละนกั เรียนใชป้ รัชญาเศรษฐกิจ พอเพยี งในการทางาน และรู้จกั นาของที่ไม่ใชแ้ ลว้ กลบั มาใชใ้ หม่ 2) ด้านการบริหารงานโดยใชเ้ หตุผล หมายถงึ การบริหารโดยใชห้ ลกั ความมีเหตุผล คือการบริหารทีเ่ นน้ การมีส่วนร่วม รบั ฟังความคิดเหน็ ผู้อืน่ เปิดโอกาสให้ทกุ คน ร่วมตดั สินใจบนพ้ืนฐานของการใชเ้ หตุผล 3) ดา้ นการสร้างภมู ิคมุ้ กนั หมายถึง การบริหารโดยใชห้ ลักการสร้าง ภูมิคมุ้ กัน ได้แก่ มีการจดั ลาดบั ความสาคญั ของปญั หา มกี ารวางแผนทีร่ อบคอบ รเู้ ท่าทนั ต่อความเสี่ยงทีจ่ ะเกิดขนึ้ สร้างบรรยากาศของความเป็นมติ รในองค์กรและชมุ ชน 4) ด้านการบริหารงานบนฐานของความรู้ หมายถึงการบริหาร โดยอยบู่ นพืน้ ฐานของการใชค้ วามรู้ ได้แก่ ส่งเสริมคนในองค์กรแสวงหาความรู้ใหม่อยเู่ สมอ ใชค้ วามรู้ในการ แก้ปญั หา ยอมรบั ความเปลี่ยนแปลงเชงิ วชิ าการ มกี ารเรียนรู้อยา่ งต่อเน่อื ง และ 5) ดา้ นการบริหารงานที่ต้ังอยบู่ น คุณธรรมและจรยิ ธรรม หมายถึง การบริหารโดยอยบู่ นพืน้ ฐานของคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม ได้แก่ การดาเนนิ งาน ที่ถูกต้องตามศีลธรรม มีความซอื่ สัตย์ โปร่งใส ส่งเสริมให้คนในองคก์ รเข้าถึงคณุ ธรรมจรยิ ธรรม 3. ผลการเปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการสง่ เสริมการนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งไปใชใ้ นสถานศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 32 จาแนกตามประสบการณ์การ ทางานโดยภาพรวมไม่แตกตา่ งกัน ทงั้ น้อี าจเน่อื งมาจาก ผู้บริหารเป็นผู้มคี วามรอบรูเกี่ยวกับการบริหารงานตา่ งๆ ที่เกีย่ วของอยา่ งรอบคอบ และความรอบคอบที่จะนาความรเู้ หลา่ น้ันมาพจิ ารณาใหเชอ่ื มโยงกนั เพ่อื ประกอบ สนบั สนุนให้มีการวางแผน และความระมัดระวงั ในขน้ั ปฏบิ ตั ซิ ึง่ สอดคล้องกับแนวคิดของเกรยี งศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2550, หนา้ 29) ได้เสนอวา่ การนาหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งให้ลงสู่สถานศึกษาน้ันควรเริม่ ตง้ั แตก่ ารพฒั นา หลกั สตู รและนาไปสู่การบริหารโดยมีขนั้ ตอนดงั น้ี 1) จัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างบูรณาการและตอ่ เนอ่ื ง 2) จดั ทาหลกั สูตรแบบบรู ณาการในกลุ่มสาระการเรียนรู้ การจดั ทาหลักสตู รเศรษฐกิจพอเพยี ง นอกจากจะมกี าร

235 จดั ทาเป็นหลักสูตรแลว้ ควรกาหนดให้มีการสอนแทรกในกลุ่มสาระวชิ าต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคม ศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ฯลฯ เพื่อชว่ ยให้เกิดการบูรณาการ ปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพยี งในสาขาต่างๆ อันจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การดาเนินชวี ติ ของผู้เรียนในทกุ ด้าน 3) จดั ทาหลกั สตู รให้ต่อเนอ่ื งในทกุ ระดบั การศึกษา การจัดทาหลกั สตู รเศรษฐกิจพอเพยี งควรจดั ทาให้เป็นหลักสตู รตอ่ เน่อื งในทุกระดับการศึกษาขั้นพนื้ ฐานไปจนถงึ การ อุดมศกึ ษาโดยสอดคล้องกับพฒั นาการในแต่ละช่วงวยั 4) กาหนดกลไกส่งเสริมใหค้ รูมีแนวคดิ และดาเนนิ ชีวิต สอดคล้องกับหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง การเรียนการสอนตามหลกั สูตรเศรษฐกิจพอเพยี ง อาจไมป่ ระสบ ความสาเรจ็ ได้ หากปราศจากครูผู้สอนที่คุณค่า มีความเข้าใจในการนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชใ้ นการ จดั การเรียนการสอนนนั้ หมายความวา่ นอกจากที่ครผู ู้สอนตามหลักสตู รเศรษฐกิจพอเพยี งแล้ว ยังตอ้ งเป็นผู้ที่ดาเนนิ ชวี ติ ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งด้วย จึงจาเปน็ อยา่ งย่งิ ทีต่ ้องมกี ลไกในการพัฒนาครใู หเ้ อ้อื ตอ่ การสอน หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งแกผ่ ู้เรียน 5) กาหนดหลกั สตู รเศรษฐกิจพอเพยี งในสถาบันอุดมศกึ ษาทีผ่ ลิตครู สถาบันอดุ มศกึ ษาทีเ่ ปิดสอนในสาขาศึกษาศาสตร์ ควรมวี ชิ าทีเ่ กีย่ วกับเศรษฐกิจพอเพยี งรวมอยดู่ ้วย เพอ่ื วางแนวคิด และวิธีการสอนของครผู ู้สอนใหส้ อดคล้องกบั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งกอ่ นไปประกอบอาชพี ครู 6) พฒั นาแนวทาง ดาเนนิ ชีวิตอย่างพอเพยี งของครู โดยมุ่งเนน้ ให้ครหู ันมาดาเนินชวี ติ ตามปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง จนสามารถเป็น แบบอย่างให้ผู้เรียนไปพร้อมกบั การถ่ายทอดความรู้ตามหลกั สตู ร โดยส่งเสริมให้ครูหนั มาดาเนนิ ชีวิตตามแนวทาง เศรษฐกิจพอเพยี ง มกี ารสง่ เสริมครูต้นแบบที่ดาเนนิ ชีวิตตามแนวทางนใี้ ห้เป็นทีร่ ู้จกั โดยการไมก่ ่อหน้สี นิ ไมใ่ ชจ้ ่าย เกินตวั มีการออมทรัพย์รวมถึงการส่งเสริมการทาอาชพี เสริมเพ่อื เพ่มิ รายได้ โดยไม่กระทบตอ่ การปฏบิ ตั ภิ ารกิจครู เป็นต้น 7) สรา้ งเครือข่ายและใชป้ ระโยชน์ การสร้างเครอื ขา่ ยเปน็ กลไกหนง่ึ ที่สามารถนามาใชป้ ระโยชนใ์ นการ พฒั นาการเรียนการสอนตามหลักสตู รเศรษฐกิจพอเพยี งของสถานศกึ ษาได้ เนื่องจากการสร้างเครอื ขา่ ยเป็นการ ดาเนนิ งาน ที่อาศัยการมสี ่วนร่วม ซึ่งจะมีประโยชนใ์ นการแลกเปลี่ยนทรพั ยากรองค์ความรู้ระหว่างกัน เพื่อให้เกิด ประโยชนก์ ับทุกฝ่าย ซึง่ ในความเป็นจริงสถานศึกษาแต่ละแห่งมคี วามจากดั และความแตกตา่ งด้านทรพั ยากร 8) สรา้ งเครือข่ายระหว่างสถานศกึ ษาดว้ ยตนเองการสร้างเครอื ข่ายช่วยระหว่างสถานศึกษา ทาได้โดยการเช่อื มโยง ระหว่างผู้บริหาร ครู ในสถานศกึ ษาแตล่ ะแห่ง เชน่ การจัดตง้ั เป็นเครอื ขา่ ยครูผู้สอนหลักสูตรเศรษฐกิจพอเพยี ง เครอื ขา่ ยผู้บริหารโรงเรียนเศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ ต้น เพื่อร่วมวางแผนแลกเปลีย่ นทรัพยากร องค์ความรู้ อันจะชว่ ย ลดความจากัดด้วยทรัพยากรได้ โดยอาจให้เขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาเขา้ มามีบทบาทในการบริหารจดั การในเรื่องน้ีร่วมดว้ ย 9) สรา้ งเครือข่ายระหวา่ งสถานศกึ ษากบั ชุมชน เครอื ขา่ ยสว่ นนีช้ ว่ ยในการนาองค์ความรู้ท้องถนิ่ เข้ามาใชพ้ ัฒนาการ จดั การเรียนการสอนตามแนวเศรษฐกิจพอเพยี งในสถานศกึ ษา เพือ่ นาผู้เรียนเข้าสกู่ ารเรียนรู้จากวิถีการดาเนนิ ชีวิต และสถานทจ่ี รงิ ภายในชมุ ชน และเปน็ การเรียนรู้ทีม่ ีความหลากหลายในทางปฏิบตั ิ โดยสถานศกึ ษาจะต้องมกี ารสร้าง เครอื ขา่ ยร่วมกับปราชญท์ ้องถิน่ แกนนาเกษตรกรในชุมชน กลุ่มอาชีพตา่ งๆ ศูนยพ์ ฒั นาอาชพี กลุ่มแมบ่ ้าน ฯลฯ โดยประสานงานและมีการจัดกจิ กรรมสมา่ เสมอและตอ่ เน่อื งกาหนดกลไกกระตนุ้ ให้เกิดความตอ่ เนอ่ื ง การสนับสนนุ การเรียนการสอนตามหลกั สูตรเศรษฐกิจพอเพยี งให้ประสบความสาเร็จได้นั้นจาเป็นต้องมกี ลไกทส่ี ามารถกระตุ้นให้ สถาบันการศึกษามีการดาเนินงานอย่างเนอ่ื งและมีคุณภาพ ข้อเสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ผู้บริหารควรจะระวงั ในการก่อหน้ีลว่ งหน้าไม่เกินวงเงินงบประมานจะได้รบั การจดั สรรมายงั โรงเรียน ใชจ้ ่ายงบประมาณให้เหมาะสมกบั งบประมาณทจ่ี ัดสรรมายงั โรงเรียน

236 1.2 ผู้บริหารสง่ั งานโดยยึดหลักความรู้ ความสามารถเปน็ หลกั 1.3 ผู้บริหารควรจะมกี ารประชุมปรึกษาหารอื แกป้ ัญหาและวางแผนงานกนั เป็นประจาอย่างนอ้ ย เดอื นละ 1 คร้ัง 1.4 ผู้บริหารควรแสวงหาความรู้เกีย่ วกบั เรือ่ งนนั้ ๆ ก่อนตัดสนิ ใจเรื่องตา่ งๆ 1.5 ผู้บริหารควรบริหารงานโดยยดึ หลกั ความเปน็ ธรรมเปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั งิ าน 2. ข้อเสนอแนะสาหรับการทาวิจยั คร้ังตอ่ ไป 2.1 ควรศกึ ษาวจิ ยั และพฒั นารปู แบบการมสี ่วนร่วมของผู้ปกครองและชมุ ชนในการพัฒนาสถานศกึ ษา ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง 2.2 ควรศกึ ษารูปแบบทางการบริหารสถานศกึ ษาตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งของโรงเรียน มธั ยมศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 2.3 ควรศกึ ษาปจั จยั ทีส่ ง่ ผลตอ่ การบริหารสถานศกึ ษาตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งของ โรงเรียนมธั ยมศกึ ษา เอกสารอา้ งองิ เกรยี งศกั ดิ์เจรญิ วงศ์ศกั ดิ.์ (2550). ปจั จัยที่สง่ ผลตอ่ การบริหารทีม่ ีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ขององค์กร. เข้าถึงได้จากhttp://www.ifd.or.th กรมวชิ าการ, กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2543). แนวทางการบริหารโรงเรียนโดยใช้ปจั จัยองค์รวมและปัจจัยสนบั สนนุ . กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพร้าว. _______. (2545). แนวทางการบริหารโรงเรียนปฏิรูปการเรียนรู้. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ ุรสุ ภาลาดพร้าว. เจรญิ อภไิ ชย. (2551). บทบาทผู้บริหารสถานศกึ ษาตอ่ การส่งเสริมการนาแนวคิดเศรษฐกิจ พอเพยี งไปใชใ้ น สถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานในอาเภอแมฟ่ า้ หลวงและอาเภอแมส่ าย สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาเชียงราย เขต 3. การศึกษาอิสระ ค.ม. เชียงราย. มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งราย. พรทิพย์ บรรเทา. (2558). แนวทางการบริหารสถานศกึ ษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งของสถานศกึ ษา ในสังกดั สานกั งาน เขตพ้นื ที่การศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 19. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. สกลุ รตั น์ กมทุ มาศ. (2550). บทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในการส่งเสริมการปฏบิ ตั งิ านของครู ตามแนวปฏริ ูป การศึกษา. วารสารวิทยาจารย์. 107 (9) : 99 สุเมธ ตนั ตเิ วชกุล. (2548). แนวคดของการประยกุ ตใชปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง. กรงเทพฯ : ธรรมสาร. สมพร เทพสทิ ธา (2553). การเดินตามรอยพระยุคลบาท เศรษฐกิจพอเพยี ง แกไ้ ขปญั หาความยากจน และการทจุ รจิ . http://www.travelfortoday.com/ourking01.htm สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32. (2554). การประเมินสถานศกึ ษาพอเพียง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จากhttps://sites.google.com/a/ssbr.go.th/ssbr_32/khaw-san-ray-wan. (สบื ค้นเม่อื 2 ตลุ าคม 2560)

237 ศึกษาปญั หาและแนวทางแก้ปญั หาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนการศึกษาพเิ ศษ สังกัดสานกั บริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ A Study of the Problems and Guidelines for Solving Academic Affairs Administration of Special Education (SPED) Schools under the Bureau of Special Education Administration (BSEA) in the Northeastern Region. รชั นีกร กุฎีศรี* ดร.ปณธิ าน วรรณวลั ย์** บทคดั ย่อ การวจิ ัยครง้ั น้มี ีวตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื 1) ศกึ ษาระดบั ปญั หาการบริหารงานวชิ าการในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ สงั กดั สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื 2) เปรียบเทียบความคิดเหน็ ของข้าราชการครู เกี่ยวกับปญั หาการบริหารงานวชิ าการของโรงเรียนการศึกษาพิเศษ สงั กัดสานักบริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษภาค ตะวันออกเฉียงเหนอื จาแนกตามประสบการณ์การทางาน และ 3) ศกึ ษาข้อเสนอแนะเพ่อื พัฒนาการบริหารงาน วชิ าการในโรงเรียนการศึกษาพิเศษภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื สังกดั สานกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ กลุ่มตวั อยา่ ง ที่ใชใ้ นการวิจยั คือ ข้าราชการครูโรงเรียนการศึกษาพิเศษ สงั กัดสานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวนั ออก เฉียงเหนอื ปีการศึกษา 2560 ใน 10 โรงเรียน จานวน 148 คน ได้จากการกาหนดขนาดกลุ่มตวั อย่างโดยใชต้ าราง สาเร็จรูปของเครจซี่ และมอร์แกน เครอ่ื งมือทีใ่ ชเ้ ก็บขอ้ มูลเปน็ แบบสอบถามผู้วิจัยสร้างขนึ้ มลี กั ษณะเป็นแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า 5 ระดบั มคี า่ อานาจจาแนกตั้งแต่ .486-.900 ค่าความเช่อื ม่ัน .979 และแบบสมั ภาษณแ์ บบมี โครงสร้าง สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าความถี่ รอ้ ยละ คา่ เฉล่ยี ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และการ ทดสอบสมมติฐานการวจิ ยั โดยใช้ F–test แบบ One-Way ANOVA ข้อมูลจากการสัมภาษณใ์ ชว้ ธิ ีวิเคราะห์เน้ือหา ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ข้าราชการครูมคี วามคิดเหน็ ตอ่ ปญั หาการบริหารวชิ าการโรงเรียนการศึกษาพิเศษ สังกัดสานกั บริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั น้อย เม่อื พิจารณาเปน็ รายดา้ น พบว่า ด้านทีม่ ีคา่ เฉลย่ี สูงสุด คือ ด้านการพฒั นาหลักสตู รสถานศกึ ษา รองลงมา ได้แก่ ดา้ นการนเิ ทศการศกึ ษา ด้านการ พฒั นากระบวนการเรียนรู้ ด้านการประกันคณุ ภาพการศึกษา และด้านการวจิ ัยและพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา ตามลาดบั 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อปัญหาการบริหารงานวชิ าการของโรงเรียนการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื จาแนกตามประสบการณ์ทางาน โดยภาพรวม มคี วามแตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติ ทีร่ ะดบั .05 3. ข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อพฒั นาการบริหารงานวชิ าการของโรงเรียนการศึกษาพิเศษ สงั กดั สานกั บริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื คือ การนาหลักสตู รแกนกลางมาใชใ้ นสถานศกึ ษาควรจะตอ้ ง ปรับปรุงให้เข้ากับบริบทของโรงเรียนเฉพาะความพกิ ารแตล่ ะโรงเรียน การนเิ ทศการศกึ ษาควรมกี ารกากบั ติดตาม อย่างตอ่ เน่อื งและเปน็ ระบบ ส่งเสรมิ ให้ครูเข้าอบรมและพัฒนาตนเองอยา่ งต่อเนอ่ื ง เพ่อื นามาจัดการเรียนรู้กับผู้เรียน คาสาคัญ : การบรหิ ารงานวิชาการ, โรงเรียนการศึกษาพิเศษ *ครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภมู ิ **กรรมการบรหิ ารหลกั สตู รครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฏั ชยั ภมู ิ

238 ครูจะตอ้ งจัดสภาพห้องเรียนหรือพฒั นาแหล่งเรียนรู้ให้เอ้อื อานวยตอ่ การเรียนการสอน การประกนั คณุ ภาพการศึกษา ดาเนนิ การพฒั นาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศกึ ษาให้เข้มแข็ง เพือ่ เป็นตวั ขับเคลือ่ นคณุ ภาพโรงเรียน และจดั ทาเอกสารให้เปน็ ปัจจบุ นั มีการนเิ ทศติดตามอยู่เสมอ เพอ่ื นาปญั หาทีพ่ บไปปรบั ปรงุ แก้ไข การวจิ ัยเพอ่ื พัฒนา คณุ ภาพการศึกษา ควรมกี ารวจิ ัยอย่างตอ่ เนอ่ื ง ABSTRACT This research aimed: 1) to study the level of the problems of the Academic Affairs administration in the Special Education (SPED) Schools under the Bureau of Special Education Administration (BSEA) in the Northeastern Region, 2) to compare the opinions of the teachers toward the problems of the Academic Affairs administration of the SPED Schools under BSEA in the Northeastern Region classified by work experience, and 3) to study the guidelines for developing the Academic Affairs administration in the SPED Schools under BSEA in the Northeastern Region. The samples were the 148 teachers from 10 SPED Schools under BSEA in the Northeastern Region in the academic year 2017. The sample size was determined according to Krejcie and Morgan’s tables. The research instruments were 5-rating scale questionnaires conducted by the researcher with the discrimination range between .486-.900 and the reliability of .979 and structured interview. The statistics for analyzing the data consisted of frequency, percentage, mean, and standard deviation. The hypothesis was tested by employing F-test (One-Way ANOVA) and the interview data was employed content analysis. The research results revealed that: 1. The teachers’ opinions toward the problems of the Academic Affairs administration of the SPED Schools under BSEA in the Northeastern Region in overall were a high level. When considering each aspect, it was found that the highest mean scores were school-based curriculum development. It was followed by the aspect of the supervision, the learning process development, education quality assurance, research and education development, respectively. 2. The result of the comparison of the opinions toward the problems of Academic Affairs administration classified by work experience overall was significantly different at the level of .05. 3. The guidelines for developing Academic Affairs administration of the SPED Schools under BSEA in the Northeastern Region: The implementation of the core curriculum should be adjusted to the context of the schools and the specific disability; the supervision should be directed continuously and systematically; encourage the teachers to continue their training for developing themselves and to apply the knowledge in their instructions; the teachers should set up the classroom condition or develop learning resources to facilitate their teaching; should strengthen the education quality assurance to empower the schools quality; should update the documents and supervise the teachers regularly in order to make use of the problems to find the solutions; should do the research for developing the education continuously. Keywords : Academic Affairs Administration , Special education

239 ภมู หิ ลงั พระราชบัญญตั ิการจัดการศกึ ษาสาหรับคนพกิ าร พ.ศ. 2551 มาตรา 8 ระบุว่าให้สถานศกึ ษาในทุกสงั กดั และศนู ยก์ ารเรียนเฉพาะความพกิ ารอาจจัดการศึกษาสาหรับคนพกิ ารท้ังในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศยั ในรูปแบบทีห่ ลากหลายทั้งการเรียนร่วม การจัดการศกึ ษาเฉพาะความพิการ รวมถงึ การให้บริการฟื้นฟสู มรรถภาพ การพฒั นาศกั ยภาพในการดารงชีวิตอสิ ระการพัฒนาทกั ษะพนื้ ฐานท่จี าเปน็ การฝกึ อาชพี หรือการบริการอืน่ ใด ซึง่ สอดคล้องกับพระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแกไ้ ขเพ่มิ เตมิ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 วรรคสอง ซึง่ กาหนดว่า “มาตรา 10 การจดั การศึกษา ตอ้ งจัดให้บคุ คลมีสทิ ธิและโอกาสเสมอกนั ในการรบั การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ไมน่ อ้ ยกว่าสิบสองปีทีร่ ฐั ต้องจัดให้อยา่ งทวั่ ถึงและมคี ณุ ภาพโดยไมเ่ ก็บคา่ ใชจ้ า่ ย การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซึ่งมี ความบกพร่องทางรา่ งกาย จิตใจ สตปิ ญั ญา อารมณ์ สงั คม การสอ่ื สารและการเรียนรู้ หรือมรี ่างกายพิการหรือ ทุพพลภาพหรือบคุ คลซึ่งไม่สามารถพง่ึ ตนเองได้ หรือไมม่ ผี ู้ดแู ลหรือด้อยโอกาส ตอ้ งจัดให้บุคคลดงั กล่าวมีสทิ ธิ และโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพนื้ ฐานเปน็ พิเศษ การศึกษาสาหรับคนพกิ ารในวรรคสอง ให้จดั ตง้ั แตแ่ รกเกดิ หรือ พบความพกิ ารโดยไมเ่ สียคา่ ใชจ้ า่ ย และให้บคุ คลดังกลา่ วมีสิทธิได้รับสิ่งอานวยความสะดวก สอื่ บริการ และความ ชว่ ยเหลอื อื่นใดทาง การศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการที่กาหนดในกฎกระทรวง การจัดการศกึ ษาสาหรบั บุคคล ซึ่งมีความสามารถพเิ ศษตอ้ งจดั ดว้ ยรปู แบบที่เหมาะสมโดย คานงึ ถึงความสามารถของบุคคลนน้ั ” (พระราชบญั ญัติ การศึกษาแห่งชาต,ิ 2553, หนา้ 5) ดงั นั้นรฐั บาลจงึ มนี โยบายใหจ้ ดั การศกึ ษาให้แก่ประชาชนในวัยเรียนอยา่ งทั่วถึง โดยเฉพาะเดก็ ที่มีความต้องการพิเศษซึง่ เป็นเดก็ ท่มี คี วามตอ้ งการการศึกษาและการช่วยเหลอื แตกต่างกันไปจาก เด็กปกติ โดยมุ่งเนน้ ให้เดก็ ได้พฒั นาการด้านต่างๆ ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญา ได้อยา่ งเต็ม ความสามารถ และเป็นที่ยอมรับของครอบครวั ชุมชน และสงั คม กระทรวงศึกษาธกิ ารจึงได้พฒั นารูปแบบการจดั การศึกษาสาหรบั บคุ คลกลุ่มน้มี าอย่างตอ่ เนอ่ื ง เพ่อื ให้เหมาะสมกับสภาพความต้องการพเิ ศษ และสภาพเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ ซึ่งจาเป็นต้องอาศยั บุคลากรผู้มีความชานาญและมี ประสบการณ์เข้าร่วมมอื กนั ในลักษณะของ การระดมพลงั คือ ทั้งโรงเรียน ชมุ ชนและผู้มีสว่ นเกีย่ วข้อง ซึ่งตอ้ งประสานสมั พันธ์กัน ในการทางานทงั้ ในดา้ น นโยบายและตลอดจนกระบวนการการจดั การเรียนการสอน เพอ่ื ให้การพฒั นาศักยภาพของเดก็ เหลา่ นี้ เปน็ ไปอยา่ งมี ประสิทธิภาพเต็มที่ ดังนน้ั รฐั บาลจึงมนี โยบายให้ จดั การศึกษาให้แกป่ ระชาชนในวยั เรียนอยา่ งท่ัวถึง โดยเฉพาะเด็ก ที่มีความต้องการพเิ ศษซึง่ เปน็ เดก็ ท่มี คี วามตอ้ งการการศึกษาและการชว่ ยเหลอื แตกต่างกนั ไปจากเดก็ ปกติ โดยมุ่งเนน้ ให้เดก็ ได้พฒั นาการด้านต่างๆ ท้ังทางด้านร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสติปญั ญา ได้อยา่ งเตม็ ความสามารถ และเป็นที่ยอมรับของครอบครวั ชุมชน และสังคม กระทรวงศึกษาธกิ ารจึงได้พฒั นารปู แบบการจดั การศึกษาสาหรับบุคคลกลุ่มน้มี าอย่างตอ่ เน่อื ง เพอ่ื ให้เหมาะสมกบั สภาพความต้องการพเิ ศษ และสภาพเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ ซึ่งจาเปน็ ต้องอาศยั บคุ ลากรผู้มีความชานาญและมีประสบการณ์เข้าร่วมมอื กันในลกั ษณะของการ ระดมพลงั คือ ท้ังโรงเรียน ชมุ ชนและผู้มีสว่ นเกีย่ วข้อง ซึ่งตอ้ งประสานสมั พนั ธ์กนั ในการทางานท้ังในดา้ นนโยบาย และตลอดจนกระบวนการการจดั การเรียนการสอน เพอ่ื ให้การพฒั นาศกั ยภาพของเด็กเหลา่ นี้ เปน็ ไปอยา่ งมี ประสิทธิภาพเตม็ ที่ ซึง่ ตอ้ งเป็นไปใน ลักษณะการแสวงหานวตั กรรม ทีเ่ หมาะสมและมคี ุณภาพตอ่ เดก็ ทกุ ความพกิ าร (พะโยม ชนิ วงศ์, 2547, หนา้ 2) ดังนน้ั จาเปน็ ทีส่ ถานศึกษาเป็นหน่วยงานที่สาคญั ในการพัฒนาคนให้มคี ุณภาพทุกดา้ น ประสิทธิภาพการ บริหารสถานศกึ ษาเปน็ หน้าทีห่ ลกั ของผู้บริหารสถานศกึ ษาทีต่ อ้ งประสานงานให้บคุ คลต่างๆ ปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ไี ปด้วยดี และบารงุ รกั ษาหนว่ ยงานให้ดารงอยู่อยา่ งมน่ั คงและมคี วามเจรญิ ก้าวหนา้ ยิง่ ขนึ้ ไป ประสิทธิผลของโรงเรียนเป็น บทบาทหน้าทีข่ องผู้บริหาร เพราะหากสิง่ ทผี่ ู้บริหารกาหนดใหก้ ระทานนั้ มคี วามไมถ่ กู ต้องเสียแตแ่ รกแล้ว ก็จะ