Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore CES Journal Vol.6 No.10

CES Journal Vol.6 No.10

Published by ED-APHEIT, 2020-08-20 00:12:54

Description: CES Journal Vol.6 No.10

Search

Read the Text Version

ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 97 กรอบแนวคิดในการวิจยั เคร่อื งมือในการวจิ ัย การวิจัยค้นคว้าคร้ังน้ี ผู้วิจัยใช้เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ได้แก่ ตาแหน่งและขนาดของโรงเรียน ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) มี 5 ระดบั ดังนี้ 5 หมายถงึ มกี ารบริหารอยู่ในระดับมากทส่ี ุด 4 หมายถึง มีการบริหารอยู่ในระดบั มาก 3 หมายถงึ มีการบริหารอยใู่ นระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีการบริหารอยู่ในระดบั นอ้ ย 1 หมายถงึ มกี ารบริหารอยใู่ นระดบั น้อยทสี่ ดุ การสรา้ งและหาคุณภาพเครือ่ งมือ เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวิจัยคร้ังน้ี ผู้วจิ ยั มีวธิ ีการสร้างตามข้ันตอน ดงั นี้ 1. ศกึ ษาค้นควา้ เอกสาร หนงั สอื และงานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับ การบริหารงานบคุ คล เพ่ือนามาเป็น แนวทางในการสร้างแบบสอบถาม 2. ศึกษาวิธีสร้างเครื่องมือแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของ ลิเคิร์ท (Likert) และการสรา้ งแบบสอบถามจากตาราของ บญุ ชม ศรสี ะอาด (2554. น, 74 – 84) 3. ผู้วิจัยดาเนินการสร้างแบบสอบถาม โดยสังเคราะห์จากนยิ ามศัพท์ที่ผู้วิจัยต้ังขึ้น เพื่อใช้ในการ วิจัยในครั้งนี้

ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 98 4. นาแบบสอบถามเสนออาจารยท์ ี่ปรึกษาวทิ ยานพิ นธ์ เพอื่ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งเหมาะสม และ พิจารณาใหข้ อ้ เสนอแนะ 5. ปรับปรุงแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และนาเสนอ ผเู้ ช่ียวชาญ จานวน 5 ทา่ น เพ่อื ตรวจพิจารณาความเท่ียงตรงเชงิ เนื้อหาของคาถาม โดยการหาความสอดคล้อง ระหว่างขอ้ คาถามกบั นิยามศัพท์เฉพาะ (IOC : Index of Congruence) 6. นาแบบสอบถามท่ผี า่ นการพิจารณาของผ้เู ชย่ี วชาญมาปรับปรงุ แก้ไขตามขอ้ เสนอแนะ 7. นาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับผบู้ รหิ ารและครทู ี่ไม่ใชก่ ลุ่มตวั อยา่ งในการทอดลอง จานวน 30 คน สังกัดสานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 8. นาแบบสอบถามมาวิเคราะห์ค่าความเชื่อม่ัน โดยการหาสัมประสิทธ์ิแอลฟ่า (Alpha coefficient) ตามวิธขี องครอนบาค (Cronbach) ได้คา่ ความเชอ่ื ม่นั ท้ังฉบับ 0.91 9. จดั พิมพแ์ บบสอบถามฉบับสมบูรณ์ เพ่ือนาไปเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู กับกลุม่ ตวั อย่างทีว่ จิ ัยต่อไป การเก็บรวบรวมขอ้ มูล การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลผวู้ จิ ัยไดด้ าเนนิ การตามขั้นตอน ดังตอ่ ไปน้ี 1. ขอหนังสือจากคณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ เพ่ือขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลในวิจัยตอ่ สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษารอ้ ยเอด็ เขต 1 2. ผวู้ จิ ยั แจกแบบสอบถามต่อผู้บริหารและครูทเี่ ปน็ ประชากรในการศกึ ษา เพ่อื เก็บรวบรวมข้อมลู ใน การวจิ ยั 3. ผู้วิจัยตดิ ตามเก็บรวบรวมแบบสอบถามคืนด้วยตนเอง การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป โดยทาการวิเคราะห์ข้อมูลตาม ขนั้ ตอน ดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามเก่ยี วกับ ตาแหน่งและขนาดของโรงเรียนของกลมุ่ ตัวอย่างทตี่ อบแบบสอบถาม โดยหาค่าความถ่ี (Frequency) และรอ้ ยละ (Percentage) 2. วเิ คราะห์การบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาร้อยเอ็ด เขต 1 ทงั้ โดยภาพรวมรายด้านและรายขอ้ โดยหาคา่ เฉลย่ี (x̅) และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วนาไปเปรียบเทยี บ กบั เกณฑ์ (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2554. น, 103) ดงั น้ี ค่าเฉล่ยี 4.51 – 5.00 หมายถึง มีการบรหิ ารอยใู่ นระดับมากท่สี ุด ค่าเฉล่ยี 3.51 – 4.50 หมายถึง มกี ารบริหารอยใู่ นระดับมาก ค่าเฉล่ยี 2.51 – 3.50 หมายถงึ มีการบรหิ ารอยใู่ นระดบั ปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีการบริหารอยใู่ นระดบั น้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถงึ มกี ารบรหิ ารในระดับน้อยที่สุด

ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 99 3. วิเคราะห์เปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา ร้อยเอ็ด เขต 1 จาแนกตาม ตาแหน่งและขนาดของโรงเรียน โดยใช้ค่า t - test (Independent Samples) และใชก้ ารวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนทางเดียว (F-test แบบ One Way Anova) สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู 1. สถติ ิที่ใช้ในการหาคุณภาพของเคร่อื งมอื ได้แก่ 1.1 ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ระหว่าง ขอ้ คาถามกับนิยามศัพทเ์ ฉพาะ 1.2 ความเช่ือมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า (Alpha coefficient) ตามวิธขี องครอนบาค (Cronbach) 2. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ 2.1 ความถ่ี 2.2 ร้อยละ 2.3 คา่ เฉล่ยี 2.4 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 3. สถติ ทิ ่ีใชใ้ นการทดสอบสมมตฐิ านไดแ้ ก่ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2554. น, 74 - 84) 3.1 t – test แบบ Independent Samples 3.2 F-test แบบ One Way Anova สรุปผลการวิจยั 1. การบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 โดยรวมอยู่ใน ระดบั มากเม่ือพิจารณาเปน็ รายด้านพบวา่ การบรหิ ารงานบคุ คลอยู่ในระดับมากทกุ ดา้ น โดยเรียงลาดับคา่ เฉล่ีย จากมากไปหานอ้ ย ได้แก่ การฝึกอบรมและพัฒนาการประเมนิ ผลการปฏิบัติงานการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การจัดหาบคุ คลเขา้ ทางาน การบรหิ ารจัดการค่าตอบแทน การยา้ ยพนักงานและการทดแทน 2. เปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 จาแนกตามสถานะ ใช้การวิเคราะห์ โดย t –test และขนาดของโรงเรียน ใช้การวิเคราะห์ โดยสถิติ F-test (One - way ANOVA) พบว่า 2.1 การบริหารงานบุคคลของสานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาร้อยเอ็ด เขต 1 จาแนก ตามตาแหน่ง โดยรวมและรายดา้ นไม่แตกต่างกัน 2.2 การบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 จาแนก ตามขนาดของโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกัน รายด้านแตกต่างกัน ในด้านการวางแผนทรัพยากรมนุษย์และ ดา้ นการยา้ ยพนกั งานและการทดแทน นอกนัน้ ไม่แตกตา่ งกนั อภิปรายผล

ปที ่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 100 การศึกษาคร้ังน้ีทาให้ทราบถึงการบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา รอ้ ยเอด็ เขต 1 มีประเดน็ ท่ีควรนามาอภปิ รายผลดังน้ี 1. การบรหิ ารงานบคุ คลของสานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 โดยรวมอยู่ใน ระดับมากเมือ่ พิจารณาเป็นรายด้านพบวา่ 1 สภาพการบริหารงานบุคคลอยู่ในระดับมากทุกด้านสอดคล้องกบั วิทยา ศรีจันทร์หล้า (2553) ได้ทาการวิจัยเร่ืองสภาพและปัญหาการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาสังกัด สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาขอนแก่นเขต 4 จาแนกตามตาแหน่งหน้าที่และขนาดของโรงเรียนผลการวิจัย พบว่าสภาพการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาขอนแก่นเขต 4 โดย ภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก 2. ผลการเปรียบเทยี บการบริหารงานบุคคลของสานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาร้อยเอ็ด เขต 1 จาแนกตามตาแหน่ง โดยรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน สอดคล้องกับอภิญญา แสนสุข (2555) ได้ ศึกษาเร่ืองปัญหาและแนวทางการพัฒนาการบรหิ ารงานบุคคลของโรงเรียนสังกัดเมอื งพัทยาพบวา่ ปัญหาการ บริหารงานบคุ คลของโรงเรยี นสงั กัดเมืองพทั ยา โดยรวมและรายดา้ นอยู่ในระดับปานกลางและโรงเรียนสังกัด เมอื งพัทยามีสถานะ เพศอายุระยะเวลาการปฏิบตั งิ านระดับชัน้ ที่สอนและวิทยฐานะเห็นว่ามีปัญหาดงั กล่าวไม่ แตกต่างกันยกเวน้ การเปรียบเทยี บความแตกต่างปัญหาการบริหารงานบคุ คลของโรงเรยี นจาแนกตามระดับช้ัน ด้านการพัฒนาบุคลากรแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติโดยระดับชั้นท่ีสอนปฐมวั ยมีปัญหาน้อยกว่ า ระดบั ชั้นท่ีสอนประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษา 3. การบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 จาแนกตาม ขนาดของโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกนั รายด้าน แตกต่างกันในดา้ น การวางแผนทรัพยากรมนุษยแ์ ละด้าน การย้ายพนักงานและการทดแทน นอกนนั้ ไมแ่ ตกตา่ งกนั สาหรับ นวลถวิล สชุ าดาวฒุ ิ (2550) ได้ทาการวิจัย เร่ืองปัญหาและแนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคลากรของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครพบว่าผลการ เปรยี บเทียบแนวทางการพัฒนาการบรหิ ารงานบุคลากรของโรงเรียนสงั กัดกรงุ เทพมหานครที่มีขนาดต่างกันทั้ง 6 ด้านคือด้านการปฐมนิเทศด้านการฝึกอบรมด้านการศึกษาดูงานด้านการศึกษาต่อด้านการวิจัยและด้านการ หมนุ เวยี นตาแหน่งงานโดยรวมและรายด้านพบวา่ มคี วามแตกต่างกันอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ .05 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะทไ่ี ดจ้ ากผลการศกึ ษา 1. การบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 เม่ือจัด พิจารณาตามขนาดของโรงเรียนแล้วมีความคิดเห็นความแตกต่างกัน ดังน้ันควรมีการจัดการบริหารงานให้ เป็นไปในรูปแบบเดียวกนั 2. สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ควรกาหนดแนวทางในการปฏิบัติงานท่ีชัดเจน เปน็ ไปในรูปแบบ ทีต่ รวจสอบได้ 3. ควรส่งเสรมิ การบรหิ ารงานบุคคลใหเ้ ป็นเอกภาพ

ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 101 ขอ้ เสนอแนะในการทาการศึกษาครัง้ ตอ่ ไป 1. ควรศึกษาการพฒั นารปู แบบการบรหิ ารงานบุคคลให้มปี ระสทิ ธิภาพ 2. ควรมีการศึกษาการประกันคณุ ภาพภายในของงานบุคคล เอกสารอ้างองิ กัญญา ม่วงแก้ว. (2559). คณุ ภาพอากาศภายในอาคารสานกั งาน. สืบค้นท่ี http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_knowledge/phy_5_2559_indoor_air_quality.pdf เมือ่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2562. นวลถวิล สุชาดาวฒุ .ิ (2550). สภาพปญั หาและแนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคลากรของ โรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิต วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชภฏั จนั ทรเกษม. บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2554). การวิจยั เบ้ืองตน้ . กรงุ เทพฯ: สวุ ริ ยิ าสาส์น. ภิญโญ สาธร. (2559). การศึกษา : ปญั หาทร่ี อคนแก้. สาธร. พิมพลักษณ์, กรงุ เทพฯ : วฒั นาพานชิ . ราชกจิ จานเุ บกษา. (2553 ). ประกาศกระทรวงศึกษาธกิ าร เรอ่ื ง การ กาหนดและแก้ไขการเปลย่ี นแปลงเขต พื้นที่การศึกษาเป็นเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษา. เลม่ 127 ตอนพเิ ศษ 97 ง, สงิ หาคม 2553. วิทยา ศรีจนั ทร์หลา้ . (2553). สภาพการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาสังกดั สานักงาน เขตพนื้ ที่การศึกษา ขอนแกน่ เขต 4. วทิ ยานิพนธค์ รุศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเลย. วิลาวรรณ รพพี ิศาล. (2554). ความรพู้ ้ืนฐานในการบรหิ ารทรพั ยากรมนษุ ยม์ นษุ ย.์ กรุงเทพฯ: วิจติ รหตั ถกร. สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน. (2553). คูม่ อื การประเมนิ สมรรถนะครู. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท. อภญิ ญา แสนสุข. (2555). ปญั หาและแนวทางพฒั นาการบรหิ ารงานบุคคลของโรงเรยี นสงั กดั เมอื งพทั ยา. วทิ ยานิพนธ์ หลักสตู รการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรู พา. Cronbach,L.J. (1990). Essentials of Psychological Testing. 5th e.d., New York: Harper Collins. Krejcie and Morgan. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), pp. 607-610.

ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 102 การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดแก้ปญั หา โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวความคิดคอนสตรัคติวิซมึ รายวิชาชีววิทยา เร่อื ง ระบบประสาทและอวยั วะรบั ความร้สู ึกของ นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคาแหง (ฝา่ ยมธั ยม) A study on the Learning and Problem Solving Ability bioloy course by using creative process Constructivism Nervous System and Sense Organ of grade 12 students , The Demonstration School of Rankhamheang University สลุ ักขณา ยศสมบัติ* Sulakkhana Yotsombati * นกั ศึกษาหลกั สตู รศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาชีววทิ ยา มหาวิทยาลรั ามคาแหง ทสั ริน โตนชุ ** Tassarin Tonuch ** อาจารยแ์ ละปริญญาเอก ท่ปี รษึ างานวิจยั บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการคิด แก้ปัญหา โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวความคิดคอนสตรัคติวิซึม รายวิชาชีววิทยา เรื่อง ระบบ ประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคาแหง (ฝ่ายมัธยม) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 กลุ่มเป้าหมายในการวจิ ัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 6/1(3) จานวน 26 คน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคาแหง (ฝ่ายมัธยม) โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครอื่ งมอื ทีใ่ ช้ในการวิจัย คือ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้วิชาชีววทิ ยา เร่ือง ระบบประสาท และอวัยวะรับความรู้สึก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาชีววิทยา และแบบทดสอบ ความสามารถในการคิดแก้ปญั หา สถิติท่ีใช้ในการวิจัย คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการ ทดสอบคา่ ที (t-test) ซงึ่ สามารถสรปุ ผลการวิจยั ได้ดงั นี้

ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 103 1. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น โดยใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรยี นร้ตู ามแนวคิดคอนสตรัคติวซิ ึม รายวชิ าชวี วิทยา เรื่อง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สกึ ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลังใช้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สูงกว่าก่อนใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยค่าเฉลี่ยหลังใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เท่ากับ 31.73 และค่าเฉลี่ยก่อนใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เท่ากับ 14.15 ซ่ึงแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2. ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิซึม รายวิชาชีววิทยา เรื่อง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่า ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาหลังใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นร้สู งู กว่าก่อนใช้ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยคา่ เฉลี่ย หลังใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เทา่ กับ 6.19 และคา่ เฉลีย่ ก่อนใช้ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เท่ากับ 3.96 ซึ่งแตกต่าง กนั อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05 คาสาคญั ความสามารถในการคดิ แกป้ ญั หา , แนวความคดิ คอนสตรัคติวิซมึ , ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ABSTRACT The objective of the research was to study the problem-solving ability of the grade 12 students of the Demonstration School of Rankhamheang University in Biology subject on the topic of Sensory nervous system arranged by constructivism concept of teaching and learning in second-semester of 2019 Academic year. There were 26 students in the Demonstration School of Ramkhamheang University (secondary level) of the population and used purposive sampling.The data were collected by the teaching and learning package on the sensory nervous system and problem-solving ability test. The data were analyzed by percentage, standard deviation, and t-test. The findings are as follows. Results indicated that the problem-solving ability of the grade 12 students in Biology subject on the topic of the sensory nervous system arranged by the constructivism concept of teaching and learning is higher after applied teaching and learning package on sensory nervous system. On the average, students’ problem-solving ability after using teaching and learning package is equal to 6.19 and students’ problem-solving ability before using teaching and learning package is equal to 3.96 which was significantly different at the level of .05. ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา

ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 104 ในปัจจุบันสังคมโลกมกี ารปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะได้รบั อิทธพิ ลจากกระแสยคุ ดิจิทัล ไม่ว่า ผู้คนจะอยู่ในท่ีแห่งใดแห่งหนึ่งของโลกก็สามารถท่ีจะรับรู้และทาการส่ือสารติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วและ กว้างขวางมากข้ึนและด้วยเน่ืองจากการพัฒนาระบบสื่อสารและเทคโนโลยีต่างๆ ให้มีความทันสมัย ซ่ึงการ พัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วเช่นน้ี อาจก่อให้เกิดปัญหาข้ึนมากมายท่ีส่งผลกระทบต่อมนุษย์และปัญหาที่เกิดขน้ึ ดังกลา่ วสามารถเกิดขนึ้ ได้กับทุกคนและเม่อื เกิดปญั หามนุษย์จงึ มีความจาเปน็ ขจัดปญั หาเหล่านอี้ อกไป ปญั หา ต่างๆ ทาให้เกิดความคิด เพราะการคิดสามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อบุคคลเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ก่อให้เกิด ปัญหาความขัดแย้งหรอื คาถามจะเกิดสภาวะที่ไม่สมดุลข้ึนและทาให้เราเกิดความไม่สบายกายและสบายใจซง่ึ จะเป็นสิ่งเร้าที่มากระตุ้นให้บุคคลนั้นคิดหาคาตอบและเมื่อสามารถตอบคาถามนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นจะกลับสู่ สภาวะสมดุลข้ึน (สวุ ิทย์ มลู คา, 2557, หน้า 11 ) ดังนัน้ มนุษย์จงึ มคี วามคดิ แก้ปัญหา เพ่อื ทาใหต้ นเองนัน้ กลับ เข้าส่สู ภาวะสมดุลโดยปรบั ตนเอง ใหก้ ลบั สภาวะแวดล้อมใหผ้ สมกลมกลนื กับสภาวะต่างๆ ทเ่ี ราคาดหวังเอาไว้ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาเป็นทักษะท่ีมีความสาคัญที่สุดอย่างหนึ่งสาหรับมนุษย์เพราะว่า มนุษย์ต้องเจอปัญหาต่างๆ อยู่ในทุกๆ วัน ทักษะในการคิดแก้ปัญหามิใช่เพียงแต่การรู้จักคิดและรู้จักใช้สมอง หรือเป็นทักษะท่ีมุ่งพัฒนาด้านสติปัญญาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นทักษะท่ีสามารถพัฒนาในด้านทัศนคติ วิธี คิด คา่ นิยม ความรู้ ความเขา้ ใจในสถาณการณ์ของสงั คมไดอ้ ีกด้วย ซงึ่ ในระบบการศกึ ษาจะตอ้ งใหค้ วามสาคัญ ในการศึกษาและฝึกฝนเยาวชนให้มีโอกาสได้ฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหาให้มากขึ้น (สุวิทย์ มูลคา, 2557, หน้า 16 ) แต่เดิมน้ันการศึกษาประเทศไทยมีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 และ หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 กระทรวงศึกษาธกิ ารโดยกรมวิชาการได้ติดตามผล และดาเนนิ การวิจยั เพื่อพฒั นาหลักสูตรตลอดพบว่า หลกั สูตรท่ีเคยนามาใช้ นน้ั มขี อ้ จากดั อยู่หลายประการ ไม่ สามารถส่งเสริมให้สังคมไทยก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ได้ทันการณ์ โดยเฉพาะการนาหลักสูตรไปใช้ยังไม่ สามารถ สร้างพืน้ ฐานในการคดิ สรา้ งวธิ ีการเรียนรู้ ใหค้ นไทยมที ักษะในการจัดการและทักษะในการดาเนินชีวิต มีความสามารถเผชญิ กับปญั หาในสังคมและเศรษฐกจิ ท่ีเปล่ียนแปลง อยา่ งรวดเร็วไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ จึงมี การกาหนดหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) เพื่อแก้ไขข้อจากัด เหล่าน้ัน เพ่ือมุ่งเน้นพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานให้มีคุณภาพ ด้านความรู้ และทักษะท่ีจาเปน็ สาหรบั การดารงชีวติ ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2560 หน้า 3) ชวี วทิ ยาเปน็ ศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์และสาขาท่เี ป็นเครื่องมือสาคัญอกี วิชาหนึง่ ที่มบี ทบาทสาคัญต่อ การดาเนินชีวิตในชีวิตประจาวันของมนุษย์ เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคนและการงานอาชีพต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยเี ครอ่ื งมือ เครอ่ื งใช้และผลผลติ ตา่ งๆ ทีม่ นุษย์ได้ใชเ้ พ่ืออานวยความสะดวกในชีวติ และการ ทางาน ซึ่งล้วนเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (กระทรวงศึกษาธิการ,2558,หน้า 1 ) ชีววิทยาช่วยให้มนุษย์ได้ พัฒนาวิธีคิด ความคิดทเี่ ปน็ เหตเุ ปน็ ผล คดิ วเิ คราะห์ คิดสร้างสรรค์ มที กั ษะในการค้นหาความรู้ มีความสามารถ ในการคิดแก้ปญั หาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสนิ ใจ โดยใชข้ อ้ มูลที่หลากหลายมาตรวจสอบได้ ต้องไดร้ ับการ

ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 105 พัฒนาให้มีความรู้ ความเข้าใจ รู้จักคิดแก้ปัญหา สร้างสรรค์และนาความรู้ที่มีมาเพิ่มขีดความสามารถ นาไป แข่งขนั กับนานาประเทศ และดาเนนิ ชวี ติ รว่ มกันในสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ จากปัญหาข้างตน้ จะเหน็ วา่ เด็กไทยมคี วามสามารถทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอยู่ในเกณฑ์น่าเป็น ห่วง การทาแบบทดสอบวทิ ยาศาสตร์ ผลการวเิ คราะหอ์ อกมาเป็นทีไ่ มค่ ่อยพอใจ ซึง่ มีสาเหตุปัจจยั หลายด้านท่ี ทาให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับที่ควรปรับปรุง ดังรายงานตัวชี้วัดการศึกษาไทย World Economic Forum: WEF 2014-2015 ที่ได้แสดงตวั ช้ีวัดคุณภาพการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (Quality of Math and Science Education) พบว่าประเทศไทยมีคะแนนลดลงต่ากว่าปี 2016 จาก 4.00 เป็น 3.90 จากคะแนนเต็ม 7.0 คะแนน (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2558ก, หน้า 5) สอดคล้องกับผลการ ประเมินของสถาบนั ระหวา่ งประเทศเพ่ือพัฒนาการจดั การ (IMD) ปี 2015 ขีดความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศตา่ งๆ ทั่วโลก 61 ประเทศ พบวา่ อันดบั ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาของประเทศไทย อยอู่ นั ดบั 48 เป็นอันดับท่ี 3 ในกลมุ่ ประเทศอาเซยี น รองจากประเทศสิงคโปร์และประเทศมาเลเซยี ตามลาดับ จากผลสารวจของ IMD ยังพบว่าความคิดเห็นต่อการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยว่ายังไม่มี ประสิทธิภาพเพียงพอ จัดอยู่อันดับท่ี 50 (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2558 ข, หน้า 5-7) สถาบัน ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2551, หนา้ 54-79) กลา่ วว่า เดก็ ไทยทาขอ้ สอบที่เปน็ คาอธิบาย ไม่ค่อยได้ เพราะปัญหาการเรยี นการสอนของไทยส่วนใหญ่ยังเนน้ การสอนเน้ือหาและการท่องจามากกว่าการ พัฒนาความสามารถในการคดิ ผลการประเมินความสามารถนกั เรียนไทยในด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ การอ่านระดับนานาชาติ เช่น TIMSS 1995-2011, PISA 2000-2012 สะท้อนคุณภาพนักเรียนไทยมีแนวโนม้ ต่าลงผลการประเมินสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ของ PISA 2006 พบว่านักเรียนไทย ร้อยละ 46.10 แสดง ความสามารถในการระบุประเด็นทางวิทยาศาสตร์ไม่ถึงระดับ 2 (ระดับพ้ืนฐาน) ช้ีให้เห็นว่านักเรียนไทยอ่อน เรื่องการระบุประเด็นทางวิทยาศาสตร์ คือไม่สามารถระบุได้ว่าประเด็นหรือปัญหาใด สามารถแก้ไขได้โดย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ นอกจากน้ี จากการสังเคราะหผ์ ลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม (พ.ศ.2554- 2558) ของสถานศกึ ษาสงั กัดสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พบว่าตวั บ่งชีท้ ี่ 4 ผู้เรยี นคดิ เป็น ทา เป็น มผี ลการประเมิน คดิ เปน็ ร้อยละ 12.90 (สานกั รับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การ มหาชน) (2555) สื่อให้เห็นว่าคุณภาพของนักเรียนไทยยังอ่อนด้อยทางด้านการคิด สทศ. ได้แสดงให้เห็นถึง ข้อจากัดและปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ดังน้ี 1. ความขาดแคลนในหลักการพ้ืนฐานทาง วิทยาศาสตร์ 2. การขาดทักษะการคิดโดยเฉพาะการคิดแก้ปัญหาและการคิดสร้างสรรค์ และเม่อื พจิ ารณาผล คะแนนทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพ้นื ฐาน (O-NET) ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 พบว่ากลุ่มสาระการ เรยี นรู้วิทยาศาสตร์ยงั ต่ากว่ารอ้ ยละ 50 โดยปี 2557 มีคะแนนเฉลี่ยเพียง 32.54 โดยเฉพาะสาระการเรียนรู้ท่ี เกี่ยวข้องกับวิชาชีววิทยาได้แก่ สาระ สิ่งมีชีวิตและกระบวนการดารงชีวิต และสาระ 2 ชีวิตกับส่ิงแวดล้อม มี คะแนนเฉลยี่ 47.70 และ 32.46 ตามลาดับ

ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 106 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist Theory) เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยบุคคล เรียนรโู้ ดยการสร้างความร้ดู ้วยวธิ กี ารตา่ งๆ กนั อาศยั ประสบการณเ์ ดมิ โครงสรา้ งทางปัญญาทม่ี อี ยู่ความสนใจ และแรงจูงใจภายในเป็นพ้ืนฐาน คือ รากฐานสาคัญของการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ผสมผสานประสบการณ์ เดมิ และประสบการณ์ใหม่เข้าไปสมั พันธ์กับความรู้ (ทิศนา แขมมณี 2560 : 91) กระบวนการเรยี นการสอนใน แนวคอนสตรัคติวิสต์ จึงมักเป็นไปในแบบที่ให้นักเรียนสร้างความรู้จากการช่วยแก้ปัญหา (Collaborative Problem Solving) กระบวนการเรียนการสอน จะเริ่มต้นด้วยปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญา (Cognitive Conflict) นั้นคือ ประสบการณ์และโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่เดิมไม่สามารถขจัดการแก้ปัญหา น้ันได้ลงตัวพอดีเหมือนปัญหาที่เคยแก้มาแล้ว ต้องมีการคิดค้นเพ่ิมเติมท่ีเรียกว่า “การปรับโครงสร้างทาง ปญั ญา” หรือ “การสร้างโครงสรา้ งใหม่ทางปญั ญา” (Cognitive Restructuring) โดยการจดั กจิ กรรมใหผ้ ู้เรียน ได้ถกปัญหา ขัดค้าน จนกระทั้งหาเหตุผลหรือหลักฐานในเชิงประจักษ์มาขจัดความขัดแย้งทางปัญญาภายใน ตนเอง และระหว่างบุคคลได้ (ไพจิตร สดวกการ, 2543) ดังน้ัน แนวคิดของทฤษฎีน้ีเน้นผู้เรียนเป็นผู้สร้าง ความรูโ้ ดยการลงมือกระทา ถ้าผู้เรียนถกู กระตุ้นด้วยปัญหาทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความขัดแย้งทางปัญญาหรอื เรียกว่า เกดิ การเสยี สมดุลทางปัญญา ผู้เรียนต้องพยายามปรบั โครงสรา้ งทางปัญญาให้เข้าสู่สภาวะสมดุล โดยวิธีการดูดซึม ได้แก่ การรับข้อมูลใหม่จากส่ิงแวดล้อมเข้าไปไว้ในโครงสร้างทางปัญญา และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทาง ปัญญา คือ การเช่ือมโยงโครงสร้างทางปัญญาเดิม หรือความรู้เดิมที่มีมาก่อนกับข้อมูลสารสนเทศใหม่ จนกระท่งั ผูเ้ รยี นสามารถปรบั โครงสร้างทางปญั ญาเข้าส่สู ภาวะสมดุลหรือสามารถทจ่ี ะสร้างความรใู้ หม่ขน้ึ มาได้ หรือเกิดการเรยี นรู้น้ันเอง วิธีการเรียนการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ พบว่าสามารถ ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาในด้าน ความสามารถและความเข้าใจในการใช้ความคิด ความอยากรู้อยากเห็น การสืบสอบ ความเพียรพยายามและ ความรอบคอบ (โกลับ และโคเลน (Golub; &Kolen. 1978)) และนอกจากน้ีกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ตามแนว ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน มีจุดประสงค์เพื่อทาความเข้าใจและอธิบาย กระบวนการส่งเสริมการแก้ปัญหา และระยะการเปล่ียนแปลงการแก้ปัญหาของนักเรียน พบว่า 1) การปรับ บทบาทตนเองของผู้วิจัยขณะจัดกิจกรรม วิทยาศาสตร์ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ มีดังนี้ ผู้วิจัยเป็นผู้ นาเสนอกิจกรรม ในสัปดาห์ที่ 1-2 ส่วน บทบาทในการตั้งคาถาม สังเกตและรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยใน ความสาคัญทุกสัปดาห์ 2) เด็กมีการพัฒนา พฤติกรรมการแก้ปัญหาตามระยะเวลาดังนี้ สัปดาห์ที่ 1-2 เด็กมี พฤติกรรมนิ่งเฉย หลีกเลี่ยง และไม่เข้าร่วมแก้ปัญหาเมื่อเกิดสถานการณ์ปัญหา ในสัปดาห์ 3 - 4 เด็กมี พฤติกรรมการแก้ปัญหาท่ีตกลงภายในกลุ่ม หรือบุคคลได้ แต่ด้วยวิธีการท่ีไม่เหมาะสม ในสัปดาห์ 5 - 8 เด็กมี พฤติกรรมการแก้ปัญหาที่ตกลงภายใน กลุ่มหรือรายบุคคลได้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัญหาสาคัญทางสถิตทิ ี่ ระดับ .01 (พรใจ สารยศ (2544)) เพราะฉะนั้น จากงานวิจัยต่างๆ ท่ีได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการคอนสตรัคติวิซึมจึงเป็นการยืนยนั ได้ว่าวิธกี ารเรียนการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวสิ ต์ สามารถ ช่วยพฒั นาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นและความสามารถในการแก้ปัญหาได้

ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 107 ชุดกิจกรรมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสอนของครู และส่งเสริมการเรียนของนกั เรยี นให้เกิดการ เปล่ียนพฤติกรรมการเรยี นรู้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนศึกษาและปฏบิ ัติกิจกรรมจากชุดกิจกรรมด้วยตนเอง ซ่ึง เป็นการเรยี นโดยยึดผู้เรียนเป็น สาคัญ ผู้เรียนจะมสี ่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ตามความสามารถของ แต่ละบุคคลทาให้นกั เรียนไม่เบ่อื หนา่ ยท่ีจะเรียน แต่มีความกระตือรอื ร้นท่ีจะค้นควา้ หาคาตอบด้วยตนเอง ทา ให้นักเรียนมโี อกาสในการฝกึ ทักษะปฏิบัติในด้านต่างๆ ได้ดว้ ย อภิญญา เคนบปุ ผา (2546: 26) ได้กล่าวว่าข้อดี ของชุดกิจกรรมการเรียนรไู้ ว้ดังน้ี 1) ช่วยให้นักเรียนได้เรยี นด้วยตนเองตามอัตภาพ ความสามารถของแต่ละ คน 2) แก้ปัญหาการขาดแคลนครู 3) สามารถใช้สอนซอ่ มเสริมใหแ้ กน่ ักเรยี นทีย่ งั เรียนไมท่ นั และ 4) ช่วยเพ่ิม ประสิทธิภาพในการอ่าน พร้อมทั้งช่วยไม่ให้เกิดความเบ่ือหน่ายจากการเรียนท่ีครูต้องทบทวนซ้าซาก ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลไม่จาเปน็ ตอ้ งเรียนใหพ้ ร้อมกนั เมื่อนักเรยี นตอบผิดไม่มีผ้เู ยาะเยย้ การ เรยี นไม่จากดั เวลาและสถานที่ สง่ เสริมความรบั ผิดชอบของผ้เู รยี น จากเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นและความสามารถในการ คิดแก้ปัญหาโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิซึม รายวิชาชีววิทยา เรื่อง ระบบประสาท และอวัยวะรับความรสู้ ึก ในรายวชิ าชวี วิทยาของนกั เรยี นระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรยี นสาธิตมหาวทิ ยาลัย รามคาแหง (ฝ่ายมัธยม) เพ่ือเป็นแนวทางในการพฒั นาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรยี นและเป็น ประโยชน์ในการนาความรู้ไปประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ของนกั เรยี นได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.เพือ่ เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียน โดยใช้ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดคอนสตรัคติวิซึม รายวิชาชีววิทยา เรื่อง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก ของนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนสาธติ มหาวิทยาลัยรามคาแหง (ฝา่ ยมัธยม) 2. เพ่ือเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาก่อนเรียนและหลังเรยี น โดยใช้ชุดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวคดิ คอนสตรคั ตวิ ิซมึ รายวิชาชวี วทิ ยา เร่อื ง ระบบประสาทและอวัยวะรบั ความรู้สกึ ของนกั เรียน ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลยั รามคาแหง (ฝา่ ยมัธยม) ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง ประชากรท่ใี ช้ในวิจัยคร้งั น้ี ไดแ้ ก่ นักเรยี นระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6/1(3) ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2562 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคาแหง (ฝ่ายมัธยม) จานวน 26 คน ซ่ึงได้มาจากวิธีการการเลือกกลุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ัย เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มีดังน้ี

ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 108 1. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาวิชาชีววิทยา เร่ือง ระบบ ประสาทและอวัยวะรบั ความรู้สกึ 2. ชุดกจิ กรรมการจดั การเรียนร้รู ายวิชาชีววทิ ยา เรอ่ื ง ระบบประสาทและอวยั วะรับความรสู้ ึก 3. แบบทดสอบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาก่อนเรียนและหลังเรียน เร่ือง ระบบประสาทและ อวัยวะรับความรสู้ กึ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวิจัยคร้ังนี้เป็นการศึกษาเชิงทดสอบตามรูปแบบกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรม การเรียนรู้รายวิชาชีววิทยา ใช้เวลาในการทดลอง 7 สัปดาห์ (ต้ังแต่วันท่ี 8 กรกฎาคม 2562 – 23 สิงหาคม 2562 (7 สัปดาห์ )) ซงึ่ ผวู้ ิจยั เป็นผเู้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดังนี้ 1. ทาการทดสอบความรู้ก่อนเรียน (Pre - test) โดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กับนักเรยี นกลมุ่ ประชากร โดยใชเ้ วลา 50 นาที 2. ผู้วิจัยดาเนินการสอนกลุ่มเป้าหมายโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึน ให้นักเรียนศึกษา การใช้ชดุ กิจกรรม และทากจิ กรรม และแบบทดสอบทุกชดุ กจิ กรรม ใช้เวลา 7 คาบ 3. เม่ือเสร็จส้ินการดาเนินการสอน ผู้วิจัยทาการทดสอบความรู้หลังการสอน (Post - test) โดย แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและ แบบทดสอบความสามารถในการคิดแก้ปญั หา ซึง่ เปน็ ชดุ เดียวกับ ท่ีใช้ทดสอบก่อนเรียน กับนกั เรยี นกลุ่มเป้าหมายอีกคร้งั โดยใช้เวลา 50 นาที 4. นาคะแนนจากการตรวจสอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาชีววิทยา และ แบบทดสอบความสามารถในการคิดแก้ปัญหา มาวิเคราะหโ์ ดยวธิ ีทางสถิติ การวเิ คราะหข์ อ้ มูล ผู้วจิ ัยดาเนนิ การประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูป SPSS (Statistical Package for the Social Sciences) เพอ่ื การวจิ ัยส่วนสถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ ดงั นี้ 1. สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ การหาค่าความถ่ี (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) คา่ เฉลย่ี (Mean) คา่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ได้แก่ การทดสอบสมมติฐานทางสถิติ t-test independent One Sample test ผลการวิจยั

ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 109 ผลการวิจัย การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและความสามารถในการคิดแก้ปัญหารายวิชาชีววทิ ยา โดยใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ตามแนวความคิดคอนสตรัคตวิ ซิ ึมเรอื่ ง ระบบประสาทและอวยั วะรบั ความรูส้ กึ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคาแหง (ฝ่ายมัธยม) สามารถสรุปผลการวิจัยได้ ดงั นี้ 1. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาชวี วิทยา โดยใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยาตามแนวคิด คอนสตรคั ตวิ ซิ มึ เร่อื ง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 พบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นหลังใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้สูงกว่าก่อนใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยค่าเฉลี่ยหลังใชช้ ุดกิจกรรม การเรียนรู้ เท่ากับ 31.73 และค่าเฉลี่ยก่อนใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เท่ากับ 14.15 ซ่ึงแตกต่างกัน อย่างมี นัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 2. ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรตู้ ามแนวคิดคอนสตรัคติวซิ ึม เร่ือง ระบบประสาทและอวัยวะรบั ความรู้สึก ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 6 มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา หลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียน พบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาหลังใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรสู้ ูงกวา่ ก่อนใช้ชุด กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยคา่ เฉล่ยี หลงั ใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เท่ากับ 6.19 และคา่ เฉล่ียกอ่ นใช้ชุดกิจกรรมการ เรยี นรู้ เทา่ กบั 3.96 ซ่ึงแตกตา่ งกัน อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05 อภิปรายผลการวจิ ัย 1. การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนรายวชิ าชีววิทยา โดยใช้ชุดกิจกรรมการ เรยี นรู้รายวชิ าชวี วิทยาตามแนวคดิ คอนสตรัคตวิ ิซึม เรอื่ ง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สกึ ของนักเรยี น ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรยี นสาธิตมหาวิทยาลยั รามคาแหง (ฝ่ายมธั ยม) พบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนหลงั ใช้ชุด กิจกรรมสูงกว่าก่อนใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยค่าเฉล่ียหลังใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เท่ากับ 31.73 และ ค่าเฉล่ียก่อนใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เท่ากับ 14.15 ซึ่งแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับงานวิจัยซึ่งตรงกับแนวคิดของจานง พรายแย้มแข (2550 : 19) สรุปไว้คล้ายกันว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง ผลสาเร็จใน เชิงวิชาการท่ีเด็กสามารถจดจาเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ ได้มากน้อยเพียงใด สามารถนาความรู้ไปใช้ได้ อย่างถูกต้องหรือไม่ และรวมถึงสมรรถภาพทางสติปัญญาตามจุดมุ่งหมายของ หลักสูตรนอกจากนี้ สุรชัย ขวัญเมือง (2556 : 232) ยังกล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ที่ ได้รับจากการ สอนหรือทักษะท่ีได้พัฒนาข้ึนมาตามลาดับขั้นในวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมาแล้วโดยอาศัยเครื่องมือ ใน การวัดผลการศกึ ษาเข้ามาชว่ ยเช่น การทดสอบซ่งึ เราอาจทดสอบโดยใช้แบบทดสอบหรือทดสอบ ด้านการ ปฏิบัติ รวมถึง Good (1973) กล่าวว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึงการเข้าถึงความรู้ (Knowledge attained) การพัฒนาทกั ษะในการเรยี นซง่ึ อาจพิจารณาจากคะแนนสอบท่ีกาหนดให้ คะแนนทไี่ ดจ้ ากการงาน ท่ีครูมอบหมายให้ หรือท้ังสองอย่างและสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2557 : 71) ให้ ความหมายของ ผลสัมฤทธ์ิ

ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 110 ทางการเรียนว่า หมายถึง ผลท่ีเกิดจากการสอนหรือกระบวนการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งแสดงออกมา 3 ดา้ น ได้แก่ ด้านพุทธพิ สิ ยั ดา้ นจิตพสิ ัย และดา้ นทกั ษะพิสยั 2. ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยาตามแนวคิดคอน สตรัคติวิซึม เรื่อง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนสาธิต มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง (ฝ่ายมัธยม) โดยค่าเฉลย่ี หลงั ใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนรู้ เท่ากบั 6.19 และคา่ เฉลี่ยก่อน ใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้เท่ากับ 3.96 ซึ่งแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 สอดคล้องกับบรนุ เนอร์ และคณะ (Bouner and other, 1971 : 201 ) ได้ให้ความหมายของการคิดแก้ปัญหาไว้ว่า เป็น ความสามารถในการใช้ประสบการณ์เดมิ จากการเรยี นรู้ทง้ั ทางตรงและทางออ้ ม เป็นการแสดงความรู้ ความคิด ของสถานการณ์ที่เป็นปัญหาในปัจจุบันโดยนามาจัดเรียงใหม่ เพื่อผลความสาเร็จในจุดมุ่งหมายเฉพาะอย่าง และกดู๊ (Good, 1973 : 518) ไดใ้ ห้ความหมายของการคดิ แก้ปัญหาว่าเป็นแบบแผนหรือวธิ กี ารซ่งึ อยใู่ นสภาวะ ที่มีความยุ่งยากลาบาก หรืออยู่ในสภาวะท่ีพยายามตรวจข้อมูลท่ีทามาได้ซึ่งมีความเก่ียวข้องกับปัญหามีการ ตั้งสมมติฐานและการตรวจสอบสมมติฐาน ภายใต้การควบคุมมีการเก็บข้อมูลจากการทดลองเพื่อหา ความสัมพนั ธน์ ัน้ วา่ จรงิ หรือไม่ เปน็ ไปในทางเดยี วกบั กาเย่ (Gagne, 1970) ไดใ้ หค้ วามหมายของการแก้ปัญหา ไวว้ ่า เปน็ รูปแบบของการเรยี นรู้อยา่ งหนงึ่ ทต่ี อ้ งอาศยั ความคิดรวบยอดเปน็ พืน้ ฐานการเรียนเป็นการกระทาท่ีมี จดุ มงุ่ หมายเป็นการเลือกเอาวิธีการหรือกระบวนการทเี หมาะสมเพ่ือนาไปสู่จุดมงุ่ หมายท่ีตอ้ งการน้ันโดยอาศัย ความรู้แจ้งหรือความหยั่งเห็นในปัญหาอย่างถ่องแท้และสุวารี คงม่ัน (2555: 11) ได้ให้ความหมายว่าการ แก้ปัญหาคือความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความรู้ ความคิด การสังเกต ประสบการณ์เดิม การใช้หลักเกณฑ์วธิ กี ารและขนั้ ตอนมาใช้ในการแกป้ ัญหาที่ประสบหรือขจัดอุปสรรคให้หมด ไปเพ่อื ให้ บรรลุเป้าหมายทีต่ อ้ งการ ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะเพ่ือใช้ในการจดั การเรยี นการสอน 1. ก่อนนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยาตามแนวคิดคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง ระบบประสาท และอวัยวะรับความรู้สึก ครูผู้สอนและนักเรียน ควรศึกษารายละเอียดทุกขั้นตอนและทดลองทากิจกรรมของ ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ทุกหนว่ ยกอ่ นทกุ ครง้ั เพ่อื ทาความเขา้ ใจและเตรียมความพร้อมทง้ั ด้านกิจกรรมการเรียน และสอ่ื วัสดอุ ปุ กรณท์ ่ใี ช้ในกิจกรรมอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพมากทสี่ ุด 2. ผูส้ อนควรแนะนาและกระตนุ้ ให้นักเรยี นนาชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ รายวชิ าชีววิทยาตามแนวคิดคอน สตรคั ติวซิ ึม เร่ือง ระบบประสาทและอวยั วะรับความรสู้ ึกมาเรียนดว้ ยทุกครั้งท่มี ีเรยี นวชิ าชวี วิทยา 3. ผู้สอนสามารถนากิจกรรมไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรสถานศึกษาในกลุ่มสาระ วิทยาศาสตรไ์ ด้ โดยปรับใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั ช่วงชนั้ ของผ้เู รียน และสภาพของสถานศกึ ษา

ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 111 4. ผู้สอนควรเพ่ิมเติมเน้ือหาให้น่าสนใจเพ่อื ให้นักเรียนสนใจที่จะเรยี นรู้ และควรตรวจสอบเนื้อหาให้ ถูกตอ้ งครบถว้ น 5. เวลาที่ใช้ในการทากิจกรรม ผู้สอนอาจยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสมตามระดับความสามารถ นกั เรยี นและระยะเวลาของกจิ กรรม แตไ่ ม่ควรมากเกนิ ไปอาจจะทาใหน้ ักเรยี นเกิดความเบื่อหนา่ ยได้ ข้อเสนอแนะในการทาวจิ ยั ครัง้ ตอ่ ไป 1. ควรพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรือ่ ง ระบบประสาทและอวยั วะรบั ความรู้สกึ โดยปรับเน้ือหาให้มี ความครบถว้ นสมบรู ณ์ และเหมาะสมกับชว่ งชัน้ ของนกั เรียนหรอื พฒั นาชุดกจิ กรรมการเรยี นรใู้ นสาระการเรียน วิทยาศาสตรอ์ ่นื ๆ 2. ควรศึกษาผลการเรียนรู้จากการเรยี นด้วยชุดกิจกรรมการเรียนร้กู ับตัวแปรอื่นๆ เช่น ทักษะปฏิบัติ ทาง วิทยาศาสตรพ์ ฤติกรรมการทางานเปน็ ทีม และความคดิ สรา้ งสรรค์ทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ควรมกี ารศึกษาผลการเรียนร้ดู ้านความรู้ จากการทาแผนทีค่ วามคิด เพ่ือสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนพัฒนา ทักษะในการคิด และการจัดระเบียบทางความคิด ส่งเสรมิ อสิ ระทางความคดิ ของนกั เรียน 4. ควรสง่ เสรมิ ให้กลุ่มสาระการเรยี นรู้ทัง้ 8 กล่มุ สาระการเรียนรู้ ได้แก่ ภาษาไทย คณติ ศาสตร์ สังคม ศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ภาษาตา่ งประเทศ สุขศึกษาและพละศกึ ษา ศลิ ปะ การงานอาชพี และเทคโนโลยี รวมทง้ั กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์เอง ได้พฒั นาชุดกจิ กรรมข้ึน เพอ่ื ใช้เป็นส่ือประกอบการเรียนท่ีจะช่วย ให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถเพิ่มมากขึ้น และนาความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวัน ตลอดจนถงึ อนาคต เอกสารอา้ งองิ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2543 ก), การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจย. กรุงเทพ : ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว กาญจนา วฒั ายุ. 2554. การวจิ ยั ในช้นั เรยี นเพ่ือการพฒั นาการเรยี นการสอน. นครปฐม : ม.ป.ท. นริ มล ศตวุฒิ, อารมณ์ ฉนวนจติ ร, ศกั ดิศ์ รี ปาณะกลุ , สคุ นธ์ุ ภรู ิเวทย์ ม.ป.ป. ประสบการณภ์ าคสนาม ใน การพฒั นาหลักสูตรและการสอน. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามคาแหง บัญชา แสนทวี. (2545). การวิจัยในชั้นเรียน จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ. กรุงเทพ : สานักพิมพ์ไทยวัฒนา พานิช บุญชม ศรีสะอาด. (2546). การวิจยั สาหรับครู. กรงุ เทพฯ : สุวิริยาสาสน์ ระววิ รรณ ศรีครา้ มครนั . 2543. เทคนิคการสอน. กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลยั รามคาแหง สุวิทย์ มูลคา,(2557). การจดั กิจกรรมการเรียนร้ท่ีเน้นการคดิ . กรงุ เทพฯ : อี เค บุค๊ ส์. สุวทิ ย์ มูลคา,(2557). 21 วธิ ีจดั การเรยี นรเู้ พือ่ พฒั นากระบวนการคิด. กรุงเทพฯ : อี เค บคุ๊ ส์. สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2558ก,

ปีที่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 112 การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัยโดยใช้กจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ ณ โรงเรียนอนุบาลแห่งหนงึ่ ในกรงุ เทพมหานคร Creativity development of kindergarten children by using creative art activities at a Kindergarten School in Bangkok นฤมล บญั ญตั ิ * Naruemol Bunyut * นักศกึ ษา หลกั สตู รประกาศนยี บัตรบัณฑติ วิชาชีพครู ปีการศกึ ษา 2562 วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ บทคัดย่อ การวิจยั ครั้งน้ี มวี ัตถปุ ระสงค์ 1) เพื่อศกึ ษาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ท่ไี ด้รับการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ โดย ใช้กิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ และ 2) เพ่ือเปรียบเทียบความคดิ สร้างสรรคข์ องเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการใชก้ ิจกรรมศลิ ปะ สร้างสรรค์ กลุ่มที่ศึกษาในการวิจยั ครง้ั นี้ ได้แก่ นักเรียนปฐมวยั ระดับช้ันอนุบาลปที ่ี 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ของ โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร สังกัดสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จานวน 11 คน และใช้ วิธีการสุ่มตัวอย่างตามสะดวก (Convenience Sampling) เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ กิจกรรมศิลปะ สรา้ งสรรค์ และแบบทดสอบความคดิ สร้างสรรค์ Torrance รปู ภาพ แบบ ก. สถิติทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ คา่ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติ t-test แบบกลุ่มตัวอย่างท่ีไม่เป็นอิสระจากกัน (t-test for dependent Samples) ทร่ี ะดบั นัยสาคญั .05 เพอ่ื ทดสอบสมมตฐิ านการวิจยั ซ่งึ สามารถสรุปผลการวิจัยได้ ดังนี้ 1. นักเรียนท่ีได้รับการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หลังการทากิจกรรม มีคะแนนเฉล่ีย ความคิดสร้างสรรค์โดยรวมทุกด้านเพ่ิมขึ้น คิดเป็นร้อยละ 72.27 และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความคิดริเริ่ม นกั เรียนมีคะแนนเฉลย่ี ก่อนทากิจกรรม รอ้ ยละ 37.27 และหลังทากจิ กรรม รอ้ ยละ 71.21 ด้านความคิดละเอียดลออ นกั เรียน

ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 113 มคี ะแนนเฉลย่ี ก่อนทากิจกรรม ร้อยละ 42.12 และหลงั ทากจิ กรรม รอ้ ยละ 74.24 ด้านความคดิ คล่องแคล่ว นักเรยี นมีคะแนน เฉลยี่ ก่อนทากิจกรรม ร้อยละ 41.82 และหลังทากิจกรรม ร้อยละ 71.59 2. นักเรียนท่ีได้รับการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ฯ มีความคิดสร้างสรรค์หลังการทากิจกรรม ด้านความคิดริเริ่ม ด้าน ความคิดละเอยี ดลออ และดา้ นความคิดคลอ่ งแคลว่ สงู กว่ากอ่ นทากจิ กรรม อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 คาสาคญั : เด็กปฐมวัย กจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ ความคิดสรา้ งสรรค์ ______________________________ E-mail Address: [email protected]

ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 114 ABSTRACT This research is aimed to 1) study the creativity of kindergarten children who have experienced the creative art activities, and 2) compare the creativity skills of kindergarten children before and after the experiences. Applying the Convenience Sampling method, the samples included 11 pupils, studying in the 2nd year of kindergarten, 2nd semester, academic year 2019 at Kindergarten school in Bangkok. The tools used for data collection included creative art activities and the Torrance creative Test (Type A). Statistics used for data analysis were percentage, mean, standard deviation, while the t-test for dependent Samples at the level of significance .05 was used to test the hypothesis. The research found that: 1. After experiencing creative activities, the average score of the pupils’ overall creativeness was increased to 72.27%. The statistics of each specific area of study were as follows: 1.1) Originality: the average score of the pupils’ creativeness were 37.27% and 71.27% before and after experiencing the creative activities, respectively; 1.2) Elaboration: the average score of the pupils’ creativeness were 42.12% and 74.24% before and after experiencing the creative activities, respectively; and 1.3) Fluency: the average score of the pupils’ creativeness were 41.82% and 71.59% before and after experiencing the creative activities, respectively. 2. Pupils, who have experienced the creative activities, are seen to be more creative in all certain areas than before, at statistical significance level of .05 Keywords: Kindergarten children / Creative Art Activities / Creativity บทนา ในปัจจุบันเด็กไทยของเรามีปัญหาหนงึ่ ที่พอ่ แม่ผู้ปกครองและสังคมปัจจุบันให้ความสนใจเป็นอย่างมาก คอื ปญั หาเดก็ ไมค่ อ่ ยมีสมาธิ ซง่ึ พบในเดก็ ชายมากกว่าเด็กหญิง ในระดับอาการท่ีสาคัญ คอื เดก็ จะสนใจอะไร ได้ไม่นาน พดู มาก อยไู่ มน่ ง่ิ นั่งไมต่ ดิ ที่ ทางานไมส่ าเรจ็ มีการรับรแู้ ละเรยี นรู้ไดน้ ้อยกวา่ เพ่ือนร่วมช้ันเรียน และ มักจะกอ่ กวนความสงบสขุ ของช้นั เรยี นอีกดว้ ย (วันชัย ไชยสิทธ์ิ, 2549) ในการวินิจฉัยมีรายละเอียดเกี่ยวกับอาการที่สามารถแบ่งออกได้ 3 ภาวะหรือกลุ่มอาการ ได้แก่ 1) ภาวะความสนใจสั้นหรือขาดสมาธิ เช่น มีความล้มเหลวในการทางาน การเรียนและการเล่นที่มีรายละเอียด ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดบ่อยๆ มีความยากลาบากในการตั้งสมาธิกับงานหรือการเล่น ไม่สามารถทาตาม คาสั่งท่ีได้รับมอบหมายได้สาเร็จซึ่งไม่ใช่จากการดื้อหรือไม่เข้าใจคาสั่ง มีความยุ่งยากในการจัดเรยี งข้ันตอนใน การทางานหรอื การเลน่ ชอบหลกี เลย่ี ง หรือไมช่ อบทจ่ี ะทางานหรือเลน่ ในส่ิงทย่ี าก ทาของหายบอ่ ยๆ เช่น ของ ใชส้ ว่ นตัว สมดุ ดินสอ ของเลน่ เปน็ ต้น วอกแวกตามสง่ิ กระต้นุ ภายนอก ลืมกิจวตั รประจาวนั ที่ต้องทาอยู่เสมอ 2) ภาวะพฤติกรรมอยู่ไม่สุข เช่น ชอบหยุกหยิก ขยับตัว มือหรือขาไปมากระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข นั่งอยู่กับที่ ไม่ได้นานจะต้องลุกเดินไปมาเร่ือยๆ ว่ิง ปีนป่ายรุนแรง ทาให้เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย เล่นหรือทากิจกรรม อยา่ งเงยี บสงบไมไ่ ด้ พดู มาก 3) ภาวะขาดการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง เช่น มกั พูดทะลุกลางปล้องหรือพูด

ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 115 โพล่งออกไปโดยไม่รอให้คนอ่ืนพูดเสร็จก่อน มักแสดงพฤติกรรมโดยขาดการยับย้ังชั่งใจ มักขัดจังหวะผู้อ่ืน ขณะท่ีเขากาลังพูดหรือกาลังเล่น มีความยากลาบากในการรอคอย แม้ในการเล่นหรอื ทากจิ กรรม กลุ่มอาการ ต่างๆ ท่ีกล่าวมาแล้วเร่ิมมีขึ้นกอ่ นอายุ 7 ขวบ และมักปรากฏใหเ้ ห็นในชีวิตประจาวนั ในสถานท่ีต่างๆ เช่น ที่ บ้าน โรงเรียน โรงพยาบาล หรือท่ีทางานของพ่อแม่ผู้ปกครอง และอาการดังกล่าวไม่ได้เป็นอาการของโรคจติ หรือโรคท่มี ีพัฒนาการผดิ ปกติ (วันชัย ไชยสทิ ธ,์ิ 2549, 54) ในการจัดการศึกษาในปัจจุบันมีพระราชบัญญัติการศึกษาพุทธศักราช 2542 ที่ระบุว่า ผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถทจี่ ะเรยี นรู้และพัฒนาตนเองได้ และถอื วา่ ผ้เู รียนมีความสาคัญท่ีสุด และตอ้ งส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนได้ พัฒนาตามธรรมชาติอย่างเต็มตามศักยภาพ ในพระราชบัญญัติน้ีเป็นกฎหมาย แม่บทว่าด้วยการศึกษา ระดบั ชาตซิ ง่ึ ได้บัญญัติสาระตามแนวการปฏิรูปการศกึ ษา วา่ ด้วยปรัชญาการศกึ ษา และความมงุ่ หมายน้ัน ตอ้ ง เปลี่ยนแปลงเพ่ือพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ท้ังทางร่างกาย และจิตใจ สติปัญญา ความรู้และ คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกบั ผู้อ่ืนได้อย่างมคี วามสุข (สิริมา ภิญโญ อนันตพงษ์, 2545, น. 1) โดยเฉพาะอยา่ ง ย่งิ สาหรับเด็กอายุ 3-5 ปี เป็นวยั แห่งการเจริญเติบโตทั้งปรมิ าณและ คุณภาพ เด็กต้องการท้ังความรัก การเอาใจใส่ การดูแลอย่างใกล้ชิด ต้องการโอกาสเรียนรอู้ ย่างกระตือรอื รน้ จากการใช้ประสาทสัมผัสท้ังห้า เพ่ือสารวจ ทดลอง ค้นพบความรู้ด้วยตนเอง พัฒนาสมองด้วยการคิด แก้ปัญหา และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ดังนั้น ผู้เก่ียวข้องกับการจัดประสบการณ์ให้แกเ่ ด็ก ควรให้การ สง่ เสรมิ เพื่อใหเ้ ดก็ ไดพ้ ัฒนาเต็มตามศักยภาพ โดยฝึกให้เด็กเป็นคนชา่ งคิด ช่างสังเกต ชอบสารวจ และกระตุ้น ให้เกิดความสนใจที่จะเรียนรู้ เด็กวัยนี้เป็นระยะของการสร้างรากฐานความพร้อมในการเรียนรู้เพื่อชีวิต และ อนาคตต่อไป Bloom (1964 อ้างถึงใน อุทุมพร พรายอินทร์, 2542, น. 25) ได้กล่าวถึงความสาคัญของการจัด การศึกษาปฐมวยั วา่ เปน็ ช่วงท่สี าคญั ของชีวิตเพราะเปน็ ชว่ งท่เี ด็กมีความสามารถด้านการเรยี นรู้มากที่สดุ และ หากได้รับการเสรมิ สร้างจากการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้เด็กจะเกิดการเรียนรใู้ นเร่ืองทั่วไปและ เฉพาะเรื่องได้ดี การพัฒนาทางร่างกาย จิตใจ สังคม สติปัญญาและการปลูกจิตสานึก เป็นกระบวนการที่มี รากฐานเร่ิมจากการท่ีบุคคลได้รับการศึกษาอบรมเล้ียงดูและขัดเกลาในระยะปฐมวัย (ภรณี คุรุรัตนะ, 2540, น. 63) สอดคล้องกับ สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ (2544, น. 31) ได้กล่าวถึงเด็กปฐมวัยว่า เป็นวัยอยู่ในช่วงอายุ แรกเกิดจนถึง 8 ปี เป็นระยะสาคัญที่สุดของการพัฒนาท้ังทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ จิตใจ สังคมและ บุคลิกภาพ เป็นวัยที่เรียกวา่ ช่วงพลังแห่งการเจรญิ เติบโตงอกงามสาหรบั ชีวิต ดังน้ัน การให้การศึกษาและการ อบรมเล้ียงดูในระดับปฐมวัยจึงจาเป็นท้ังยังมีความสาคัญอย่างย่ิงเพ่ือที่จะปลูกฝังและพัฒนาเด็กให้มี ความก้าวหน้าและเติบโตทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างสมบูรณ์และเต็มศักยภาพซึ่ง การท่ีจะพัฒนาเด็กให้สมบูรณ์ทุกด้านนั้นมีความสาคัญและต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการศึกษา ปฐมวยั เปน็ การศกึ ษาทอ่ี ยรู่ ะหว่างการพฒั นาและการรบั รู้ซ่งึ นักการศึกษาต้องตระหนักรู้และให้ความสาคัญกับ การศึกษาปฐมวัยไม่ได้เป็นการศึกษาเพ่ือการจัดเตรียมเข้าประถมศึกษาเท่าน้ัน แต่เป็นการเตรียมและพัฒนา เด็กให้เจริญวัยสู่ความเป็นผู้มีความสามารถทางการเรยี นรู้อยา่ งเต็มศักยภาพในอนาคต (กุลยา ตันติผลาชีวะ, 2544, น. 87)

ปที ี่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 116 ปัญหาพฤติกรรมของเด็กเป็นอกี ปัญหาหน่ึงที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเร่ือยๆ และปัญหาเหล่านี้มักเกิดขึ้น มากในสังคมเมือง ซ่ึงเป็นสังคมที่มีความแตกต่างของสภาพแวดล้อมอย่างเห็นได้ชัดประชากรที่อาศัยอยู่ก็มา จากสังคมที่หลากหลายส่งผลให้สภาพแวดล้อมแตกต่างกันมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเด็กมากสื่อต่างๆ ท่ี นาเสนอในปัจจุบันก็มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมเด็กด้วย สมพร สุทัศนีย์ (2541, น. 49) ได้กล่าวถึงสาเหตุของ พฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาท่ีเกิดจากสื่อสรุปความได้ว่าสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสารหรือ ภาพยนตร์เป็นส่ิงที่มีอิทธิพลต่อเด็กมากสื่อมักเสนอข่าวสารที่ยั่วยุให้เด็กแสดงพฤติกรรมเลียนแบบบางคร้ังมี ภาพที่ล่อแหลมรุนแรง ซ่ึงเด็กไม่สามารถที่จะแยกแยะว่าสิ่งที่เห็นดีหรือไม่ จึงเลียนแบบและส่งผลให้เกิด อันตรายต่อตนเองและผู้อ่ืน สาหรับเด็กอนุบาลน้ัน ครูถือเป็นผู้ที่มีความสาคัญอย่างยิ่งต่อจากครอบครัว เม่ือ เด็กมีพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาไม่ว่าจะเกิดจากตัวเด็กเองหรือเกิดจากส่ิงแวดล้อมรอบตัวเด็กครูจะต้องเข้าไป ชว่ ยเหลือและหาทางจัดการพฤตกิ รรมเหล่านั้น โดยธรรมชาติพัฒนาการของเด็กจะเป็นไปอยา่ งต่อเนื่อง ประสบการณ์ท่ีเด็กได้รับจะเป็น องค์ความรู้ที่ สะสมเพม่ิ ขึ้น จากประสบการณ์ในการเล่น หรือการทากจิ กรรมท้ังที่บ้าน และใน ห้องเรยี นที่ครจู ดั ข้นึ ทาให้เด็ก เรียนรู้ด้วยการซมึ ซับประสบการณ์จากการพูด การฟัง การสังเกต และ การใช้ความคิดขณะทากิจกรรมและได้ สัมผสั กจิ กรรมท่ีเดก็ ได้รบั นั้น ต้องสอดคลอ้ งกับระดับ พัฒนาการของเดก็ ด้วย (กุลยา ตนั ติผละชีวะ, 2547, น. 13) จากลกั ษณะธรรมชาติของเด็กปฐมวัย ดังทีก่ ลา่ วไดม้ าแล้วนี้ ทาให้เด็กมกี ระตือรือรน้ ท่จี ะเรยี นรตู้ ลอดเวลา ต้องการสารวจและทดลองด้วย ตนเองในทุกๆ กิจกรรม จนไม่สามารถอดทนที่จะรอคอย หรือไม่สามารถ ควบคุมตนเองได้ จึงไม่ สามารถเรียนร้สู ิ่งตา่ งๆ ได้โดยละเอียดถี่ถ้วน ท้ังน้ี เป็นเพราะการขาดขั้นตอนของการ เตรียมการ กอ่ นการเรียน อันไดแ้ ก่ การขาดสมาธนิ นั่ เอง กิจกรรมเสริมประสบการณ์เป็นกิจกรรมหนึ่งซ่ึงอยู่ในกิจกรรมหลักสาหรับการจัด ประสบการณ์เด็ก ปฐมวัย เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการรับรู้ กิจกรรมท่ีจัดมุ่งฝึก ให้เด็กได้มีโอกาสฟัง พูด สังเกต คิดแก้ปญั หา ใชเ้ หตผุ ล และฝกึ ปฏิบัติเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดเก่ยี วกับเรือ่ งที่เรียน โดยจัดกจิ กรรม ดว้ ยวิธตี ่างๆ เช่น ร้องเพลง สนทนา เล่านทิ าน ทดลอง ปฏิบตั กิ ารศกึ ษานอกสถานที่ เลน่ บทบาทสมมุติ เปน็ ต้น (สานักการศึกษากรุงเทพมหานคร, 2548, น. 20-21) กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้ โดยตรง ซงึ่ ในกจิ กรรมนี้ หากเดก็ ขาดสมาธิจะทาให้เด็กขาดความสนใจ ขาดความอดทนในการรอคอย มีความ สนใจในระยะส้ัน และไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ทาให้เด็กขาดรับรู้จากประสบการณ์สาคัญที่ครไู ด้จัดเตรยี ม มา เป็นอย่างดี จึงเป็นความสูญเปล่าทางการศึกษาทั้งระบบ ดังน้ัน เพ่ือการรับรู้ของเด็กปฐมวัยดาเนินไปได้ ด้วยดี จากเหตุผลท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยได้จัดในรูปการทากิจกรรมสร้างสรรค์ ได้แก่ การวาดภาพระบายสี การขยากระดาษ การประดิษฐ์ของเล่นของใช้ ฯลฯ เพ่ือพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย เพราะ ความคิดสร้างสรรค์เป็นส่ิงที่ควรได้รับการส่งเสริมต้ังแต่ยังเล็ก โดยใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ให้เด็กมีโอกาสเลือก และตัดสินใจ การแสดงความรู้สึกผ่านกิจกรรมศิลปะ จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ดังน้ัน ผู้วิจัย จึงสนใจจะศกึ ษาเก่ยี วกับการพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ของเด็กปฐมวยั จากกิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ เพื่อใหค้ รู

ปีที่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 117 ผู้ปกครอง และผูเ้ กย่ี วข้องกบั เด็กปฐมวัย นาไปใช้เปน็ แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพอ่ื สง่ เสริม และพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคใ์ ห้แกเ่ ดก็ ปฐมวยั ตอ่ ไป วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อศึกษาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยใช้กิจกรรม ศิลปะสรา้ งสรรค์ 2. เพื่อเปรยี บเทยี บความคิดสรา้ งสรรคข์ องเดก็ ปฐมวยั กอ่ นและหลงั การใช้กิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ วิธีดาเนินการวิจยั 1. กลุ่มท่ีศึกษาในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนปฐมวัย ระดับชั้นอนุบาลปีท่ี 2 ของโรงเรียนอนุบาลแหง่ หน่ึงในกรุงเทพมหานคร สังกัดสานักงานคณะกรรมการส่งเสรมิ การศึกษาเอกชน โรงเรียนสังกัด สช. ประเภท สามัญศึกษา แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ท่ีกาลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 รวม 11 คน ซ่ึงได้มาจากการสุ่มตัวอย่างตามสะดวก (Convenience Sampling) เคร่ืองมือที่ใช้ ประกอบด้วย กิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ จานวน 20 แผน แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ Torrance รปู ภาพ แบบ ก จานวน 1 ชุด ระยะเวลา 4 สปั ดาหๆ์ ละ 5 ครงั้ รวมทั้งส้นิ 20 คร้งั การสรา้ งและหาคณุ ภาพเคร่ืองมอื ที่ใช้ในการวิจยั ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างและหาคุณภาพเคร่ืองมือ มีข้ันตอน คือ 1) แผนการจัดประสบการณ์ ผู้วิจัยได้ จดั ทาแผนการจดั ประสบการณ์เกี่ยวกับกิจกรรมสรา้ งสรรค์ เพื่อพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคข์ องเดก็ ปฐมวยั และ

ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 118 นาไปใช้กับกลุ่มที่ศึกษา 2) แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ โดยอาศัยรูปภาพ ก (Thinking Creative with Picture Figural Form A) ซง่ึ เป็นแบบทดสอบแบบมาตรฐานของ Torrance เคร่อื งมือการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ประกอบดว้ ย 3 กจิ กรรม ดังน้ี คือ กิจกรรมที่ 1)เปน็ ภาพต่อเตมิ จากสิ่ง เร้าท่ีกาหนด เป็นกระดาษสติ๊กเกอร์สีเขียวรูปไข่ 1 ภาพ กิจกรรมท่ี 2) เป็นการวาดภาพต่อเติมจากส่ิงเร้าท่ี กาหนดเปน็ รูปเส้นในลกั ษณะต่างๆ จานวน 10 ภาพ ตอ่ เตมิ ให้สมบรู ณ์ และกจิ กรรมที่ 3) เป็นการวาดภาพต่อ เตมิ จากเส้นคู่ขนาน จานวน 30 คู่ ต่อเตมิ ใหส้ มบรู ณ์ และให้มีปรมิ าณมากทส่ี ดุ ผลการวิจยั การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ของโรงเรยี นอนุบาลแห่ง หน่ึงในกรุงเทพมหานคร ปรากฏผลดงั น้ี 1. นักเรียนปฐมวัย ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ท่ีได้รับการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ หลังการทากิจกรรม มีคะแนนเฉลี่ยความคิดสร้างสรรค์โดยรวมทุกด้านเพ่ิมข้ึน คิดเป็นร้อยละ 72.27 เมื่อพจิ ารณาเปน็ รายด้าน พบว่า ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละของคะแนนเฉลี่ยความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ปฐมวยั ระดบั ช้นั อนบุ าลปที ่ี 2 กอ่ นและหลงั การจัดประสบการณ์ โดยใชก้ จิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ 1.1) ด้านความคิดริเริ่ม ก่อนทากิจกรรมนักเรียนมีคะแนนเฉล่ีย คิดเป็นร้อยละ 37.27 หลังทา กิจกรรม นกั เรียนมคี ะแนนเฉลี่ย คดิ เปน็ ร้อยละ 71.21 1.2) ดา้ นความคดิ ละเอยี ดลออ ก่อนทากจิ กรรมนักเรียนมคี ะแนนเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 42.12 หลงั ทากิจกรรมนกั เรียนมีคะแนนเฉลยี่ คดิ เป็นร้อยละ 74.24

ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 119 1.3) ด้านความคิดคล่องแคล่ว ก่อนทากิจกรรมนักเรียนมีคะแนนเฉล่ีย คิดเป็นร้อยละ 41.82 หลัง ทากิจกรรมนกั เรียนมคี ะแนนเฉลี่ย คดิ เป็นร้อยละ 71.59 2. นักเรียนปฐมวัย ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ท่ีได้รับการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ มีความคิดสร้างสรรค์หลังการทากิจกรรม ด้านความคิดริเริ่ม ด้านความคิดละเอียดลออ และด้าน ความคดิ คลอ่ งแคลว่ สูงกวา่ ก่อนทากิจกรรม อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังทากิจกรรมของนกั เรยี นปฐมวัย ระดับชั้นอนบุ าลปีที่ 2 ด้าน ความคดิ ริเร่ิม ความคิดละเอียดลออ และความคดิ คลอ่ งแคลว่ 2.1) ดา้ นความคดิ ริเรม่ิ พบว่า นักเรียนปฐมวัย ระดบั ช้นั อนบุ าลปีที่ 2 ท่ไี ดร้ บั การจดั ประสบการณ์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีคะแนนเฉล่ียความคิดสร้างสรรค์ ด้านความคิดริเรม่ิ หลังทากิจกรรมสูงกวา่ ก่อนทากิจกรรม อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 2.2) ด้านความคิดละเอียดลออ พบว่า นักเรียนปฐมวัย ระดับช้ันอนุบาลปีท่ี 2 ท่ีได้รับการจัด ประสบการณ์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีคะแนนเฉลี่ยความคิดสร้างสรรค์ ด้านความคิดละเอียดลออ หลังทากิจกรรมสงู กวา่ กอ่ นทากจิ กรรม อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดบั .05 2.3) ด้านความคิดคล่องแคล่ว พบว่า นักเรียนปฐมวัย ระดับช้ันอนุบาลปีที่ 2 ท่ีได้รับการจัด ประสบการณ์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีคะแนนเฉล่ียความคิดสร้างสรรค์ ด้านความคิดคล่องแคล่ว หลงั ทากจิ กรรมสูงกว่ากอ่ นทากจิ กรรม อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05

ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 120 2.4) ความคิดสร้างสรรค์โดยรวม พบว่า นักเรียนปฐมวัย ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ท่ีได้รับการจัด ประสบการณ์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีคะแนนเฉล่ียความคิดสร้างสรรค์ โดยรวมทุกด้าน หลังทา กจิ กรรมสงู กว่าก่อนทากิจกรรม อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05 การอภปิ รายผล จากการศึกษาการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ของ โรงเรียนอนบุ าลแหง่ หนึง่ ในกรุงเทพมหานคร สามารถอภิปรายได้ดังนี้ 1. ผลการพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั ศกึ ษาจากกจิ กรรมสร้างสรรค์ โดยใช้กิจกรรมศลิ ปะ สร้างสรรค์ หลังการทากิจกรรมทาให้นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยความคิดสร้างสรรค์โดยรวมทุก ด้านเพิ่มข้ึน คิดเป็นร้อยละ 72.27 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความคิดริเร่ิม ก่อนการทากิจกรรม นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 37.27 หลังการทากิจกรรม นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 71.21 ด้านความคิดละเอียดลออ ก่อนการทากจิ กรรม นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 42.12 หลังการ ทากิจกรรม นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 74.24 และด้านความคิดคล่องแคล่ว ก่อนการทากิจกรรม นกั เรยี นมคี ะแนนเฉลยี่ คดิ เป็นรอ้ ยละ 41.82 หลังการทากจิ กรรมนักเรยี นมีคะแนนเฉล่ยี คิดเปน็ ร้อยละ 71.59 ซ่ึงสอดคล้องกับผลการศึกษาของอนงค์รัตน์ รินแสงปิน (2549, น. 55) พบว่า การใช้กิจกรรมภาพเพื่อพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมปีท่ี 2 ทาให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉล่ียสูงข้ึนทุกด้าน ทั้งในด้านความคิดคล่องแคล่ว ความคิดริเริ่ม และความคิดละเอียดลออ ท้ังน้ีเน่ืองจากการจัดกิจกรรม สร้างสรรค์ จานวน 20 กิจกรรม เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็ก โดยที่ทุกกิจกรรมเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ แสดงออกอย่างอิสระ โดยท้ังกิจกรรมรายบุคคลกิจกรรมกลุ่มสัมพนั ธ์ วัสดุท่ีใช้ส่งเสริมการรณรงค์ลดโลกร้อน และยงั เพิม่ บรรยากาศในการแขง่ ขนั ในขณะทากจิ กรรม ทาใหน้ ักเรียนเกดิ ความสนุกสนาน มีความกระตือรอื รน้ ในการทากิจกรรม ผลงานออกมาเปน็ ทน่ี ่าพอใจ โดยเด็กทุกคนสามารถทากิจกรรมผ่านข้ันตอนการประเมินผล ครบทุกกิจกรรม และหลังจากเด็กไดใ้ ช้กิจกรรมสร้างสรรค์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ แล้ว พบว่า เด็กที่ ได้รับการจัดประสบการณ์ โดยใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ มีความคิดสร้างสรรค์โดยเฉล่ียสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบ ความคดิ สร้างสรรค์ ดา้ นความคิดรเิ ริ่ม และความคดิ ละเอียดลออ ดา้ นความคิดคลอ่ งแคล่ว ปรากฏดงั นี้ 1.1 ด้านความคิดรเิ ริ่ม พบว่า เดก็ เม่ือได้รบั การจดั ประสบการณ์กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ โดยใชก้ ิจกรรม ศลิ ปะสร้างสรรค์ มคี ะแนนเฉล่ียของความคดิ สรา้ งสรรค์ ด้านความคดิ รเิ ริ่มแตกต่างกัน ทง้ั น้ีเนอื่ งจาก เด็กไดค้ ดิ สงิ่ ทีแ่ ปลกใหม่แตกตา่ งจากความคดิ ธรรมดา ไม่ซ้ากบั ความคิดของคนอ่นื แตก่ ็เป็นคาตอบที่เหมาะสมกับปัญหา ดังน้ัน จึงทาให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ด้านความคิดริเร่ิมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สอดคล้องกับแนวคิด ของอุษณีย์ โพธิสุข (2545, น. 121) ที่กล่าวว่า ความคิดริเริ่มจะเกิดข้ึนได้ ถ้าเปิดโอกาสหรือให้อิสระทาง ความคิดแก่เด็กจะทาให้พวกเขาอยากมีความกล้าที่จะคิดมากขึ้น จากการเปิดกว้างของครู ทาให้เด็กได้มี ความรูส้ ึกทีไ่ ม่ยดึ ตดิ ส่งิ ท่เี ป็นความจรงิ มากเกนิ ไป 1.2 ด้านความคิดละเอียดลออ พบว่า เด็กเม่ือได้รับการจัดประสบการณ์กิจกรรมสร้างโดยใช้ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ทั้ง 20 กิจกรรม โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้ฝึกคิด พิจารณาลักษณะของส่ิงต่างๆ ที่

ปที ี่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 121 ปรากฏอยู่ เช่น กระปอ๋ ง พลาสติก กระดาษ ฯลฯ ฝึกแสดงความคิดเหน็ ระบุบง่ ช้ีถึงส่งิ ที่คลาดเคล่ือนจากความ จริง ส่ิงทีข่ าดตกบกพรอ่ ง ผดิ ปกติหรือสงิ่ ท่ียังไม่สมบูรณ์ ฝึกใหร้ ู้จักคิด แสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกับผลงาน แสดง ความรู้สึกนึกคิดต่อเรื่องท่ีอ่าน เร่ืองท่ีฟัง และฝึกให้ผู้เรียนแสดงความรู้สึกและจินตนาการด้านการเขียน บรรยาย หรือพรรณนาให้เห็นภาพท่ีชัดเจน เพ่ือให้เกิดลักษณะการคิดให้รายละเอียดมีข้ันตอน หรือต่อเติม เสริมแต่งความคิดสิ่งเร้าเดิมให้ละเอียดและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงทาให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ ด้าน ความคิดละเอียดลออหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สอดคล้องกับแนวความคิดของภพ เลาหไพบูลย์ (2542, น. 217-218) ท่ีอธิบายว่า ความคิดละเอียดลออสามารถพัฒนาให้เกิดผลงานท่ีมีความแปลกใหม่ให้สาเร็จ โดยใช้ กิจกรรมการฝึกด้วยทักษะการสังเกตและสอดคล้องกับแนวคิดของกรมวิชาการ (2534, น. 10) ท่ีว่า เด็กที่มี ความสามารถดา้ นการสงั เกตสูง จะมีความสามารถทางดา้ นความละเอยี ดลออสงู ดว้ ย 1.3 ด้านความคิดคล่องแคล่ว พบว่า เด็กเมื่อได้รับการจัดประสบการณ์กิจกรรมสร้างสรรค์ จาก กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มคี ะแนนเฉลย่ี ของความคิดสร้างสรรค์ด้านความคิดคล่องแคลว่ แตกต่างกัน แสดงให้ เห็นวา่ เม่อื เดก็ ได้รบั การฝึกด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์ท้งั 20 กจิ กรรม โดยจดั กจิ กรรมให้ผู้เรียนได้ฝกึ ปฏิบตั ิ ได้ทา ด้วยตนเอง ฝึกพิจารณาถึงลักษณะสิ่งต่างๆ ท่ีปรากฏอยู่ ฝึกการตั้งและตอบคาถามปลายเปิด คาถามกระตุ้น ความรูส้ กึ เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนคิดหาคาตอบได้ปริมาณมากอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เนน้ ปริมาณคาตอบท่ีเหมาะสม กับคาถามภายในระยะเวลาที่กาหนด ผู้วิจัยสังเกตเห็นว่า ผู้เรียนที่ได้รับการฝึก ต่างมีความสนใจเข้าร่วม กจิ กรรมด้วยความกระตือรือรน้ และมคี วามสนุกสนานทไี่ ด้รับการฝึกคิด ซ่งึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ นอกจากกิจกรรม จะฝึกความคิดสรา้ งสรรค์ด้านความคิดคล่องแคล่วแล้ว กิจกรรมยังพัฒนาความสามารถด้านความรู้ ความรู้สึก และเจตคติที่ดีต่อการคิดและแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ ดังนั้น จึงทาให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ด้าน ความคิดคล่องแคล่วหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของกรมวิชาการ (2542, น. 33) ที่ว่า นกั เรียนจะสามารถคดิ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็วข้ึนถ้าได้รบั การฝกึ คดิ จากกิจกรรมตา่ งๆ อย่างหลากหลาย 2. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ จากกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีความคิดสร้างสรรค์ หลังทากจิ กรรมโดยรวมและเปน็ รายด้าน สงู กว่าก่อนการทากิจกรรมอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 ท้งั น้ี เน่ืองจาก แผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมสร้างสรรค์ด้วยกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เพ่ือพัฒนาความคิด สรา้ งสรรค์ ช้ันอนุบาลปที ่ี 2 ไดผ้ า่ นกระบวนการข้นั ตอนในการทาอย่างเป็นระบบ โดยศึกษาจากหลักสูตร คูม่ ือ ครู เน้ือหา เทคนิค วิธีการ เอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง และได้ผ่านการตรวจแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการ ทดลองเพื่อหาประสิทธิภาพก่อนนาไปทดลองจริง การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้เด็กน้ัน ต้องจัดให้เด็กได้มีอิสระในการคิดกาหนดรูปแบบ คิดวิธีการตลอดจนการให้อิสระในการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ ต่างๆ จัดส่ิงแวดล้อมในการเรียนรู้ให้ยืดหยุ่น ยอมรับในความสามารถของเด็ก และยกย่องชมเชยกับความคิด สร้างสรรค์ท่ีแปลกใหม่ ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของละมุล ชัชวาล (2543, น. 71) ที่อธิบายไว้ว่าเด็กที่มีโอกาส จับต้องและเล่นกับสิ่งต่างๆ ท่ีมีอยู่ในธรรมชาติ เป็นการช่วยฝึกประสาทสัมผัส และการฝึกการใช้ความคดิ และ จินตนาการ นอกจากน้ี การจัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในห้องเรียนที่ทาให้เด็กรู้สึกถึงความอิสระ ยั่วยุ ท้าทายในการเรียนรู้และไม่เป็นระเบียบท่ีเคร่งครัดมากเกินไป เด็กจะได้รับการยอมรับในคุณค่า ยอมรับใน ความคิดสรา้ งสรรค์ท่เี ด็กสามารถนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดารงชีวติ ไดจ้ ริง และสอดคลอ้ งกบั ผลงานวิจัย

ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 122 ของพรพรรณ ราไพรุจิพงศ์ (2550, น. 60) พบว่า เด็กปฐมวัยหลังการทากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์การวาด ภาพประกอบการพมิ พภ์ าพ มที กั ษะการเขียนสูงกว่าก่อนการทากิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรค์การวาดภาพประกอบ การพิมพ์ภาพ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 สอดคล้องกับผลงานศึกษาค้นคว้าของอนงค์รัตน์ ริน แสงปิน (2549, น. 55) พบว่า หลังทากิจกรรมภาพนักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉลี่ยสูงทุกด้าน ทั้งใน ด้านความคิดคล่องแคล่ว ความคิดริเร่ิม และความคิดละเอียดลออ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 สอดคล้องกับผลงานวิจัยของประสิทธิรักษ์ เจริญผล (2547, น. 60) พบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับกิจกรรม สรา้ งสรรคต์ ่อเตมิ ดว้ ยลายเสน้ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ โดยรวมและแยกรายด้านกอ่ นและหลังการจดั กิจกรรม มี ความแตกตา่ งกนั อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติท่รี ะดบั P<.01 ขอ้ เสนอแนะ จากการศึกษาการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมศิ ลปะสร้างสรรค์ของ โรงเรยี นอนุบาลแหง่ หนึง่ ในกรุงเทพมหานคร ผ้วู ิจัยมีขอ้ เสนอแนะสาหรับการนาผลวิจัยไปใช้ และขอ้ เสนอแนะ สาหรับการทาวจิ ยั ในครง้ั ต่อไป ดังนี้ 1. ขอ้ เสนอแนะสาหรบั การนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1 การจดั กิจกรรมฝึกการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ควรจัดควบคกู่ ับการสรา้ งบรรยากาศแรงจูงใจ และการเสริมแรง เพื่อกระต้นุ ใหน้ กั เรียนต่ืนตวั และพร้อมในการพฒั นาตลอดเวลา 1.2 ครูผู้สอนควรจัดกิจกรรมบูรณาการเพ่ือพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการจัดกิจกรรมปกติกับ นักเรยี นทุกคนอยา่ งสม่าเสมอ เพื่อให้เกดิ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 1.3 วัสดอุ ปุ กรณท์ ่ีใช้ในการจัดกิจกรรม ต้องเตรยี มใหพ้ รอ้ มกอ่ นเสมอ และครคู วรทาความเข้าใจใน การจัดกจิ กรรมให้ละเอยี ดก่อนใช้ 2. ข้อเสนอแนะสาหรับการวิจยั ครง้ั ต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษาเพ่ิมเติมเก่ยี วกับรปู แบบการจดั กจิ กรรมทห่ี ลากหลาย เพื่อกระตนุ้ และเร้าความ สนใจตอ่ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคใ์ ห้มากยิ่งข้นึ 2.2 การวิจยั ครงั้ นี้ เป็นการศกึ ษาแบบ One Group Pretest-Posttest Design กลุ่มตวั อย่างที่ใชใ้ น การทดลองมีเพียงกลุ่มเดียว จึงเป็นแนวทางที่ครูผู้สอนควรนาไปศึกษาค้นคว้าขยายใหญ่กว่าเดิม โดยให้มีทั้ง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เอกสารอ้างอิง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2545). พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 (พมิ พ์คร้งั ที่ 2). กรุงเทพฯ : โรงพมิ พค์ ุรสุ ภาลาดพรา้ ว. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2546). คูม่ อื หลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560. กรุงเทพฯ : สานักวิชาการและ มาตรฐานการศกึ ษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั ฐาน.

ปีที่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 123 กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2547). ความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยท่ีได้รับการจัดกิจกรรมเชิง ปฏบิ ตั ิการ. วารสารวิชาการ. เกรยี งศักดิ์ เจริญวงศ์ศกั ด.์ิ (2545). การคิดเชงิ สร้างสรรค์. กรงุ เทพฯ : ซัคเซสมเี ดีย. แก้วตา ริวเช่ียวโชติ. (2555). ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ได้ทากิจกรรมละเลงสี. (วิทยานพิ นธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ศรีนคนิ ทรวิโรฒ. จิราพร พรมพุทธา. (2550). การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยด้วยการวาดภาพใน (วิทยานิพนธ์ ปรญิ ญามหาบณั ฑติ ). ภเู ก็ต : มหาวิทยาลยั ราชภัฏภเู ก็ต. ทัศนยี ์ พรมมชั ชะ. (2553). การพัฒนาความคดิ สร้างสรรคข์ องเดก็ ปฐมวัยโดยการจัดประสบการณ์ตามแนวคิด สมองเปน็ ฐาน (วิทยานพิ นธป์ ริญญามหาบัณฑิต). มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. เบญจวรรณ บัวชุม. (2553). การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยจากกิจกรรมสร้างสรรค์โดยการใช้ วัสดุตามแนวคิดลดโลกร้อนชั้นอนุบาลปีท่ี 2 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. เมธาวี นิยมสุข. (2562). การจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีสากล ตามแนวคิดของดาลโครซเพื่อพัฒนาทักษะการ ปฏบิ ัตทิ างดนตรีสาหรับเดก็ ปฐมวัย. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยธรุ กิจบัณฑิตย.์ วนาเนตร อนุรารักษ์ และอิทธศิ กั ดิ์ ตุห๊ มาด. (2550). การพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั ทไี่ ดร้ ับการ พัฒนาการจัดกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์วาดภาพอสิ ระ (วิจัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภฏั จนั ทร เกษม. วรารัตน์ ธุมาลา. (2553). ความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยท่ีได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์. (วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑติ ). กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศรีนคินทรวโิ รฒ. สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. (2561). แนวแนะวธิ ีการเลี้ยงดู ดแู ล และพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ตามสมรรถนะ เพ่อื เพิม่ คณุ ภาพตามวัย 0-5 ป.ี กรงุ เทพฯ : สานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา. Torrance, E. P. (1962). Guiding Creative Talent. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall, Inc.

ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 124 การพัฒนาทกั ษะในการแกป้ ญั หาสถานการณแ์ ละโจทยป์ ญั หาคณิตศาสตร์ โดยการจัดการเรยี นร้แู บบปัญหาเปน็ ฐาน เรอ่ื ง “การบวก ลบ คณู หารระคน” ของนกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 THE DEVELOPMENT OF MATHEMATIC WORD PROBLEM-SOLVING SKILLS IN COMBINATION OF ADDITION, SUBTRACTION, MULTIPLICATION AND DIVISION BY USING PROBLEM-BASED LEARNING OF SECOND GRADE STUDENTS สภุ ัค สมบรู ณโ์ ชคดี * Suphakh Somboonchokdee * นักศกึ ษา หลกั สตู รประกาศนยี บตั รบัณฑติ วิชาชพี ครู ปกี ารศึกษา 2562 วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กิจบณั ฑติ ย์ บทคัดยอ่ การวจิ ยั นีเ้ ป็นการวิจัยเชงิ ทดลอง แบบศึกษากลมุ่ เดยี วและวัดหลังการทดลอง (one-group posttest only design) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาทกั ษะในการแกป้ ญั หาสถานการณแ์ ละโจทยป์ ัญหา หลังใช้ การจัดการเรียนรู้แบบปญั หาเป็นฐาน เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 2 กลมุ่ ท่ศี ึกษา คอื นกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นประถมศกึ ษาแหง่ หนึ่ง ในอาเภอกาแพงแสน จังหวัด นครปฐม ทีก่ าลงั ศึกษาในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2562 จานวน 16 คน เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษา ประกอบดว้ ย แผนการจัดการเรียนรแู้ บบปญั หาเปน็ ฐาน เร่อื ง การบวก ลบ คูณ หารระคน ใช้เวลา 6 คาบ และแบบวดั ทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นแบบปรนยั ชนดิ เตมิ คาตอบ ถา้ ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน วิเคราะหข์ อ้ มูลโดยหาค่าเฉลยี่ รอ้ ยละ แล้วนาไปเทียบ เกณฑท์ ่กี าหนดไว้รอ้ ยละ 70 นาเสนอข้อมูลโดยใชต้ ารางประกอบคาบรรยาย ผลการวิจยั สรปุ ไดว้ ่า การจัดการเรยี นรู้แบบใช้ปัญหาเปน็ ฐาน เรอื่ ง การบวก ลบ คณู หารระคน สาหรับนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 สามารถพัฒนาทกั ษะในการแก้ปัญหาสถานการณ์และแก้โจทยป์ ญั หา เรอื่ ง การบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรยี นได้ โดยพบวา่ หลงั จากใช้แผนการจดั การเรียนรู้แบบใชป้ ญั หาเปน็ ฐานทีส่ ร้างขน้ึ นักเรียนทาคะแนนเฉลยี่ ร้อยละ คิดเป็น 72.50 ซึ่งสงู กวา่ เกณฑก์ ารผา่ นทกี่ าหนดไว้ ท่รี อ้ ยละ 70.00 คาสาคญั : การจัดการเรียนรแู้ บบปัญหาเปน็ ฐาน โจทย์ปญั หาคณิตศาสตร์ ทักษะในการแก้ปญั หา ______________________________ E-mail Address: [email protected]

ปที ่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 125 ABSTRACT This research was an experimental one-group posttest only design. The purposes of this research were to study the word problem-solving skills on the topic of combination of addition, subtraction, multiplication, and division of the second-grade students after using the problem-based learning. The participants in this research were second-grade students from a primary school in Kamphaeng Saen District, Nakhon Pathom Province which currently studying in the 2nd semester of 2019, amount 16 people. The instruments used in this research are following. 1) Learning lesson plans on combination of addition, subtraction, multiplication and division using problem-based learning consumed 6 periods. 2) The test of mathematical problem-solving skill is fill-in-the -blank objective test scoring 1 point for correct answer and 0 point for incorrect answer. The data were analyzed by percentage mean. Then, compared with 70% of the criteria and presented in the form of table with description. The research found that the 2 developed learning plans on combination of addition, subtraction, multiplication and division by using the problem-based learning consumed 6 periods could develop the word-problem solving skills on combination of addition, subtraction, multiplication and division of second-grade students. The average mean score was 72.50 % which was higher than the 70.00% set criterion. Keywords: Problem-Based Learning / Mathematical word problems / Problem-solving skills บทนา คณิตศาสตร์มีบทบาทสาคัญย่ิง ต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ ทาให้มนุษย์มีความคิด สร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบระเบียบ สามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่าง รอบคอบ ทาให้สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสนิ ใจและแกป้ ญั หาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อกี ท้งั ยงั เป็น เคร่ืองมือในการศึกษาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ตลอดจนศาสตร์อ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้อง คณิตศาสตร์จึงมี ประโยชน์ต่อการดารงชีวิต และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น นอกจากน้ี คณิตศาสตร์ยังช่วยพัฒนามนุษย์ ให้สมบูรณ์ มีความสมดุลทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และอารมณ์ สามารถคิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเป็น และสามารถอย่รู ่วมกับผู้อื่น ได้อยา่ งมีความสขุ ( กรมวชิ าการ, 2544 อา้ งถงึ ใน นภสร เรอื นโรจน์รุ่ง, 2558, น. 9) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ( 2560 ) ได้ให้ความสาคัญเก่ียวกับ ทักษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ เนื่องจาก ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์เปน็ ความสามารถท่ี จะนาความรู้ ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ เพ่ือให้ได้มาซ่ึงความรู้ และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้

ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 126 อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงสอดคล้องกับ สานักทดสอบทางการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน (2562) ที่ระบุว่า สถานการณ์โลกปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับ ระบบ การศึกษา ต้องมีการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะความเป็นจริง โดยเฉพาะผู้เรียนในระดับการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน จะต้องมีทักษะอื่นอีกหลายด้าน เช่น ทักษะการส่ือสาร และทักษะการคิดคานวณ เป็นต้น เพื่อให้อยู่ ในโลกแห่งการแข่งขันไดอ้ ยา่ งปลอดภยั และมคี ณุ ภาพชีวิตทีด่ ี ดังท่ี กระทรวงศึกษาธกิ าร กาหนดนโยบายและ จุดเน้นเพ่ือให้การบริหารจัดการศึกษาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ เป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยทุ ธศาสตรช์ าติ วัตถุประสงค์ของแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการศึกษาและ นโยบายของรฐั บาล เรอื่ ง การเตรียมคนในศตวรรษท่ี 21 ในระดบั ประถมศึกษา มงุ่ คานงึ ถึง พหุปัญญาของ ผู้เรียนรายบุคคลที่หลากหลายตามศักยภาพ โดยเฉพาะการพฒั นาและส่งเสรมิ ให้นักเรียนระดับประถมศึกษา คิดเลขเป็น พร้อมกับสร้างเด็ก ให้เกิดทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ รวมถึงการคิดวิเคราะห์ เพื่อให้ แกป้ ญั หาได้ จากประสบการณส์ อนของผวู้ จิ ัย ไดท้ าการเก็บขอ้ มูลและสัมภาษณ์ในระยะเวลา 6 เดอื น ทผ่ี ่านมา พบวา่ นกั เรยี นมผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร์ อยใู่ นระดับปานกลาง และพบวา่ นกั เรยี นมีพฤติกรรม ไม่อยากเรียนวิชาคณติ ศาสตร์อย่เู ป็นประจา อาจเนอ่ื งด้วยสาเหตหุ ลายประการ เชน่ ครูขาดเทคนิคในการจูงใจ ใหผ้ เู้ รียนสนใจเรียน, ครผู ู้สอนสอนโดยใช้วิธกี ารบรรยายมากเกินไป ,การสอนโดยใช้สื่อการสอนทีไ่ ม่มีคุณภาพ หรือครูไม่ใช้ส่ือนวตั กรรมท่ีเหมาะสม ทาให้กิจกรรมนา่ เบอื่ ทาให้นักเรียนมีความรู้สึกว่าไม่ท้าทาย เป็นเหตุให้ นักเรียนไม่สนใจเรียน หลับในเวลาเรียน หรือพูดคุยกันในห้องเรียน และมีเจตคติท่ีไม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะการเรียนรู้เร่ืองการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ พบว่ามีปัญหามากท่ีสุด เน่ืองจาก เป็นเร่ืองท่ียาก นักเรียนไม่ชอบอ่านตัวหนังสือท่ีมาก นักเรียนไม่สามารถสรุปใจความสาคัญ หรือมองไม่เห็นปัญหา ทาให้ไม่ เข้าใจส่ิงที่โจทย์ถาม นึกภาพ คิด จินตนาการไม่ออก ทาให้นักเรียนเบ่ือ ขาดแรงจูงใจในการแก้โจทย์ปัญหา นามาซ่ึงผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ันดังกล่าว ไม่ดีเท่าที่ควร และเมื่อไรที่นักเรยี น เผชญิ โจทยท์ ยี่ ากเกนิ ไป ธรรมชาตจิ ะกระตุ้นใหเ้ ขาเลกิ คดิ หนกี ารคดิ หลกี หนกี ารเรียน หรอื รู้สึกไม่สนกุ ที่จะคิด แต่ถ้าโจทย์ง่ายเกนิ ไป กไ็ ม่ทา้ ทาย นา่ เบ่อื หรอื ไมเ่ กดิ การเรยี นรู้ ครูจึงควรออกแบบการเรียนรู้ หรอื ตง้ั โจทย์ให้ พอดี ระหว่างความยากหรือท้าทายกับความง่ายพอสมควร ท่ีนักเรียนจะทาได้สาเร็จและเกิด ปิติ เกิดความ ภูมิใจท่ีทาได้สาเร็จ มนุษย์จะคิดหากโจทย์นั้นง่ายพอสมควรท่ีจะคิดได้สาเร็จ ความสาเร็จ คือ รางวัลทางใจ เป็นแรงจูงใจท่ีจะคดิ โจทย์ต่อไป ครจู ะตอ้ งใชจ้ ติ วิทยาข้อน้กี ับศิษย์อยตู่ ลอดเวลา ซ่งึ จะทาให้ศษิ ยเ์ กิดความสนุก ในการเรียน (วจิ ารณ์ พานิช, 2555,น.76-77) การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 2 พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ นักเรียนกลุ่มท่ีเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน คะแนน เฉลี่ยสูงกว่านักเรียนกลุ่มท่ีเรียนแบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ท้ังน้ีเป็นเพราะการจัด กิจกรรมแบบใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นปัจจัยท่ีส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความสนใจในการเรียนมากข้ึน มี ความสามารถในการวเิ คราะห์โจทยป์ ญั หาและแก้ปญั หาทางคณติ ศาสตรจ์ นสามารถเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ท่ีเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันได้อย่างสมเหตุสมผล การเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน มีส่วนช่วยให้นักเรียน พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาท่ีความซับซ้อน มีข้ันตอนวิธีการคิดที่เป็นระเบียบแบบแผน และเพ่ิมความสามารถ

ปที ่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 127 ในการเรียนได้สงู มากขนึ้ มากกวา่ การเรียนแบบปกติ กระบวนการกล่มุ ทเี่ กิดขนึ้ ในระหว่างเรยี นเป็นตัวกระตุ้น ใหน้ ักเรยี นมีความใฝร่ ใู้ ฝเ่ รียน กลา้ แสดงออกและสามารถรับฟงั ความคิดเห็นของผู้อนื่ ได้ (นภสร เรือนโรจน์รุ่ง , 2558) สอดคลอ้ งกบั วิถีสร้างการเรียนรู้เพ่ือศิษยใ์ นศตวรรษท่ี 21 ทบ่ี อกวา่ บรรยากาศของการต้ังคาถามและ ตัง้ ปัญหา นอกจากจะช่วยวางรากฐานการเป็นนักเรียนรู้ตลอดชวี ิตให้แก่ศษิ ยแ์ ลว้ ยงั จะทาให้ชวี ิตนักเรียนเป็น ชีวิตท่ีสนุกสนานต่ืนเต้นเรา้ ใจ กระตุ้นจินตนาการ ยั่วยุให้ค้นคว้าค้นหา สร้างและเรียนรู้ คือ ทาให้โรงเรียนไม่ เป็นสถานที่น่าเบื่อ หรือสร้างความทุกข์ให้แก่ศิษย์ (วิจารณ์ พานิช,2555, น.70) และนามาซ่ึงผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นที่ดตี อ่ ไป จากการศึกษาผลงานวิจัยจานวนมากยืนยันว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีผลต่อ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นในทางท่ีดี เช่น รญั ชนา ทรงไชย และ จไุ รรตั น์ อาจแกว้ (2562) ที่ทาการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานและการจัดการเรียนรู้ตามปกติ พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรยี นรูโ้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน และความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ สูงกว่านักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ตามปกติ และ ผุสดี กล่อมวงศ์ (2558) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะและ กระบวนการทางคณติ ศาสตร์ด้านการแก้ปญั หา เร่ือง ความน่าจะเปน็ ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 พบวา่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ด้านการแก้ปัญหา โดยการจัดกิจกรรมการ เรยี นรู้โดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน หลงั เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี น คณิตศาสตร์เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน เปน็ ทักษะการคดิ และความรพู้ ้ืนฐานท่จี าเป็น เพ่ือใช้ ในการดารงชวี ติ ประจาวันและจาเป็นสาหรบั การเรียนคณิตศาสตร์ชัน้ สงู ขน้ึ ไป การบวก ลบ คณู หารระคน จึง เป็นทักษะพื้นฐานท่ีนักเรียนควรจะต้องได้รับการฝึกฝนตั้งแต่เด็ก จนเกิดทักษะสามารถหาผลลัพธ์ได้อย่าง รวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยา รวมถึงมเี จตคติท่ีดีต่อการคิดแก้ปัญหา ทว่าการน่ังคิดแก้โจทยป์ ัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน เพยี งลาพัง อาจทาให้นกั เรียนประสบกบั ปญั หาทไ่ี ม่สามารถแกไ้ ด้ เกดิ ลงั เล สงสยั ความไมแ่ นใ่ จ รู้สึกท้อถอย เบ่ือหน่ายและถอดใจในการทาโจทย์ในท่ีสุด หากมีการให้นักเรียนได้รวมกลุ่มปรกึ ษากัน ช่วยกัน คิดแก้ปัญหา ช่วยกันวิเคราะห์หาส่ิงท่ีโจทย์ถาม ช่วยกันวิเคราะห์สิ่งที่โจทย์กาหนดให้อย่างเป็นขั้นตอน และ ผู้สอนกระตนุ้ ผู้เรียนด้วยคาถามท่ีนักเรียนสงสัยใคร่รู้ หรือการเสริมแรง เพ่ือให้ผู้เรียนทาความเข้าใจกับปญั หา จะเกิดการระดมสมอง เพื่อหาแนวทางและวิธีการในการหาคาตอบได้ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะใช้การจัดการเรียนรู้ แบบปัญหาเป็นฐาน มาใช้เป็นแนวทางเพื่อพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาสถานการณ์และโจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ เร่ือง “การบวก ลบ คูณ หารระคน” สาหรบั นักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรียนแหง่ หน่งึ ใน อาเภอกาแพงแสน จังหวัดนครปฐม ให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ท่ีดี เป็นการเรียนรู้เพ่ือ นาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้อยา่ งมคี ณุ คา่ และมคี วามสุขตอ่ ไป

ปีท่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 128 วัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาผลการจัดการเรยี นรู้แบบปัญหาเปน็ ฐานของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 2 ที่มตี อ่ ทักษะการ แกป้ ญั หาสถานการณแ์ ละโจทย์ปญั หาคณติ ศาสตร์เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน วิธดี าเนินการวิจัย กลมุ่ ทศ่ี ึกษาในครง้ั นี้ คอื นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ของโรงเรียนแหง่ หนึ่ง อาเภอกาแพงแสน จังหวัดนครปฐม ที่กาลังศึกษาในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 16 คน การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัย เชิงทดลอง แบบศึกษากลุ่มเดียวและวัดหลังการทดลอง (one-group posttest only design) เคร่ืองมือท่ีใช้ ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน และแบบวัดทักษะ จานวน 2 ชุด ได้แก่ การเขียนประโยคสัญลักษณ์จากสถานการณ์การบวก ลบ คณู หารระคน แบบปรนัยชนิดเติมคาตอบ และการเขียนวเิ คราะหโ์ จทย์ปญั หาการบวก ลบ คณู หารระคน และหาคาตอบแบบปรนยั ชนดิ เติมคาตอบ ผูว้ ิจยั ไดด้ าเนนิ การสรา้ งเคร่ืองมอื ตามข้นั ตอน ดงั นี้ 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 ตัวชี้วัด สาระ การเรยี นรู้ จดุ ประสงค์ เน้อื หา พรอ้ มทงั้ กาหนดแนวทาง และขอบเขตของเนอ้ื หา จากแบบเรยี น คู่มือครู วิชา คณิตศาสตรร์ ะดบั ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 2 เรื่อง การบวก ลบ คณู หารระคน 2. ศึกษาแนวคิด หลักการและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน เพ่ือ ดาเนนิ การจัดทาแผนการจดั การเรยี นรู้ แบบวัดทักษะ และเกณฑ์การให้คะแนน ดว้ ยกระบวนการดงั กลา่ ว 3. วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 2 จากเอกสารหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 แบบเรียน ค่มู อื ครู และคน้ ควา้ ขอ้ มูลเพม่ิ เติมจากแหลง่ ขอ้ มูลออนไลน์ทน่ี า่ เชือ่ ถือ 4. สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ แบบวัดทักษะ และ เกณฑ์การให้คะแนน เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ซงึ่ มีองค์ประกอบดงั น้ี 4.1 มาตรฐานการเรยี นรู้ 4.2 ตวั ช้ีวัด 4.3 จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ 2) ดา้ นเจตคติ - คา่ นิยม 3) ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ 4.4 สาระสาคญั 4.5 สาระการเรยี นรู้ 4.6 กจิ กรรมการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรือ่ ง การบวก ลบ คูณ หารระคน ผู้วิจยั ได้จดั

ปีที่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 129 กิจกรรมการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ตามข้ันตอนของสานักมาตรฐาน การศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ 6 ข้ันตอน ดงั นี้ ขัน้ ที่ 1 กาหนดปัญหา ขนั้ ที่ 2 ทาความเข้าใจปญั หา ขัน้ ที่ 3 ดาเนนิ การศกึ ษาคน้ ควา้ ขัน้ ที่ 4 สงั เคราะหค์ วามรู้ ขั้นท่ี 5 สรปุ และประเมินค่าของคาตอบ ขน้ั ท่ี 6 นาเสนอและประเมนิ ผลงาน ผูว้ จิ ัยได้ออกแบบโดยใช้เวลาเรยี นท้งั หมด 6 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง โดยแตล่ ะคาบมีข้ันตอน ดงั ต่อไปน้ี ข้ันท่ี 1 กาหนดปัญหา ข้ันน้ีครูผู้สอนต้องกาหนดโจทยป์ ัญหาระคน 2 ขั้นตอน ที่มีสถานการณ์ การบวก ลบ คูณ หรือหาร โดยนาปัญหามาจากส่ิงใกล้ตัวผู้เรียนที่ผู้เรียนมีโอกาสพบเจอ ที่ส่งเสริมให้เกิดการ พิสูจน์หาคาตอบและเหมาะกับวุฒิภาวะ เพ่ือกระตุ้นผู้เรียน โดยอาจเป็นการยกตัวอย่างสถานการณ์ ถาม คาถามท่ีให้คิดต่อ และครูเชิญชวนให้ผู้เรียนแสดงบทบาทสมมติเป็นตัวละคร ให้ผู้เรียนร่วมเป็นส่วนหน่ึงใน สถานการณ์ เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและมองเห็นปัญหา เช่น เรื่อง การซ้ือขนม “นักเรียนหยิบเงินให้ แม่ค้า 20 บาท เพื่อจ่ายค่าขนมท่ีนักเรียนเลือก 2 ช้ิน ราคา 5 บาท และ 10 บาท นักเรียนจะได้รับเงินทอน จานวนก่ีบาท” ข้ันที่ 2 ทาความเข้าใจกับปัญหา คือ ข้ันท่ีผู้เรียนอ่านโจทย์ปัญหาให้ตลอด และทาความเข้าใจ ภายในกลุ่มย่อยว่า จะต้องรู้อะไรบ้างในโจทย์ปัญหา เช่น โจทย์ต้องการทราบอะไร โจทย์กาหนดอะไรให้บ้าง จากตวั อยา่ งเรอื่ ง การซื้อขนม ส่งิ ท่ีโจทยต์ ้องการทราบ คอื นกั เรยี นจะได้รบั เงนิ ทอนจานวนกบ่ี าท ดังนั้นผเู้ รยี น ต้องเขา้ ใจในความหมายของการได้รับเงินทอนกอ่ นวา่ เม่ือเราใหเ้ งินแม่ค้าเกนิ กว่าราคาส่ิงของทซี่ อื้ เงินท่แี ม่ค้า คืนมาให้เราเรียกว่า เงินทอน โดยครูผู้สอนมีหน้าท่ียกตัวอย่างอธิบายให้นักเรียนที่สงสัยเข้าใจก่อน และสิ่งท่ี โจทยก์ าหนดมาให้ คอื นกั เรียนหยิบเงนิ ให้แม่ค้า 20 บาท เพ่ือจา่ ยค่าขนมทีน่ กั เรียนเลือก 2 ชนิ้ ราคา 5 บาท และ 10 บาท ขนั้ ท่ี 3 ดาเนนิ การศกึ ษาค้นคว้า ผ้เู รยี นจะต้องดาเนินการศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งเป็นระบบร่วมกนั ในกลุม่ ยอ่ ย ครผู ู้สอนจะกระตุน้ ผู้เรียนด้วยคาถามหรือการเสริมแรงตามใบงาน โดยถามผ้เู รียนตามสถานการณ์ ทโี่ จทย์กาหนดทีละสถานการณ์ เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี นทาความเข้าใจกบั ปญั หาท่อี ยากรู้ เพ่ือพจิ ารณา วา่ สถานการณ์ ท่ใี ห้มา เป็นสถานการณ์การบวก สถานการณ์การลบ สถานการณ์การคูณ หรือสถานการณ์ การหาร โดยเน้น ใหเ้ กิดการระดมสมอง จากตัวอย่างเรื่อง การซื้อขนม เมื่อครูถามนักเรียนว่าสถานการณ์มีอะไรบ้าง นักเรียนบางกลุ่มอาจ บอกว่า “นักเรียนเลือกขนม 2 ชิ้น ช้ินแรกราคา ...5... บาท และช้ินที่สองราคา …10… บาท รวมเป็นเงิน 15 บาทก่อน แลว้ จึงคอ่ ยจา่ ยเงนิ ให้แม่คา้ 20 บาท และได้รบั เงนิ ทอน 5 บาท สถานการณด์ ังกลา่ วเปน็ สถานการณ์ การบวก กับ สถานการณก์ ารลบ” นกั เรียนอกี กลุ่มอาจจะบอกว่า “นักเรียนหยบิ เงินใหแ้ ม่คา้ 20 บาท จา่ ยเงิน ค่าขนมชิ้นแรก 5 บาทก่อน แล้วเหลือเงิน 15 บาท ค่อยนาไปจ่ายค่าขนมชิ้นที่สองอีก 10 บาท เหลือเงิน 5

ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 130 บาท สถานการณด์ ังกล่าวเปน็ สถานการณ์การลบ 2 ครั้งกไ็ ด้” เมอ่ื ผู้เรยี นแต่ละคนพอมองเหน็ แนวทางในการ หาคาตอบว่าจะต้องหาจานวนใดก่อน จึงเขียนวิธีการในการหาคาตอบของโจทย์ปัญหา โดยเขียนแสดงเป็น ประโยคสญั ลกั ษณ์ตามความเขา้ ใจเป็นรายบุคคล โดยมีครูผ้สู อนคอยให้คาช้ีแนะและอานวยความสะดวก ขัน้ ที่ 4 สงั เคราะหค์ วามรู้ ผเู้ รียนนาประโยคสัญลกั ษณ์ทเ่ี ขยี นไดข้ องแต่ละคน มานาเสนอกัน ภายในกลุม่ ยอ่ ย เพอื่ หาขอ้ สรุป โดยคาตอบอาจมีมากกว่าหนึ่งประโยคสัญลักษณ์ สมาชกิ จะต้องหาว่าประโยค สัญลักษณ์แบบใดเป็นไปได้ว่าจะเป็นประโยคสัญลักษณ์ที่ถูกต้อง โดยมีครูผู้สอนถามคาถามกระตุ้นใหผ้ ู้เรียนมี การแลกเปล่ียนความคิดเห็นและเกิดความคิดรวบยอด สมาชิกกลุ่มได้ช่วยกนั ทบทวนโจทย์ ลาดับสถานการณ์ อีกคร้ัง ทบทวนเครื่องหมายวงเล็บ และตรวจสอบความถกู ตอ้ ง จากตัวอย่างเร่ือง การซื้อขนม นักเรียนกลุ่มท่ีบอกว่า “ นักเรียนเลือกขนม 2 ชิ้น ชิ้นแรกราคา ...5... บาท และชิ้นที่สองราคา …10… บาท ต้องทราบราคาขนม 2 ชิ้น ก่อนว่ารวมกันได้เท่าไหร่ แล้วจึงค่อย จ่ายเงิน 20 บาท จะต้องนาผลรวมราคาขนมไปลบออกจาก 20 ประโยคสัญลักษณ์ของนักเรียนท่ีคิดวิธีนี้ คือ 20 - ( 5+10 ) =  ” นักเรียนอกี กล่มุ อาจจะคดิ ตา่ งไปคนละวิธีว่า “นกั เรยี นหยิบเงินให้แม่คา้ 20 บาท จา่ ย ค่าขนมช้ินแรก 5 บาท แล้วเหลือเงินเท่าไหรค่ ่อยนาไปจ่ายคา่ ขนมชน้ิ ที่สองอกี 10 บาทกไ็ ด้ ประโยคสัญลกั ษณ์ ของนักเรยี นทคี่ ดิ วิธนี ี้ คือ (20 – 5) - 10 =  ” ซ่งึ ทัง้ สองประโยคสัญลกั ษณ์ สามารถเปน็ แนวทางในการหา คาตอบที่ถูกต้อง เม่ือผู้เรียนม่ันใจว่าประโยคสัญลักษณ์น้ันถูกต้องแล้ว ผู้เรียนต่างคนต่างคิดหาคาตอบเป็น รายบคุ คล ครอู าจจบั เวลาในการคานวณคาตอบเพือ่ กระตุน้ ผู้เรยี น ขน้ั ที่ 5 สรุปและประเมินค่าคาตอบ สมาชิกนาคาตอบที่แตล่ ะคนหาได้ มาปรึกษาภายในกลุ่มว่าได้ ค่าคาตอบเท่าไหร่บ้าง โดยทุกคนจะได้คาตอบท่ีแตกต่างหรือเหมือนกันบ้าง ให้พิจารณาคาตอบที่แตกต่าง อธบิ ายวธิ ีคดิ ของตนเองให้เพ่ือนทราบ เพ่อื จะได้เหน็ ขน้ั ตอนท่เี พื่อนคดิ ทาการทกั ท้วงเมอ่ื เกดิ ขอ้ ผดิ พลาด และ ได้ตรวจสอบคาตอบของตนเองไปดว้ ย จนไดค้ าตอบท่ีเป็นขอ้ สรุปของกลุ่ม เพยี งคาตอบเดียว ขน้ั น้ผี ้เู รียนจะได้ ประเมินค่าคาตอบท่ีเป็นไปได้ ว่าคาตอบท่ีถูกต้องน้ันน่าจะมีค่าเป็นอย่างไร เช่น เงินทอนท่ีควรได้รับต้องมีคา่ น้อยกวา่ 20 บาท ถ้าคาตอบของใครทคี่ ิดได้มีค่าเกนิ 20 สันนษิ ฐานได้ว่า เปน็ คาตอบท่ไี มถ่ ูกตอ้ ง ผเู้ รียน มกี าร แลกเปล่ียนคาตอบ วิธีคิดซึ่งกันและกัน จนได้คาตอบท่ีเป็นข้อสรุปของกลุ่ม เพียงคาตอบเดียว แล้วมาเขียน แสดงวิธีทาตามวิธีการแก้ปัญหาที่ได้กาหนดไว้ และเลือกวิธีที่จะนาเสนอต่อเพ่ือนกลุ่มอ่ืน ๆ โดยผ่านความ เหน็ ชอบจากเพ่อื นในกลุม่ ทชี่ ว่ ยกนั ตรวจสอบความถูกต้อง และความเหมาะสมในการนาเสนอ ขนั้ ที่ 6 นาเสนอและประเมนิ ผลงาน ผูเ้ รียนแตล่ ะกลุ่มนาเสนอวธิ ีคิดของกลุ่มตนเอง นาเสนอตาม วิธกี ารที่ไดจ้ ดั เตรยี มไว้ เพอ่ื เผยแพร่ตอ่ เพอ่ื นต่างกลมุ่ ครูผ้สู อนและเพ่ือนในหอ้ งตรวจสอบคาตอบ และร่วมกนั สรุปสาระความรู้ท่ีได้รับจากการทากิจกรรม ผู้สอนประเมินผลงานนักเรียนจากการทากิจกรรมแก้ปัญหาว่า ผู้เรียนมีพฒั นาการเพมิ่ ขนึ้ ตามสภาพจรงิ และตรวจสอบใบงาน 5. นาแผนการจัดการเรยี นรแู้ บบใช้ปญั หาเปน็ ฐานและแบบวดั ทกั ษะ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ไปให้ ผู้เช่ียวชาญจานวน 3 ท่านพิจารณาความสอดคล้องของกิจกรรม ความตรงเชิงเน้ือหา และทาการตรวจสอบ ความถกู ต้องเหมาะสม แลว้ นามาหาค่า IOC คัดเลอื กขอ้ สอบ ท่ีมีค่า IOC ตง้ั แต่ 0.50 ขึน้ ไป

ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 131 6. ผู้วิจัยปรับปรุงแผนการแผนการจัดการเรียนรู้ แบบวัดทักษะและเกณฑ์การให้คะแนนตาม ขอ้ เสนอแนะของผเู้ ชย่ี วชาญ จากน้ันจงึ นาแบบวัดทักษะไปทดลองใชก้ ับนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 2 ทีไ่ ม่ใช่ กลุ่มตัวอย่าง จานวน 20 คน เพ่ือตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของแบบวัดทักษะ แล้วทาการปรับปรุง แกไ้ ข 7. นาแผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานและแบบวัดทักษะ ไปใช้กับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปที ่ี 2 กลมุ่ ทศี่ ึกษา จานวน 16 คน วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยหาคา่ เฉล่ยี ร้อยละ แล้วนาไปเทียบเกณฑ์ท่ี การผ่านรอ้ ยละ 70 ผลการวจิ ยั การพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาสถานการณ์และโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์เรือ่ ง การบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โดยการจัดการเรียนรแู้ บบปญั หาเปน็ ฐาน ออกแบบการวจิ ัยเป็น การวิจยั เชงิ ทดลอง แบบศึกษากลุ่มเดยี วและวัดหลังการทดลอง (one-group posttest only design) ใช้เวลา ในการทดลองท้ังหมด 2 สปั ดาห์ กลมุ่ ท่ีศกึ ษาคอื นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 ของโรงเรียนแห่งหน่งึ อาเภอ กาแพงแสน จังหวัดนครปฐม ท่ีกาลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 16 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ ทดลองในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การ บวก ลบ คูณ หารระคน และแบบวดั ทักษะ จานวน 2 ชดุ ไดแ้ ก่ การเขียนประโยคสัญลกั ษณ์จากสถานการณ์ การบวก ลบ คูณ หารระคน แบบปรนัย ชนิดเติมคาตอบ และการเขยี นวิเคราะห์โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน และหาคาตอบ แบบปรนยั ชนิดเติมคาตอบ ถา้ ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน มีคา่ ความ ยากอยู่ระหวา่ ง 0.3 - 0.75 และค่าอานาจจาแนก อยู่ระหวา่ ง 0.25 – 0.75 จากการวจิ ัยสรปุ ผลได้ดังนี้ 1. ผลการทาแบบวัดทักษะในการแก้โจทย์ปัญหา หลังใช้การเรียนรแู้ บบปัญหาเป็นฐาน เรื่อง การ บวก ลบ คณู หารระคน ของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 นกั เรยี นทาคะแนนเฉลย่ี รอ้ ยละ 72.50 ซึ่งสูงกวา่ เกณฑ์การผา่ น คอื ร้อยละ 70.00 ดังปรากฏในตารางท่ี 1 ดงั นี้ ตารางท่ี 1 คะแนนและค่าร้อยละจากการทาแบบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหา หลังใช้การเรียนรู้แบบปัญหา เป็นฐาน เร่ือง การบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 เทียบกับเกณฑ์การผ่าน คือ ร้อยละ 70.00 นักเรียนคนที่ คะแนนท่ไี ด(้ 20) คา่ รอ้ ยละ เกณฑ์ที่ตั้งไว้ 1 10 50.00 ไมผ่ ่าน 2 13 65.00 ผ่าน 3 14 70.00 ผ่าน 4 10 50.00 ไมผ่ ่าน 5 10 50.00 ไม่ผ่าน

ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 132 นักเรยี นคนที่ คะแนนทไ่ี ด้(20) คา่ ร้อยละ เกณฑท์ ่ีต้งั ไว้ 6 18 90.00 ผา่ น 7 20 100.00 ผ่าน 8 13 65.00 ผ่าน 9 14 70.00 ผา่ น 10 18 90.00 ผา่ น 11 15 75.00 ผา่ น 12 18 90.00 ผา่ น 13 16 80.00 ผ่าน 14 19 95.00 ผา่ น 15 14 70.00 ผ่าน 16 10 50.00 ไมผ่ า่ น ค่าเฉล่ยี 14.5 72.50 ผา่ น 2. แผนการจัดการเรยี นรู้แบบปัญหาเปน็ ฐาน รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ใชเ้ วลาเรียน 6 คาบ คาบละ 1 ชวั่ โมง ผู้เรียนเรียนรผู้ ่านกระบวนการทางานใบงานแบบกลุ่มยอ่ ย โดยครจู ดั ให้ นง่ั เปน็ กลุ่ม กลุม่ ละ 4 คน และผเู้ รยี นแบ่งกลมุ่ ตามความสนใจ กิจกรรมการเรยี นรู้มขี นั้ ตอน 6 ขั้นตอน โดยแต่ ละคาบมขี น้ั ตอนดังต่อไปน้ี 2.1 ข้นั กาหนดปัญหา เมื่อครกู าหนดโจทย์ปญั หาระคน 2 ขั้นตอน โดยนาปญั หา มาจากสิ่ง ใกลต้ วั ที่ผู้เรียนมโี อกาสพบเจอ ทา้ ทาย สง่ เสรมิ ให้เกดิ การพิสูจน์หาคาตอบและเหมาะกบั วฒุ ภิ าวะ และให้ ผเู้ รียนแสดงบทบาทสมมติเป็นตัวละคร พบว่า ผเู้ รียนเกดิ ความอยากรู้ อยากลองออกมาแสดง ผูเ้ รียนเกดิ ความ สนใจและมองเหน็ ปัญหา เพราะไดม้ สี ่วนรว่ มเหมือนเป็นสว่ นหนึ่งของสถานการณ์ และกระตอื รือรน้ ว่าในแต่ละ คาบเรียนจะไดแ้ ก้ปญั หาอะไร 2.2 ขน้ั ทาความเขา้ ใจกับปญั หา เมอ่ื ให้ผู้เรียนอา่ นโจทย์ปญั หาโดยตลอด แล้วทาความเข้าใจ ภายในกลุ่มยอ่ ย พบว่า ผเู้ รยี นใหค้ วามสนใจ ร้วู ่าอะไรในโจทยป์ ัญหาอย่างชัดเจนละเอยี ดขนึ้ ว่าโจทย์ต้องการ ทราบอะไร โจทย์กาหนดอะไรให้บ้าง โดยการพูดคุย ออกความเห็น และลงข้อสรุปร่วมกัน ผู้เรียนที่ทาความ เข้าใจกับปัญหาได้ดี ทาหน้าท่ีเป็นผู้นาในกลุ่ม สามารถที่จะอธิบายให้เพ่ือนในกลุ่มมีความเข้าใจไปในทิศทาง เดียวกัน ขณะที่ผู้เรียนท่ียังไม่เข้าใจก็ได้ทาหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี และพยายามทาความเข้าใจปัญหา อย่างสมัคร สมาน สามคั คี 2.3 ขัน้ ดาเนินการศกึ ษาค้นคว้า ผู้เรยี นจะตอ้ งดาเนินการศึกษาคน้ คว้าอยา่ งเป็นระบบรว่ มกัน ในกลุม่ ย่อย ผู้สอนจะกระตุ้นผ้เู รยี นด้วยคาถามตามสถานการณท์ ี่โจทย์กาหนดทีละสถานการณ์ตามใบงาน เพอ่ื ดูว่าสถานการณ์ทใ่ี หม้ า เปน็ สถานการณก์ ารบวก การลบ การคณู หรือการหาร โดยเนน้ ใหเ้ กดิ การระดมสมอง พบวา่ ผ้เู รียนแต่ละกลุม่ เกิดแนวคดิ ในการแก้ปญั หาที่หลากหลาย บางกลมุ่ สามารถคดิ ได้มากกวา่ หน่งึ วธิ ีในการ หาคาตอบ และบางคนสามารถคิดประโยคสัญลักษณ์ ดาเนินตามวิธีและสรุปหาคาตอบได้เลยอย่างรวดเร็ว

ปที ่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 133 ขณะเดยี วกนั ผู้เรียนบางคนสามารถคิดประโยคสัญลักษณ์เปน็ แนวทางในการหาคาตอบไว้ แต่ยังไมส่ ามารถหา คาตอบได้ ซงึ่ เปน็ ไปตามจุดประสงค์ ตามข้นั ตอนของการเรยี นรู้ท่ีผสู้ อนวางแผนไว้ 2.4 ข้ันสังเคราะห์ความรู้ ผู้เรียนได้นาประโยคสัญลักษณ์ที่เขียนได้ของแต่ละคน มานาเสนอ กนั ภายในกลมุ่ ย่อย พบวา่ ผเู้ รียนเขยี นประโยคสัญลกั ษณไ์ ดม้ ากกวา่ หนึง่ ประโยคสญั ลักษณ์ ภายในกลมุ่ ผเู้ รียน ท่ีคิดได้ไวนาเสนอผลการคิด วิเคราะห์ของตนเอง และเปิดโอกาสให้เพ่ือนท่ีคิดไม่เหมือนกัน ได้แสดงความ คิดเห็น ทาให้ผู้เรียนเกิดการระดมความคิด แลกเปลี่ยน อธิบาย ทบทวนโจทย์ ลาดับสถานการณ์อีกครั้ง ทบทวนเคร่อื งหมายวงเล็บ และตรวจสอบความถกู ต้อง มกี ารถกเถยี ง แสดงความคดิ เหน็ และเกิดความคิดรวบ ยอด เพ่อื หาขอ้ สรปุ วา่ ประโยคสัญลกั ษณแ์ บบใดเป็นประโยคสญั ลักษณ์ที่ถูกต้อง ในตอนแรกผเู้ รยี นยงั เขียนได้ ไม่เป็นลาดับขั้นตอนเท่าที่ควร แต่พอทากิจกรรมหลาย ๆ ครั้ง ผู้เรียนก็สามารถเขียนได้เป็นลาดับข้ันตอนมาก ข้นึ รวดเร็ว และมคี วามคดิ ท่หี ลากหลาย 2.5 ขั้นสรุปและประเมินคา่ คาตอบ เม่อื ผ้เู รียนตา่ งคนตา่ งคิดหาคาตอบ แล้วนาคาตอบของ แต่ละคนท่ีหามาได้มาหาข้อสรุปภายในกลุ่ม พบว่า นักเรียนให้ความร่วมมือดี ได้ฝึกลองผิดลองถูกหลายครั้ง โดยครูเปดิ โอกาสให้ทุกคนไดอ้ ธิบายวิธีคิดของตนเองใหเ้ พอ่ื นเหน็ ผเู้ รยี นจงึ มีความสนกุ สนานในการคิด มีการ แลกเปลยี่ น ปฏิสมั พนั ธภ์ ายในกลุ่ม ผ้เู รยี นไดเ้ ห็นข้นั ตอนท่ีคดิ ผิดพลาดซึง่ กันและกนั และได้ตรวจสอบคาตอบ จากเพอ่ื น การฝกึ ประเมินคา่ คาตอบทเี่ ป็นไปได้ ทาให้ผเู้ รยี นเห็นภาพรวม สารวจคาตอบของตนเอง และแกไ้ ข ได้ทันทีเม่ือพบข้อผิดพลาด ก่อนท่ีจะสรุปคาตอบ และได้คาตอบท่ีเป็นข้อสรุปของกลุ่มเป็นหนึ่งเดียวกนั เกิด ความภาคภูมิใจร่วมกัน โดยสังเกตจากอาการย้ิม และหัวเราะ สบายใจ โล่งใจ ซ่ึงเป็นบรรยาก าศของ ความสาเรจ็ 2.6 ขัน้ นาเสนอและประเมนิ ผลงาน ผเู้ รียนแตล่ ะกลมุ่ ไดแ้ กไ้ ขปัญหาสาเรจ็ จงึ เกดิ ความ ม่ันใจและภาคภมู ใิ จ ท่ีจะนาเสนอวธิ คี ดิ ของกลุ่มตนเอง ด้วยวธิ ีการท่ีกลุ่มถนัด พบว่า ผเู้ รยี นไดใ้ ห้ความสนใจฟัง เพื่อนกลุ่มอ่ืน ๆ และช่วยกันตรวจสอบว่าเพื่อนกลุ่มอื่นแก้โจทย์ปัญหาได้ถูกต้องหรือไม่ มีวิธีการเหมือนหรือ แตกต่างจากกลุ่มของตนเองอย่างไร ทาให้ผู้เรียนเกิดความท้าทายและตั้งใจ บางคร้ังผู้เรียนได้เห็นวิธีการ นาเสนอทีด่ ี ของกลุ่มอ่ืน ก็เกดิ การลอกเลยี นวิธีการนาเสนอมาใช้ปรับปรงุ การนาเสนอให้สนุก ถา่ ยทอดสู่เพื่อน ได้เขา้ ใจมากยิ่งขึ้น และเป็นภาษาของตนเองอยบู่ ่อยคร้งั ผลการจดั การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน จากการสงั เกตพบว่า ผู้เรียนมีความชน่ื ชอบและให้ความ ร่วมมือในกิจกรรมทุก ๆ ข้ันตอน เมื่อครูจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน นักเรียนจะมีความกระตือรือร้นใน การทากิจกรรมเป็นอย่างดี เพราะนักเรียนจะต้ังใจคอยในทุกคาบเรียน ว่าวันนี้จะได้แก้ปัญหาอะไรและกลุ่ม ไหนจะสามารถแก้ปัญหาสาเร็จบ้าง เม่ือผ่านกิจกรรมมาหลาย ๆ คร้ัง นักเรียนจะเกิดความคุ้นเคยและความ ชานาญในการแกป้ ัญหามากข้ึน เพราะนักเรียนจะได้ฝึกคิดวิเคราะห์และวางแผนแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ทา ใหน้ ักเรียนมีความเข้าใจโจทย์ปัญหาหรอื สถานการณ์ที่จะต้องแก้ เป็นผลให้สามารถแก้ปัญหาได้สาเร็จลุลว่ ง อกี ทั้งการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ยังทาให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และระดมความคิดในการ แกป้ ัญหาเป็นการฝึกการทางานรว่ มกบั ผ้อู ่ืน

ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 134 นอกจากนี้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้มีการให้นักเรียนทาใบงาน เพ่ือฝึกการวิเคราะห์และ วางแผนในการแก้ปัญหา ตลอดจนนาสิ่งท่ีได้วางแผนไว้ไปดาเนินการแกป้ ัญหาตามวิธีการท่ีได้คิดไว้ พบว่าเม่ือ นกั เรยี นได้รับใบงาน นกั เรียนบางกลุ่มจะยังไมเ่ ข้าใจขน้ั ตอนของการวิเคราะหแ์ ละทาเสร็จไม่ทันเวลาถงึ ร้อยละ 60 แต่เมื่อนักเรยี นได้เรียนรู้ขน้ั ตอนของการวิเคราะห์แล้ว ทาให้นักเรียนสามารถวเิ คราะหโ์ จทย์ปัญหาไดด้ ีขนึ้ และเสร็จทันเวลาร้อยละ 95 ในคาบเรียนถัดไป ผลจากการทาใบงานในแต่ละคาบ แสดงให้เห็นว่านักเรียนมี ทักษะในการการแก้โจทย์ปัญหาท่ีดีข้ึน โดยสามารถวิเคราะห์โจทย์คิดและวางแผนแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ หลากหลายอย่างเปน็ ลาดบั ขน้ั ตอน ตลอดจนสามารถนาเสนอวธิ ีการทีไ่ ดว้ างแผนไว้ ตามกระบวนการที่ตนเอง ได้กระทาจริง เป็นความเข้าใจท่ีถ่ายทอดด้วยภาษาของตนเอง มีความคิดรวบยอดในแต่ละคาบ ได้ ประสบการณ์การแกโ้ จทยป์ ญั หาการบวก ลบ คูณ หารระคน ท่ีถกู ต้องและเกดิ ความภาคภูมใิ จในตนเอง การอภิปรายผล จากการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรแู้ บบใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน เพื่อพฒั นาทกั ษะในการแก้โจทย์ ปัญหาเร่ือง การบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 พบว่าหลังทดลองใช้การจัดการ เรยี นรู้แบบปญั หาเปน็ ฐาน นกั เรียนได้คะแนนเฉล่ียร้อยละ 72.50 ซึ่งสูงกวา่ เกณฑก์ ารผ่าน คอื ร้อยละ 70.00 โดยผู้ศกึ ษาเหน็ วา่ ประเดน็ สาคัญท่ีควรนามาอภิปรายผล มีดังนี้ 1. การจดั การเรยี นรูแ้ บบปญั หาเปน็ ฐาน ทาใหน้ กั เรียนไดฝ้ ึกกระบวนแก้โจทยป์ ญั หาทมี่ ีความ หลากหลาย โดยเริ่มจากโจทย์ปัญหาท่ีง่าย ไปสู่โจทย์ปัญหาที่มีความซับซ้อนมากยิ่งข้ึน โดยนักเรียนจะเป็นผู้ กาหนดวิธีการแก้ปัญหาจากประสบการณ์หรือความรู้เดิมของตนเองแล้วนามาปรับใช้กับการแก้โจทย์ปัญหา ตลอดจนได้คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เม่ือเจอกับโจทย์ปัญหาในลักษณะต่าง ๆ ควรใช้วิธีการใดแก้ปัญหาจึงจะ เหมาะสม ทาให้นักเรียนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็นและมีการตัดสินใจท่ีดี ทาให้นักเรียนค้นพบว่า โจทย์ปัญหา บางอย่างมีวิธีการแก้ไขมากกว่าหนึ่งวิธี ได้รู้จักการวางแผนและแบ่งหน้าท่ี และเม่ือฝึกทากิจกรรมหลาย ๆ คร้ังก็จะเกิดความชานาญในการแก้ปัญหามากขึ้น มีพัฒนาทางด้านทักษะการแก้โจทย์ปัญหาที่ดี ซึ่งส่งผลต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนท่ีดีด้วย ซ่ึงสอดคล้องกับมัณฑรา ธรรมบุศย์ (อ้างถึงใน เจษฎา อินพินิจ ,2559,น.14) อธิบายความว่า การสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ไม่ใช่การสอนแบบแก้ปัญหา (Problem solving method) เพราะการสอนโดยใช้ปญั หาเปน็ ฐานนนั้ ปัญหาทเี่ กยี่ วข้องกับศาสตร์โดยตรงของผู้เรียนต้องมาก่อน โดยปญั หาจะเป็นตัวกระตนุ้ หรอื นาทางให้ผูเ้ รียนตอ้ งไปแสวงหาความรคู้ วามเขา้ ใจด้วยตนเอง เพ่ือจะได้ค้นพบ คาตอบของปัญหานั้น กระบวนการหาความรู้ด้วยตนเองน้ี จะทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการแก้ปัญหา และยัง สอดคล้องกับ นภสร เรือนโรจนร์ ุ่ง (2558) ที่ได้กล่าวไว้โดยสรุปวา่ การจัดการเรียนการสอนแบบปัญหาเปน็ ฐาน ให้ผลดีอย่างเห็นได้ชัด ในเรื่องของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และทักษะการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ใน ชีวิตประจาวัน นักเรียนมีแนวทางในการแก้ปัญหามากกวา่ การนั่งคิดแก้โจทยป์ ัญหาเพยี งลาพัง ทั้งนี้ยังเป็น การฝึกทักษะการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ให้นักเรียนนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้อีกด้วย การต้ัง โจทย์ปญั หาทดี่ ี จะมีส่วนกระตุ้นใหน้ กั เรยี นมีความสนใจในการอ่าน มีเจตคตทิ ่ีดตี ่อวิชาคณิตศาสตร์ นกั เรียนมี

ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 135 ความตระหนักวา่ คณิตศาสตร์อยรู่ อบ ๆ ตัวเรา เป็นสิ่งท่ีอยู่ในชีวติ ประจาวนั เป็นการเรยี นร้ทู ี่มีความหมายต่อ ตัวเอง 2. การจัดการเรียนรแู้ บบปญั หาเปน็ ฐาน มกี ารกระตุ้นให้นักเรียนเกดิ การคดิ วิเคราะห์โจทย์ ปญั หาอย่างเป็นลาดับขน้ั ตอน นาไปสู่การดาเนนิ การแกป้ ญั หาอย่างถูกตอ้ ง ลงมอื ปฏบิ ัติตามสง่ิ ทไี่ ด้วางแผนไว้ ต้ังแต่ขั้นทาความเข้าใจโจทย์ ผู้เรียนได้ลงมือเขียน ส่ิงที่โจทย์กาหนดให้ และส่ิงท่ีโจทย์ต้องการทราบ ศึกษา ค้นควา้ และดาเนินการแก้ไขปัญหาอยา่ งเป็นระบบ อา่ นและตีความสถานการณ์ แยกสถานการณอ์ อกเปน็ ส่วน ๆ เป็นขัน้ เป็นตอน ตามความรคู้ วามเข้าใจด้วยตนเอง สงั เคราะหโ์ จทยป์ ญั หาเปน็ ประโยคสัญลักษณ์ และคาณ วนหาค่าคาตอบ สรุปและประเมินค่า นาเสนอและสรุปผล ซ่ึงโจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน เป็น ปัญหาท่ีมีความซับซ้อนสาหรับผู้เรียนวัยน้ี จึงต้องอาศัยการระดมความคิดของสมาชิกในกลุ่มในการวางแผน แก้ปัญหา ทาให้ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาใหม่ ๆ จากสมาชิกในกลุ่ม ได้รู้จักการวางแผนและแบ่งหน้าที่ เป็น กระบวนการทีย่ ึดเด็กเปน็ สาคัญ โดยทคี่ รูมหี นา้ ท่คี อยอานวยความสะดวก คอยชแี้ นะ และกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนเกิด การเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องกับ สิริกาญจน์ พรหมวงศ์ (2561, น.19-20) ที่ได้นิยามความหมายของการจัดการ เรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) ไว้ว่า เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนสร้างองค์ ความรู้จากปัญหาหรือสถานการณ์ท่ีสนใจ ผ่านทางกระบวนการทางานกลุ่ม การอภิปราย การระดมความคิด เพ่ือทาความเข้าใจและแก้ไขปัญหาด้วยเหตุผล ซึ่งตัวปัญหานน้ั จะมีความสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจุดต้ังต้น ของกระบวนการเรยี นรู้ ครเู ป็นเพียงผ้คู อยใหค้ าแนะนาและจดั สภาพแวดลอ้ มแหง่ การเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนท่ีไม่ผ่านการทดสอบวัดทักษะ ล้วนเป็นนักเรียนที่มีปัญหาความบกพร่องดา้ น การเรียนรู้ ผู้วิจัยจึงมีแนวทางในการพฒั นานักเรยี นกลุ่มนี้ โดยสร้างใบงานและแบบวัดทักษะที่ออกแบบโดย กระบวนการเรียนรู้แบบปญั หาเปน็ ฐานทเ่ี นน้ เรื่องของ การบวกและลบ ระคน เพอ่ื ใหน้ กั เรียนได้เรยี นรู้วิธีการ หาคาตอบของโจทยป์ ัญหา จากนน้ั จึงค่อยสอดแทรกเร่อื งของ การคณู และการหาร ในภายหลัง ทาใหน้ กั เรียน ได้เรียนรู้กระบวนการกลุ่มร่วมกับเพือ่ น ๆ และได้มโี อกาสคิด ไดแ้ สดงความคดิ เห็น และประสบความสาเร็จใน การหาคาตอบไปพร้อมกัน ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยการพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาสถานการณ์และโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยการ จดั การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เร่อื ง “การบวก ลบ คูณ หารระคน” ของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในอาเภอกาแพงแสน จังหวัดนครปฐม ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะสาหรับการนาผลวิจัยไปใช้ และ ข้อเสนอแนะสาหรบั การทาวิจยั ในคร้ังต่อไป ดังน้ี 1. ในการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ครูต้องมีการเตรียมการสอนมาอย่างดี โดยเฉพาะใน การทากจิ กรรมคร้ังแรก ผ้สู อนควรชแ้ี นะแนวทาง คอยเป็นผกู้ ระตนุ้ ให้เกิดการเรยี นรู้ ในการกาหนดปญั หา ทา ความเข้าใจ ศึกษาค้นคว้า สังเคราะห์ความรู้ สรุปและประเมินค่าคาตอบ และนาเสนอ ทุกข้ันตอน และ ยกตัวอย่างท่ีเขา้ ใจไดช้ ัดเจน เพ่อื ให้นกั เรยี นเขา้ ใจกระบวนคิดอยา่ งเป็นระบบ 2. ในการกาหนดปัญหาเพ่อื ใช้ในการจัดการเรยี นรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ผ้สู อนจะตอ้ งทาการเตรียม ปัญหา ปญั หาทีใ่ ช้ควรจะเป็นปัญหาท่ีผเู้ รยี นกาลังให้ความสนใจ หรือเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ในชีวิตประจาวัน

ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 136 หรอื เป็นปัญหาทีน่ กั เรียนไมเ่ คยพบเจอ แต่มีความท้าทายให้ผู้เรียนอยากแสดงบทบาทสมมติเปน็ ตวั ละคร และ จูงใจให้ผูเ้ รยี นอยากแกป้ ัญหานนั้ ได้สาเรจ็ รายการอ้างอิง เจษฎา อินพนิ ิจ. (2559). การพฒั นาความเขา้ ใจเชงิ มโนทัศนท์ างคณิตศาสตรด์ ว้ ยกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้ปญั หาเป็นฐานตามแนวคิดของสะเตม็ ศกึ ษา (วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญามหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธาน)ี . สืบคน้ จาก https://tdc.thailis.or.th/tdc ซรู ายา สัสดีวงศ.์ (2555). การพฒั นากระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยบรู ณาการรูปแบบการพัฒนาความคดิ ทางคณิตศาสตรแ์ ละแนวคิดการใช้ปัญหาเปน็ หลัก เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และความสามารถในการแก้ปญั หาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 (วทิ ยานิพนธ์ ปริญญามหาบณั ฑติ , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ,กรงุ เทพฯ). สบื คน้ จาก http://cuir.car.chula.ac.th นภสร เรอื นโรจนร์ ่งุ . (2558). การจัดการเรียนร้โู ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานเพือ่ พัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นทักษะ การแกป้ ญั หาคณติ ศาสตรใ์ นชวี ิตประจาวนั และเจตคติต่อการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ ของนกั เรยี น ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 2. (รายงานผลการวจิ ยั ). กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . สืบคน้ จาก http://cuir.car.chula.ac.th ผุสดี กลอ่ มวงษ์. (2558). ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้ปญั หาเปน็ ฐานทีม่ ีต่อทักษะและกระบวนการทาง คณิตศาสตร์ดา้ นการแกป้ ัญหาและผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เร่ือง ความน่าจะเป็น ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 (วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญามหาบณั ฑิต, มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, พิษณโุ ลก). สืบคน้ จาก https://tdc.thailis.or.th/tdc รัญชนา ทรงไชย, และ จุไรรตั น์ อาจแกว้ . (2562). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นและความสามารถ ในการคิดวิเคราะหท์ างคณิตศาสตรข์ องนักเรียนระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 ระหวา่ งรปู แบบการ จดั การเรยี นรูโ้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) และการจดั การเรียนรู้ตามปกติ. มนุษยศาสตรแ์ ละ สงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พะเยา, 7(2), 24-41. วจิ ารณ์ พานิช. (2555). วิถสี รา้ งการเรยี นรูเ้ พ่ือศษิ ยใ์ นศตวรรษที่ ๒๑. กรงุ เทพฯ : มลู นิธสิ ดศรี-สฤษด์ิวงศ์. สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลาง การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑. กรงุ เทพฯ : ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. สิริกาญจน์ พรหมวงศ์. (2561). การพัฒนาทกั ษะการแก้โจทย์ปัญหา เรอื่ ง การช่งั ของนกั เรียน ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยใช้การเรียนรู้แบบปัญหาเปน็ ฐาน (วิทยานิพนธป์ รญิ ญามหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม)่ . สบื คน้ จาก https://tdc.thailis.or.th/tdc สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน. 2562. คูม่ อื การประเมนิ คณุ ภาพผู้เรยี น ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 ปีการศกึ ษา 2562. ม.ป.ท. : ม.ป.พ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook