ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 47 ไดค้ รบ จานวน 40 ฉบบั ครบจานวนทกี่ าหนดไว้และตดิ ตามรวบรวมแบบสอบถาม ไดท้ ้งั หมด 921 ฉบบั ซ่ึงคิดเป็น ร้อยละ 100 ของจานวนท่ีกาหนดไว้ สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ( X ) ค่า เบีย่ งเบนมาตรฐาน(S.D.) สถติ ิทดสอบ t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) และการเปรียบเทียบรายคู่ โดยใชว้ ิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe’sMethod) สรปุ ผลการวจิ ยั การบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรงุ เทพมหานคร กรณศี กึ ษามหาวทิ ยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ผวู้ ิจัยไดน้ าเสนอผลการวิจัย โดยแบง่ ออกเป็น 3 ตอน ดงั น้ี ตอนท่ี 1 ผลการวิเคราะหก์ ารบริหารกิจกรรมการพฒั นาคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ของนกั ศกึ ษาจีน ในมหาวิทยาลัยเอกชน กรงุ เทพมหานคร กรณศี กึ ษามหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์ ตารางท่ี 1 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จาแนกเป็น รายดา้ น (n = 921) การบรหิ ารกิจกรรมการพฒั นา Xˉ S.D. ความหมาย อันดบั คุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ 1. กิจกรรมอาสาพัฒนาชุมชนและบาเพญ็ ประโยชน์ 3.50 .458 มาก 1 2. กิจกรรมทานบุ ารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม 3.49 .471 ปานกลาง 3 3. กิจกรรมจรยิ ธรรมและพัฒนาตนเอง 3.48 .459 ปานกลาง 4 4. กจิ กรรมพฒั นาคา่ นิยม ประหยัด และอดออม 3.47 .464 ปานกลาง 5 5. กิ จก ร ร มอนุรัก ษ์ พัฒ น าสิ่ง แว ดล้อ ม และ 3.49 .443 ปานกลาง 2 ทรัพยากรธรรมชาติ เฉล่ยี รวม 3.48 .366 ปานกลาง จากตารางท่ี 1 พบว่า การบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักศึกษาจีนใน มหาวิทยาลัยเอกชน กรงุ เทพมหานคร กรณศี กึ ษามหาวิทยาลยั ธรุ กิจบัณฑิตย์ ในภาพรวมมกี ารปฏิบัตอิ ยู่ในระดับ ปานกลาง มีคา่ เฉลยี่ เทา่ กบั 3.48 และเมอ่ื พิจารณาเปน็ รายด้านพบว่าด้านท่ีมีค่าเฉลยี่ สงู ที่สุด คือ กิจกรรมอาสา พฒั นาชุมชนและบาเพญ็ ประโยชน์ มคี ่าเฉลีย่ เทา่ กบั 3.48 รองลงมา คอื กจิ กรรมอนุรักษ์ พฒั นาส่ิงแวดลอ้ ม และ ทรพั ยากรธรรมชาติ มคี า่ เฉลี่ยเท่ากบั 3.49 ส่วนดา้ นทีม่ ีค่าเฉล่ียต่าที่สดุ คอื กจิ กรรมพัฒนาค่านิยม ประหยัด และ อดออม มีค่าเฉลี่ยเทา่ กบั 3.47 ตอนที่ 2 ผลการวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงคข์ องนกั ศึกษาจีน ในมหาวิทยาลยั เอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บัณฑติ ย์
ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 48 ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีนใน มหาวทิ ยาลยั เอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จาแนกตามสถานภาพของผู้ตอบ แบบสอบถาม (n = 921) การบริหารกจิ กรรมการพัฒนา นกั ศกึ ษา บคุ ลากร t p-value คณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ (n = 900) (n = 21) Xˉ S.D. Xˉ S.D. 1. กิจกรรมอาสาพัฒนาชุมชนและบาเพ็ญ 3.49 .455 3.80 .941 -1.482 .154 ประโยชน์ ตารางที่ 2 (ต่อ) 2. กิจกรรมทานุบารุงศาสนา ศิลปะและ 3.48 .468 3.95 .732 -4.481 .000* วฒั นธรรม 3. กิจกรรมจริยธรรมและพัฒนาตนเอง 3.47 .455 3.82 .899 -1.763 .093 4. กิจกรรมพัฒนาค่านิยม ประหยัด และอด 3.46 .460 3.50 1.100 -.199 .844 ออม 5. กิจกรรมอนุรักษ์ พัฒนาสิ่งแวดล้อม และ 3.48 .442 3.72 .835 -1.328 .199 ทรพั ยากรธรรมชาติ เฉลีย่ รวม 3.47 .362 3.76 .817 -1.582 .129 *มนี ยั สาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 จากตารางที่ 4.8 ผลการเปรียบเทียบการบรหิ ารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ของ นักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จาแนกตาม สถานภาพ พบว่า ในภาพรวมมีการปฏิบัติไม่ต่างกัน แต่เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านกิจกรรมทานุบารุง ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม น้ันแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่าง กัน ตารางที่ 3 ผลการเปรยี บเทยี บการบริหารกิจกรรมการพฒั นาคุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงคข์ องนกั ศึกษาจนี ในมหา วิทยาลัยเอกชน กรงุ เทพมหานคร กรณศี กึ ษามหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑิตยจ์ าแนกตามหลกั สูตรทกี่ าลงั ศกึ ษาของ ผตู้ อบแบบสอบถาม (n = 921) การบรหิ ารกิจกรรมการพฒั นา ปรญิ ญาตรี บัณฑติ ศกึ ษา t p-value คุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ (n = 699) (n = 222) -5.939 .000* 1. กิจกรรมอาสาพฒั นาชุมชนและบาเพญ็ ประโยชน์ Xˉ S.D. Xˉ S.D. -6.562 .000* 2. กจิ กรรมทานุบารงุ ศาสนา ศลิ ปะและวัฒนธรรม 3.45 .441 3.67 .476 -5.776 .000* 3. กิจกรรมจรยิ ธรรมและพัฒนาตนเอง 3.43 .439 3.68 .517 -4.242 .000* 4. กิจกรรมพฒั นาค่านยิ ม ประหยัด และอดออม 3.43 .437 3.65 .489 3.43 .443 3.59 .506
ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 49 การบรหิ ารกจิ กรรมการพฒั นา ปริญญาตรี บัณฑิตศึกษา t p-value คุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ (n = 699) (n = 222) Xˉ S.D. Xˉ S.D. 5. กิจกรรมอนุรักษ์ พัฒนาสิ่งแวดล้อม และ 3.44 .417 3.63 .488 -5.334 .000* ทรพั ยากรธรรมชาติ เฉล่ียรวม 3.43 .334 3.64 .419 -6.708 .000* *มีนัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .01 จากตารางท่ี 3 ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ นักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จาแนกตาม หลักสูตรที่กาลังศึกษา พบว่า ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตาม สมมุติฐาน และเม่อื พิจารณารายดา้ นพบวา่ ทกุ ด้านแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดบั .01 ตารางท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนเพื่อเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จาแนกตามกลุ่มคณะ/วิทยาลัยทีเ่ รยี นของผ้ตู อบแบบสอบถาม (n = 921) การบริหารกจิ กรรมการพัฒนา แหลง่ ความ df SS MS F Sig. คณุ ลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ แปรปรวน 1. กิจกรรมอาสาพัฒนาชุมชน ระหวา่ งกลุ่ม 2 21.621 10.811 57.848 .000* และบาเพญ็ ประโยชน์ ภายในกลมุ่ 918 170.619 .187 รวม 920 192.240 10.998 2. กิจกรรมทานุบารุงศาสนา ระหวา่ งกลมุ่ 2 20.545 10.272 51.325 .000* ศิลปะและวฒั นธรรม ภายในกลมุ่ 918 182.731 .200 รวม 920 203.276 10.472 3. กิจกรรมจริยธรรมและพัฒนา ระหวา่ งกลมุ่ 2 14.526 7.263 37.182 .000* ตนเอง ภายในกลมุ่ 918 178.345 .195 รวม 920 192.872 7.458 4. กิ จ ก ร ร ม พั ฒ น า ค่ า นิ ย ม ระหวา่ งกล่มุ 2 14.009 7.005 34.997 .000* ประหยัด และอดออม ภายในกลุ่ม 918 182.737 .200 รวม 920 196.746 7.205 5. กิ จ ก ร ร ม อ นุ รั ก ษ์ พั ฒ น า ระหว่างกลุ่ม 2 13.732 6.866 37.837 .000* สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม แ ล ะ ภายในกลุ่ม 918 165.674 .181 920 179.406 7.046 ทรัพยากรธรรมชาติ รวม เฉล่ยี รวม ระหว่างกลมุ่ 2 16.710 8.355 71.791 .000* ภายในกล่มุ 918 106.256 .116 รวม 920 122.966 8.471 *มีนัยสาคัญทางสถติ ิท่ีระดับ .01
ปที ี่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 50 จากตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ นักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จาแนกตาม หลักสูตรท่ีกาลังศึกษา พบว่า ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ ที่ระดับ .001 ซ่ึงเป็นไปตาม สมมตฐิ าน และเม่อื พจิ ารณารายดา้ นกจิ กรรมพบวา่ ทุกดา้ นแตกตา่ งกันอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติทร่ี ะดับ.01 ตารางท่ี 5 ผลการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ (Post Hoc) ของการบริหารกิจกรรมการ พัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษา มหาวทิ ยาลัยธุรกจิ บัณฑิตยด์ ้านกจิ กรรมอาสาพฒั นาชมุ ชนและบาเพญ็ ประโยชน์ การบรหิ ารกจิ กรรมการพฒั นา กลุ่มคณะ/วิทยาลัยท่ี ˉx CIBA CAIC อน่ื ๆ คณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ เรียน 4.11 3.46 4.13 ดา้ นกิจกรรมอาสาพฒั นาชมุ ชนและ CIBA 4.11 .562* -.045 บาเพญ็ ประโยชน์ CAIC 3.46 -.562* -.607* อ่นื ๆ 4.13 .045 .607* *มีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01 จากตารางท่ี 5 ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของ นกั ศกึ ษาจีนในมหาวทิ ยาลยั เอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ด้านกิจกรรมอาสา พฒั นาชมุ ชนและบาเพ็ญประโยชน์ แตกตา่ งกนั ระหว่างวทิ ยาลัยนานาชาติจนี -อาเซยี นกบั วิทยาลยั บริหารธุรกิจ นวัตกรรม และการบัญชีและคณะการท่องเท่ียวและการโรงแรม คณะศิลปะศาสตร์ และวิทยาลัยครุศาสตร์ อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั .01 ตารางท่ี 6 ผลการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ (Post Hoc) ของการบริหารกิจกรรมการ พัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษา มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บัณฑติ ย์ดา้ นกิจกรรมทานบุ ารงุ ศาสนา ศลิ ปะและวฒั นธรรม การบรหิ ารกจิ กรรมการพัฒนา กลุ่มคณะ/วิทยาลยั ท่ี xˉ CIBA CAIC อื่น ๆ คุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ เรยี น 4.08 3.45 4.11 กิจกรรมทานุบารุงศาสนา ศลิ ปะและ CIBA 4.08 .628* -.031 วัฒนธรรม CAIC อื่น ๆ 3.45 -.628* -.659* 4.11 .031 .659* *มนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01 จากตารางที่ 6 ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ นักศกึ ษาจนี ในมหาวทิ ยาลัยเอกชน กรงุ เทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธรุ กิจบัณฑติ ย์ ด้านกิจกรรมทานุ บารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม แตกตา่ งกันระหว่างวิทยาลยั นานาชาติจีน-อาเซียนกับวทิ ยาลัยบริหารธุรกิจ นวัตกรรมและการบัญชีและคณะการท่องเท่ียวและการโรงแรม คณะศิลปะศาสตร์ และวิทยาลัยครุศาสตร์ อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 51 ตารางที่ 7 ผลการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ (Post Hoc) ของการบริหารกิจกรรมการ พัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษา มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑิตย์ดา้ นกิจกรรมจริยธรรมและพัฒนาตนเอง การบรหิ ารกจิ กรรมการพฒั นา กล่มุ คณะ/วิทยาลัยท่ี ˉx CIBA CAIC อ่ืน ๆ คณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ เรยี น 3.97 3.45 4.03 กจิ กรรมจรยิ ธรรม CIBA 3.97 .521* -.053 และพัฒนาตนเอง CAIC 3.45 -.521* -.575* อืน่ ๆ 4.03 .053 .575* *มีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .01 จากตารางที่ 7 ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของ นักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ด้านกิจกรรม จริยธรรมและพัฒนาตนเอง แตกต่างกันระหว่างวิทยาลัยนานาชาติจีน-อาเซียนกับวิทยาลัยบริหารธุรกิจ นวัตกรรมและการบัญชี และคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะศิลปะศาสตร์ และวิทยาลัยครุศาสตร์ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .01 ตารางท่ี 8 ผลการวิเคราะห์เพ่ือเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ (Post Hoc) ของการบริหารกิจกรรมการพัฒนา คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑติ ยด์ ้านกิจกรรมพัฒนาค่านยิ ม ประหยัด และอดออม การบริหารกจิ กรรมการพัฒนา กล่มุ คณะ/วทิ ยาลยั ที่ xˉ CIBA CAIC อื่น ๆ คณุ ลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ เรียน 3.94 3.43 4.01 กิจกรรมพัฒนาคา่ นิยม ประหยัด และ CIBA 3.94 .510* -.060 อดออม CAIC อ่นื ๆ 3.43 -.510* -.570* 4.01 .060 .570* *มนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .01 จากตารางท่ี 8 ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ นักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ด้านกิจกรรม พัฒนาค่านิยม ประหยัด และอดออม แตกต่างกันระหว่างวิทยาลัยนานาชาติจีน-อาเซียนกับวิทยาลัย บริหารธุรกิจนวตั กรรมและการบัญชี และคณะการท่องเท่ียวและการโรงแรม คณะศิลปศาสตร์ และวิทยาลัย ครศุ าสตร์ อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ .01
ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 52 ตารางท่ี 9 ผลการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ (Post Hoc) ของการบริหารกิจกรรมการ พัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษา มหาวทิ ยาลยั ธรุ กิจบัณฑิตย์ด้านกิจกรรมอนุรกั ษ์ พัฒนาสง่ิ แวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ การบรหิ ารกจิ กรรมการพัฒนา กลุ่มคณะ/วิทยาลยั ท่ี ˉx CIBA CAIC อืน่ ๆ คุณลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ เรยี น 3.96 3.46 4.03 กิจกรรมอนุรกั ษ์ CIBA 3.96 .503* -.063 พัฒนาสงิ่ แวดล้อม CAIC 3.46 -.503* -.571* และทรัพยากรธรรมชาติ อืน่ ๆ 4.03 .063 .571* *มนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01 จากตารางที่ 9 ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ นักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ด้านกิจกรรมอนุรักษ์ พัฒนาสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ แตกต่างกันระหว่างวิทยาลัยนานาชาติจีน-อาเซียนกับวิทยาลัย บริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี และคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะศิลปะศาสตร์ และวิทยาลัยครุ ศาสตร์ อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .01 ตอนท่ี 3 ผลการวิเคราะห์ปัญหาและข้อเสนอแนะในการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึง ประสงค์ของนักศกึ ษาจีนในมหาวิทยาลยั เอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธรุ กิจบัณฑติ ย์ ปัญหาทพี่ บ คือ นกั ศกึ ษาจีนมีส่วนร่วมนอ้ ยในการคิดและออกแบบกิจกรรมท่จี ัดขนึ้ ไม่ค่อยรู้จักคุณค่า ความสาคัญ ไม่ค่อยเข้าใจวิธีการพัฒนาจริยธรรมการจัดกิจกรรมของนักศึกษาให้เหมาะสมกับเป้าหมายตามความ ต้องการและไมเ่ ข้าใจเน้อื หาของกิจกรรม ส่วนข้อเสนอแนะที่พบ คือ ผู้บริหารควรอนุญาตให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการออกแบบกิจกรรม ควร แนะนาวัฒนธรรมและศิลปะไทยให้กับนักศึกษามากขน้ึ ควรแนะนาความหมายทางศีลธรรมให้กับนักศึกษาก่อนทา กจิ กรรม แนะนานักศกึ ษาเกีย่ วกบั ความสาคัญของค่านิยม ประหยัด และอดออมท่จี ดั ขึน้ อภปิ รายผล จากผลการวิจัยมีประเด็นสาคญั ทีน่ าอภิปรายผล ดงั นี้ 1) ดา้ นกิจกรรมอาสาพัฒนาชุมชนและบาเพ็ญประโยชน์ พบว่า นักศกึ ษามีความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหา ในแผนปฏบิ ตั ิของกิจกรรม มคี า่ เฉลย่ี ในคะแนนตา่ กว่าข้ออื่น แสดงให้เหน็ ว่า การสรา้ งความเข้าใจในเน้ือหาของแผน ด้านกจิ กรรมอาสาพฒั นาชุมชนและบาเพญ็ ประโยชน์ใหก้ บั นักศกึ ษาส่วนใหญ่ยังขาดประสิทธิภาพ ไมส่ ามารถเข้าถึง และเข้าใจในข้อมูลข่าวสาร ทท่ี างมหาวิทยาลัยได้จัดเตรียมไว้ให้ สอดคล้องกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้า คุณทหารลาดกระบังกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (2562) การจัดกิจกรรมอาสาพัฒนาชุมชนและบาเพ็ญ ประโยชน์ดาเนินการจัดค่ายจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร.และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดกิจกรรม \"จิต อาสาพระจอมเกล้าลาดกระบัง ปี 2\" (KMITL Volunteer Trip) ภายใตโ้ ครงการ \"ลาดกระบังโมเดล\" เพอ่ื หลอ่ หลอม ความมีจติ สาธารณะและรับใช้สงั คมของนกั ศึกษา ท้ังในด้านการประยุกต์ใช้องค์ความรู้พัฒนาชุมชน
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 53 2) ด้านกิจกรรมทานุบารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พบว่า มีการสร้างเครือข่ายในการทานุบารุง ศิลปวัฒนธรรมกับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ และชุมชน มีค่าเฉลี่ยในคะแนนต่ากว่าข้ออ่ืน แสดงให้เห็นว่า นักศึกษา ควรตระหนกั ในการสร้างเครือข่ายระหว่างองค์กรหรือสถาบันเก่ียวกับการทานุบารุงศิลปวฒั นธรรมอันดี สอดคล้อง กับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (2562) ได้กาหนดยุทธศาสตร์การทานุบารุงวัฒนธรรมและศิลปะ เป็น 1 ใน 9 ยุทธศาสตร์ของแผนยุทธศาสตร์ 15 ปี มศว (พ.ศ.2553-2567) เพ่ือมุ่งเน้นให้ความสาคัญในการอนุรักษ์ สืบสาน พัฒนา ส่งเสริมและเผยแพร่เอกลักษณ์ศิลปะและวัฒนธรรมอันดีงามและให้อาจารย์ บุคลากร นิสิต และนักเรียนมี จิตสานึกในการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมและศิลปะ และมีความเข้าใจเก่ียวกับงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะอย่าง ถ่องแท้ มจี ิตสานึกสาธารณะ คุณธรรม จริยธรรม ความรับผิดขอบต่อสังคม และเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ 3) ด้านกิจกรรมจริยธรรมและพัฒนาตนเอง พบว่า มีการอบรมปลูกฝังให้นักศึกษาเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสังคม มีค่าเฉล่ียในคะแนนต่ากว่าข้ออื่น แสดงให้เห็นว่า การ ดาเนินการเกี่ยวกับการอบรม สร้างความตระหนัก ด้านคุณธรรม จริยธรรม ให้กับนักศึกษาส่งผลโดยตรงต่อตัว นักศึกษา จึงจาเป็นต้องเพ่ิมกิจกรรมท่ีแปลกใหม่ที่ให้ความสาคัญมากย่ิงข้ึนและให้เกิดข้ึนกับการพัฒนาตนเอง ซ่ึง สอดคล้องกับ ศิริกุล กลิ่นทอง (2549) การเรียนรู้โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงในการดารงชีวิตผ่านโครงการ ต้นแบบในชุมชนการเรยี นรู้จากหลกั สูตรและโปรแกรมเหล่าน้สี ่งผลโดยตรงตอ่ ทัศนคติในการทางานอย่างมีจรยิ ธรรม เสยี สละอุทิศตนและการเหน็ แกส่ ว่ นรวมประเทศชาติเปน็ สาคัญ 4) ด้านกิจกรรมพัฒนาค่านิยม ประหยัด และอดออม พบว่า การนาผลการประเมินผลการจัดกิจกรรม ค่านิยม ประหยัด และ อดออมมาปรบั ปรงุ แก้ไขกจิ กรรมดา้ นนี้ใหด้ ีย่งิ ข้นึ มีค่าเฉล่ยี ในคะแนนต่ากว่าข้ออนื่ แสดงให้ เห็นว่า นักศึกษายังไม่เห็นถึงการนาผลการประเมินในเรื่องการพัฒนาค่านิยม ประหยัด และอดออม ไปพัฒนา ปรับปรุงหรือต่อยอดให้กิจกรรมด้านน้ีมีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน ซึ่งไม่สอดคล้องกับ สานักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2560) กระทรวงศึกษาธกิ ารไดป้ ระกาศนโยบายทจี่ ะเร่งรดั การปฏิรปู การศึกษาโดย ยดึ คณุ ธรรมนาความรู้สร้างความตระหนักและปลูกจิตสานกึ ในคุณค่าของปรัชญาพอเพียงความสมานฉนั ท์สันติวิธีวิถี ประชาธิปไตยพัฒนาคนโดยใช้คุณธรรมเป็นพื้นฐานของกระบวนการเรียนรู้ท่ีเช่ือมโยงความร่วมมือของสถาบัน ครอบครัวชุมชนสถาบนั ศาสนาและสถาบนั การศึกษาเพื่อพัฒนาเยาวชนใหเ้ ปน็ คนดีมีความรูแ้ ละอย่ดู ีมสี ขุ 5) ด้านกิจกรรมอนุรักษ์ พัฒนาสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ พบว่า อาจารย์ที่ปรึกษาการจัด กิจกรรมอนุรกั ษ์พัฒนาส่งิ แวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาตอิ ยา่ งเพียงพอ มีคา่ เฉลย่ี ในคะแนนตา่ กว่าขอ้ อ่นื แสดงให้ เห็นว่านกั ศกึ ษามคี วามตอ้ งการเกย่ี วกบั กิจกรรมการอนุรกั ษ์ พัฒนาสงิ่ แวดลอ้ ม และทรพั ยากรธรรมชาติ ซงึ่ ทาให้เกิด ความตระหนักและเห็นความสาคัญกับส่ิงแวดล้อม สอดคล้องกับ สานักงานจังหวัดเพชรบูรณ์ (2562) ส่งเสริมให้ ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ช่วยกันดูแลรักษาให้คงสภาพเดิมไม่ให้เกิดความเสื่อมโทรมเพื่อ ประโยชน์ในการดารงชีวิตในท้องถิ่นของตนการประสานงานเพ่ือสรา้ งความรู้ความเข้าใจและความตระหนกั ระหว่าง หน่วยงานของรัฐองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินกับประชาชนให้มีบทบาทหน้าท่ีในการปกป้องคุ้มครองฟื้นฟูการใช้ ทรพั ยากรอยา่ งคมุ้ ค่าและเกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ 6) ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพฒั นาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนกั ศึกษาจีนใน มหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จาแนกตามสถานภาพ พบว่า
ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 54 ผู้รบั บริการกับผูบ้ ริหารกิจกรรม มกี ารปฏบิ ตั ใิ นภาพรวมไม่แตกต่างกัน แต่เม่ือพิจารณารายด้านกิจกรรมพบว่า ด้านกิจกรรมทานุบารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม น้ันมีการปฏิบัติแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 สอดคล้องกับ (สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2554: 80) การทานุบารุงศิลปะและ วัฒนธรรมการทานุบารุงศิลปะและวฒั นธรรมถือเป็นพนั ธกิจสาคัญประการหน่ึงของสถาบันอดุ มศึกษา ดังนน้ั สถาบันอุดมศกึ ษาจึงต้องมีระบบและกลไกการดาเนินงานด้านนี้ให้เปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธิภาพและคณุ ภาพโดย อาจมีจดุ เนน้ เฉพาะทแ่ี ตกต่างกันตามปรชั ญาและธรรมชาติของแตล่ ะสถาบนั และมีการบูรณาการเขา้ กบั พันธกิจ อื่นๆโดยเฉพาะการผลิตบัณฑิตรวมทั้งมีการจัดกิจกรรมที่ฟื้นฟูอนุรักษ์สืบสานพัฒนาเผยแพร่ศิลปะและ วัฒนธรรมสร้างสรรค์ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถ่ินให้เป็นรากฐานการพัฒนาองค์ความรู้ท่ีดีขึ้นและการบริการ ชุมชน เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษามีความพร้อมทั้งในด้านวิทยาการและวิทยากร จึงควรใช้ประโยชน์น้ีเพื่อ สังคมอย่างเต็มท่ี การบริการชุมชนโดยท่ัวไปแบ่งออกได้เป็นสี่ลักษณะคือ 1) การเผยแพร่ความรู้ โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อให้สังคมได้รบั การศึกษาเฉพาะและการศึกษาทั่วไป 2) การร่วมให้คาปรกึ ษาเพอ่ื แก้ปัญหาของ สังคม 3) ให้บริการความรู้เพื่อประเมินผลการพัฒนาสังคม และ 4) การทานุบารุงศิลปวัฒนธรรม สถาบันอุดมศึกษาถอื เป็นส่วนประกอบสาคัญของสังคมและประเทศชาติ เนื่องจากมบี ทบาทหนา้ ที่เชิงปรชั ญา เป็นสัญลักษณ์ทางปัญญาและความเจริญทางความคิด โดยทั่วไปแล้วสถาบันอุดมศึกษามีบทบาทหน้าที่ 3 ประการคือ การให้การศึกษา การวจิ ยั และ การให้บรกิ ารทางวิชาการ (จรสั สุวรรณเวลา, 2550) 7) ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีนใน มหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จาแนกตามหลักสูตรที่กาลังศึกษา พบว่า ปริญญาตรีกับบัณฑิตศึกษา มีการปฏิบัติในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และ เมอื่ พจิ ารณาเปน็ รายด้าน พบว่า ทุกด้านมีการปฏิบัติแตกต่างกันอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซ่งึ สอดคล้อง กับ จิรวัฒน์ วีรังกร (2554) ว่าการบริหารกิจกรรมนักศึกษาควรให้ความสาคัญการพัฒนาบุคลากรกิจการนักศึกษา โดยการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้บุคลากรทางด้านที่จะได้พัฒนาอย่างต่อเน่ืองเช่นเสริมทักษะการปฏิบัติงานด้าน กิจการนักศึกษาท่ีเน้นการใช้แนวคิด “ นักศึกษาเป็นศูนย์กลาง” เสริมทักษะการปฏิบัติงานท่ีอยู่บนฐานหลักวิชา ฐานข้อมลู และสถิติเสริมความรู้ความเข้าใจวฒั นธรรมประเทศเพ่ือบ้านทักษะชีวิตจาเป็นสาหรับสังคมพหวุ ฒั นธรรม เสริมความรู้ความเข้าใจลักษณะ Gen Z ตลอดจนการสร้างกิจกรรมพัฒนานักศึกษาที่เหมาะสมกับนักศึกษาในยุค ปัจจุบันและอนาคตและพัฒนาสมรรถนะจาเป็นในการปฏิบัติงานด้านกิจการนักศึกษา ได้แก่ การส่ือสาร ภาษาองั กฤษการปฏิสมั พนั ธ์กับนักศึกษาต่างวฒั นธรรม 8) ผลการเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีนใน มหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จาแนกตามกลุ่มคณะ/วิทยาลัยท่ี เรียน มีการปฏิบัติในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ท่ีระดับ .01 และเม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบวา่ ทุกด้านกจิ กรรม นัน้ มกี ารปฏิบัติแตกต่างกันอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .01ซง่ึ สอดคล้องกับไพฑูรย์ สิน ลารัตน์ (2558) ได้กล่าวว่าบัณฑิตที่พึงประสงค์ในอนาคตต้องมีพร้อม 4 ด้านคือ (1) ความรู้ (2) ความคิด (3) ความสามารถและ(4) คุณธรรมจริยธรรม จาเป็นต้องพัฒนาคุณลักษณะบัณฑิตตั้งแต่ขั้นพ้ืนฐานไปจนถึงระดับ ปริญญาเอกเพราะในอนาคตบัณฑิตไทยต้องมีบทบาทในการเป็นผู้กาหนดการเปล่ียนแปลงของสังคมในทางที่ดีงาม
ปที ี่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 55 แต่ทุกวันนี้เรายังคงต้องปฏิรูปการศึกษาซ้าแล้วซ้าอีกเพราะไม่สามารถผลิตบัณฑิตท่ีมีคุณภาพป้อนสู่สังคมได้ สถานศึกษาทุกแห่งจึงจาเปน็ ตอ้ งเรง่ พฒั นาผู้เรยี นใหม้ ีคุณภาพเพื่อเปน็ กาลังหลักสาคัญในการพฒั นาประเทศชาติใน อนาคตต่อไปสาหรับทักษะสาหรับศตวรรษท่ี 21 และ เอนก ลลิตวสุภิญโญ (2555) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องรูปแบบการ บรหิ ารงานกิจการนักศึกษาท่พี ึงประสงค์พบว่าสถาบันควรมีการกาหนดนโยบายของงานกิจการนกั ศึกษาโดยมุ่งเน้น พัฒนาเยาวชนพร้อมๆกันทุกด้านต้ังแต่สุขภาพทางกายสติปัญญาและความสามารถทางสังคมค่านิยมจริยธรรม วัฒนธรรมเพ่ือให้เป็นบุคคลที่สมบูรณ์เป็นตัวของตัวเองเป็นบุคคลที่มีความสุขรวมท้ังมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ สังคมอย่างภาคภมู ิใจ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย 1) การนานโยบายและแผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักศึกษาจีนไป ปฏิบัติผู้บริหารและบุคลากรฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา มีการใช้ข้อมูลและสารสนเทศ เพ่ือพัฒนากลยุทธ์และแผนงาน กิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีนและเผยแพร่ผลงานการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึง ประสงคข์ องนักศกึ ษาจนี ผ่านสื่อส่งิ พิมพ์ โทรทัศน์ วทิ ยุ สอ่ื ใหม่ (New Media) เชน่ Online Media, Social Media เขา้ มามบี ทบาทในการสอื่ สารมากย่ิงขึ้น 2) สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษากับสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทยและ มหาวิทยาลัยเอกชน ร่วมกันพัฒนานโยบายและแผนงานส่งเสริมการดาเนินกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึง ประสงค์ของนักศกึ ษาจีนทต่ี อ่ เน่อื ง สอดคล้องกับการเตรยี มความพร้อมบัณฑิตสู่การทางานและสังคมในปัจจบุ ัน ข้อเสนอแนะเชงิ ปฏิบัติ 1) สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษากับสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทยและ มหาวิทยาลัยเอกชน ให้ความสาคัญในการใช้ข้อมูลและสารสนเทศ เพื่อพัฒนากลยุทธ์และแผนงานกิจกรรมการ พัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีนและเผยแพร่ผลงานการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของ นักศึกษาจีน ผ่านส่ือสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ส่ือใหม่ (New Media) เช่น Online Media, Social Media เข้ามามี บทบาทในการสือ่ สารมากย่ิงข้นึ 2) ผู้บริหารและบุคลากรฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา ควรให้ควรสาคัญร่วมศึกษาผลการดาเนินแผนงาน/ โครงการ หลังการปฏิบัติกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีนร่วมนาข้อมูลป้อนกลับไป ปรบั ปรงุ แกไ้ ขปญั หากจิ กรรมการพฒั นาคุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ของนกั ศกึ ษาจนี อย่างจริงจังและต่อเน่อื ง 3) มหาวิทยาลัยควรสนับสนุนส่ิงอานวยความสะดวกท่ีเอ้ือต่อการจัดกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ี พึงประสงคข์ องนกั ศกึ ษาจนี ให้สามารถดาเนินกิจกรรมได้อยา่ งมีประสิทธิภาพมากยง่ิ ขน้ึ 4) มหาวิทยาลัยปรับปรงุ ระบบการจัดกิจกรรมการพัฒนาคุณลกั ษณะที่พงึ ประสงคข์ องนกั ศึกษาจีนให้ ทนั สมัย สอดคลอ้ งกบั การเตรียมความพร้อมบัณฑิตสู่การทางานและสงั คมในปัจจุบนั ข้อเสนอแนะสาหรบั การวิจัยในครัง้ ต่อไป
ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 56 1) ควรศกึ ษาแนวทางการพัฒนาเก่ียวกับการสรา้ งความรู้ความเข้าใจในแผนปฏบิ ตั ิกิจกรรม รวมถงึ การ อบรมปลกู ฝังคณุ ธรรมจริยธรรมใหก้ ับนกั ศึกษา 2) ควรศึกษาแนวทางการพัฒนาการนาผลการประเมินของกิจกรรมมาปรับปรุงเกี่ยวกับกิจกรรมให้ดี ยง่ิ ข้ึน 3) ควรจดั กิจกรรมเก่ียวกับด้านการอนรุ กั ษ์พฒั นาสง่ิ แวดล้อม และทรพั ยากรธรรมชาติใหเ้ พียงพอกับความ ต้องการของนกั ศึกษา เอกสารอา้ งองิ จรัส สุวรรณมาลา. (2550). คู่มือนวัตกรรมท้องถนิ่ : เรียนร้ดู ว้ ยตนเองกับกรณีศกึ ษาจริง 250 เร่อื ง. กรงุ เทพฯ : สถาบันวถิ ใี หม่ทอ้ งถ่ิน. จิรวฒั น์ จีรงั กร. (2554). เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการบริหารกิจการนกั เรียนนกั ศกึ ษาภาคการศึกษาที่ 1/ 2551. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลยั เซนต์จอห์น. ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2558). เอกสารประกอบการบรรยาย. การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และการพัฒนาการ เรียนการสอน,30 สงิ หาคม 2562, จาก http: / / slidegur. com / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. (2563). ผลดาเนินการ โครงการทานุบารุงศิลปวฒั นธรรม สานักคอมพิวเตอร์ ปี ง บ ป ร ะ ม า ณ พ . ศ . 2563. สื บ ค้ น 29 กุ ม ภ า พั น ธ์ 2 5 6 3 . จ า ก https://edocument.swu.ac.th/general/5900/pdf/1195900147700016.pdf. ศิรกิ ุล กล่ินทอง. (2549). ปจั จยั ทางจิตสังคมท่ีเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการทางานของข้าราชการที่เข้า ร่วมโครงการ การเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท. ภาคนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาสังคม คณะพฒั นาสงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม สถาบันบัณฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร.์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน. (2562). การจัด กิจกรรมอาสาพัฒนาชุมชนและบาเพ็ญประโยชน์. สืบค้น 16 มีนาคม 2563, จาก http://www.dla.go.th/upload/news/type9/2019/7/42579_1.pdf สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. (2561). แนวการจัดกิจกรรม ส่งเสริมคุณธรรม จ ริ ย ธ ร ร ม ใ น ส ถ า น ศึ ก ษ า อ า ชี ว ศึ ก ษ า . สื บ ค้ น 19 กุ ม ภ า พั น ธ์ 2 5 6 3 จ า ก https://www.cvc.ac.th/cvc2011/files/20100001_19071218184140.pdf สานกั งานคณะกรรมการการอุดมศกึ ษา. (2554). รายงานการประชุมการเตรียมความพรอ้ มผลิตบัณฑิตไทยใน ศตวรรษท่ี 21. สืบค้น 26 พฤษภาคม 2561, จาก http: / / www. kongkit. su. ac. th/ k / 250854 _ 1. Pdf สานักงานจงั หวัดเพชรบูรณ.์ (2562). การอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม. สืบคน้ 19 กุมภาพันธ์ 2563. จาก http://www.phetchabun.go.th/download_pmqa/ book_file/1327407278_a25kmk72.pdf อรวรรณ ศรีโสมพนั ธ.์ (2558). ประชากรและการกลุ่มตวั อยา่ ง: การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ. โครงการฝกึ อบรม “สรา้ ง
ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 57 นกั วจิ ัยรนุ่ ใหม่” (ลกู ไก)่ 1-2 ธนั วาคม 2558. มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธาน.ี สืบค้น 12 ตุลาคม 2562, จากhttp//:www.ubu.ac.th/web/files_up/08f2015112820164117.pdf อัจฉรียา รอบกิจ (2559).สรุปองค์ความรู้ของวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระ นครเหนือ: การจัดการกิจการนักศึกษาต่างชาติ นนทบุรี: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ. เอนก ลลิตวสุภิญโญ. (2555). รูปแบบการบริหารงานกิจการนักศึกษาท่ีพึงประสงค์ กรณีศึกษานักศึกษาภาคปกติ มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครปฐม. มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครปฐม: จังหวัดนครปฐม. Nankai University. (2013). Survey on the status of Chinese students studying abroad after 1990. Journal of world education, 10/322, p.53-57.
ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 58 ความสัมพันธ์ระหวา่ งภาวะผ้นู าทางวชิ าการของผบู้ รหิ ารกบั ความเข้มแขง็ ของทีมงานวิชาการ โรงเรยี นมธั ยมศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 3 The Correlation Between the Instructional Leadership of Educational Administrators and the Strength of Academic Staff in Secondary Schools Under the Secondary Education Service Area Office 3 สิรภิ ัทร์ลดา เพชรมงคลเวธน์ Siriphatrlada Petmongkolwet นักศึกษาปริญญาโท สาขาวชิ าการจัดการการศึกษา วิทยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรุ กิจบณั ฑิตย์ * Graduate Student, Educational management College of Education science, Dhurakij Pundit University กล้า ทองขาว Kla Tongkow ** รองศาสตราจารย,์ ผอู้ านวยการหลักสตู รการจัดการการศึกษา วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑิตย์ บทคัดยอ่ การวจิ ยั คร้ังน้ี มีวัตถปุ ระสงค์ 1) เพ่ือศึกษาภาวะผนู้ าทางวิชาการของผู้บรหิ าร 2) เพื่อศึกษาความเขม้ แขง็ ของทมี งาน วิชาการ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บรหิ ารกับความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการ และ 4) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะ แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารกับความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรยี น มธั ยมศึกษา สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 3 กลุ่มตวั อย่าง คือ ผบู้ รหิ ารและครู จานวน 362 คน จาก 47 โรงเรียน เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถติ ทิ ี่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ คา่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และคา่ สหสัมพันธข์ องเพยี ร์สนั ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรยี นมัธยมศึกษา ในภาพรวมและรายด้านจากการรับรู้ของกลุ่มตัวอยา่ ง ได้แก่ ด้านการกาหนดภารกิจของโรงเรียน ด้านการบริหารหลักสตู ร ด้านการจัดบรรยากาศในโรงเรยี น ด้านความสัมพันธท์ ่ีดี ระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก โดยด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงท่ีสุด คือ ด้าน ความสมั พันธ์ทีด่ ีระหว่างครู นักเรยี น ผูป้ กครองและชมุ ชน สว่ นด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยของคะแนนต่าท่ีสุด คอื ดา้ นการจดั บรรยากาศ ในโรงเรยี น 2) ความเข้มแข็งของทีมวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา ในภาพรวมและรายด้านจากการรับรู้ของกลมุ่ ตัวอย่าง ได้แก่ ความชัดเจนของเป้าหมาย การมีส่วนร่วมและปฏิบัติงานที่ชัดเจน การสื่อสารที่ดีและเปิดเผย การประเมินและพัฒนาตนเอง
ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 59 และความสัมพันธ์กับภายนอก มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงที่สุด คือ ความสัมพันธ์กับ ภายนอก สว่ นดา้ นทมี่ ีค่าเฉลย่ี ของคะแนนตา่ ที่สดุ คอื การสือ่ สารทด่ี ีและเปิดเผย 3) ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารมีความสัมพันธ์ทางบวก อยู่ในระดับสูง (r =0.790) กับความเข้มแข็งของ ทีมงานวิชาการ อย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01 เปน็ ไปตามสมมตฐิ าน 4) ข้อเสนอแนะ แนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน คือ เสริมสร้างการมีวิสัยทัศนท์ ี่ มองกว้าง คิดไกล ใฝด่ ี มีความคดิ ทนั สมยั มีการกาหนดภารกิจของโรงเรียนใหท้ นั ต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิ วัตน์ เน้นให้ผู้บริหารเห็นความสาคญั ของการพัฒนางานวิชาการโดยมีการกาหนดนโยบาย เป้าหมาย มีการประชุมชี้แจงงาน วชิ าการที่ชดั เจน และข้อเสนอแนะ แนวทางในการพฒั นาความเข้มแข็งของทมี งานวชิ าการโรงเรยี น คือ ทีมงานมีปฏิสมั พันธ์ที่ ดีต่อกันท้ังภายในทีมงานตนเองและทมี งานอ่ืน ด้วยการติดต่อส่ือสาร ยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผ้บู ังคับบัญชา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และทีมงาน ด้วยความจริงใจ มีการปฏิบัติหน้าท่ีของตนเองให้เต็มกาลงั ความสามารถ เสริมสร้างให้องคก์ รมีความ สามคั คี ทมี งานมีสว่ นร่วมในการแสดงความคดิ เหน็ ในการทางานอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา และรว่ มกันแกป้ ัญหา คาสาคญั : ภาวะผู้นาทางวชิ าการ,ความเข้มแขง็ ของทีมงานวิชาการ,โรงเรยี นมัธยมศึกษา ABSTRACT The purposes of this research were to study 1) the instructional leadership of educational administrators 2) the strengths of academic staff 3) the correlation between the instructional leadership of educational administrators and the strength of academic staff and 4) propositions and guidelines to enhance the instructional leadership of educational administrators and the strengths of academic staff in secondary schools under the secondary education service area office 3. The samples of this research were 362 school administrators and teachers from 47 schools. Research instruments were research questionnaires and research interview forms. Statistics used for data analysis were percentage, average, standard deviation, and Pearson’s correlation. The study found that 1) in the instructional leadership variables of secondary school educational administrators, the overall and each aspect of participants’ perspectives included the establishment of school’s mission, curriculum management, school’s environment management, strong relationships among teachers, students, parents and communities were being conducted in high level. The highest average score was the strong relationships among teachers, students, parents and communities and the lowest average score was the school’s environment management. 2) In strengths of academic staff variables in secondary schools, the overall and each aspect of participants’ perspectives included the clarity of objectives, strong participation and clear operation, valid and disclosed communication, self-evaluation and self-development, and relationships with external parties
ปที ่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 60 were being conducted in high level. The highest average score was the relationships with external parties and the lowest average score was the valid and disclosed communication. 3) The instructional leadership of educational administrators and the strengths of academic staff acquired the positive correlation at the high level (r =0.790) with significant statistics rate at .01 which were aligned with research assumption. 4) Propositions and guidelines to develop the instructional leadership of educational administrators were to promote the school’s vision to be broaden, deepen, more rational and advanced, the school mission has to be up-to-date with the globalization trends. The school administrators should be focusing on academic enhancement that included imposing policies and objectives, clarifying academic works, and proposing the guidelines to strengthen academic members in the school. School academic team should possess strong internal relationship within the team and fruitful relationship with other teams by communicating, sincerely listening to the superiors, peer teachers, students, parents and school staff. The academic team should act to support other staff members in the organization to be harmonious and to forthrightly give and take comments and feedbacks and solve problems together when it occurred. Keywords: instructional leadership of educational administrators, strengths of academic staff, secondary schools ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา ในปัจจุบันเป็นโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงจาเป็นท่ีแต่ละประเทศจะต้องเรียนรู้เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดข้ึนตลอดเวลาและเตรียมพร้อมท่ีจะเผชิญกับความท้าทายจากกระแสโลกโดยปัจจัยสาคั ญที่จะสามาร ถ เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายดังกล่าวก็คือคุณภาพของคน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับท่ี 9-11 จึงกาหนดทิศทางการพฒั นาประเทศไทยให้คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาโดยมงุ่ พฒั นาให้ “มองกว้างคิดไกลใฝ่ดี” และกาหนดสังคมไทยท่ีพึงประสงค์ไว้ว่าสังคมไทยควรเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ การศึกษาจึงเป็นกระบวนการสาคัญในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ คนท่ีมีคุณภาพย่อมส่งผลให้สังคมและ ประเทศชาติมีความก้าวหน้า การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพจึงเป็นเร่ืองท่ีมีความจาเป็นอย่างยงิ่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 จึงให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสาคัญในการพัฒนาคนโดยสร้าง ความเสมอภาคและให้โอกาสทุกคนได้รับการศึกษาอย่างท่ัวถึง ให้เด็กได้รับการพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา กาหนดให้บุคคลมีสิทธิเสมอกันในการได้รบั การศึกษาข้ันพืน้ ฐานไม่นอ้ ยกว่าสิบ สองปีที่รัฐจะต้องจัดให้ท่ัวถึง โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายส่งผลให้มีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ(ฉบับท่ี4) พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกฎหมายท่ีกาหนดทิศทางการจัดการศึกษาที่ชัดเจนขึ้นในปัจจุบันและท่ีสาคัญได้กาหนดให้
ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 61 สถานศึกษามีความสาคัญสูงสุดโดยมีการกระจายอานาจสู่สถานศึกษามากข้ึนในลักษณะการ บริหารงาน ที่ใช้ โรงเรียนเปน็ ฐาน(School Based Management) (รุ่ง แก้วแดง,2553,น.3) สถานศึกษาจึงมีภารกิจท่ีจะต้องจัดการศึกษาให้ได้มาตรฐานให้นักเรียนมีคุณภาพทัดเทียมกับนานา ประเทศ การท่ีจะทาให้โรงเรียนมีคุณภาพต้องอาศัยการบริหารงานด้านต่างๆในโรงเรียน โดยเฉพาะการ บริหารงานวิชาการถือเป็นงานหลักของโรงเรยี น มีความสาคัญอย่างย่ิงต่อการจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่กาหนดไว้ จะเห็นว่าคณุ ภาพการศึกษาจะปรากฏเดน่ ชัดเม่ือการบริหารงานวชิ าการประสบผลสาเร็จและ การที่จะทาให้สถานศึกษามีความเข้มแข็ง ในการบริหารและจัดการศึกษาได้ตามมาต รฐานและมีคุ ณภ าพ พจิ ารณาได้จากผลงานดา้ นวชิ าการ เนื่องจากการบรหิ ารงานวชิ าการเกย่ี วข้องกับหลกั สูตร การจัดการเรียนการ สอนซึ่งเป็นหัวใจของสถานศึกษาและเกี่ยวข้องกับผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรทุกระดับของสถานศึกษา (ปรียาพร วงศ์อนตุ รโรจน์,2553,น.1) การบรหิ ารงานวิชาการจึงนับว่ามีบทบาทสูงสุดต่อความสาเร็จหรือความ ล้มเหลวของการบริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลสาคัญท่ีจะต้องดาเนินงานตามภารกิจให้ บรรลุเป้าหมายซึ่งจะต้องอาศัย ความรู้ ความสามารถและจะต้องเป็นผู้ที่พัฒนาตนเองให้ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งน้ีอาจต้องมียุทธศาสตร์ในการดาเนินงานที่จะนาไปสู่ความสาเร็จและยทุ ธศาสตรท์ ่ี สาคญั ประการหนึ่งคอื ความเปน็ ผู้ทม่ี ีภาวะผูน้ าทางวิชาการ กล่าวคอื เป็นผู้ที่มคี วามรู้ความเข้าใจในทฤษฎีหลัก บริหารการศึกษา ปรัชญาของการใช้หลักสูตรต่างๆ ที่ใช้ในโรงเรียน มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับวิธีสอนแบบ ต่างๆสนับสนุนให้ครใู ชน้ วตั กรรมการสอน เป็นแบบอยา่ งท่ดี ใี นเชิงวิชาการ สนับสนุนและส่งเสริมความเป็นเลิศ ทางวิชาการ ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นนักเรียนเป็นสาคัญ รวมทั้งการนิเทศกากับติดตามให้การ เรียนการสอนเป็นไปตามแผนการจดั การเรียนรทู้ ่กี าหนดไว้ จากงานวจิ ัยของหลายประเทศได้ข้อสรุปตรงกันว่าภาวะผู้นาทางวิชาการของผบู้ ริหารสถานศึกษาเป็น ปจั จัยสาคญั ลาดับต้นที่จะชว่ ยการปฏิรูปการศึกษาให้ประสบความสาเร็จ ประเทศตา่ งๆจึงดาเนินยทุ ธศาสตร์ท่ี จะให้ผู้บริหารมีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ เช่น ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้กาหนดบทบาทของ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาไวอ้ ย่างชดั เจนวา่ จะต้องมีความสามารถเพยี งพอโดยเฉพาะเร่ืองการจัดโปรแกรมการเรียน ให้กับนักเรียนและการบูรณาการทรัพยากรท่ีมีอยู่ไปใช้อย่างมปี ระสิทธิภาพ เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปรท์ ี่ให้ ความสาคญั ในการพฒั นาผู้บรหิ ารในเร่ืองความคดิ ริเร่มิ สร้างสรรคแ์ ละการนานวัตกรรมมาใช้ เพื่อความเปน็ เลิศ ให้แก่นักเรียน (พัฒนา อ่าท้าว,2548,น.99) ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคลากรหลักที่สาคัญต่อการบริหารและ การจัดการศึกษา ผลงานของสถานศึกษาเป็นอย่างไรขึ้นอยกู่ ับผู้บริหารเป็นส่วนใหญ่ สถานศึกษาท่ีนักเรียนมี คุณภาพดมี กั จะเป็นสถานศกึ ษาที่ผู้บริหารสนใจงานวิชาการ (ธีระ รญุ เจรญิ ,2553,น.17) ปจั จยั ประการหนึ่งใน การสร้างเสริมการเรียนที่จะทาให้คุณภาพการเรียนของเด็กไทยได้มาตรฐานสูงระดับโลกคือ ภาวะผู้นาทาง วิชาการและการมที ีมงานวิชาการของโรงเรียนท่ีเข้มแขง็ โดยผู้บรหิ ารสถานศึกษายคุ ใหมจ่ ะต้องมีความเป็นผู้นา ทางวชิ าการ (Instructional Leadership) ที่เขม้ แข็งเปน็ ผจู้ ัดการทเ่ี ฉียบแหลม เปน็ ผปู้ ระสานชมุ ชนท่ีดี เปน็ ผู้ อานวยความสะดวกที่เช่ียวชาญและเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ กว้างไกล (รุ่งแก้วแดง,2553,น.9) สานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 เป็นหน่วยงานทางการศึกษา ที่อยู่ภายใต้การกากับดูแลของสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงมีโรงเรียนมัธยมศึกษาในความดูแลท้ังหมด 47
ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 62 โรงเรียน ครอบคลุม 2 จังหวัด คือ นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา ในทุกปีจะมีการทดสอบวัดผลการจัด การศึกษาขั้นพ้ืนฐานสาหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ที่ เรียกว่าการทดสอบระดับชาติ O-NET (Ordinary National Educational Test) ซึ่งถือเป็นการวัดศักยภาพ ด้านวิชาการของทุกโรงเรียน และจากรายงานผลการทดสอบระดับชาติ O-NET ปีการศกึ ษา 2560-2562 ของ โรงเรียนมัธยมศึกษา ในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 พบว่า มีความแตกต่างกันมาก บางโรงเรียนมีผลการทดสอบระดับชาติ O-NETเฉล่ียสูงกว่าระดับประเทศ บางโรงเรียนมีผลการทดสอบ ระดับชาติ O-NET เฉลี่ยต่ากว่าระดับประเทศ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาทาง วิชาการของผู้บริหารกับความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 3 ว่ามีความสมั พันธก์ ันหรอื ไม่ อย่างไร เพื่อนาผลการวิจยั ท่ไี ดม้ าใชเ้ ป็นสารสนเทศ ในการพฒั นาภาวะผูน้ าทางวิชาการของผู้บริหารกับความเข้มแขง็ ของทีมงานวิชาการโรงเรียนมธั ยมศกึ ษาและ เป็นแนวทางให้สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาที่เป็น องค์กรท่ีออกนโยบายแก่สถานศึกษาเพื่อนาไปสู่การปฏิบัติ อันจะเป็นประโยชน์ในการบริหารโรงเรียน มธั ยมศึกษาต่อไป วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อศึกษาภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 3 2. เพ่อื ศกึ ษาความเข้มแขง็ ของทีมงานวชิ าการโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 3 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารกับความเข้มแข็งของทีมงาน วิชาการโรงเรียนมัธยมศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 3 4. เพ่ือศึกษาข้อเสนอแนะ แนวทางการพัฒนาภาวะผนู้ าทางวชิ าการของผบู้ ริหารกบั ความเขม้ แข็งของ ทมี งานวิชาการโรงเรยี นมธั ยมศึกษา สังกดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 3 สมมติฐานการวจิ ัย ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารมีความสัมพันธ์กับความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียน มธั ยมศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 3 อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิ กรอบแนวคิดการวจิ ัย ความเขม้ แข็งของทมี งานวชิ าการ ภาวะผู้นาทางวชิ าการ 1. ความชดั เจนของเปา้ หมาย 2. การมีสว่ นร่วมและปฏบิ ัติงานทีช่ ดั เจน ผ1. ดา้ นการกาหนดภารกจิ ของโรงเรยี น 3. การสื่อสารท่ดี ีและเปิดเผย 2. ด้านการบริหารหลกั สตู ร 3. ดา้ นการจดั บรรยากาศในโรงเรียน
ปีที่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 63 วิธดี าเนินการวิจัย ประชากร ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ 1) ผู้บริหารหรือรองผู้บริหารฝ่ายวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา จานวน 47 คน 2) ครูผสู้ อนและครูผู้ทาหน้าที่หัวหน้ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้ท้งั 8 กลมุ่ สาระ จานวน 3,323 คน รวมจานวนทั้งส้ิน 3,476 คน ที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มัธยมศกึ ษา เขต 3 ในปีการศึกษา 2562 กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ 1) ผู้บริหารหรือรองผู้บริหารฝ่ายวิชาการโรงเรียน มัธยมศึกษา จานวน 47 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling ) 2) ครูผู้สอนและครูผู้ทาหน้าท่ี หัวหนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรูท้ ง้ั 8 กลมุ่ สาระ จานวน 315 คน ใชส้ ตู ร ทาโร ยามาเน่ (Taro Yamane) ที่ระดับ ความเช่ือมั่น 95% และสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียนท่ีมีความโดดเด่นด้านภาวะผู้นาทางวิชาการและการสร้าง ความเข้มแขง็ ของทมี งานวชิ าการ จานวน 4 คน เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 1. แบบสอบถามระดบั การปฏบิ ัตภิ าวะผนู้ าทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียนและความเข้มแข็งของทมี งาน วิชาการโรงเรยี นมัธยมศกึ ษา สังกัดสานักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 3 2. แบบสมั ภาษณ์เก่ยี วกบั หลกั การและแนวคิดในการสรา้ งความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการในโรงเรยี น มัธยมศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 3 ข้ันตอนในการสร้างและหาคณุ ภาพเครอื่ งมอื 1. ศกึ ษาเอกสารตารารวมถึงทฤษฎี และงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ ง ไดแ้ นวคิดเกย่ี วกบั ภาวะผนู้ าทางวชิ าการของ ผู้บริหารกบั ความเขม้ แข็งของทมี งานวิชาการโรงเรยี นมธั ยมศึกษา 2. สรา้ งแบบสอบถามมาตราประมาณคา่ 5 ระดบั 3. นาแบบสอบถามใหอ้ าจารยท์ ่ีปรกึ ษาวทิ ยานพิ นธ์ ตรวจสอบและแก้ไข แลว้ ปรบั ปรงุ ตามขอ้ แนะนา 4. นาแบบสอบถามให้ผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 5 คน ตรวจสอบความตรงด้านเน้ือหา แล้วนาผลการ ตรวจสอบมาหาคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ ง (Index of Consistency : IOC) ไดค้ ่าดัชนี ระหว่าง 0.80 - 1.00 5. นาแบบสอบถามมาแก้ไขปรับปรงุ ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ และนาเสนอตอ่ อาจารย์ท่ีปรึกษา วิทยานิพนธ์ แล้วจึงนาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับผู้บริหารและครูในโรงเรียนที่ไม่ได้เป็นกลุ่ม ตวั อยา่ งในการศึกษา จานวน 30 คน 6. นาแบบสอบถามมาหาความเช่ือมั่น (Reliability) โดยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่า ( Coefficient ) ของครอนบัค (Cronbach) 1) ได้ค่าความเชื่อม่ันของแบบสอบถามภาวะผู้นาทางวิชาการของ ผูบ้ รหิ ารโรงเรียนมัธยมศึกษาเทา่ กับ 0.921 และ 2) ไดค้ า่ ได้คา่ ความเช่อื ม่ันของแบบสอบถามความเขม้ แขง็ ของ
ปที ่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 64 ทีมงานวชิ าการโรงเรยี นมธั ยมศึกษาเทา่ กบั 0.977 และภาวะผ้นู าทางวิชาการของผู้บริหารกับความเข้มแข็งของ ทีมงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศกึ ษา ได้คา่ ความเชือ่ มัน่ ของแบบสอบถามทัง้ ฉบบั เท่ากับ 0.975 การวิเคราะหข์ อ้ มูล 1. สถติ ทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะห์เครอ่ื งมือ ไดแ้ ก่ 1) การตรวจสอบความตรงดา้ นเนอ้ื หา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง (Index of consistency: IOC) จากผทู้ รงคณุ วุฒจิ านวน 5 คน 2) หาความเช่ือมัน่ (Reliability) โดยวิธีการหาค่าสัมประสิทธ์ิอัลฟ่า ( Coefficient) ของครอนบัค (Cronbach) ของ 1) คา่ สมั ประสทิ ธิ์อลั ฟ่าของแบบสอบถามทัง้ ฉบบั ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บรหิ ารโรงเรียน มัธยมศึกษา และ 2) ค่าสัมประสิทธ์ิอัลฟ่าของแบบสอบถามทั้งฉบับความเขม้ แข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียน มธั ยมศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 3 2. สถติ ทิ ี่ใช้ในการประมวลผลและการวิเคราะหข์ อ้ มูลจากแบบสอบถาม ไดแ้ ก่ 1) สถิติพื้นฐาน ได้แก่ คา่ รอ้ ยละ (Percentage) ค่าเฉลยี่ (Mean) และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 2) สถิตทิ ใี่ ช้ทดสอบสมมติฐาน ไดแ้ ก่ ค่าสัมประสิทธสิ์ หสมั พันธข์ องเพยี ร์สนั (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 3 พบว่าในภาพรวมจากการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.13, S.D.= 0.66) เมือ่ พจิ ารณาเป็นรายด้าน พบวา่ ทุกด้านอย่ใู นระดับมาก โดยด้านที่มคี า่ เฉลีย่ ของคะแนนสูงท่ีสุด ค่าเฉล่ียของคะแนนรองลงมา ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน (x̅ = 4.23, S.D.= 0.71) ด้านการบริหารหลกั สูตร (x̅ = 4.18, S.D.= 0.71) และดา้ นการกาหนดภารกจิ ของโรงเรยี น (x̅ = 4.08, S.D.= 0.74) ตามลาดับ ส่วนการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างท่ีมีการปฏิบัติอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยของ คะแนนต่าท่ีสดุ ได้แก่ ด้านการจดั บรรยากาศในโรงเรียน (x̅ = 4.05, S.D.= 0.78) 2. ความเข้มแข็งของทีมวิชาการโรงเรยี นมัธยมศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 พบว่า ในภาพรวมจากการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก (x̅ = 3.99, S.D.= 0.71) เม่ือ พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงท่ีสุด ค่าเฉลี่ยของ คะแนนรองลงมา ได้แก่ ความสัมพันธ์กับภายนอก (x̅ = 4.17 , S.D.= 0.75) ด้านความชัดเจนของเป้าหมาย (x̅ = 4.04 , S.D.= 0.77) ดา้ นการมีสว่ นร่วมและปฏบิ ัตงิ านท่ีชัดเจน (x̅ = 3.95, S.D.= 0.78) และด้านการ ประเมินและพัฒนาตนเอง (x̅ = 3.93, S.D.= 0.78) ตามลาดับ ส่วนการรับรขู้ องกลุ่มตวั อยา่ งท่มี กี ารปฏบิ ัติอยู่ ในระดบั คา่ เฉลี่ยของคะแนนตา่ ท่สี ดุ ไดแ้ ก่ ด้านการสื่อสารที่ดีและเปิดเผย (x̅ = 3.87, S.D.= 0.86)
ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 65 3. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารกับความเข้มแข็งของทีมงาน วิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตการศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 พบว่า ในภาพรวมมี ความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ทางบวก และอยู่ใน ระดับสูง (r =0.790) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดบั .01 โดยมคี า่ สมั ประสิทธสิ์ หสัมพันธ์ทางบวก ซง่ึ เป็นไปตามสมมติฐานที่ต้งั ไว้ โดยด้านที่มีคา่ สมั ประสิทธิ์ สหสัมพันธ์สูงท่ีสุด ได้แก่ ด้านความชัดเจนของเป้าหมายซึ่งมีความสัมพันธ์กันทางบวกและอยู่ในระดับสูง (r = 0.743) รองลงมาได้แก่ การประเมินและพัฒนาตนเอง ซ่ึงมีความสัมพันธ์กันทางบวกและอยู่ในระดับสูง (r = 0.739) การมีส่วนรว่ มและปฏิบตั งิ านท่ีชดั เจน มคี วามสัมพันธ์กันทางบวกและอยู่ในระดบั สูง(r = 0.716) และความสัมพันธ์กับภายนอก มีความสัมพันธ์กันทางบวกและอยู่ในระดับปานกลาง(r = 0.687) ตามลาดับ และมคี า่ สัมประสิทธิ์สหสมั พนั ธน์ ้อยท่ีสดุ ไดแ้ ก่ การสื่อสารที่ดีและเปดิ เผย มีความสมั พนั ธ์กันทางบวกและอยู่ ในระดับปานกลาง(r = 0.674) อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .01 ซง่ึ เป็นไปตามสมมตฐิ าน 4. ผลการวเิ คราะหก์ ารสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียนเกี่ยวกับ แนวคิด หลกั การ และแนวทางของผู้บริหารกับ ความเขม้ แขง็ ของทมี งานวิชาการโรงเรยี นมธั ยมศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 3 ท่ี มีคณุ ลักษณะโดดเด่นดา้ นภาวะผ้นู าทางวชิ าการกับความเข้มแข็งของทีมงานวชิ าการโรงเรยี นมัธยมศึกษา ดงั น้ี 1) แนวคิดในการสรา้ งความเขม้ แข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 3 พบวา่ ต้องเร่ิมทผ่ี ู้บรหิ ารกอ่ นโดยผบู้ ริหารต้องทาตนเองให้มีคณุ ภาพ มกี ารพฒั นา ตนเองอยู่ตลอดเวลา มีความรู้ มีหลักในการบริหารโรงเรียนในด้านต่างๆ หรือที่เรียกว่าศาสตร์เมื่อผู้บริหารมี ศาสตร์ในการบริหารแล้วจึงจะสามารถสรา้ งทีมงานและนาพาทีมงาน องค์กรให้บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมาย ทต่ี ้งั ไวไ้ ด้ จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นการสรา้ งทมี งานวิชาการทมี่ คี วามเข้มแขง็ 2) หลักการและกระบวนการสร้างความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 ผบู้ รหิ ารโรงเรียนจะมีศาสตร์ในการบริหารที่คล้ายคลงึ กนั คอื มีหลักการ ทฤษฎี และกระบวนการที่ผู้บริหารนามาบริหารทีมงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา สามารถ สรุปได้ดังนี้ 2.1) ผบู้ ริหารตอ้ งมธี รรมาภบิ าล (good governance) คอื มหี ลักนิตธิ รรม คุณธรรม ความโปรง่ ใส ความมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบและความคุ้มค่า 6 ประการ 2.2) ผู้บริหารต้องมี ทฤษฏีกระบวนการ POSDCoRB ในการบริหารจัดการองค์กรที่ผู้มีอานาจบริหารมีหน้าท่ีและบทบาทการบรหิ ารอยู่ 7 ประการ คอื P-Planning หมายถึง การวางแผน O-Organizing หมายถึง การจัดองค์การ S-Staffing หมายถึง การจัดการ เกี่ยวกับตัวบุคคลในองค์การ D-Directing หมายถึง การอานวยงาน Co-Coordinating หมายถึง การ ประสานงาน R-Reporting หมายถงึ การรายงาน B-Budgeting หมายถงึ การงบประมาณ 2.3) ผู้บรหิ ารต้อง มีหลักการบริหารตามทฤษฎี PDCA ของเดมม่ิง ใช้หลักการบรหิ ารงานตามวงจรคุณภาพ PDCA หมายถึง การ สง่ เสริมใหบ้ ุคลากรในโรงเรยี นทางานแบบมีส่วนรว่ ม ได้แก่ Plan -การวางแผน Do-การดาเนินงานตามแผน Check -การตรวจสอบประเมินผล Action-การปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง 2.4) ผู้บริหารต้องมีหลักบริหาร บริหารงาน 4 อย่าง หรือ ที่เรียกว่า 4 M ประกอบด้วย คน(Men) งบประมาณหรือเงิน(Money) วัสดุ ครุภัณฑ์(Material) การดาเนินการหรือการจัดการบริหาร (Management) 2.5) ผู้บริหารต้องมีหลักการ
ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 66 บริหารแบบมีส่วนร่วม ข้ันท่ี1 การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ข้ันท่ี 2 การมีส่วนร่วมในการดาเนินการ ขั้น ท่ี 3 การมสี ว่ นรว่ มรับผลประโยชน์ ขั้นที่ 4 การมสี ว่ นร่วมในการประเมนิ ผล 6) ผู้บรหิ ารตอ้ งมีหลักหลักการ บริหารแบบการใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management ) 1.หลักการกระจายอานาจ (Decentralization) 2. หลกั การมสี ่วนรว่ ม (Participation or Collaboration or Involvement) 3. หลกั การ คืนอานาจจัดการศึกษาให้ประชาชน (Return Power to People) 4. หลักการบริหารตนเอง (Self- managing) 5. หลักการตรวจสอบและถว่ งดุล (Check and Balance) 7) ผบู้ ริหารต้องมหี ลักการบริหาร โดยใช้เทคนิค SWOT Analysis ทราบถึง จุดแข็ง (Strengths) : จุดเด่นหรือจุดแข็ง (ข้อได้เปรียบ) จุดอ่อน (Weaknesses) : จุดด้อยหรือจุดอ่อน ข้อเสียเปรียบเป็นผลมาจากปัจจัยภายใน โอกาส (Opportunities) : เกิดจากปัจจัยภายนอก เป็นผลจากการท่สี ภาพแวดล้อมภายนอก อุปสรรค (Threats) : เกิดจากปจั จยั ภายนอก เป็นข้อจากัดที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอกท่ีส่งผลเสียต่อโรงเรียน หลักการดังกล่าวเป็นหลักการในการ สร้างความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 3 ท้ังนี้ข้ึนอยู่กบั บริบทของแต่ละโรงเรียนวา่ ผู้บริหารจะนาศาสตร์ใดมาใช้ก่อนหลังตามความ เหมาะสม 3) แนวทางในการใช้ภาวะผู้นาทางวิชาการในการสร้างความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียน มัธยมศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 3 ศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 จาก หลักการ ทฤษฎีของผู้บริหารที่สังเคราะห์ได้มาจากการสัมภาษณ์น้ัน ทาให้ผู้วิจัยพบว่าผู้บริหารโรงเรียนมี ศาสตร์ต่างๆในการบรหิ ารโรงเรียน บริหารทมี งานวชิ าการ ใหป้ ระสบผลสาเรจ็ บรรลตุ ามเป้าหมายที่กาหนดไว้ ร่วมกัน นามาซึ่งการมีภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนอย่างแท้จริง และหากจะกล่าวว่าการที่ ผบู้ รหิ ารมีศาสตร์ใช้ในการบริหารโรงเรยี นก็คอื การท่ผี บู้ ริหารโรงเรยี นมีภาวะผู้นาทางวชิ าการน่ันเอง ส่วนศิลป์ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 ผู้บริหารต้องมีศิลปะในการบริหารโรงเรียน โดยการนาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เหมาะสมกบั บรบิ ทโรงเรยี นมธั ยมศึกษาของแตล่ ะโรงเรียน ทาให้ผู้วจิ ยั พบวา่ ภาวะผู้นาทางวิชาการในการสร้าง ความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา ผู้บริหารโรงเรียนมีศาสตร์ต่างๆในการบริหารโรงเรียน แล้วน้ัน ต้องมีศิลปะที่จะนาศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม สามารถสร้างทีมงานวิชาการที่มีความ เข้มแข็ง ที่สามารถแก้ปัญหาและพัฒนาโรงเรียนเกิดการปฏิบัติงานหรือทากิจกรรมร่วมกันจนสามารถ ดาเนินการบรรลผุ ลสาเร็จตามวตั ถปุ ระสงค์และเป้าหมายท่กี าหนดไว้ได้ การอภิปรายผล 1. การอภิปรายผลการศึกษาภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรยี นมัธยมศึกษา สังกัดสานักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 จากผลการวิจัย พบว่า ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษา สังกดั สานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 ในภาพรวมจากการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างมี
ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 67 การปฏิบัติอยูใ่ นระดบั มาก (x̅ = 4.13, S.D.= 0.66) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก เชน่ กัน 1) ด้านที่มีค่าเฉล่ียของคะแนนสูงที่สุด ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน (x̅ = 4.23, S.D.= 0.71) ข้อค้นพบน้ีแสดงให้เห็นว่าอาจเป็นเพราะผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 3 เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีท้ังภายในและภายนอกสร้าง ความเช่ือมั่นให้ครู นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน สอดคล้องกับ ผลการวิเคราะห์ความเข้มแข็งของทีมงาน วิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 มีค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงที่สุด เช่นกัน ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์กับภายนอกที่ กล่าวว่า ทีมงานมีการจัดทาวารสารของโรงเรียนเพื่อ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองทราบ มีการนาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการติดต่อส่ือสารกับบุคคลภายนอก อยา่ งเหมาะสมและหลากหลายรปู แบบ รบั ฟงั ความคิดเหน็ พร้อมตอบคาถามของผู้ปกครองและบุคคลภายนอก และยังสอดคล้องกับวินเทอร์และสวินนีย์ (1994,1996) พฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารโรงเรียนท่ีมี ประสิทธผิ ลโดยมีจุดเน้นทางดา้ นวิชาการในการสรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างครกู ับผู้ปกครองนักเรียน สอดคล้อง กับ กลิคแมน(1990)และเชล (2001) คุณลักษณะหรือพฤติกรรมของการเปน็ ผู้นาทางวิชาการ จากมูลฐานการ วิจัยในโรงเรียนท่ีมีประสิทธิผลผู้นาสรา้ งความสัมพนั ธร์ ะหว่างโรงเรียนและชุมชน หน่ึงในการท่ีจะก้าวไปสกู่ าร เป็นผู้นาทางวิชาการท่ีมีประสิทธิผลของแมคอีแวน (2003) คือการพัฒนาและคงไว้ซึ่งเจตคติในทางบวกกับ นักเรียน บุคลากรครูและผู้ปกครองเช่นกัน และยังมีความสอดคล้องกับสิร์รานี วสุภัทร (2551) การ เสริมสร้างความร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้อง ผู้บริหารเสริมสร้างความร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องด้วยการให้การต้อนรับ ผูป้ กครองนักเรียน ผ้มู ีอปุ การคณุ และผู้มสี ว่ นเกีย่ วข้องเข้ามาในโรงเรียน กระตุ้นให้เป็นสมาชิกรว่ มปฏบิ ัติการ ปฏิรูปโรงเรียน ให้มีส่วนร่วมในวิถีชีวิตของโรงเรียน มีการกระจายการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจให้ผู้มีส่วน เกย่ี วขอ้ ง 2) ดา้ นที่มีคา่ เฉล่ียต่าท่ีสุด ไดแ้ ก่ ด้านการจัดบรรยากาศในโรงเรียน (x̅ = 4.05, S.D.= 0.78) แม้ด้าน การจดั บรรยากาศในโรงเรียน จะมคี า่ เฉล่ยี ของคะแนนตา่ ที่สุดแต่จากการรบั รู้ของกลมุ่ ตัวอย่างมีการปฏิบัติอยู่ ในระดับมาก จากข้อค้นพบน้ีแสดงให้เห็นว่าภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 3 ผู้บริหารควรมีการส่งเสริมสนับสนุนการจัดหาทรัพยากร อุปกรณ์ สิ่งอานวยความสะดวกต่างๆ รวมท้ังควรส่งเสริมการจัดบรรยากาศแหล่งเรยี นรู้ทางด้านวชิ าการด้าน ต่างๆให้มากข้ึนเนื่องจาก วิษณุ จุลวรรณ (2547,น.94-95) กล่าวว่า การส่งเสริมบรรยากาศทางวิชาการ เป็น องค์ประกอบหน่ึงของภาวะผู้นาทางวิชาการ เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนในการพัฒนา คณุ ภาพผเู้ รยี นอย่างมีประสิทธภิ าพ 2. การอภปิ รายผลการศึกษาความเขม้ แข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขต พนื้ ทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต จากผลการวิจยั พบว่า ความเข้มแขง็ ของทีมวิชาการโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 ในภาพรวมจากการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างมีการปฏิบัติอยู่ใน ระดับมาก (x̅ = 3.99, S.D.= 0.71) เมอ่ื พจิ ารณาเป็นรายด้าน พบวา่ ทกุ ดา้ นอยู่ในระดบั มากเช่นกนั
ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 68 1) ดา้ นทม่ี คี ่าเฉล่ียของคะแนนสูงที่สุด ได้แก่ ความสัมพนั ธก์ บั ภายนอก (x̅ = 4.17, S.D.= 0.75 ) ขอ้ ค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่า อาจเป็นเพราะผู้บริหารโรงเรียนสร้างทีมงานวชิ าการท่ีมีการนาเทคโนโลยีท่ีเหมาะสม หลากหลาย มาใช้ติดต่อสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ และตอบคาถามต่างๆแก่ผู้ปกครองและบุคคลภายนอก ซ่ึง สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 ด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงที่สุด ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน กล่าวว่า ผู้บริหารส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมศึกษาดูงานเพื่อสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีให้แก่คณะครู มีการจัดกิจกรรมโฮมรูมโดยมอบหมายครูที่ปรึกษาสร้างความสัมพันธท์ ี่ดีใหแ้ ก่ นักเรียน ส่งเสริมด้านประชาสัมพันธ์ข่าวสารกิจกรรมของโรงเรียนให้แก่ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วม และ ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชนเพื่อให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจท่ีตรงกัน อีกทั้งยัง สอดคลอ้ งกบั สนุ ันทา เลาหนนั ทน์(2551)เครือข่ายความสัมพันธก์ ับภายนอก (External relations)สมาชิกทุก คนมีช่วยกันแสวงหาความร่วมมือจากภายนอก เช่น ลูกค้า ผู้ใช้บริการ และผู้อุปถัมภ์รายการ กลุ่ม บคุ คลภายนอกจะเปน็ ผู้ใหข้ ้อมูลย้อนกลบั ในเชิงประเมนิ การปฏิบัตงิ านของทีมงาน ความสัมพนั ธภ์ ายนอกเป็น แหล่งทรัพยากรที่จาเป็นและมีคุณค่าต่อการปฏิบัติงานของทีม ความสัมพันธ์ที่สรา้ งความเช่ือมโยงระหวา่ งกัน ของสมาชิกที่อยู่ในหน่วยงานต่างกันอาจทาให้ได้รับความช่วยเหลือด้านต่างๆท่ีเอ้ืออานวยการปฏิบัติงานของ ทีม 2) ด้านท่ีมีค่าเฉล่ียของคะแนนต่าที่สุด ได้แก่ ด้านการส่ือสารที่ดีและเปิดเผย (x̅ =3.87, S.D.= 0.86) แมด้ า้ นการส่ือสารท่ีดีและเปดิ เผยจะมคี ่าเฉลย่ี ของคะแนนตา่ ที่สดุ แต่จากการรับรขู้ องกลุม่ ตวั อยา่ งมกี ารปฏิบัติ อยู่ในระดับมาก ข้อค้นพบน้ีแสดงให้เห็นว่าความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการ ด้านการส่ือสารที่ดีและเปิดเผย ควรมีการถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก และข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย ควรมีการเปิดโอกาสให้ ทีมงานแสดงความคิดเห็น กล้าเผชิญกับปัญหาหรือข้อขัดแย้งทุกกรณี มีการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของ ทีมงานท้งั ดา้ นบวกและลบ ซงึ่ มีความสอดคลอ้ งกับผลการวเิ คราะห์ความสัมพนั ธร์ ะหว่างภาวะผู้นาทางวชิ าการ ของผู้บริหารกับความเข้มแข็งของทีมวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 3 ท่ีมีความสัมพันธ์กันน้อยที่สุดเช่นกัน ได้แก่ การสื่อสารท่ีดีและเปิดเผย (r =0.674) มี ความสัมพันธ์กันทางบวกและอยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสาคัญที่สถิติที่ระดับ .01 ดังน้ันความเข้มแข็ง ของทีมงานวิชาการควรได้รับการส่งเสริมด้านการส่ือสารท่ีดีและเปิดเผย เนื่องจาก วูดค็อก (1989,p.75-166) กล่าววา่ การสร้างทีมงานท่มี ีประสิทธภิ าพหรอื ทมี งานท่เี ขม้ แขง็ ควรประกอบด้วยลกั ษณะการปฏิบตั ิงานใน 11 ด้าน ดังน้ี 1) บทบาทที่สมดุล 2) ความชัดเจนของเป้าหมาย 3) การเปิดเผยและการเผชิญหน้า 4) การ สนับสนุนและการไว้วางใจต่อกัน 5) ความร่วมมือและความขัดแย้ง 6) การปฏิบัติงานที่ชัดเจน 7) ภาวะ ผู้นาที่เหมาะสม 8) การทบทวนการทางานอย่างสม่าเสมอ 9) การพัฒนาตนเอง 10) สัมพันธภาพระหว่างกลมุ่ 11) การสือ่ สารทีด่ ี 3. การอภิปรายผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษากับความเข้มแข็งของทีมวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 3 จากผลการวิจัย พบว่า
ปีท่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 69 1) ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษามีความสัมพันธ์กับความเข้มแข็งของทีม วชิ าการโรงเรยี นมัธยมศึกษา ด้านความชดั เจนของเป้าหมาย ด้านการประเมนิ และพฒั นาตนเอง ด้านการมสี ว่ น รว่ มและปฏิบัตงิ าน มคี วามสมั พนั ธก์ นั ทางบวก อยู่ในระดับสูง (r = 0.790) ขอ้ ค้นพบนีแ้ สดงให้เห็นวา่ อาจเป็น เพราะผู้บริหารให้ทีมงานมีส่วนร่วมในการประชุมกาหนดนโยบายเป้าหมายมีการวางแผน ปฏิบัติงาน การ ประเมินผลการปฏบิ ัตงิ านร่วมกันอยา่ งสม่าเสมอ สอดคลอ้ งกับ งานวจิ ัยของ ปยิ นุช สุวรรณนติ ย์ (2560,น.130) ผลการวิจยั พบว่า การพฒั นาทีมงานวชิ าการ เปน็ องคป์ ระกอบท่ีสาคัญของรูปแบบการบริหารงานวิชาการของ ผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สังกัดสานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาภาคใต้ตอนบน เนื่องจากการ บริหารงานในปัจจุบัน ภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ การดาเนินการต่างๆ มีความซับซ้อน มาก ข้ึน เพื่อให้ทันกับเวลาและความต้องการ รวมทั้งต้องอาศัยการประสานงานกันเป็นอย่างดี อีกทั้งยัง สอดคล้องผลการวิจัยของ ลัคนา กระต่ายทอง (2544, น.78) ที่พบว่าควรระบุข้ันตอนการทางานให้เป็น แนวทางเดียวกัน ซึ่งในการวจิ ยั ครง้ั น้ีพบว่า ขน้ั ตอนของการทางานเปน็ ทมี ไดแ้ ก่ การรับรแู้ ละคน้ หาปญั หา การ รวบรวมและ วิเคราะห์ข้อมูล การวางแผนปฏิบัติงาน การนาแผนไปปฏิบัติ การประเมินผลลัพธ์ ซึ่งได้ส่งเสรมิ ใหบ้ ุคลากรมี การทาแบบมีส่วนร่วมในทกุ ขัน้ ตอน 2) ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษามีความสัมพันธ์กับความเข้มแข็งของทีม วิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 ด้านความชัดเจนของ เป้าหมาย อยู่ในระดับสูง (r = 0.743) ขอ้ คน้ พบนแี้ สดงให้เหน็ ว่า ถ้าผบู้ รหิ ารทมี่ ภี าวะผูน้ าท่ีดยี ่อมสง่ ผลให้เกิด ความเข้มแข็งของทีมวิชาการในเรื่องการกาหนดเป้าหมายท่ีชัดเจน โดยเร่ิมต้ังแต่การวางแผนพัฒนาโรงเรียน การกาหนด ปรัชญาและเป้าหมายของโรงเรยี น เพอ่ื ใช้เปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติงานทตี่ รงกนั การจัดทาปฏิทิน ปฏิบัติงาน และการมีการกาหนดขอบเขต อานาจ หน้าท่ีการทางานท่ีชัดเจน โดยจรัล เลิศจามีกร (2554) กล่าวว่า ผู้บริหารสถานศึกษา คือบุคคลที่มีหน้าที่กาหนดทิศทางในการทางาน วางแผน กากับ ติดตามและ ประเมินความสาเร็จของงานในสถานศึกษาให้บรรลุเป้าหมายกาหนดไว้ ปิยนันท์ สวัสดิ์ศฤงฆาร (2552) กล่าว ไว้เก่ียวกับภาวะผู้นาระดับสูงต้องมีการนาเสนอข้อมูลข่าวสาร ปัญหา ผลการปฏิบัติงาน รายงาน และ ข้อเสนอแนะ ส่งต่อข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูงสู่บรหิ ารระดับล่างเป็นทอดๆโดยผู้บริหารกลางจะแปลงความ มงุ่ หมาย (Goal) และนโยบายท่ีไดร้ ับจากผูบ้ รหิ ารระดับสูงให้เป็นวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ สว่ นผู้บรหิ ารระดับ ลา่ งก็จะแปลงวัตถปุ ระสงคแ์ ละกลยุทธข์ องผู้บรหิ ารระดับกลางให้เป็นเปา้ หมายและการปฏิบัติไดอ้ ย่างชัดเจน 3) ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษามีความสัมพันธ์กับความเข้มแข็งของทีม วิชาการโรงเรยี นมัธยมศึกษา ดา้ นการประเมนิ และพฒั นาตนเอง อยใู่ นระดบั สงู (r = 0.739) ข้อค้นพบนแ้ี สดง ให้เห็นว่า อาจเป็นเพราะผู้บรหิ ารส่งเสริมให้ทีมงานมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานวิชาการ มีการประเมินผลการ ปฏิบัติงานเป็นระยะๆอย่างมีหลักเกณฑ์ นาผลการประเมินไปปรับปรุงการทางานให้ดีขึ้น ส่งทีมงานพัฒนา ตนเองอย่างสม่าเสมอ สอดคล้อง(ธีระ รุญเจริญ,2553,น.19-21) กล่าวว่า การส่งเสริมพัฒนาครูและบุคลากร อย่างต่อเน่ือง ด้วยการให้ครูเข้าอบรม ร่วมประชุมสัมมนา และทัศนศึกษาหาความรู้ เพ่ิมพูนความรู้ ประสบการณ์ใหท้ นั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงของโลก จะสามารถนามาใช้ในการปรับปรงุ การจัดการเรยี นรใู้ ห้ดีข้ึนได้ รวมทั้งการสร้างแรงจูงใจ และทัศนคติเชิงบวกให้กับผู้ร่วมงาน สร้างความเชื่อม่ัน สร้างทีมงาน รวมทั้งสร้าง
ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 70 แรงจูงใจในการทางาน เช่น การแสดงการขอบคุณ การเผยแพร่ผลงานของทีมงาน และการให้รางวัล ก็เป็น บทบาทของผบู้ ริหารสถานศึกษาด้วยเชน่ กนั 4) ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษามีความสัมพันธ์กับความเข้มแข็งของทีม วิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา มีความสัมพันธ์น้อยท่ีสุด ได้แก่ การส่ือสารท่ีดีและเปิดเผย (r = 0.674) แม้มี ความสัมพันธ์กันน้อยท่ีสุดแต่มีความสัมพันธ์กันทางบวก อยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .01 ขอ้ ค้นพบนแี้ สดงใหเ้ ห็นวา่ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งภาวะผนู้ าทางวิชาการของผู้บรหิ ารกับความเข้มแข็ง ของทีมงานวิชาการ ด้านการส่ือสารที่ดีและเปิดเผยควรมีการถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก และข้อมูลอย่าง ตรงไปตรงมาและเปดิ เผย ควรมีการเปิดโอกาสให้ทีมงานแสดงความคิดเหน็ กล้าเผชิญกบั ปญั หาหรอื ข้อขัดแย้ง ทุกกรณี มกี ารเปดิ ใจรบั ฟังความคิดเห็นของทมี งานทง้ั ด้านบวกและลบ เน่ืองจาก ปาร์คเกอร์ (Parker อ้างถงึ ใน สุนนั ทา เลาหนันทน์,2551) มแี นวทางในการบรหิ ารจัดการใหท้ มี งานสามารถทางานไดด้ ี กล่าวคือการรบั ฟงั ซึ่ง กันและกัน (Listening) สมาชิกต้ังใจฟังการแสดงความคิดเห็นของสมาชิกคนอ่ืนอย่างต้ังใจ คิดพิจารณา ไตร่ตรองสง่ิ ทไ่ี ดร้ ับฟงั สนใจในเรือ่ งทีส่ มาชิกตอ้ งการให้รับรู้ แสดงความเอาใจใส่ต่อคาขอร้องและการส่ือสารที่ เปดิ เผย (Open communication) เปน็ การติดตอ่ สอ่ื สารกันระหวา่ งสมาชกิ ในทีมงานด้วยการเปดิ เผย มคี วาม จรงิ ใจต่อกัน มีความเช่อื มัน่ และไว้วางใจซึง่ กนั และกัน ทง้ั ผู้นาทมี และสมาชกิ ในทีมงานควรมีการกระตุ้นให้เกิด การส่ือสารกัน 4. การอภปิ รายแบบสอบถามปลายเปดิ เกี่ยวกับขอ้ เสนอแนะ แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นาทางวชิ าการ ของผู้บริหารกับความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 3 ได้ดังนี้ 1) แนวคิดในการสรา้ งความเขม้ แขง็ ของทมี งานวิชาการ โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพนื้ ท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 พบว่า ผู้บริหารโรงเรียนตอ้ งมีการพฒั นาตนเองอยู่ตลอดเวลา มีความรู้ เก่ียวกับ หลกั บริหารโรงเรียนในด้านต่างๆ สอดคล้องกบั การสังเคราะห์ทีไ่ ด้จากผู้ตอบแบบสอบถามปลายเปิดท่ตี ้องเริ่ม จากผู้บริหารก่อนโดยผู้บรหิ ารต้องทาตนเองให้มีคุณภาพ มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา มีความรู้ มีหลักใน การบริหารโรงเรียนในด้านต่างๆ หรือที่เรียกว่าศาสตร์เมื่อผู้บริหารมีศาสตร์ในการบริหารแล้วจึงจะสามารถ สร้างทีมงานและนาพาทีมงาน องค์กรให้บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็น การสร้างทีมงานวิชาการที่มีความเข้มแข็งและเป็นผู้บริหารท่ีมีภาวะผู้นาทางวิชาการ สอดคล้องกับกลิคแมน (Gickman,1990 cited in Chell,2001,p.11) กล่าวว่าคุณลักษณะภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารท่ีมี ประสิทธิผล มีองค์ประกอบหลัก 3 ด้าน ดังนี้ 1)ด้านความรู้ (Knowledge) เป็นความรู้ที่จาเป็นสาหรับภาวะ ผู้นาทางวิชาการเพื่อใช้ในการปฏิบัติภาระหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษา 2)ด้านภาระหน้าท่ี (Tasks) เป็น ภาระหน้าทีท่ ีส่ มั พันธ์กบั ด้านความรู้ 3) ด้านทักษะ (Skills) เปน็ การนาความรูไ้ ปสกู่ ารปฏิบัตงิ านท่มี ีประสทิ ธิผล ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาต้องมีทกั ษะภาวะผนู้ าที่จาเปน็ ในการปฏิบัติงาน สอดคลอ้ งกับ รงุ่ แกว้ แดง (2553,น.278) ภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีมีคุณภาพต้องมีผู้บริหารที่มีภาวะผู้นา ความสาเร็จขององค์กรข้ึนอยู่กับ คุณภาพของภาวะผู้นาเป็นสาคัญ ปัจจุบันตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ(ฉบับที่4) พ.ศ.2562 ในการ พัฒนาโรงเรียนใหม้ ีคุณภาพต้องมผี ู้บริหารท่มี ีภาวะผูน้ าทางวชิ าการ
ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 71 2) หลักการและกระบวนการสร้างความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด สานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 3 พบว่า ผู้บริหารโรงเรียนจะมีศาสตร์ในการบริหารท่ีคล้ายคลึงกัน คือ มีหลักการ ทฤษฎี และกระบวนการท่ี ผู้บริหารนามาบริหารทีมงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษาส่วนใหญ่เป็ นหลักธรรมาภิบาล (good governance) ทฤษฎี POSDCoRB วงจร PDCAของเดมม่ิง หลักบริหาร 4M การบริหารโดยใช้เทคนคิ SWOT Analysis และหลักการบรหิ ารแบบมีสว่ นรว่ มโดยใชโ้ รงเรยี นเป็นฐาน (School-Based Management) ในการ สร้างความเขม้ แขง็ ของทีมงานวิชาการโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 3 ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับบริบทของแต่ละโรงเรียนว่าผู้บริหารจะนาศาสตร์ใดมาใช้ก่อนหลังตามความเหมาะสมในการ สรา้ งความเขม้ แขง็ ของทมี งานวิชาการ สอดคลอ้ งกบั เรืองวทิ ย์ เกษสุวรรณ (2556) กลา่ วถงึ ประวัตขิ องเดมม่งิ ว่าเปน็ ท่รี จู้ ักกันแพรห่ ลายใน หลกั การบริหารทเ่ี รยี กวา่ วงจรคุณภาพ (PDCA) หรอื วงจรเดมม่งิ ซงึ่ เปน็ ชอ่ื ที่ใช้ แทนกันกบั การจัดการ คุณภาพ เพราะเขาเป็นคนผลกั ดนั ให้ผู้บรหิ ารญ่ีปุ่นยอมรบั แนวคิดในการจัดการคุณภาพ และเป็นคนแรกท่ีมอง ว่าการจัดการคุณภาพเป็นกิจกรรมขององค์กรทั้งหมด ไม่ใช่แค่งานตรวจคุณภาพตามท่ี กาหนดหรือเป็นงานของ กลุ่มผู้เช่ียวชาญในการประกันคุณภาพ และเป็นคนแรกท่ีระบุว่าคุณภาพเป็นความ รบั ผิดชอบทางการบริหารของผู้บริหาร 3) แนวทางในการใช้ภาวะผู้นาทางวิชาการในการสร้างความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียน มัธยมศึกษา สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 3 พบวา่ ศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 ผู้บริหารใช้ศาสตร์ในการบริหารท่ีคล้ายคลึงกัน ได้แก่ หลักธรรมาภิบาล ทฤษฎี POSDCoRB วงจร PDCA ของเดมมิ่ง หลักบริหาร 4M หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน(School-Based Management) และการบรหิ ารโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis จากหลักการ ทฤษฎีของผู้บริหารท่ีสงั เคราะห์ ได้มาจากการสัมภาษณ์นั้น ทาให้ผู้วิจัยพบว่าผู้บริหารโรงเรียนมีศาสตร์ต่างๆในการบริหารโรงเรียน บริหาร ทีมงานวิชาการ ให้ประสบผลสาเร็จ บรรลุตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ร่วมกัน นามาซึ่งการมีภาวะผู้นาทาง วชิ าการของผูบ้ รหิ ารโรงเรยี นอย่างแท้จริง และหากจะกลา่ ววา่ การท่ีผ้บู ริหารมีศาสตร์ใช้ในการบริหารโรงเรียน ก็คือการท่ีผู้บริหารโรงเรียนมีภาวะผู้นาทางวิชาการนั่นเอง ซ่ึงสอดคล้องกับผลการสังเคราะห์ท่ีได้จาก แบบสอบถามปลายเปิดที่ว่าทีมงานวิชาการต้องมีการทางานร่วมกันเป็นทีม มีความสัมพันธ์และต้องพึง่ พากัน เพอ่ื ปฏิบตั ิหนา้ ทที่ ไ่ี ด้รับมอบหมายให้บรรลเุ ปา้ หมายเดียวกันอยา่ งมปี ระสิทธิภาพเกดิ ประสทิ ธิผลทั้งของตนเอง ของกลมุ่ และขององค์กรจึงจะเป็นทมี งานวิชาการที่เข้มแขง็ ของโรงเรียน สอดคล้องกับงานวจิ ยั ของ อนุ ช้างกลาง (2557) ได้ศึกษาเรื่องแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนดี ศรีตาบล สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ึนพ้ืนฐาน พบว่า 1) องค์ประกอบภาวะผู้นาทางวิชากาของผู้บรหิ าร มี 10 องค์ประกอบ คือ การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการพฒั นา การส่งเสริมการวิจัยเพ่ือการเรียนรู้ การสร้างผู้นาทาง วชิ าการ การพัฒนาครมู ืออาชพี การพฒั นาคุณภาพสู่มาตรฐาน การวางแผนมุ่งสู่ความเปน็ เลิศ การกาหนดกล ยุทธ์เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ การพัฒนากระบวนการคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ของผู้เรียน การใช้ข้อมูล สารสนเทศเพื่อพัฒนาผู้เรียน การพัฒนาวิชาชีพ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหาร
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 72 ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ แนวคิด วัตถุประสงค์และความสาคัญของการพัฒนา องค์ประกอบการพฒั นา และ เงื่อนไขความสาเร็จ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับบทบาทในการให้ความร่วมมือ การสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัด และ บทบาทของผูร้ บั การพัฒนา แนวทางการพัฒนาท้งั 3 ส่วนน้ี สง่ ผลให้ “โรงเรยี นน่าอยู่ ครดู ี นักเรยี นมีคุณภาพ ชมุ ชนรว่ มใจ และใชป้ ระโยชนร์ ว่ มกนั ” ส่วนศิลป์ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 พบว่า ผู้บริหารต้องมีศิลปะในการบริหารโรงเรียน โดยการนาศาสตร์ของผู้บริหารท่ีคล้ายคลึงกัน ได้แก่ หลัก ธรรมาภิบาล ทฤษฎี POSDCoRB วงจร PDCA ของเดมม่ิง หลักบริหาร 4M หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) และการบริหารโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis นามาประยกุ ตใ์ ชใ้ ห้เหมาะสมกับสถานการณ์ เหมาะสมกบั บรบิ ทโรงเรียนมัธยมศึกษาของแต่ละโรงเรียน ทาให้ ผู้วิจัยได้พบว่าผู้บริหารโรงเรียนมีศาสตร์ต่างๆในการบริหารโรงเรียนแล้วนั้น ต้องมีศิลป์ท่ีจะนาศาสตร์ไป ประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม สามารถสร้างทีมงานวิชาการที่มีความเข้มแข็ง ที่สามารถแก้ปัญหาและพัฒนา โรงเรียนเกิดการปฏิบัติงานหรอื ทากิจกรรมร่วมกนั จนสามารถดาเนินการบรรลุผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์และ เป้าหมายท่ีกาหนดไวไ้ ด้ สอดคล้องกับ ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ (2550) กล่าวว่าภาวะผู้นาน้นั เป็นศิลป์ในการใช้ อิทธิพลของผู้นา เพ่ือจูงใจผู้รว่ มงานให้ปฏิบัตติ ามวัตถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไว้ด้วยความร่วมมอื ร่วมใจอยา่ งเต็มใจ สอดคล้องกับ ยงยุทธ เกษสาคร (2551) กล่าวว่า ภาวะผู้นา หมายถึง คือศิลปะหรือความสามารถของบุคคล หนึ่งท่ีจะกระตุ้นจูงใจหรือใช้อิทธิพลต่อบุคคลอื่น ผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ในสถานการณ์ต่างๆ เพ่ือ ปฏิบัติการและอานวยการ โดยใช้กระบวนการส่ือความหมาย การติดต่อซ่ึงกันและกัน ให้เกิดมีใจร่วมกับตน ดาเนินการจนกระทั่งบรรลุผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กาหนดไว้ และยังสอดคล้องกับ ชัยพัชร์ เลิศรักษ์ทวีกุล (2557) กล่าวว่าบทบาทของผู้นาเชิงกลยุทธ์ ต้องมีการกาหนดทิศทางขององค์กรให้ใช้ชัดเจน มองภาพอนาคตองค์กรว่าอีกห้าปีข้างหน้าจะเป็นอะไร เดินไปทางไหน ผู้นาควรเปิดโอกาสให้เพ่ือนร่วมงาน พนกั งานไดม้ สี ่วนรว่ มในการแสดงความคิดเห็นถงึ เป้าหมาย อนาคตและทิศทางขององค์กรด้วยเพราะจะทาให้ ทุกคนมคี วามผูกพันกับเป้าหมายรว่ มกันด้วย และยังสอดคลอ้ งกับงานวิจัยของว่าท่ีร้อยตรีหญงิ สุพิศ โสภาและ ทมี งาน (2560) ผลการศกึ ษาพบวา่ ปรากฏการณ์การบรหิ ารสถานศกึ ษาสู่ความเปน็ เลิศของ โรงเรยี นแวงใหญ่ วิทยาคม สรุปได้ดังน้ี 1.1) การนาองค์กร โรงเรียนมีการกาหนดนโยบายและส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนา คุณภาพและมาตรฐาน การศึกษาอย่างต่อเนื่องและเกิดความย่ังยืน 1.2) การวางแผนเชิงกลยุทธ์มีระบบการ วางแผนท่ีเปน็ รปู ธรรมโดยการวเิ คราะห์ SWOT Analysis สู่การปฏิบัติอยา่ งตอ่ เนื่อง สรปุ ผล ภาวะผูน้ าทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ในภาพรวมจากการรับรู้ของกลุ่มตวั อยา่ งมีการ ปฏิบัติอยู่ในระดับมาก โดยด้านความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน มีค่าเฉลี่ยของ คะแนนสูงทส่ี ุด ดา้ นการจดั บรรยากาศในโรงเรียน มคี า่ เฉล่ียของคะแนนต่าท่ีสุด ความเขม้ แข็งของทีมวิชาการ โรงเรียนมัธยมศึกษา ในภาพรวมจากการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก โดยด้าน ความสมั พนั ธ์กับภายนอก มีคา่ เฉลย่ี ของคะแนนสูงท่ีสุด ด้านการส่ือสารที่ดีและเปิดเผย มคี ่าเฉลย่ี ของคะแนน
ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 73 ต่าท่ีสุด ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารมีความสัมพันธ์ทางบวกและอยู่ในระดับสูง(r =0.790) กับความ เข้มแข็งของทีมงานวิชาการ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐาน เมื่อพิจารณาเป็น รายด้าน พบว่า ด้านท่ีมีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์สูงที่สุด ได้แก่ ด้านความชัดเจนของเป้าหมายซ่ึงมี ความสัมพันธ์กนั ทางบวกและอยู่ในระดับสูง รองลงมาได้แก่ การประเมินและพัฒนาตนเอง ซึ่งมีความสัมพันธ์ กันทางบวกและอยู่ในระดับสูง การมีส่วนร่วมและปฏิบัติงานที่ชัดเจน มีความสัมพันธ์กันทางบวก และอยู่ใน ระดับสูง และความสัมพันธก์ ับภายนอก มีความสมั พนั ธก์ นั ทางบวกและอยู่ในระดับปานกลาง ตามลาดบั และ มีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์น้อยท่ีสุด ได้แก่ การส่ือสารที่ดีและเปิดเผย มีความสัมพันธ์กันทางบวกและอยู่ใน ระดับปานกลาง อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน ข้อเสนอแนะ แนวทางในการ พัฒนาภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน คือ เสริมสร้างการมีวิสัยทัศน์ที่มองกว้าง คิดไกล ใฝ่ดี มี ความคิดทนั สมัย มีการกาหนดภารกจิ ของโรงเรียนใหท้ ันตอ่ การเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ในยคุ โลกาภิวัตน์ เนน้ ให้ผบู้ ริหารเหน็ ความสาคัญของการพัฒนางานวิชาการโดยมกี ารกาหนดนโยบาย เป้าหมาย มีการประชมุ ช้ีแจง งานวิชาการท่ีชัดเจน และข้อเสนอแนะ แนวทางในการพัฒนาความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียน คือ ทีมงานมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันท้ังภายในทีมงานตนเองและทีมงานอื่น ด้วยการติดต่อส่ือสาร ยอมรับฟังความ คิดเห็นของผู้บังคับบัญชา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และทีมงาน ด้วยความจริงใจ มีการปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ให้เต็มกาลังความสามารถ เสริมสร้างให้องค์กรมีความสามัคคี ทีมงานมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นใน การทางานอยา่ งเปิดเผย ตรงไปตรงมา และรว่ มกันแก้ปญั หา ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย 1) สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธกิ าร ควรกาหนดภาวะผู้นา ทาง วิชาการของ ผู้บริหารโรงเรียนเป็นยุทธศาสตร์และนโยบายท่ีสาคัญใน การพัฒน า ก า รศึก ษ า ขอ ง ช าติ เนื่องจากผู้บริหารโรงเรียนเป็นบุคคลสาคัญท่ีจะนาแนวทางการจัดการศึกษาของชาติและแนวนโยบายของ กระทรวงศึกษาธกิ าร ลงสู่การปฏิบัตใิ นโรงเรียนใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล 2) สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ และสานกั งานเขตพ้ืนท่ี การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 3 ควรใชผ้ ลการวิจัยมาใช้เปน็ สารสนเทศเพ่ือกาหนดนโยบาย วางแผนและส่งเสริม สนับสนุนภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารกับความเข้มแข็งของทีมงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษา สู่การ ปฏบิ ตั ิ อันจะเป็นประโยชน์ในการบรหิ ารโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา 3) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ควรใช้ผลการวิจัยเป็นสารสนเทศในการ ปรับปรุงและถอื เปน็ นโยบายสาคัญระดับสานกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษามธั ยมศึกษาทุกแห่ง ท่ีใหผ้ ้บู รหิ ารโรงเรียน ตระหนักและเห็นความสาคัญต่อการกาหนดภารกิจของโรงเรียน การบริหารหลักสูตร การส่งเสริมการจัด บรรยากาศในโรงเรียน การส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน และเชื่อมโยง ไปส่กู ารปฏิบัติ
ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 74 4) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (สพฐ.) สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 และโรงเรียนมธั ยมศึกษาควรมนี โยบายในการเสริมสร้างภาวะผนู้ าของผู้บริหารอย่างสม่าเสมอ อาจโดย การอบรมให้ความรู้ เพื่อปรับตัวให้ทันกับความท้าทายจากกระแสโลกท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็วในยคุ โลกาภิวตั น์ 5) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (สพฐ.) สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มัธยมศึกษา เขต 3 และโรงเรียน ควรมีนโยบายส่งเสริมการสร้างทีมงานวิชาการด้านความสัมพันธ์ท่ีดีทั้งภายในและ ภายนอกองค์กรแบบมีสว่ นร่วมกันทุกฝ่ายและดา้ นความชัดเจนของเป้าหมาย 6) สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 3 ใช้สารสนเทศเปน็ แนวทางในการสร้างนโยบาย การพัฒนาภาวะผนู้ าทางวิชาการกบั ความเขม้ แขง็ ของทีมงานวชิ าการของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา 2. ขอ้ เสนอแนะเชิงปฏบิ ัติการ 1) ผู้บริหารโรงเรียนควรศกึ ษาแนวทางการพัฒนาทมี งานวิชาการให้มีความเขม้ แข็งและหาแนว ทางการสนับสนนุ สง่ เสริมทมี งานวิชาการใหม้ ีความเข็มแขง็ ในทุกด้าน 2) ผู้บริหารโรงเรียนควรดาเนนิ การวางแผนและกลยุทธ์อย่างจริงจังและมคี วามชัดเจนเพ่ือเสริมสรา้ ง ทีมงานวชิ าการใหม้ คี วามเขม้ แขง็ ปฏิบัตไิ ด้ตามเปา้ หมายรว่ มคิดร่วมพัฒนาเปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั 3) ผู้บริหารโรงเรยี นควรสง่ เสริมด้านความสัมพนั ธท์ ดี่ ที ั้งภายในและภายนอกองคก์ รระหวา่ งครู นักเรยี น ผู้ปกครองและชุมชน เพอื่ การมีส่วนร่วมในทุกภาคสว่ น 4) ผู้บริหารโรงเรียนควรปรับปรงุ และพัฒนาด้านการจัดบรรยากาศในโรงเรยี นเพ่อื สร้างบรรยากาศการ เรียนรู้ของทีมงานวชิ าการ ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นและดาเนินการ ต้ังแต่ระดับกลุ่มสาระการ เรยี นรู้ ระดับชน้ั ระดบั โรงเรยี น 5) ผู้บริหารโรงเรียนควรปรับปรุงและพัฒนาด้านการสื่อสารท่ีดีและเปิดเผยท้ังภายในและภายนอก องคก์ รหรอื ในทุกภาคส่วน เนอ่ื งจากการสือ่ สารทดี่ ีนามาซ่งึ การประสานงาน การประสานงานนามาซ่งึ ความถูก ต้อง ความถกู ต้องนามาซ่ึงรว่ มมือ ความรว่ มมอื นามาซงึ่ ความสาเรจ็ 6) ผู้บริหารโรงเรยี นควรมีการพัฒนาทมี งานวิชาการใหม้ ีความเขม้ แขง็ ทางวิชาการ ดงั น้ี 1. ทีมงานมีสว่ นรว่ มการกาหนดขอบเขต อานาจ หน้าท่ีรบั ผดิ ชอบในการปฏิบตั ิงาน 2. ทมี งานมสี ว่ นร่วมพิจารณาคดั เลือกและแตง่ ตั้งบุคคลท่จี ะมาทาหน้าท่ีตาแหนง่ ต่างๆดา้ นวิชาการ 3. ทีมงานกลา้ เผชญิ กบั ปัญหาหรือข้อขัดแย้งทุกกรณี 4. ทีมงานนาผลการประเมินไปแกไ้ ขข้อบกพร่องและปรบั ปรงุ การทางานให้ดขี ึน้ 5. ทีมงานจดั ทาวารสารของโรงเรยี นเพ่อื ประชาสมั พนั ธใ์ หผ้ ้ปู กครองทราบ เอกสารอา้ งอิง คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2562). พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาต(ิ ฉบับท่ี4) พ.ศ.2562. กรุงเทพมหานคร: สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ สานักนายกรฐั มนตรี.
ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 75 จรัล เลศิ จามีกร.(2554).กิจกรรมการบรหิ ารของผูบริหารสถานศึกษาตามการรับรูในการปฏิบัติของผูบรหิ าร ครู และคณะกรรมการสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาลพบุรี.วิทยานิพนธ ครุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา.จงั หวดั สิงหบ์ ุรี:มหาวิทยาลยั ราชภัฏเทพสตรี. ชยั พชั ร์ เลศิ รักษ์ทวกี ลุ .(2557).ภาวะของผนู้ าเชิงกลยุ ุทธ์.สบื ค้นเมอ่ื 25 มีนาคม 2563.จาก http//:deonetraining.com. ธีระ รุญเจรญิ . (2553).การบรหิ ารโรงเรยี นยคุ ปฏริ ูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: ขา้ วฟ่าง. บตุ รี จารุโรจน์.(2550).ภาวะผ้นู าและการพัฒนาทมี งาน.กรงุ เทพฯ.สานกั พิมพ์ มหาลยั ธุรกิจบณั ฑติ ย์. ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์. (2553). การบรหิ ารงานวิชาการ. กรงุ เทพฯ : ศูนยส์ ่งเสรมิ กรุงเทพ. ปิยนนั ท์ สวัสดิศฤงฆาร.(2552).ภาวะผูน้ า 14 Misconceptions About Leadership.สบื คน้ เม่ือ 10 มีนาคม 2563.จาก https://drpiyanan.com/2020/03/02/14-misconceptions-about-leadership/ ปยิ นชุ สวุ รรณนติ ย์.(2560).การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวชิ าการของผู้บรหิ ารสถานศึกษาข้นั พ้ืนฐาน สงั กัดสานกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาภาคใต้ตอนบน.มหาวิทยาลัยกรงุ เทพธนบรุ .ี พฒั นา อ่าทา้ ว.(2548). ภาวะผู้นาทางวิชาการของผ้บู รหิ ารสถานศึกษาในอาเภอหนองเรือ สังกดั สานักงานเขต พนื้ ทก่ี ารศกึ ษาขอนแก่นเขต 5.มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . ภาวิดา ธาราศรสี ุทธิ.(2550).ทฤษฏกี ารบริหารการศกึ ษาและการบรหิ ารการศึกษา.สบื ค้นเมื่อ 25 มนี าคม 2563.จาก http//:www.vcharkarn.com/javafeed/article/16268. ยงยุทธ เกษสาคร.(2551).ภาวะผ้นู าและการทางานเปน็ ทีม.กรุงเทพฯ.สานักพมิ พ์ เอส.แอนด.์ จี.กราฟฟคิ . รุ่ง แก้วแดง. (2553). ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ รหิ ารยุคปฏิรปู การศกึ ษา : ผู้บริหาร (การศึกษา)มือ อาชพี . กรงุ เทพมหานคร : สานักพมิ พ์ ว.ี ท.ี ซี.คอมมิวนิเคชัน่ . เรืองวทิ ย์ เกษสุวรรณ.(2556).การสร้างทมี งาน.กรุงเทพฯ.สานักพมิ พ์ซีเอ็ดยเู คชั่น. ลคั นา กระตา่ ยทอง. (2544).การศึกษาการทางานเป็นทีมของผู้บรหิ ารโรงเรยี นประถมศกึ ษา สงั กดั สานักงาน การประถมศึกษาจังหวัด กาแพงเพชร .วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา บณั ฑิตวทิ ยาลยั สถาบันราชภัฎกาแพงเพชร. วษิ ณุ จุลวรรณ.(2547). การวเิ คราะหองคประกอบของภาวะผูนาทางวิชาการของผูบริหาร สถานศึกษาขั้น พืน้ ฐาน สังกัดสานกั งานการประถมศกึ ษาจงั หวัดสระบุรี.สถาบนั ราชภฎั พระนครศรอี ยุธยา. วา่ ท่ีร้อยตรหี ญิงสพุ ศิ โสภา.(2560).การบรหิ ารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนขนาดกลางสังกัด สานกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 25.จงั หวัดขอนแกน่ :วารสารวิทยาลยั บัณฑติ เอเชยี . วรี พงษ์ ไชยหงส์ .(2558).ทฤษฏภี าวะผนู้ าทางวชิ าการ.สืบคน้ เม่อื 25 มนี าคม 2563.จาก https://www.gotoknow.org/posts/538526. สิรร์ านี วสภุ ัทร. (2551). ภาวะผู้นาทางวิชาการและสมรรถนะของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาท่ีสง่ ผลตอ่ ความสาเร็จของการบริหารโดยใช้โรงเรยี นเป็นฐาน. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา การบริหารการศึกษา.มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. สุนันทา เลาหนันทน์. (2551). การสรา้ งทมี งาน.กรุงเทพมหานคร.
ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 76 อานุ ชา้ งกลาง.(2557). แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นาทางวิชาการของผบู้ ริหารโรงเรียน ศรีตาบล สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ึนพื้นฐาน.วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ อทุ ยั บญุ ประเสริฐ. (2552). การบรหิ ารหลกั สตู ร : หัวใจในการบรหิ ารงานวชิ าการของโรงเรยี น. กรงุ เทพฯ. Bernard, A.E.(1993). A Study of Role of the Senior High School: Principal as Instruction Leader. Dissertation Abstracts International. 45(04) :994-A Chell, Jan. (2001). Introducing Principal to the Role of Instructional Leadership : A Summary of Master’s Project. Fayol, Henri. (2019). Industrial and General Administration.New Jersey :Clifton. Glickman, Carl D. (2012). Supervision and instructional Leadership :A developmental approach. (7th).Boston : Pearson Heck, R.H.,Lasen T.J., and Marcoulides, G.A.(1990). “Instructional Leadership and School Achievement : Validation of a Causal Model,” Educational Administration Quarterly.26(2),94-125. Hollinger,P. and Murphy, J. (2005). “Instructional Leadership and the School Principal : A Passing Fancy that Refused to Fade Away,” Leadership and Policy in schools.4(3):221- 239 . McEwan A. (2003). 7 steps to effective instructional leadership. Boston: Allyn and Bacon. Parker,G.M.( 1990) .Teamplayers and team work : The new competitive business strategy.San Francisco,Calif:Jossey-Bass. Selim, Philip D. (2001). Sources of Instructional Leadership. Woodcock,M. (1989).Team development manual.Great Britain: Gower Publishing.
ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 77 การบริหารงานพัสดขุ องโรงเรยี นมธั ยมศึกษาสงั กัดสานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 27 Supply and Equipment Administration of schools under The Secondary Educational Service Area Office 27 ไพรมณี แกว้ เปา้ นักศกึ ษาหลักสตู รศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ วทิ ยาลยั นครราชสีมา บทคัดยอ่ การวิจยั ครั้งนี้มีวัตถปุ ระสงค์ เพอ่ื ศกึ ษาสภาพและปญั หาการบรหิ ารงานพสั ดขุ องโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 ตามความคิดเห็นของบุคลากร และเพ่ือเปรียบเทียบ สภาพและปัญหาการบริหารงานพสั ดุของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 ตามความคิดเห็นของบุคลากร จาแนกตามตาแหน่งหน้าที่ ประสบการณ์การปฏิบัติงานพัสดุ และ ขนาดของโรงเรยี น กลุม่ ตวั อยา่ งที่ใช้ในการวจิ ัยครงั้ นี้ ได้แก่ ผู้บรหิ ารโรงเรียนและเจา้ หน้าที่พัสดุของโรงเรียน ในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 27 จานวน 181 คน กาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ ตารางเครจซี่และเมอร์แกน (Krejcie and Morgan) และเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่าย สถิติที่ใช้ใน การทดสอบสมมตฐิ านไดแ้ ก่ ความถ่ี ร้อยละ คา่ เฉลีย่ และ t – test แบบ Independent Samples และ F- test คอื One way ANOVA . ผลการศึกษา 1. สภาพการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 ตามความคิดเห็นของบุคลากร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านการจัดหามีค่าเฉล่ียสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการวางแผนและกาหนดตามความต้องการพัสดุ และด้านการบารุงรักษาพัสดุตามลาดับ สว่ นความคดิ เหน็ ดา้ นท่ีมีค่าเฉลีย่ นอ้ ยท่ีสดุ คอื ด้านการจาหนา่ ยพัสดุ
ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 78 2. ความคิดเห็นของบุคลากรเกี่ยวกับปัญหาการบริหารงานพัสดุของโรงเรียนโดยรวมมีปัญหาอยู่ใน ระดับปานกลาง และเมื่อพจิ ารณาเปน็ รายด้านพบวา่ มปี ญั หาอยูใ่ นระดับปานกลางทุกดา้ น โดยด้านทีม่ คี ่าเฉลี่ย สงู สดุ คือดา้ นการจัดหาพัสดุ รองลงมาคอื ด้านการวางแผนกาหนดความต้องการพัสดุ และด้านการบารุงรักษา พสั ดุตามลาดบั และความคิดเหน็ ดา้ นที่มคี า่ เฉลี่ยน้อยท่ีสดุ คอื ดา้ นการจาหนา่ ยพัสดุ 3. ความคิดเห็นของบุคลากรเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานพัสดุและปัญหาการบริหารงานพัสดุของ โรงเรยี น สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษาเขต 27 ไม่แตกตา่ งกนั 4. ความคิดเห็นของบุคลากรเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานพัสดุและปัญหาการบริหารงานพัสดุของ โรงเรียนบุคลากรจาแนกตามประสบการณ์ มีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 27 ไมแ่ ตกตา่ งกนั 5. ความคดิ เหน็ ของบคุ ลากรเก่ียวกบั สภาพการบริหารงานพสั ดุของโรงเรยี น สงั กดั สานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 จาแนกตามขนาดโรงเรียน ไม่แตกต่างกัน ส่วนความคิดเห็นของบุคลากร เก่ียวกับปัญหาการบริหารงานพัสดุของโรงเรยี น จาแนกตามขนาดโรงเรียน โดยภาพรวมพบว่าไม่แตกต่างกนั แต่เมื่อพิจารณาเปน็ รายด้าน พบวา่ ด้านการควบคุมแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .05 คาสาคญั : ความคิดเหน็ , การบรหิ ารงานพัสด,ุ โรงเรียนมัธยมศกึ ษา, สานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษามัธยมศึกษา ABSTRACT This research aimed to study state and problem supply and equipment administration according to the opinions of personnel, and compare study state and problem supply and equipment administration according to the opinions of personnel, and as classified by position, Work experience and size schools. The sampling were 181 of students vocational certificate in 1st,2nd,3rd of Technology Yasothon international college. The research instrument used in this study was questionnaire with rating scales, the content validity of the questionnaire was evaluated by 5 experts, and had high internal reliability, with Cronbach's alpha as 0 . 9 8 The descriptive statistics were percentage, mean, standard deviation, t-test, F-test, and One-Way Analysis of Variance. . The results finding follows: 1. Opinions of personnel concerning the state of school of supply and equipment Supply and equipment administration of schools under The Secondary Educational Service Area Office 27 according to the opinions of personnel, as a whole and as an individual, were found at a high level, and each aspect the highest mean was the aspect of procurement,
ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 79 followed by Planning and determination as required, maintenance respectively, and the lowest average was Supplies distribution. 2. Opinions of personnel concerning the problems of school Supply and equipment administration of schools under The Secondary Educational Service Area Office 27, as overall was at a medium level, and each aspect the highest mean was the aspect of procurement, followed by planning and determination as required, followed by Planning and determination as required, maintenance respectively, and the lowest average was Supplies distribution. 3. Opinions of personnel concerning the state of school Supply and equipment administration of schools under The Secondary Educational Service Area Office 27 not different. 4. Opinions of personnel concerning the state and problems of school Supply and equipment administration of schools under The Secondary Educational Service Area Office 27, who have a different work experiences was overall not different. 5. Opinions of personnel concerning the state of school Supply and equipment administration of schools under The Secondary Educational Service Area Office 27, who have a different size schools overall were not significantly different (p<.05) . And opinions of personnel concerning the problems of school Supply and equipment administration of schools under The Secondary Educational Service Area Office 27, who have a different size schools overall were not significantly different (p<.05) . Considered in each aspect, that was control aspect significantly different (p<.05). KEYWORDS: Opinions, Supply and equipment administration, Secondary schools ,The Secondary Educational Service. บทนา การบริหารงานใด ๆ ในองค์กรเพ่ือจะให้งานน้ันบรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ตามท่ีกาหนดไว้ได้ ก็ต้องอาศัยทรัพยากรพ้ืนฐานในการบริหาร ซึ่งได้แก่ คน (Man) เงิน (Money) พัสดุ (Material) และวิธีการบริหารจัดการ (Method or management) อันเปน็ ปจั จยั ทส่ี าคัญยง่ิ ตอ่ การปฏิบตั งิ าน ในทุกสาขาวิชาชีพ ในปจั จัยทัง้ ส่ปี ระการนั้น เปน็ ท่ยี อมรบั กนั ว่า การบรหิ ารงานพสั ดุ มคี วามสาคัญมากเท่ากับ การบริหารด้านอ่ืน ๆ ในการบริหารงานขององค์กรทุกประเภทเน่ืองจากพัสดุเป็นเครื่องมือเคร่ืองใช้ท่ีอานวย ความสะดวกในการบริหารงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ การบริหารพัสดุของหนว่ ยงานราชการให้มี ประสทิ ธิภาพจงึ ต้องมีกระบวนการบรหิ ารท่ีดีและต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรวี ่าด้วย การพัสดุ พ.ศ. 2535 และท่แี ก้ไขเพิ่มเติมจนถึงฉบับที่ 6 พ.ศ. 2545 ซ่งึ เป็นขอ้ กาหนดอันสาคญั ยงิ่ สาหรับการ
ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 80 บริหารราชการทุกประเภท ให้ประสบผลสาเร็จและเกิดประโยชนส์ ูงสุด และเพ่ือให้การบรหิ ารพัสดุบรรลุตาม เป้าหมาย ผู้บริหารพัสดุมีความจาเป็นท่ีจะต้องเข้าใจนโยบายการบริหารพัสดุเป็นอันดับแรกเพ่ือความเข้า ใจความชัดเจนและปฏิบัตงิ านไดถ้ ูกต้องตามระเบียบ ในการบรหิ ารงานการศึกษานบั ว่าเปน็ งานสาคญั งานหน่ึง ของชาติ เป็นงานที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ท่ีผู้บริหารนาเอาทรัพยากรทางการบริหาร มาประกอบกันตาม กระบวนการบริหารให้บรรลุเป้าประสงค์ที่กาหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงการศึกษาไทยในปัจจุบันถือเป็น ระยะของการปฏริ ูปและมกี ารเปล่ียนแปลงครง้ั ใหญ่ อนั เป็นผลสืบเน่ืองจากรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และพระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 (อดิศยั เพยี งเกษม. 2547 : 1) ซึง่ ในหมวด 5 ได้ บัญญัติเร่ืองของการบริหารและการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล โดยให้สถานศึกษามี เอกภาพในเชงิ นโยบาย มีความหลากหลายในทางปฏิบตั ิ การมีส่วนรว่ มของประชาชน การกระจายอานาจไปสู่ สถานศกึ ษา (จันทรา จันท์พนั แจ้ง. 2545 : 1) โดยการจัดการบรหิ ารงานพสั ดใุ นโรงเรยี น นบั ว่าเปน็ งานหนึ่งท่ี โรงเรียนต้องปฏิบัติในการบริหารโรงเรยี น ซึ่งต้องนาเอาศิลปะวทิ ยาการในการบรหิ ารมาใช้ในการจัดพสั ดุเพ่อื สนับสนุนและสนองความต้องการในการปฏิบตั ิงานตามแผนงานโครงการของสถานศึกษาใหส้ ามารถดาเนนิ ไป ได้ ดังน้ัน ผู้ปฏิบัติงานด้านน้ีหรือผู้มีส่วนเก่ียวข้องกับการพัสดุ จึงมีความจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีความรู้ เกีย่ วกบั ระเบยี บและกฎหมายทเี่ กีย่ วข้องให้ลกึ ซึ้งชดั เจน ในส่วนของรัฐบาลเองก็ได้ตระหนกั ถึงความสาคัญของ การบริหารงานพัสดุน้มี าโดยตลอด ดงั จะเห็นได้วา่ มีการเปล่ยี นแปลงแก้ไขระเบยี บสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุให้ทันสมัย และรัดกมุ ย่ิงขึน้ เรอ่ื ย ๆ ท้ังน้เี พอ่ื ป้องกันปญั หาท่ีอาจเกดิ ขึ้นและหากมีการปฏิบตั ิผิดพลาด หรือผิดระเบียบกฎหมายแล้ว ผู้เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดท่ีเกิดขึ้นซึ่งอาจจะต้องโทษทั้ง คดอี าญา คดีแพง่ และโทษทางวินยั แล้วแต่กรณดี ้วย (นชุ า อินทรสตู . 2543) สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 เป็นหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการมีหนา้ ท่ีจัด การศึกษาข้ันพ้ืนฐานต้ังแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และยังเป็นพ้ืนฐาน สาหรับการศึกษาระดับสูง จึงต้องมีการดาเนินงานท่ีต้องเก่ียวข้องกับพัสดุอยู่ตลอดเวลา การให้ได้มาซ่ึงพัสดุ ของสถานศึกษา สถานศึกษาจึงต้องดาเนินการจัดซื้อ จัดจ้าง แลกเปลี่ยนและอื่น ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้ พัสดุมาแล้วก็ต้องมีการควบคุม บารุงรักษา ตรวจสอบ และจาหน่าย จึงต้องอาศัยกฎระเบียบและแนวปฏิบตั ิ ต่าง ๆ ที่กาหนดข้ึน โดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษา จึงต้องใช้ทักษะทางเทคนิคในการจัดหา จัดใช้ การ บารุงรักษา รวมท้ังจัดให้มีบุคลากรรับผิดชอบด้านนีโ้ ดยเฉพาะ และต้องระมดั ระวงั ในการดาเนนิ งานการพัสดุ เป็นพเิ ศษ อยา่ งไรก็ตามในทางปฏบิ ัตกิ ารบรหิ ารพัสดุของสถานศกึ ษาพบวา่ มีปญั หาและอปุ สรรคตา่ ง ๆ มากมาย ธวชั ชัย เปรมปรดี ์ (2542 : 20) ได้ระบุไวด้ งั น้ี 1. การจัดหาวสั ดแุ ละครุภณั ฑ์ขาดประสทิ ธิภาพลา่ ช้า และได้สงิ่ ของไม่ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ 2. ไม่มีการลงทะเบียนครภุ ณั ฑข์ องโรงเรยี น หรอื ลงทะเบยี นแต่ไม่เป็นปัจจุบนั 3. การใช้วสั ดไุ มม่ กี ารประหยดั 4. การใชน้ า้ ประปาและไฟฟ้าอย่างฟุม่ เฟอื ย 5. ขาดการดแู ลและซ่อมแซมครุภัณฑ์ใหอ้ ยใู่ นสภาพที่จะใชง้ านได้
ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 81 6. การเกบ็ รักษาไมด่ อี าจจะหาย หรอื ถูกโจรกรรมไป สาหรับการควบคุมการเบิกจ่ายงบประมาณในการจัดซ้ือจัดจ้างเพ่ือให้ได้มาซ่ึงพัสดุของโรงเรียนใน สงั กัดสานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 27 โรงเรยี นจะดาเนนิ จัดซ้ือจดั จ้างตามวงเงินทไี่ ดร้ บั จัดสรร จากสานักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาท่ีโรงเรยี นสังกัด และดาเนนิ การจดั ซ้ือจัดจ้างหรือกระทาการอย่างใดอย่างหน่งึ ตามระเบียบพัสดุเพ่ือให้ได้พสั ดุมา แล้วดาเนินการจัดส่งเอกสารหลักฐานการจัดซอื้ จัดจ้างมายังสานักงานเขต พ้ืนท่ีการศึกษา เพ่ือทาการเบิกจ่ายให้กับเจ้าหน้ีต่อไป แต่ในทางปฏิบัติ สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษ า มัธยมศึกษา เขต 27 โดยการควบคุมของงานพสั ดุ กลุ่มงานบริหารการเงินและสินทรัพย์ที่สานักงานตรวจเงนิ แผ่นดินตรวจพบว่า เอกสารหลักฐานที่โรงเรียนในสังกัดส่งมาเพื่อดาเนินการเบิกจ่ายเงินให้กับเจ้าหนี้ นั้นไม่ ถูกต้อง หรือเม่ือหน่วยตรวจสอบภายใน ได้ตรวจสอบการบริหารงานพัสดุของโรงเรียนในสังกัด ปรากฏว่า โรงเรยี นสว่ นใหญย่ ังมีปัญหาดา้ นการบรหิ ารงานพัสดุไม่เปน็ ปจั จบุ นั ผวู้ จิ ัยจึงมีความสนใจศึกษาสภาพและปญั หาการบริหารงานพสั ดุ และเปรียบเทยี บเก่ียวกับการบริหาร พัสดตุ ามตาแหนง่ หนา้ ท่ี ประสบการณ์ และขนาดโรงเรียน โดยนาผลการศึกษาไปพฒั นาการบรหิ ารงานพสั ดุให้ มีประสิทธิภาพต่อไปและในขณะเดียวกันผู้วิจัย ซ่ึงปฏิบัติหน้าท่ีด้านการควบคุมดูแลงานพัสดุของโรงเรียนใน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 จานวน 60 โรงเรียน จึงมีความตระหนักและความ สนใจที่จะศึกษาถึงสภาพและปัญหาการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 27 เพือ่ เปน็ ขอ้ มูลและแนวทางในการพฒั นางานดงั กล่าวให้มีประสทิ ธิภาพมากข้ึนต่อไป วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 1. เพ่ือศึกษาสภาพและปัญหาการบรหิ ารงานพสั ดขุ องโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกดั สานกั งานเขตพื้นท่ี การศกึ ษามัธยมศึกษาเขต 27 ตามความคดิ เห็นของบุคลากร 2. เพื่อเปรียบเทียบสภาพและปัญหาการบริหารงานพสั ดุของโรงเรยี นมัธยมศึกษา สังกัดสานักงาน เขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 ตามความคดิ เหน็ ของบุคลากรจาแนกตามตาแหน่งหนา้ ที่ ประสบการณ์ การปฏิบัติงานพัสดุ และขนาดของโรงเรยี น สมมติฐานของการวิจัย จากวตั ถุประสงคข์ องการวิจัยและการศึกษาหลกั การ แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ัยที่เกย่ี วข้องจงึ กาหนดสมมติฐานการวิจัยดงั น้ี 1. บุคลากรท่ีมีตาแหนง่ หน้าทต่ี า่ งกนั มสี ภาพและปญั หาการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน แตกตา่ งกนั 2. บุคลากรที่มปี ระสบการณ์ในการทางานตา่ งกนั มสี ภาพและปัญหาการบริหารงานพสั ดุของ โรงเรยี นแตกต่างกัน
ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 82 3. บคุ ลากรท่ีมขี นาดของโรงเรียนต่างกัน มสี ภาพและปัญหาการบริหารงานพัสดขุ องโรงเรยี น แตกตา่ งกนั ประโยชน์ของการวจิ ยั ผลของการศกึ ษาทาให้ทราบถึงสภาพและปญั หาการบรหิ ารงานพสั ดขุ องโรงเรยี น มัธยมศึกษา สังกดั สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 27 เพือ่ นาผลการศึกษาคน้ คว้าไปใช้ปรบั ปรงุ แก้ไขปญั หา และพฒั นาการบรหิ ารงานพสั ดขุ องโรงเรียนมัธยมศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษาเขต 27 ให้มีประสิทธิภาพมากยงิ่ ข้ึน ขอบเขตของการวจิ ัย ขอบเขตด้านเนื้อหา การศกึ ษาค้นควา้ ครั้งน้มี ุ่งศึกษาสภาพและปญั หาเพื่อเปรยี บเทยี บความคดิ เห็น เกยี่ วกบั การ บริหารงานพัสดุของบุคลากรโรงเรยี นมัธยมศึกษา สังกดั สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษาเขต 27 ตาม ระเบยี บสานักนายกรฐั มนตรีว่าดว้ ยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพมิ่ เติมจนถงึ ฉบบั ที่ 6 พ.ศ. 2545 ใน หมวดที่ 2 และ 3 ตามกระบวนการบริหารงานพสั ดุซ่งึ แบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การวางแผนกาหนดความต้องการพัสดุ 2. การจดั หาพสั ดุ 3. การแจกจา่ ย 4. การควบคุม 5. การบารงุ รกั ษา 6. การจาหนา่ ยพัสดุ ขอบเขตด้านประชากรกลุ่มตวั อย่าง 1. ประชากรท่ีใช้ในการวิจยั คร้ังน้ี ไดแ้ ก่ ผบู้ ริหารโรงเรียนและเจา้ หน้าทพ่ี สั ดขุ องโรงเรยี น ในสงั กดั สานักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 27 จาแนกเปน็ ผ้บู ริหารโรงเรยี น จานวน 152 คน และ เจา้ หนา้ ท่ีพัสดขุ องโรงเรยี น จานวน 180 คน รวมประชากร 332 คน 2. กลมุ่ ตัวอย่างท่ใี ชใ้ นการวิจัยครัง้ น้ี ไดแ้ ก่ ผู้บรหิ ารโรงเรยี นและเจ้าหน้าทพี่ สั ดุของโรงเรยี น ในสงั กัดสานักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 27 จานวน 181 คน กาหนดขนาดกลมุ่ ตวั อย่างโดยใช้ ตารางเครจซีแ่ ละเมอร์แกน (Krejcie and Morgan) และเลอื กกลุม่ ตวั อย่างโดยการสุ่มอย่างงา่ ย ขอบเขตดา้ นตัวแปร 1. ตัวแปรอสิ ระ ไดแ้ ก่ 1.1 ตาแหนง่ หน้าที่ จาแนกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบดว้ ย 1.1.1 ผูบ้ ริหารโรงเรยี น
ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 83 1.1.2 เจ้าหน้าทีพ่ ัสดุ 1.2 ประสบการณ์การปฏบิ ัตงิ านพัสดุ จาแนกเปน็ 3 กลุ่ม ประกอบดว้ ย 1.2.1 ไม่เกนิ 10 ปี 1.2.2 เกิน 10 – 20 ปี 1.2.3 เกนิ 20 ปีขนึ้ ไป 1.3 ขนาดของโรงเรียน จาแนกเป็น 3 กล่มุ ประกอบด้วย 1.3.1 ขนาดใหญ่ (มนี กั เรยี นตั้งแต่ 301 - 2,500 คน) 1.3.2 ขนาดกลาง (มนี ักเรียนตัง้ แต่ 121 - 300 คน) 1.3.3 ขนาดเลก็ (มนี กั เรยี นต่ากว่า 120 คน) 2. ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ความคิดเหน็ ของผู้บรหิ ารโรงเรยี นและเจา้ หนา้ ทพี่ สั ดขุ องโรงเรยี น เกีย่ วกับสภาพ และปญั หาการบรหิ ารงานพัสดุของโรงเรยี น สงั กัดสานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 27 ตามกระบวนการบริหารงานพัสดุ 6 ขัน้ ตอน คือ การวางแผนกาหนด ความตอ้ งการ การจัดหา การ แจกจ่าย การควบคุม การบารงุ รักษา และการจาหน่าย ขอบเขตดา้ นเวลา การวจิ ยั เรือ่ ง การบรหิ ารงานพสั ดุของโรงเรียนมัธยมศึกษา สงั กัดสานักงานเขต พื้นทีก่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 27 ดาเนินการวิจัยระหวา่ งเดอื น มกราคม พ.ศ. 2562 ถงึ เดอื น มีนาคม พ.ศ. 2562 กรอบแนวคิดในการววิ ิจยั จากการศึกษาแนวคดิ ทฤษฎี หลักการและเอกสารงานวจิ ัยต่าง ๆ ที่เก่ียวขอ้ งมปี ระโยชน์ต่อการสนใจ ที่จะศึกษาความคิดเหน็ เกี่ยวกับสภาพและปญั หาการบรหิ ารงานพัสดุของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา สังกดั สานกั งาน เขตพนื้ ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 27 ตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีวา่ ด้วยการพสั ดุ พ.ศ. 2535 และที่ แก้ไขเพมิ่ เติมจนถึงฉบบั ที่ 6 พ.ศ. 2545 ในหมวด 2 และ 3 ซ่งึ ผ้วู จิ ัยได้นามากาหนดเป็นกรอบและแนวคดิ ดงั นี้ ตัวเเปรอิสระ ตวั แปรตาม สถานภาพทวั่ ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม ความคดิ เหน็ ของผู้บรหิ ารโรงเรยี นและเจา้ หนา้ ทพี่ ัสดุของ โรงเรียนเกย่ี วกบั สภาพ และปญั หาการบรหิ ารงานพัสดขุ อง 1 .ตาแหน่งหน้าที่ โรงเรียน 1.1 ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น กระบวนการบรหิ ารงานพัสดุ 6 ขน้ั ตอนประกอบด้วย 1.2 เจา้ หนา้ ทพ่ี ัสดุ 1. การวางแผนกาหนด 2. ความตอ้ งการ 2. ประสบการณก์ ารปฏบิ ตั ิงานพสั ดุ 3. การจัดหา การแจกจา่ ย 2.1 ไมเ่ กิน 10 ปี 4. การควบคุม 2.2 เกิน 10 – 20 ปี 5. การบารุงรักษา 2.3 เกนิ 20 ปีขนึ้ ไป 6. และการจาหน่าย 3. ขนาดของโรงเรยี น 3.1 ขนาดใหญ่ 3.2 ขนาดกลาง 3.3 ขนาดเล็ก
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 84 กรอบแนวคิดในการวิจยั ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง การวิจยั ครั้งน้ี ผ้วู จิ ัยได้วจิ ัยกับประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ดงั นี้ 1. ประชากรทใ่ี ช้ในการวิจยั ครง้ั นี้ ไดแ้ ก่ ผูบ้ ริหารโรงเรียนและเจ้าหนา้ ทีพ่ ัสดขุ องโรงเรยี น มธั ยมศึกษา ในสังกัดสานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 จาแนกเป็นผบู้ ริหารโรงเรียน จานวน 152 คน และเจ้าหนา้ ทพี่ สั ดุของโรงเรยี น จานวน 180 คน รวมประชากร 332 คน 2. กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนและเจ้าหน้าท่ีพัสดุของโรงเรียนใน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 จานวน 181 คน กาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ ตารางเครจซี่และเมอรแ์ กน (Krejcie and Morgan) และเลือกกลุม่ ตัวอยา่ งโดยการสมุ่ อยา่ งง่าย เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย เคร่ืองมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม (Questionnaires) ท่ีกาหนดโครงสร้าง (Structured) เป็นเครื่องมือในการวิจัยท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนจากการประมวลแนวคิดท่ีได้มาจากการศึกษาเอกสาร หลักการตามทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง โดยครอบคลุมการบริหารงานพัสดุทั้ง 6 ด้าน คือ การวางแผน กาหนดความต้องการพัสดุ การจัดหาพัสดุ การแจกจ่ายพัสดุ การควบคุมพัสดุ การบารุงรักษาพัสดุ การ จาหนา่ ยพัสดุ โดยแบ่งแบบสอบถามออกเปน็ 3 ตอนดังน้ี ตอนที่ 1 เปน็ ข้อคาถามแบบสารวจรายการ (Check List) ท่ีเกยี่ วกับสถานภาพของผตู้ อบ แบบสอบถาม และข้อมูลพน้ื ฐานของโรงเรียน ตอนที่ 2 เป็นขอ้ คาถามเก่ียวกับสภาพการบริหารงานพสั ดขุ องโรงเรยี น สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 ซง่ึ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale) ซึง่ กาหนดตวั เลอื กไว้ 5 ระดับ วิธกี ารของลเิ คริ ท์ (Likert’s Scale) ตอนท่ี 3 เป็นคาถามเกย่ี วกบั ปัญหาการบรหิ ารงานพสั ดขุ องโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 27 ซ่ึงเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ซง่ึ กาหนดตัวเลอื กไว้ 5 ระดับ วิธีการของลิเคริ ์ท (Likert’s Scale) การกาหนดเกณฑ์การให้คะแนนระดับการบรหิ ารงานพัสดุของ โรงเรยี น สังกดั สานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 กาหนดดังน้ี ระดบั คะแนน 5 หมายถงึ มีสภาพ/ปัญหาระดบั มากที่สดุ ระดบั คะแนน 4 หมายถึง มีสภาพ/ปัญหาระดับมาก ระดบั คะแนน 3 หมายถึง มีสภาพ/ปัญหาระดับปานกลาง
ปีที่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 85 ระดบั คะแนน 2 หมายถึง มีสภาพ/ปัญหาระดับน้อย ระดับคะแนน 1 หมายถึง มีสภาพปัญหาน้อยทส่ี ดุ การสรา้ งและหาคุณภาพเครือ่ งมอื เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวิจัยครั้งนี้ ผู้วจิ ัยมวี ิธีการสร้างตามข้นั ตอน ดังน้ี 1. ศกึ ษาคน้ คว้าเอกสาร หนังสอื และงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การบริหารงานพัสดขุ องโรงเรียน มธั ยมศกึ ษา สงั กดั สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 27 เพอื่ นามาเป็นแนวทางในการสรา้ ง แบบสอบถาม 2. ศึกษาวิธีสร้างเคร่ืองมือแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของ ลิเคิร์ท (Likert) และการสรา้ งแบบสอบถามจากตาราของ บุญชม ศรสี ะอาด (2553 : 74 – 84) 3. ผู้วิจยั ดาเนนิ การสร้างแบบสอบถาม โดยสังเคราะหจ์ ากนยิ ามศพั ทท์ ่ีผู้วจิ ยั ตั้งขึน้ เพอ่ื ใช้ในการ วจิ ยั ในครงั้ น้ี 4. นาแบบสอบถามเสนออาจารยท์ ี่ปรกึ ษาสารนพิ นธ์ เพ่อื ตรวจสอบความถูกตอ้ งเหมาะสม และ พิจารณาให้ข้อเสนอแนะ 5. ปรับปรุงแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ และนาเสนอ ผู้เชย่ี วชาญ จานวน 3 ท่าน เพื่อตรวจพิจารณาความเท่ียงตรงเชงิ เนื้อหาของคาถาม โดยการหาความสอดคล้อง ระหวา่ งข้อคาถามกบั นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ (IOC : Index of Congruence) ซึ่งคา่ ที่ใชไ้ ดต้ ั้งแต่ 0.5-1 6. นาแบบสอบถามทีผ่ า่ นการพิจารณาของผเู้ ชยี่ วชาญมาปรบั ปรุงแก้ไขตามขอ้ เสนอแนะ 7. นาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับบุคลากรที่ไม่ใช้กลุ่มตัวอย่างในการทอดลอง จานวน 30 คน ในสถานศึกษาขั้นพน้ื ฐาน สังกัดสานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษาเขต 27 8. นาแบบสอบถามมาวิเคราะห์ค่าความเช่ือม่ัน โดยการหาสัมประสิทธ์ิแอลฟ่า (Alpha coefficient) ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach) ซ่งึ ความเชอื่ มน่ั ของแบบสอบถาม มคี า่ เทา่ กบั 0.93 9. จดั พมิ พแ์ บบสอบถามฉบบั สมบรู ณ์ เพอื่ นาไปเก็บรวบรวมขอ้ มูลกบั กลุ่มตวั อย่างทีว่ ิจัยต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผู้วจิ ัยได้ดาเนินการตามข้นั ตอน ดงั ต่อไปนี้ 1. ขอหนงั สอื จากคณะบณั ฑิตวทิ ยาลัย เพอ่ื ขอความอนเุ คราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในวิจัยต่อ ผู้อานวยการสานกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 27 2. ผู้วิจัยส่งหนังสือจากวิทยาลัยนครราชสีมา ไปยังสถานศึกษาท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่าง เพ่ือขอความ อนุเคราะหใ์ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการวจิ ัย โดยเก็บรวบรวมข้อมูลดว้ ยตนเอง 3. ผูว้ จิ ยั ติดตามเก็บรวบรวมแบบสอบถามคืนดว้ ยตนเองไดแ้ บบสอบถามกลบั คืนมา ครบถว้ น การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 86 การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการนาแบบสอบถามที่รวบรวมได้จากกลุ่มตัวอย่าง ทาการวิเคราะห์ด้วย โปรแกรมคอมพิวเตอรส์ าเรจ็ รูป SPSS โดยดาเนินการตามขนั้ ตอน ดงั น้ี 1. การวเิ คราะห์ 1.1 การตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามเฉพาะฉบบั ท่สี มบูรณแ์ ล้วนามา วิเคราะห์ 1.2 ขอ้ มูลทีเ่ ปน็ แบบสอบถามทเี่ กี่ยวกับสถานภาพของผ้ตู อบแบบสอบถาม และ ข้อมลู พนื้ ฐานของโรงเรยี นที่เป็นแบบตรวจสอบรายการ วิเคราะห์โดยการนามาแจกแจงความถห่ี าค่ารอ้ ยละ 1.3 ข้อมูลท่ีได้จากแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่าเกี่ยวกับสภาพปัญหา การบรหิ ารงานพสั ดุ ตอนที่ 2 และตอนที่ 3 วเิ คราะหโ์ ดยการหาคา่ เฉล่ีย ( ˉx ) และคา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน ( S.D. ) 1.4 วิเคราะห์เปรยี บเทยี บความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพและปญั หาการบริหารงาน พัสดุของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา สงั กัดสานักงานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 27 จาแนกตามตาแหน่ง หนา้ ท่ี โดยการทดสอบค่าที (t - test) แลว้ นาเสนอผลการวิเคราะห์ในรูปตารางและการบรรยาย 1.5 วิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บความคดิ เหน็ เกีย่ วกบั สภาพและปญั หาการบรหิ ารงาน พัสดุของโรงเรียนมัธยมศึกษา สงั กดั สานักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 27 ใชส้ ถิตใิ นการวิเคราะห์ เปรยี บเทียบความคดิ เหน็ จาแนกตามข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลพ้ืนฐานของโรงเรียน ใชส้ ถติ เิ อฟ (F - test) 2. การแปลผล 2.1 การแปลผลการวเิ คราะห์ข้อมูลที่เกยี่ วกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 1 ใชค้ า่ รอ้ ยละ (Percentage) 2.2 การแปลผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลเก่ยี วกบั สภาพและปญั หาการบริหารงานพสั ดุ ในโรงเรียน สงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 27 จากแบบสอบถาม ตอนท่ี 2 และตอนท่ี 3 วิเคราะห์โดยการพิจารณาจากระดบั ค่าเฉล่ีย (xˉ ) ตามหลักเกณฑ์จุดกลาง (Mid point) ของระดบั ชว่ งคะแนน (Class interval) โดยใช้มาตรการวดั ของลเิ คิร์ท ดังน้ี คา่ เฉล่ีย 4.51 – 5.00 หมายถงึ มีสภาพ/ปัญหามากทีส่ ุด คา่ เฉล่ีย 3.51 – 4.50 หมายถงึ มสี ภาพ/ปญั หามาก คา่ เฉล่ีย 2.51 – 3.50 หมายถึง มสี ภาพ/ปัญหาปานกลาง คา่ เฉลยี่ 1.51 – 2.50 หมายถึง มสี ภาพ/ปัญหาน้อย ค่าเฉล่ยี 1.00 – 1.50 หมายถึง มสี ภาพ/ปญั หานอ้ ยที่สดุ สถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู 1. สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการหาคณุ ภาพของเครอ่ื งมือ ไดแ้ ก่
ปีท่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 87 1.1 ความเท่ียงตรงเชิงเนอื้ หา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ระหว่าง ข้อคาถามกบั นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 1.2 ความเช่ือมั่นของแบบสอบถามท้ังฉบับ โดยหาค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟ่า (Alpha coefficient) ตามวธิ ขี องครอนบาค (Cronbach) 2. สถติ ิพื้นฐาน ได้แก่ 2.1 ความถี่ 2.2 ร้อยละ 2.3 ค่าเฉล่ีย 2.4 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 3. สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการทดสอบสมมตฐิ านไดแ้ ก่ (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2553: 74 - 84) 3.1 t – test แบบ Independent Samples 3.2 F-test คือ One way ANOVA สรุปผลการวิจยั 1. ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับสภาพการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านการจัดหาพัสดุมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือด้านการวางแผนและกาหนดตามความต้องการพสั ดุ และดา้ นการบารุงรักษาพสั ดุตามลาดับ ส่วน ความคิดเห็นดา้ นทมี่ ีค่าเฉลี่ยนอ้ ยที่สุด คอื ด้านการจาหน่ายพสั ดุ 2. ผลการวเิ คราะห์เก่ยี วกับความคิดเห็นของบุคลากรเกี่ยวกับปัญหาการบริหารงานพัสดขุ องโรงเรียน โดยรวมมีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลางทกุ ด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการจัดหารองลงมาคือด้านการวางแผนกาหนดความต้องการ และด้าน การบารุงรกั ษาตามลาดบั และความคิดเห็นด้านทีม่ ีคา่ เฉลยี่ น้อยทีส่ ุดคือ ดา้ นการจาหน่ายพัสดุ 3. ผลการเปรียบเทยี บความคิดเห็นเก่ียวกับสภาพการบรหิ ารงานพสั ดุและปัญหาการบรหิ ารงานพัสดุ ของโรงเรยี นผู้บริหารและเจ้าหนา้ ท่ีพัสดุมีความคิดเห็นเกีย่ วกับสภาพการบรหิ ารงานพัสดุของโรงเรียน สังกัด สานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 ไมแ่ ตกต่างกนั 4. ผลการเปรียบเทยี บความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานพสั ดุและปัญหาการบรหิ ารงานพัสดุ ของโรงเรยี นบคุ ลากรที่มีประสบการณก์ ารทางานตา่ กว่า 10 ปี กบั บุคลากรที่มปี ระสบการณ์การทางาน 10 ปี ข้ึนไป มีความคิดเห็นเก่ียวกับสภาพการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศกึ ษาเขต 27 ไม่แตกต่างกนั 5. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกบั สภาพการบรหิ ารงานพัสดุและปัญหาการบริหารงานพสั ดุ ของโรงเรียน โดยความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานพสั ดุของโรงเรียนของบุคลากรในโรงเรียนขนาด เล็กกับขนาดกลางและขนาดใหญ่ มีความคิดเห็นเก่ียวกับสภาพการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน สังกัด สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 ไม่แตกต่างกนั ส่วนความคิดเห็นของบุคลากรเก่ียวกับปัญหา
ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 88 การบรหิ ารงานพัสดขุ องโรงเรียน จาแนกตามขนาดโรงเรยี น โดยภาพรวมพบว่าไมแ่ ตกต่างกนั แตเ่ ม่ือพิจารณา เปน็ รายดา้ น พบวา่ ด้านการควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 อภปิ รายผล จากการศึกษาการบริหารงานพัสดุของโรงเรยี นมธั ยมศึกษา สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 27 ผู้วิจัยอภปิ รายผลในประเดน็ ที่สาคัญ พอสรปุ ได้ดังน้ี 1. สภาพการบรหิ ารงานพัสดุของโรงเรียนมัธยมศึกษา สงั กัดสานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่า บุคลากรในโรงเรียน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการปฏิบัติอยู่ใน ระดับมาก โดยมีด้านการจัดหาพัสดุที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านการจาหน่ายพัสดุมีค่าเฉลี่ยต่าสุด ซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจัยของอดิศัย เพียงเกษ (2547) ที่วิจัยการบริหารงานพัสดุของโรงเรียนท่ีจัดการศึกษาระดับ มธั ยมศึกษาสงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาขอนแก่น เขต 1 พบวา่ ความคิดเหน็ ของบุคลากรเกย่ี วกบั สภาพ การบริหารงานพัสดุ ท้ังภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ผลการศึกษาในประเด็นน้ียังสอดคล้องกับ งานวจิ ัยของจันทรา จนั ทพ์ นั แจง้ (2545) ไดศ้ ึกษาปญั หาในการบรหิ ารงานการเงินและพัสดุของโรงเรยี น สงั กัด สานกั งานการประถมศึกษาจงั หวัดอ่างทอง พบว่าสภาพการบรหิ ารงานการเงินและพัสดุ อยู่ในระดบั มาก ซึ่งผล การศึกษาเปน็ เช่นน้อี าจเน่ืองมาจากสานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษามัธยมศึกษาเขต 27 ซง่ึ เปน็ หน่วยงานตน้ สังกัด มีการเนน้ ใหผ้ เู้ ก่ยี วข้องทกุ ฝ่ายปฏบิ ตั ติ ามระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรวี า่ ด้วยการพสั ดุ พ.ศ. 2535 และท่ีแก้ไข เพ่ิมเติมทุกฉบับ โดยมีการแจ้งในท่ีประชุมผู้บริหารในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 ในวาระประชุมประจาเดือน มีการระดมความคิดเห็นเพ่ือเสนอแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน อีกกรณีหนึ่งท่ีเป็น แรงผลกั ดันคอื บทกาหนดโทษสาหรับผู้ทกี่ ระทาผิดระเบยี บสานักนายกรัฐมนตรีว่าดว้ ยการพัสดุ ท่ีได้กาหนดไว้ อยา่ งชัดเจน ทาให้ผปู้ ฏิบตั ิต้องยดึ ระเบยี บและปฏบิ ตั ิตามดว้ ยความระมดั ระวังเพราะจะมีผลกระทบตอ่ ผู้ปฏิบัติ ในด้านตาแหน่งทางราชการและท้ังน้ีอาจเน่ืองมาจากผู้บริหารโรงเรียนมีการบริหารจัดการเป็นระบบ มีการ กากับ นิเทศ ตดิ ตามประเมนิ ผลการปฏิบตั งิ านของเจา้ หนา้ ท่พี ัสดุโรงเรียนอยา่ งสม่าเสมอให้เป็นไปตามระเบียบ สานักนายกรฐั มนตรีว่าดว้ ยการพสั ดุ พ.ศ. 2535 ซง่ึ ผ้บู ริหาร เจ้าหน้าท่ีพัสดุ และผูเ้ กย่ี วข้องกับงานพสั ดจุ ะต้อง ศึกษาระเบียบดังกล่าวอย่างละเอียด รวมถึงการควบคุมติดตามของเจ้าหน้าท่ีสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มัธยมศึกษาเขต 27 ที่ติดตามการใช้จ่ายงบประมาณของโรงเรียนในสังกัดให้เป็นไปตามระเบียบพัสดุอย่าง เคร่งครัด 2. ปัญหาการบรหิ ารงานพัสดุของโรงเรียนมัธยมศึกษา สงั กัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่า บุคลากรในโรงเรียน มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีด้าน การจดั หาพสั ดุทม่ี ีคา่ เฉล่ยี สงู สดุ และดา้ นการจาหน่ายพัสดุมีค่าเฉล่ียต่าสุด ซง่ึ สอดคลอ้ งกับงานวิจัยของอดิศัย เพียงเกษ (2547) ที่วิจัยการบริหารงานพัสดุของโรงเรยี นท่ีจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาสังกัดสานักงานเขต พ้ืนที่การศึกษาขอนแก่น เขต 1 พบว่า ความคิดเห็นของบุคลากรเก่ียวกับปัญหาการบริหารงานพัสดุ ท้ัง ภาพรวมและรายด้าน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลางนอกจากนี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของกนกรตั น์ คล้าย ทองคา (2541) ซ่ึงศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขการบริหารงานพสั ดุมหาวิทยาลัยบูรพา พบว่า ทั้งภาพรวม
ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 89 และรายด้านมีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง และสอดคล้องกับงานวิจัยของ นุชา อินทรสูตร (2543) ได้ศึกษา เรื่องปัญหาและแนวทางการพัฒนาการบริหารงานพัสดุในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา พบว่า ปญั หาการบริหารงานพัสดุโดยภาพรวม มีปญั หาการบรหิ ารงานอย่ใู นระดับปานกลาง ผลการศกึ ษาในการวิจัย ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของอุทิศ ไชยสี (2544) ศึกษาปัญหาการปฏิบัติงานพัสดุโรงเรียนประถมศึกษาสังกัด สานักงานการประถมศึกษาอาเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม ผลการศึกษาพบว่ามีปัญหาการปฏิบัติงานพัสดุ โรงเรียน โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งผลการศึกษาเป็นเช่นน้ีอาจมีสาเหตุมาจากทั้ง ผู้บริหารโรงเรียน และเจ้าหน้าที่พัสดุ ต่างก็มิได้มีความรู้หรือศึกษามาด้านการบริหารงานพัสดุโดยตรง และยงั ไม่เข้าใจขั้นตอนการปฏิบตั ิงานตามระเบยี บสานักนายกรฐั มนตรีวา่ ดว้ ยการพัสดุ พ.ศ. 2535 โดยชัดเจน และยงั พบว่า มปี ัญหาในการบริหารงานพัสดขุ องโรงเรยี นในระดบั ปานกลางทุกด้าน โดยมปี ัญหาดา้ นการควบคุมมาก ทส่ี ดุ จากประเด็นนอ้ี าจมองได้วา่ ในขณะทสี่ ภาพการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก แต่พบว่าปัญหาการบริหารงานพัสดุของโรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งรายด้านพบว่า ด้าน ควบคุมมีค่าเฉลี่ยสูงสุด และอาจเนื่องมาจากปรมิ าณงานพสั ดุในโรงเรียนมไี ม่มาก อาจจะมีบ้างท่ีผู้บรหิ ารและ เจ้าหน้าที่พัสดุ ต้องปฏิบัติงานหน้าท่ีอื่น ๆ จึงทาให้การปฏิบัติงานไม่ต่อเนื่อง และอาจจะมีการเปล่ียนแปลง หน้าท่กี ารปฏบิ ัตงิ านบ่อย จึงทาใหผ้ ู้รับหนา้ ทใ่ี หมต่ อ้ งเรียนรู้ ศกึ ษาระเบยี บการปฏิบัติงานจงึ ไม่ต่อเน่ือง ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความคิดเห็นเก่ียวกับสภาพการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน สังกัด สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 จาแนกตามตาแหน่งหน้าท่ี ประสบการณ์และการ ปฏบิ ัตงิ านพสั ดุ และขนาดของโรงเรยี น ผลการศึกษา เมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเก่ียวกับสภาพการบริหารงานพัสดุของโรงเรียนสังกัด สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 27จาแนกตามตาแหน่งหนา้ ที่ ประสบการณ์และการปฏิบัตงิ าน พัสดุและขนาดของโรงเรียนโดยรวมผลการวิจัย พบว่ามีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ซ่ึงไม่สอดคล้องกับ สมมติฐานที่ต้ังไว้ ท้ังนี้อาจเน่ืองมาจาก ผู้บริหารมีหน้าท่ีควบคุมเชิงนโยบาย และเจ้าหน้าที่พัสดุเป็น ผใู้ ต้บังคับบญั ชาท่จี ะต้องรบั นโยบายจากผู้บังคับบัญชานาไปสู่การปฏิบตั ิ ฉะนน้ั จะตอ้ งทราบนโยบายที่ตรงกับ ผู้บริหารรวมถึงวัตถุประสงค์ท่ีหน่วยงานต้องการ หรือผลลัพธ์ที่จะเกิดข้ึน ซ่ึงจะต้องเป็นผลลัพธ์ที่มี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้ก็ต้องเกิดจากความร่วมมือกันของท้ังผู้บริหารและเจ้าหน้าที่พัสดุท้ังนี้อาจ เนื่องมาจากผู้บรหิ ารซ่ึงเป็นผู้กากบั ดูแลการบริหารงานพสั ดุโดยตรง จึงเห็นคุณค่าของการบริหารงานพสั ดใุ น ด้านประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความเป็นธรรม ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และการให้บริการเพยี งพอกับความ ต้องการของบุคลากรในโรงเรยี น ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความคิดเห็นเก่ียวกับปัญหาการบริหารงานพสั ดุของโรงเรียน สังกัด สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 จาแนกตามตาแหน่งหน้าท่ี ประสบการณ์และการ ปฏิบัตงิ านพัสดุ และขนาดของโรงเรยี น ผลการศึกษา เมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเก่ียวกับปัญหาการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน มัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 จาแนกตามตาแหน่งหน้าท่ี และ ประสบการณ์และการปฏิบัติงานพัสดุโดยรวมผลการวิจัย พบว่ามีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ซ่ึงไม่สอดคล้อง
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 90 กับสมมติฐานท่ีตั้งไว้ ทั้งน้ีอาจเน่ืองมาจากผู้บริหารมีหน้าที่ควบคุมเชิงนโยบาย และเจ้าหน้าท่ีพัสดุเป็น ผใู้ ตบ้ งั คบั บัญชาทีจ่ ะต้องรับนโยบายจากผู้บงั คบั บัญชานาไปสู่การปฏิบตั ิ ฉะนั้น จะตอ้ งทราบนโยบายท่ตี รงกับ ผู้บริหารรวมถงึ วตั ถุประสงค์ทหี่ นว่ ยงานตอ้ งการหรือผลลพั ธท์ ่จี ะเกิดขนึ้ ซึ่งจะต้องเปน็ ผลลพั ธท์ ีม่ ีประสิทธิภาพ และประสทิ ธิผลได้ก็ตอ้ งเกิดจากความร่วมมอื กนั ของทงั้ ผูบ้ รหิ ารและเจ้าหน้าที่พัสดุ เมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการบริหารงานพัสดุของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 จาแนกตามขนาดของโรงเรียน โดยรวม ผลการวิจัย พบว่ามี ความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน จะมีเฉพาะขนาดโรงเรียน แต่ในด้านการควบคุมที่มีความแตกต่างกันอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ท้ังน้ีอาจเน่ืองมาจากโรงเรียนทุกโรงมีคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการดาเนินการ เกยี่ วกบั พสั ดโุ ดยชดั เจน แต่การแจกจ่ายพัสดุใหก้ ับตอ้ งการใชอ้ าจจะไมต่ รงความตอ้ งการและมีขนั้ ตอนมาก ทา ให้เกดิ ความล่าช้า ขอ้ เสนอแนะ 1. สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 ควรดาเนินการสารวจการควบคุมพัสดุของ โรงเรียนอยา่ งนอ้ ยปกี ารศึกษาละ 1 คร้ัง เพื่อนาผลการสารวจมาวิเคราะห์เพือ่ หาแนวทางแก้ไขและช่วยเหลอื โรงเรยี นในสังกัด 2. ทุกส้ินปีงบประมาณ กาหนดให้โรงเรียนรายงานการตรวจสอบพัสดุประจาปี ตามระเบียบพัสดุ สานักงานนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2535 อย่างเคร่งครดั ท้ังน้ี แม้ในปัจจุบันจะมกี ารปฏิบัติอยู่แล้ว แต่ยังไม่ปฏิบัติ ทุกโรงเรียน 3. สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 ควรจัดแผนปฏิบัติการด้านการบริหารงานพัสดุ ของโรงเรยี น ในแต่ละปีการศึกษา เพ่อื ให้โรงเรยี นใชเ้ ปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ิงานทช่ี ัดเจน 4. การประชุมผู้บริหารสถานศึกษาประจาเดือน ควรมีการแจ้งนโยบายการบริหารงานพัสดุ ผลการ ดาเนินการจัดซ้ือจัดจ้างของโรงเรียน งบประมาณท่ีโรงเรียนยังมิได้ดาเนนิ การ เพ่ือเป็นการควบคุมการติดตาม การเบกิ จา่ ยงบประมาณของโรงเรียน ของสานกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาเขต 27 5. จัดทาคู่มือการบริหารงานพัสดุของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 27 โดยมีข้ันตอนการปฏิบัติงานที่ละเอียด ชัดเจน เข้าใจง่ายและสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และเป็น ปัจจุบัน 6. จดั อบรมให้ความรูเ้ กย่ี วกับการบริหารงานพสั ดแุ ก่บุคลากรที่รบั ผดิ ชอบงานบรหิ ารพสั ดขุ องโรงเรียน และผู้เก่ียวข้องทสี่ นใจ ทุกปี โดยเฉพาะดา้ นการบารุงรักษาพสั ดคุ รภุ ณั ฑ์ และด้านการจาหนา่ ยพัสดุ ข้อเสนอแนะสาหรบั โรงเรียน 1. ควรกาหนดประชุมวางแผนการดาเนินการในดา้ นความพรอ้ มและความรับผิดชอบตอ่ พัสดุอย่าง ชดั เจน ละกาหนดแนวปฏิบัติงานพัสดุแกบ่ คุ ลากรทุกสว่ นให้ชดั เจน และประเมินผลการวางแผนกาหนดความ ตอ้ งการใชพ้ สั ดุทกุ ปกี ารศกึ ษา
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 91 2. กาหนดแผนปฏิบัตกิ ารจดั หาพัสดอุ ย่างชดั เจน และนาผลการตรวจสอบและประเมนิ ผลการจัดหา พสั ดทุ ุกปีการศึกษา มาปรบั ปรุงแนวทางการจัดหาพสั ดุ 3. ควรมีการกาหนดวันเวลาในการแจกจ่ายพัสดุท่ีแน่นอนพร้อมท้ังกาหนดแนวปฏิบัตใิ นการแจกจ่าย พัสดอุ ย่างชัดเจน และแจกจา่ ยตรงตามความต้องการของผใู้ ช้ 4. ควรมกี ารนาผลการประเมนิ การปฏิบตั ิในด้านการควบคมุ พสั ดุทุกปกี ารศึกษามาปรบั ปรุงแนว ทางการควบคมุ พสั ดุ และควรมีการตรวจสอบสภาพพัสดุครภุ ณั ฑอ์ ยา่ งสมา่ เสมอ 5. ควรนาผลการประเมนิ การจาหนา่ ยพัสดุมาปรับปรงุ แนวทางการจาหนา่ ยพสั ดุ ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ัยคร้งั ตอ่ ไป 1. ควรมกี ารศึกษาเกีย่ วกบั การบรหิ ารงานพสั ดขุ องโรงเรียนในระบบการจัดงบประมาณแบบม่งุ เนน้ ผลงาน (PBB) ของสานกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 27 2. ควรมกี ารศึกษาความตอ้ งการการอบรมเชิงปฏิบัตกิ ารการบรหิ ารงานพัสดุของบคุ ลากรในโรงเรียน ของสานักงานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศึกษาเขต 27 3. ควรศึกษาความตอ้ งการการนเิ ทศ ตดิ ตามการบริหารงานพัสดุของโรงเรยี น ของสานกั งานเขตพน้ื ที่ การศึกษามธั ยมศึกษาเขต 27 เอกสารอ้างองิ กนกรตั น์ คล้ายทองคา. (2541). ปญั หาและแนวทางแก้ไขการบริหารงานพัสดุ มหาวทิ ยาลยั บูรพา. ปรญิ ญา นพิ นธ์ ปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัย บรู พา. จันทรา จนั ทพ์ นั แจง้ . (2545). ปญั หาในการบรหิ ารงานการเงินและพัสดขุ องโรงเรยี น สงั กัดสานักงานการ ประถมศึกษา จังหวัดอ่างทอง. วิทยานพิ นธ์ครุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา สถาบนั ราชภัฎเทพสตรี. ธวัชชัย เปรมปรดี ิ์. (2542). ปัจจัยทจ่ี าเป็นในการบริหาร. กรุงเทพฯ : อักษรไทย. นุชา อินทรสตู . (2543). ปัญหาและแนวทางการพฒั นาการบริหารงานพสั ดุในโรงเรยี นมธั ยมศึกษา สังกดั กรมสามัญศกึ ษา จงั หวัดหนองคาย. วทิ ยานิพนธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหาร การศกึ ษา, บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. บญุ ชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยเบอ้ื งตน้ (พิมพ์ครง้ั ที่ 8). กรงุ เทพฯ: สุวีริยสาสน์. อดิศยั เพยี งเกษ. (2547). การบริหารงานพัสดุของโรงเรียนทจี่ ัดการศึกษาระดบั มัธยมศึกษา สังกัด สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษาขอนแก่น เขต 1. วิทยานพิ นธ์ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการ บรหิ ารการศกึ ษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. อุทิศ ไชยศรีสุทธ์. (2543). การศึกษาสภาพการปฏิบตั ิงานตามเกณฑ์ มาตรฐานการจดั การศึกษา ดา้ น กระบวนการการบริหารในโรงเรียนสงั กดั เทศบาลนครขอนแกน่ . วทิ ยานิพนธ์ศึกษา
ปีที่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 92 ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . Krejcie,R.V.;&Morgan,D.W. (1970). Deterging Sampling Size for Research Activities. Education Psychological Measurement.(30). การบริหารงานบุคคลของสานกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาร้อยเอด็ เขต 1 Personnel Administration of Roi Et primary Educational service area office 1 เพชรรัตน์ พลทศั น์ นกั ศึกษาหลักสตู รศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์และศลิ ปศาสตร์ วทิ ยาลัยนครราชสมี า บทคัดยอ่ การศกึ ษาเรอื่ ง การบรหิ ารงานบุคคลของสานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา ร้อยเอ็ด เขต 1 จาแนกตามสถานะและขนาดของโรงเรียนประชากรที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้ ได้แก่ ผู้บริหารและครูของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 ปีการศึกษา 2561 จานวน 2,542 คน กาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน และได้มาโดยการสุ่ม แบบแบ่งช้ันจานวน 337 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ สอบถามเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษารอ้ ยเอด็ เขต 1 มรี ะดับความเชอื่ มน่ั เท่ากับ 0.86 สถิตพิ ้นื ฐานท่ีใชว้ ิเคราะห์ขอ้ มูล ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานและสถติ ทิ ใี่ ช้ในการทดสอบสมมติฐานไดแ้ ก่ t-test และ f-test ผลการศกึ ษา 1. การบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 โดยรวมอยูใ่ น ระดบั มากเมื่อพิจารณาเปน็ รายดา้ นพบว่า การบริหารงานบคุ คลอยูใ่ นระดบั มากทุกดา้ น โดยเรยี งลาดับคา่ เฉลี่ย จากมากไปหานอ้ ย ได้แก่ การฝึกอบรมและพัฒนา การประเมนิ ผลการปฏิบัติงาน การวางแผนทรพั ยากรมนุษย์ การจดั หาบคุ คลเขา้ ทางาน การบรหิ ารจดั การค่าตอบแทน การยา้ ยพนกั งานและการทดแทน
ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 93 2. เปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 จาแนกตามตาแหน่ง และขนาดโรงเรยี น พบว่า 2.1 การบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 จาแนก ตามตาแหน่ง โดยรวมและรายดา้ นไมแ่ ตกตา่ งกนั 2.2 การบริหารงานบคุ คลของสานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาร้อยเอด็ เขต 1 จาแนก ตามขนาดของโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนรายด้านแตกต่างกันในด้านการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ และดา้ นการยา้ ยพนักงานและการทดแทน คาสาคัญ : การบรหิ ารงานบคุ คล, ผบู้ ริหาร, ครู, สานกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษา ABSTRACT This study was purposed to study and compare personnel administration of Roi Et primary educational service area office 1, and as classified by the position, size of school. The populations for this study are 2,542 administrators and teachers of schools under Roi Et primary educational service area office 1, academic year 2018, The sample groups contained 337 administrators and teachers of schools under Roi Et primary educational service area office 1, selected by Krejcie & Morgan with stratified random sampling. . The research instrument used in this study was questionnaire about personnel administration of Roi Et primary educational service area office 3 with rating scales, the content validity of the questionnaire was evaluated by 5 experts, and had high internal reliability, with Cronbach's alpha as 0 . 86. The descriptive statistics were percentage, mean, standard deviation, t-test, F-test, and One-Way Analysis of Variance. The results finding follows: 1. The state of personnel administration of Roi Et primary educational service area office 1, as a whole was at high level. When considering each aspect, all aspects were ranked of a high level by descending order of the average, all aspects were ranked of a high level by descending order of the average, as follows ; Training and development, Performance evaluation, Human resource planning, Recruiting people to work, Compensation management, Relocation and replacement. 2. The result of comparison personnel administration of Roi Et primary educational service area office 1, and as classified by the position, size of school finding follows:
ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 94 2.1 The result of comparison personnel administration of Roi Et primary educational service area office 1, and as classified by the position, classified by overall no differences agenda was overall not different. 2.2 The result of comparison personnel administration of Roi Et primary educational service area office 1, and as classified by size of school was overall not different, except Human resource planning and Relocation and replacement. KEYWORDS : Personnel, Administrators, Teachers, Primary educational service area office บทนา ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556-พ.ศ. 2561) มุ่งเน้นการสร้างความเป็น เลิศในการให้บริการประชาชน ยกระดับคุณภาพมาตรฐานการให้บริการ นาไปสู่ การเพิ่มขีดความสามารถใน การประกอบธุรกิจของประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยทบทวนข้ันตอนปรับปรุง กระบวนงาน หรือ แก้ไข กฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ ท่ีเป็นอุปสรรคต่อการให้บริการ มีการนาเทคโนโลยี สารสนเทศท่ีเหมาะสมมาใช้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเขา้ ถงึ และใช้บรกิ ารได้งา่ ย ตลอดจนเสรมิ สร้างวัฒนธรรม องค์การให้บคุ ลากรมจี ิตใจท่เี อื้อตอ่ การให้บรกิ ารทดี่ ี เพ่อื ให้ประชาชนมคี วามพึงพอใจตอ่ คุณภาพการใหบ้ ริการ (กัญญา มว่ งแก้ว. 2559. น, 1) การบริหารงานในองค์กรจะประสบความสาเร็จมากน้อยเพียงใดย่อมข้ึนอยู่กับความสามารถในการ บริหารจัดการภาระหน้าที่ต่างๆ ให้บรรลุตามเป้าหมายได้ไมว่ ่าจะเป็นเรื่องการวางแผน การจัดองค์กร การจัด คนเข้าทางาน การชี้นา และการควบคุม ซึ่งในกระบวนการเหล่าน้ีปัจจัยด้านคนมีบทบาทสาคัญที่สุด ที่จะ ขับเคลือ่ นให้การปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีต่างๆ ดาเนินไปตามทิศทางหรือเป้าหมายที่ได้กาหนดไว้โดยเฉพาะหน้าทข่ี องการ จัดคนเขา้ ทางานทไี่ ด้มีการพฒั นาขึ้นเปน็ ศาสตรอ์ ยา่ งหน่งึ ทางวชิ าการทเ่ี รยี กวา่ การบริหารงานบุคคล หรือการ บริหารทรัพยากรมนุษย์ (วิลาวรรณ รพีพิศาล. 2554. น, 1) ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และทแ่ี ก้ไขเพ่มิ เตมิ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ.2553 มาตรา 39 ได้กาหนดใหก้ ระทรวง กระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษา ท้ังด้านวิชาการงบประมาณ การบริหารงานบุคคลและการ บริหารงานทวั่ ไป ไปยังคณะกรรมการ และสานักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษา และสถานศึกษาในเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษา โดยตรง (ราชกจิ จานุเบกษา. 2553. น, 12) การกระจายอานาจดงั กล่าวทา ใหส้ ถานศึกษามีความคลอ่ งตัวและมี อิสระในการบริหารจดั การ การบริหารงานจะประสบความสาเร็จไปได้ด้วยดีมากน้อยเพียงใดนัน้ ขึน้ อย่กู ับการ บริหาร “คน” ในองค์กร เพราะการดาเนินงานต่างๆ ผู้บริหารกระทา เพียงคนเดียวไม่ได้ ต้องมีผู้ร่วมงานเป็น ส่วนหน่ึงท่ีทาให้การดาเนินงานขององค์กรประสบความสาเร็จระบบการบริหารงานบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพ จาเป็นต้องมีข้อมูล เพื่อการบริหารอย่างเพียงพอ ตอบสนองต่อการตัดสินใจ และการกาหนดนโยบาย โดย สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาจาเป็นต้องมีฐานข้อมูลหลักของผู้บริหารและครูในเชิงลึกเป็นรายบุคคลอย่าง สมบรู ณเ์ ปน็ ปัจจุบัน เพือ่ เป็นขอ้ มลู ในการบริหารทรัพยากรบุคคลทงั้ ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ มฐี านข้อมูล
ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 95 หลักที่เป็นเคร่ืองมือในการบริหารงานบุคคลในระดับสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เขตพื้นที่ การศึกษาและสถานศึกษา (สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน. 2553. น, 1) จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยในฐานะบุคลากรทางการศึกษาในสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 จึงสนใจที่จะศึกษา การบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 เพ่อื ใชเ้ ป็นแนวทางในการพฒั นา ปรับปรงุ การบริหารงานบคุ คล การนเิ ทศภายใน สานักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษา วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย 1. เพือ่ ศึกษาการบริหารงานบคุ คลของสานักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 2. เพอ่ื เปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลของสานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษารอ้ ยเอด็ เขต 1 จาแนกตามตาแหนง่ และขนาดของโรงเรียน สมมตฐิ านของการวิจัย 1. ผู้บริหารและครูที่มีตาแหนง่ ต่างกัน มีความคดิ เห็นต่อการบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศกึ ษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 แตกต่างกัน 2. ผ้บู รหิ ารและครูทีม่ ขี นาดของโรงเรยี นตา่ งกัน มีความคดิ เห็นตอ่ การบรหิ ารงานบคุ คลของสานักงาน เขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 แตกต่างกนั ประโยชน์ของการวจิ ยั 1. ทาให้ทราบข้อมลู การบริหารงานบคุ คลของสานักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาร้อยเอ็ด เขต 1 เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา ปรับปรุงการบริหารงานบุคคล การนิเทศภายในสานักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษา 2. เพื่อนาข้อมลู มาพัฒนาการบรหิ ารงานบคุ คลของสานักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 ทีม่ ตี าแหนง่ และขนาดของโรงเรยี นต่างกนั เพอ่ื ใช้เป็นแนวทางในการพฒั นางานต่อไป 3. หนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวข้องสามารถนาขอ้ มลู ไปประยุกตใ์ ช้บรหิ ารสถานศกึ ษาตอ่ ไป ขอบเขตของการวิจยั 1. ขอบเขตด้านเนอื้ หา การศึกษาค้นคว้าในเร่ืองนี้ มุ่งศึกษาการบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 โดยยึดกรอบกระบวนการบริหารงานบุคคล (ภิญโญ สาธร. 2559. น, 453) จาแนกเปน็ 6 ด้าน ไดแ้ ก่ 1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ 2. การจดั หาบุคคลเขา้ ทางาน 3. การฝกึ อบรมและ
ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 96 พัฒนา 4. การบริหารจัดการค่าตอบแทน 5. การประเมินผลการปฏิบัติงาน 6. การย้ายพนักงานและการ ทดแทน 2. ขอบเขตด้านประชากรกลมุ่ ตวั อย่าง ประชากรที่ใช้ในการวจิ ัยในครงั้ น้ี ได้แก่ ผู้บริหารและครูของโรงเรยี นในสังกัดสานกั งานเขต พนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาร้อยเอ็ด เขต 1 ปีการศึกษา 2561 จานวน 2,542 คน กลุม่ ตวั อย่างท่ีใช้ในการวิจยั คร้งั นี้ ไดแ้ ก่ ผู้บรหิ าร และครผู สู้ อน ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 ปีการศึกษา 2561 จานวน 337 คน กาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซ่ีและมอร์แกน (บุญชม ศรีสะอาด. 2554. น, 74-84) และ ไดม้ าโดยการสมุ่ แบบแบง่ ช้นั 3. ขอบเขตดา้ นตัวแปร 3.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ 1) ตาแหนง่ จาแนกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย (1) ผบู้ ริหาร (2) ครู 2) ขนาดของโรงเรียน จาแนกเป็น 3 กลมุ่ ประกอบดว้ ย (1) ขนาดเลก็ (2) ขนาดกลาง (3) ขนาดใหญ่ 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ การบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษา ร้อยเอ็ด เขต 1 จาแนกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ 2. การจัดหาบุคคลเข้าทางาน 3. การฝึกอบรมและพัฒนา 4. การบริหารจัดการค่าตอบแทน 5. การประเมินผลการปฏิบัติงาน 6. การย้าย พนักงานและการทดแทน 4. ขอบเขตระยะเวลา การวิจัยใช้ระยะเวลาระหว่างเดือน มกราคม พ.ศ. 2562 ถึง เดือน มนี าคม พ.ศ. 2562 กรอบแนวคดิ ในการวิวจิ ัย การวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยมุ่งศึกษาการบริหารงานบุคคลของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ร้อยเอ็ด เขต 1 และกาหนดกรอบแนวคิดในการวจิ ยั ดังน้ี ตวั เเปรอิสระ ตัวแปรตาม สภานะภาพผตู้ อบแบบสอบถาม การบรหิ ารงานบคุ คลของสานักงานเขตพ้ืนท่ี 1) ตาแห น่ง จ าแนกเป็ น 2 กลุ่ม การศกึ ษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 ประกอบดว้ ย จาแนกเป็น 6 ดา้ น ได้แก่ (1) ผ้บู ริหาร 1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140