Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จิราภรณ์เลขที่ 20

แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จิราภรณ์เลขที่ 20

Description: แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

97 จากอัตราส่วนระหว่างขนาดของการกระจัดกับเวลา แล้วเขียนผนภาพแสดงทิศทางของ ความเร็วของการเคลือ่ นท่ี ครูควรบนั ทกึ ข้นั ตอนการทำกจิ กรรมโดยสรปุ บนกระดาน • นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (ระยะทาง ระยะห่างจากตำแหน่งเริ่มตน้ ถึงตำแหน่งสดุ ทา้ ยทิศทาง เวลาท่ีใช้ในการเคล่ือนที่ รวมทง้ั ทิศทางของการเคลือ่ นท)ี่ 2. ให้นักเรียนแต่ละคนสังเกตภาพในกิจกรรม และร่วมกันอภิปรายถึงตำแหน่ง A B C D และ E ในภาพว่าคืออะไร รวมทั้งการกำหนดความยาวของช่องสเกลและการกำหนดทิศทางของเข็มทิศ จากน้ัน ให้นักเรียนทำกิจกรรมโดยครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน ครูควรแนะนำนักเรียนให้ใช้ข้อมูล จากกิจกรรมที่ 4.2 ระยะทางและระยะห่างระหว่างสองตำแหน่งแตกตา่ งกันอย่างไร มาใช้ในการคำนวณ อัตราเร็วและความเร็ว และควรให้คำแนะนำหากนักเรียนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการคำนวณอัตราเร็วและ ความเรว็ 3. สุ่มนักเรียนนำเสนอผลการทำกิจกรรม ตอบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผลของ กิจกรรมโดยใช้คำถามท้ายกิจกรรมเป็นแนวทาง เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า การเคลื่ อนที่หนึ่ง ๆ อัตราส่วนระหว่างระยะทางกับเวลาและอัตราส่วนระหว่างการกระจัดกับเวลาเป็นปริมาณที่แตกต่างกัน แต่อาจมคี า่ เท่ากนั ไดด้ งั ต่อไปน้ี อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) 1. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราเร็ว ความเร็ว อัตราเร็วเฉลี่ย ความเร็วเฉลี่ย โดยอ่าน เนื้อหาในหนังสือเรียนหน้า 147-148 ตอบคำถามระหว่างเรียน และร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับ ความหมาย สญั ลกั ษณ์ และหนว่ ยของอัตราเร็วและความเรว็ เพ่อื ใหไ้ ดข้ ้อสรุปว่า อตั ราส่วนระหว่าง ระยะทางกับเวลา คือ อัตราเร็ว เป็นปริมาณสเกลาร์และอัตราส่วนระหว่างการกระจัดกับเวลา คือ ความเร็ว เป็นปริมาณเวกเตอร์มีทิศทางเดียวกับทิศทางของการกระจัดปริมาณทัง้ สองเป็นปริมาณท่ี แตกตา่ งกนั แตอ่ าจมีค่าเท่ากนั ได้ มีหนว่ ยในระบบหน่วย S เปน็ เมตรตอ่ วินาที เหมือนกนั 2. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับอัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า อัตราเร็วเฉลี่ยเป็นระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ในหนึ่งหน่วยเวลา ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของอัตราเร็วตลอด การเคลื่อนที่ในช่วงเวลานั้น ๆ โดยคิดว่าตลอดการเคลื่อนที่น้ัน วัตถุมีอัตราเร็วคงที่ ครูอาจ ยกตัวอย่าง เช่น ขับรถยนต์จากกรุงเทพมหานครไปจังหวดั เชียงใหม่ ได้ระยะทาง 730 กิโลเมตร ใช้ เวลา 9.5 ชั่วโมง จะมีอัตราเร็วเฉลี่ย 730 = 76.84 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นค่าอัตราเร็วเฉล่ีย 9.5 ตลอดการเคลื่อนที่ แต่ในการเคลื่อนที่จริงอาจมีช่วงเวลาที่มีอัตราเร็วมากว่า หรือน้อยกว่าค่า อัตราเร็วเฉลี่ยนี้ อัตราเร็วเฉลี่ยมีสัญลักษณ์เป็น Vเฉล่ยี ส่วนความเร็วเฉลี่ยเป็นการเปลี่ยนตำแหน่ง

98 ของวัตถุในหน่วยเวลา ซึ่งก็เป็นคำเฉลี่ยของความเร็วตลอดการเคลื่อนที่ในช่วงเวลานั้น ๆ เช่นกัน ความเร็วเฉลี่ยมีสัญลักษณ์ โดยมีลูกศรอยู่เหนืออักษร V เพื่อเป็นการระบุว่า ความเร็วเฉลี่ยเป็นปรึ มาณเวกเตอร์ มที ศิ ทางเดยี วกันกบั ทศิ ทางของการกระจดั ขนั้ สรปุ ประเมนิ ผล (Evaluation) 1. ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกบั อัตราเรว็ เฉล่ยี และอัตราเรว็ ขณะหนึ่งจากเน้ือหาท่ีอ่านนำเร่ือง โดยอาจ ใชค้ ำถามดังนี้ • จากเร่อื งทอี่ า่ นเป็นข้อมลู ของการเดินทางจากขา้ นไปโรงเรยี น และเกดิ อุบตั เิ หตุบนท้องถนน ทำให้ตอ้ งใชเ้ วลาเดินทางนานขึ้นจาก 1 ช่วั โมงเปน็ 2 ชั่วโมง จากสถานการณน์ ี้ นักเรียนคิด ว่าอัตราเร็วเฉลี่ยของรถควรมากกว่าหรือน้อยกว่าในวันปกติ นักเรียนทราบได้อย่างไร (อตั ราเร็วเฉส่ยี ของรถควรนอ้ ยกว่าในวนั ปกติ เพราะใช้เวลามากขน้ึ ในระยะทางเทา่ เดมิ ) • ทำไมกล้องตรวจจับความเร็วจึงระบุว่ารถที่นักเรียนโดยสารมาขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมาย กำหนด (การที่กล้องตรวจจับความเร็วระบุว่า รถที่โดยสารมาขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมาย กำหนดเพราะกล้องตรวจจับความเร็วจะตรวจวัดอัตราเร็วขณะหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นรถมี อตั ราเร็วกวา่ ทก่ี ฎหมายกำหนด หมายเหตุ กล้องตรวจจับความเร็วที่ถูกต้องควรเรียกว่ากล้องตรวจจับอัตราเร็ว เพราะ ตรวจจับขนาดของความเรว็ ไม่ได้ตรวจจับทิศทางของการเคลื่อนท่ี) 2. ให้นักเรียนเรยี นร้อู ่านเกรด็ นา่ รู้เก่ียวกับอัตราเร็วขณะหนึ่งและความเรว็ ขณะหน่ึง ในหนังสือเรียน หน้า 149 จากนั้นให้นักเรียนศึกษาการคำนวณหาอัตราเร็วและความเร็วเฉลี่ยจากตัวอย่างโจ ทก์ ตอบคำถามระหว่างเรยี น และคำถามชวนคดิ ครูและนักเรยี นร่วมกันอภิปรายคำตอบ 8. สือ่ การสอน 1. หนงั สือรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เลม่ 1 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 2. ส่อื การสอน PowerPoint 9. แหล่งเรยี นรูใ้ นหรอื นอกสถานท่ี 1. ห้องเรียน

99 10. การวดั และประเมนิ ผล จุดประสงค์การเรยี นรู้ หรอื สงิ่ ที่ วธิ วี ัด เครอื่ งมือวัด เกณฑ์การประเมนิ ตอ้ งการจะวดั ประเมินผล - ตอบคำถามถกู รอ้ ยละ 1. นกั เรียนสามารถอธิบายและ วดั จากการตอบคำถาม 60ขน้ึ ไป คาํ นวณอตั ราเรว็ และความเรว็ ระหว่างคาบเรยี น ของการเคล่ือนทีข่ องวตั ถุโดย ใชส้ มการv=s/t และv⃑=⃑s/t จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ได้ (K) 2. นกั เรียนสามารถอธิบายการ วัดจากการทำแบบฝึกหดั แบบฝกึ หัดทา้ ยบทเรื่องการ ตอบคำถามถกู ร้อยละ เขยี นแผนภาพแสดงการ ทา้ ยบท เคลอ่ื นที่ 60ขนึ้ ไป กระจดั และความเรว็ (K) เกณฑ์การใหค้ ะแนน ระดบั คะแนน 80-100% ดีมาก ระดับคะแนน 70-79% ดี ระดับคะแนน 60-69% พอใช้ ระดบั คะแนน 0-59% ปรบั ปรงุ

100 สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น วิธีวดั เคร่ืองมอื วัด เกณฑก์ ารประเมิน ความสามารถในการสอื่ สาร ประเมินจาก แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ60ขึ้นไป ความสามารถในการคดิ ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ60ข้ึนไป ความสามารถในการแก้ปญั หา พฤติกรรมของผู้เรยี น พงึ ประสงค์ (รายบุคคล) ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ60ขนึ้ ไป ประเมนิ จาก แบบประเมนิ คุณลักษณะอัน พฤติกรรมของผ้เู รียน พงึ ประสงค์ (รายบุคคล) ประเมนิ จาก แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พฤติกรรมของผู้เรยี น พึงประสงค์ (รายบุคคล) เกณฑ์การให้คะแนน ระดับคะแนน 80-100% ดมี าก ระดับคะแนน 70-79% ดี ระดบั คะแนน 60-69% พอใช้ ระดับคะแนน 0-59% ปรับปรงุ

101 แบบประเมินพฤติกรรมการเรียนและการมีส่วนร่วมในช้ันเรยี น คำช้ีแจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมและการมสี ว่ นรว่ มในชั้นเรียนของนักเรียนในระหวา่ งเรยี นและนอก เวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งวา่ งทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน ลำดบั ที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 1 2 34 1 การแสดงความคดิ เหน็ 2 การยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ของผู้อนื่ 3 การทำงานตามหน้าท่ที ีไ่ ด้รบั มอบหมาย 4 ควรมีน้ำใจ 5 การตรงต่อเวลา ลงช่ือ …………………………………………….ผ้ปู ระเมนิ …………………/……………/……………. เกณฑก์ ารให้คะแนน ปฏิบัติหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสมำ่ เสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบางครงั้ ให้ 2 คะแนน ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมน้อยหรือไม่เคยปฏบิ ตั ิ ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ 0-5 คะแนน ระดับคุณภาพ 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ 6-10 คะแนน ระดับคุณภาพ 2 หมายถึง พอใช้ 11-15 คะแนน ระดับคุณภาพ 3 หมายถงึ ดี 16-16 คะแนน ระดับคุณภาพ 4 หมายถึง ดีมาก

102 แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ สง่ิ ท่ีตอ้ งการวัด/ ดีมาก (4) คำอธบิ ายคุณภาพ ปรับปรงุ (1) ประเมินผล ดี (3) พอใช้ (2) 1.เข้าเรียนตรงต่อ เขา้ เรยี นตรงต่อเวลา เข้าเรียนชา้ 5นาที เข้าเรยี นชา้ 10นาที เขา้ เรยี นชา้ 15นาที เวลา สม่ำเสมอดีมาก 2. ความสนใจเรียน มีความกระตือรอื รน้ มคี วามกระตือรือร้น มีความกระตอื รือรน้ ไม่มคี วาม 3. มีระเบยี บวนิ ยั ในการเรยี นถาม- ในการเรยี นแตถ่ าม- ในการเรยี นแตถ่ าม- กระตอื รอื ร้นในการ ตอบถกู ตอ้ งทกุ ครัง้ ตอบถูกตอ้ งบา้ ง ตอบไมถ่ ูกต้องเลย เรียน ถาม-ตอบไม่ ทำงานเปน็ ระเบยี บ บางครง้ั ทำงานเปน็ ระเบยี บ ถกู ต้องเลย และถกู ต้องหมด ทำงานเปน็ ระเบยี บ แตไ่ ม่ถูกต้องบ้าง ทำงานไมเ่ ปน็ และถกู ต้องบ้าง ระเบียบและไม่ ถกู ต้อง 4. ความรับผิดชอบ ทำงานทไ่ี ด้รบั ทำงานทไ่ี ดร้ ับ ทำงานทไ่ี ด้รบั ทำงานทไ่ี ด้รับ มอบหมายดมี คี วาม มอบหมายดีมคี วาม มอบหมายดีมคี วาม มอบหมายพอใช้มี ถูกตอ้ งตรงเวลา ถูกต้องเปน็ บางครง้ั ความถกู ตอ้ งบ้าง ถูกต้อง เกณฑก์ ารตดั สนิ คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 13 - 16 ดีมาก 9 - 12 ดี 5-8 พอใช้ 0-4 ปรบั ปรงุ 11. กิจกรรมเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

103 12. บันทกึ ผลหลังการสอน สรุปผลการเรียนการสอน นักเรียนท้ังหมดจำนวน.....................คน จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรูข้ อ้ ท่ี จำนวนนักเรยี นท่ีผ่าน จำนวนนกั เรียนที่ไมผ่ ่าน จำนวนคน ร้อยละ จำนวนคน รอ้ ยละ 1 2 3 13. ปญั หา/อุปสรรค/แนวทางแกไ้ ข ............................................................................................................................. ..................................... ............................................................................................. ................................................................. ... 14. ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ ……………………………………………………. () ตำแหนง่ ครู วทิ ยาฐานะ ……………………… ลงชื่อ …………………………………………………….หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ () ลงชอ่ื …………………………………………………….รองผูอ้ ำนวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ ()

104 ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา ไดท้ ำการตรวจแผนการเรยี นรู้ของ....................................................แลว้ มคี วามคดิ เหน็ ดังนี้ 1. เป็นแผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี  ดีมาก  ดี  พอใช้  ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรยี นรู้  เนน้ ผเู้ รียนเปน็ สำคญั มาใช้ในการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม  ยงั ไมเ่ นน้ ผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรงุ พัฒนาต่อไป 3. ข้อเสนอแนะอ่ืนๆ ............................................................................................................................. ........................... ....................................................................................................... ................................................. ............................................................................................................................. ........................... ........................................................................................................................................................ ลงช่อื ............................................................................................... ( ………………………………………………… ) ผูอ้ ำนวยการโรงเรียน…………………………………………………………..

105 แบบฝึกหัดทา้ ยบท เร่ือง การเคล่อื นที่ 1. นักเรยี นสามารถเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนได้ 3 เสน้ ทาง ดังภาพ ข้อมูลการเดนิ ทางของนักเรียนแสดงดงั ตาราง ระยะทาง (กิโลเมตร) เวลา (นาท)ี 0.30 5 เสน้ ทาง วธิ ีการเดนิ ทาง 0.55 5 A เดนิ เท้า 2.40 8 B จกั รยานยนต์ C รถยนต์ 1.1 ระยะทางและการกระจดั ในหนว่ ย เมตร ของแตล่ ะเสน้ ทางท่ีนกั เรียนใชเ้ ปน็ อย่างไร ระยะทางคือความยาวตามแนวทางการเคลื่อนที่ ส่วนการกระจัดคือระยะห่างในแนวตรงจาก ตำแหนง่ เริม่ ต้นไป ตำแหน่งสดุ ท้าย และความยาว 1 กโิ ลเมตร มีคา่ เท่ากับ 1,000 เมตร ................................................................................................................................................... ................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................... ........................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ............. ......................................................................................................................................................................

106 1.2 อัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ยในหน่วย เมตรต่อวินาที ของแต่ละเส้นทางที่นักเรียนเดินทาง เป็นอยา่ งไร ....................................................................................................... ............................................................... ...................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ .............. ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2. ครอบครวั หนึ่งออกเดนิ ทางลอ่ งเรอื ท่องเทีย่ วไปตามเสน้ ทางดังภาพ จงระบุระยะทางและการกระจัดในหน่วยกิโลเมตร และอัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ยในหน่วย กิโลเมตรต่อชวั่ โมงของการเดินทางของครอบครวั นี้ เมื่อ

107 2.1 ครอบครัวเดินทางจากจดุ เริ่มต้น A เป็นแนวตรงไปยังจุด B แล้วเดินทางกลับมายังจุดเริ่มต้น ใช้ เวลาท้งั หมด 1 ช่วั โมง ................................................................................................................................................... ................... ............................................................................................................................................................. ......... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................

108 เฉลยแบบฝึกหดั ทา้ ยบท เรื่อง การเคล่ือนที่ 1. นกั เรยี นสามารถเดนิ ทางจากบา้ นไปโรงเรยี นได้ 3 เส้นทาง ดังภาพ ข้อมูลการเดนิ ทางของนักเรยี นแสดงดงั ตาราง ระยะทาง (กิโลเมตร) เวลา (นาท)ี 0.30 5 เส้นทาง วิธกี ารเดนิ ทาง 0.55 5 A เดนิ เทา้ 2.40 8 B จกั รยานยนต์ C รถยนต์ 1.1 ระยะทางและการกระจัดในหนว่ ย เมตร ของแต่ละเส้นทางท่ีนกั เรยี นใชเ้ ปน็ อย่างไร ระยะทางคือความยาวตามแนวทางการเคลื่อนที่ ส่วนการกระจัดคือระยะห่างในแนวตรงจาก ตำแหนง่ เรม่ิ ตน้ ไป ตำแหน่งสดุ ทา้ ย และความยาว 1 กโิ ลเมตร มคี า่ เท่ากบั 1,000 เมตร แนวคำตอบ เส้นทาง A ระยะทางเปน็ 0.30 x 1,000 = 300 m การกระจัดเปน็ 300 เมตร ทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนอื เส้นทาง B ระยะทางเปน็ 0.55 x 1,000 = 550 m การกระจัดเปน็ 300 เมตร ทิศตะวันออกเฉียงเหนอื เสน้ ทาง C ระยะทางเป็น 2.40 x 1,000 = 2,400 m การกระจัดเปน็ 300 เมตร ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื

109 1.2 อัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ยในหน่วย เมตรต่อวินาที ของแต่ละเส้นทางที่นักเรียนเดินทาง เป็นอย่างไร แนวคำตอบ อตั ราเร็วเฉลี่ย = ระยะทางทง้ั หมด เวลาท่ีใชท้ ้งั หมด ความเรว็ เฉลี่ย = การกระจัดทั้งหมด เวลาทีใ่ ชท้ ้งั หมด เวลา 1 นาที = 60 วินาที เสน้ ทาง A อัตราเรว็ เฉลย่ี = 300 m = 1 m/s 5×60 s ความเร็วเฉลีย่ = 300 m = 1 m/s ทิศตะวนั ออกเฉยี งเหนือ 5×60 s เสน้ ทาง B อัตราเร็วเฉลี่ย = 550 m = 1.83 m/s 5×60 s ความเร็วเฉลย่ี = 300 m = 1 m/s ทิศตะวันออกเฉียงเหนอื 5×60 s เส้นทาง C อตั ราเรว็ เฉลย่ี 2400 m = 5 m/s 8×60 s ความเรว็ เฉลี่ย 300 m = 0.63 m/s ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื 8×60 s 2. ครอบครัวหนง่ึ ออกเดินทางล่องเรือท่องเที่ยวไปตามเสน้ ทางดังภาพ

110 จงระบุระยะทางและการกระจัดในหน่วยกิโลเมตร และอัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ยในหน่วย กิโลเมตรต่อชั่วโมงของการเดนิ ทางของครอบครัวนี้ เม่ือ 2.1 ครอบครัวเดินทางจากจุดเริ่มต้น A เป็นแนวตรงไปยังจุด B แล้วเดินทางกลับมายัง จุดเร่มิ ต้น ใชเ้ วลาท้งั หมด 1 ชว่ั โมง แนวคำตอบ ระยะทางที่เคลือ่ นท่ไี ด้ = AB + BA = 4.2 + 4.2 cm (จากการวดั ) การกระจดั = 8.4 x 0.5 = 4.2 km =0 อัตราเรว็ เฉลี่ย = ระยะทางทัง้ หมด = 4.2 km เวลาทใ่ี ช้ท้ังหมด 1 h = 4.2 km/h ความเร็วเฉลย่ี = การกระจดั ท้งั หมด เวลาทีใ่ ชท้ ัง้ หมด =0 คำตอบ ระยะทางที่เคลอ่ื นท่ไี ด้เทา่ กับ 4.2 กโิ ลเมตร การกระจัดเท่ากบั 0 อัตราเร็วเฉล่ียเท่ากับ 4.2 กโิ ลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วเฉลีย่ เท่ากบั 0

111 แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 5 เรื่องการเคลอื่ นที่

112 แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 5 สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ รายวชิ า วิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564 หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 3 เรอ่ื ง การเคล่ือนทแี่ ละแรง เร่ือง แรงในชวี ติ ประจำวัน เวลา 17 ชัว่ โมง 1. มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวช้ีวดั มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติใน ระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลกนำความรู้ไปใช้ในในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อมในท้องถ่นิ อย่างยั่งยืน ว 2.2 ม.2/1 พยากรณ์การเคลื่อนที่ของวัตถุที่เป็นผลของแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลาย แรงทีก่ ระทำต่อวตั ถใุ นแนวเดียวกันจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ว 2.2 ม.2/2 เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทำตอ่ วัตถุในแนวเดียวกัน ว 2.2 ม.2/3 ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยท่ี มผี ลตอ่ ความดิบของเหลว ว 2.2 ม.2/4 วิเคราะห์แรงพยุงและการจบการลอยของวัตถุในของเหลวจากหลักฐาน เชงิ ประจกั ษ์ ว 2.2 ม.2/5 เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระทำต่อวตั ถุในของเหลว ว 2.2 ม.2/6 อธบิ ายแรงเสยี ดทานสถิตแิ ละแรงเสยี ดทานจลน์จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ว 2.2 ม.2/7 ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่ มีผลตอ่ ขนาดของแรงเสยี ดทาน ว 2.2 ม.2/8 เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงอืน่ ๆ ที่กระทำตอ่ วตั ถุ ว 2.2 ม.2/9 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่องแรงเสียดทานโดยวิเคราะห์ สถานการณป์ ัญหาและเสนอแนะวธิ ีการลดหรือเพิ่มแรงเสียดทานทีเ่ ปน็ ประโยชน์ต่อการ ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวนั

113 ว 2.2 ม.2/10 ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบาย โมเมนตข์ องแรง เมอ่ื วตั ถุอยู่ในสภาพสมดลุ ต่อการหมนุ และคำนวณโดยใช้ M=Fl ว 2.2 ม.2/11 เปรียบเทียบแหล่งของสนามแมเ่ หล็กสนามไฟฟา้ และสนามโน้มถว่ งและ ทศิ ทางของแรงทีก่ ระทำต่อวัตถุท่ีอยใู่ นแต่ละสนามจากขอ้ มูลทรี่ วมรายได้ ว 2.2 ม.2/12 เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็กแรงไฟฟ้าและแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อ วตั ถุ ว 2.2 ม.2/13 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงแม่เหล็กแรงไฟฟ้าและแรง โน้มถ่วงทกี่ ระทำต่อวตั ถทุ ่ีอยใู่ นสนามน้นั ๆ กบั ระยะห่างจากแหลง่ ของสนามถงึ วัตถุจาก ข้อมลู ที่ รวบรวมได้ 2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. นักเรียนสามารถวิเคราะห์การระบุปริมาณตัวละลายในสารละลายในหน่วยความเข้มข้น เปน็ รอ้ ยละปริมาตรตอ่ ปริมาตรมวลตอ่ มวลและมวลตอ่ ปริมาตรได้ (K) 2. นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการนำความรู้เรื่องความเข้มข้นของสารไปใช้โดย ยกตัวอยา่ งการใชส้ ารละลายในชีวติ ประจำวันอย่างถกู ต้องและปลอดภยั (A) 3. นักเรยี นสามารถอธิบายเกี่ยวกับการพยากรณ์การเคล่ือนท่ีของวตั ถทุ ่ีเปน็ ผลของแรงลัพธ์ท่ี เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทำต่อวตั ถุในแนวเดียวกันจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (K) 4. นักเรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับการเขียนแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรง หลายแรงท่ีกระทำต่อวัตถใุ นแนวเดยี วกันได้ (K) 5. นักเรียนสามารถอธิบายการออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการ อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อความดิบของเหลว (K) 6. นักเรียนสามารถออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีทีเ่ หมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่ มผี ลตอ่ ความดบิ ของเหลวได้ (P) 7. นักเรียนสามารถวิเคราะห์แรงพยุงและการจบการลอยของวัตถุในของเหลวจากหลักฐาน เชงิ ประจักษ์ได้ (K) 8. นักเรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับการเขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระทำต่อวัตถุในของเหลว ได้ (K)

114 7. นักเรียนสามารถอธิบายแรงเสียดทานสถติ แิ ละแรงเสียดทานจลน์จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ (K) 8. นักเรียนสามารถออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปจั จัยที่ มีผลตอ่ ขนาดของแรงเสยี ดทาน (P) 9. นักเรียนสามารถอธิบายการเขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงอื่น ๆ ที่กระทำต่อ วัตถุ (K) 10. นักเรียนสามารถแสดงการเขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงอื่น ๆ ที่กระทำต่อ วตั ถุ (P) 11. นักเรียนตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่องแรงเสียดทานโดยวิเคราะห์สถานการณ์ ปัญหาและเสนอแนะวิธีการลดหรือเพิ่มแรงเสียดทานที่เป็นประโยชน์ต่อการทำกิจกรรมใน ชีวิตประจำวัน (A) 12. นักเรียนสามารถออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบาย โมเมนต์ของแรง เมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดลุ ตอ่ การหมุน และคำนวณโดยใช้ M=Fl (P) 13. นักเรียนสามารถเปรียบเทียบแหล่งของสนามแม่เหล็กสนามไฟฟา้ และสนามโน้มถ่วงและ ทิศทางของแรงทกี่ ระทำต่อวัตถทุ ่ีอยู่ในแต่ละสนามจากข้อมลู ทีร่ วมรายได้ (K) 14. นักเรยี นสามารถอธิบายการเขยี นแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็กแรงไฟฟ้าและแรงโน้มถ่วงท่ี กระทำตอ่ วตั ถุ (K) 15. นักเรียนสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงแม่เหล็กแรงไฟฟ้าและแรง โน้มถ่วงที่กระทำต่อวัตถุที่อยู่ในสนามนั้น ๆ กับระยะห่างจากแหล่งของสนามถึงวัตถุจาก ข้อมูลที่ รวบรวมได้ (K)49. นักเรียนสามารถวิเคราะห์สถานการณ์และคำนวณเกี่ยวกับงาน และกำลังที่เกิดจากแรงที่กระทำต่อวัตถุโดยใช้สมการ W=Fs และP=w/t จากข้อมูลที่ รวบรวมได้ (K) 16. นักเรียนสามารถวิเคราะห์หลักการทำงานของเครื่องกลอย่างง่ายจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (K) 17. นักเรียนตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของเครื่องกลอย่างง่ายโดยบอกประโยชน์และ การประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจำวนั (A)

115 18. นักเรียนสามารถออกแบบและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มีผลต่อ พลงั งานจลน์และพลังงานศักยโ์ น้มถว่ ง (P) 19. นักเรียนสามารถอธิบายการแปลความหมายข้อมูลและอธิบายการเปลี่ยนพลังงาน ระหว่างพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ของวัตถุโดยพลังงานกลของวัตถุมีค่าตัวจาก ข้อมูลทร่ี วบรวมได้ (K) 20. นักเรียนสามารถวิเคราะห์สถานการณ์และอธิบายการเปลี่ยนและการถ่ายโอนพลังงาน โดยใช้กฎการอนุรักษพ์ ลังงาน (K) 22. นักเรียนสามารถเปรียบเทียบกระบวนการเกิดสมบัติและการใช้ประโยชน์รวมทั้งอธิบาย ผลกระทบจากการใชเ้ ช้อื เพลิงซากดึกดำบรรพจ์ ากข้อมูลท่รี วบรวมได้ (K) 23. นักเรียนตระหนักถึงผลจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์โดยนำเสนอแนวทางการใช้ เชือ้ เพลงิ จากกาบรรพ์ (A) 24. นักเรียนสามารถเปรียบเทียบข้อดีและข้อจำกัด ของพลังงานทดแทนแต่ละประเภทจาก การรวบรวมขอ้ มลู และนำเสนอแนวทางการใชพ้ ลงั งานทดแทนทเ่ี หมาะสมในทอ้ งถ่ิน (K) 25. นักเรียนสามารถอธิบายการสร้างแบบจำลองที่อธิบายโครงสร้างภายในโลกตาม องค์ประกอบทางเคมีจากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ (K) 26. นักเรียนสามารถอธบิ ายกระบวนการผุพังอยู่กับท่ีการกรอ่ นและการสะสมตวั ของตะกอน จากแบบจําลองรวมทั้งยกตัวอย่างผลของกระบวนการดังกล่าวที่ทำให้ผิวโลกเกิดการ เปลยี่ นแปลงได้ (K) 27. นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะของชั้นหน้าตัดสินและกระบวนการเกิดดินจาก แบบจาํ ลองรวมทั้งระบปุ ัจจยั ที่ทำใหด้ นิ มีลักษณะและสมบัตแิ ตกตา่ งกนั ได้ (K) 28. นักเรียนสามารถทดลองการตรวจวัดสมบัติบางประการของดินโดยใช้เครื่องมือที่ เหมาะสมและนำเสนอแนวทางการใชป้ ระโยชน์ดนิ จากข้อมูลสมบตั ิของดนิ (P) 29. นกั เรียนสามารถอธบิ ายปัจจัยและกระบวนการเกิดแหลง่ น้ำผิวดินและแหล่งน้ำใต้ดินจาก แบบจําลองได้ (K) 30. นกั เรียนสามารถแสดงการสร้างแบบจำลองท่อี ธิบายการใชน้ ้ำและนำเสนอแนวทางการใช้ นำ้ อย่างยงั่ ยืนในท้องถ่นิ ของตนเอง (P)

116 3. สาระสำคัญ แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เขียนลูกศรแทนแรงได้โดยความยาวของลูกศรแทนขนาดของแรง และ หัวลูกศรแทนทิศทางของแรง สามารถหาผลรวมของแรงหลายแรงหรอื แรงลัพธ์ได้จากการเขียนแผนภาพ แสดงแรง การรวมเวกเตอร์แบบหางต่อหัว ถ้าแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุเป็นศูนย์ วัตถุจะไม่เปลี่ยนแปลง สภาพการเคลื่อนที่ คือ วัตถุจะอยู่นิ่งหรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ แต่ถ้าแรงลัพธ์ไม่เป็นศูนย์ วัตถุจะ เปล่ยี นแปลงสภาพการเคลอ่ื นที่ โดยเคลือ่ นท่เี รว็ ขน้ึ ช้าลง หรอื เปลย่ี นทิศทาง เมือ่ ออกแรงกระทำต่อวัตถุ เพอ่ื พยายามทำให้วัตถเุ คลื่อนทห่ี รือออกแรงกระทำให้วัตถเุ คล่ือนท่ีไปบนพนื้ ผวิ จะมีแรงต้านการเคล่ือนที่ หรือแรงเสียดทานเกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัส โดยแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นขณะที่วัตถุยังไม่เคลื่อนที่เป็นแรง เสียดทานสถิต ส่วนแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นเมื่อวัตถุเคลื่อนที่เป็นแรงเสียดทานจลน์ แรงเสียดทานจะมีค่า มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะผิวสัมผัส และแรงที่พื้นผิวกระทำต่อวัตถุในแนวตั้งฉาก กิจกรรมใน ชีวิตประจำวันบางกิจกรรมต้องเพิ่มแรงเสียดทานในการทำกิจกรรมนั้น บางกิจกรรมต้องลดแรงเสียด ทานของเหลวมีแรงกระทำต่อวัตถุที่อยู่ในของเหลวนน้ั ในทุกทิศทาง โดยแรงกระทำจะตั้งฉากกับผิวสัมผัส ของวัตถุแรงที่ของเหลวกระทำในหนึ่งหน่วยพื้นที่ เรียกว่า ความดันของของเหลว ซึ่งความดันของ ของเหลวมีค่ามาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับความลึกและความหนาแน่นของของเหลว ผลรวมของแรงทุก แรงของของเหลวทก่ี ระทำต่อวตั ถุจะมีทิศข้นึ เรยี กวา่ แรงพยุงของของเหลว ซ่งึ แรงพยงุ ของของเหลวจะมี ค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาตรของวัตถุส่วนที่ จมในของเหลวและความหนาแน่นของของเหลว แรง พยุงของของเหลวมีผลต่อการจมการลอยของวัตถุ โดยถ้าแรงพยุงของของเหลวมีขนาดเท่าน้ำหนักของ วัตถุ วัตถุจะลอยนิ่ง แต่ถ้าแรงพยุงของของเหลวน้อยกว่าน้ำหนักของวัตถุ วัตถุจะเคลื่อนที่จมลงใน ของเหลวน้ัน 4. สาระการเรยี นรู้ 4.1 ดา้ นความรู้ (K) - แรงลพั ธ์ - แรงเสียดทาน - แรงและความดนั ของของเหลว - โมเมนต์ของแรง - แรงและสนามของแรง

117 4.2 ดา้ นทักษะ (P) - การเขยี นแผนภาพแทนการกระจัด - การบอกตำแหนง่ - การคำนวณอัตราเร็วและความเร็ว 4.3 คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 2. ซ่อื สตั ยส์ จุ ริต 3. มีวินัย 4. ใฝเ่ รียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพยี ง 6. มงุ่ มั่นในการทำงาน 7. รกั ความเป็นไทย 8. มจี ิตสาธารณะ 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น (เฉพาะทีเ่ กดิ ในหน่วยการเรียนรู้น้)ี  ความสามารถในการสอ่ื สาร ความสามารถในการคิด v ความสามารถในการแก้ปัญหา x ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ z ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ชิ้นงานหรือภาระงาน 6.1 แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท เรือ่ ง แรงในชีวิตประจำวัน 7. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนิค : สบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)

118 ชวั่ โมงที่ 1-3 ขน้ั นำ กระตุน้ ความสนใจ (Engage) 1. กระตนุ้ ความสนใจของนักเรียนเพ่ือนำเข้าสบู่ ทที่ 5 แรงในชีวติ ประจำวัน โดยอาจใช้คำถามให้ นกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายและยกตวั อยา่ งดงั นี้ • แรงที่กระทำต่อวัตถุมีผลต่อวัตถุอย่างไรบ้าง (นักเรียนตอบคำถามตามความเข้าใจของ ตนเอง เช่น แรงทำให้วตั ถเุ ปล่ียนแปลงการเคลือ่ นทีห่ รือเปล่ยี นแปลงรปู รา่ ง) • นกั เรยี นรจู้ กั แรงอะไรบา้ ง (นักเรียนตอบคำถามตามความเข้าใจของตนเอง เชน่ แรงจาก นำ้ แรงจากสม แรงไฟฟ้า แรงผลกั แรงเสยี ตทาน แรงแมเ่ หลก็ ) 2. ใหน้ ักเรียนสังเกตภาพนำบท พร้อมทง้ั อ่านเน้ือหานำบท และรว่ มกันอภปิ รายโดยอาจใช้ คำถามดังต่อไปน้ี • เมื่อนักกระโดดรม่ กระโดดออกจากเคร่ืองบินจะมแี รงกระทำต่อนักกระโดดร่มหรือไม่ นักเรียนรู้ได้อย่างไร (มี เพราะนักกระโดดร่มเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่จากหยุดนิ่งเป็น เคลอ่ื นที่ ทำให้นกั กระโดดรม่ ตกสพู่ ืน้ ) • ถา้ มีแรงกระทำตอ่ นกั กระโดดรม่ จะมีแรงอะไรบา้ ง (แรงโนม้ ถว่ งและแรงตา้ นอากาศ) • แรงต้านอากาศมีค่าคงที่หรือไม่ อย่างไร และแรงต้านอากาศควรมีทิศทางใด (มีค่าไม่ คงที่ขึ้นอยู่กับอัตราเร็วของวัตถุ มีทิศตรงข้ามกับการเคลื่อนที่) เมื่อแรงต้านอากาศมี ขนาดเท่ากับน้ำหนักของนักกระโตตร่ม แรงลัพธ์ขณะนั้นมีค่าเป็นเท่าใด (แรงลัพธ์เป็น ศนู ย์นกั กระโตดร่มจะเคลือ่ นทดี่ ว้ ยอัตราเรว็ คงตัว) 3. ให้นักเรียนอ่านคำถามนำบท จุดประสงค์ของบทเรียน และอภิปรายร่วมกัน เพ่ือให้ทราบ ขอบเขตเนื้อหาในบทเรียนรวมทั้งเป้าหมายการเรียนรู้ในบทเรียน (นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับแรงลัพธ์ และแรงต่าง ใ ในชีวิตประจำวัน เช่น แรงเสียดทาน แรงเนื่องจากของเหลว แรงพยุงของของเหลว ตลอดจนแรงในสนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า สนามโนม้ ถว่ ง พรอ้ มท้งั เขียนแผนภาพเพือ่ หาแรงลพั ธแ์ ละแรง ต่าง ๆ น้ัน และเรียนรู้เกี่ยวกบั โมเมนต์ของแรงท่ีมีผลตอ่ สภาพสมดุลตอ่ การหมุน)

119 ขั้นสอน สำรวจและค้นหา (Exploration) 1. นักเรียนสังเกตภาพนำเรื่อง อ่านเนื้อหานำเรื่องและคำสำคัญ ซึ่งครูอาจใช้คำถามเพื่อให้ นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับภาพและเนื้อหานำเรื่องว่า สะพานข้ามแม่น้ำที่มีเสากลางสะพานจะกีด ขวางการจราจรอย่างไร (นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง เช่น ทำให้พื้นที่การจราจรแคบลง) จากนั้นให้นักเรียนทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน เพื่อประเมินความรู้พื้นฐานของนักเรียนเกี่ยวกับ การหาขนาดและทิศทางของแรงลพั ธเ์ มื่อแรงอยูใ่ นแนวเดียวกัน หากพบว่านักเรียนยงั มีความรูพ้ ื้นฐานไม่ ถูกตอ้ ง ครูควรทบทวนหรอื แก้ไขความเขา้ ใจผิดของ นักเรียนเพอื่ ใหน้ กั เรียนมีความรู้พ้นื ฐานที่ถูกต้องและ เพยี งพอท่ีจะเรียนเร่ืองแรงลัพธ์ตอ่ ไป 2. ตรวจสอบความรเู้ ดมิ ของนักเรียนเกี่ยวกบั แรงและแรงลัพธ์ท่กี ระทำต่อวัตถุ โดยใหท้ ำกิจกรรม รู้อะไรบ้างก่อนเรียนนักเรียนสามรถเขียนและวาดภาพได้ตามความเข้าใจของตนเอง โดยครูไม่เฉลย คำตอบ และครูนำข้อมลู จากการตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรยี นน้ีไปใช้ในการวางแผนการจดั การเรียนรู้ ว่าควรเน้นย้ำหรืออธิบายเรื่องใดเป็นพิเศษ เมื่อนักเรียนเรียนจบเรื่องนี้แล้ว นักเรียนจะมีความรู้ความ เขา้ ใจครบถว้ นตามจุดประสงค์ของบทเรยี น 3. กำหนดประเด็นและคำถามให้นักเรยี นร่วมกันอภิปรายเก่ยี วกับการหาผลรวมของแรง โดยอาจ ใช้สถานการณ์ว่าถ้าออกแรงผลักโต๊ะบนพื้นลื่นไปทางตะวันออกด้วยแรง 3 นิวตัน และเพื่อนอีกคนหน่ึง ผลักตันโต๊ะนี้ไปทางทิศเหนือด้วยแรง 4 นิวต้น โต๊ะจะเคลื่อนที่ไปในทิศของแรงใดแรงหนึ่งหรือไม่ ถ้าไม่ โต๊ะควรจะเคลื่อนที่อย่างไร และทิศทางตามแรงใด และนักเรียนคิดว่าผลรวมของแรงเป็นเท่าใด เพื่อ นำเขา้ สกู่ ิจกรรมท่ี 4.4 การรวมแรงในระนาบเดยี วกนั ทำไดอ้ ยา่ งไร อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) 1. ให้นักเรียนศึกษาการรวมแรงโดยวิธีหางต่อหัวจากตัวอย่างโจทย์ ตอบคำถามชวนคิด และ ร่วมกันอภปิ รายเกีย่ วกับคำตอบของนกั เรยี น 2. ให้นักเรียนเรียนรู้อ่านเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับการหาแรงสัพโดยวิธีสี่เหลี่ยมด้านขนาน ในหนังสือ เรยี นหน้า 177 ครนู ำอภปิ รายเปรียบเทียบการหาแรงลัพธด์ ว้ ยวิธีสี่เหลี่ยมด้านขนานกับวิธีเขียนแผนภาพ การรวมแรงแบบหางตอ่ หวั รวมท้ังขอ้ ดขี อ้ ดอ้ ยของแต่ละวธิ ี 3. ถ้าพบว่านักเรียนมีแนวคิดคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อแก้ไข แนวคิดคลาดเคล่ือนให้ถกู ต้อง

120 4. เชอ่ื มโยงเข้าสู่เร่อื งแรงกริ ิยาและแรงปฏิกริ ิยา โดยอาจยกสถานการณ์การผลักโตะ๊ ทีห่ นกั ๆ ไป ข้างหน้าขณะที่นั่งเก้าอี้ที่มีล้อ โต๊ะไม่เคลื่อนที่แต่เก้าอี้กลับเคลื่อนทีถ่ อยหลงั ให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย ว่า • แรงทที่ ำให้เก้าอเ้ี คลื่อนทีม่ ที ิศทางใด • แรงน้นั เกดิ ขน้ึ ได้อย่างไร • ทำไมเกา้ อที้ ีเ่ คยอย่นู ิ่งจงึ ถอยหลังได้ทัง้ ทีค่ นน่งั ออกแรงไปทางด้านหนา้ ซง่ึ สถานการณ์น้คี รูอาจสมุ่ นักเรียนมาสาธิตใหเ้ พื่อนดูได้ จากการอภิปราย เพือ่ ให้ได้ข้อสรปุ ว่า แรงที่ทำให้ เก้าอ้เี คลอ่ื นที่มีทิศตรงข้ามกบั แรงทผ่ี ลกั ต๊ะ และแรงนจ้ี ะเกดิ ขน้ึ โตต้ อบแรงทเี่ ราผลักโตะ๊ 5. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียน หน้า 178-182 พร้อมทั้งศึกษาตัวอย่างของแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ตอบ คำถามระหว่างเรียนและร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า เมื่อมี แรงกิริยากระทำต่อวัตถุก็จะมีแรงปฏิกิริยาจากวัตถุกระทำโต้ตอบ โดยแรงทั้งสองจะมีขนาดเท่ากันแต่มี ทศิ ทางตรงกนั ข้าม ไมส่ ามารถนำมารวมกนั ได้ เพราะกระทำต่อวตั ถคุ นละกอ้ น ขน้ั สรปุ ประเมินผล (Evaluation) 1. เปดิ โอกาสให้นกั เรยี นทำกิจกรรมเสริม ลูกโปง่ เคล่ือนท่ีไปข้างหนา้ ไดอ้ ย่างไร โดยครูอาจจัดให้ มีการแข่งขันกันระหว่างกลุ่มว่า ลูกโป่งของกลุ่มใดไปได้เร็วกว่า ร่วมกันอภิปรายว่า ลูกโป่งเคลื่อนที่ไป ข้างหนา้ ไดอ้ ยา่ งไร และปัจจยั ใดบ้างทจ่ี ะทำใหล้ ูกโปง่ เคลอ่ื นทไ่ี ปไดเ้ ร็วทส่ี ดุ 2. รว่ มกันอภิปรายและสรุปส่ิงที่ได้เรยี นรู้ เพื่อใหไ้ ด้ข้อสรปุ วา่ การหาแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงท่ี กระทำต่อวัตถุในระนาบเดียวกันด้วยการเขียนแผนภาพแสดงแรงลัพธ์ โดยใช้การรวมเวกเตอร์แทนแรง แบบหางต่อหัว ถ้าแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุเป็นศูนย์ วัตถุจะไม่เปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ โดยวัตถุอาจ หยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงท่ี แต่ถ้าแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุไม่เป็นศูนย์ วัตถุจะเปลี่ยนสภาพ การเคล่อื นท่ี โดยอาจเคลอ่ื นท่ีเรว็ ข้นึ ชา้ ลง หยดุ หรอื เปล่ยี นทศิ ทาง และเมื่อมแี รงกริ ิยาจะมีแรงปฏิกิริยา เกดิ ข้ึนเสมอ โดยแรงท้ังสองจะมีขนาดเทา่ กนั ทศิ ทางตรงกนั ขา้ มไมส่ ามารถนำมารวมกนั ไต้ เพราะกระทำ บนวัตถคุ นละกอ้ น 3. ถ้าพบว่านักเรยี นมแี นวคิดคลาดเคลือ่ นเกีย่ วกับเรื่องนี้จากการตอบคำถามก่อนเรียน ระหว่าง เรยี น หรืออาจตรวจสอบโดยใชก้ ลวธิ อี ่นื ๆ ให้ครแู กไ้ ขแนวคิดคลาดเคลือ่ นนนั้ ให้ถกู ต้อง

121 4. เชื่อมโยงเข้าสู่เรื่องแรงเสียดทาน โดยอาจใช้คำถามว่า ถ้านักเรียนออกแรงเพื่อผลักให้ตู้ เคลื่อนที่ แต่ตู้ไม่เคลื่อนที่จึงใช้ผ้ารองใต้ตู้แล้วผลักตู้ใหม่ ปรากฏว่าตู้เคลื่อนที่ ทำไมในตอนแรกตู้จึงไม่ เคลื่อนที่ แต่เมื่อใช้ผ้ารองใต้ตู้แล้วทำไมตูจ้ ึงเคลื่อนที่ นักเรียนร่วมกันอภิปรายตามความเข้าใจของตนเอง โดยครยู ังไม่เฉลยคำตอบ ช่ัวโมงท่ี 4-6 ขัน้ นำ กระตุน้ ความสนใจ (Engage) 1. นำเขา้ สู่เรื่องแรงเสยี ดทาน โดยครูอาจสาธิตการเคลื่อนที่ของแผน่ ซีดที ี่ตดิ หลอดดูดขนาดใหญ่ ไว้ตรงกลางแผ่น โดยเป่าลูกโป้งให้มีขนาตใหญ่หมุนปากลูกโป้งให้เป็นเกลียวเพื่อไม่ให้อากาศออกจาก ลกู โป่ง แล้วสวมปากลูกโปงเขา้ กับปลายหลอดดดู จากนัน้ ปลอ่ ยมือแลว้ ออกแรงกระทำให้แผน่ ซดี ีเคลื่อนที่ จะพบว่า แผ่นซีดีเคลื่อนที่ได้เร็วขณะที่มีอากาศออกจากปากลูกโป่ง จากนั้นเมื่อแผ่นซีดีหยุดเคลื่อนที่ให้ ออกแรงกระทำต่อแผ่นซีดีให้แผ่นซีดีเคลื่อนที่อีกครั้งพบว่า แผ่นซีดีจะเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าและหยุดอย่าง รวดเรว็ ครูตง้ั คำถามให้นกั เรียนรว่ มกันอภิปรายวา่ ทำไมจงึ เปน็ เชน่ นน้ั (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจของ ตนเอง) 2. ให้นักเรียนสังเกตภาพนำเรือ่ ง อ่านเนื้อหานำเรือ่ งและคำสำคัญ และร่วมกันอภิปรายโดยอาจ ใชค้ ำถามดงั นี้ • การที่ตัวรถไฟ Maglev ลอยอยู่เหนือรางรถไฟจะทำให้รถไฟวิ่งเร็วขึ้นหรือไม่ อย่างไร (นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง) • เมือ่ เปรียบเทยี บแผ่นซีดีขณะที่มีอากาศออกจากปากลูกโป่งกบั รถไฟความเร็วสูงมีส่วนที่ เหมอื นกนั อยา่ งไร (แผ่นซดี ีลอยอย่เู หนอื พ้นื เช่นเดียวกับรถไฟความเร็วสงู ทำใหเ้ คล่ือนท่ี ไดเ้ ร็ว) 3. ให้นักเรียนทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียนเพื่อประเมินความรู้พื้นฐานของนักเรียน เกย่ี วกบั เรื่องขนาดและทิศทางของแรงเสียดทาน หากพบวา่ นักเรียนยงั มีความรู้พื้นฐานไม่ถูกต้อง ครูควร ทบทวนหรือแก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียนเพื่อให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องและเพียงพอที่จะ เรียนเรื่องแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน์ ตลอดจนปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน ต่อไป

122 ขัน้ สอน สำรวจและคน้ หา (Exploration) 1. ให้นักเรียนทำกิจกรรมรู้อะไรบ้างก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความรู้เดิมเกี่ยวกับแรงเสียดทานสถิต และแรงเสียดทานจลน์นักเรียนสามารถเขียนและวาดภาพได้ตามความเข้าใจของตนเอง โดยครูไม่ เฉลยคำตอบ ครูนำขอ้ มูลจากการตรวจสอบความรูเ้ ดิมของนักเรียนน้ีไปใช้ในการวางแผนการจัดการ เรียนรู้ว่าควรเน้นย้ำหรืออธิบายเรื่องใดเป็นพิเศษ เมื่อนักเรียนเรียนจบเรื่องนี้แล้ว นักเรียนจะมี ความรคู้ วามเขา้ ใจครบถ้วนตามจดุ ประสงคข์ องบทเรยี น 2. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับสถานการณ์การผลักวัตถุหนัก ๆ และเปรียบเทียบแรงที่ใช้ในการ ผลักขณะวัตถุอยู่นิ่งกับวัตถุเคลื่อนที่ โดยครูอาจยกสถานการณ์การเข็นรถยนต์ที่อยู่นิ่งให้เคลื่อนที่ จากน้นั รว่ มกันอภปิ รายวา่ ทำไมเม่อื วตั ถเุ คล่อื นทจ่ี งึ ออกแรงนอ้ ยลง โดยครยู งั ไมต่ ้องเฉลย 3. นำเขา้ สกู่ ิจกรรมท่ี 4.5 แรงเสยี ดทานเม่ือวัตถุไม่เคลื่อนที่และเคลื่อนที่แตกต่างกนั อย่างไร โดยครู อาจใช้คำถามเพ่ือให้นักเรียนรว่ มกันอภปิ รายว่า ถา้ วางวัตถไุ ปบนพ้นื ราบ ขณะนน้ั จะมีแรงเสียดทาน หรือไม่ อยา่ งไร อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) 1. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงเสียดทาน โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนหน้า 185-186 ตอบคำถามระหว่างเรียน และร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า แรงเสียดทานสถิตเป็นแรงเสียดทานที่เกิดข้ึนเมื่อวัตถุไม่เคลื่อนที่หรือวัตถุเริ่ม เคลื่อนที่ โดยแรงเสียดทานสถิตมีค่าเปลี่ยนแปลงได้ แต่จะมีค่าสูงสุดหนึ่งค่า เรียกว่า ค่าแรงเสียด ทานสถิตสูงสุด ส่วนแรงเสียดทานจลน์เป็นแรงเสียดทานที่เกดิ ขึ้นขณะที่วตั ถุเคลื่อนที่ โดยแรงเสียด ทานจลน์จะมคี า่ คงท่คี ่าหน่ึง ๆ เมื่อมีแรงกระทำตอ่ วตั ถุแล้ววตั ถุยงั ไมเ่ คล่ือนท่ี หรอื เร่ิมเคล่อื นที่ หรอื เคลื่อนท่ตี วั ยความเร็วคงท่ี แรงเสยี ดทานจะมขี นาดเทา่ กับแรงที่มากระทำ ขัน้ สรุป ประเมินผล (Evaluation) 1. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า เมื่อมีแรงกระทำเพื่อให้วัตถุ เคลอ่ื นที่จะมีแรงเสยี ดทานระหว่างผิวสัมผสั ของวตั ถุในทิศทางตรงกันข้าม เพอ่ื ต้านการเคลื่อนที่ของ วัตถุนนั้

123 • แรงเสยี ดทานสถติ เปน็ แรงเสยี ดทานทเ่ี กดิ ขึน้ เม่ือวตั ถอุ ยู่นิง่ มไี ดห้ ลายคา่ แตม่ ีคา่ สงู สุดคา่ หน่ึง เรยี กว่า แรงเสยี ดทานสถิตสงู สุด • แรงเสยี ดทานจลน์ เป็นแรงเสียดทานทเี่ กิดข้ึนเม่ือวัตถุเคล่ือนท่ี โดยแรงเสยี ดทานจลน์จะมีค่า นอ้ ยกวา่ แรงเสียดทานสถติ สงู สุด • เมื่อมีแรงมากระทำต่อวัตถุให้วัตถุเคลื่อนที่ไปบนพื้นผิวแต่วัตถุยังคงอยู่นิ่ง หรือเริ่มเคลื่อนท่ี หรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ ในแต่ละกรณีแรงเสียดทานจะมีขนาดเท่ากับแรงที่มากระทำ นัน้ แต่มที ศิ ทางตรงข้าม 2. ถ้าพบว่านักเรยี นมแี นวคิดคลาดเคลือ่ นเกี่ยวกับเรื่องนี้จากการตอบคำถามก่อนเรียน ระหวา่ งเรียน หรอื อาจตรวจสอบโดยใชก้ ลวิธีอ่ืน ๆ ใหค้ รูแก้ไขแนวคิดคลาดเคล่อื นน้นั ให้ถกู ต้อง 3. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย โดยอาจใช้คำถามว่า แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจะมีค่ามากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยใด ซึ่งครูยังไม่เฉลยคำตอบ เพื่อนำเข้าสู่กิจกรรมที่ 4.6 ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อขนาด ของแรงเสียดทาน ชั่วโมงที่ 7-8 ขนั้ นำ กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. นำเข้าสู่เรอื่ งแรงและความดันของของเหลว โดยใหน้ กั เรียนสังเกตภาพนำเร่ืองเกี่ยวกับการดำ น้ำแบบลีก อ่านเนือ้ หานำเรอ่ื งและคำสำคัญ ครูใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั อภปิ ราย โดยอาจใชค้ ำถามดงั น้ี • การดำน้ำแบบดำนำ้ ต้ืนต่างจากการดำนำ้ แบบน้ำลึกอย่างไร (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจ ของตนเอง ซึ่งอาจมีนักเรียนบางคนอธิบายว่าการดำน้ำตื้นไม่ต้องใส่ชุดประดาน้ำและ หายใจโดยมีทอ่ หายใจซงึ่ โผล่พน้ ผวิ น้ำ) • ในขณะที่นักประดาน้ำอยู่ในน้ำมีแรงใดที่กระทำต่อนักประดาน้ำบ้าง แรงนี้เกิดจากอะไร (นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง) • นกั ประดาน้ำดำน้ำลึกตื้นตา่ งกันจะมีแรงกระทำต่างกันหรือไม่ อยา่ งไร (นกั เรียนตอบตาม ความเขา้ ใจของตนเอง) 2. ให้นักเรียนทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียนเพื่อประเมินความรู้พื้นฐานของนักเรียน เกีย่ วกับแรงดันอากาศและความหนาแน่นของสสารหากพบว่านักเรยี นยงั มีความรู้พ้ืนฐานไม่ถูกต้องครูควร ทบทวนหรือแก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องและเพียงพอที่จะ เรยี นเรื่องความดันของของเหลวตอ่ ไป

124 3. ตรวจสอบความรู้เดิมเก่ยี วกบั ความดันของของเหลวของนักเรียน โดยให้ทำกจิ กรรมรอู้ ะไรบ้าง ก่อนเรียน นกั เรียนสามารถเขียนและวาดภาพไดต้ ามความเข้าใจของตนเอง โดยครูไม่เฉลยคำตอบและครู ควรรวบรวมแนวคิดคลาดเคลื่อนที่พบเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้และแก้ไขแนวคิด เหล่านัน้ ให้ถกู ตอ้ ง 4. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับทิศทางของแรงที่กระทำต่อวัตถุ จากนั้นให้นักเรียนร่วมกัน อภิปรายว่า ของเหลวมีแรงกระทำต่อวัตถุเหมือนอากาศหรือไม่ อย่างไร นักเรียนตอบตามความเข้าใจ ของตเอง) เพื่อกระตุน้ ความสนใจของนกั เรียนเขา้ สู่กิจกรรมที่ 4.7 น้ำมแี รงกระทำต่อวตั ถหุ รอื ไม่ อย่างไร ขั้นสอน สำรวจและคน้ หา (Exploration) 1. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงที่ของเหลวกระทำต่อวัตถุ โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือ เรียนหน้า 198-199 และตอบคำถามระหว่างเรียน จากนั้นร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่านอกจาก ของเหลวจะมีแรงกระทำต่อวัตถุในทุกทิศทางแลว้ แรงทีข่ องเหลวกระทำต่อวตั ถุจะมีทิศทางตั้งฉากกับผิว วตั ถุ และไดม้ กี ารกำหนดว่าแรงท่ีของเหลวกระทำต่อพน้ื ทห่ี น่งึ หนว่ ย เรยี กวา่ ความตนั ของของเหลว เป็น ปริมาณสเกลาร์ 2. ตรวจสอบความเข้าใจในเรื่องความตันของของเหลว โดยให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายคำตอบ โดยอาจใช้คำถามดังนี้ • ความดันของของเหลวมีหน่วยเป็นอะไร (นิวตันต่อตารางเมตร เพราะความดันเป็นแรงท่ี กระทำตอ่ พ้นื ท่ีหนึง่ หนว่ ย แรงมีหน่วยนวิ ตนั พืน้ ทมี่ ีหนว่ ยตารางเมตร) • แผ่นเหล็กพื้นท่ี 5 ตารางเมตร จมอยู่ใต้น้ำ แรงที่น้ำกระทำต่อเหล็กแผ่นนั้นเปน็ 2,000 นิว ตัน ความดันของน้ำ ณ ตำแหน่งนั้นเป็นเท่าใด (ความดันของน้ำเท่ากับ 400 นิวตันต่อ ตารางเมตร เพราะในพื้นที่ 5 ตารางเมตร มีแรงกระทำ 2,000 นิวตัน ดังนั้นในพื้นที่ 1 ตารางเมตร จะมแี รงกระทำ เทา่ กับ 2000 หรือมคี ่า 400 นวิ ตนั ตอ่ ตารางเมตร) 5 3. เปิดโอกาสให้นักเรียนทำกิจกรรมทางเลือก เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับแรงที่น้ำกระทำต่อวัตถุและ ทิศทางของแรงที่น้ำกระทำต่อพื้นที่ผิวสัมผัส โดยทำกิจกรรมแรงจากน้ำมีทิศทางอย่างไร ครูควรให้ นักเรียนนำเสนอผลการทำกิจกรรม โดยอาจติดผลการทำกิจกรรมรอบผนังห้องเรียน หรือจัดแสดงชุด สาธิต นักเรียนทุกคนเตินศึกษา (Gallery walk) จากนั้นร่วมกันอภิปรายผลการทำกิจกรรม เพื่อให้ได้ ข้อสรปุ วา่ นำ้ มีแรงกระทำตอ่ วัตถใุ นทิศทางต้ังฉากกบั ผิววตั ถุ และตอบคำถามระหวา่ งเรียน

125 อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) 1. ถ้าพบว่านักเรียนมีแนวคิดคลาดเคลือ่ นเกี่ยวกับเรื่องนี้จากการตอบคำถามก่อนเรียน ระหว่าง เรยี น หรอื อาจตรวจสอบ โดยใชก้ ลวธิ ีอืน่ ๆ ให้ครูแก้ไขแนวคดิ คลาดเคลอื่ นนน้ั ใหถ้ ูกต้อง 2. ให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับความตันอากาศ โดยอ่านเน้ือหาในหนังสือเรียนหน้า 199 และ ร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ความดันอากาศจะมีค่าเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความสูงจาก ระดับน้ำทะเล โดยตำแหน่งที่สูงจากระดับนำ้ ทะเลมากขึ้น ความตนั อากาศจะลดลง และตำแหน่งที่ตำ่ จาก ระดบั น้ำทะเลมากขึ้น ความดนั ของอากาศจะเพิ่มขึ้น จากน้ันให้นักเรยี นร่วมกันอภิปรายเพ่ือเปรียบเทียบ ความดันอากาศกับความดันของของเหลวว่า ความดันของของเหลวจะเปลี่ยนแปลงโดยขึ้นอยู่กับระดับ ความสูงจากระดับน้ำทะเลเหมือนความตันอากาศหรือไม่ อย่างไร โดยครูยังไม่เฉลยคำตอบ ซึ่งครูควร รวบรวมข้อมลู จากการอภิปรายไว้เป็นขอ้ มูลประกอบการอภปิ รายหลงั จากทำกิจกรรม ข้ันสรุป ประเมนิ ผล (Evaluation) 1. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความดันของของเหลว โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนหนา้ 201 ตอบคำถามระหว่างเรยี น จากนั้นร่วมกนั อภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ความดันของของเหลวขึน้ อยู่ กับความลกึ ของผวิ ของเหลว โดยยิง่ ลกึ ลงไปความดันยง่ิ มากข้นึ นอกจากนี้ความดนั ของของเหลวยังข้ึนอยู่ กบั ความหนาแนน่ ของของเหลว โดยของเหลวทม่ี คี วามหนาแนน่ มากจะมคี วามดนั มาก 2. ให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือวัดความตันของของเหลวและการนำความรู้เรื่อง ความตันไปใช้ประโยชน์โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนหน้า 202-204 ตอบคำถามระหว่างเรียน และ อภิปรายคำตอบรว่ มกนั จากนัน้ อา่ นเกร็ดนา่ รู้เกี่ยวกับเร่ืองการออกแบบสร้างยานดำนำ้ เพื่อดำลงไปยังจุด ทลี่ กึ ท่สี ุดของโลกทเี่ รียกวา่ Challenger deep 3. ถ้าพบว่านักเรียนมแี นวคิดคลาดเคลื่อนเกีย่ วกับเรื่องนี้จากการตอบคำถามก่อนเรียน ระหว่าง เรยี น หรอื อาจตรวจสอบโดยใช้กลวธิ อี ่นื ๆ ใหค้ รูแก้ไขแนวคิดคลาดเคลื่อนนน้ั ให้ถกู ต้อง 4. เชอื่ มโยงไปสเู่ ร่อื งแรงพยุงของของเหลว โดยใชค้ ำถามให้นกั เรียนร่วมกนั อภิปราย เช่น • ปลาว่ายข้ึนลงในนำ้ ไดอ้ ย่างไร • ทำไมเรอื จงึ ลอยนำ้ ได้

126 ชัว่ โมงท่ี 9-11 ข้นั นำ กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 1. ให้นักเรียนสังเกตภาพนำเรือ่ งแรงพยุงของของเหลว อ่านเนื้อหานำเรื่องและคำสำคัญจากนน้ั รว่ มกันอภิปราย โดยอาจใช้คำถามดังน้ี • ทำไมบ้านลอยน้ำจึงสามารถลอยนำ้ ได(้ นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง) • ถ้าฝนดกหนักระดับน้ำสูงขึ้น น้ำจะท่วมเข้าบ้านลอยน้ำหรือไม่ (นักเรียนตอบตามความ เข้าใจของตนเอง) 2. กระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่เรื่องแรงพยุงของของเหลวโดยปั้นดินน้ำมันเป็น ก้อนกลม แล้วให้นักเรียนคาดคะเนว่าถา้ ปล่อยมือ ดินน้ำมันจะจมน้ำหรือไม่ และมีวิธที ำให้ดินน้ำมันลอย น้ำได้หรือไม่ อย่างไร โดยครูอาจสุ่มนักเรียนให้สาธิตการทำให้ดินน้ำมันลอยน้ำ แล้วร่วมกันอภิปรายว่า ทำไมจงึ เป็นเช่นน้นั (นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง) 3. ให้นักเรียนทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียนเพื่อประเมินความรู้พื้นฐานของนักเรียน เก่ียวกับแรงที่นำ้ กระทำต่อของเหลว หากพบว่านักเรยี นยังมีความรู้ฟืน้ ฐานไม่ถูกต้อง ครูควรทบทวนหรือ แก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีรู้พื้นฐานที่ถูกต้องและเพียงพอที่จะเรียนเรื่องแรงพยุง ของของเหลวต่อไป ขั้นสอน สำรวจและค้นหา (Exploration) 1. ให้นกั เรยี นอา่ นชอ่ื กจิ กรรม จุดประสงค์ และวธิ ดี ำเนินกจิ กรรม และตรวจสอบความเข้าใจการ อ่าน โดยใช้คำถามดงั ต่อไปน้ี • กิจกรรมนีเ้ กย่ี วกบั เร่อื งอะไร (แรงพยงุ ของของเหลว) • กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (วิเคราะห์และอธิบายขนาตและทิศทางของแรงพยุงของ ของเหลว และเขยี นแผนภาพแสดงแรงพยงุ ของของเหลว) • วิธีการดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรปุ อย่างไร (แขวนดินน้ำมันกับเครื่องช่ังสปริง อ่านค่า ของแรงบนเครื่องช่ังสปริงเมื่อดินน้ำมนั อยู่น่ิง เมื่อใช้มือพยุงดินน้ำมัน และเมื่อดินน้ำมันจม มิดในน้ำ พร้อมวาดแผนภาพแสดงแรงที่กระทำต่อดินน้ำมันทั้ง 3 สถานการณ์) ครูควร บันทกึ ชนั้ ตอนการทำกิจกรรมโดยสรุปบนกระดาน

127 • นักเรียนต้องสังเกตและรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (ขนาดของแรงที่อ่านจากใช้เครื่องชั่งสปริง เมื่อดินน้ำมันอยู่นิ่งในอากาศ เมื่อใช้มือพยุงดินน้ำมันในอากาศ และเมื่อดินน้ำมันจมมิดใน นำ้ ) 2. ให้นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ ลงมือทำกิจกรรม โดยครูควรเดนิ สงั เกตการณท์ ำกิจกรรมของนักเรียนแต่ ละกลุ่ม เพื่อให้คำแนะนำถ้านักเรียนมีข้อสงสัย และครูควรรวบรวมข้อมูลในการทำกิจกรรมของนักเรียน เพอื่ ใช้ประกอบการอภปิ รายหลงั การทำกจิ กรรม 3. ให้นักเรียนแต่ละกลุม่ นำเสนอผลการทำกิจกรรม อบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผล ของกิจกรรม โดยอาจใช้คำถามท้ายกจิ กรรมเปน็ แนวทาง เพื่อให้ได้ขอ้ สรุปจากกิจกรรมว่า เมื่อวัตถุอยูใ่ น นำ้ จะมีแรงพยุงจากน้ำกระทำในทิศข้ึนตามแนวดง่ิ ทำใหค้ ่าท่อี ่านไดจ้ ากเครื่องชั่งสปรงิ เม่ือชัง่ น้ำหนักวัตถุ ในน้ำคา่ นอ้ ยกว่าเมอื่ ช่ังวตั ถุในอากาศ 4. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงพยุงของของเหลว โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนหน้า 208 ตอบคำถามระหว่างเรียน และร่วมกันอภิปรายสรุปเกี่ยวกับแรงที่ของเหลวกระทำต่อวัตถุ เพื่อให้ได้ ข้อสรุปว่า เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลว ของเหลวมีแรงกระทำต่อวัตถุในทุกทิศทาง แต่แรงลัพธ์ที่ของเหลว กระทำต่อวัตถุมีทิศขึ้นตามแนวดิ่งซึ่งแรงนี้คือ แรงพยุงของของเหลว โดยขนาดของแรงที่ของเหลวพยุง วตั ถมุ ีค่าเทา่ กบั ผลตา่ งของคา่ ของแรงทอ่ี ่านไดเ้ มอื่ ชัง่ วตั ถุในอากาศและในของเหลว อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) 1. ให้นกั เรียนเรียนรูเ้ พิ่มเติมเกีย่ วกับการจมการลอยของวัตถุ โดยอา่ นเน้อื หาในหนงั สือเรียนหน้า 212-214 ตอบคำถามระหว่างเรียน และร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า เมื่อแรงลัพธ์ที่กระทำต่อ วัตถุเป็นศูนย์ นั่นคือ แรงพยุงของของเหลวจะมีขนาดเท่ากับน้ำหนักวัตถุ วัตถุนั้นจะลอยอยู่นิ่งใน ของเหลว ส่วนวัตถุที่จมลงไปในของเหลวเป็นเพราะน้ำหนักของวัตถุมากกว่าแรงพยุงของของเหลว แรง ลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุจึงไม่เป็นศูนย์และมีทิศดิ่งลง ทำให้วัตถุจมลงตามทิศทางของแรงลัพธ์ จากนั้นให้ นักเรยี นเรียนรเู้ พิม่ เตมิ เกีย่ วกับการนำความรเู้ รอื่ งแรงพยุงของของเหลวไปใชป้ ระโยชน์ ขั้นสรุป ประเมนิ ผล (Evaluation) 1. ให้นกั เรียนรว่ มกันอภิปราย เพ่ือใหไ้ ด้ข้อสรุปว่า แรงพยงุ ของของเหลวเปน็ แรงลัพธท์ ี่ของเหลว กระทำต่อวัตถุสว่ นที่จมในของเหลวและมีทศิ ข้นึ โดยขนาดของแรงพยงุ ของของเหลวจะมีค่ามากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาตรของวัตถุส่วนท่ีจมและความหนาแนน่ ของของเหลว การจมหรือการลอยของวัตถุขึ้นอยู่ กับน้ำหนักของวัตถุและแรงพยุงของของเหลวถ้าแรงพยุงของของเหลวกับน้ำหนักของวัตถุมีคำเท่ากัน

128 วัตถุจะลอยนิ่งในของเหลวนั้น แต่ถ้าน้ำหนักของวัตถุมากกว่าแรงพยุงของของเหลว วัตถุจะจมลงไปใน ของเหลวนนั้ จากนัน้ ให้นักเรียนศกึ ษาเพิ่มเตมิ เกยี่ วกับแรงพยงุ ของของเหลวโดยอ่านเกรด็ นา่ รู้เรื่องอาร์คิมี ดีสกบั มงกุฎทองคำในหนงั สอื เรียนหน้า 215 2. ถ้าพบว่านกั เรียนมีแนวคิดคลาดเคล่ือนเก่ยี วกบั เรื่องน้ี จากการตอบคำถามก่อนเรียน ระหว่าง เรียน หรืออาจตรวจสอบโดยใช้กลวธิ ีอืน่ ๆ ใหค้ รูแก้ไขแนวคิดคลาดเคล่ือนน้ันให้ถกู ตอ้ ง ชั่วโมงท่ี 12-14 ขั้นนำ กระตุน้ ความสนใจ (Engage) 1. ให้นักเรียนสงั เกตภาพนำเร่ืองอา่ นเน้อื หานำเรื่องและคำสำคัญ และทำกจิ กรรมทบทวนความรู้ ก่อนเรียนเกี่ยวกับแรงลัพธ์ แล้วร่วมกันอภิปรายเพื่อให้ใต้คำตอบท่ีถกู ตอ้ ง หากพบว่านักเรียนยังมีความรู้ พื้นฐานไม่ถูกต้อง ครูควรทบทวนหรือแก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียนเพื่อให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานท่ี ถูกตอ้ งและเพยี งพอที่จะเรยี นเรอ่ื งโมเมนตข์ องแรงต่อไป 2. ตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับโมเมนต์ของแรง โดยทำกิจกรรมรู้อะไรบ้างก่อน เรียนนักเรียนสามารถเขียนหรือวาดภาพได้ตามความเข้าใจของตนเอง โดยครูไม่เฉลยคำตอบ ซึ่งครูควร รวบรวมแนวคิดคลาดเคลื่อนที่พบเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการจัดการเรยี นรู้และแก้ไขแนวคดิ เหล่าน้ัน ใหถ้ ูกต้อง 3. กระตนุ้ ความสนใจของนักเรยี น โดยใหน้ ักเรียนคาดการณ์ผลการออกแรงผลักหนงั สือท่ีวางบน โต๊ะหน้าชั้นเรียนที่ตำแหน่งต่างกัน เช่น ต้านใดด้านหนึ่งของสันหนังสือโดยให้อีกด้าน ตรีงอยู่กับที่ จุด กึ่งกลางของสันหนังสือ แล้วครูสาธิตการออกแรงผลักหนังสอื ที่ตำแหน่งต่าง 1 โดยให้นักเรียนสังเกตการ เคลอื่ นท่ีท่ีเกดิ ขึ้น จากนน้ั รว่ มกนั อภิปรายโดยใช้คำถามดงั น้ี • จากผลการสาธติ สอดคล้องกบั ส่ิงทนี่ ักเรยี นคาดการณ์ไวห้ รือไม่ อย่างไร • การออกแรงผลกั หนังสือตำแหน่งใด ทำให้หนงั สือเคลอ่ื นท่ไี ปข้างหน้า และการออกแรงผลัก ตำแหน่งใดทำใหห้ นงั สือเกิดการเคล่ือนที่แบบหมุน (การออกแรงผลกั ตรงจุดกึ่งกลางของสัน หนังสือทำให้หนังสือเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ส่วนการออกแรงผลักที่มุมขวาและซ้ายของสัน หนงั สอื โดยอกี ดา้ นตรงึ อยูก่ บั ทท่ี ำให้หนงั สือเกิดการเคลื่อนท่ีแบบหมนุ ) • เพราะเหตุใด กรออกแงผลักที่ด้านใดด้านหนึ่งของสันหนังสือที่อีกต้านตรีงอยู่กับที่ทำให้ หนังสือเกดิ การเคลื่อนทีแ่ บบหมุน (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง)

129 • การออกแรงผลักที่ด้านใตต้านหนึ่งของสันหนังสือให้จุดกึ่งกลางสันหนังสืออยู่ กับที่ทำให้ หนังสือหมุนแตกต่างกันหรอื ไม่ อย่างไร (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง) 4. ร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า การออกแรงกระทำต่อวัตถุแล้วทำให้วัตถุหมุนเนื่องจาก เกิดโมเมนต์ของแรงจากนัน้ นำเขา้ สู่กิจกรรมที่ 4.11 โมมนต์ของแรงคืออะไร โดยอาจใชค้ ำถามวา่ โมเมนต์ ของแรงคอื อะไร มีขนาดและทศิ ทางอย่างไร ขนั้ สอน สำรวจและค้นหา (Exploration) 1. ใหน้ กั เรียนอ่านชือ่ กิจกรรม จดุ ประสงค์ และวธิ ดี ำเนินกิจกรรม และตรวจสอบความเข้าใจการ อ่าน โดยใช้คำถาม • กิจกรรมนีเ้ กยี่ วกบั เรื่องอะไร (ขนาดและทศิ ทางของการหมนุ ของโมเมนต์ของแรง) • กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (อธิบายขนาดและทิศทางของการหมุนของโมเมนต์ของ แรง) • วธิ ดี ำเนนิ กิจกรรมมีขัน้ ตอนโดยสรุปอย่างไร (ผูกเชอื กที่ปลายดา้ นหนึ่งของแทง่ เหล็ก ใช้ เครื่องชั่งสปริงเกี่ยวที่ปลายเชือกต้านนั้นและวางแท่งเหล็กให้ปลายอีกด้านหนึ่งชิดวัตถุ หนัก ๆ ออกแรงตึงเครื่องชั่งสปริงขึ้นในแนวดิ่งให้ปลายแท่งเหล็กสูงจากพื้น 1 เชนติ เมตร สังเกตลักษณะการเคลื่อนที่ของแท่งเหล็กและอ่านค่าของแรงจากเครื่องชั่งสปริง วัดระยะทางจากปลายแท่งเหล็กทีช่ ิดวัตถหุ นักถึงจุดท่เี กี่ยวเครื่องชั่งสปริง แล้วทำซ้ำแต่ เปล่ียนตำแหนง่ ท่เี ก่ยี วเครือ่ งชง่ั สปริง 3 ตำแหน่ง โดยไมใ่ ห้เกินจุดกง่ึ กลางของแท่งเหล็ก แล้วหาผลคูณของขนาดของแรงที่อ่านได้กับระยะทางจากปลายแท่งเหล็กด้านชิตวัตถุ หนักถึงจุดที่เกี่ยวเครื่องชั่งสปริง) ครูควรบันทึกขั้นตอนการทำกิจกรรมโดยสรุปบน กระดาน • นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (ลักษณะการเคลื่อนที่ของแท่งเหล็ก ขนาดของแรงกระทำ และระยะห่างระหว่างปลายแท่งเหล็กต้านชิดวัตถุหนักถึงจุดท่ี เก่ยี วเครือ่ งช่ังสปริง) 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มกำหนดคำถามเพื่อนำไปสู่การสำรวจตรวจสอบ เช่น ตำแหน่งการออก แรงตึงเครื่องชั่งสปริงที่แตกต่างกัน มีผลต่อขนาดของแรงอย่างไร จากนั้นวางแผนและดำเนินการสำรวจ ตรวจสอบ และตอบคำถามดังกล่าวโดยครูควรเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนแต่ละกลุ่มเพื่อให้ คำแนะนำหากนักเรียนมีข้อสงสัย และครคู วรรวบรวมข้อมูลเหลา่ น้นั เพื่อใช้ประกอบการอภิปรายหลังการ ทำกจิ กรรม

130 3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลจากการทำกิจกรรม ตอบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกัน สรุปผลของกิจกรรมโดยใช้คำถามท้ายกิจกรรมเป็นแนวทาง จากนั้นอภิปรายเพื่อตอบคำถามว่าโมเมนต์ ของแรงคืออะไร มีทิศทางอย่างไรเพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า เมื่อเปลี่ยนตำแหน่งที่ออกแรงตึง คำ ของแงก็เปลี่ยนไป โดยย่ิงเข้าใกล้จุดทตี่ ดิ กบั วัตถหุ นัก 1 ทเี่ ป็นจดุ ยดึ แท่งเหล็ก แรงทีอ่ อกก็จะมากขน้ึ โดย ผลคูณระหว่างขนาดของแรงที่กระทำต่อวัตถุกับระยะทางจากจุดที่เกี่ยวเครื่องชั่งสปริงไปยังจุดที่ติดกับ วัตถุมีค่าคงที่ ทำให้แท่งเหล็กเกิดการหมุนโดยมีตำแหนง่ ท่ีตดิ กบั วตั ถเุ ป็นจุดหมุน และผลคูณที่ได้มหี น่วย เป็นนิวตัน เมตร อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) 1. ใหน้ ักเรียนร่วมกนั อภิปรายเพื่อวเิ คราะห์การใชง้ านกับการหมุนของวัตถุในชวี ติ ประจำวัน เช่น การใช้ประแจในการหมนุ นอต การออกแรงเพื่อเปิดปิดประตแู บบท่ีมีบานพับ โดยอาจใช้คำถามวา่ ในการ ใช้งานวัตถุดังกล่าว ตำแหน่งใดคือจุดหมุนและตำแหน่งใดคือจุดที่ควรออกแรงกระทำ และถ้าต้องการให้ ได้การหมุนทีเ่ หมือนกนั ระยะหา่ งของแรงที่กระทำจากจุดหมุนน้อยหรือมากมผี ลต่อขนาดของแรงกระทำ หรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใดการใช้งานประแจและการเปิดปิดประตูแบบที่มีบานพับ นักเรียนควรออก แรงกระทำที่ตำแหน่งห่างจากบานพับมาก ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าในการทำให้วัตถุหมุนด้วยค่ามมนต์ของ แรงคา่ หนงึ่ ถา้ เพิม่ ระยะห่างของแนวแรงท่ีกระทำจากจุดหมุน จะออกแรงนอ้ ยกว่าการออกแรงกระทำต่อ วตั ถทุ ร่ี ะยะใกล้จุดหมุน ตวั อย่างเชน่ การเปิดประตูหนีไฟ ประตจู ะเปิดไดด้ ้วยโมเมนต์ของแรงคำหนึ่ง ถ้า ออกแรงที่บานประตูที่ตำแหน่งไกลจากบานพับหรือจุดหมุนก็จะเปิดได้ง่าย เพราะออกแรงน้อยกว่าการ ออกแรงที่กลางประตหู รอื บรเิ วณทีอ่ ยู่ใกลก้ บั บานพบั 2. รว่ มกนั อภปิ รายโดยอาจใช้คำถามวา่ ถา้ มแี รงกระทำตอ่ วตั ถหุ ลายแรงพร้อมกนั นักเรยี นคิดว่า จะสามารถนำค่าโมเมนต์ของแรงมารวมกันได้หรือไม่ ย่างไร นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเองโดย ครูไม่เฉลยคำตอบ 3. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโมเมนต์ของแรง โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนหน้า 219- 221 และร่วมกันอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ทิศทางการหมุนของวัตถุจะเรียกตามทิศทางการเคลื่อนที่ ของเข็มนาฬกิ า ได้แก่ ทิศทางตามเขม็ นาฬกิ าและทิศทางทวนเข็มนาฬิกา จากน้นั ศึกษาการหามเมนต์ของ แรงจากตัวอย่างโจทย์ ตอบคำถามระหว่างเรียนและคำถามชวนคิด แล้วร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับคำตอบ ของนักเรียน

131 ข้นั สรุป ประเมนิ ผล (Evaluation) 1. ให้นักเรียนรว่ มกนั อภปิ รายโดยอาจใช้คำถามว่า เครนใช้หลกั การของสมดลุ ต่อการหมุนหรือไม่ อยา่ งไร (การออกแบบเครนเพ่ือใชย้ กวัตถุหนักข้ึนส่ทู สี่ ูงต้องคำนึงถึงสภาพสมดลุ ต่อการหมุน ซึง่ จะเห็นว่า มีการใช้วัตถุที่มีน้ำหนักมากไว้ด้านตรงข้ามกับด้านที่ใช้ยกวัตถุ ทำให้เกิดโมเมนต์ของแรงในทิศทางตาม เข็มนาฬิกาเท่ากับโมเมนต์ของแรงในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา เครนจึงมีความมั่นคง ไม่ล้ม) จากนั้นให้ นักเรียนยกตัวอย่างอุปกรณ์ เครื่องเล่น หรือเครื่องมอื ในชวี ติ ประจำวันทีม่ ีการประยุกต์ใช้โมมนต์ของแรง และสภาพสมดุลต่อการหมุน เชน่ คานดดี หรอื คานงดั กรรไกรสำหรับตัดแตง่ ต้นไม้ คมี ตดั ลวด ม้าหมุนใน สนามเด็กเล่น กระดานหก เครื่องชั่งสามแขน พร้อมทั้งอธิบายหลักการโมเมนต์ของแรงและสภาพสมดุล ตอ่ การหมุนผ่านวธิ กี ารใชง้ าน 2. ให้นักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับโมมนต์ของแรงและสภาพสมดุลต่อกาหมุน เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า เมอ่ื มแี รงกระทำต่อวตั ถโุ ดยแนวแรงไมผ่ า่ นจุดหมุนจะเกดิ โมมนต์ของแรงนนั้ ซึง่ โมมนต์ของแรงคำนวณได้ จากผลคูณของแรงและระยะตั้งฉากจากจุดหมนุ ไปยังแนวแรง (M = Fl) ในกรณีที่ผลรวมของโมมนตข์ อง แรงในทิศทางตามเข็มนาฬิกาเท่ากับผลรวมของโมเมนต์ของแรงในทิศทางทวนเข็มนาฬิก าวัตถุจะอยู่ใน สภาพสมดลุ ต่อการหมุน 3. ถ้าพบว่านักเรียนมีแนวความคิดคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้จากการตอบคำถามก่อนเรียน ระหว่างเรยี น หรืออาจตรวจสอบโดยใช้กลวธิ ีอนื่ 1 ให้ครแู ก้ไขแนวคิดคลาดเคลอ่ื นน้ันใหถ้ ูกต้อง ชัว่ โมงท่ี 15-17 ขน้ั นำ กระต้นุ ความสนใจ (Engage) 1. ให้นักเรียนสังเกตภาพนำเรื่อง อ่านเนื้อหานำเรื่องและคำสำคัญ และทำกิจกรรมทบทวน ความรู้ก่อนเรียนเกีย่ วกับแรงสัมผัสหรือแรงไม่สัมผัส แล้วร่วมกันอภปิ รายเพื่อให้ได้คำตอบทีถ่ ูกต้อง หาก พบว่านักเรียนยังมีความรู้พื้นฐานไม่ถูกต้อง ครูควรทบทวนหรือแก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียนเพื่อให้ นกั เรียนมคี วามรพู้ ้นื ฐานทีถ่ กู ต้องและเพยี งพอทีจ่ ะเรยี นเร่ืองแรงและสนามของแรงต่อไป 2. ตรวจสอบความรูเ้ ดิมของนักเรียนเกี่ยวกับเวกเตอรข์ องแรงและสนามแม่เหล็ก โดยทำกิจกรรม รู้อะไรบ้างก่อนเรียน นักเรียนสามารถเขียนหรือวาดภาพได้ตามความเข้าใจของตนเอง โดยครูไม่เฉลย

132 คำตอบ ซึ่งครูควรรวบรวมแนวคิดคลาดเคลื่อนที่พบเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้และ แก้ไขแนวคิดเหล่าน้ันใหถ้ ูกตอ้ ง 3. กระต้นุ ความสนใจของนักเรียน โดยใชค้ ำถามดงั น้ี • การวางลวดเสียบกระดาษหรือตะปูไว้ที่ตำแหน่งใกล้และไกลจากแท่งแม่เหล็ก ทำให้ เกดิ ผลแตกตา่ งกันหรอื ไมอ่ ย่างไร (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง) • การวางลวดเสียบกระดาษหรือตะปูไว้ที่ตำแหน่งต่าง ๆ โดยรอบแท่งแม่เหล็ก ทำให้ เกิดผลแตกตา่ งกนั หรือไม่อย่างไร (นกั เรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง) 4. รว่ มกนั อภปิ ราย เพอ่ื ให้ไดข้ ้อสรุปว่า แม่เหล็กมีแรงกระทำต่อสารแม่เหลก็ ดว้ ยกันได้ เรียกแรง กระทำนี้ว่าแรงแม่เหล็ก ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัสที่เกิดจากสนามแม่เหล็กที่อยู่โดยรอบแท่งแม่เหล็ก จากนั้น นำเข้าสู่กิจกรรมที่ 4.13 สนามแม่เหล็กเป็นอย่างไร โดยอาจใช้คำถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่ารอบ ( แท่ง แมเ่ หล็กมสี นามแมเ่ หล็ก โดยครยู งั ไมเ่ ฉลยคำตอบ ขัน้ สอน สำรวจและค้นหา (Exploration) 1. ใหน้ ักเรียนอา่ นชื่อกจิ กรรม จดุ ประสงค์ และวิธดี ำเนนิ กจิ กรรม และตรวจสอบความเข้าใจการ อา่ น โดยใช้คำถามดังตอ่ ไปนี้ • กิจกรรมนเ้ี ก่ียวกับเรอื่ งอะไร (สนามแม่เหลก็ ) • กจิ กรรมนี้มจี ดุ ประสงคอ์ ะไร (สงั เกตและเขยี นเสน้ สนามแม่เหล็ก) • วิธีดำเนินกิจกรรมมีชั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (โรยผงเหล็กบนแผ่นพลาสติกใสที่วางทับบน แทง่ แมเ่ หล็ก ใชม้ ือเคาะแผน่ พลาสติกใสเบา ๆ สงั เกตและบันทึกการเรยี งตัวของผงเหล็ก จากนั้นนำแผ่นพลาสติกใสออก วางแท่งแม่เหล็กบนกระดาษขาวและวาดส้นระหว่างขั้ว เหนือ-ใต้ตามแนวการเรียงตัวของผงเหล็กทั้ง 2 ข้าง แล้ววางเข็มทิศข้างแท่งแม่เหล็กตาม เส้นที่วาดไว้และบันทึกทิศทางการวางตัวของเข็มทิศ) ครูควรบันทึกขั้นตอนการทำ กจิ กรรมโดยสรุปบนกระดาน • นกั เรยี นต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมลู อะไรบา้ ง (การเรยี งตัวของผงเหล็กระหว่างข้ัวเหนือ และ ข้วั ใต้ของแทง่ แมเ่ หลก็ และการวางตัวของเข็มทศิ ) 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มลงมือทำกิจกรรม โดยครูควรเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนแต่ ละกลุ่มเพื่อให้คำแนะนำหากนักเรียนมีข้อสงสัย และครูควรรวบรวมข้อมูลเหล่านั้น เพื่อใช้ประกอบการ อภปิ รายหลังการทำกิจกรรม

133 3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลจากการทำกิจกรรม อบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกัน สรุปผลของกิจกรรมโดยใช้คำถามท้ายกิจกรรมเป็นแนวทาง จากนั้นอภิปรายเพื่อตอบคำถามว่า สนามแม่เหล็กคืออะไร มีลักษณะอย่างไร เพื่อให้ได้ข้อสรุปของกิจกรรมว่า แม่เหล็กแท่งหนึ่ง ๆ จะมี สนามแม่เหล็กรอบ ๆ แท่งแม่เหล็ก เมื่อนำแม่เหล็กอื่นหรือสารแม่เหล็กเข้าไปในบริเวณตังกล่าวจะเกิด แรงแม่เหล็กกระทำต่อแท่งแม่เหล็กหรือสารแม่เหล็กในสนามแม่เหล็กจะมีเส้นสนามแม่เหล็ก โดยเส้น สนามแม่เหล็กที่อยู่ภายนอกแท่งแม่เหล็กจะมีทิศทางพุ่งออกจากขั้วเหนือและพุ่งเข้าหาขั้วใต้เสมอ ส่วน เส้นสนามแม่เหล็กที่อยู่ภายในแท่งแม่เหล็กจะมีทิศพุ่งจากขั้วใต้ไปยังขั้วเหนือเราไม่สามารถมองเห็นเส้น สนามแมเ่ หลก็ แตส่ ามารถใชก้ ารเรียงตวั ของผงเหลก็ หรือการวางตวั ของเข็มทิศแสดงเส้นสนามแมเ่ หล็กได้ 4. ขยายความรู้โดยสาธิตการโรยผงเหล็กบนแผ่นพลาสติกใสที่วางบนแท่งแม่เหล็กที่วางให้ขั้ว ต่างกันอยู่ใกล้กันและขั้วเหมือนกันอยู่ใกล้กัน แล้วให้นักเรียนสังเกตการเรียงตัวของผงเหล็ก และร่วมกัน วิเคราะห์ทศิ ทางของแรงแม่เหลก็ ทก่ี ระทำต่อแท่งแม่เหล็กในสนามแมเ่ หล็ก 5. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสนามแม่เหล็กและทิศทางของแรงแม่เหล็กที่กระทำต่อ ขั้วแม่เหล็กที่อยู่ในสนามแม่เหล็ก โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนหน้า 234-236 และร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า แรงแม่เหล็กที่กระทำต่อขั้วแม่เหล็กขั้วเหนือจะมีทิศทางเดียวกับทิศทางของ สนามแม่เหล็กและแรงแม่เหล็กที่กระทำต่อขั้วแม่เหล็กขั้วใต้จะมีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางของ สนามแม่เหล็ก จากนั้นให้นักเรียนตอบคำถามระหว่างเรียน และร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับคำตอบของ นักเรยี น อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) 1. เชื่อมโยงจากการสาธิตการโรยผงเหล็กบนแท่งแม่เหล็กพบว่า บริเวณใกล้ขั้วเหนือและขั้วใต้ ของแท่งแม่เหล็กจะมีเสน้ ผงเหล็กหนาแน่นมากกว่าบรเิ วณอื่น ซึ่งแสดงว่ามีเสน้ สนามแมเ่ หลก็ หนาแน่นท่ี บริเวณนั้น เราเรียกความหนาแน่นของเส้นสนามแม่เหล็กที่ผ่านหนึ่งหน่วยพื้นที่ในแนวตั้งฉากว่า ความ เขม้ ของสนามแมเ่ หล็ก และร่วมกนั อภิปราย โดยอาจใชค้ ำถามว่า • นกั เรียนคิดว่าความเขม้ ของสนามแม่เหล็กบริเวณใกล้ขว้ั แมเ่ หล็กและบริเวณท่ีห่างออกไป จะมีความแตกต่างกนั หรือไมอ่ ย่างไร • ตำแหน่งที่มคี วามเข้มของสนามแม่เหล็กมากและตำแหน่งที่มีความเข้มของสนามแมเ่ หลก็ น้อยจะมีแรงแมเ่ หลก็ เปน็ อยา่ งไร เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ความเข้มของสนามแม่เหล็กเป็นความหนาแน่นของเส้น สนามแม่เหล็กที่ผ่านหนึ่งหน่วยพื้นที่ในแนวตั้งฉาก มีหน่วยเป็นเวเบอร์ต่อตารางเมตร หรือเทสลา บริเวณใกล้ขั้วแม่เหล็กจะมีความเข้มของสนามแม่เหล็กมาก และบริเวณที่ ห่างออกไปจากแห่งแม่เหล็กจะมีความเข้มของสนามแม่เหล็กลดลง แรงแม่เหล็กมี

134 ความสัมพันธ์กับความเข้มสนามของแม่เหล็กที่ตำแหน่งใด ๆ โดย ณ ตำแหน่งที่มีความ เข้มสนามเม่เหล็กมากจะมีแรงแม่เหล็กมากและตำแหน่งที่มีความเข้มสนามแม่เหล็ก ลดลงจะมแี รงแมเ่ หลก็ ลดลงดว้ ย 2. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความเข้มของสนามแม่เหล็กและความสัมพันธ์ระหว่างแรง แม่เหล็กที่กระทำต่อสารแม่เหลก็ กับระยะห่างจากแท่งแม่เหล็ก โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนหน้า 238 ตอบคำถามระหวา่ งเรยี นและร่วมกนั อภิปรายเกย่ี วกบั คำตอบของนักเรียน ขั้นสรปุ ประเมินผล (Evaluation) 1. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงไฟฟ้าและสนามไฟฟ้า โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียน หน้า 241-243 และร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า เมื่อขัดถูวัตถุทำให้วัตถุมีประจุไฟฟ้าหรือเกิด ไฟฟ้าสถิต หากนำวัตถุทีม่ ีประจุไฟฟ้า 2 อัน เข้าใกล้กันจะเกิดการดึงดูดหรือผลักกันเรยี กแรงที่เกิดข้นึ วา่ แรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าทั้งประจุบวกและประจุลบจะเป็นแหล่งสนามไฟฟ้าที่มี สนามไฟฟ้าอยู่โดยรอบ ทิศทางของสนามไฟฟ้ามีทิศทางเดียวกับทิศทางของแรงที่กระทำต่อประจุบวกที่ อยู่ในสนามไฟฟ้า โดยทิศทางของสนามไฟฟ้าพุ่งออกจากแหล่งสนามไฟฟ้าที่มีประจุบวกและพุ่งเข้าหา แหล่งสนามไฟฟ้าที่มีประจุลบ แรงไฟฟ้าที่กระทำกับประจุบวกที่วางในสนามไฟฟ้าจะมีทิศทางเดียวกับ ทิศทางของสนามไฟฟ้า แต่ทิศทางของแรงไฟฟ้าที่กระทำต่อประจุลบที่วางในสนามไฟฟ้าจะมีทิศทาง ตรงกันข้ามกับทิศทางของสนามไฟฟ้า เรียกความหนาแน่นของเส้นสนามไฟฟ้าที่ผ่านหน่วยพื้นที่ใน แนวตัง้ ฉากวา่ ความเข้มของสนามฟฟา้ โดยความเข้มของสนามไฟฟ้าจะมคี ่าลดลงเม่ือระยะห่างจากแหล่ง สนามไฟฟ้ามีค่าเพิ่มขึ้น และแรงไฟฟ้าก็จะมีขนาดลดลงเมื่อระยะห่างจากแหล่งสนามไฟฟ้ามีค่าเพิ่มขึ้น ด้วยซงึ่ มีความสมั พันธ์คลา้ ยกับสนามแม่เหลก็ 2. ให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับรู้สนามไฟฟ้าของปลาฉลาม โดยอ่านเกร็ดน่ารู้ปลา ฉลามกับเหยื่อใต้พื้นทรายในหนังสือเรียนหน้า 243 ตอบคำถามระหว่างเรียน และร่วมกันอภิปราย เกยี่ วกบั คำตอบของนกั เรยี น 8. สอื่ การสอน 1. หนังสือรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เลม่ 1 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 2. ส่อื การสอน PowerPoint

9. แหล่งเรยี นรใู้ นหรือนอกสถานที่ 135 เกณฑ์การประเมนิ 1. ห้องเรยี น 2. แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ 10. การวดั และประเมนิ ผล สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น วิธวี ดั เครื่องมือวดั ความสามารถในการสอื่ สาร ประเมินจาก แบบประเมินคุณลักษณะอนั ผ่านเกณฑ์ร้อยละ60ขึน้ ไป ความสามารถในการคดิ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ60ขนึ้ ไป ความสามารถในการแกป้ ัญหา พฤตกิ รรมของผเู้ รียน พงึ ประสงค์ (รายบคุ คล) ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ60ข้ึนไป ประเมนิ จาก แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอัน พฤตกิ รรมของผู้เรียน พงึ ประสงค์ (รายบุคคล) ประเมนิ จาก แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พฤติกรรมของผเู้ รยี น พึงประสงค์ (รายบคุ คล) เกณฑ์การใหค้ ะแนน ระดับคะแนน 80-100% ดีมาก ระดบั คะแนน 70-79% ดี ระดับคะแนน 60-69% พอใช้ ระดบั คะแนน 0-59% ปรับปรงุ

136 แบบประเมินพฤติกรรมการเรียนและการมีส่วนร่วมในช้ันเรยี น คำช้ีแจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมและการมสี ว่ นรว่ มในชั้นเรียนของนักเรียนในระหวา่ งเรยี นและนอก เวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งวา่ งทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน ลำดบั ที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 1 2 34 1 การแสดงความคดิ เหน็ 2 การยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ของผู้อนื่ 3 การทำงานตามหน้าท่ที ีไ่ ด้รบั มอบหมาย 4 ควรมีน้ำใจ 5 การตรงต่อเวลา ลงช่ือ …………………………………………….ผ้ปู ระเมนิ …………………/……………/……………. เกณฑก์ ารให้คะแนน ปฏิบัติหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสมำ่ เสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบางครงั้ ให้ 2 คะแนน ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมน้อยหรือไม่เคยปฏบิ ตั ิ ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ 0-5 คะแนน ระดับคุณภาพ 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ 6-10 คะแนน ระดับคุณภาพ 2 หมายถึง พอใช้ 11-15 คะแนน ระดับคุณภาพ 3 หมายถงึ ดี 16-16 คะแนน ระดับคุณภาพ 4 หมายถึง ดีมาก

137 แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ สง่ิ ท่ีตอ้ งการวัด/ ดีมาก (4) คำอธบิ ายคุณภาพ ปรับปรงุ (1) ประเมินผล ดี (3) พอใช้ (2) 1.เข้าเรียนตรงต่อ เขา้ เรยี นตรงต่อเวลา เข้าเรียนชา้ 5นาที เข้าเรยี นชา้ 10นาที เขา้ เรยี นชา้ 15นาที เวลา สม่ำเสมอดีมาก 2. ความสนใจเรียน มีความกระตือรอื รน้ มคี วามกระตือรือร้น มีความกระตอื รือรน้ ไม่มคี วาม 3. มีระเบยี บวนิ ยั ในการเรยี นถาม- ในการเรยี นแตถ่ าม- ในการเรยี นแตถ่ าม- กระตอื รอื ร้นในการ ตอบถกู ตอ้ งทกุ ครัง้ ตอบถูกตอ้ งบา้ ง ตอบไมถ่ ูกต้องเลย เรียน ถาม-ตอบไม่ ทำงานเปน็ ระเบยี บ บางครง้ั ทำงานเปน็ ระเบยี บ ถกู ต้องเลย และถกู ต้องหมด ทำงานเปน็ ระเบยี บ แตไ่ ม่ถูกต้องบ้าง ทำงานไมเ่ ปน็ และถกู ต้องบ้าง ระเบียบและไม่ ถกู ต้อง 4. ความรับผิดชอบ ทำงานทไ่ี ด้รบั ทำงานทไ่ี ดร้ ับ ทำงานทไ่ี ด้รบั ทำงานทไ่ี ด้รับ มอบหมายดมี คี วาม มอบหมายดีมคี วาม มอบหมายดีมคี วาม มอบหมายพอใช้มี ถูกตอ้ งตรงเวลา ถูกต้องเปน็ บางครง้ั ความถกู ตอ้ งบ้าง ถูกต้อง เกณฑก์ ารตดั สนิ คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 13 - 16 ดีมาก 9 - 12 ดี 5-8 พอใช้ 0-4 ปรบั ปรงุ 11. กิจกรรมเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

138 12. บันทกึ ผลหลังการสอน สรุปผลการเรียนการสอน นักเรียนท้ังหมดจำนวน.....................คน จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรูข้ อ้ ท่ี จำนวนนักเรยี นท่ีผ่าน จำนวนนกั เรยี นที่ไมผ่ ่าน จำนวนคน รอ้ ยละ จำนวนคน รอ้ ยละ 1 2 3 13. ปญั หา/อุปสรรค/แนวทางแกไ้ ข ............................................................................................................................. ..................................... ............................................................................................. ................................................................. ... 14. ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ ……………………………………………………. () ตำแหนง่ ครู วทิ ยาฐานะ ……………………… ลงชื่อ …………………………………………………….หวั หนา้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ () ลงช่อื …………………………………………………….รองผูอ้ ำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ ()

139 ความเหน็ ของหัวหนา้ สถานศึกษา ไดท้ ำการตรวจแผนการเรียนรู้ของ....................................................แล้วมีความคดิ เหน็ ดังนี้ 1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี  ดีมาก  ดี  พอใช้  ควรปรับปรงุ 2. การจดั กจิ กรรมไดน้ ำเอากระบวนการเรยี นรู้  เน้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั มาใช้ในการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม  ยงั ไมเ่ น้นผู้เรียนเปน็ สำคัญ ควรปรบั ปรุงพฒั นาต่อไป 3. ข้อเสนอแนะอ่ืนๆ ........................................................................................................................................... ............. ............................................................................................................................. ........................... ....................................................................................................... ................................................. ............................................................................................................................. ........................... ลงช่ือ............................................................................................... ( ………………………………………………… ) ผอู้ ำนวยการโรงเรียน…………………………………………………………..

140 แบบฝกึ หัดท้ายบท เร่อื ง แรงในชวี ิตประจำวนั 1. วตั ถุหนึ่งมีนำ้ หนัก 20 นวิ ตัน ซ่ึงอยนู่ ิง่ บนพืน้ ล่ืน จากน้ันออกแรงกระทำกบั วัตถดุ ้วยแรง 3 แรงท่ีมี ขนาดและทศิ ทาง ดงั ภาพ 1.1 วัตถุจะเคลื่อนทห่ี รอื ไม่ ถา้ เคลือ่ นทจี่ ะเคลือ่ นทไ่ี ปทางใด 1.2 ถา้ ตอ้ งการใหว้ ตั ถอุ ยนู่ ่งิ ตอ้ งออกแรงกระทำต่อวตั ถุอยา่ งไร ................................................................................................................................................ ...................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................... ........................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ............. 2. นักเรียนทดลองลากวัตถุไปบนพ้ืนฝืดในแนวระดับด้วยเครื่องชั่งสปริง โดยค่อย ๆ ออกแรงเพิ่มขนึ้ เรอ่ื ย ๆ จนวตั ถทุ อี่ ยนู่ ิ่งเร่มิ เคลื่อนท่ี แลว้ เคลื่อนท่ตี อ่ ไปด้วยความเร็วคงที่ นกั เรยี นบันทกึ คำของแรงท่ี อ่านได้จากเครื่องช่ังสปริงกับการเคลือ่ นท่ีของวัตถุได้ดังตาราง แรงเสียดทานสถิตสูงสุดและแรงเสียด ทานจลน์ของวตั ถุน้เี ป็นเท่าใด

141 ................................................................................................................................................ ...................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................. ........ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 3. ข้อมูลของแรงเสียดทานระหวา่ งวสั ดุตา่ ง ๆ กับไม้ เปน็ ดงั น้ี 3.1 ถ้าจะทำที่รองแก้วกาแฟเพื่อไม่ให้แก้วกาแฟไถลหล่นจากโต๊ะไม่ได้ง่าย ควรเลือกใช้วัสดุใด เพราะเหตุใด 3.2 ถ้าจะทำของเล่นท่ีสามารถไถลไดด้ ีบนโตะ๊ ไม้ ควรเลือกใชว้ สั ดุใด เพราะเหตใุ ด ................................................................................................................................................ ...................... .............................................................................................................................................. ........................ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................ .......... ...................................................................................................................................................................... 4. ภาชนะ A B C D E และ F บรรจุของเหลวชนิดเดี่ยวกัน ดังภาพ เรียงลำดับภาชนะที่มีความดัน ของของเหลวทกี่ น้ ภาชนะจากมากไปนอ้ ยไดอ้ ยา่ งไร เพราะเหตุใด

142 ................................................................................................................................................ ...................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................. ........ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 5. วัตถุ A B C และ D มีน้ำหนัก 9 4 3 และ 6 นิวตัน ตามลำดับ จากภาพ วัตถุแต่ละอันมีแรงพยุง เท่าใด ................................................................................................................................................ ...................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................. ........ ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................

143 เฉลยแบบฝึกหดั ท้ายบท เรอ่ื ง แรงในชีวติ ประจำวนั 1. วตั ถหุ นง่ึ มนี ำ้ หนัก 20 นวิ ตนั ซงึ่ อยนู่ ิง่ บนพ้นื ลนื่ จากนั้นออกแรงกระทำกบั วตั ถุด้วยแรง 3 แรงท่ีมี ขนาดและทศิ ทาง ดงั ภาพ 1.1 วตั ถจุ ะเคลอื่ นทหี่ รอื ไม่ ถ้าเคลอื่ นท่จี ะเคลื่อนทไี่ ปทางใด 1.2 ถ้าตอ้ งการใหว้ ัตถอุ ยู่น่ิง ต้องออกแรงกระทำตอ่ วัตถอุ ย่างไร แนวคำตอบ 1.1 วตั ถเุ คลื่อนท่ีไปทางขวา 1.2 ถา้ ต้องการใหว้ ตั ถหุ ยุดน่ิงต้องออกแรง 30 นวิ ตนั ไปทางซ้าย แนวคิด 1.1 ถา้ แรงลัพธ์ท่ีกระทำต่อวัตถุเปน็ ศูนย์ วตั ถุจะไม่เปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ี แต่ถ้าแรง ลัพธท์ กี่ ระทำต่อวัตถไุ ม่เปน็ ศนู ย์ วัตถุจะเปล่ยี นแปลงการเคลือ่ นที่ ในที่นี้แรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุในแนวดิ่งเป็นศูนย์ เนื่องจากแรง F3 ที่มีทิศขึ้นในแนวดิ่งมีขนาต เท่ากับแรงเนื่องจากน้ำหนักที่มีทิศลง วัตถุจึงไม่เคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ส่วนแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุใน แนวราบไมเ่ ปน็ ศูนย์ เพราะแรงF1และแรงF2 มขี นาดไมเ่ ท่ากนั และมีทิศทางตรงกันขา้ ม โดยแรงลัพธ์ของ แรงทั้งสองเป็น 30 นิวตนั ไปทางขวาวัตถจุ ึงเคลือ่ นทต่ี ามทศิ ทางของแรงลัพธ์ไปทางขวา 1.2 ถ้าตอ้ งการให้วตั ถหุ ยดุ น่ิงตอ้ งออกแรง 30 นิวตนั ทิศทางซา้ ย 2. นักเรียนทดลองลากวัตถุไปบนพื้นฝืดในแนวระดับด้วยเคร่ืองชั่งสปริง โดยค่อย ๆ ออกแรงเพิ่มขึ้น เรอ่ื ย ๆ จนวตั ถุทอ่ี ยนู่ ่ิงเริม่ เคล่ือนที่ แล้วเคลื่อนทต่ี อ่ ไปด้วยความเร็วคงท่ี นักเรียนบันทกึ คำของแรงท่ี

144 อ่านได้จากเครื่องชั่งสปรงิ กับการเคลื่อนท่ีของวัตถไุ ด้ดังตาราง แรงเสียดทานสถิตสูงสุดและแรงเสียด ทานจลน์ของวตั ถุนเี้ ป็นเทา่ ใด แนวคำตอบ แรงเสียดทานสถิตสงู สุดมีคา่ เท่ากับ 5.0 นิวตนั แรงเสียดทานจลน์ของวัตถุนี้มคี า่ เท่ากบั 4.6 นิวตัน แนวคิด แรงเสยี ดทานสถิตสูงสุดจะมีคา่ เท่ากบั แรงท่ีตึงเครื่องชั่งสปริงเม่ือวัตถเุ ริ่มเคล่ือนที่ ส่วนแรงเสียด ทานจลน์จะมคี า่ เทา่ กับแรงท่ตี งึ เคร่อื งชั่งสปริงเมื่อวตั ถเุ คลื่อนที่ด้วยความเรว็ คงท่ี 3. ข้อมูลของแรงเสียดทานระหว่างวสั ดุตา่ ง ๆ กบั ไม้ เป็นดังน้ี 3.1 ถ้าจะทำที่รองแก้วกาแฟเพื่อไม่ให้แก้วกาแฟไถลหล่นจากโต๊ะไม่ได้ง่าย ควรเลือกใช้วัสดุใด เพราะเหตใุ ด 3.2 ถา้ จะทำของเลน่ ท่สี ามารถไถลได้ดีบนโตะ๊ ไม้ ควรเลือกใช้วสั ดใุ ด เพราะเหตใุ ด แนวคำตอบ 3.1 วสั ดทุ เี่ ลอื กทำท่ีรองแก้วกาแฟเพ่ือไม่ให้แก้วกาแฟถลหล่นจากโต๊ะไม้ได้ง่ายควร เป็นวสั ดุ B 3.2 วสั ดทุ ่ีเลือกทำของเล่นท่ีสามารถไถลได้ดบี นโตะ๊ ไม้ ควรเป็นวสั ดุ C แนวคิด 3.1 เลือกวสั ดุ B เน่อื งจากเปน็ วัสดทุ ี่มขี นาดแรงเสยี ดทานสถิตสงู สดุ มากกวา่ วัสดุอืน่ 3.2 เลอื กวสั ดุ C เน่อื งจากเปน็ วัสดุท่มี ขี นาดแรงเสียดทานจลนน์ อ้ ยกว่าวัสดอุ ืน่

145 4. ภาชนะ A B C D E และ F บรรจุของเหลวชนิดเดี่ยวกัน ดังภาพ เรียงลำดับภาชนะที่มีความดัน ของของเหลวทกี่ ้นภาชนะจากมากไปน้อยไดอ้ ย่างไร เพราะเหตุใด แนวคำตอบ ทร่ี ะดับความลึกทวี่ ัดจากผวิ ของของเหลว A = C = E และ D = F ทำให้ภาขนะที่มีความดัน ของของเหลวท่ีกนั ภาชนะมากไปน้อยคือ B > (A,C,E) > (D,F) ตามลำดบั แนวคดิ ความตันของของเหลวจะมีค่ามากหรือนอ้ ยขนึ้ อยกู่ ับระดับความลกึ ทว่ี ัดจากผิวของของเหลว โดย B อยทู่ ร่ี ะดบั ความลึกมากที่สุด และ D และ F อยู่ทรี่ ะดับความลกึ นอ้ ยท่สี ุด 5. วัตถุ A B C และ D มีน้ำหนัก 9 4 3 และ 6 นิวตัน ตามลำดับ จากภาพ วัตถุแต่ละอันมีแรงพยุง เท่าใด แนวคำตอบ แรงพยงุ ของวัตถุ A B C และ D เท่ากับ 2 นวิ ตนั 4 นวิ ต้น นอ้ ยกว่า 3 นวิ ตัน และ 6 นิวตัน ตามลำดับ แนวคิด เมื่อวัตถุจมในของของเหลว ค่าของแรงที่อ่านได้จากเครื่องชั่งสปริงจะน้อยกว่าน้ำหนักของวัตถุ เนื่องจากมีแรงที่ของของเหลวพยุงไว้ หาขนาดของแรงพยุงของของเหลวได้จาก น้ำหนักของวัตถุ ลบคา่ ของแรงที่อา่ นได้จากเคร่ืองช่งั สปริงเม่ือชั่งในของเหลว ดงั น้นั แรงพยุงของของเหลวที่กระทำ ต่อวตั ถุ A คอื

146 9 -7 = 2 นิวตัน แต่สำหรับวัตถุที่ลอยในของเหลวแรงพยุงของของเหลวจะมีค่าเท่ากับน้ำหนักของวัตถุ ดังนั้น แรง พยุงของวัตถุ B และ D จึงมีค่าเท่ากับ 4นิวตัน และ 6 นิวตัน ตามลำดับ ส่วนวัตถุที่จมในของ ของเหลว น้ำหนักของวัตถุจะมีค่ามากกว่าแรงพยุงของของเหลว ตังนั้นแรงพยุงของของเหลวที่ กระทำต่อวัตถุ C จะน้อยกว่า 3 นวิ ตนั