Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จิราภรณ์เลขที่ 20

แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จิราภรณ์เลขที่ 20

Description: แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

47 4. ประเมินการเรียนรู้ระหว่างเรียน โดยใช้โจทย์ชวนคิดเกี่ยวกับความเข้มข้นของสารละลายที่มี หน่วยเปน็ รอ้ ยละโดย มวลต่อปริมาตร (1) ถ้ามีต่างทับทิม 2 กรัมในสารสะลาย 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร สารละลายนี้มีความเข้มข้น ร้อยละเทา่ ใดโดยมวลตอ่ ปรมิ าตร แนวคิด ในสารละลาย 250 ลูกบาศกเ์ ขนติเมตร มีดา่ งทับทมิ ละลายอยู่ 2 กรมั ตงั นัน้ ในสารละลาย 100 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร มตี า่ งทบั ทิม = (2 กรัม X 100 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร)/250 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร = 0.8 กรมั หมายความวา่ ในสารละลาย 100 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร มตี ัวละลายมวล 0.8 กรัม หรือ ร้อยละ 0.8 โดยมวลต่อปรมิ าตร ข้ันที่ 3 ข้ันการใช้คำถาม 1. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติม โดยอ่านเนื้อเรื่องในหนังสือเรียน และตอบคำถามระหว่างเรียน เก่ยี วกบั การระบคุ วามเข้มข้นของสารละลายทต่ี วั ละลายเปน็ ของเหลวและแกส๊ เพอ่ื ให้ไดข้ อ้ สรุปวา่ สารละลายที่ตัวละลายมีสถานะของเหลวและแก๊ส ตัวทำละลายมีสถานะของเหลวหรือแก๊ส นิยม ระบุความเข้มขน้ ของสารละลายโดยบอกปริมาตรตัวละลายที่อยู่ในสารละลาย 100 หน่วยปรมิ าตร เดียวกัน เรียกหน่วยความเข้มขั้นนี้ว่า ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร หรือ ร้อยละโดยปริมาตร ความเขม้ ขน้ ของสารละลายในหนว่ ยรอ้ ยละโดยปรมิ าตรตอ่ ปริมาตร เขียนความสมั พนั ธ์ได้ดังนี้ ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร = (ปริมาตรของตัวละลาย (cm3)/ปริมาตรของสารละลาย(cm3)] x100 ร้อยละโดยปริมาตรตอ่ ปริมาตร = [ปรมิ าตรของตวั ละลาย (L)/ปรมิ าตรของสารละลาย (L)] X 100 2. ครูทบทวนการคำนวณหาความเข้มข้นของสารละลาย จากนั้นให้นักเรียนฝึกคำนวณเกี่ยวกับ ความเข้มชันของสารละลายในหน่วยร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร ในสถานการณ์ต่าง (ตาม ตัวอย่างโจทยใ์ นหนงั สอื เรยี น ถ้านักเรียนยงั ไมเ่ ขา้ ใจ ครูควรเพิ่มโจทย์ใหน้ ักเรยี นได้ฝึกฝนจากโจทย์ ทไ่ี มซ่ บั ซ้อนจนถงึ โจทย์ที่มีความซับซ้อนมากข้นึ ตามลำดับ

48 ขนั้ ท่ี 4 ขนั้ สรปุ และประเมินผล 1. ให้นักเรียนร่วมกันสรุปหัวข้อเรื่องในบที่ 2 ความเข้มข้นของสารละลาย ซึ่งสรุปได้ดังนี้ ความ เข้มข้น (concentration) คือ อัตราส่วนระหว่างปริมาณของตัวละลายกับปริมาณของสารละลาย หรือปริมาณตัวทำละลาย โดยหน่วยของความเข้มข้นของสารละลายที่พบในชีวิตประจำวันส่วน ใหญ่อยู่ในรปู รอ้ ยละ ซ่ึงเป็นการบอกปรมิ าณของตวั ละลายเทียบกับ ปริมาณสารละลาย 100 ส่วน อาจเป็นหน่วยร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร ร้อยละโดยปริมาตรต่อ ปริมาตร หรือร้อยละโดยมวลต่อมวล การนำสารละลายไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและปลอดภยั นอกจากจะต้องคำนึงถึงชนิดของตวั ละลายและตวั ทำละลายแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความเข้มขน้ ของ สารละลายอีกดว้ ย 2. ให้นักเรียนทำกิจกรรมตรวจสอบตนเอง เพื่อสรุปองค์ความรู้ที่ได้เรียนรู้จากบทเรียน โดยการ เขียนบรรยาย วาดภาพหรือเขียนผังมโนทัศน์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากบทเรียนเรื่องความเข้มข้นของ สารละลาย 3. ให้นักเรียนนำเสนอผลงานที่ได้จากการอภิปรายภายในกลุ่ม และอภิปรายร่วมกันในชั้นเรียน จากนั้นครูให้แต่ละกลุ่มติดแสดงผลงานบนผนังในห้องเรียน นักเรียนทุกคนร่มชมผลงานและ พิจารณาใหค้ วามเหน็ ครแู ละนักเรียนอภปิ รายสรุปองคค์ วามรูท้ ีไ่ ด้จากบทเรียนรว่ มกัน 8. สื่อการสอน 1. หนงั สอื รายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เลม่ 1 ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 2. ส่ือการสอน PowerPoint 9. แหล่งเรยี นรใู้ นหรือนอกสถานที่ 1. หอ้ งเรียน 2. แหล่งขอ้ มลู สารสนเทศ

49 10. การวดั และประเมนิ ผล จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ หรือ สงิ่ ที่ตอ้ งการจะ วิธีวดั เคร่อื งมือวดั เกณฑ์การประเมนิ วดั ประเมินผล ตอบคำถามถกู รอ้ ยละ - 60 ขึ้นไป 1.นักเรียนสามารถระบุปริมาณตัวละลายใน วดั จากการตอบคำถาม แบบฝึกหัดท้ายบท เร่ือง ตอบคำถามถูกร้อยละ สารละลายในหน่วยความเข้มข้นเป็นร้อยละ ระหว่างคาบเรียน ความเขม้ ข้นของสารละลาย 60ขึน้ ไป ตอบคำถามถกู ร้อยละ โดยปริมาตรต่อและโดยมวลตอ่ ปริมาตร (K) - 60 ข้ึนไป 2. นักเรียนสามารถตรวจสอบความถูกต้อง ของปริมาณสารละลายได้ (P) 3. นักเรียนสามารถตระหนักถึงความสำคัญ ของการนำความรูเ้ รื่องความเข้มข้นของสารไป ใช้โดยยกตัวอย่างการใช้สารละลายใน ชีวติ ประจำวันอย่างถกู ต้องและปลอดภยั (A) 2. นักเรียนสามารถตรวจสอบความถูกต้อง วดั จากการทำแบบฝึกหดั ของปรมิ าณสารละลายได้ (P) 3.นักเรียนสามารถตระหนักถึงความสำคัญ การสงั เกตพฤตกิ รรม ของการนำความรู้เรือ่ งความเข้มข้นของสารไป ใช้โดยยกตัวอย่างการใช้สารละลายใน ชวี ติ ประจำวนั อยา่ งถกู ต้องและปลอดภยั (A) เกณฑก์ ารให้คะแนน ระดับคะแนน 80-100% ดมี าก ระดบั คะแนน 70-79% ดี ระดบั คะแนน 60-69% พอใช้ ระดบั คะแนน 0-59% ปรับปรุง

สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน วิธีวดั เครือ่ งมือวดั 50 เกณฑ์การประเมนิ ความสามารถในการสอื่ สาร ประเมินจาก แบบประเมนิ คุณลักษณะอัน ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ60ข้ึนไป ความสามารถในการคิด ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ60ข้ึนไป ความสามารถในการแก้ปัญหา พฤติกรรมของผู้เรียน พึงประสงค์ (รายบุคคล) ผ่านเกณฑ์ร้อยละ60ขนึ้ ไป ประเมนิ จาก แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอัน พฤติกรรมของผเู้ รยี น พึงประสงค์ (รายบคุ คล) ประเมนิ จาก แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พฤติกรรมของผู้เรียน พึงประสงค์ (รายบุคคล) เกณฑ์การใหค้ ะแนน ระดับคะแนน 80-100% ดมี าก ระดับคะแนน 70-79% ดี ระดบั คะแนน 60-69% พอใช้ ระดับคะแนน 0-59% ปรบั ปรุง

51 แบบประเมินพฤติกรรมการเรยี นและการมีสว่ นร่วมในชน้ั เรยี น คำชแี้ จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมและการมีสว่ นร่วมในช้ันเรียนของนักเรียนในระหวา่ งเรียนและนอก เวลาเรยี น แลว้ ขดี ลงในชอ่ งว่างทตี่ รงกบั ระดบั คะแนน ลำดบั ท่ี รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1 2 34 1 การแสดงความคดิ เหน็ 2 การยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ของผ้อู ่นื 3 การทำงานตามหนา้ ทที่ ี่ได้รบั มอบหมาย 4 ควรมีน้ำใจ 5 การตรงต่อเวลา ลงชอ่ื …………………………………………….ผู้ประเมิน …………………/……………/……………. เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมอย่างสมำ่ เสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครง้ั ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยหรอื ไม่เคยปฏิบตั ิ ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ 0-5 คะแนน ระดบั คุณภาพ 1 หมายถงึ ปรับปรุง 6-10 คะแนน ระดับคณุ ภาพ 2 หมายถึง พอใช้ 11-15 คะแนน ระดับคณุ ภาพ 3 หมายถงึ ดี 16-16 คะแนน ระดับคณุ ภาพ 4 หมายถงึ ดีมาก

52 แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สง่ิ ท่ตี ้องการวดั / ดีมาก (4) คำอธบิ ายคณุ ภาพ ปรบั ปรุง (1) ประเมินผล ดี (3) พอใช้ (2) 1.เขา้ เรียนตรงตอ่ เขา้ เรยี นตรงตอ่ เวลา เข้าเรยี นชา้ 5นาที เขา้ เรียนชา้ 10นาที เขา้ เรยี นชา้ 15นาที เวลา สมำ่ เสมอดีมาก 2. ความสนใจเรียน มคี วามกระตอื รอื ร้น มีความกระตอื รอื รน้ มคี วามกระตอื รอื ร้น ไมม่ คี วาม 3. มรี ะเบยี บวนิ ยั ในการเรยี นถาม- ในการเรยี นแต่ถาม- ในการเรยี นแต่ถาม- กระตอื รือรน้ ในการ ตอบถูกต้องทกุ ครง้ั ตอบถูกตอ้ งบ้าง ตอบไม่ถูกตอ้ งเลย เรียน ถาม-ตอบไม่ ทำงานเปน็ ระเบยี บ บางคร้งั ทำงานเปน็ ระเบยี บ ถูกต้องเลย และถกู ตอ้ งหมด ทำงานเปน็ ระเบียบ แต่ไมถ่ กู ต้องบ้าง ทำงานไมเ่ ป็น และถกู ต้องบ้าง ระเบยี บและไม่ ถกู ตอ้ ง 4. ความรับผดิ ชอบ ทำงานท่ีได้รับ ทำงานทไ่ี ด้รับ ทำงานทไี่ ดร้ ับ ทำงานทีไ่ ด้รบั มอบหมายดมี ีความ มอบหมายดมี ีความ มอบหมายดีมีความ มอบหมายพอใชม้ ี ถูกตอ้ งตรงเวลา ถกู ตอ้ งเป็นบางคร้งั ความถูกต้องบ้าง ถกู ตอ้ ง เกณฑ์การตัดสินคะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 13 - 16 ดมี าก 9 - 12 ดี 5-8 พอใช้ 0-4 ปรับปรงุ 11. กิจกรรมเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

53 12. บนั ทึกผลหลังการสอน สรปุ ผลการเรียนการสอน นักเรียนทง้ั หมดจำนวน.....................คน จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ข้อท่ี จำนวนนกั เรยี นทผ่ี า่ น จำนวนนักเรยี นทไี่ ม่ผา่ น จำนวนคน รอ้ ยละ จำนวนคน รอ้ ยละ 1 2 3 13. ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแกไ้ ข ............................................................................................................................. ..................................... ............................................................................................................................. .................................... 14. ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ ……………………………………………………. () ตำแหนง่ ครู วทิ ยาฐานะ ……………………… ลงชื่อ …………………………………………………….หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้ () ลงช่อื …………………………………………………….รองผูอ้ ำนวยการกลุ่มบรหิ ารวชิ าการ ()

54 ความเหน็ ของหัวหนา้ สถานศึกษา ได้ทำการตรวจแผนการเรยี นรู้ของ....................................................แลว้ มีความคิดเหน็ ดงั น้ี 4. เปน็ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี  ดมี าก  ดี  พอใช้  ควรปรบั ปรุง 5. การจัดกจิ กรรมไดน้ ำเอากระบวนการเรียนรู้  เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั มาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม  ยงั ไม่เน้นผู้เรยี นเปน็ สำคัญ ควรปรบั ปรุงพัฒนาต่อไป 6. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ........................... ....................................................................................................... ................................................. ............................................................................................................................. ........................... ........................................................................................................................................................ ลงชอ่ื ............................................................................................... ( ………………………………………………… ) ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น…………………………………………………………..

55 แบบฝกึ หดั ท้ายบท เรื่อง ความเขม้ ข้นของสารละลาย 1. ความเข้มขน้ ของสารละลายในหน่วยร้อยละคืออะไร หมายความว่าอย่างไร แนวคำตอบ ความเข้มขน้ ของสารละลายในหน่วยร้อยละ คอื อัตราส่วนระหว่างปริมาณของตวั ละลายกับ ปริมาณของสารละลาย โดยเทียบปรมิ าณของตวั ละลายกับปรมิ าณของตวั ทำละลาย 100 ส่วน 2. สามารถนำความร้เู กยี่ วกบั ความเขม้ ข้นของสารละลายไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตประจำวันได้อยา่ งไร แนวคำตอบ ความรู้เกี่ยวกับความเข้มขันของสารละลายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ เช่น เลือกใชป้ ริมาณสารอย่างเหมาะสม เพ่อื ให้ได้รับประโยซน์เต็มประสิทธภิ าพ โดยไมเ่ ปน็ การสิ้นเปลือง และไมก่ ่อใหเ้ กดิ ผลกระทบจากสารทเ่ี หลือจากการใช้ 3. น้ำส้มสายชูเป็นสารละลายของกรดน้ำส้มกับน้ำ ถ้าต้องการน้ำส้มสายชูที่มคี วามเขม้ ข้นรอ้ ยละ 5 โดย ปริมาตรต่อปริมาตรจำนวน 20 ลติ ร จะตอ้ งใชก้ รดน้ำส้มก่ีลิตร แนวคำตอบ นำ้ ส้มสายชมู ีความเขม้ ชนั รอ้ ยละ 5 หมายความวา่ ในน้ำส้มสายชู 100 ลูกบาศกเ์ ขนติเมตร มี กรดน้ำสม้ ละลายอยู่ 5 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร ตังนน้ั น้ำส้มสายชู 20 ลติ ร (20,000 cm) จะมกี รดนำ้ ส้ม = (5 cm3 20,000 cm)/100 cm3 = 1,000 cm3หรอื 1 L 4. ถ้าต้องการเตรียมน้ำเชือ่ มจำนวน 3 ลิตร โดยการละลายกลูโคสในน้ำให้มคี วามเข้มข้นร้อยละ 40 โดย มวลตอ่ ปริมาตร ต้องใชก้ ลูโคสกก่ี โิ ลกรมั * แนวคำตอบ น้ำเชื่อมเข้มชันร้อยละ 40 โดยมวลต่อปริมาตร หมายความว่า ในน้ำเชื่อม 100 ลูกบาศก์ เซนติเมตร มกี ลูโคส 40 กรมั ดังนั้น น้ำเช่อื ม 3 ลิตร (3,000 cm') มกี ลโู คส (40 g x 3,000 cm3 )/100 cm3 = 1,200 g หรือ 1.2 kg 5. เหล็กกล้าไร้สนิมชนิดหนึ่งมีโครเมียมเป็นองค์ประกอบอยู่ร้อยละ 9 โดยมวลต่อมวล ถ้าต้องการ เหล็กกลา้ ไรส้ นิม 3 ตนั ต้องใชโ้ ครเมียมอยา่ งน้อยกี่กโิ ลกรมั แนวคำตอบ เหลก็ กลา้ ไรส้ นิม 100 กิโลกรมั มีโครเมียม 9 กโิ ลกรัม

56 แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 3 เร่ือง ร่างกายมนุษย์

57 แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 3 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง รา่ งกายมนษุ ย์ เร่อื ง ระบบอวยั วะในรา่ งกายมนุษย์ เวลา 3 ชวั่ โมง 1. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ช้ีวัด มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่มี ผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สอื่ สารส่ิงทเ่ี รยี นรู้ และนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ว 1.2 ม.2/1 ระบอุ วัยวะ และบรรยายหนา้ ทข่ี องอวัยวะท่เี กยี่ วขอ้ งในระบบหายใจ ว 1.2 ม.2/2 อธิบายกลไกการหายใจเข้า และออกโดยใช้แบบจําลองรวมทั้งอธิบาย กระบวนการแลกเปลีย่ นแกส๊ ว 1.2 ม.2/3 ตระหนกั ถึงความสำคัญของระบบหายใจโดยการบอกแนวทางในการดูแล รักษาอวยั วะในระบบหายใจให้ทำงานเป็นปกติ ว 1.2 ม.2/4 ระบอุ วยั วะและบรรยายหน้าท่ีของอวัยวะในระบบขับถ่ายในการกำจัดของ เสียทางได้ ว 1.2 ม.2/5 ตระหนักถึงความสำคัญของระบบขับถ่ายในการกำจัดของเสียทางได้โดย การบอกแนวทางในการปฏบิ ัตคิ นท่ีชว่ ยให้ระบบขับถา่ ยทำหน้าท่ไี ด้อย่างปกติ ว 1.2 ม.2/6 บรรยายโครงสรา้ งและหน้าท่ขี องหัวใจหลอดเลอื ดและเลือด ว 1.2 ม.2/7 อธบิ ายการทำงานของระบบหมุนเวยี นเลอื ดโดยใช้แบบจำลอง ว 1.2 ม.2/8 ออกแบบการทดลองและทดลองในการเปรียบเทียบอัตราการเต้นของ หวั ใจขณะปกตแิ ละหลังทำกจิ กรรม ว 1.2 ม.2/9 ตระหนักถึงความสำคัญของระบบหมุนเวียนเลือดโดยการบอกแนวทางใน การดูแลรกั ษาอวยั วะในระบบหมุนเวยี นเลือดใหท้ ำงานเป็นปกติ ว 1.2 ม.2/10 ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบประสาทส่วนกลางใน การควบคุมการทำงานต่าง ๆ ของรา่ งกาย

58 ว 1.2 ม.2/11 ตระหนักถึงความสำคัญของระบบประสาทโดยการบอกแนวทางในการ ดแู ลรักษารวมถึงการป้องกนั การกระทบกระเทอื นและอันตรายต่อสมองและไขสันหลัง ว 1.2 ม.2/12 ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย และเพศหญงิ โดยใชแ้ บบจำลอง ว 1.2 ม.2/13 อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลง ของร่างกายเม่อื เข้าสวู่ ัยหนมุ่ สาว ว 1.2 ม.2/14 ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาวโดยการ ดูแลรักษารา่ งกายและจติ ใจของตนเองในช่วงท่ีมีการเปลี่ยนแปลง ว 1.2 ม.2/15 อธิบายการตกไข่การมีประจำเดือนการปฏิสนธิและการพัฒนาของไช โกตจนคลอดเป็นทารก ว 1.2 ม.2/16 เลอื กวธิ กี ารคุมกำเนดิ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำหนด ว 1.2 ม.2/17 ตระหนักถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรโดยการประพฤติ ตนใหเ้ หมาะสม 2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. นักเรียนสามารถบรรยายเกี่ยวกับอวัยวะและหน้าที่ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องในระบบหายใจ ได้ (K) 2. นักเรียนสามารถตรวจสอบความถูกต้องเกี่ยวกับการทำงานของอวัยวะและหน้าที่ของ อวัยวะท่เี กี่ยวข้องในระบบหายใจได้ (P) 3. นักเรียนเห็นคุณค่าความสำคัญของอวัยวะ และหน้าที่ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องในระบบ หายใจ (A) 4. นักเรียนสามารถอธิบายกลไกการหายใจเข้า และออกโดยใช้แบบจําลองรวมทั้งอธิบาย กระบวนการแลกเปลี่ยนแกส๊ ได้ (K) 5. นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของระบบหายใจโดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษา อวัยวะในระบบหายใจใหท้ ำงานเป็นปกติ (A) 6. นักเรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบขับถ่ายใน การกำจดั ของเสียทางได้ (K)

59 7. นักเรียนสามารถตรวจสอบความถูกต้องของอวัยวะและหน้าที่ของอวัยวะในระบบขับถ่าย ในการกำจัดของเสยี ทางได้ (P) 8. นักเรียนเห็นคุณค่าความสำคัญของอวัยวะและหน้าที่ของอวัยวะในระบบขับถ่ายในการ กำจัดของเสียทาง (A) 9. นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของระบบขบั ถ่ายในการกำจัดของเสียทางได้โดยการบอก แนวทางในการปฏิบตั คิ นทช่ี ว่ ยใหร้ ะบบขบั ถ่ายทำหนา้ ทีไ่ ด้อย่างปกติ (A) 10. นักเรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างและหนา้ ทข่ี องหวั ใจหลอดเลือดและเลอื ดได้ (K) 11. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดโดยใชแ้ บบจำลองได้ (K) 12. นักเรียนสามารถออกแบบการทดลองและทดลองในการเปรียบเทียบอัตราการเต้นของ หวั ใจขณะปกติและหลงั ทำกจิ กรรมได้ (P) 13. นักเรียนสามารถตระหนักถึงความสำคัญของระบบหมุนเวียนเลือดโดยการบอกแนวทาง ในการดแู ลรักษาอวยั วะในระบบหมุนเวียนเลือดใหท้ ำงานเปน็ ปกติ (A) 14. นักเรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบประสาท สว่ นกลางในการควบคมุ การทำงานตา่ ง ๆ ของร่างกายได้ (K) 15. นกั เรยี นตระหนกั ถึงความสำคัญของระบบประสาทโดยการบอกแนวทางในการดแู ลรักษา รวมถึงการปอ้ งกันการกระทบกระเทือนและอันตรายต่อสมองและไขสันหลังได้ (A) 16. นักเรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ ของเพศชายและเพศหญงิ โดยใช้แบบจำลอง (K) 17. นักเรียนสามารถอธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลง ของรา่ งกายเม่อื เข้าสวู่ ัยหน่มุ สาวได้ (P) 18. นักเรียนตระหนักถงึ การเปลีย่ นแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยหนุม่ สาวโดยการดูแลรกั ษา รา่ งกายและจิตใจของตนเองในช่วงท่ีมีการเปล่ยี นแปลง (A) 19. นักเรียนสามารถอธิบายการตกไข่การมีประจำเดือนการปฏิสนธิและการพัฒนาของไช โกตจนคลอดเป็นทารก (K)

60 20. นักเรียนสามารถอธิบายการเลือกวิธีการคุมกำเนิดท่ีเหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำหนด (K) 21. นักเรียนตระหนักถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรโดยการประพฤติตนให้ เหมาะสม (A) 3. สาระสำคัญ ร่างกายมนุษย์มีระบบอวัยวะต่าง ๆ หลายระบบที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ เช่น ระบบ หมุนเวียนเลือดระบบหายใจ ระบบขับถ่าย ระบบประสาท และระบบสืบพันธ์ุ ระบบหมุนเวียน เลือดของมนุษยป์ ระกอบด้วยหัวใจ หลอดเลือด และเลือด โดยเลือดทำหน้าทล่ี ำเลยี งสารอาหาร แก้ส ของเสีย และสารอื่น ๆ ไปยังวัยะต่าง ๆ ของร่างกาย เลือดจะถูกลำเสียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้โดยการทำงานของหัวใจ ซึ่งทำหน้าที่สูบฉีดเสือดไปทั่วร่างกายโดยการบีบและ คลายตัวเป็นจังหวะ เพื่อนำเลือดที่มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไปยังปอด เกิดการแลกเปลี่ยนแกส๊ ที่ปอด เลอื ดทีม่ ปี ริมาณแก๊สออกซิเจนสงู จากปอดจะเข้าส่หู ัวใจอีกครง้ั ก่อนสูบฉดี ไปเลย้ี งส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจวัดได้จากการจับชีพจร โดยอัตราการเต้นของ หัวใจขณะพักและหลังทำกิจกรรมจะแตกต่างกัน ขณะที่หัวใจบีบและคลายตัวจะทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงความดันเลือด จึงวดั ความตนั เลือดเปน็ คา่ ความตัน 2 คา่ ระบบหายใจประกอบด้วย จมูก ท่อลม และปอด ทำหน้าที่นำแก๊สออกซิเจนจากการหายใจเข้า เพื่อทำปฏิกิริยากับ สารอาหารก่อให้เกิดพลังงน และกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายโดยการหายใจ ออก อากาศจะเคลื่อนเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ท่อลม หลอดลม หลอดลมฝอย และถุงลมภายใน ปอด กระบวนการหายใจเข้า และออกเกิดจากการทำงานท่ปี ระสานกนั ของกะบังลม และกระดูก ซ่ีโครง กรแลกเปล่ยี นแก๊สออกชิเจนและแก๊สคารบ์ อนไตออกไซด์เกิดข้ึน 2 บริเวณ คือ ท่ีบริเวณ ถุงลมในปอดกับหลอดเลอื ดฝอย และระหว่างหลอดเลือดฝอยกับเซลล์ระบบขับถ่ายของมนุษย์มี ไตเปน็ อวยั วะสำคัญในการกำจดั ของเสยี ออกจากรา่ งกาย ไตประกอบดว้ ยหนว่ ยไตเล็ก ๆ จำนวน มาก ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด และดูดสารที่มีประโยชน์และน้ำบางส่วนกลับคืนสู่ หลอดเลอื ด 4. สาระการเรยี นรู้ 4.1 ดา้ นความรู้ (K) - ระบบหมนุ เวียนเลอื ด - ระบบหายใจ

61 - ระบบขบั ถ่าย - ระบบประสาท - ระบบสืบพันธ์ุ 4.2 ดา้ นทักษะ (P) - อัตราการเต้นของหัวใจ - การไหลเวยี นของเลือด 4.3 คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซ่ือสตั ยส์ ุจรติ 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรยี นรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมนั่ ในการทำงาน 7. รกั ความเป็นไทย 8. มีจติ สาธารณะ 5. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรยี นรู้น้ี)  ความสามารถในการสอ่ื สาร ความสามารถในการคิด v ความสามารถในการแก้ปัญหา x ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ z ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 6. ช้ินงานหรอื ภาระงาน 6.1 แบบฝึกหดั ท้ายบท เรื่อง ร่างกายมนุษย์ 7. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แนวคิด/รูปแบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนิค : สบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)

62 ชว่ั โมงท่ี 1-3 ขั้นนำ กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. กระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ร่างกายมนุษย์ โดยให้ นักเรียนสังเกตภาพนำหน่วย หรือวีดิทัศน์หุ่นยนต์โซเฟียที่มีรูปร่างหน้าตา การเคลื่อนไหว การพูด โต้ตอบกับมนุษย์โดยเปิดดูได้จากเว็บไซต์ หรือใช้โปรแกรมคน้ หาพมิ พ์คำวา่ Sophia robot หรืออาจใช้ วีดิทัศน์หุ่นยนต์ปญั ญาประดิษฐ์อืน่ ๆ ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ จากนั้นให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย โดย อาจใชค้ ำถามดงั ตอ่ ไปนี้ • ผ้หู ญงิ ในภาพหรือในวดี ทิ ศั น์เปน็ มนุษย์หรอื ไม่ ทราบไต้อย่างไร • มนุษยก์ บั หุ่นยนต์แตกต่างกันอยา่ งไร 2. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหานำหน่วย จากนั้นร่วมกันอภิปรายเพื่อให้ได้แนวคิดว่า หุ่นยนต์อาจมี ลักษณะภายนอกและมีการแสดงออกบางอย่างใกล้เคียงกับมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตามหุ่นยนต์เป็น สิ่งไม่มีชีวิต ไม่มีระบบอวัยวะต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกันเหมือนกับระบบอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ขณะ อภิปรายครูอาจทบทวนความหมายของระบบอวัยวะว่า คือ ระบบที่ประกอบด้วยอวัยวะหลาย ๆ อวัยวะซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ระบบย่อยอาหาร ประกอบด้วย ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตบั ตับออ่ น และถุงน้ำดี ซ่งึ อวยั วะเหล่านี้จะทำงาน ร่วมกันเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหาร จากนั้นครูให้นักเรยี นอ่านคำถามนำหน่วยและร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ นักเรยี นทราบวา่ จะตอ้ งเรียนรู้เรอ่ื งอะไรบ้างในหน่วยน้ี ข้ันสอน สำรวจและคน้ หา (Exploration) 1. เชื่อมโยงเขา้ สู่บทที่ 1 โดยใหน้ ักเรียนดภู าพนำบทและรว่ มกันอภิปราย โดยใช้คำถามตอ่ ไปน้ี • ขณะวง่ิ ร่างกายมกี ารเปล่ยี นแปลงอย่างไร (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง) • การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในขณะวิ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบอวัยวะใดบ้าง (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง) 2. ใหน้ กั เรยี นอา่ นเนอื้ หานำบทและอภิปรายเพ่อื ให้ได้คำตอบท่ีถกู ต้องของคำถามอีกคร้งั ดังนี้

63 • ขณะว่งิ ร่างกายมีการเปลย่ี นแปลงอย่างไร (หัวใจเต้นแรงและเร็ว หายใจลกึ และถี่ อุณหภมู ิของรา่ งกายสูงข้ึน มีเหงื่อออก) จากนั้นให้นักเรียนนอ่านคำถามนำบทและจุดประสงค์การเรียนรู้ของบท เพื่อให้ทราบขอบเขต เนื้อหาที่จะไดเ้ รียนรูใ้ นบทเรียนและจุดประสงคใ์ นการเรียน อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) 1. ตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือดโดยให้นักเรียนทำกิจกรรม รู้ อะไรบา้ งกอ่ นเรยี นนักเรียนสามารถเขยี นข้อความ แผนผงั หรือแผนภาพใด้อย่างอสิ ระตามความเข้าใจ ของตนเอง โดยครูยงั ไมเ่ ฉลยคำตอบท่ีถูกต้อง แตค่ รคู วรรวบรวมแนวคดิ คลาดเคลอื่ นที่พบเพื่อนำไปใช้ ในการวางแผนการจัดการเรยี นรูแ้ ละแก้ไขแนวคดิ คลาดเคลอ่ื นเหล่านน้ั ให้ถกู ต้อง 2. ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารในลำไส้เล็กที่ได้เรียน มาแล้ว เพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด จากนั้นตั้งคำถามเกี่ยวกับ ส่วนประกอบของระบบหมุนเวียนเลือด และส่วนประกอบของเลือด แล้วให้นักเรียนอ่านเนื้อหาใน หนงั สอื เรยี นหน้า 53-54 ร่วมกนั อภปิ รายเพื่อใหไ้ ด้ขอ้ สรปุ ว่า 2.1 ระบบหมุนเวยี นเลอื ดประกอบดว้ ยหัวใจ หลอดเลอื ด และเลอื ด 2.2 เลือดมีส่วนประกอบได้แก่ เชลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือต และ พลาสมา โดยพลาสมาประกอบด้วยน้ำและสารหลายชนิดละลายอยู่ เช่น โปรตีนท่ี เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด แอนติบอดี สารอาหาร อร์โมน ยูเรีย แก๊สคาร์บอนไต ออกไซด์ 3. เชื่อมโยงเข้าสู่ กิจกรรมที่ 3.1 เซลล์เม็ดเลือดมีลักษณะเปน็ อยา่ งไร โดยใช้คำถามว่า นักเรียน ทราบหรือไม่ว่า เซลล์เม็ดเลอื ดแตล่ ะชนดิ มลี กั ษณะเหมอื นหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร ชวั่ โมงท่ี 4-6 ขั้นนำ กระต้นุ ความสนใจ (Engage) 1. ให้นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์และวิธีดำเนินกิจกรรม และตรวจสอยความเข้าใจจาก การอา่ นโดยใชค้ ำถามดงั ตอ่ ไปน้ี

64 • กิจกรรมน้เี รยี นเกยี่ วกบั เร่ืองอะไร (ลักษณะของเซลล์เม็ดเลอื ด) • กจิ กรรมนีม้ จี ุดประสงคอ์ ะไร (สงั เกตและเปรียบเทยี บขนาด ปรมิ าณ และรูปรา่ งลักษณะ ของเซลล์ เม็ดเลอื ดแดง และเซลลเ์ ม็ดเลือดขาวของมนษุ ย์) • วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (สังเกตเซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์ เม็ด เลือดขาวโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง เปรียบเทียบขนาด ปริมาณ และรูปร่างลักษณะ ของเชลล์ทงั้ สองชนดิ ) ครคู วรบันทึกช้ันตอนการทำกิจกรรมโดยสรปุ บนกระดาน • นกั เรียนต้องสังเกตหรอื รวบรวมขอ้ มูลอะไรบ้าง (สงั เกตและรวบรวมข้อมูลเกยี่ วกบั ขนาด ปริมาณ และรูปร่างลกั ษณะของเซลล์เม็ดเลอื ดแดงและเซลลเ์ ม็ดเลือดขาว) 2. ขณะที่แต่ละกลุ่มทำกิจกรรม ครูควรเดินสังเกตการทำกิจกรรมในแต่ละกลุ่ม และให้คำแนะนำ ถ้านกั เรียนมขี ้อสงสัยในประเด็นตา่ ง ๆ เช่น การใช้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ การตรวจหาชนดิ ของเซลล์เม็ด เลือด ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหาและข้อสงสัยต่าง ๆ จากการทำกิจกรรมของนักเรียนเพื่อใช้เป็น ขอ้ มลู ประกอบการอภิปรายหลังการทำกจิ กรรม 3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการทำกิจกรรม ตอบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผล ของกิจกรรมโดยใช้คำถามท้ายกิจกรรมเป็นแนวทาง เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า เชลล์เม็ด เลือดแดงเปน็ เซลล์ที่มีรูปร่างกลม ตรงกลางเว้าเขา้ หากัน และเป็นเซลล์ท่ีไม่มีนิวเคลียส ส่วนเซลล์ เม็ดเลือดขาวเป็นเซลล์ที่มีรูปร่างกลมและมีนิวเคลียส ขนาดของเซลล์เม็ดเลือดแดงเล็กกว่าเซลล์ เม็ดเลอื ดขาว นอกจากนปี้ รมิ าณของเซลล์เม็ดเลอื ดแดงมมี ากกว่าเซลล์เม็ดเลือดขาว 4. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติม โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนหน้า 56-57 เกี่ยวกับหน้าท่ี ความสำคัญ แหล่งที่สร้างและรายละเอียดอื่น ของเซลล์เม็ดเสือดและเกล็ดเลือดและตอบคำถาม ระหว่างเรียน จากนั้นร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ส่วนประกอบของเลือตมีหน้าที่และ ความสำคญั แตกตา่ งกัน และสร้างมาจากไขกระดูก ข้ันสอน สำรวจและค้นหา (Exploration) 1. เชื่อมโยงจากเรื่องเลือดไปสู่เรื่องหลอดเลือต โดยใช้คำถามว่าเลือดเกี่ยวข้องกับหลอดเลือด อย่างไร หรือเลือดอยู่ภายในร่างกายได้อย่างไร (เลือดอยู่ภายในหลอดเลือด) จากนั้นให้นักเรียน

65 สังเกตหลอดเลือดที่อยู่ตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหลอดเลือดเวน เพราะ หลอดเลอื ดเวนอย่ใู กล้ผวิ หนงั 2. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาและสังเกตภาพ 3.6 หลอดเลือดอาร์เทอรี หลอดเลือดเวน และหลอด เลือดฝอยจากหนังสือเรียนหน้า 59 แล้วร่วมกันอภิปรายหน้าที่ของหลอดเลือดทั้ง 3 ชนิด เพื่อให้ ได้ข้อสรุปว่า หลอดเลือดมี 3 ชนิด ได้แก่ หลอดเลือดอาร์เทอรี หลอดเลือดเวน และหลอดเลือด ฝอย ซงึ่ หลอดเลอื ดแตล่ ะชนิดมีหนา้ ท่ีแตกต่างกนั 3. ให้นกั เรยี นรว่ มกันทำนายโครงสร้างของหลอดเลือดแตล่ ะชนิด (ขนาด ความหนาของผนังหลอด เลือด แรงดันเลือด) จากหน้าทข่ี องหลอดเลอื ต โดยใช้คำถาม เชน่ • จากหน้าที่ของหลอดเลือดอาร์เทอรีที่ทำหน้าที่นำเลือดออกจากหัวใจโดยการบีบตัวของ หัวใจไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และหลอดเลือดเวนซึ่งนำเลือดจากส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายเข้าสู่หัวใจ นักเรียนคิดว่าหลอดเลือดอาร์เทอรีน่าจะมีขนาด ความหนาของผนัง หลอดเลือด และแรงตันภายในหลอดเลือดเป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับหลอดเลือดเวน (ตอบต้อย่างอิสระตามความคิดของนักเรยี น) • หลอดเลือดฝอยเปน็ หลอดเลือดที่แทรกอยู่ตามเนือ้ เย่ือของร่างกาย และเป็นบริเวณท่ีมีการ แลกเปลี่ยนแก๊สและสารต่าง ๆ ระหวา่ งเลือดกบั เซลล์ หลอดลือฝอยน่าจะมขี นาดและความ หนาของผนงั หลอดเลือดเป็นอยา่ งไรเมื่อเปรียบเทียบกับหลอดเลอื ดเวนและอาร์เทอรี (ตอบ ได้อย่างอสิ ระตามความคิดของนักเรียน) 4. ใหน้ กั เรยี นเรียนรูจ้ ากการอ่านเน้ือหาเก่ียวกบั หลอดเลือดและภาพ 3.7 โครงสร้างของหลอดเลือด ชนิดตา่ ง ๆ ตามรายละเอยี ดในหนังสอื เรียนหนา้ 59 แล้วรว่ มกนั อภปิ ราย เพ่ือให้ได้ขอ้ สรปุ วา่ 4.1.หลอดเลอื ดแตล่ ะชนดิ มีโครงสรา้ งเหมาะสมกบั หนา้ ท่ีของหลอดเลอื ดชนิดน้ัน 4.2. หลอดเลือดอาร์เทอรีเป็นหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจโดยการบีบตัวของหัวใจและ ส่งไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หลอดเลอื ดอาร์เทอรีมีผนังหนา มเี น้ือเยอื่ หลายชน้ั และยึด หยุ่นได้ดี สามารถขยายตัวและหดตัวเพ่ือรักษาแรงตนั เลือตท่ีเกิดจากการบีบตัวของหัวใจได้ ดี 4.3. หลอดเลือดเวนเป็นหลอดเลือดที่นำเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ มีผนังบางและดหยุ่นน้อยกว่า หลอดเลือดอาร์เทอรีทำให้รักษาความตันของเลือดได้น้อย แรงตันของเลือดในหลอดเลือดเวนจึง นอ้ ยกวา่ ในหลอเลือตอาร์เทอรมี าก

66 4.4. หลอดเสือดฝอยเป็นหลอดเลือดที่มีขนาดล็กมากและผนังบาง ประกอบด้วยเซลล์เพียงช้ัน เดียว หลอดเลือดฝอยจึงเป็นบริเวณที่มีการแลกเปล่ียนแก๊สและสารต่าง ๆ ระหว่างเลือดกับเซลล์ จากน้นั ให้นกั เรียนตอบคำถามระหวา่ งเรียน อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. เชื่อมโยงสู่เรื่องหัวใจ โดยตั้งคำถามว่า เลือดในหลอดเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้อย่างไร (จากการบบี และคลายตวั ของหวั ใจ) จากน้ันรใู ห้นกั เรยี นสงั เกตโครงสร้างของหวั ใจผา่ ตามยาว จาก ภาพ 3.8 ในหนังสือเรียนหน้า 60 ครูอาจใช้คำถามเพื่อให้นักเรียนสังเกตหรือฝึกให้นักเรียนต้ัง คำถามจากการสงั เกตภาพ เช่น • หวั ใจมกี ี่หอ้ ง อะไรบ้าง (4 หอ้ ง ไดแ้ ก่ หอ้ งบนขา้ ย ห้องล่างซ้าย ห้องบนขวา ห้องล่างขวา) • ขนาดของหวั ใจแต่ละหอ้ งเปน็ อย่างไร (ห้องลา่ งใหญก่ วา่ หอ้ งบน) • ผนงั ของหวั ใจหอ้ งใดหนาท่ีสดุ (หอ้ งล่างซา้ ย) • ระหวา่ งหัวใจแต่ละห้อง นักเรียนสงั เกตเห็นสิ่งใด (สิน้ หัวใจ) • นอกจากจะพบสิ้นหัวใจระหว่างหัวใจแต่ละห้องแล้ว นักเรียนยังพบลิ้นหัวใจที่บริเวณใดอีก (หลอดเลือด) ขน้ั สรุป ประเมินผล (Evaluation) 1. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาและจากภาพ 3.9 เกี่ยวกับการหมุนเวียนเลือดจากหวั ใจไปยังปอดและ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และกลับเข้าสู่หัวใจ ตามรายละเอียดในหนังสือเรียนหน้า 60-61 ครูอาจใช้วีติ ทัศน์หรือภาพเคลือ่ นไหวช่วยในการสอน เพื่อให้นักเรยี นมีความเข้าใจมากยิ่งขึน้ โดยครูเน้นให้นกั เรยี น สังเกตทิศทางและปริมาณของแก๊สออกซิเจน และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดที่ไหลเวียนจากห้อง ของหวั ใจไปยงั ปอและสว่ นต่าง 1 ของรา่ งกายแลว้ กลบั เขา้ สู่ หวั ใจ 2. ให้นักเรียนเขียนแผนภาพง่าย ๆ สรุปการหมุนเวียนของเลือดในร่างกายเพื่อตรวจสอบความ เขา้ ใจอีกครงั้

67 ชว่ั โมงที่ 7-8 ขน้ั นำ กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 1. ให้นักเรียนดูภาพนำเรื่อง อ่านเนื้อหา และคำสำคัญเรื่องระบบหายใจ จากนั้นทำกิจกรรม ทบทวนความรู้ก่อนเรียน ถ้าครูพบว่านักเรียนยังมีความเข้าใจในเนื้อหาส่วนใดยังไม่สมบูรณ์ หรือไม่ ถกู ตอ้ ง ครคู วรอธิบายเพิ่มเตมิ เกี่ยวกับเน้ือหาส่วนนัน้ เพอ่ื ใหน้ ักเรียนมีความรูพ้ ื้นฐานท่ีถูกตอ้ งและเพียง พอทจี่ ะเรยี นรูเ้ ก่ยี วกบั เร่อื งระบบหายใจต่อไป 2. ตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องระบบหายใจ โดยให้ทำกิจกรรม รู้อะไรบ้าง ก่อนเรียน นักเรียนสามารถเขียนข้อความ แผนผัง หรือแผนภาพได้อย่างอิสระตามความเข้าใจของ นักเรียน โดยครูจะไม่เฉลยคำตอบ ครูควรรวบรวมแนวคิดคลาดเคลื่อนที่พบเพื่อนำไปใช้ในการวาง แผนการจัดการเรยี นรแู้ ละแกไ้ ขแนวคิดเหลา่ นัน้ ใหถ้ กู ต้อง 3. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหา ในหนังสือเรียนหน้า 9 เกี่ยวกับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในระบบ หายใจ และสังเกตภาพ 3.13 เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า กลไกการหายใจเข้าและการหายใจออกของมนุษย์ เกิดจากการทำงานร่วมกันของอวัยวะต่าง ๆ ในระบบหายใจ ได้แก่ จมูก ท่อลม ปอต (รวมถึงหลอดลม หลอดลมฝอย ถงุ ลมภายในปอด) และอวยั วะที่เก่ียวข้อง ไต้แก่ กระตกู ซโี่ ครง และกะบังลม 4. เชื่อมโยงเข้าสู่ กิจกรรมที่ 34 การหายใจเข้าและการหายใจออกเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยใช้ คำถามว่าอวัยวะตา่ ง ๆ ในระบบหายใจทำงานร่วมกันเพอื่ ให้เกดิ หายใจเขา้ และหายใจออกได้อยา่ งไร ข้นั สอน สำรวจและค้นหา (Exploration) 1. ใหน้ กั เรียนอา่ นช่ือกจิ กรรม จดุ ประสงค์ และวิธีดำเนินกจิ กรรม และตรวจสอบความเขา้ ใจจาก การอ่านโดยใชค้ ำถามดงั ต่อไปนี้ • กจิ กรรมน้เี รยี นเก่ยี วกับเรื่องอะไร (เรื่องการหายใจเขา้ และการหายใจออกของมนุษย์) • กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (สังเกตและอธิบายกลไกการหายใจเข้าและการหายใจออกโดยใช้ แบบจำลองการทำงานของปอด) • วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (สังเกตและเปรียบเทียบแบบจำลองการทำงาน ของปอดกับอวัยวะที่เกี่ยวกับการหายใจ และเปรียบเทียบระหว่างการทำงานของแบบจำลอง ปอดกับการหายใจเขา้ และการหายใจออกของมนุษย)์

68 ครูควรบนั ทึกข้ันตอนการทำกจิ กรรมโดยสรุปบนกระดาน • นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (สังเกตการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดช้ืนกบั ลูกโปงทงั้ สองใบในกล่องพลาสติกขณะตึงและตนั แผ่นยาง) 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมตามวิธีการดำเนินกิจกรรม ครูสังเกตการทำกิจกรรมของ นักเรียน พร้อมใหค้ ำแนะนำ และความช่วยเหลอื เพิ่มเตมิ หากนักเรยี นมีปัญหาหรือข้อสงสัย เช่น การดึง แผ่นยางขึน้ ลง การสงั เกตการเปล่ียนแปลงของลูกโป่ง ซึง่ ครคู วรรวบรวมปัญหาและข้อสงสยั ตา่ ง ๆ จาก การทำกิจกรรมของนักเรียนเพือ่ ใชเ้ ปน็ ข้อมูลประกอบการอภปิ รายหลงั การทำกจิ กรรม 3. ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม จากนั้นนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เช่น นำเสนอหน้าชั้น เรียน หรือเขียนอธิบายและติดแสดงไว้รอบห้องเพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นชมผลงาน และอภิปรายคำตอบ ร่วมกัน เพ่ือใหไ้ ด้ข้อสรุปจากกจิ กรรมว่าแบบจำลองการทำงานของปอด เป็นการจำลองกลไกการทำงาน ของการหายใจเขา้ และการหายใจออกของมนุษยโ์ ดยท่อตวั Y ซงึ่ ประกอบดว้ ยท่อตรงเปรยี บไดก้ ับท่อลม และท่อที่แยกออกมาทั้ง 2 ข้างจากท่อตรงเปรียบได้กับหลอดลม ลูกโป่งเปรียบได้กับปอด ช่องว่าง ภายในกล่องพลาสติกใสทรงกระบอกเปรียบด้กับชอ่ งอก แผ่นยางเปรียบไดก้ ับกะบังลม การตึงแผ่นยาง ลงส่งผลให้อากาศจากภายนอกเคลื่อนเข้าสู่ลูกโป้ง เปรียบได้กับการหายใจเข้า ส่วนการตันแผ่นยางขนึ้ ส่งผลใหอ้ ากาศเคลอ่ื นที่ออกจากลูกโปง เปรยี บได้กับการหายใจออก อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) 1. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับการหายใจเข้าและออกและสังเกตภาพ 3.14 ในหนังสือเรียน หน้า 71 และตอบคำถามระหว่างเรียน เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า การตึงแผ่นยางลงหรือตันแผ่นยางขึ้น เปรียบได้กับการทำงานของกะบังลม ซึ่งมีผลต่อปริมาตรอากาศและความตันภายในกล่องพลาสติก ทำ ใหอ้ ากาศเคล่ือนเขา้ ไปในลูกโปง หรอื เคล่อื นทีอ่ อกจากลูกโปง่ ได้ การทกี่ ลา้ มเน้ือกะบงั ลมหตัว จะทำให้ กะบังลมลดตวั ต่ำลงในขณะท่ีกระดกู ซีโ่ ครงจะยกตัวขึ้น ส่งผลให้ช่องอกมปี ริมาตรเพิม่ ขึน้ และความตัน ภายในช่องอกลดลง อากาศจากภายนอกจึงเคลื่อนที่เข้าสู่ปอด เกิดเป็นการหายใจเข้า ในทางกลับกัน เมื่อกล้ามเนื้อกะบังลมคลายตัว จะทำให้กะบังลมยกตัวสูงขึ้นในขณะที่กระดูกซี่โครงจะลดต่ำลง ส่งผล ใหช้ อ่ งอกมปี ริมาตรลดลง ความดนั ภายในช่องอกเพมิ่ ขึ้น อากาศจึงเคลื่อนทอี่ อกจากปอดเกิดเป็นการ หายใจออก ครชู ี้ใหน้ ักเรยี นเห็นว่าถงึ แม้วา่ แบบจำลองการทำงานของปอดในกิจกรรมจะสามารถอธบิ ายกลไก การหายใจเข้าและออกของมนุษย์ใด้ แต่แบบจำลองยังมีข้อจำกัดบางประการ ซึ่งไม่เหมือนกับการ ทำงานของอวัยวะในระบบหายใจในร่างกายมนุษย์ ครูควรให้นักเรียนเปรียบเทียบความเหมือน ความ แตกตา่ ง และขอ้ จำกัดของแบบจำสองกบั อวัยวะในระบบหายใจ โดยการตอบคำถามระหว่างเรียน

69 ขยายความรู้ (Elaboration) 1. ถ้าพบว่านกั เรยี นมแี นวคดิ คลาดเคล่ือนเก่ียวกับโรงสรา้ ง หน้าท่ขี องอวยั วะในระบบหายใจจาก การตอบคำถามก่อนเรียน ระหว่างเรียน หรืออาจตรวจสอบโดยใช้กลวิธีอื่น ๆ ให้ครูแก้ไขแนวคิด คลาดเคลื่อนนั้นให้ถูกต้อง เช่น ใช้คำถามและอภิปรายร่วมกัน ใช้แผนภาพ วีดิทัศน์ เอกสารอ่าน ประกอบ ขั้นสรปุ ประเมินผล (Evaluation) 1. ต้งั คำถามเพื่อกระตุ้นความสนใจวา่ นกั รยี นทราบหรือไม่วา่ การแลกเปลี่ยนแก๊สออกชิเจนและ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซดเ์ กิดขึ้นทบี่ ริเวณใดบา้ ง และเกิดข้ึนได้อย่างไร 2. ใหน้ ักเรียนศกึ ษาภาพ 3.16 การแลกเปลีย่ นแกส๊ ท่ีเกิดขึ้นบริเวณถุงลมปอดกบั หลอดเลือดฝอย และภาพ 3.17 การแลกเปลี่ยนแก๊สบริเวณหลอดเลือดฝอยกับเซลล์ หรืออาจให้ศึกษาจากวีติทัศน์ และ อา่ นเนือ้ หาหน้า 72-74 แล้วต้งั คำถามวา่ การแลกเปลย่ี นแก๊สเกิดข้นึ ได้อย่างไร และบริเวณใดบ้าง จากนั้น ตอบคำถามในหนังสอื เรียน เพื่อให้ได้ข้อสรุปวา่ การแลกเปลี่ยนเก๊สออกซิเจนและแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์เกิดขึ้น 2 บริเวณ คือ ระหว่างถุงลมในปอดกับหลอดเลือดฝอย และระหว่างหลอดเลือดฝอยกับเซลล์ โดยใช้กระบวนการ แพร่ ดังน้ี 2.1 การแลกเปล่ียนแกส๊ ระหวา่ งถุงลมในปอตกับหลอดเลือดฝอยแก๊สออกซิเจนในถงุ ลมปอดท่ีได้ จากการหายใจซึ่งมีปริมาณสูงกว่าเลือดในหลอดเลือดฝอยจะแพร่เข้าไปจับกับเฮโมโกลบินใน เซลล์เม็ด เลือดแตง ส่วนแก๊สคาร์บอนไตออกไซด์ในเลือตภายในหลอดเลือดฝอยซึ่งมีปริมาณสูงกว่าแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ในถุงลม จะแพร่จากเลือดเข้าไปยังถุงลมปอด ซึ่งจะลำเลียงออกจากร่างกายทางลม หายใจออก 2.2 การแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างหลอดเลือดฝอยกับเซลล์เมือ่ หัวใจสบู ฉีดเลือดที่มีแก๊สออกซิเจน สูงมายังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย แก้สออกชิเจนจากเฮโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดงจะแพร่ผ่ านผนัง หลอดเลือดฝอยไปยังเซลล์ ขณะเดียวกันแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีปริมาณสูงจากเชลล์จะแพรไปยัง เลือดในหลอดเลอื ดฝอยและลำเสยี งกลบั สูห่ ัวใจ

70 ชวั่ โมงที่ 9-10 ขนั้ นำ กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. ให้นักเรยี นอา่ นรายละเอียตกิจกรรมและรว่ มกันอภปิ รายเกยี่ วกับชื่อกิจกรรม จดุ ประสงค์ และ วิธีดำเนินกิจกรรมกรณีที่นักเรียนยังตอบไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนครูควรอธิบายเพิ่มเติมโดยใช้ตัวอย่าง คำถามและแนวคำตอบดังต่อไปนี้ • กิจกรรมนี้เกยี่ วข้องกบั เรอื่ งอะไร (การวดั ความจุอากาศของปอด) • กจิ กรรมน้ีมจี ุดประสงค์อะไร (ทดลองและอธบิ ายความจุอากาศของปอด) • วิธีดำเนินกิจกรรมมีข้ันตอนโดยสรุปอย่างไร (ทดสอบความจุอากาศของปอดจากชุด อุปกรณ์วัดความจุของปอด โดยให้คนทดสอบหายใจเข้าให้เต็มที่แล้วเปาลมเข้าไปในถุงพลาสติกให้ มากทีส่ ุด เพื่ออา่ นค่าความจุอากาศของปอด) ครูควรบันทกึ ขนั้ ตอนการทำกจิ กรรมโดยสรุปบนกระดาน • ข้อควรระวังในการทำกิจกรรมมีอะไรบ้าง (โรคติดต่อทางน้ำลาย ควรป้องกันโดยไม่ใช้ ทอ่ เป่าซำ้ กบั เพ่ือน) • นกั เรยี นต้องสังเกตหรอื รวบรวมข้อมูลอะไรบา้ ง (รวบรวมขอ้ มลู คู่ความจุอากาศของปอด ของนักเรยี น) 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมตามวิธีการดำเนินกิจกรรม ครูสังเกตการทำกิจกรรมของ นักเรยี น พร้อมให้คำแนะนำและความช่วยเหลอื เพิ่มเติมหากนกั เรียนมปี ัญหาหรือข้อสงสัย เชน่ วิธกี ารติด สติกเกอร์แสดงปริมาตรความจุอากาศของปอดบนถุงพลาสติกยาว การสอดท่อพลาสติกสั้นลงไปใน ถุงพลาสติกและใช้เทปพัน ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหาและข้อสงสัยต่าง ๆ จากการทำกิจกรรมของนักเรียน เพ่อื ใช้เป็นขอ้ มลู ประกอบการอภิปรายหลงั การทำกิจกรรม 3. ครูควรเน้นเรือ่ งความปลอดภัยในการใชช้ ดุ อุปกรณ์ หากต้องให้นกั เรียนใชช้ ุดอปุ กรณ์เดียวกัน ควรมีการเปลี่ยนท่อเปา่ เพือ่ ป้องกนั โรคตดิ ต่อทางน้ำลาย

71 ขั้นสอน สำรวจและค้นหา (Exploration) 1. ให้นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ นำเสนอผลการทำกิจกรรม ตอบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกนั สรปุ ผล ของกิจกรรมโดยใช้คำถามท้ายกิจกรรมเป็นแนวทาง เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า การวัดความจุ อากาศของปอดอย่างง่าย วัดได้จากชุดอุปกรณ์วัดความจุอากาศของปอด โดยวัดปริมาตรของอากาศเมื่อ หายใจเข้าเต็มที่แล้วผ่อนลมหายใจออกมาให้มากที่สุด ซึ่งความจุอากาศของปอดแต่ละบุคคลอาจจะ แตกต่างกนั ได้ขน้ึ อยกู่ ับหลายปัจจยั เช่น เพศ ขนาดของร่างกายการออกกำลงั กายเปน็ ประจำ อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. ให้นักเรียนศึกษากราพในภาพ 3.18 และ 3.19 ในหนังสือเรียนหน้า 78 และตอบคำถาม ระหว่างเรียน จากนั้นอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อความจุอากาศของปอด รวมถึงสาเหตุของโรค ที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจในหนังสือเรียนหน้า 79 เพื่อให้ได้ข้อสรุปวา่ คำความจุอากาศของปอดแต่ ละบุคคลอาจจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น เพศ อายุ ความสูงของร่างกาย อาชีพ นอกจากนบี้ ุคคลที่มีภาวะผดิ ปกติ หรือเปน็ โรคเก่ยี วกบั ทางเดินหายใจ เช่น โรคถงุ ลมโปง่ พอง โรคมะเร็ง ในปอด วัณโรค ปอดติดเชื้อ อาจจะส่งผลให้ความจุของปอดลดลง ซึ่งส่งผลให้ความสามารถในการ แลกเปลี่ยนแก๊สของปอดสตลงดว้ ย ครคู วรเนน้ ถงึ ประโยชน์ของการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้ความจุอากาศของปอด เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลีย่ นแก๊ส และสาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งส่วนใหญ่ มักจะเกดิ จากสารพิษในควนั บุหรี่ซึ่งจะไปทำลายผนงั ของถุงลม ทำให้พนื้ ทผ่ี ิวในการแลกเปลยี่ นแก๊สของ ถงุ ลมลดลง ซ่ึงอาจนำภาพของผู้ท่ีปว่ ยเป็นโรคถุงลมโปงพองมาให้นักเรียนดู เพอื่ ให้นักเรียนตระหนักถึง พิษภัยของบุหรี่และไมส่ ูบบหุ รี่ หรือถ้ามีนักเรียนบางคนติดบุหร่ีควรเลกิ สบู นอกจากนี้ครูควรแนะนำให้ หลกี เสีย่ งสถานท่ีท่ีมคี วนั บุหรี่ ฝนุ่ ละออง อนั เป็นสาเหตใุ หเ้ กิดโรคถงุ ลมโป่งพอง ข้ันสรุป ประเมนิ ผล (Evaluation) 1. ใหน้ ักเรียนศึกษาข้อมูลจากกราฟในภาพ 3.21 กราฟอตั ราการตายของประชากรไทยด้วย โรคมะเร็ง ท่อลม หลอดลมและปอด เพอื่ ให้นักเรยี นเหน็ ว่าอัตราการตายด้วยโรคมะเร็งของอวัยวะเหล่านี้ มีจำนวนเพ่มิ มากขึ้นในแตล่ ะปี

72 ชว่ั โมงท่ี 11-13 ขนั้ นำ กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 1. ให้นักเรียนดูภาพนำเรื่อง อ่านเนื้อหา และคำสำคัญเรื่องระบบขับถ่าย จากนั้นทำกิจกรรม ทบทวนความรู้ก่อนเรียน ถ้าครูพบว่านักเรียนยังมีความเข้าใจในเนื้อหาส่วนใดยังไม่สมบูรณ์ หรือไม่ ถูกต้อง ครูควรอธิบายเพม่ิ เติมเกี่ยวกับเนือ้ หาสว่ นนน้ั เพ่ือให้นกั เรียนมีความรู้พื้นฐานท่ีถกู ตอ้ งและเพียง พอที่จะเรยี นรเู้ กยี่ วกบั เร่ืองระบบขับถ่ายต่อไป 2. ตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องระบบขับถ่าย โดยให้ทำกิจกรรม รู้อะไรบ้าง ก่อนเรียน นักเรียนสามารถเขียนคำตอบตามความข้าใจ โดยครูยังไม่เฉลยคำตอบ ครูควรรวบรวม แนวคิดคลาตเคลื่อนท่ีพบเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้และแก้ไขแนวคิดเหล่านั้นให้ ถูกต้อง หรือนำไปใช้ในการเน้นย้ำหรืออธิบายเนื้อหาส่วนใดเป็นพิเศษ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และมี ความเข้าใจครบถว้ นตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาและสังเกตภาพ 3.23 ภาพ 3.24 และภาพ 3.25 ตามรายละเอียดใน หนังสือเรียนหน้า 83-85และตอบคำถามระหว่างเรียน เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า อวัยวะในระบบขับถ่าย ประกอบด้วยไต ท่อไต กระพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ ระบบขับถ่ายมีหน้าที่กำจัดของเสียออกนอก ร่างกายในรูปของปัสสาวะ ซึ่งมีไตเป็นอวัยวะหลักไตของมนุษย์มี 2 ข้าง แต่ละข้างแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ไดแ้ ก่ ไตข้นั นอกและไตช้ันใน ภายในไตประกอบดว้ ยหน่วยไตที่ทำหน้าที่กรองสารต่าง ๆ ออกจากเลือด ซี่งสารที่กรองได้มีทั้งสารที่มีประโยชน์และของเสีย และยังทำหน้าที่ดูดสารที่มีประโยชน์กลับเข้าสู่ ร่างกาย สารที่ผ่านการกรองและการตูตกลับจากหน่วยไตซึ่งจะถูกขับออกสู่ภายนอกร่างกาย เรียกว่า ปัสสาวะ การวเิ คราะห์ส่วนประกอบและสารต่าง ๆ ที่พบในปัสสาวะจึงใช้ตรวจวนิ ิจฉัยเบ้ืองต้นเก่ียวกับ ภาวะของโรคบางโรคของร่างกายได้ เขน่ โรคเบาหวาน โรคตบั โรคกระเพาะปัสสาวะอกั เสบ 4. เชื่อมโยงเข้าสู่ กิจกรรมที่ 3.7 ดูแลรักษาไตอย่างไร โดยใช้คำถามว่าถ้าไตทำงานผิดปกติ การ กรองและการดูดกลับสารต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร และจะมีวิธีปฏิบัติตนอย่างไร เพื่อให้ไตทำงานไต้อย่าง เป็นปกติ ข้นั สอน สำรวจและคน้ หา (Exploration) 1. ให้นกั เรยี นอ่านชอ่ื กจิ กรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนนิ กจิ กรรม และตรวจสอบความเข้าใจจาก การอา่ นโดยใช้คำถาม ดงั ตอ่ ไปน้ี

73 • กิจกรรมนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร (การดูแลรักษาอวัยวะในระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ อย่างปกติ) • กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (รวบรวมข้อมูลและนำเสนอวิธีการดูแลรักษาอวัยวะใน ระบบขบั ถา่ ย) • วิธีดำเนินกิจกรรมมีชั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (อ่านสถานการณ์เกี่ยวกับโรคไตในประเทศ ไทย สืบคันข้อมูลเกี่ยวกับโรคไต สาเหตุและผลกระทบ แนวทางในการตูแลอวัยวะระบบ ขบั ถา่ ย นำเสนอขอ้ มลู ) ครคู วรบนั ทึกขัน้ ตอนการทำกิจกรรมโดยสรุปบนกระดาน • นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคไตและ สาเหตุของโรค) 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมตามวิธีการดำเนินกิจกรรม ครูสังเกตการทำกิจกรรมของ นักเรียน พร้อมให้คำแนะนำและความช่วยเหลือเพิ่มเติมหากนักเรียนมีปัญหาหรือข้อสงสัย เช่น แหล่งข้อมูลในการสืบคันข้อมูล ขอบเขตเนื้อหาในการสบื ค้น ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหาและข้อสงสัยต่าง ๆ จากการทำกจิ กรรมของนักเรียน เพ่ือใชเ้ ปน็ ข้อมลู ประกอบการอภปิ รายหลงั การทำกิจกรรม อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) 1. ให้นกั เรียนแต่ละกลมุ่ นำเสนอผลการทำกิจกรรม ตอบคำถามทา้ ยกจิ กรรม และรว่ มกนั สรุปผล ของกิจกรรมโดยใช้คำถามท้ายกิจกรรมเป็นแนวทางเพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า สาเหตุของโรคไต เกิดจากการรบั ประทานอาหารท่ีมีเกลือแร่ในปริมาณสูง หรืออาหารที่มีรสเค็มจัด การใช้ยาบางชนดิ ท่มี ี ผลเสียต่อไต การเป็นโรคความดันเลือดสูงโรคเบาหวานเรื้อรงั ดังนั้นวิธีลดปัญหาดงั กล่าวเกิดขึ้นได้จาก การดูแลสุขภาพของตนเองด้วยการออกกำลังกายรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ลดการ รับประทานอาหารที่เค็มจัด ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ไม่สูบบุหรี่หรือสาร เสพติด นอกจากนี้การรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายเกี่ยวกับโรคไตก็มีความสำคัญต่อการ แก้ปญั หาทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพในระยะยาวอีกดว้ ย ขั้นสรุป ประเมินผล (Evaluation) 1. ถ้าพบว่านักเรียนมีแนวคิดคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับหน้าที่ของไตจากการตอบคำถามก่อนเรียน ระหว่างเรยี น หรอื อาจตรวจสอบโดยใช้กลวธิ อี น่ื ๆ ใหค้ รูแก้ไขแนวคิดคลาดเคลอื่ นนนั้ ใหถ้ ูกต้อง เช่น ใช้ คำถามและอภปิ รายร่วมกัน ใช้แผนภาพ วีดิทัศน์ เอกสารอา่ นประกอบ

74 2. เชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้ในเรื่องต่อไปว่า ในการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างปกติสุข จำเป็นต้อง อาศัยการทำงานร่วมกันของระบบอวัยวะต่าง ๆ เช่น ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบหายใจ และระบบขับถ่าย นักเรียนทราบหรือไม่ว่า ในการทำงานร่วมกันของระบบต่าง ๆ นั้น มีระบบอวัยวะใดที่เป็นตัวประสาน และควบคมุ การทำงานใหร้ ะบบต่าง ๆ ทำงานรว่ มกันไดอ้ ยา่ งปกตแิ ละมปี ระสิทธิภาพ ชัว่ โมงท่ี 14-16 ขัน้ นำ กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 1. ให้นักเรียนดูภาพนำเรื่อง อ่านเนื้อหานำเรื่องเพื่อให้นักเรียนเห็นถึงความสำคัญของสมองซ่ึง เป็นอวัยวะหนึ่งในระบบประสาท และอ่านคำสำคัญ ทำกิจกรรม ทบทวนความรู้ก่อนเรียนแล้วร่วมกัน อภิปรายเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องถ้าครูพบว่านักเรียนยังทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียนไม่ถูกต้อง ครูควรทบทวน และแก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องและเพียง พอทจี่ ะเรยี นเรื่องระบบประสาทต่อไป 2. ตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับระบบประสาทโดยให้ทำกิจกรรม รู้อะไรบ้างก่อน เรียน นักเรียนสามารถเขียนข้อความและวาตรูปได้อย่างอิสระตามความเข้าใจของนักเรียน โดยครูจะไม่ เฉลยคำตอบ ครูควรรวบรวมแนวคิดคลาดเคลื่อนที่พบเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้และ แกไ้ ขแนวคดิ เหล่านนั้ ใหถ้ ูกต้อง ข้ันสอน สำรวจและคน้ หา (Exploration) 1. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาและสังเกตภาพ 3.27 3.28 และ 3.29 เกี่ยวกับส่วนประกอบของระบ ประสาท รูปร่างของเซลล์ประสาท การเกิดกระแสประสาท ชนิดของเซลล์ประสาท ในหนังสือเรียนหน้า 88-89 และตอบคำถามระหว่างเรียน จากนัน้ ร่วมกนั อภิปราย เพื่อให้ได้ขอ้ สรปุ วา่ 1.1 ระบบประสาทประกอบด้วยสมอง ขสนั หลัง และเสน้ ประสาท หนว่ ยย่อยของสมอง และไขสันหลงั ได้แก่ เซลล์ประสาท ซง่ึ ประกอบด้วยตวั เซลลแ์ ละเส้นใยประสาท 1.2 เส้นโยประสาทประกอบด้วยเนไตรต์และแอกซอน เดนไตรต์ทำหน้าที่รับกระแส ประสาท สว่ นแอกซอนทำหน้าทส่ี ่งกระแสประสาท

75 1.3 กระแสประสาทเคลื่อนที่จากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง โดยผ่านช่องว่างแคบ ๆ ซึ่งต้องอาศัยสารเคมีทีสร้างจากบริเวณปลายแอกซอน เพื่อไปกระตุ้นทำให้เกิดกระแสประสาท บนเดนไดรตใ์ นเซลล์ถดั ไป 1.4 เชลล์ประสาทแบง่ ตามหนา้ ทไ่ี ด้เป็น 3 ชนิด ไดแ้ ก่ เซลลป์ ระสาทรับความรูส้ ึก เซลล์ ประสาทสง่ั การและเซลล์ประสาทประสานงาน อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) 1. ถ้าพบว่านักเรียนมีแนวคิดคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับระบบประสาทจากการตอบคำถามก่อนเรียน ระหว่างเรียน หรืออาจตรวจสอบโดยใช้กลวิธอี ื่น ๆ ให้ครูแก้ไขแนวคิดคลาดเคลื่อนนั้นให้ถูกต้อง เช่น ใช้ คำถามและอภิปรายร่วมกัน ใชแ้ ผนภาพ วดี ิทศั น์ เอกสารอ่านประกอบ 2. ใหน้ ักเรียนอ่านเนื้อหาและสังเกตภาพ 330 ในหนังสอื เรียนหนา้ 90 รว่ มกนั อภิปรายเพ่ือให้ได้ ข้อสรุปว่า สมองประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ ไต้แก่ ชีรีบรัม ชีรีเบลลัม และก้านสมอง และหน้าที่ของ ส่วนประกอบเหล่าน้ีตามรายละเอยี ดในหนงั สอื เรยี น จากน้นั ตอบคำถามระหว่างเรียน ข้ันสรุป ประเมินผล (Evaluation) 1. ถ้ามีเวลาในการเรียนเพียงพอครูอาจให้นักเรียนทำ กิจกรรมสริม เราจำได้มากแค่ไหน เพื่อ ทดสอบความสามารถในการจำของนักเรียน เนอื่ งจากความสามารถในการจำของแต่ละคนไมเ่ ท่ากัน 2. เชอ่ื มโยงเขา้ สู่หวั ข้อไขสนั หลังวา่ สมองเปน็ อวัยวะหนึง่ ในระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนี้ ยงั มไี ขสันหลังอกี ด้วยไขสนั หลงั อยบู่ รเิ วณใด มีหนา้ ทีแ่ ละความสำคัญอย่างไร 3. ให้นกั เรียนอ่านเนื้อหาเกี่ยวกบั ไขสันหลังในหนังสือเรยี นหนา้ 93 และสังเกตภาพ 3.31 ร่วมกนั อภปิ รายตำแหน่งของไขสนั หลงั จากภาพ และหนา้ ทีข่ องไขสนั หลงั เพอื่ ให้ได้ข้อสรปุ วา่ ไขสนั หลงั เปน็ ส่วน ที่ต่อลงมาจากก้านสมองตามแนวยาวภายในช่องของกระดูกสันหลัง หน้าที่หลักของไขสันหลัง คือ เชื่อมต่อการทำงานระหว่างสมองและเส้นประสาท และเป็นศูนย์กลางควบคุมการตอบสนองของร่างกาย อย่างทันทีทันใดหรอื ปฏิกิรยิ ารีเฟล็กซ์ 4. เชื่อมโยงเข้าสู่เรื่องเส้นประสาทว่า ส่วนของระบบประสาทที่อยู่นอกระบบประสาทส่วนกลาง เรียกวา่ ระบบประสาทรอบนอก ซ่งึ ได้แก่ เสน้ ประสาท เส้นประสาทมหี นา้ ท่ีอะไร

76 5. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาเรื่องเส้นประสาทในหนังสือเรียนหน้า 93 ครูใช้คำถามเพื่อให้นักเรียน ร่วมกันอภิปรายตำแหน่งและหน้าที่ของส้นประสาท เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า เส้นประสาทเป็นส่วนที่ย่ืน ออกมาจากสมองและไขสันหลังและเชื่อมไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ทำหน้าที่รับข้อมูลจากอวัยวะ ตา่ ง ๆ แลว้ ส่งไปยังสมองและไขสนั หลังและรับกระแสประสาทจากสมองและไขสันหลงั สง่ ไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ชว่ั โมงที่ 17-19 ข้ันนำ กระต้นุ ความสนใจ (Engage) 1. ให้นักเรียนดูภาพนำเรื่อง อ่านเนื้อหา และคำสำคัญเรื่องระบบสืบพันธุ์ จากนั้นทำกิจกรรม ทบทวนความรู้ก่อนเรียน ถ้าครูพบว่านักเรียนยังมีความเข้าใจในเนื้อหาส่วนใดยังไม่สมบูรณ์ หรือไม่ ถูกต้อง ครูควรอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาส่วนนั้นเพื่อให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องและเพียง พอทจี่ ะเรียนรู้เกี่ยวกบั เรอ่ื งระบบสบื พันธต์ุ อ่ ไป 2. ตรวจสอบความรู้เติมของนักเรียนเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ โดยให้ทำกิจกรรม รู้อะไรบ้างก่อน เรียน นักเรียนสามารถเขียนข้อความ แผนผัง หรือแผนภาพได้อย่างอิสระตามความเข้าใจของนักเรียน โดยครูจะไม่เฉลยคำตอบ ครคู วรรวบรวมแนวคิดคลาดเคลื่อนท่ีพบเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการจัดการ เรียนรู้และแกไ้ ขแนวคดิ เหล่าน้นั ให้ถกู ต้อง 3. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหา สังเกตภาพ 3.35 และภาพ 3.36 ในหนังสือเรียนหน้า 99-100 โดยต้ัง คำถามเพ่ือให้นักเรยี นตรวจสอบความเข้าใจในการอ่าน เชน่ ระบบสบื พันธุเ์ พศหญิงและเพศชายแตกต่าง กันอย่างไรและประกอบด้วยอวัยวะใดบ้าง อวัยวะแต่ละอวัยวะในระบบสืบพันธุ์มีหน้าที่อะไร จากนั้นให้ นักเรียนตอบคำถามระหว่างเรียน และอภิปรายร่วมกันตามรายละเอียตในหนังสือเรียน เพื่อให้ได้ข้อสรุป ว่า 3.1 ระบบสืบพันธุ์ของเพศชายประกอบตัวยอัณฑะ หลอดเก็บอสุจิ หลอดนำอสุจิ ต่อม สร้างน้ำเลีย้ งอสจุ ิ ตอ่ มลกู หมาก และตอ่ มคาวเปอร์ สว่ นระบบสบื พันธุเ์ พศหญิงประกอบด้วยรัง ไข่ ท่อนำไข่ มดลูก ปากมดลูก และช่องคลอด อวัยวะแต่ละอวัยวะในระบบสบื พันธุ์จะมีหนา้ ท่ี ตา่ งกันไป

77 3.2 อณั ฑะทท่ี ำหนา้ ท่ีสร้างอสุจซิ ง่ึ เป็นเซลล์สบื พันธุ์เพศผู้ ส่วนรงั ไข่ ทำหนา้ ท่สี ร้างเชลล์ ใชซ่ ึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศเมยี 4. เชอ่ื มโยงเข้าสู่ กจิ กรรมท่ี 3.10 การเปล่ียนแปลงของร่างกายเม่ือเข้าสวู่ ัยหนุ่มสาวเป็นอย่างไร โดยใช้คำถามว่านักเรียนทราบหรือไม่ว่าอัณฑะและรังไข่นอกจากจะสร้างเซลล์สืบพันธุ์แล้วยังสร้าง ฮอร์โมนเพศซี่งควบคุมการเปลีย่ นแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว การเปลี่ยนแปลงทางรา่ งกายท่ี ควบคุมด้วยฮอร์โมนเพศนั้นมอี ะไรบา้ ง ขั้นสอน สำรวจและคน้ หา (Exploration) 1. ให้นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีตำเนินกิจกรรม และตรวจสอบความเข้าใจจาก การอา่ นโดยใชค้ ำถามดังตอ่ ไปน้ี • กิจกรรมนเ้ี กี่ยวขอ้ งกบั เรื่องอะไร (การเปล่ียนแปลงของรา่ งกายเมือ่ เข้าสู่วัยหนมุ่ สาว) • กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (1. สำรวจและอธิบายการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัย หนุ่มสาว 2. สืบคันข้อมูล อภิปรายและเสนอแนะแนวทางการดูแลรักษาร่างกายของตนเอง ในช่วงท่ีมกี ารเปลีย่ นแปลงของรา่ งกาย) • วิธีดำเนินกิจกรรมมีชั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (สำรวจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองใน ปัจจุบันเปรียบเทียบกับช่วงที่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้แบบสำรวจ สืบคันข้อมูลและ อภิปรายเกี่ยวกับแนวทางการดูแลรักษาร่างกายของตนเองในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง และ นำเสนอดว้ ยรปู แบบที่นา่ สนใจ) ครูควรบันทกึ ขน้ั ตอนการทำกจิ กรรมโดยสรุปบนกระดาน • นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ รา่ งกายตนเองจากการสำรวจ) 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมตามวิธีการดำเนินกิจกรรม ครูสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน พร้อมให้คำแนะนำ และความชว่ ยเหลือเพิม่ เติมหากนกั เรียนมปี ญั หาหรือขอ้ สงสัย ซ่งึ ครคู วรรวบรวม ปัญหาและข้อสงสัยต่าง ๆ จากการทำกิจกรรมของนักเรียน เพื่อโข้เป็นข้อมูลประกอบการอภิปราย หลงั การทำกจิ กรรม 3. ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุ่มนำเสนอผลการทำกิจกรรม อบคำถามทา้ ยกจิ กรรม และร่วมกันสรุปผลของ กิจกรรมโดยใช้คำถามท้ายกิจกรรมเป็นแนวทาง เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม

78 สาวทั้งเพศหญิงและเพศชาย จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน เช่น เพศชายเสียงจะแตก ไหล่ผาย มีหนวด เครา ขนรักแร้ และขนบริเวณอวัยวะเพศ มีการสร้าง อสุจแิ ละหลง่ั น้ำอสุจิ สว่ นเพศหญงิ มีสะโพกผาย เสยี งแหลมเล็ก เตา้ นมขยายใหญ่ข้นึ มีประจำเตือน และขนบรเิ วณอวัยวะเพศ อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. นักเรียนศึกษาข้อมูลเพ่มิ ติมในหนงั สือเรียน ตอบคำถามระหวา่ งเรยี น ร่วมกนั อภปิ ราย เพื่อให้ ได้ข้อสรุปว่า เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาวทั้งเพศหญิงและเพศชายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ฮารมณ์ และสภาพจิตใจ ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศที่ร่างกายสร้างขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่ าวเกิดขึ้นตาม ธรรมชาติ ซง่ึ นักเรยี นสามารถตรียมพร้อมดว้ ยการยอมรับการเปลี่ยนแปลง รักษาความสะอาดสว่ นต่าง ๆ ของร่างกาย อกกำลงั กายเป็นประจำ ทำงนอติเรกหรอื กิจกรรมอ่นื ๆ เพ่อื คลายเครยี ด 2. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับประจำเดือน การตกไข่ และการปฏิสนธิเป็นไซโกต เอ็มบริโอ การเปลีย่ นแปลงของเอ็มบรโิ อเปน็ ฟติ สั จนกระทง่ั คลอดเป่นั ทารก และสังเกตภาพ 3.38 3.39 และ 3,40 ในหนังสือเรียนหน้า 104-106เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหา แล้วตอบคำถามระหว่างเรียน เพื่อให้ได้ ขอ้ สรปุ วา่ 2.1 ประจำเดือน คือ ผนังมดลูกช้ันในที่หนาข้ึนระหว่างรอบเดือนและหลุดลอกออกมาพร้อมกบั เลือดทางช่องคลอด ซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นรอบ แต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 28 วัน การเปลี่ยนแปลงของผนัง มดลกู เปน็ ผลมาจากฮอรโ์ มนเพศหญิงไดแ้ ก่ อีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน 2.2 เซลล์ไข่เมื่อพัฒนาเต็มที่จะหลุดออกจากรังไข่เข้าไปในท่อนำไข่ เรียกว่า การตกไข่ และเม่ือ เซลลไ์ ข่เกดิ การปฏิสนธิกับอสุจิจะเกิดเป็นเซลล์ทเ่ี รียกว่า ไซโกต ต่อจากน้นั ไซโกตจะเพ่ิมจำนวนเซลล์โดย การแบ่งเชลล์จนกลายเป็นกลุ่มเซลล์ เรียกว่า เอ็มบริโอ ซึ่งจะมีการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงรูปร่าง จนมีอวัยวะครบเมื่ออายุ 8สัปดาห์ เรียกว่า ฟิตัส จากนั้นฟิตัสจะเจริญติบโตจนกระทั่งคลอดออกมาเป็น ทารก ขั้นสรปุ ประเมนิ ผล (Evaluation) 1. เชือ่ มโยงไปส่กู ารเรยี นรู้ในเร่ืองต่อไปว่า เมื่อเข้าสูว่ ัยหนุ่มสาว อวยั วะในระบบสืบพันธ์ุจะมีการ พัฒนาจนสามารถสืบพนั ธุ์ได้ อย่างไรกต็ ามในการสืบพนั ธุ์หรือการมีบตุ รยงั ต้องอาศัยความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ตังนั้นนักเรียนจึงควรเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางการป้องกันการตั้งครรภ์ในภาวะที่นักเรียนยังไม่มี

79 ความพร้อม จากนั้นครูตั้งคำถามกระตุ้นความสนใจว่า จะมีวิธีการป้องกันการตั้งครรภ์ในขณะที่ยังไม่มี ความพรอ้ มไดอ้ ย่างไร 2. ให้นักเรียนอ่านเน้ือหาเก่ยี วกบั การคุมกำเนิดด้วยวธิ ตี ่าง ๆ ในหนงั สือเรยี นหน้า 107-108 แล้ว ใช้คำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจในการอ่าน เช่น การคุมกำเนิดมีกี่ประเภทและแต่ละประเภทต่างกัน อย่างไร การคุมกำเนิดแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง และตอบคำถามระหว่างเรียน เพื่อให้ได้ ขอ้ สรุปวา่ การคุมกำเนิดแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื การคุมกำเนิดช่ัวคราวและการคุมกำเนิดถาวร 2.1 การคุมกำเนิดชั่วคราวเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ในช่วงเวลาที่ไม่พร้อมจะมีบุตร และ สามารถกลับมาต้ังครรภเ์ มอ่ื หยดุ การคมุ กำเนิด แบ่งออกเปน็ 3 วธิ ี ไดแ้ ก่ 2.1.1 การคุมกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติ ซึ่งอาศัยการนับวันขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีโอกาส ผดิ พลาดสงู 2.1.2 การคุมกำเนิดโดยใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ที่เลียนแบบฮอร์โมนเพศหญงิ เช่น การกินยา เม็ดคุมกำเนดิ การใช้ยาฝังคมุ กำเนิด 2.1.3 การคมุ กำเนิดโดยใช้อุปกรณ์ เชน่ การใชถ้ ุงยางอนามยั การใช้ห่วงอนามยั 2.2 การคุมกำเนิดถาวรหรือทำหมัน ในเพศชายทำได้โดยผูกและตัดหลอดนำอสุจิ เพื่อป้องกัน ไม่ให้อสุจิออกมาพร้อมกับน้ำอสุจิ ส่วนเพศหญิงทำโดยผกู และตัดท่อนำไข่ทัง้ 2 ข้าง เพื่อป้องกันเซลล์ไข่ เคลอื่ นท่ีไปปฏสิ นธิกบั อสุจใิ นทอ่ นำไข่ ในการคุมกำเนิดถาวร คู่สามีภรรยาจะไมส่ ามารถกลับมามลี ูกได้อีก ชั่วโมงที่ 20-21 ขน้ั นำ กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. ใหน้ ักเรยี นอ่านชือ่ กิจกรรม จุดประสงค์ และวธิ ีตำเนนิ กจิ กรรม และตรวจสอบความเข้าใจจาก การอ่านโดยใชค้ ำถามดงั ต่อไปน้ี • กิจกรรมนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร (การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรและแนวทางในการป้องกันการ ต้งั ครรภก์ ่อนวยั อนั ควร) • กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อย่างไร (วิเคราะห์สถานการณ์และเสนอแนะแนวทางป้องกันการ ตง้ั ครรภก์ อ่ นวัยอันควร)

80 • วิธีดำเนินกิจกรรมมีชั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (วิเคราะห์สถานการณ์และผลกระทบของการ ตงั้ ครรภ์ก่อนวัยอนั ควรและเสนอแนะแนวทางป้องกันการตั้งครรภก์ ่อนวยั อนั ควร) ครูควรบนั ทกึ ช้ันตอนการทำกิจกรรมโดยสรุปบนกระดาน ขน้ั สอน สำรวจและคน้ หา (Exploration) 1. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมตามวิธีการดำเนินกิจกรรม ครูสังเกตการทำกิจกรรมของ นักเรียนพร้อมให้คำแนะนำและความช่วยเหลือเพิ่มเติมหากนักเรียนมีปัญหาหรือข้อสงสัย เช่น การ วิเคราะหส์ ถานการณแ์ ละแนวทางการคมุ กำเนิด ซึ่งครคู วรรวบรวมปญั หาและข้อสงสัยต่ำง ๆ จากการทำ กิจกรรมของนักเรียน เพื่อใช้เป็นข้อมลู ประกอบการอภิปรายหลงั การทำกจิ กรรม 2. ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม จากนั้นนำเสนอและอภิปรายคำตอบร่วมกัน เพื่อให้ได้ ข้อสรปุ จากกิจกรรมวา่ การตัง้ ครรภ์ก่อนวัยอันควรสง่ ผลกระทบท้ังตอ่ ตนเอง เช่น เสียการเรียน เสียโอกาส ในการทำงาน และอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต ทางด้านสังคม เช่น เกิดปัญหาในครอบครัว เกิดการหย่าร้าง และเป็นภาระแก่รัฐในการสงเคราะห์เด็กทารกที่เกิดจากความไม่พรอ้ มของพ่อแม่ วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน ส่วนการคุมกำเนิดอย่างถูกต้องและเหมาะสมเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดปัญหา การตง้ั ครรภก์ อ่ นวยั อันควรได้อีกทางหนง่ึ อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. ให้นักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับระบบอวัยวะในร่างกายของเรา จากนั้นทำกิจกรรมตรวจสอบ ตนเอง เพอื่ สรุปองค์ความร้ทู ไ่ี ดเ้ รยี นร้จู ากบทเรียน ดว้ ยการเซียนบรรยาย วาตภาพ หรือเขยี นผังมโนทัศน์ สิง่ ท่ีไดเ้ รยี นรู้จากบทเรยี น เรื่อง ระบบอวัยวะในร่างกายของเรา 2. ให้นักเรียนทำกิจกรรมท้ายบท เรื่อง ระบบของร่างกายมนุษย์กับสถานีอวกาศเหมือนหรือ แตกต่างกันอยา่ งไร และตอบคำถามทา้ ยกิจกรรม 3. ให้นักเรียนตอบคำถามสำคัญของบทและอภิปรายรว่ มกัน โดยนักเรียนควรตอบคำถามสำคัญ ดงั กล่าวได้ ดังตัวอยา่ ง

81 ขั้นสรุป ประเมินผล (Evaluation) 1. นักเรียนตรวจสอบตนเองต้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ใต้ทำนบทเรียนนี้ อ่าน สรปุ ทา้ ยบท และทำแบบฝึกหดั ทา้ ยบท 2. รว่ มกนั สรปุ ความรูเ้ กี่ยวกับระบบตา่ ง ๆ ในร่างกายมนุษย์เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้ในหน่วย ตอ่ ไปวา่ ร่างกายของมนุษยม์ ีระบบต่าง ๆ ทท่ี ำงานร่วมกันเพ่ือให้มนุษยส์ ามารถดำรงชวี ติ และทำกิจกรรม ต่าง ๆ ได้ ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นต้องอาศัยการเคลื่อนไหวและการเคลื่อนที่ การเคลื่อนที่คืออะไร และเกี่ยวข้องกบั เรื่องของแรงอยา่ งไร 8. สอ่ื การสอน 1. หนังสอื รายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ เล่ม 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 2. สอ่ื การสอน PowerPoint 9. แหลง่ เรยี นร้ใู นหรือนอกสถานที่ 1. ห้องเรียน 2. แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ

10. การวดั และประเมนิ ผล วธิ วี ัด เคร่อื งมือวดั 82 สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน เกณฑก์ ารประเมนิ ความสามารถในการสอื่ สาร ประเมนิ จาก แบบประเมินคุณลักษณะอัน ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ60ข้ึนไป ความสามารถในการคิด ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ60ข้ึนไป ความสามารถในการแก้ปัญหา พฤติกรรมของผเู้ รียน พงึ ประสงค์ (รายบคุ คล) ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ข้ึนไป เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ประเมินจาก แบบประเมินคุณลักษณะอัน พฤติกรรมของผ้เู รยี น พึงประสงค์ (รายบคุ คล) ประเมินจาก แบบประเมินคุณลักษณะอนั พฤติกรรมของผู้เรียน พงึ ประสงค์ (รายบคุ คล) ระดบั คะแนน 80-100% ดมี าก ระดบั คะแนน 70-79% ดี ระดบั คะแนน 60-69% พอใช้ ระดบั คะแนน 0-59% ปรบั ปรงุ

83 แบบประเมินพฤติกรรมการเรยี นและการมีสว่ นร่วมในชน้ั เรยี น คำชแี้ จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมและการมีสว่ นร่วมในช้ันเรียนของนักเรียนในระหวา่ งเรียนและนอก เวลาเรยี น แลว้ ขดี ลงในชอ่ งว่างทตี่ รงกบั ระดบั คะแนน ลำดบั ท่ี รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1 2 34 1 การแสดงความคดิ เหน็ 2 การยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ของผ้อู ่นื 3 การทำงานตามหนา้ ทที่ ี่ได้รบั มอบหมาย 4 ควรมีน้ำใจ 5 การตรงต่อเวลา ลงชอ่ื …………………………………………….ผู้ประเมิน …………………/……………/……………. เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมอย่างสมำ่ เสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครง้ั ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยหรอื ไม่เคยปฏิบตั ิ ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ 0-5 คะแนน ระดบั คุณภาพ 1 หมายถงึ ปรับปรุง 6-10 คะแนน ระดับคณุ ภาพ 2 หมายถึง พอใช้ 11-15 คะแนน ระดับคณุ ภาพ 3 หมายถงึ ดี 16-16 คะแนน ระดับคณุ ภาพ 4 หมายถงึ ดีมาก

84 แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สง่ิ ท่ตี ้องการวดั / ดมี าก (4) คำอธบิ ายคณุ ภาพ ปรบั ปรุง (1) ประเมินผล ดี (3) พอใช้ (2) 1.เขา้ เรียนตรงตอ่ เขา้ เรียนตรงตอ่ เวลา เข้าเรยี นชา้ 5นาที เขา้ เรียนชา้ 10นาที เขา้ เรยี นชา้ 15นาที เวลา สมำ่ เสมอดีมาก 2. ความสนใจเรียน มคี วามกระตอื รอื รน้ มีความกระตอื รอื รน้ มคี วามกระตอื รอื ร้น ไมม่ คี วาม 3. มรี ะเบยี บวนิ ยั ในการเรยี นถาม- ในการเรยี นแต่ถาม- ในการเรยี นแต่ถาม- กระตอื รือรน้ ในการ ตอบถูกตอ้ งทกุ ครั้ง ตอบถูกตอ้ งบ้าง ตอบไม่ถูกตอ้ งเลย เรียน ถาม-ตอบไม่ ทำงานเปน็ ระเบยี บ บางคร้งั ทำงานเปน็ ระเบยี บ ถูกต้องเลย และถูกตอ้ งหมด ทำงานเปน็ ระเบียบ แต่ไมถ่ กู ต้องบ้าง ทำงานไมเ่ ปน็ และถกู ต้องบ้าง ระเบยี บและไม่ ถกู ตอ้ ง 4. ความรับผดิ ชอบ ทำงานทไ่ี ด้รับ ทำงานทไ่ี ด้รับ ทำงานทีไ่ ดร้ ับ ทำงานทีไ่ ด้รบั มอบหมายดมี ีความ มอบหมายดมี ีความ มอบหมายดีมีความ มอบหมายพอใชม้ ี ถูกต้องตรงเวลา ถกู ตอ้ งเป็นบางคร้งั ความถูกต้องบ้าง ถกู ตอ้ ง เกณฑ์การตัดสินคะแนน ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 13 - 16 ดมี าก 9 - 12 ดี 5-8 พอใช้ 0-4 ปรับปรงุ 11. กิจกรรมเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

85 12. บนั ทึกผลหลังการสอน สรปุ ผลการเรียนการสอน นักเรียนทง้ั หมดจำนวน.....................คน จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ข้อท่ี จำนวนนกั เรียนทผ่ี า่ น จำนวนนกั เรยี นทไ่ี มผ่ า่ น จำนวนคน รอ้ ยละ จำนวนคน ร้อยละ 1 2 3 13. ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแกไ้ ข ............................................................................................................................. ..................................... ............................................................................................. ................................................................. ... 14. ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ ……………………………………………………. () ตำแหน่ง ครู วทิ ยาฐานะ ……………………… ลงชื่อ …………………………………………………….หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ () ลงช่อื …………………………………………………….รองผูอ้ ำนวยการกลุ่มบรหิ ารวชิ าการ ()

86 ความเหน็ ของหัวหน้าสถานศึกษา ได้ทำการตรวจแผนการเรยี นรู้ของ....................................................แลว้ มีความคิดเหน็ ดงั น้ี 7. เป็นแผนการจัดการเรยี นรู้ที่  ดมี าก  ดี  พอใช้  ควรปรับปรุง 8. การจดั กิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรยี นรู้  เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั มาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม  ยังไม่เน้นผู้เรยี นเปน็ สำคัญ ควรปรับปรงุ พฒั นาต่อไป 9. ขอ้ เสนอแนะอืน่ ๆ .................................................................................... .................................................................... ............................................................................................................................. ........................... ............................................................................................................................. ........................... ....................................................................................................... ................................................. ลงช่ือ............................................................................................... ( ………………………………………………… ) ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น…………………………………………………………..

87 แบบฝึกหดั ทา้ ยบท เรอ่ื ง ร่างกายมนุษย์ 1. ใหน้ กั เรยี นเปรยี บเทียบความเหมือนและความแตกตา่ งของเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลลเ์ ม็ดเลือดขาว และ เกล็ดเลอื ด โดยใชแ้ ผนภาพต่อไปน้ี ส่วนทเ่ี หมือนกันใหเ้ ขียนไวใ้ นสว่ นท่ีวงกลมซ้อนทบั กัน สว่ นท่แี ตกด่าง กันให้เขยี นลงในวงกลมในส่วนทีไ่ ม่ทบั ซอ้ น เซลล์เมด็ เลือดแดง เซลลเ์ มด็ เลอื ดขาว เกลด็ เลอื ด ............................................................................................................................. ......................................... .......................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ......................................... ........................................................................................................................................... ........................... ........................................................................................................ .............................................................. ............................................................................................................................. ......................................... ......................................................................................................................................................... ............. 2. หัวใจมนุษยม์ ี 4 ห้อง กล้ามเนือ้ หัวใจห้องลา่ งจะหนากวา่ กล้ามเน้ือหวั ใจห้องบน และกลา้ มเนื้อหัวใจ ห้องลา่ งซ้ายจะหนากวา่ ห้องล่างขวา การที่กลา้ มเนื้อหวั ใจหอ้ งลา่ งซ้ายมผี นังหนากว่าห้องอนื่ ๆ มสี ว่ น ชว่ ยในการทำหน้าท่ีของหวั ใจอยา่ งไร ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... ......................................................................................................................................................................

88 3. จากภาพ ลูกศร A B C และ D หมายถึงอะไร ............................................................................................................................. ......................................... .......................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ......................................... ........................................................................................................................................... ........................... ........................................................................................................ .............................................................. ............................................................................................................................. ......................................... 4. เพราะเหตุใดขณะออกกำลงั กาย อตั ราการหายใจจงึ เพม่ิ ข้ึน ............................................................................................................................. ......................................... ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... 5. การขับถ่ายของเสียมคี วามสำคญั ต่อรา่ งกายอย่างไร ............................................................................................................................. ......................................... .......................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ......................................... ........................................................................................................................................... ........................... ........................................................................................................ .............................................................. ............................................................................................................................. .........................................

89 เฉลยแบบฝึกหดั ท้ายบท เรื่อง ร่างกายมนุษย์ 1. ให้นักเรียนเปรยี บเทียบความเหมอื นและความแตกตา่ งของเซลลเ์ มด็ เลือดแดง เซลล์เม็ดเลอื ดขาว และ เกล็ดเลอื ด โดยใชแ้ ผนภาพต่อไปนี้ ส่วนทีเ่ หมือนกนั ใหเ้ ขยี นไว้ในส่วนทวี่ งกลมซ้อนทบั กัน ส่วนท่แี ตกดา่ ง กนั ให้เขยี นลงในวงกลมในสว่ นทไ่ี ม่ทับซ้อน เซลลเ์ ม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลอื ดขาว เกล็ดเลอื ด แนวคำตอบ เซลล์เมด็ เลอื ดขาว เซลล์เมด็ เลอื ดแดง • มีนวิ เคลียส • ทำลายเชือ้ โรคและสงิ่ • ไมม่ ีนิวเคลยี ส • ลำเลียงแกส๊ ออกซเิ จน แปลกปลอม • ประกอบด้วยเฮโมโกลบิน • สรา้ งแอนตบิ อดี • รูปรา่ งกลม แบน ตรงกลางเว้า • เปน็ ชน้ิ สว่ นของเซลล์ • ช่วยทำให้เลือดแขง็ ตวั เกล็ดเลือด

90 2. หัวใจมนุษยม์ ี 4 หอ้ ง กล้ามเน้ือหัวใจห้องล่างจะหนากว่ากล้ามเนื้อหัวใจห้องบน และกลา้ มเนอ้ื หวั ใจ หอ้ งล่างซา้ ยจะหนากวา่ ห้องล่างขวา การท่ีกลา้ มเนื้อหวั ใจหอ้ งล่างซา้ ยมผี นังหนากว่าห้องอ่ืน ๆ มสี ว่ น ช่วยในการทำหนา้ ทข่ี องหัวใจอยา่ งไร แนวคำตอบ หวั ใจห้องลง่ ขา้ ยมหี น้าท่ีสบู ฉดี เลือดไปยงั สว่ นต่าง ๆ ทวั่ รา่ งกาย จึงต้องมผี นงั กล้ามเน้ือ หวั ใจทหี่ นาและแข็งแรงพอท่ีจะสบู ฉีดเลอื ตไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของร่างกายได้ 3. จากภาพ ลกู ศร A B C และ D หมายถึงอะไร แนวคำตอบ A หมายถึง แกส๊ ออกซิเจน B หมายถงึ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ C หมายถงึ แกส๊ ออกซิเจน D หมายถงึ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ 4. เพราะเหตใุ ดขณะออกกำลังกาย อัตราการหายใจจงึ เพ่มิ ขนึ้ แนวคำตอบ เพราะขณะออกกำลังกาย กล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายจะทำงานมากขึ้น ความ ต้องการแก๊สออกซิเจนของเซลล์กล้ามเนื้อจึงสูงขึ้น ปอดต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อนำเก๊สออกชิเจนไปยัง เซลลแ์ ละนำแก๊สคาร์บอนไตออกไซด์จากเซลล์ออกสูภ่ ายนอก จงึ มผี ลทำให้อตั ราการหายใจเพิ่มขึ้น 5. การขบั ถ่ายของเสียมคี วามสำคญั ต่อร่างกายอยา่ งไร แนวคำตอบ ภายในเซลล์มกี ารสลายสารอาหารทำให้เกดิ ของเสีย เช่น แอมโมเนยี ยูเรีย และกรตยูริก ซง่ึ ของเสียเหลา่ นี้หากสะสมในปรมิ าณมากจะเปน็ พษิ ตอ่ เซลล์ และทำใหเ้ กิดการทำงานของรา่ งกายผดิ ปกติ ไป จงึ ตอ้ งมีการขับถ่ายของเสยี เหล่านอี้ อกไป

91 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 4 เรื่องการเคลือ่ นที่

92 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 4 สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 เร่ือง การเคล่ือนที่และแรง เร่อื ง การเคลือ่ นท่ี เวลา 5 ชว่ั โมง 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชวี้ ดั มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติใน ระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลกนำความรู้ไปใช้ในในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดล้อมในทอ้ งถ่นิ อย่างยง่ั ยนื ว 2.2 ม.2/14 อธิบายและคํานวณอตั ราเรว็ และความเร็วของการเคลอื่ นท่ขี องวตั ถโุ ดยใช้สมการ v = s/t จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ว 2.2 ม.2/15 เขยี นแผนภาพแสดงการกระจดั และความเรว็ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายและคํานวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลื่อนที่ของวัตถุโดยใช้ สมการv = s/t และ v⃑=⃑s/t จากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ได้ (K) 2. นกั เรยี นสามารถอธิบายการเขยี นแผนภาพแสดงการกระจัดและความเร็ว (K) 3. สาระสำคัญ การเคลื่อนท่ีของวัตถุมีปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องหลายปรมิ าณ เช่น ระยะทาง การกระจัด เวลา อัตราเร็วความเร็ว โดยเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ ตำแหน่งของวัตถุจะเปลี่ยนไป การระบุว่าวัตถุอยู่ที่ตำแหน่งใด ตอ้ งมกี ารเทยี บกบั ตำแหน่งอ้างองิ โดยตำแหน่งอา้ งองิ ตอ้ งเป็นตำแหนง่ ท่สี ังเกตได้งา่ ยและอยู่กบั ที่ ในการ เคลื่อนที่จากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง ความยาวตามเส้นทางที่เคลื่อนที่จรงิ เรียกว่า ระยะทาง ส่วนระยะทางที่วัดในแนวตรงจากตำแหน่งเริ่มต้นไปยังตำแหน่งสุดท้าย โดยมีทิศชี้ไปยังตำแหน่งสุดท้าย เรยี กวา่ การกระจดั ซ่ึงการกระจัดเป็นปรมิ าณท่ตี อ้ งระบุทงั้ ขนาด และทศิ ทาง ปรมิ าณทต่ี ้องระบุท้ังขนาด และทศิ ทาง เรียกวา่ ปริมาณเวกเตอร์ เขยี นแทนดว้ ยลูกศร ความยาวของลูกศร แทนขนาด และหัวลูกศร แทนทิศทาง ส่วนปริมาณที่ระบุฉพะขนาดอย่างเดียว เรียกว่า ปริมาณสเกลาร์ การเคลื่อนที่ของวัตถุจะ

93 เคลื่อนที่เร็วหรือช้าพิจารณาจากระยะทางทีไ่ ด้หรอื การกระจัดที่ได้เทยี บกบั เวลาท่ีใช้ในการเคล่ือนที่ โดย ระยะทางที่ใด้ในหนึ่งหนว่ ยเวลา เรียกว่า อัตราเร็ว เป็นปริมาณสเกลาร์ มีหน่วยในระบบ SI เป็นเมตรต่อ วนิ าที ส่วนการกระจัดทีไ่ ด้ในหนึ่งหนว่ ยเวลาหรือการเปลย่ี นตำแหนง่ ในหนึ่งหน่วยเวลา เรยี กว่า ความเร็ว เป็นปริมาณเวกเตอร์ มีหน่วยในระบบ SI เป็นเมตรตอ่ วินาที 4. สาระการเรยี นรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - ตำแหน่ง ระยะทาง และการกระจัด - อตั ราเรว็ และความเร็ว 4.2 ด้านทักษะ (P) - การเคลอื่ นท่ี - การระบปุ ริมาณต่างๆ 4.3 คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 2. ซือ่ สตั ย์สจุ ริต 3. มีวนิ ยั 4. ใฝเ่ รียนรู้ 5. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง 6. มุ่งมนั่ ในการทำงาน 7. รักความเปน็ ไทย 8. มจี ิตสาธารณะ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น (เฉพาะทเี่ กดิ ในหนว่ ยการเรยี นร้นู )้ี  ความสามารถในการสอื่ สาร ความสามารถในการคิด v ความสามารถในการแก้ปัญหา x ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ z ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 6. ช้นิ งานหรือภาระงาน 6.1 แบบฝกึ หดั ท้ายบท เร่อื ง การเคล่ือนท่ี

94 7. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนิค : สบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) ชัว่ โมงท่ี 1-2 ขั้นนำ กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. กระตุ้นความสนใจของนักเรียน เพื่อนำเข้าสู่หน่วยที่ 3 การเคลื่อนที่และแรง โดยให้นักเรียน สงั เกตภาพนำหนว่ ยเกี่ยวกบั การวิง่ แข่งขัน พร้อมทงั้ อา่ นเนื้อหานำหนว่ ยและร่วมกันอภิปราย 2. ให้นักเรียนอ่านคำถามนำหน่วยและองค์ประกอบของหน่วย จากนั้นร่วมกันอภิปรายว่า ใน หน่วยน้ีนักเรยี นจะได้เรยี นร้เู ก่ยี วกบั เรื่องอะไร 3. เช่ือมโยงเขา้ สูบ่ ทท่ี 4 การเคล่ือนที่ โดยให้นกั เรยี นสังเกตภาพนำบท และรว่ มกันอภิปรายโดย อาจใช้คำถามดงั น้ี • ภาพนี้แสดงข้อมูลอะไรบ้าง (ระยะทางและเวลาที่ใช้ในการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว และเครื่องบนิ โดยสารจากสนามบนิ ดอนเมือง กรงุ เทพมหานครไปยังสนามบนิ เขียงใหม)่ • การเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัตเชียงใหม่ เส้นทางใดใช้เวลาน้อยที่สุด เพราะเหตุใด(การเดินทางโดยเครื่องบินโดยสาร เพราะระยะทางน้อยกว่าและเครื่องบิน บินเร็วกวา่ ) 4. ให้นักเรียนอ่านคำถามนำบท จุดประสงค์ของบทเรียน และอภิปรายร่วมกัน เพื่อให้ทราบ ขอบเขตเนื้อหาในบทเรียนรวมทั้งเป้าหมายการเรียนรู้ในบทเรียน (นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีบอก ตำแหน่งของวัตถุ ความหมาย และวิธีการคำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ ได้แก่ ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว รวมท้ังความหมายของปริมาณเวกเตอรแ์ ละปริมาณสเกลาร์) ขัน้ สอน สำรวจและค้นหา (Exploration) 1. ให้นักเรียนสังเกตภาพนำเรื่อง อ่านเนื้อหานำเรื่องและคำสำคัญ จากนั้นทำกิจกรรมทบทวน ความรู้ก่อนเรียนเพื่อประเมินความรู้พื้นฐานของนักเรียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุ แล้ว

95 ร่วมกันอภิปรายเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง หากพบว่านักเรียนยังมีความรู้พื้นฐานไม่ถูกต้อง ครูควร ทบทวนหรือแก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องและเพียง พอทจ่ี ะเรยี นเร่ืองตำแหน่ง ระยะทาง และการกระจดั ต่อไป 2. ตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับตำแหน่ง ระยะทางและการกระจัด โดยทำกิจกรรมรู้ อะไรบ้างก่อนเรียนนักเรียนสามารถเขยี นหรือวาดภาพได้ตามความเข้าใจของตนเอง โดยครูไม่เฉลย คำตอบ ครูควรรวบรวมแนวคิดคลาดเคลื่อนที่พบเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้และ แกไ้ ขแนวคดิ เหลา่ น้นั ให้ถกู ตอ้ ง 3. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับการเก็บทรัพย์สินงินทองของคนในสมัยก่อนที่นำทรัพย์สินใส่ ภาชนะแลว้ นำไปฝังดนิ พรอ้ มทัง้ มีการทำสญั ลักษณห์ รือเขียนลายแทงเพ่อื ระบุตำแหน่งทฝ่ี ังทรัพย์สิน นั้น ๆ จากนั้นร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับวิธีการระบุตำแหน่งของทรัพย์สินนั้นว่าทำได้อย่างไร เพ่ือ นำเข้าสกู่ ิจกรรมการระบตุ ำแหน่งของวตั ถุในห้องเรยี นได้อย่างไร อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการระบุตำแหน่งของสิ่งของต่าง ๆ โดยอ่านเนื้อหาใน หนังสือเรียนหน้า 131-133 ร่วมกันวิเคราะห์และเปรียบเทียบระหว่างการกำหนดตำแหน่งอ้างอิงท่ี เคล่ือนทีไ่ ด้ และตำแหน่งอ้างอิงที่เคลอ่ื นท่ีไม่ได้ รวมทง้ั เปรียบเทยี บวิธีการบอกทศิ ทางจากตำแหนง่ อ้างอิง ระหว่างการบอกทิศทางขวามือข้ายมือและการบอกทิศทางตามทิศภูมิศาสตร์ จากนั้นให้นักเรียนตอบ คำถามระหว่างเรียนและร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการกำหนดตำแหน่งอ้างอิง เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ตำแหน่งอ้างอิงควรเป็นตำแหน่งที่สังเกตง่ายและไม่เคลื่อนที่ ส่วนการกำหนดทิศทางควรกำหนดทิศทาง ตามภูมศิ าสตรจ์ ะมีความแมน่ ยำในการระบุตำแหน่งมากกว่าการกำหนดทศิ ทางขวามือและซ้ายมือ ขัน้ สรุป ประเมนิ ผล (Evaluation) 1. ใหน้ ักเรยี นยกตวั อยา่ งการระบุตำแหน่งวัตถุ โดยกำหนดตำแหนง่ อา้ งอิง ระยะห่างและทิศทาง จากตำแหน่งอ้างอิงเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับการระบุตำแหน่งของวัตถุ และ เชื่อมโยงการบอกตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน โดยการยกตัวอย่างการระบุตำแหน่งวัตถุที่ใช้ใน ชีวิตประจำวัน (การ Share Location ในโปรแกรมแอปพลิเคชันสนทนาต่าง ๆ หรือสื่อสังคมออนไลน์ เพือ่ ใหผ้ ูอ้ นื่ รู้ตำแหนง่ ที่อยู่ของผู้ส่ง การบอกตำแหนง่ โดยใช้ GPSจากนั้นให้นกั เรียนอำนเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ การระบตุ ำแหนง่ โดยใช้ GPS

96 2. ให้นักเรยี นรว่ มกันอภิปรายเก่ยี วกับการระบุตำแหน่งของวัตถุอีกคร้ัง เพ่อื ให้ได้ข้อสรุปว่า การ ระบุตำแหน่งของวัตถหุ นงึ่ ให้เข้าใจตรงกันและแม่นยำ ต้องระบตุ ำแหน่งอ้างอิงซึ่งเป็นตำแหน่งท่ีสังเกตได้ ง่ายและไม่เคลื่อนที่ โดยบอกว่าวัตถุนั้น ๆ ห่างจากตำแหน่งอ้างองิ เปน็ ระยะเท่าใด และอยู่ทางทิศทางใด ตามภมู ิศาสตรข์ องตำแหนง่ อ้างอิง ชัว่ โมงท่ี 3-5 ข้ันนำ กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 1. ให้นักเรียนสังเกตภาพนำเรื่อง อ่านเนื้อหานำเรื่อง และคำสำคัญ และทำกิจกรรมทบทวน ความรู้ก่อนเรียนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่เร็วหรอื ช้าของวัตถุ โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางที่ เคล่ือนที่ไดก้ บั เวลาท่ีใช้ แลว้ รว่ มกนั อภปิ รายเพ่ือให้ได้คำตอบทีถ่ ูกต้อง ถา้ ครูพบว่านกั เรียนยังทำกิจกรรม ทบทวนความรู้ก่อนเรียนไม่ถูกต้อง ครูควรทบทวนและแก้ไขความเขา้ ใจผิดของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมี ความรพู้ ้ืนฐานที่ถกู ตอ้ งและเพยี งพอท่จี ะเรยี นเรอื่ งอตั ราเร็วและความเร็วตอ่ ไป 2. ตรวจสอบความรู้เดิมเกย่ี วกับอัตราเร็วและความเร็วของนักเรยี น โดยอภิปรายเก่ียวกับคำถาม ในกิจกรรม รู้อะไรบ้างก่อนเรียนว่า มาตรวัดของรถยนต์และจักรยานยนต์ใช้บอกปริมาณใตระหว่าง อัตราเร็วหรือความเร็วของรถ ซึ่งนักเรียนสามารถตอบไต้ตามความเข้าใจของตนเอง โดยที่ครูไม่เฉลย คำตอบ ครูควรรวบรวมแนวคิดคลาดเคลื่อนที่พบเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้และแก้ไข แนวคิดเหลา่ น้นั ใหถ้ กู ตอ้ ง ข้ันสอน สำรวจและคน้ หา (Exploration) 1. ให้นักเรยี นอา่ นช่อื กิจกรรม จดุ ประสงค์ และวิธดี ำเนนิ กิจกรรม และตรวจสอบความเข้าใจการ อ่าน โดยใช้คำถามดังต่อไปน้ี • กิจกรรมนี้เก่ียวกับเรอื่ งอะไร (ความแตกตา่ งระหวา่ งอตั ราเรว็ และความเรว็ ) • กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (วิเคราะห์สถานการณ์ อธิบายและคำนวณอัตราเร็วและ ความเรว็ ของวัตถุ และเขียนแผนภาพแสดงขนาดและทิศทางของความเร็ว) • วิธีดำเนินกิจกรรมมีข้ันตอนโดยสรุปอย่างไร (อ่านสถานการณ์เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ตาม แผนภาพ คำนวณอัตราเร็วจากอัตราส่วนระหว่างระยะทางกับเวลาและคำนวณความเร็ว