รฐั โบราณในดนิ แดนไทย 5. แควน หริภุญชยั (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-19) แควนหริภุญชัย ตั้งอยูในที่ราบลุมแมนํ้าปง ตอนบนและที่ราบลุมแมน ํา้ วัง ราชธานี คือ เมือง หริภุญชัยหรือเมืองลําพูน เรื่องราวของแควนนี้ ปรากฏในตํานานทางเหนือ เชน จามเทวีวงศ ตํานานมลู ศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ
รฐั โบราณในดนิ แดนไทย 5. แควน หริภุญชัย (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-19) ชินกาลมาลีปกรณ กลาววา ฤๅษีวาสุเทพเปน ผูสรางเมืองหริภุญชัย แลวสงคนไปเชิญพระนางจาม เทวีจากเมืองละโวมาเปนกษัตริย ดวยเหตุนี้ หมานซู เอกสารจีนโบราณสมัยราชวงศถังซึ่งเขียนใน พ.ศ. 1406 จึงเรียกหริภุญชัยวา หน่ีหวังกก แปลวา แควน ที่มผี ูหญงิ เปน กษัตริย
รฐั โบราณในดนิ แดนไทย พระนางจามเทวีนําวัฒนธรรมทวารวดี จากละโว ไ ป เ ผ ย แ พ ร ท่ี ห ริ ภุ ญ ชั ย ช า ว ห ริ ภุ ญ ชั ย จึ ง นั บ ถื อ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท สถาปตยกรรมทาง พระพุทธศาสนาสมัยหริภุญชัย ไดแก พระเจดียกูกุด และพระธาตุหริภุญชัย แควนหริภุญชัยถูกพระยามังราย ตไี ดเม่อื พ.ศ. 1835
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 1. แควนโยนกเชยี งแสน (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-16) แควน โยนกเชียงแสนอาจเปน รฐั ไทยท่ีเกาแกทีส่ ดุ เรือ่ งราวของแควนน้ีปรากฏในตํานานสิงหนวตั ิ ซ่งึ กลา ววา พระเจา สงิ หนวตั ิสรางเมืองนาคพันธสงิ หนวตั ิ นครบนฝง นา้ํ แมก ก (ใน จ.เชียงรายปจจุบนั ) เมอื่ ประมาณพุทธศตวรรษท่ี 12 การต้ังบานเมืองรมิ แมนาํ้ เพ่ือความสะดวกในการทําการเกษตรและสญั จร
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย ประมาณพุทธศตวรรษท่ี 16 แควนนี้ถูก คุกคามจากอาณาจักรพุกาม ประกอบกับเกิด แผนดินไหวและอุทกภัยครั้งใหญ ทําใหเมืองถลม จมลงกลายเปนหนองนํ้าขนาดใหญ ผูคนลมตาย ไปมาก พระเจาไชยศิริทรงพาผูคนท่ีเหลืออพยพ ไ ป ส ร า ง เ มื อ ง ใ ห ม ที่ เ มื อ ง แ ป บ ( อ ยู ใ น จ . กาํ แพงเพชร) ตั้งชื่อวา เมืองไตรตรึงษ
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 2. แควน หริ ญั นครเงินยาง (ประมาณพทุ ธศตวรรษ ท่ี 16-พ.ศ. 1893) แควนหิรัญนครเงินยาง หรือแควนเงินยาง หรือ แควนเงินยางเชียงแสน เกิดข้ึนเมื่อปูเจาลาวจง หรือปูเจาลาวจก หัวหนากลุมคนบนดอยตุง นํา บริวารมาสรางเมืองเงินยางในบริเวณลุมน้ํากก และตั้งราชวงศลวจงั กราช หรือลวจกั ราชข้ึน
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย ตํานานพื้นเมืองเชียงแสนระบุวา สมัยปูเจาลาวจงอยู ในชวงพุทธศตวรรษที่ 12 แตจากการศึกษาหลักฐานทาง โบราณคดี พบวา ราชวงศลวจังกราช นาจะเริ่มประมาณ พุทธศตวรรษที่ 16 ประชาชนสวนใหญมีอาชีพทํานา กษัตริยขยายอํานาจโดยการสงพระราชโอรสไปสรางเมือง ใหม และใหอภิเษกสมรสกบั พระราชธิดาของรฐั อื่น เปนการ สรางความสัมพันธทางเครือญาติ
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 3. แควนพะเยา (พ.ศ. 1640-1881) แควนพะเยาอยใู นลมุ นํ้าแมอิง มเี มืองพะเยาเปน ราชธานี ผูส รา งเมืองพะเยา คือ ขนุ จอมธรรม เชื้อสายของปเู จา ลาวจง ขนุ จอมธรรม ไดพาบรวิ ารไปถงึ เชงิ ดอยดวนใกลล ุมนํ้า แมอ งิ เหน็ วามีชัยภมู เิ หมาะสมจึงสรางเมืองพะเยาขนึ้ และ เสวยราชยเปน กษตั ริยพระองคท รงยดึ มั่นศรทั ธาในพระพทุ ธ ศาสนา ใชห ลักทศพิธราชธรรมในการปกครอง บา นเมืองจึง เจรญิ รงุ เรืองดว ยความสันตสิ ุข
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 4. อาณาจกั รลา นนา (พ.ศ. 1839 - 2442) พระยามังรายกษัตริยองคท่ี 25 แหงแควนหิรัญ นครเงินยาง ไดสรางเมืองนพบุรีศรีนครพิงคเชียงใหม เปน ราชธานขี องอาณาจักรลานนาใน พ.ศ. 1839 และ ทรงสถาปนาราชวงศมังรายข้ึนและผนวกแควนหิรัญ นครเงนิ ยางเขาเปนสว นหนึง่ ของลา นนา
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย บรเิ วณทีส่ นั นษิ ฐานว่าเป็ นทีต่ ง้ั ของแควน้ น้ี
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย พระยามังรายเปนสหายรวม สํานักเรียนและเปนมิตรรวมสาบาน กับพอขุนรามคําแหงมหาราชและ พ ร ะ ย า งํา เ มื อ ง ค ว า ม สั ม พั น ธ ระหวางรัฐนี้ชวยใหคนไทยรอดพน จากการรุกรานของจีนสมัยราชวงศ หยวนหรือมองโกล พระบรมราชานุสาวรยี ส์ ามกษตั รยิ ์ จ.เชยี งใหม่
กษัตริยร าชวงศมังราย อาณาจักรลา นนามีกษัตรยิ ราชวงศม ังรายปกครองตอ มาอีก 19 องค กอนตกเปน ประเทศราชของพมา ใน พ.ศ. 2101 ทรรงพระราชกรณยี กจิ ที่ สาํ คญั หลายพระองค แตจ ะกลา วถึงเพียง 2 องค คือพระ เจากือนา กษตั รยิ อ งคท ี่ 6 (พ.ศ. 1898–1928) มพี ระราช กรณยี กจิ ท่สี าํ คญั คือ รับเอาพระพทุ ธศาสนาแบบลงั กาวงศ จากอาณาจักรสโุ ขทัยเขา มา และทรงสรางพระเจดียบรรจุ พระบรมสารรี กิ ธาตุบนดอยสเุ ทพพระเจาติโลกราช กษัตรยิ องคท ่ี 9 (พ.ศ. 1984–2030)
ความเจรญิ รงุ เรืองสมัยราชวงศมงั ราย (พ.ศ. 1839–2101) 1. เศรษฐกิจ เชยี งใหมเปน ศนู ยก ลางการคา ระหวา งเมืองทอ่ี ยูเหนือเชยี งใหมขนึ้ ไปกับเมืองทาง ใตแ ละตะวันตก 2. กฎหมาย มงั รายศาสตร มเี นื้อหาหลายเรื่อง เชน โทษของการหนีศึก การสรางไรนา เปนตน
3. ศาสนา มีการสงั คายนาพระไตรปก ฎทว่ี ัดมหา โพธาราม (วดั เจด็ ยอด) สมยั ของพระเจาตโิ ลกราช นบั เปน การสงั คายนาครั้งท่ี 8 ของโลก และครง้ั แรก ของเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต 4. ศิลปกรรม ระยะแรกมพี ื้นฐานจากศลิ ปะ หริภุญชยั ผสมกับศลิ ปะพมาหรือพกุ าม ตอ มารับ อิทธิพลจากสุโขทยั ทง้ั พระพทุ ธศาสนาแบบลังกา วงศแ ละศลิ ปะมาพรอมกัน
1) พระพุทธรูป รุน แรกสรา งกอ นตั้งเชียงใหม พบท่ี เมืองเชยี งแสน มีลักษณะเดน คือ พระวรกายอวบอวน พระพกั ตรค อนขา งแปน หลงั จากรบั อทิ ธพิ ลสุโขทยั แลว มีลักษณะเดน คือ พระวรกายลดความอวบอว น ลง พระพกั ตรรปู ไข
2) เจดีย มี 3 แบบ คือ (1) แบบทรงปราสาทยอด เชน เจดยี ห ลวงท่วี ดั เจดยี หลวงโชตกิ าราม จังหวัดเชียงใหม ศิลปะหรภิ ุญชัย และอาจไดรบั อิทธพิ ลศิลปะพกุ ามดวย
2) แบบทรงระฆัง หรือทรงกลมแบบลงั กา เชน พระบรมธาตหุ รภิ ุญชยั จงั หวัดลําพนู เจดยี แ บบนี้เปน เอกลักษณข องศลิ ปะลานนา เดมิ สรางเปนมณฑป มา สรางเปนทรงเจดยี ร ะฆังครอบสมัยลานนา
(3) แบบเบด็ เตลด็ มลี ักษณะตางจาก 2 แบบทกี่ ลา ว มาแลว เชน วิหารเจ็ดยอด วดั มหาโพธาราม (วดั เจ็ด ยอด) ยอดตรงกลางเปน รปู ศิขร ซ่งึ จาํ ลองมาจากยอด มหาวิหารพทุ ธคยาในอนิ เดยี
5. ตัวอักษร เปนภูมปิ ญญาทีส่ าํ คญั ทีส่ ดุ อยา ง หน่งึ ของลานนา พระยามงั รายทรงประดิษฐอ ักษรท่ี เรยี กวา อกั ษรธรรม โดยดดั แปลงมาจากตวั อักษร มอญ 6. วรรณกรรม สว นใหญ พระภิกษุเปนผแู ตง เรือ่ งทสี่ าํ คญั ไดแก ชินกาลมาลปี กรณ จามเทวีวงศ สิหิงคนทิ าน และตาํ นานมลู ศาสนา
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 5. อาณาจกั รสโุ ขทยั (พ.ศ. 1792-2006) 5.1 การสถาปนาราชวงศพ์ ระร่วง พ่อขุนศรีนาวนําถุมปกครอง เมืองสุโขทัยศรีสชั นาลยั เมื่อ สวรรคตขอมสบาดโขลญลาํ พง ซงึ่ เป็ นเขมรไดย้ ดึ ครองสโุ ขทยั ไว้ เจา้ ขุนผาเมืองเจา้ เมืองราด พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพ่อขุนศรี นาวนาํ ถุม และเป็ นพระราชบุตรเขยของกษตั รยิ เ์ ขมร ไดร้ ่วมมือกบั พ่อขุน บางกลางหาว โจมตีขอม สบาดโขลญลาํ พงจนยดึ เมืองกลบั มาได้ พ่อขุนผา เมืองทรงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวข้ึนครองกรุงสโุ ขทยั ทรงพระนามว่า พอ่ ขุนศรอี นิ ทราทิตย์ นบั เป็ นตน้ ราชวงศพ์ ระร่วง
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย อาณาจกั รสโุ ขทยั มีฐานะเป็ นผูน้ าํ ของกล่มุ คนไทยอยู่ระยะหนงึ่ มีปัจจยั สง่ เสรมิ ดงั น้ี ทาํ เลที่ตงั้ 1. ปัจจยั ภายใน ไดแ้ ก่ ความสามคั คขี องคนไทย ความสามารถของผูน้ าํ
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 2. ปัจจยั ภายนอกไดแ้ ก่ การเสอ่ื มอาํ นาจของเขมร การสรา้ งความสมั พนั ธ์กบั จนี
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 5.2 การเมืองสมยั สโุ ขทยั ประวตั ศิ าสตรอ์ าณาจกั รสโุ ขทยั ตลอดสมยั แบ่งเป็ น 2 ระยะ ระยะแรก ประมาณ พ.ศ. 1792-1921 เป็ นสมยั ท่ีสโุ ขทยั มีฐานะเป็ นอาณาจกั รอสิ ระ ระยะท่ี 2 นบั จากหลงั พ.ศ. 1921-2006 เป็ นสมยั ที่ สโุ ขทยั ตกเป็ นประเทศราชของอาณาจกั รอยุธยา โดยมีช่วงเวลา สน้ั ๆ ที่สามารถแยกตวั เป็ นอสิ ระได้
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย การแผ่ขยายอาณาเขต 1. สมยั พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราช ครงั้ สาํ คญั 2 สมยั มีอาณาเขตครอบคลุมภาคตะวนั ตกของลุ่มน้ํา เจา้ พระยาถึงเมืองนครศรีธรรมราช และคาบสมุทร มลายู ทางตะวนั ตกถึงเมืองหงสาวดี เมาะตะมะ และ ตะนาวศรี ทางตะวนั ออกเฉยี งเหนือถึงฝั่งซา้ ยแม่นา้ํ โขง ในเขตเมืองเวียงจนั ทนแ์ ละหลวงพระบาง 2. สมยั พระมหาธรรมราชาท่ี 1 (ลไิ ทย) มีอาณาเขตครอบคลุมจากแม่นํ้าปิ งไปทางทิศ ตะวนั ออกถึงแม่นาํ้ น่านและแม่นา้ํ ป่ าสกั และจากเมือง หลวงพระบาง น่าน แพร่ ลงไปทางใตถ้ งึ เมืองพระบาง (นครสวรรค)์
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 5.3 เศรษฐกจิ สมยั สโุ ขทยั 1. การเกษตร อาณาจกั รสุโขทยั มีพ้ืนฐานหลกั ทางเศรษฐกจิ อยูท่ ี่การเกษตร แต่มีปัญหาเรื่องนาํ้ ตอ้ งใชร้ ะบบชลประทานเขา้ มาช่วย เศรษฐกจิ 2. การคา้ แบ่งเป็ นการคา้ ระหว่างเมืองกบั การคา้ สมยั สโุ ขทยั ต่างประเทศ มีการเปิ ดการคา้ เสรีโดยสโุ ขทยั เป็ น ศนู ยก์ ลางการคา้ ภายในภูมิภาค 3. หตั ถกรรม ท่ีสําคญั คือ การทําเครื่องสงั คโลก ซึ่ง สรา้ งชื่อเสียงและทํารายได้ให้แก่สุโขทัย เตาเผา ท่ีเรียกว่า เตาทุเรียง มี 3 แหล่งคือ เตาทุเรียงสุโขทยั เตาทุเรยี งป่ ายาง และเตาทุเรยี งเกาะนอ้ ย
5.4รัฐสังไทคมยสในมัยดสินุโแขดทัยนไทย สงั คมสมยั สุโขทัยมรี ากฐานมาจาก สงั คมเผาหรอื สงั คมบา น แลวคลี่คลายมาสู สังคมเมอื ง และสงั คมระดบั อาณาจกั ร นับ ถอื พระพทุ ธศาสนา ประชากรมจี าํ นวนไม มาก และอาศัยอยใู นพืน้ ทไี่ มกวา งขวางนกั ตดิ ตอกันไดสะดวก ผปู กครองจึงดแู ล ประชาชน ไดอยางใกลช ิด
รัฐไทยในดินแดนไทย สังคมสมัยสุโขทัยยังไมมีความซับซอน ช น ช้ั น ป ร ะ ก อ บ ด ว ย พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย เจานาย ขุนนาง เปนชนชั้นปกครอง ไพร และทาส เปนชนชั้นใ ตปกครอง แล ะ พระสงฆเปนชนชั้นที่เปนท่ีเคารพของชนช้ัน อืน่ ๆ
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 5.5 การส้นิ สดุ อาณาจกั รสโุ ขทยั หลงั จากพระมหาธรรมราชาท่ี 4 (บรมปาล) เสดจ็ สวรรคตใน พ.ศ. 1981 กไ็ ม่ไดต้ งั้ ผูใ้ ดเป็ น พระมหาธรรมราชาอกี จนถงึ พ.ศ. 2006 สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถเสด็จไปประทบั ท่ีเมืองพิษณุโลก ถอื ว่าอาณาจกั รสโุ ขทยั ถูกรวมเขา้ กบั อยุธยาตงั้ แต่นนั้
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย สาเหตคุ วามเสอ่ื มของอาณาจกั รสโุ ขทยั มีดงั น้ี 1. ปัจจยั ภายใน การแก่งแย่งอาํ นาจของผูน้ าํ ความไม่เขม้ แขง็ ของผูน้ าํ การถูกตดั เสน้ ทางการคา้
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 2. ปัจจยั ภายนอก การขยายอาํ นาจข้นึ ไปทางเหนอื โดยการใชก้ าํ ลงั ทหาร การแทรกแซง กจิ การภายใน และการสรา้ งความ สมั พนั ธ์ทางเครอื ญาติ ทาํ ใหอ้ าณา จกั รสโุ ขทยั อ่อนแอลงเรอ่ื ย ๆ จน ส้นิ สดุ ลง
6. แควนสุพรรณภมู ิ พทุ ธศตวรรษที่ 18–พ.ศ. 1893 สพุ รรณภมู เิ ปนแควนขนาดใหญท่มี คี วามเจรญิ รงุ เรือง มี ศนู ยกลางอยทู ี่เมืองสุพรรณภมู ิ มเี มืองตาง ๆ ที่อยแู ถบ แมน ํา้ ทา จีน แมกลอง เพชรบุรี และแมน ้ํานอยอยูใต อาํ นาจ แควนสพุ รรณภมู เิ คยเปนเมืองขนึ้ ของสโุ ขทยั ใน สมัยพอขนุ รามคาํ แหงมหาราช มวี ัฒนธรรมและการ ปกครองคลา ยกบั ละโว นบั ถือทงั้ พระพุทธศาสนานกิ าย เถรวาทและมหายาน ในพ.ศ.1893 พระเจา อทู องรวม แควน ละโวก บั แควนสพุ รรณภูมิ ต้ังเปนอาณาจกั ร อยธุ ยา
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 7. อาณาจกั รอยุธยา (พ.ศ. 1893-2310) 7.1 การสถาปนาอาณาจกั รอยุธยา พระเจา้ อู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็ นราชธานีใน พ.ศ. 1893 แลว้ ข้นึ เสวยราชยเ์ ป็ นปฐมกษตั ริยร์ าชวงศอ์ ่ทู อง ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี 1 กรุงศรีอยุธยาเป็ นราชธานีที่มีความเจริญรุ่งเรือง มน่ั คง มงั่ คงั่ และมีความยงิ่ ใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออก เฉยี งใตน้ านถงึ 417 ปี
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย มีปัจจยั สนบั สนุนดงั น้ี 1. มีชยั ภมู ิมนั่ คง คอื มีแม่นา้ํ ลอ้ มรอบ 3 ดา้ น ป้ องกนั ขา้ ศกึ ไดด้ ี 1. ปัจจยั ภายใน 2. มีดนิ และนาํ้ อดุ มสมบรู ณ์ ทาํ การ เกษตรไดผ้ ลดี ปลาชกุ ชมุ 3. ตงั้ อยูบ่ รเิ วณที่ราบภาคกลาง มีลาํ นาํ้ หลายสายไหลผ่าน จงึ ควบคมุ เสน้ ทาง คมนาคมและเสน้ ทางการคา้ ได้
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 2. ปัจจยั ภายนอก ในช่วงเวลานน้ั เขมรหมดอทิ ธิพล ที่เคยมีในดนิ แดนไทย จนกระทงั่ ไม่สามารถตา้ นทานกองทพั ไทย ที่เขา้ ไปตเี ขมรในสมยั สมเด็จพระ รามาธิบดที ี่ 1 ได้
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย 7.2 การเมืองสมยั อยุธยา การเมืองสมยั อยุธยาตอนตน้ มีการปล่อยใหเ้ มือง ลกู หลวง ซง่ึ มีพระบรมวงศานุวงศเ์ ป็ นเจา้ เมืองมีอสิ ระในการ ปกครองตนเอง จงึ เป็ นช่องทางใหเ้ กิดการสะสมกําลงั คน และสรา้ งไมตรีกบั เมืองอื่นเพ่ือแข็งขอ้ เป็ นอิสระจากเมือง หลวง หรือไม่ก็ยกกําลงั มาช่วงชิงราชสมบตั ิเมื่อส้ินสมยั กษตั รยิ อ์ งคก์ ่อน
รฐั ไทยในดนิ แดนไทย ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีการ ควบคุมอํานาจและลดบทบาท ทางการเมือง ของพระบรมวงศานุวงศ แตกลุมขุนนางกลับ ไดร ับการเสริมสรา งใหม คี วามเขม แขง็ มัน่ คง เพื่อ ถวงดุลอํานาจกับพระบรมวงศานุวงศ จึงมี บทบาททางการเมืองสูงมาก จนสามารถชิง อํานาจจากพระมหากษตั รยิ ไดในเวลาตอ มา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302