Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อการสอนสุขศึกษา หน้าที่ของระบบต่างๆ ในร่างกาย

สื่อการสอนสุขศึกษา หน้าที่ของระบบต่างๆ ในร่างกาย

Description: kittirat norkhud 633263005

Search

Read the Text Version

• ระบบไหลเวียนโลหิต • ระบบยอ่ ยอาหาร • ระบบต่อมไรท้ ่อ • ระบบผวิ หนัง • ระบบกลา้ มเนอื้ • ระบบประสาท • ระบบสบื พันธ์ุ • ระบบหายใจ • ระบบโครงร่าง • ระบบภมู คิ ้มุ กัน • ระบบนา้ เหลอื ง • ระบบขับถ่าย ทมี่ า:https://www.bodin.ac.th/home/wpcontent/uploads/2013/08/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0 %B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%8 7%E0%B9%86%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B 8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C.pdf



• ระบบไหลเวยี นโลหิต (Circulatory system) ทม่ี า:https://www.health2click.com/2018/05/08/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A% • มีหน้าท่ีในการเคลื่อนย้าย เลือด สารอาหาร ออกซิเจน E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5% E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%95/ คาร์บอนไดออกไซด์และฮอร์โมนไปทั่วร่างกาย โดยมีอวัยวะ ประกอบด้วย หัวใจ เลือด หลอดเลือดแดง หลอดเลือดด้า หลอดเลือดฝอย โดยเลือดด้า หรือเลือดที่มีออกซิเจนต้่าจาก ทั้งส่วนบนและส่วนล่างของร่างกาย จะไหลเข้าสู่หัวใจทาง ห้องบนขวา หลังจากนั้นจะบีบตัวส่งเลือดสู่หัวใจห้องล่างขวา เพื่อบบี ตวั ส่งเลือดไปยงั ปอด โดยเลอื ดด้าจะผ่านเข้าไปในเส้น เลือดฝอยรอบ ๆ ถุงลมปอด แล้วส่งผ่านคาร์บอนไดออกไซด์ ให้กับถุงลมปอด พร้อมรับออกซิเจนเข้ามาแทน เป็นผลให้ เลือดด้ากลายเป็นเลือดแดง หรือเลือดที่มีออกซิเจนสูง หลังจากนั้นจะไหลออกจากปอด กลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย ต่อมายังหัวใจห้องล่างซ้าย เพื่อบีบเลือดไปเล้ียงส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย

• หัวใจ (Heart, Cardio) มีหน้าท่ีสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยอยู่บริเวณส่วนกลางของช่องอก ขนาบข้างด้วยปอด และมีหลอดเลือดแดงใหญ่และหลอดอาหารวางอยู่ด้านหลัง ในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ หัวใจ จะมีน้าหนักประมาณ 250 –350 กรัม และมีขนาดประมาณสามในสี่ของก้าป้ัน หัวใจมีระบบหลอดเลือดหัวใจ (coronary system) ซึง่ ไปเล้ียงกล้ามเนือ้ หวั ใจโดยตรง • หัวใจมี 4 ห้อง แบ่งออกเป็น 2 ห้องบนและ 2 ห้องล่าง หัวใจทางด้านขวา เร่ิมจากหัวใจห้องบนขวา (Right atrium) รับเลือดมาจากร่างกายส่วนบนและล่าง มีล้ินหัวใจ ไตรคัสปิด (Tricuspid valve) คั่นกับหัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) ซ่ึงจะอยู่ทางด้านหน้าสุดของหัวใจ ติดกับกะบังลม ท้าหน้าท่ีส่งเลือดไปยังปอด ผ่านล้ินหัวใจ พัล โมนารีเซมิลูนาร์ (pulmonary semilunar valve) และหลอดเลือดแดง พัลโมนารี (pulmonary arteries) ส้าหรับ หัวใจทางด้านซ้าย เร่ิมจากหัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium) รับเลือดจากปอดผ่านทางหลอดเลือดด้า พัลโมนารี (pulmonary veins) มีลิ้นหัวใจ ไมตรัล (Mitral valve) ค่ันกับหัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) ซึ่งเป็นห้องหัวใจ ท่ีมขี นาดใหญแ่ ละมผี นังหนาทีส่ ดุ ท้าหน้าท่ีสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ผ่านทางล้ินหัวใจ เอออร์ติก เซมิลนู าร์ (Aortic semilunar valve) และหลอดเลือดแดงใหญ่ เอออรต์ า (Aorta) • กล้ามเน้ือหัวใจมีคุณสมบัติที่น่าสนใจคือ สามารถกระตุ้นการท้างานได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยระบบน้าไฟฟ้า (conduction system) ภายในผนังของหวั ใจ

• การท้างานของระบบไหลเวยี นโลหิต • เลือดด้าหรือเลือดท่ีมีออกซิเจนต้่าจากส่วนบนของร่างกาย จะไหลเข้าสู่หัวใจทางห้องบนขวา (Right atrium) หลังจากน้ันจะมีการบีบตัวส่งเลือดผ่านลิ้นหัวใจ (Tricuspid valve) ลงสู่หัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) และบีบตัวส่งเลือดผ่านลิ้นหัวใจ (Pulmonary valve) เข้าสู่หลอดเลือดแดงปอด (Pulmonary arteries) เพื่อ ส่งเลือดไปยังปอด ที่ปอด เลือดด้าจะผ่านเข้าไปในเส้นเลือดฝอยรอบ ๆ ถุงลมปอด (Alveoli) แล้วส่งผ่าน คาร์บอนไดออกไซด์ให้กับถุงลมปอด พร้อมรับออกซิเจนเข้ามาแทน เป็นผลให้เลือดด้ากลายเป็นเลือดแดง หรือเลอื ดที่มีออกซิเจนสูง หลงั จากน้ันจะไหลออกจากปอด ผ่านหลอดเลอื ดด้าปอด (Pulmonary veins) กลับ เข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium) ซึ่งมีขนาดเล็กและอยู่หน้าสุด ไหลต่อผ่านล้ินหัวใจ (Mitral valve) ลง มายังหัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) เพื่อบีบเลือดผ่านล้ินหัวใจ (Aortic valve) และหลอดเลือดแดง ขนาดใหญ่ เอออร์ต้า (Aorta) ไปเลีย้ งส่วนต่างๆ ของร่างกาย



• ระบบยอ่ ยอาหาร (Digestive system) ทมี่ า:https://www.health2click.com/2018/06/06/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A% • เป็นกลุ่มอวัยวะที่เช่ือมต่อเข้าด้วยกัน มีหน้าที่ในการแปร E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2% E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-digestive-system/ สภาพอาหารท่ีบริโภคซึ่งมีโมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น ข้าว แป้ง น้าตาล ซ่ึงร่างกายดูดซึมไม่ได้ ให้กลายเป็นสารอาหารท่ีมี โมเลกุลขนาดเล็ก ร่างกายดูดซึมได้ เช่น กรดอะมิโน น้าตาล โมเลกุลเด่ียว กลีเซอรอล และกรดไขมัน นอกจากน้ีแล้วยังมี หน้าท่ีในการก้าจัดของเสียอีกด้วย ส้าหรับกระบวนการแปล สภาพอาหารจากโมเลกุลใหญ่ให้กลายเป็นสารอาหารท่ี ร่างกายดูดซมึ ได้ หรือการย่อยอาหารนั้น ต้องอาศัยการย่อย เชิงกล และการย่อยในทางทางเคมีของน้าย่อย จากอวัยวะที่ อยู่ในระบบ ประกอบด้วยปากหลอดอาหาร กระเพาะ อาหาร ล้าไส้เล็ก ล้าไส้ใหญ่ ทวารหนัก โดยมีตับสร้างน้าดี ช่วยการท้างานของน้ายอ่ ยไขมัน และตับอ่อนสร้างน้ายอ่ ยส่ง ให้กบั ลา้ ไส้เล็ก

• ระบบยอ่ ยอาหารประกอบดว้ ยอวัยวะหลัก ๆ ดังน้ี • ปาก (Mouth) ในช่องปากประกอบดว้ ย 3 อวัยวะหลกั คือ • ฟนั (Teeth) ท้าหน้าที่บดเค้ยี วอาหารทีร่ ับประทานให้เล็กลง โดยมนุษย์จะมีฟนั 2 ชุด ชุดแรก คอื ฟนั น้านม มี 20 ซ่ี สว่ นชุดที่ 2 คือ ฟนั แท้มี 32 ซ่ี แบ่งเป็นฟันบนข้างละ 8 ซ่ี ฟนั ลา่ งข้างละ 8 ซี่ แตล่ ะขา้ งแบ่งเปน็ ฟนั ตัด 2 ซ่ี ฟันเขยี้ ว 1 ซี่ ฟนั หนา้ กราม 2 ซี่ และฟนั กราม 3 ซ่ี เรยี งตามล้าดับจากหน้าไปหลงั • นา้ ลาย (Saliva) ถูกผลิตจากต่อมน้าลาย (Salivary gland) โดยน้าลายน้นั จะมีเอนไซม์อะไมเลส (Amylase) หรอื ไทยาลีน (Ptyalin) ชว่ ยย่อยคารโ์ บไฮเดรตหรือแปง้ ใหม้ ีขนาด เลก็ นอกจากนี้นา้ ลายยงั ชว่ ยใหอ้ าหารออ่ นตัว เพือ่ กลนื อาหารไดง้ ่ายขึ้น • ลิ้น (Tongue) ทา้ หน้าทร่ี ับรสอาหาร เกลยี่ อาหารเพือ่ ให้ฟันบด คลุกเคล้าอาหารเพอ่ื สะดวกในการกลนื ประกอบด้วยกล้ามเนอื้ โครงร่างขนาดใหญ่ ทพี่ ืน้ ผวิ ปกคลมุ ไปดว้ ยปมุ่ รับรส (Taste bud) ซงึ่ สามารถรับรสไดแ้ ตกตา่ งกนั ตามต้าแหน่งของล้ิน • คอหอย (Pharynx) อยู่หน้ากระดกู สันหลงั ส่วนคอ เปน็ ทางผ่านของอาหารจากปากไปยงั หลอดอาหาร โดยระหวา่ งการกลืน ขณะท่อี าหารผา่ นคอหอย หลอดลมจะปดิ เพ่ือไม่ให้ อาหารไหลเข้าไป บริเวณนไ้ี มม่ ีการย่อยเกดิ ขึน้ • หลอดอาหาร (Esophagus) มที ัง้ สว่ นทเี่ ป็นกลา้ มเนอ้ื ลายและสว่ นทีเ่ ปน็ กล้ามเน้ือเรียบ ทา้ หนา้ ที่รับอาหารจากคอหอยและสง่ ตอ่ ไปยังกระเพาะอาหาร โดยการบีบรดั กล้ามเน้อื หลอดอาหารในลกั ษณะของการหดและคลายกล้ามเนือ้ เป็นจังหวะ ๆ เรียกการบบี ตัวแบบเพอรสิ ตัลซิส (Peristalsis) • กระเพาะอาหาร (Stomach) อยูร่ ะหว่างปลายของหลอดอาหารกับสว่ นตน้ ของล้าไสเ้ ลก็ มีลักษณะคล้ายถงุ มผี นงั กล้ามเนื้อเป็นลูกคล่ืน มีความแข็งแรง เป็นทรี่ องรับ คลุกเคล้า อาหาร และหลงั่ นา้ ย่อยประเภทโปรตนี ซ่ึงจะท้าใหอ้ าหารกลายเป็นของเหลวเหนยี ว ๆ แล้วสง่ ตอ่ ไปยังล้าไสเ้ ล็ก บริเวณท่เี ช่ือมตอ่ กับหลอดอาหารจะมีหรู ดู ปอ้ งกันน้าย่อยใน กระเพาะอาหารไหลข้ึนหลอดอาหาร ขณะท่ีบรเิ วณเชอ่ื มต่อกบั ลา้ ไส้เลก็ จะมีหรู ดู เพื่อป้องกันไม่ใหอ้ าหารไหลเข้าส่ลู า้ ไสเ้ ลก็ เรว็ เกินไป • ลา้ ไสเ้ ลก็ (Small intestine) มลี กั ษณะคล้ายท่อกลวงขดไปมาในช่องท้อง แบ่งออกเปน็ 3 สว่ น ลา้ ไส้เลก็ สว่ นตน้ ทีเ่ รยี กว่าดโู อดีนัม (Duodenum) ส่วนกลางทเ่ี รยี กวา่ เจจนู ัม (Jejunum) และส่วนปลายท่ีเรียกว่าไอเลยี ม (Illeum) เปน็ บริเวณท่ีมกี ารยอ่ ยและดดู ซมึ สารอาหารมากท่ีสุด บรเิ วณลา้ ไสเ้ ล็กจะมเี อนไซมจ์ ากตบั อ่อน (Pancreas) มาช่วยยอ่ ย สารอาหารประเภทโปรตนี ไขมนั และคารโ์ บไฮเดรต รวมถงึ นา้ ดีจากตับ (Liver) ทชี่ ่วยยอ่ ยไขมนั และกา้ จัดของเสียในเลอื ด • ลา้ ไส้ใหญ่ (Large intestine) ประกอบดว้ ย 3 ส่วน เร่มิ จากสว่ นทเี่ รียกวา่ ซคี ัม (Caecum) ซง่ึ มีสว่ นของไส้ต่งิ (Appendix) ยน่ื ออกมา ส่วนโคลอน (Colon) เปน็ ล้าไส้ใหญส่ ว่ น ที่ยาวท่สี ดุ มหี น้าทดี่ ูดซมึ นา้ และวติ ามนิ บางชนดิ รวมถงึ การขับกากอาหารให้เขา้ สู่ล้าไสใ้ หญส่ ว่ นทเ่ี รียกว่าไสต้ รง (Rectum) เพือ่ รอขบั ถ่ายผ่านทางทวารหนกั (Anus) ตอ่ ไป

• การท้างานของระบบย่อยอาหาร • การย่อยอาหารมี 2 ขั้นตอน • การยอ่ ยเชิงกล (Mechanical digestion) เป็นกระบวนการท้าให้อาหารมีขนาดเล็กลง เพื่อสะดวกต่อการเคล่อื นท่ีและ การเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยการบดเค้ียว รวมท้ังการบีบตัวของทางเดินอาหาร ท้ังนี้ในการยอ่ ยเชิงกล โมเลกุลของอาหาร ยังไม่เลก็ มากพอที่รา่ งกายจะดดู ซมึ ไปใชป้ ระโยชน์ได้ • การยอ่ ยทางเคมี (Chemical digestion) เป็นการยอ่ ยโมเลกุลของอาหาร ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ให้มี ขนาดเล็กมากพอที่ร่างกายจะดูดซมึ เอาไปใช้ได้ โดยการยอ่ ยในขั้นตอนนี้ จะเกิดปฏิกิริยาเคมีระหว่างโมเลกุลของอาหาร กบั นา้ โดยมีเอนไซม์หรือนา้ ยอ่ ยเข้าเรง่ ปฏิกิริยา ส่วนเกลอื แร่ และวติ ามินจะดดู ซึมเข้าสรู่ ่างกายไดโ้ ดยตรง



• ระบบตอ่ มไรท้ อ่ (Endocrine system) • ประกอบดว้ ยกลุม่ เซลล์ท่สี ร้างและหลง่ั สารเคมที ่ีเรียกว่า ฮอรโ์ มน (hormone) แล้วสง่ ออกนอกตัวเซลล์ ผา่ นทาง กระแสเลือดหรือน้าเหลอื งไปควบคุมเซลล์ที่อวัยวะเปา้ หมาย เช่น ควบคุมการเผาผลาญอาหาร ควบคมุ การเจรญิ เติบโต ควบคุมระบบสบื พันธ์ุ ปรมิ าณน้าและเกลอื แร่ในร่างกาย เป็นตน้ ประกอบไปดว้ ย 8 ตอ่ มใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) ต่อม ไทรอยด์ (Thyroid gland) ตอ่ มพาราไทรอยด์ (Parathyroid gland) ตบั อ่อน (Pancrease) ตอ่ มหมวกไต (Adrenal gland) ตอ่ มเพศ (Gonad) และตอ่ มเหนือสมอง (Pineal gland) ทม่ี า:https://www.health2click.com/2018/06/06/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A% E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2% E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-digestive-system/

• อวัยวะทเี่ กี่ยวขอ้ งระบบต่อมไรท้ อ่ (Endocrine system) • ตอ่ มพาราไทรอยด์ (Parathyroid gland) เปน็ ต่อมขนาดเล็กอยู่ติดกบั ดา้ นหลังของตอ่ มไทรอยด์ ตอ่ มนส้ี ร้างฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathyroid hormone-PTH) หรอื พาราทอร์โมน เพอ่ื ทา้ หน้าท่คี วบคุมสมดุลของแคลเซียมและฟอสฟอรสั ในร่างกาย ตอ่ มหมวกไต (Adrenal gland) เปน็ ตอ่ มท่ตี ้งั อยดู่ า้ นบนของไต (Kidney) ตอ่ มน้สี ร้างฮอร์โมนสา้ คัญ ๆ หลายชนดิ เช่น ฮอร์โมนอะดรนี าลิน (Adrenalin) ชว่ ยใหร้ า่ งกายมคี วามพรอ้ มเมือ่ อยใู่ นภาวะเครียด ตกใจกลัว ฮอร์โมนคอร์ตซิ อล (Cortisol) ช่วยเพม่ิ ระดับน้าตาลในเลือด ตับอ่อน (Pancreas) จะเป็นกลมุ่ เซลลท์ ส่ี รา้ งฮอรโ์ มนอนิ ซูลนิ (Insulin) และฮอรโ์ มนกลคู ากอน (Glucagon) มีบทบาทในการควบคุมระดับนา้ ตาลใน เลอื ด ตอ่ มใตส้ มอง (Pituitary gland) เป็นตอ่ มทีอ่ ยตู่ ดิ กับส่วนล่างของสมองสว่ นไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) หลงั่ ฮอรโ์ มนท่ีสา้ คัญ ๆ ของรา่ งกาย เชน่ โกรทฮอรโ์ มน (Growth hormone) ควบคุมการเจรญิ เติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะกระดูกและกลา้ มเนอ้ื ฮอรโ์ มนโกนา โดโทรฟิน (Gonadotrophin) กระตุ้นให้มกี ารสรา้ งเซลล์สบื พนั ธคุ์ วบคมุ ลกั ษณะทางเพศ รวมถึงฮอร์โมนที่กระตนุ้ ให้เซลลเ์ มด็ สีสร้างเม็ดสี เพมิ่ มากขนึ้ ตอ่ มไทรอยด์ (Thyroid) ตอ่ มนี้หลั่งไทรอยด์ฮอร์โมน ชว่ ยในการเจรญิ เตบิ โตของกระดกู สมองและระบบประสาท รวมถึงการ ควบคุมอัตราเมตาบอลิซึม (Metabolism) ภายในร่างกายต่อมไพเนยี ล (Pineal ) ซง่ึ เปน็ ระบบทีช่ ว่ ยให้สิ่งมชี ีวติ สามารถปรับตัวใหส้ อดคล้อง กบั สภาพแวดลอ้ มท่ีเปลี่ยนไปในรอบวนั ได้ ตอ่ มไทมัส (Thymus) กระตุ้นให้มกี ารสร้าง T-lymphocyte ในระบบภมู คิ มุ้ กันของร่างกาย ต่อม เพศ (Gonad) ในเพศชายคอื อณั ฑะ (Testis) เปน็ ทง้ั ตอ่ มมที อ่ และตอ่ มไรท้ ่อ โดยผลิตอสุจิ (Sperm) ส่งออกทางท่อ และหลัง่ ฮอรโ์ มน เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ท้าหน้าทคี่ วบคมุ การเจรญิ เตบิ โตของอวยั วะสบื พันธ์ุ และลกั ษณะตา่ งๆของความเปน็ ชาย ในเพศหญิงรัง ไข่ (Ovary) จะผลิตไข่ (Ovum) ใหพ้ ร้อมและตกจากรังไขส่ ลบั ข้างกนั ทกุ เดือน พรอ้ มทั้งหล่งั ฮอรโ์ มนเอสโตรเจน (Estrogen) ซงึ่ จะ เก่ยี วข้องกบั การเจรญิ เติบโตของอวัยวะสืบพนั ธ์ุ และลักษณะต่าง ๆ ของความเป็นเพศหญงิ รวมถงึ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) จะท้าหนา้ ทร่ี ะงับไม่ใหไ้ ข่สุกระหวา่ งต้งั ครรภเ์ พ่ือปอ้ งกันไม่ใหม้ ปี ระจ้าเดอื นระหว่างตั้งครรภ์

• หน้าทรี่ ะบบต่อมไร้ทอ่ (Endocrine system) • เป็นระบบสื่อสารภายในร่างกายผ่านฮอร์โมน (Hormone)โดยท้าหน้าท่ีควบคุมเช่ือมโยง ติดต่อประสานและท้างาน ร่วมกับระบบอ่ืน ๆ ของร่างกาย โดยการท้างานจะอยู่ในลักษณะช้า ๆ และส่งผลในระยะยาว เช่น การเจริญเติบโตของ รา่ งกาย การพัฒนาของระบบสบื พนั ธ์ การมีประจ้าเดือน การเผาผลาญ การควบคมุ ปรมิ าณน้าและเกลอื แร่ เปน็ ต้น • ต่อม (Gland)ในร่างกายมนุษยส์ ามารถแบ่งตามการส่งสารเคมีท่ีหล่ังออกมา ได้เป็นต่อมไร้ท่อ (Endocrine gland) หรือ ต่อมไม่มีท่อ ต่อมประเภทนี้จะมีการหล่ังสารที่เรียกว่า ฮอร์โมน (Hormone)เข้าสู่กระแสเลือดหรือน้าเหลือง เพ่ือไป ควบคุมหรือดัดแปลงสมรรถภาพของเซลล์ที่อวัยวะเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ ตับอ่อน รังไข่ และอัณฑะ ส้าหรับต่อมมีท่อ (Exocrine gland) จะมีการหล่ังสารท่ีต่อมสร้าง ผ่านทางท่อของต่อมส่งไปยังอวัยวะ เปา้ หมาย ตัวอย่างเช่น ต่อมน้าลาย ตอ่ มนา้ ตา ต่อมนา้ นม ตอ่ มเหงอ่ื • โดยมีบางต่อม เป็นทั้งต่อมไร้ท่อและต่อมมีท่อ เช่น ตับอ่อน หล่ังน้าย่อยผ่านท่อเข้าสู่ล้าไส้เล็ก ขณะเดียวกันมีการหล่ัง ฮอรโ์ มนควบคมุ ระดบั นา้ ตาลเข้าสู่กระแสเลอื ด หรอื อณั ฑะสรา้ งตวั อสุจิส่งออกทางทอ่ ขณะเดียวกันยงั มีการหลง่ั ฮอร์โมน เพศเข้าสู่กระแสเลือด



• ระบบผวิ หนัง (Integumentary system) • ช่วยปกป้องร่างกายจากโลกภายนอก และป้องกันขั้นแรกต่อ แบคทีเรีย ไวรัส และเช้ือโรคอ่ืน ๆ นอกจากน้ียังช่วยควบคุม อุณหภูมิของร่างกายและก้าจัดของเสียผ่านเหง่ือ มีลักษณะ เป็นเน้ือเย่ือห่อหุ้มร่างกาย จึงเป็นอวัยวะท่ีใหญ่ท่ีสุดมีเนื้อท่ี ประมาณ 3,000 ตารางนิ้ว มีความหนาระหว่าง 1 –4 มิลลิเมตร แตกต่างกันไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยผิวหนังส่วนที่หนาที่สุด คือ บริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ส่วน ที่บางท่ีสุด คือ บริเวณหนังตาและหนังหู ภายในผิวหนังน้ันมี ปลายประสาทรับความรู้สึก เพ่ือรับรู้การสัมผัส ความ เจ็บปวด อุณหภูมิร้อนและเย็น นอกจากน้ียังมีรูเล็ก ๆ ท่ี เรียกว่า รูขุมขน เป็นรูเปิดของขุมขน ท่อต่อมไขมันและต่อม เหงอ่ื ผวิ หนัง ทม่ี า:https://www.health2click.com/2018/06/20/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E 0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E 0%B8%87-integumentary-system/

• โครงสรา้ งของผิวหนัง • ผิวหนงั แบ่งตามโครงสรา้ งออกได้เปน็ 3 ช้ันคอื ชั้นหนงั ก้าพรา้ ชั้นหนงั แท้ และช้ันเนือ้ เยอ่ื ใตผ้ ิวหนงั • ผิวหนังช้นั หนังกา้ พรา้ (Epidermis) เป็นผวิ หนงั ทีอ่ ยู่ชั้นบนสดุ คลุมอยบู่ นหนงั แท้ มคี วามหนาตง้ั แต่ 0.05 ถงึ 5 มลิ ลิเมตร บริเวณทีบ่ างสดุ คอื รอบดวงตา บริเวณทหี่ นาสดุ คอื ฝ่าเท้า หนงั ก้าพรา้ ประกอบดว้ ยเซลล์เรียงซอ้ นกันเปน็ ช้ันบาง ๆ อกี 5 ช้ันยอ่ ย โดยเซลลช์ ัน้ ในจะเลื่อนตวั ดันเซลลช์ ั้นบนหรอื ช้นั นอกสุด ให้หลุดเป็นขไ้ี คลออกไป ผวิ หนงั ชั้น น้ีไมม่ หี ลอดเลือด เส้นประสาทรวมถึงตอ่ มตา่ ง ๆ หากผวิ หนังชัน้ น้ไี ดร้ ับอันตราย เราจะไม่รู้สกึ แตอ่ ย่างใด ทงั้ นห้ี นงั ก้าพร้าจะเปน็ ทางผ่านของรูเหง่ือ เส้นขนและไขมนั ชัน้ นจ้ี ะมเี ซลลเ์ มด็ สี (Melanin) โดยมีปริมาณมากน้อยแตกตา่ งกนั ในแต่ละคน • ผิวหนังชนั้ หนงั แท้ (Dermis) เปน็ ผิวหนงั ท่ีอยู่ชน้ั ล่างถดั จากชนั้ หนังก้าพร้า มี 2 ชัน้ ย่อย ผวิ หนังชนั้ นป้ี ระกอบด้วย เนอื้ เย่ือคอลลาเจน (Collagen) อีลาสตนิ (Elastin) และตวั ประสานเน้ือเย่อื ไฮยารรู อน (Hyaluronic acid) ทา้ ให้ ผิวหนังมคี วามแขง็ แรง และมีความยืดหยุ่นโดยมีหลอดเลอื ดฝอย ปลายประสาทรบั ความรสู้ ึก ระบบประสาทอัตโนมัติ ควบคุมการท้างานของตอ่ มไขมัน ตอ่ มเหงอ่ื และรากขน/ผม กระจายอยู่ท่ัวไปในช้ันหนังแท้ • ผวิ หนงั ชัน้ ใต้ผิวหนัง (Subcutis) อย่ใู นสุดของช้นั ผิวหนัง ประกอบด้วยไขมัน คอลลาเจน หลอดเลือดที่มาหล่อเลีย้ ง ความหนาของชั้นใต้ผวิ หนังจะแตกต่างกันไปตามอวัยวะ และเพศ ผวิ หนังชัน้ นีช้ ่วยในการรบั แรงกระแทก เป็นฉนวน กันอุณหภมู ิที่เปลย่ี นแปลง และยึดเหนี่ยวระบบผวิ หนงั ไว้กับรา่ งกาย

• หนา้ ทขี่ องผิวหนัง 1. ป้องกันและปกปิดอวยั วะภายในไม่ใหไ้ ดร้ บั อันตราย 2. ปอ้ งกันเชอื้ โรคไมใ่ หเ้ ขา้ สู่ร่างกายไดโ้ ดยตรง 3. ปอ้ งกนั ไม่ใหน้ า้ ภายนอกซึมเข้าไปในรา่ งกาย และนา้ ในรา่ งกายระเหยออกไป 4. ขับเหง่ือซึ่งเปน็ ของเสียออกจากรา่ งกาย ทางต่อมเหงือ่ 5. ช่วยรกั ษาอุณหภมู ขิ องร่างกายให้คงท่ี ผา่ นทางหลอดเลอื ดฝอยและการระเหยของเหงอื่ 6. รบั ความร้สู กึ สมั ผัส เช่น ร้อน หนาว เจบ็ เปน็ ต้น 7. ชว่ งสรา้ งวิตามนิ ดีใหแ้ กร่ ่างกาย โดยแสงแดดจะเปล่ียนไขมันทผ่ี ิวหนังให้เปน็ วิตามนิ ดไี ด้



• ระบบกลา้ มเนอื้ (Muscular system) • ร่างกายประกอบด้วยกล้ามเน้ือประมาณ 650 มัด ช่วยในการ เคล่ือนไหว การไหลเวียนโลหิต และการท้างานอื่น ๆ ของร่างกาย โดยมีกล้ามเน้ืออยู่ 3 แบบ คือ 1) กล้ามเน้ือลาย (Skeleton muscle)เป็นกล้ามเน้ือท่ีเช่ือมต่อกับกระดูก ท้างานภายใต้อ้านาจ จิตใจ มีรูปร่างและขนาดที่หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายสามารถ เคล่ือนไหวได้ตามต้องการ ปกติกล้ามเน้ือประเภทนี้ท้ังมัดจะ ประกอบด้วยกล้ามเนื้อมัดย่อยๆ และแต่ละมัดย่อยประกอบด้วยใย กล้ามเน้ือ ซึ่งแต่ละใยยังประกอบไปด้วยใยฝอย ท้าให้กล้ามเน้ือมี ความยืดหยุ่น แข็งแรงและทนทาน 2) กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth muscle) ท้างานอยู่นอกเหนืออ้านาจจิตใจ พบในอวัยวะภายในของ ร่างกาย มหี น้าทชี่ ่วยในการเคล่ือนย้ายสารผ่านอวัยวะต่างๆ โดยมี ลักษณะทางกายวิภาคศาสตร์และทางสรีรวิทยาแตกต่างกัน และ 3) กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac muscle) ท้างานอยู่นอกเหนืออ้านาจ จิตใจ มหี นา้ ที่ชว่ ยในการสบู ฉีดเลือดไปเล้ยี งร่างกาย ทม่ี า:https://www.health2click.com/2018/06/13/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E 0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0 %B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-muscular-system/

• ชนิดของกล้ามเนือ้ • กลา้ มเน้ือในร่างกาย สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ชนดิ ดงั น้ี 1. กล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อโครงร่าง (Skeleton muscle) เป็นกล้ามเนื้อท่ีท้างานอยู่ภายใต้อ้านาจจิตใจ (Voluntary muscle) ควบคุมโดยระบบประสาทส่วนกลาง เป็นกล้ามเนื้อท่ีมีมากท่ีสุดในร่างกาย กล้ามเน้ือลายจะเกาะอยู่กับกระดูก และมีบทบาท ส้าคัญตอ่ การเคลอ่ื นไหวของรา่ งกาย โดยเซลลข์ องกล้ามเน้ือลายจะมีลกั ษณะเป็นทรงกระบอก มีหลายนิวเคลียส และมีลายตาม ขวาง เรียกเสน้ ใยกล้ามเน้อื (Muscle fiber) และหลายๆเส้นใยกลา้ มเนอื้ รวมกันเป็นมดั กล้ามเนอื้ หลายๆมดั กลา้ มเนอื้ ขนาดเล็ก รวมกันเป็นมัดกล้ามเน้ือขนาดใหญ่ แต่ละเซลล์ของกล้ามเน้ือลายจะมีปลายประสาทมาเล้ียง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหดตัว เมื่อ ต้องการใช้งาน 2. กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่ท้างานนอกอ้านาจจิตใจ (Non-voluntary muscle) พบท่ีอวัยวะภายในของ ร่างกาย เช่น หลอดอาหาร หลอดเลือด ล้าไส้ เซลล์มีนิวเคลียสเดียว และไม่มีลายตามขวาง ท่ีเยื่อหุ้มเซลล์จะมีบริเวณที่ ถ่ายทอดกระแสประสาทไปยังเซลลข์ ้างเคยี ง การหดตวั ของกลา้ มเนื้อประเภทน้ีจะถูกควบคมุ โดยระบบประสาทอัตโนมัติ ดังนั้น กล้ามเนอ้ื ประเภทนจี้ ึงไมม่ ีปลายประสาทไปเลย้ี งทุกเซลล์ ยกเว้นบางอวยั วะภายใน 3. กล้ามเน้ือหัวใจ (Cardiac muscle) เป็นกล้ามเนื้อท่ีท้างานนอกอ้านาจจิตใจ (Non-voluntary muscle) ถูกควบคุมโดยระบบ ประสาทอตั โนมตั ิ เซลล์กล้ามเนื้อหวั ใจจะมลี กั ษณะเปน็ ลายพาดขวาง และมหี ลายนวิ เคลยี สเชน่ เดียวกับกล้ามเน้อื ลาย

• การทา้ งานของกล้ามเนื้อ • กล้ามเน้ือโครงร่างจะมีปลาย 2 ข้างยึดเกาะกับกระดูก ข้างที่เกาะกับกระดูกส่วนใกล้ล้าตัวเรียก จุดเกาะ ต้น ส่วนท่ีอยู่ปลายอีกด้านเรียก จุดเกาะปลาย โดยส่วนท่ีเกาะกับกระดูก จะมีลักษณะเป็นเอ็นสีขาวเรียก เอ็นกล้ามเนื้อ (Tendon)ทั้งน้ีการท้างานของกล้ามเน้ือจะประสานในทิศทางตรงกันข้ามเป็นคู่ ๆ (Antagonism) ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสมองส่ังให้เรางอแขน กล้ามเนื้อไบเซพ (Biceps muscle) จะหดตัว และกล้ามเน้ือไตรเซฟ (Triceps muscle) จะคลายตัว กรณีที่เราเหยียดแขน กล้ามเน้ือไบเซฟจะคลายตวั และกล้ามเนื้อไตรเซฟจะเปลี่ยนมาหดตัว เป็นต้น ปกติแล้วกล้ามเน้ือสามารถหดตัวได้ราว 1 ใน 3 ของ ความยาวปกติ ย่ิงมีการหดตัวมาก กลา้ มเน้อื ก็ย่ิงแขง็ และหนาข้ึน



• ระบบประสาท (Nervous system) ทม่ี า:https://www.health2click.com/2018/07/05/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E • เปน็ ระบบทคี่ วบคุมการท้าหนา้ ทข่ี องทกุ ระบบในร่างกาย ให้ท้างาน 0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97- nervous-system/ ประสานกนั อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ท้าให้ร่างกายปรบั ตวั เข้ากบั ส่ิงแวดลอ้ มและดา้ เนินชีวติ ไดอ้ ย่างปกติ นอกจากนี้ยังมีบทบาทใน การจัดการ ความคดิ ความรู้สึก สติปญั ญา ความฉลาดไหวพรบิ การตัดสนิ ใจ การใช้เหตผุ ลและการแสดงอารมณ์ สามารถแบ่งได้ เปน็ ระบบประสาทส่วนกลาง (Central nervous system – CNS) ประกอบดว้ ยสมองและไขสันหลงั และระบบประสาทสว่ นปลาย (Peripheral nervous system – PNS) ประกอบด้วยเสน้ ประสาท และนวิ รอนที่ไม่ไดอ้ ยใู่ นระบบประสาทกลาง ระบบประสาทส่วน ปลายยงั สามารถแบ่งออกเป็นระบบประสาททอี่ ยใู่ นอา้ นาจจิตใจ (Voluntary nervous system) และระบบประสาททอ่ี ยู่นอกอ้านาจ จิตใจ (Involuntary) หรือระบบประสาทอัตโนมตั ิ (Autonomic nervous system) ซงึ่ แบ่งย่อยเปน็ ระบบประสาทซมิ พาเธติก (Sympathetic nervous System) และระบบประสาทพาราซิม พาเธติก (parasympathetic nervous system)

• โดยโครงสรา้ งหน่วยย่อยทส่ี ้าคัญของระบบประสาท คือ • เซลล์ประสาท (Neuron หรอื Nerve cell) ประกอบด้วยสว่ นสา้ คญั 2 สว่ น คือ ตัวเซลล์ (Cell body) และส่วนท่ยี นื่ ออกนอกตัวเซลล์ คือ เดน ไดรต์ (Dendrite) ทา้ หน้าทีร่ บั กระแสประสาทเขา้ สู่เซลล์ มีหลายแขนง และแอกซอน (Axon) ทา้ หน้าท่สี ง่ กระแสประสาทออกจากเซลล์ มี ความยาวมากกว่าเดนไดรตแ์ ละมแี ขนงเดยี ว และมแี ผน่ ไมอีลนิ (Myelin sheath) หุ้มอยเู่ ปน็ ปล้อง ๆ ทา้ ให้การสง่ กระแสประสาทมีความเร็ว มากข้นึ • สารสื่อประสาท (Neurotransmitter) การสง่ กระแสประสาทในระบบประสาทนน้ั บางจดุ ท่ีไมม่ ีการเชื่อมต่อกันโดยตรง เช่น ระหว่างเซลล์ ประสาทด้วยกันเอง หรอื ปลายเส้นประสาทกบั กล้ามเน้อื ตรงจุดเชอ่ื มตอ่ นี้ ต้องอาศัยสารสอื่ ประสาทซ่ึงเปน็ สารเคมีที่สรา้ งจากปลายเซลล์ ประสาทหรือตัวเซลล์ประสาท และหลง่ั ออกจากปลายประสาท เพอ่ื เปน็ ตวั น้าสัญญาณประสาท (Neurotransmission) ผา่ นรอยตอ่ ระหว่างเซลล์ ประสาท ทีเ่ รียกว่า ไซแนปส์ (Synapse) หรอื ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเซลล์ประสาทกบั เซลล์กล้ามเนอ้ื เพื่อใหว้ งจรการทา้ งานของระบบประสาทเกิด ความสมบรู ณ์ และเกดิ การทา้ งานข้ึนได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ • ทัง้ นส้ี ารเคมที พ่ี บวา่ เปน็ สารสื่อประสาท แบง่ ออกเป็น 1) สารส่ือประสาทกล่มุ โคลิเนอร์จิค (Cholinergic) 2) สารส่ือประสาทกลุม่ อะดรเี นอร์จคิ 3) สารส่ือประสาทกลมุ่ ซโี รโตนนี (Serotonin) 4) สารสอ่ื ประสาททเ่ี ป็นกรดอะมิโน (Amino group) 5) สารสื่อประสาทนวิ โรเปปไตด์ (Neuropeptide) 6) ฮสี ตามีน (Histamine) • เสน้ ประสาท (Nerve) คือ มดั ของแอกซอนหลาย ๆ อนั ทีย่ ื่นยาวออกจากตัวเซลล์ประสาท รวมกนั อย่ภู ายในเยอื่ หมุ้ เส้นประสาท โดยมที ้ัง เส้นประสาทนา้ เข้า (Afferent nerve) หรอื เสน้ ประสาทรับความรูส้ ึก ทีจ่ ะนา้ ความรสู้ ึกจากอวยั วะต่าง ๆ เข้าสู่ระบบประสาทสว่ นกลาง และ เส้นประสาทนา้ ออก (Efferent nerve) หรอื เสน้ ประสาทสัง่ การ ท่ีจะนา้ คา้ สั่งจากระบบประสาทส่วนกลางไปยังอวัยวะทัว่ รา่ งกาย ท้งั นแ้ี อกซอน ของเสน้ ประสาทน้าเขา้ และแอกซอนของเส้นประสาทนา้ ออก อาจรวมอยใู่ นเสน้ ประสาทเดยี วกนั ได้ เรยี ก เสน้ ประสาทระคน (Mixed nerve)

• การท้างานของระบบประสาท • ระบบประสาทส่วนกลาง อันประกอบด้วยสมองและไขสนั หลัง และระบบประสาทส่วนปลาย อันประกอบดว้ ยเสน้ ประสาทสมองและเสน้ ประสาท ไขสันหลงั ท้งั 2 ระบบจะท้างานรว่ มกนั โดยเม่อื มีสง่ิ เร้ามากระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย กระแสประสาทน้าความรสู้ ึกจะถกู ส่งจากปลาย ประสาทท่อี วัยวะนั้นๆ ซึง่ อยใู่ นระบบประสาทสว่ นปลาย เข้าสู่เสน้ ประสาทต่างๆ และเข้าสู่ไขสนั หลงั ซึง่ อยู่ในระบบประสาทส่วนกลาง เชื่อมตอ่ เข้ากบั สมองเพอ่ื ทา้ การประมวลผล เกดิ อารมณ์ การเรียนรู้ และการจดจา้ หลังจากนน้ั สมองจะสง่ กระแสประสาททีเ่ ป็นการสง่ั การ ส่วนหน่งึ ผา่ นสเู่ สน้ ประสาทสมองกลบั ไปยงั อวัยวะเป้าหมาย อกี สว่ นผ่านเข้าสไู่ ขสนั หลัง กลบั ไปยังเส้นประสาทไขสันหลัง ไปถงึ ปลายประสาทในอวัยวะ เปา้ หมาย สง่ ผลใหอ้ วยั วะต่างๆ ของร่างกายท้างานได้ตามคา้ สงั่ ของสมอง • ทงั้ น้ีการสัง่ การจากสมอง หรือระบบประสาทสง่ั การ (Motor nerves) จะมีทัง้ แบบทรี่ า่ งกายสามารถควบคุมได้ โดยมีผลไปยังกลา้ มเนอ้ื โครง ร่าง (Skeleton muscle) เช่น การขยบั กลา้ มเนือ้ แขน ขา ทา้ ให้มกี ารเดนิ วิง่ น่งั รวมถงึ ปฏกิ ริ ยิ าตอบกลับทเ่ี ปน็ Reflex บางอยา่ ง รวมเรียก ระบบประสาทกาย (Somatic nervous system) และแบบทรี่ ่างกายไม่สามารถควบคุมได้ อยนู่ อกการควบคมุ ของจติ ใจ โดยมีผลกับกลา้ มเนื้อ เรยี บ (Smooth muscle) กล้ามเนอื้ หัวใจ (Cardiac muscle) และตอ่ มต่าง ๆ เชน่ การบบี ตวั ของอวัยวะภายใน หัวใจ ทางเดนิ อาหาร ปอด หลอดเลอื ด การหล่งั ฮอรโ์ มน เรียก ระบบประสาทอตั โนมตั ิ (Automatic nervous system) • ท้งั นี้การท้างานของระบบประสาทอตั โนมัติ จะเปน็ การทา้ งานร่วมกนั ของ 2 ระบบย่อย คอื ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic nervous system) เน้นการเพิม่ การใช้พลังงาน ทา้ ให้รา่ งกายต่นื ตัว มีอัตราเมตาบอลิซึมสงู ขนึ้ กบั ระบบประสาทพาราซมิ พาเทตกิ (Parasympathetic nervous system) เน้นการเพิม่ การท้างานของอวัยวะ เพื่อใหไ้ ดพ้ ลงั งานและเกบ็ พลงั งานไว้ใช้



• ระบบสบื พันธุ์ (Reproductive system) • ช่วยให้มนุษย์สามารถด้ารงเผ่าพันธุ์อยู่ได้ โดยต่อมใต้สมองซ่ึงอยู่ ภายใต้การควบคุมของสมองส่วนไฮโพทาลามัส จะหล่ังฮอร์โมน กระตุ้นต่อมเพศให้ผลิตฮอร์โมนเพศ ท้าให้ร่างกายเปลี่ยนแปลง ไปสู่ความเป็นหนุ่มสาวพร้อมที่จะสืบพันธ์ุ โดยระบบสืบพันธุ์เพศ ชายประกอบด้วย อวัยวะเพศชายและอัณฑะ ซึ่งผลิตตัวอสุจิ (Sperm)และฮอร์โมนเพศ ท่ีส้าคัญคือฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ส่วนระบบสืบพันธ์ุเพศหญิง ภายในประกอบด้วย ช่องคลอด มดลูก ท่อน้าไข่และรังไขซ่ ึง่ ผลติ ไข่ (Ovum)และฮอร์โมน เพศ หลัก ๆ คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) โดยในการร่วม เพศ เพศชายจะหลั่งน้าอสุจิเข้าไปในช่องคลอดของเพศหญิง อสุจิ จะเคล่ือนที่ผ่านช่องคลอดและปากมดลูกเข้าไปในมดลูกหรือท่อน้า ไข่เพ่ือปฏิสนธิกับไข่ หลังการปฏิสนธิและฝังตัวจะเกิดการต้ังครรภ์ ของทารก ทม่ี า:https://www.health2click.com/2018/07/23/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E 0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E 0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C-reproductive-system/

• การระบบสืบพนั ุธ์เพศชาย • อวัยวะทีเ่ ก่ยี วข้อง • สามารถแยกออกเปน็ 3 กลมุ่ ตามหน้าที่ 1. อวัยวะท่ีเก่ียวข้องกับการสร้างและเก็บอสุจิ ประกอบด้วย อัณฑะ (Testis)เป็นต่อมรูปไข่มี 2 ข้าง ภายในมีหลอดสร้างตัวอสุจิ (Seminiferous Tubule) ท้าหนา้ ทส่ี ร้างตัวอสุจิ (Sperm) ซึง่ เป็นเซลล์สบื พนั ธ์ุเพศชาย ภายหลงั การสร้างและพฒั นา อสุจจิ ะถูกสง่ เขา้ สูห่ ลอดเก็บตวั อสจุ ิ (Epididymis)ภายนอกอณั ฑะ โดยอัณฑะจะถูกหอ่ หมุ้ อยู่ในถงุ หุ้มอัณฑะ (Scrotum)เพ่อื ช่วยควบคมุ อุณหภูมิ ให้พอเหมาะในการสร้างตัวอสุจิ โดยจะต้่ากว่าอุณหภูมิปกติของร่างกายประมาณ 3-5 องศาเซลเซียสนอกจากน้ีอัณฑะยังสร้าง ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหลัก ที่ช่วยกระตุ้นให้แสดงลักษณะต่าง ๆ ของเพศชาย เช่น มี กล้ามเนอื้ ใหญ่ กล้ามเนือ้ กระดกู โครงร่างใหญ่ มีหนวดเครา มขี นดก เปน็ ต้น 2. ระบบสบื พันธ์ุ (Reproductive system) ของมนุษย์ เพศชายจะเริม่ สร้างตัวอสุจิต้ังแตอ่ ายุประมาณ 12 –13 ปี โดยในการหล่ังน้า อสุจิแต่ละคร้ัง จะมีตัวอสุจิเฉล่ียประมาณ 350 –500 ล้านตัว โดยปริมาณน้าอสุจิและตัวอสุจิแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยมี ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องเช่น อายุ ความแข็งแรง เช้ือชาติ อ่ืน ๆ น้าอสุจิจะถูกขับออกจากร่างกายตรงปลายสุดขององคชาต โดยตัวอสุจิ เมือ่ ออกสภู่ ายนอกจะมีชวี ติ อยไู่ ด้ 2 –3 ชวั่ โมง ในขณะทอี่ ยู่ในมดลูกของเพศหญงิ ไดน้ าน 24 – 48 ชัว่ โมง

• การระบบสบื พันุธ์เพศชาย • อวยั วะทีเ่ ก่ียวขอ้ ง • สามารถแยกออกเปน็ 3 กลมุ่ ตามหนา้ ที่ 2. อวัยวะที่เก่ียวข้องกับการสร้างของเหลวในการหล่ังอสุจิ และท่อน้าอสุจิ ได้แก่ ต่อมสร้างน้าเล้ียงอสุจิ (Seminal vesicles) ท้า หน้าท่ีสร้างอาหารเพื่อใช้เล้ียงตัวอสุจิ รวมถึงการสร้างของเหลวมาผสมกับตัวอสุจิเพ่ือให้เกิดสภาพที่เหมาะสมกับตัวอสุจิ ต่อม ลูกหมาก (Prostate Gland) ท้าหน้าที่หลั่งสารท่ีมีฤทธ์ิเป็นเบสอ่อนๆ เพื่อปรับสมดุลกรด-เบสในท่อปัสสาวะ ท้าให้เกิดสภาพท่ี เหมาะสมกบั ตัวอสจุ ิ ตอ่ มคาวเปอร์ (Cowper Gland) อยู่ใต้ต่อมลกู หมาก ท้าหน้าทหี่ ลง่ั สารไปหลอ่ ลื่นท่อปสั สาวะในขณะท่ีเกิดการ กระตุ้นทางเพศนอกจากน้ียังมหี ลอดนา้ อสุจิ (Vas deferens) อยู่ตอ่ จากหลอดเกบ็ ตวั อสจุ ิ ทา้ หน้าที่ล้าเลียงตัวอสุจิไปเก็บไว้ท่ีต่อม สรา้ งน้าเลย้ี งอสุจิ 3. อวัยวะทใี่ ช้ในการรว่ มเพศ จะเป็นอวยั วะเพศชายที่อยภู่ ายนอก คือ องคชาต (Penis)ท้าหนา้ ทเี่ ปน็ ทางผ่านของปัสสาวะและน้าอสุจิ มีลักษณะเป็นท่อนยาว ประกอบไปด้วยส่วนของกล้ามเน้ือคล้ายฟองน้า (Corpus cavernosum) และส่วนของท่อปัสสาวะ โดย กล้ามเนื้อคล้ายฟองน้าท้าหน้าท่ีในการกักเก็บเลือด ท้าให้เกิดการแข็งตัวขององคชาต จนสามารถสอดใส่เข้าไปภายในช่องคลอด ของเพศหญิงได้ สว่ นปลายขององคชาตจะบานออกเป็นรูปดอกเหด็ โดยมเี ส้นประสาท และเส้นเลอื ดเป็นจา้ นวนมาก

• ระบบสืบพนั ุธ์เพศหญงิ • อวัยวะทีเ่ ก่ยี วข้อง • อวัยวะในระบบสืบพันธ์ุเพศหญิง ส่วนใหญ่อยู่ภายในร่างกายบริเวณอุ้งเชิงกราน โดยส่วนที่อยู่ภายในประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ รังไข่ (Ovary) ท้าหน้าท่ีสร้างเซลล์ไข่ (Ovum) ซ่ึงเป็นเซลล์สืบพันธ์เพศหญิงและผลิตฮอร์โมนเพศหญิง คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) มดลูก (Uterus) เช่อื มกบั รงั ไขต่ อ่ จากท่อนา้ ไข่ มหี น้าที่รองรบั การฝงั ตวั ของไข่ ที่ไดร้ บั การปฏสิ นธิ และการเจรญิ เตบิ โตของทารกในครรภ์ มดลูกส่วนท่ีต่อกับช่องคลอดจะมีส่วนท่ีเรียกว่า ปากมดลูก ช่องคลอด (Vagina) เป็นอวัยวะที่เช่ือมต่อกับมดลูก มีหน้าที่เป็นช่องทางให้อวัยวะเพศชายสอดใส่และรองรับอสุจิท่ีหล่ังขณะมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการเปน็ ชอ่ งทางคลอดออกสโู่ ลกของทารก • ส้าหรับอวัยวะเพศหญิงท่ีอยู่ภายนอก ประกอบด้วยแคมใหญ่ แคมเล็กและปุ่มคริสตอริส (Clitoris) ซ่ึงปุ่มน้ีจะมีเส้นประสาทอยู่ เปน็ จ้านวนมาก • ท้ังน้ีระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ในเพศหญิง จะมีการหลั่งเมือกจากต่อมบาร์โธลีน (Bartholin’s glands) ท้าหน้าท่ีช่วยในการหล่อ ลืน่ และปรับลดความเป็นกรดในชอ่ งคลอด

• การท้างาน • ระบบสืบพันธ์ุ (Reproductive system) ของมนุษย์ เพศชายจะเร่ิมสร้างตัวอสุจิตั้งแต่อายุ ประมาณ 12 –13 ปี โดยในการหล่ังน้าอสุจิแต่ละครั้ง จะมีตัวอสุจิเฉล่ียประมาณ 350 – 500 ล้านตัว โดยปริมาณน้าอสุจิและตัวอสุจิแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยมีปัจจัยที่ เก่ียวข้องเชน่ อายุ ความแข็งแรง เช้ือชาติ อื่น ๆ น้าอสุจิจะถูกขับออกจากร่างกายตรงปลาย สุดขององคชาต โดยตัวอสุจิเมื่อออกสู่ภายนอกจะมีชีวิตอยู่ได้ 2 –3 ช่ัวโมง ในขณะที่อยู่ใน มดลูกของเพศหญงิ ไดน้ าน 24 – 48 ชั่วโมง



• ระบบหายใจ (Respiratory system) • เป็นระบบทที่ า้ ใหร้ ่างกายสามารถน้าออกซเิ จนไปส่งท่ีปอด โดยจะมี การแลกเปล่ียนออกซิเจนระหว่างถุงลมปอดกับหลอดเลือดฝอย ปอด หลังจากนั้นออกซิเจนจะเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต ผ่านทาง หลอดเลอื ดจากปอดกลับสหู่ ัวใจห้องบนซ้าย ภายหลังหัวใจป้ัมเลือด ออกซิเจนจะถูกพาไปยังเซลล์ต่างๆท่ัวร่างกาย เกิดขบวนการเมตา บอลิซมึ หรือการหายใจระดับเซลล์ ท้าให้ร่างกายอบอุ่น และได้สาร ATP ที่น้าไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลล์ โดยขบวนการน้ีจะเกิด คาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งจะถูกล้าเลียงผ่านหลอดเลือดสู่ปอดในการ หายใจออก อวัยวะที่เก่ียวข้องประกอบด้วย จมูก ปาก คอหอย หลอดลม ทอ่ ลม ถุงลม เปน็ ต้น ทม่ี า:https://www.health2click.com/2019/10/21/%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%9a%e 0%b8%9a%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%83%e0%b8%88-respiratory- system/

• อวยั วะที่เกย่ี วข้อง • ทางเดินหายใจสว่ นบน ประกอบด้วย จมูกและปาก (Nose and Mouth) หลอดคอ (Pharynx) หลอดเสยี ง (Larynx) • ขณะหายใจเข้า อากาศจะผา่ นรจู มกู เข้าโพรงจมูก ท่ีโพรงจมูกจะมีเสน้ ขนและต่อมน้ามันทชี่ ว่ ยกรองและจบั ฝุ่นละออง รวมถงึ การปรับความชุม่ ชื้นและอณุ หภูมอิ ากาศใหเ้ หมาะสม หลังจากน้ันอากาศจะผา่ นหลอดคอและกลอ่ งเสียง ดา้ นบนของ กลอ่ งเสยี งจะมีฝาปดิ กล่องเสียง ซ่งึ จะปิดในระหว่างการกนิ อาหาร เพอ่ื ไมใ่ ห้อาหารตกเข้าสหู่ ลอดลม • ทางเดินหายใจส่วนลา่ ง ประกอบดว้ ย หลอดลม (Trachea) หลอดลมเล็กหรือขั้วปอด (Bronchus) ปอด (Lung) ซ่ึงมี หลอดลมฝอย (Bronchiole) ถุงลม (Alveoli) เย่ือหุ้มปอด (Pleura) • อากาศเมอ่ื ผ่านกลอ่ งเสยี ง จะเขา้ สู่หลอดลมทซ่ี ่ึงมีขนออ่ นขนาดเลก็ และเยอ่ื เมอื กคอยดักจับสิ่งแปลกปลอม ก่อนแยกเขา้ สู่ หลอดลมเล็กหรือขวั้ ปอดท้งั ดา้ นซา้ ยและขวา ทีป่ อดหลอดลมเลก็ จะลดขนาดเปน็ หลอดลมฝอย และถุงลมในปอด โดยปอด แต่ละข้างจะมีถงุ ลมปอดประมาณ 300 ลา้ นถุง ลอ้ มรอบด้วยเสน้ เสน้ เลอื ดฝอยปอดซึ่งมขี นาดเลก็ และบางเพยี งพอในการ แลกเปลี่ยนออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเป็นการเช่อื มต่อระหวา่ งระบบหายใจกบั ระบบไหลเวยี นโลหติ

• การทา้ งานของระบบหายใจ • ในขณะทหี่ ายใจเขา้ อากาศที่มอี อกซิเจนจะไหลผ่ า่ นทางเดินหายใจส่วนบน เข้าสู่ทางเดินหายใจส่วนล่าง ท่ีบรเิ วณถุงลมปอด ออกซเิ จนจากถุงลมปอดจะแพร่เข้าสหู่ ลอดเลือดฝอยรอบ ๆ ถงุ ลมปอด และรวมตวั กับฮีโมโกลบนิ (Haemoglobin; Hb) ที่ ผิวของเมด็ เลอื ดแดง (Red blood cell) กลายเปน็ ออกซฮี ีโมโกลบลิ (Oxyhemoglobin; HbO2) ซึง่ มีสีแดงสด โดยเลอื ดท่ีมี ออกซีฮโี มโกลบนิ นจ้ี ะถกู ส่งเขา้ สหู่ ัวใจและสูบฉดี ผ่านหลอดเลือดไปยังเนอ้ื เยื่อต่าง ๆ ทวั่ รา่ งกาย ทเ่ี นือ้ เยอ่ื ออกซฮี โี มโกลบนิ จะสลายให้ออกซเิ จนและฮีโมโกลบิน โดยออกซเิ จนจะแพร่จากหลอดเลือดฝอยเข้าสเู่ น้ือเย่ือ และถูกน้าไปใชใ้ นกระบวนการ เผาผลาญเพ่ือใหพ้ ลงั งานแกเ่ ซลล์ของเน้อื เย่ือตอ่ ไป • ในทางกลับกนั คารบ์ อนไดออกไซด์ซ่ึงเป็นของเสยี จากกระบวนการเผาผลาญ กจ็ ะแพร่จากเนอ้ื เยื่อเข้าสหู่ ลอดเลอื ดฝอย โดย ผ่านขัน้ ตอนทางเคมรี ะหว่างการเดนิ ทาง โดยเมือ่ ถงึ บริเวณถุงลมปอด คาร์บอนไดออกไซด์จะแพร่จากเส้นเลอื ดฝอยจะแพร่ เข้าสู่ถุงลมปอด และถกู ขบั ออกจากรา่ งกาย ผา่ นการหายใจออก



• ระบบโครงร่าง (Skeleton system) • ประกอบดว้ ยกระดูก (Bone) 206 ชิ้น เปน็ กระดูกแกนกลาง 80 ช้ินกระดูกรยางค์ 126 ช้ิน เช่อื มต่อดว้ ยเส้นเอ็น (Tendon) และ กระดกู อ่อน (Cartilage) โดยเสน้ เอน็ มีลักษณะเป็นเสน้ ใยเหนยี ว และมคี วามแขง็ แรง มที ้งั ที่เป็นเอน็ กลา้ มเนอื้ (Tendon) และเอ็น ยึดขอ้ (Ligament) สา้ หรบั กระดกู ออ่ นจะอยูท่ ี่ปลายหรอื หัวของ กระดกู ท่ปี ระกอบเป็นข้อต่อ (Joints) เพอื่ ปอ้ งกนั การเสียดสีของ กระดูกด้วยกนั หน้าที่ของระบบโครงร่าง จะเป็นการรองรบั อวยั วะ ต่างๆ ใหท้ รงและตง้ั อยใู่ นตา้ แหนง่ ทถ่ี กู ตอ้ ง ปกปอ้ งอวยั วะที่สา้ คัญ ของร่างกาย ชว่ ยรา่ งกายให้เคลอื่ นไหวในทกุ อริ ยิ าบถทจ่ี า้ เปน็ ใน การดา้ เนินชีวิต นอกจากนยี้ งั มบี ทบาทในการเก็บรกั ษาแคลเซยี ม รวมถงึ ไขกระดกู (Bone marrow) ยังเก่ียวข้องในการผลติ เซลล์ เมด็ เลือดอีกดว้ ย ทมี่ า:https://www.health2click.com/2018/06/19/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E 0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%88%E 0%B8%B2%E0%B8%87-skeleton-system/

• อวยั วะทเี่ กีย่ วข้อง 1. กระดกู (Bone) เปน็ อวยั วะทปี่ ระกอบดว้ ยเนอื้ เย่ือกระดกู มีความแข็งแรงแตม่ ีน้าหนักเบา โดยมีการพฒั นาใหม้ ีรูปแบบของกระดกู ที่ แตกตา่ ง และสอดคลอ้ งกันกับการทา้ งานของรา่ งกาย เชน่ กะโหลกศีรษะ (skull) มลี ักษณะแบนแตแ่ ข็งแรงมาก กระดูกตน้ ขา มี ลักษณะเป็นแกนยาว มีจุดยึดเกาะของกลา้ มเนื้อ เป็นตน้ ผู้ใหญ่จะมีกระดกู จ้านวน 206 ชิน้ แบง่ ออกตามต้าแหนง่ ในร่างกายเปน็ 2 ประเภท ดังนี้ • กระดกู แกนล้าตัว (Axial skeleton) มจี า้ นวน 80 ชิ้น ไดแ้ ก่ กระดูกกะโหลกศีรษะจ้านวน 29 ชิ้น กระดกู สันหลัง 51 ชิ้น • กระดกู สาขาของรา่ งกาย (Appendicular skeleton) มีจ้านวน 126 ช้นิ เป็นกระดกู ท่แี ยกออกมาจากกระดกู แกนลา้ ตัว ประกอบดว้ ย กระดูกแขน 60 ชิ้น กระดูกขา 60 ช้นิ กระดูกสะบกั 2 ช้ิน เชงิ กราน 2 ช้ิน และ ไหปลาร้า 2 ช้ิน นอกจากนี้ หากดตู ามรปู รา่ งของ กระดกู ยงั สามารถแบ่งไดเ้ ป็น กระดกู แบบยาว เช่น กระดกู แขนขา หนา้ แข้งกระดูกแบบส้ัน เชน่ กระดกู ข้อมอื ขอ้ เท้า กระดูกแบบ แบน เช่น กระดูกศีรษะ กระดูกอก กระดกู รปู รา่ งไมแ่ นน่ อน เชน่ กระดูกสนั หลงั กระดกู องุ้ เชิงกราน และกระดูกแบบสั้นฝงั ตวั อยูใ่ น เอ็น เช่น กระดกู สะบา้ โครงสร้างภายในของกระดกู โดยเฉพาะกระดกู แบบยาว ดา้ นนอกจะเปน็ เน้ือเย่ือกระดกู ในส่วนทีอ่ ดั แนน่ (Compact bone) สว่ นปลายจะเป็นเนอื้ เยอื่ กระดกู ในสว่ นทโ่ี ปรง่ (Spongy bone) โดยปลายด้านท่ีเป็นขอ้ ตอ่ จะมกี ระดกู อ่อน (Articular cartilage) อยู่ทผ่ี ิวส่วนแกนกลางของกระดูก จะมโี พรงกระดูกท่ีมหี ลอดเลือดและไขกระดูก (Bone marrow) อยู่ โดยไข กระดูกน้จี ะท้าหน้าทสี่ รา้ งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลอื ดขาว และเกลด็ เลือด ให้กับร่างกาย ทผ่ี วิ ดา้ นนอกของกระดูกยกเว้นด้านข้อต่อ จะมี เยือ่ หุม้ กระดูก (Periosteum) เป็นชอ่ งทางทางในการนา้ เลือด สารอาหาร มาเล้ียงเซลล์กระดูก ตลอดจนเปน็ ทางผา่ นของ เส้นประสาททม่ี ายังกระดกู ด้วย

• อวยั วะทีเ่ ก่ียวข้อง 2. กระดกู ออ่ น (Cartilage) เปน็ เน้ือเยอื่ เกีย่ วพันทีม่ โี ปรตีนหลายชนดิ เช่น คอลาเจน เปน็ สวนประกอบทม่ี ีความอ่อนนมุ่ กว่ากระดกู แต่ แขง็ กวา่ กล้ามเน้ือ สามารถเป็นเน้อื เยอ่ื ในระบบโครงรา่ งได้ พบในบรเิ วณขอ้ ต่อตา่ งๆของร่างกาย รวมถงึ โครงรา่ งของ ใบหู จมูก และหลอดลม กระดกู อ่อนไมม่ หี ลอดเลือดมาเล้ยี ง โดยเซลลข์ องกระดูกอ่อนจะแลกเปลยี่ นสารอาหารโดยแพร่ผ่านคอลลาเจนส่เู สน้ เลือดดา้ นนอก ท้ังน้กี รณีเซลลก์ ระดูกออ่ นถกู ทา้ ลายจะซ่อมแซมตวั เองได้แตช่ า้ เนือ่ งจากมเี มตาบอลซิ มึ ที่ตา้่ 3. ข้อตอ่ และเอน็ เช่ือมกระดูก (Joint & Ligament) ขอ้ ตอ่ จะเป็นบรเิ วณทก่ี ระดกู 2 ชน้ิ มาต่อกัน โดยมเี อน็ และองคป์ ระกอบอนื่ ๆ รวมถงึ กล้ามเนอ้ื ช่วยยดึ เสริมความแข็งแรง แบ่งเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ • ขอ้ ตอ่ เสน้ ใย (Fibrous joints) มเี นอ้ื เย่ือเก่ยี วพันยดึ กระดกู เข้าไวอ้ ยา่ งแน่นหนา ไม่มชี อ่ งวา่ งระหวา่ งข้อตอ่ เป็นข้อตอ่ ทเ่ี คลอื่ นไหว ไม่ได้ ได้แก่ ขอ้ ต่อกะโหลกศีรษะ • ขอ้ ตอ่ กระดกู อ่อน (Cartilage joints) มกี ระดูกออ่ นขน้ั ระหวา่ งกระดกู ทง้ั สองข้างท่ีมาตอ่ กัน ไม่มีชอ่ งวา่ งระหว่างข้อต่อ ข้อต่อประเภท นี้เคล่ือนไหวได้เลก็ นอ้ ย ไดแ้ ก่ ขอ้ ตอ่ กระดกู สันหลัง ข้อต่อกระดกู เชิงกราน • ข้อตอ่ ชนิดซิลโนเวยี ล (Sylnovial joint) เปน็ ข้อตอ่ ทมี่ ีแคปซลู หมุ้ ขอ้ ภายในแคปซูลจะมเี ยอื้ หมุ้ ขอ้ ถดั จากเย่อื หุ้มข้อจะเป็นโพรงขอ้ ต่อ ภายในโพรงจะมีน้าไขข้อ (Sylnovial fluid) ท่ีสรา้ งจากเนื้อเย่ือรอบแคปซลู หมุ้ ขอ้ เพอื่ ชว่ ยใหข้ ้อตอ่ เคลื่อนทไ่ี ด้สะดวก นอกจากนี้ ผิว ของกระดูกทม่ี าเชื่อมกันเปน็ ขอ้ ต่อชนดิ นี้ จะมีส่วนที่เรยี กวา่ กระดูกออ่ นผิวขอ้ (Articular cartilage) ร่วมอยดู่ ้วยเราสามารถแบ่งชนิด ของขอ้ ต่อชนดิ ซลิ โนเวยี ล (Sylnovial joint) ตามลกั ษณะการเคล่ือนไหว ได้เป็นข้อตอ่ แบบวงรี เคล่อื นไหวได้ 2 ทาง เช่น ขอ้ ตอ่ บรเิ วณคอ ข้อต่อแบบเดอื ยเคลอ่ื นไหวโดยหมนุ รอบแกน เชน่ ข้อต่อตน้ คอกับฐานกะโหลกศีรษะ ขอ้ ตอ่ แบบลกู กลมในเบ้ากระดูก เช่น ข้อตอ่ หัวไหล่ ขอ้ ตอ่ แบบอานม้า ลักษณะโค้งเว้าสอดคลอ้ งกันพอดี เช่น ข้อต่อนว้ิ มอื กบั กระดกู ฝ่ามอื ข้อตอ่ แบนราบ เช่น ขอ้ ต่อที่

• หนา้ ทร่ี ะบบโครงรา่ ง (Skeleton system) • เปน็ ระบบท่เี ป็นท่ยี ดึ เกาะของระบบกล้ามเนอ้ื (Muscular system) เพอ่ื ชว่ ยในการค้าจุน ร่างกาย ปกป้องอวยั วะภายใน รักษาร่างกายให้คงตัว ช่วยในการเคลอ่ื นไหวในทกุ ๆ ดา้ น อาทิ น่ัง นอน เดนิ หยบิ จับ ออกกา้ ลงั เปน็ ตน้ เป็นแหล่งสะสมแร่ธาตุ โดยเฉพาะแคลเซยี มและ ฟอสฟอรัส นอกจากนไี้ ขกระดูกซึ่งเปน็ เนอ้ื เย่ือกระดกู ช้นั ในจะสร้างเมด็ เลอื ดแดง รวมถงึ เมด็ เลอื ดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ในระบบภมู คิ ้มุ กันอีกดว้ ย

• หน้าทร่ี ะบบโครงร่าง (Skeleton system) • ส้าหรับเอน็ กระดูก (Ligament) เปน็ กลุม่ หรือมัดของเนื้อเยือ่ เกยี่ วพนั ชนิดเสน้ ใย (Fibrous tissue) ท่ีช่วยยึดกระดูกและกระดูกชิน้ อืน่ เข้าไว้ เพอ่ื ประกอบข้นึ เปน็ ขอ้ ต่อ (Joint) โดยจะมี คุณสมบัตใิ นการยดื หยุน่ ตา่ งจากเอน็ กล้ามเน้ือ (Tendon) ซ่ึงไมม่ คี วามยดื หยุ่น แตห่ ากเอน็ กระดูกเจอแรงดึงมากเกินไป อาจจะไมส่ ามารถกลับส่สู ภาพเดิมได้ ท้ังน้ีในขอ้ ตอ่ ชนิดซลิ โนเวียล จะมเี อน็ แคปซลู (Capsular ligament) เป็นสว่ นของแคปซูลข้อต่อ โดยเอ็นนอกแคปซูล (Extra-capsular ligament) ท้าหนา้ ทีเ่ ชอ่ื มกระดูกเขา้ ดว้ ยกนั และช่วยรักษาเสถยี รภาพของข้อ ต่อ เอน็ ในแคปซูล (Intra-capsular ligaments) ทา้ หน้าท่รี กั ษาเสถียรภาพของขอ้ และท้าให้ ข้อตอ่ มีพิสยั การเคลื่อนไหวกว้างขึ้น



• ระบบภูมิคมุ้ กัน (Immune system) • การใชช้ ีวิตอยใู่ นส่งิ แวดลอ้ มของคนเรา หลกี เล่ยี งไม่ได้ทตี่ อ้ งเจอกบั สภาพท่ไี มเ่ หมาะสม และอาจเป็นอันตราย เช่น ฝุน่ ละออง สารเคมี เชื้อโรค เป็นต้น ปกติร่างกายจะมรี ะบบท่คี อยป้องกันสงิ่ แปลกปลอมเหลา่ น้ี ไมใ่ หเ้ ขา้ ส่รู า่ งกาย เช่น มผี ิวหนงั มีขน มีเยอ่ื เมือก มีน้าตา มีสภาพกรด ดา่ ง ตา่ งๆ อยา่ งไรก็ตามยังมบี าง โอกาสทส่ี ่ิงแปลกปลอมสามารถเขา้ สรู่ า่ งกายและกอ่ ใหเ้ กิดผลเสีย ได้ เชน่ เกดิ โรค เกิดการแพ้ และอนื่ ๆ รา่ งกายจึงมรี ะบบ ภูมคิ มุ้ กัน เพอื่ ช่วยต่อต้านและก้าจดั สิง่ แปลกปลอม ใหค้ นเรา สามารถด้ารงชีวิตอยู่ในส่ิงแวดล้อมโดยท่วั ไปไดอ้ ยา่ งปกติ และมี สขุ ภาพกายทีส่ มบรู ณแ์ ข็งแรง ทมี่ า:https://www.health2click.com/2018/06/26/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E 0%B8%9A%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%B8%E 0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-immune-system/

• อวัยวะที่เกี่ยวข้อง • ไขกระดกู (Bone marrow) เป็นโพรงทีอ่ ยตู่ รงกลางของกระดกู โดยเฉพาะกระดูกท่อนยาว มีหน้าที่ในการผลิตเม็ดเลือดขาว (White blood cells, Leukocytes) ทุกชนิด รวมถงึ เมด็ เลอื ดแดง และเกล็ดเลอื ด • ต่อมไทมัส (Thymus gland) เปน็ ตอ่ มท่เี มด็ เลือดขาวชนดิ ทีลิมโฟไซต์ (T- Lymphocyte) ซง่ึ ถูกสร้างจากไขกระดกู มาพฒั นาจนสมบรู ณ์ ก่อนสง่ สู่กระแสเลือด เพ่ือท้าหนา้ ทใ่ี นระบบภมู ิคุ้มกนั • ตอ่ มน้าเหลอื ง (Lymph node) เป็นต่อมรูปไข่ กระจายอย่เู ป็นระยะตามหลอดน้าเหลือง ทา้ หน้าทก่ี รองน้าเหลอื ง โดยเปน็ ทอ่ี ยู่ของเมด็ เลอื ดขาวชนดิ ลมิ โฟไซต์ (Lymphocyte) ท่คี อยท้าลายเชอื้ จุลินทรยี ์ โดยเฉพาะแบคทีเรียทเี่ ขา้ มาสู่ร่างกาย รวมถึงการท้าลายเซลลเ์ ม็ด เลอื ดขาวทีห่ มดอายุ • มา้ ม (Spleen) เปน็ ท่ีอยูข่ องเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ (Monocyte) และลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) รวมถงึ การท้าลายเม็ดเลือด แดงและเกลด็ เลือดท่ีหมดอายุ

• การทา้ งานของระบบภมู คิ ้มุ กนั • เมอ่ื รา่ งกายสมั ผัสเชื้อโรค (Pathogen) หรอื ส่ิงแปลกปลอมตา่ ง ๆ จะมีกลไกการท้างาน อธบิ ายพอเข้าใจดงั นี้ • ดา่ นท่ี 1 การป้องกันเชื้อโรคและสิง่ แปลกปลอมโดยผวิ หนงั เยื่อเมือก สารคดั หลัง่ ขนอ่อน เอนไซมแ์ ละอนื่ ๆ ตามชอ่ งเปดิ เข้าสรู่ า่ งกาย เชน่ ท่ผี ิวหนังมีการขบั กรดบางชนิดออกมากับเหงื่อ ทา้ ให้เหงอื่ มีความเป็นกรด สามารถป้องกนั เชอ้ื โรคเข้าสู่รา่ งกายทางผวิ หนงั ท่ีโพรง จมูก มีขนออ่ น มตี อ่ มน้ามัน ท่เี ยอื่ บหุ ลอดลม มขี น มเี สมหะ การไอการจามเพอื่ ไมใ่ หเ้ ชือ้ โรคและสง่ิ แปลกปลอมเข้าสรู่ า่ งกายผา่ น ทางเดินหายใจ ท่ปี ากมนี ้าลาย กระเพาะอาหารและล้าไส้เล็กมเี อนไซมท์ มี่ สี ภาวะเปน็ กรดสามารถท้าลายเชื้อโรคและสง่ิ แปลกปลอม รวมถึงการอาเจียนเพ่ือขับสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดนิ อาหาร ที่ตามนี า้ ตาท่มี เี อนไซมส์ ามารถทา้ ลายและขบั เช้ือโรคออกจากตา นอกจากน้ียังมี สารคดั หลัง่ ในชอ่ งคลอด ความเปน็ กรดของปัสสาวะ ซึ่งสามารถป้องกนั การเจรญิ เตบิ โตของเชอื้ โรคได้ เปน็ ตน้ นอกจากนแ้ี ลว้ ตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย จะมจี ลุ นิ ทรียป์ ระจา้ ถน่ิ (Normal flora) ซง่ึ ในรา่ งกายปกตจิ ะไมก่ ่อให้เกดิ โรค โดยเชอื้ นจ้ี ะ คอยแยง่ อาหารและที่อยู่ รวมถึงสรา้ งสารต่อตา้ นการเจริญเติบโตของเชือ้ กอ่ โรคตัวอื่น ๆ ท่เี ขา้ สู่ร่างกาย

• การท้างานของระบบภูมิค้มุ กัน • เมื่อร่างกายสัมผัสเชือ้ โรค (Pathogen) หรอื ส่ิงแปลกปลอมตา่ ง ๆ จะมกี ลไกการทา้ งาน อธบิ ายพอเขา้ ใจดงั นี้ • ดา่ นที่ 2 การปอ้ งกันโดยการทา้ งานของเมด็ เลือดขาว ในกรณีที่เช้ือโรคหรอื ส่งิ แปลกปลอมสามารถผา่ นดา่ นท่ี 1 เข้าสูร่ ่างกายได้ เนอื้ เยอ่ื บริเวณนั้นจะเกดิ การอักเสบ จากนน้ั เม็ดเลือดขาวชนิดตา่ ง ๆ จะร่วมกันท้างานโดยเมด็ เลอื ดขาวชนิดฟาโกไซต์ (Phagocyte) ไดแ้ ก่ เม็ดเลือดขาวชนดิ โมโนไซต์ (Monocyte) แมคโครฟาจ (Macrophage) และนวิ โทรฟิล (Neutrophil) จะเขา้ จับกินเชอ้ื โรค โดยเฉพาะแบคทเี รียเรียก กระบวนการฟาโกไซโตซสิ (Phagocytosis) หลงั จากนัน้ ท้งั เช้อื โรคและเมด็ เลอื ดขาวจะตายแล้วกลายเป็น หนอง นอกจากนีย้ งั มีอนิ เตอรเ์ ฟียรอน (Interferon) ช่วยขดั ขวางการแบ่งตัวของเชอ้ื ไวรสั เซลลเ์ อ็นเค (Natural killer cell) ชว่ ยใน การท้าลายเซลลเ์ น้อื งอก (Tumor cell) และเซลลท์ ตี่ ดิ เชอ้ื ไวรัส รวมถึงการมรี ะบบคอมพลีเมนต์ (complement system) ท่กี ล่มุ ของ โปรตนี ในซรี ัมหรือน้าเลือด ชว่ ยให้แบคทเี รียทม่ี แี อนตบิ อดี (Antibody) เกาะอยู่ ถูกเซลล์จบั กินไดง้ ่ายข้ึนทง้ั นกี้ ลไกการป้องกนั ในด่าน 1 และด่าน 2 น้นั ถือเปน็ กลไกการปอ้ งกนั แบบไม่เฉพาะเจาะจง (Nonspecific defense mechanism) มคี วามสามารถในการปอ้ งกัน หรือท้าลายเช้อื จลุ ินทรียไ์ ด้ในระดบั หนึ่งเทา่ น้นั โดยจะมีการเปลีย่ นแปลงไปตามอายุ พนั ธุกรรม ฮอรโ์ มน และภาวะโภชนาการของแต่ ละบุคคล

• การทา้ งานของระบบภูมิคุ้มกนั • เมอ่ื รา่ งกายสมั ผัสเชื้อโรค (Pathogen) หรือส่ิงแปลกปลอมตา่ ง ๆ จะมีกลไกการทา้ งาน อธบิ ายพอเข้าใจดงั นี้ • ด่านท่ี 3 การปอ้ งกนั โดยการสร้างภมู ิคุ้มกันหรอื แอนติบอดี (Antibody) ขึ้นมาตอ่ ตา้ นเช้อื โรคหรอื สิง่ แปลกปลอม เรยี ก แอนติเจน (Antigen) แบบเฉพาะเจาะจง โดยในขัน้ ตอนนี้ จะเกย่ี วขอ้ งกับการท้างานของเซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาวลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ทั้งชนิดบี (B-lymphocyte) และชนดิ ที (T-lymphocyte)โดยบี ลมิ โฟไซต์ เมือ่ สัมผัสแอนตเิ จนจะเปล่ียนแปลงไปเป็นเซลลพ์ ลาสมา (Plasma cell) เพอ่ื ทา้ หน้าทส่ี รา้ งแอนตบิ อดี เรยี ก อมิ มโู นโกลบูลิน (Immunoglobulin) เพ่อื ตอบสนองต่อแอนตเิ จนแตล่ ะชนดิ อย่างจ้าเพาะ เจาะจง ปกติรา่ งกายจะสามารถสรา้ งแอนติบอดไี ดภ้ ายใน 14 วนั ขึ้นกบั ชนิด ปริมาณและวธิ ีการเขา้ สู่รา่ งกายของแอนติเจนนนั้ ๆ นอกจากน้ีบางสว่ นของบี ลมิ โฟไซต์ ยังเปล่ียนไปเป็นเซลลเ์ มมเมอรี่ (Memory cell) เพอ่ื จดจา้ แอนติเจนท่ีเคยเขา้ มา และสร้าง แอนติบอดไี ดเ้ ร็วขึ้นหากมีเชอื้ เดิมเข้ามาในรา่ งกายอกี สา้ หรบั ที ลมิ โฟไซต์จะมอี ยู่ 3 กลุม่ กลมุ่ แรกเป็นเซลลท์ ี ทีท่ า้ ลายส่ิงแปลกปลอม (Cytotoxic T-cell, CD8+) มหี น้าที่ตรวจจับและทา้ ลาย เซลล์มะเรง็ เซลล์ตดิ เชอื้ ไวรสั เซลล์จากอวยั วะปลูกถ่าย เป็นต้น กลุ่มที่สอง เซลลท์ ี ผู้ช่วย (Helper T-cell, CD4+) มีหน้าท่ีกระตุ้นการท้างานของเซลล์ในระบบภมู คิ ุม้ กันอื่นๆ และกลมุ่ ท่ี 3 เป็นเซลลท์ ี กดภูมคิ ุม กนั (suppressor T-cell) มหี นา้ ท่ียบั ยง้ั การท้างานของเซลล์ในระบบภมู ิคุม้ กัน ไมใ่ ห้มีการตอบสนองมากเกินไป



• ระบบน้าเหลอื ง (Lymphatic system) • ประกอบด้วยน้าเหลือง หลอดน้าเหลืองและต่อมน้าเหลือง โดยมี บทบาทในการน้าของเหลวที่อยู่ระหว่างเซลล์หรืออยู่รอบ ๆ เซลล์ รวมถึงเม็ดเลือดขาวบางชนิด กลับเข้าสู่หัวใจทางหลอดเลือดด้า ใหญ่ โดยน้าเหลืองจะคล้ายพลาสมาแต่มีโปรตีนน้อยกว่า และมี ส่วนประกอบท่ีแตกต่างกันตามอวัยวะที่เป็นแหล่งท่ีมา เช่น น้าเหลอื งที่มาจากบริเวณล้าไส้เล็ก จะมีไขมันสูง น้าเหลืองที่มาจาก บริเวณต่อมน้าเหลืองจะมีเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์สูง โดย ระหว่างทางท่ีน้าเหลืองไหลไปตามหลอดน้าเหลืองตามการหดตัว และคลายตัวของกล้ามเน้ือท่ีอยู่รอบ ๆ นั้น จะพบต่อมน้าเหลืองอยู่ ระหว่างจุดรวมของหลอดน้าเหลืองทั่วไปในร่างกาย เช่น บริเวณที่ รักแร้และขาหนีบ ภายในจะมีเม็ดเลือดขาว ชนิดลิมโฟไซต์ ซึ่งจะ กรองแบคทีเรยี และสิ่งแปลกปอลม ไมใ่ ห้เขา้ สู่กระแสเลอื ด ทมี่ า:https://www.health2click.com/2018/06/21/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E 0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E 0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87-lymphatic-system/