เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 51 ในงานการประชมุ วิชาการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวิจยั คร้งั ที่ 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” ผู้เรียนได้และบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้ เป็นโครงการที่ชุมชนให้ความสนใจและต้องการให้มีการดาเนิน โครงการต่อเน่อื งในทุกปี 4.3 การนาไปใชก้ บั การวจิ ยั โครงการนวัตกรรมเพ่ือพัฒนาสมรรถนะด้านการสื่อสารสาหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน โรงเรยี นบ้านหนองหวา้ โนนทอง ต.บอ่ ใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ได้มีการจัดการเรียนรู้ควบคู่ กับการวิจัย โดยนิสิตท่ีเข้าร่วมโครงการฯ นิสิตสาขาการศึกษาภาษาไทย ได้พัฒนาหัวขัอวิจัยเร่ือง การ พัฒนาความสามารถด้านการอ่าน การเขียน และการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 ด้วยรปู แบบการจดั การเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน ผลการวจิ ยั ที่ได้จากโครงการสามารถนามาพฒั นาผเู้ รยี น เรอื่ งการอา่ น การเขยี นและการคิดวเิ คราะห์ ต่อไปได้ นบั วา่ เปน็ ประโยชนแ์ ก่ผ้เู รยี นอย่างย่งิ ซ่ึงนสิ ติ มีการ ปรึกษางานวิจัยกับอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นระยะๆ ตลอดการทาวิจัย เร่ิมจากการวางแผนการทดสอบ ความสามารถก่อนเรียนเพ่ือรู้พ้ืนฐานความสามารถของผู้เรียน ระหว่างการดาเนินการสอนนิสิต ดาเนินการสอนควบคู่กับการดาเนินการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการ ทาให้ได้ผลการ พัฒนาผู้เรียนเป็นระบบ เม่ือดาเนินการสอนส้ินสุดมีการสังเกตพฤติกรรม นาข้อมูลท่ีได้มาจัดระบบและ วิเคราะหข์ ้อมูล สรุป รายงานผล ตามขัน้ ตอนกระบวนการวิจยั อย่างมีประสิทธิภาพ 4.4 การนาไปใช้กับการทานุบารงุ ศิลปวัฒนธรรม โครงการนวัตกรรมเพ่ือพัฒนาสมรรถนะด้านการสื่อสารสาหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน โรงเรียนบ้านหนองหว้าโนนทอง ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ได้พัฒนาสมรรถนะการ สื่อสารของนกั เรียนระดบั การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน กาการดาเนนิ การมกี ารพัฒนาส่ือและนวตั กรรมท่สี ามารถ นาไปใชใ้ นด้านการนาไปใชก้ ับการทานุบารุงศลิ ปวฒั นธรรม โครงการไดบ้ ูรณาการด้านเนื้อหาในบทเรยี น อนั แสดงให้นักเรียนรู้จักรกั และหวงแหนความเป็นทอ้ งถ่นิ โดยบรู ณาการในสือ่ และนวัตกรรมต่างๆ ดงั นี้ 1. สอดแทรกผ่านเนื้อเพลงที่ให้นักเรียนร้อง บทความหรือเร่ืองที่อา่ น เพื่อใหน้ ักเรียนเห็น คณุ ค่าและสานึกรักในความเป็นท้องถน่ิ ร่วมด้วย 2. ให้นักเรียนรู้จักถึง สุภาษิต คาพังเพยและสานวนไทย สะท้อนให้เห็นค่านิยม สภาพ ของสังคมไทยในแงม่ ุมต่างๆ 3. ให้นกั เรียนเกิดความซาบซึ้งผูกพนั กบั เอกลักษณข์ องความเป็นไทย ร่วมกนั อนุรักษ์และ สืบสานมรดกอันล้าค่านี้ให้คงอยู่คูค่ วามเปน็ ไทยตลอดไป 4. สอดแทรกภาพวัฒนธรรมอีสานให้ผู้เรียนได้ศึกษา และเกิดความรัก ความผูกพันที่ อยากจะเรยี นร้วู ฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน 5. ประยุกต์ใช้สร้างสรรค์ โดยให้นักเรียนเขียนสร้างสรรค์และเล่าเรื่องในท้องถ่ินของตน โดยเขยี นไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 5. ผลลัพธ์จากการดาเนนิ งาน ผูเ้ ข้ารว่ มกิจกรรม
52 I เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน ในงานการประชุมวชิ าการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ัย ครงั้ ที่ 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” ผู้เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการน้ีมีจานวนมากกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยมีจานวน 350 คน ซึ่ง นับว่ามีความประสบความสาเร็จเป็นอย่างดี เพราะมีการร่วมมือจากหลายภาคส่วน ครู ผู้อานวยการ นักเรียนในโรงเรียนหนองหวา้ โนนทอง และนสิ ติ คณะศึกษาศาสตร์ ตามตารางที่ 1 ตารางที่ 1. ผเู้ ขา้ ร่วมโครงการ เพศ ลาดับ ประเภท ชาย หญงิ รวม 1. คณาจารย์คณะศกึ ษาศาสตร์ มมส. 35 8 2. นิสิตคณะศกึ ษาศาสตร์ 55 95 150 3. ครู อาจารย์ 10 17 30 4. วทิ ยากร 13 4 5. นกั เรยี นระดบั ปฐมวยั โรงเรียนบ้านหนองหวา้ โนนทอง 20 22 42 6. นักเรียนระดับประถมศึกษา โรงเรียนบ้านหนองหว้า 63 53 116 โนนทอง รวม 152 195 350 การประเมินความสาเร็จของการบรู ณาการงานบริการทางวชิ าการสาหรบั นิสติ จากการใช้แบบสอบถามการบูรณาเข้ากับการเรียน ถามถึงความพอใจของนิสิตที่เข้าร่วม โครงการ จาก 7 ข้อ นิสิตส่วนใหญ่ได้แสดงความพึงพอใจในการนาความรู้ที่ได้รับจากโครงการไปใช้ใน ระดับ ดี ถงึ ดมี าก ในข้อท่ไี ด้ค่าเฉลย่ี ความพงึ พอในสูงสดุ คือ ข้อ 3 และขอ้ 4 นสิ ิตมีความพงึ พอใจค่าเฉล่ีย 4.75 คิดเปน็ ร้อยละ 95 ส่วนข้อทนี่ ิสิตมคี วามพึงพอใจน้อยท่ีสุดอยทู่ ี่ขอ้ 2 และข้อ 2 ทค่ี ่าเฉล่ีย 4.33 คิด เปน็ ร้อยละ 86.50 การประเมนิ ความพึงพอใจในการเขา้ ร่วมโครงการของครู นกั เรียนทีเ่ ข้ารว่ มโครงการ ในการประเมินความสาเรจ็ ของการบูรณาการงารบริการวิชาการ ทางโครงการได้เกบ็ ข้อมูลจาก ผู้เข้าร่วมโครงการจานวน 100 คนโดยได้ใช้แบบสอบถามจากฝ่ายวิจัย จากการประเมินโครงการของ ผู้เข้าร่วมโครงการจานวน 100 คน พบว่ามีความพอใจในระดับดีมากทุกประเด็นท่ีต้องการรู้ โดยมี ประเด็นที่ไดค้ ่าเฉลยี่ มากทสี่ ุดคือขอ้ 1.1 และขอ้ 2.1 มคี วามสามารถในการถา่ ยทอดความรูใ้ หผ้ ฟู้ ังเข้าใจ มีค่าเฉลี่ยท่ี 4.86 คิดเป็นร้อยละ 97.2 นอกจากน้ันทุกประเด็นได้รับการประเมิน ในระดับดีมาก จาก ประเมินโครงการเชิงปริมาณ พบว่า ครู นักเรียน ที่เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจมากกว่าร้อยละ 80 ตามทีไ่ ด้ตั้งเกณฑ์ไว้ 5.1 ขอ้ ค้นพบตามวัตถุประสงค์ การพฒั นานวัตกรรมสง่ เสริมสมรรถนะดา้ นการสื่อสารแก่นกั เรียนระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กลมุ่ โรงเรียนท่าประทาย-โนนตมู ต. เกง้ิ อ. เมอื ง จ. มหาสารคาม
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 53 ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ัย คร้ังที่ 14 : สาขาบริการวิชาการ” ทางคณะกรรมการดาเนินงานฯ ได้จัดประชุมกับทางโรงเรียนหนองหว้าโนนตูม จากนั้นเห็น ความต้องการของทางโรงเรียนว่าต้องส่ือประเภทใด จากนั้นได้ร่วมกับคณะครู อาจารย์ และนิสิตคณะ ศึกษาศาสตร์ ร่วมผลิตส่ือนวัตกรรมต่าง ๆ ตามวัถตุประสงค์ และการใช้ของโรงเรียน ที่สาคัญทาง คณะกรรมการได้จัดอบรมต่าง ๆ เพ่ือพัฒนาคุณภาพของครู เช่น การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนา ทกั ษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ พฒั นาทักษะภาษาและการสือ่ สารสาหรับครูโรงเรยี นบา้ นหวา้ โนน ทอง และการสัมมนาเชิงปฏิบัติการการเล่านิทานพื้นบ้านภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะภาษาและการ ส่ือสารภาษาอังกฤษ สาหรับครูโรงเรียนบ้านหว้าโนนทอง การจัดสัมมนาดังกล่าวทาให้ครูมีสมรรถนะ ทางการจัดการเรียนรู้เพ่ิมขึน้ และสามารถนาความรทู้ ไ่ี ดเ้ รยี นร้ไู ปถา่ ยทอดให้แก่นักเรียนของตนเอง นอกจากนั้น ครูโรงเรียนบ้านหนองหว้า ได้ร่วมกับนิสิตคณะศึกษาศาตร์ ท่ีเข้าร่วมโครงการฯ ผลิตส่ือนวัตกรรมการสอนอิเล็คทรอนิคน์ เว็บไซต์ และ Powerpoint Presentation เพื่อพัฒนา สมรรถนะการส่ือสารของนกั เรยี นของครแู ตล่ ะท่าน การศึกษาผลการใชน้ วัตกรรมส่งเสริมสมรรถนะด้านการส่ือสาร คณะกรรมการดาเนินงานได้จัดกกิจกรรมการเผยแพร่นวัตกรรมและเทคโนโลยี โครงการ“บูรณา การ การอ่านและเขียนเพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ระดับชั้นประถมศึกษา” ระหว่างวันท่ี 2 มีนาคม 2561 และวันท่ี 23 มีนาคม 2561 ในการจัดกิจกรรมนี้มีการถ่ายทอดนวัตกรรมท่ีหลากหลาย ตามแผนการสอนท่ีอาจารยแ์ ละนิสิตรวมกนั พฒั นาขึน้ จดุ ประสงค์ของการจัดคือการศึกษาความต้องการ ในการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านการเขียน และการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 1-6 โรงเรียนหนองหว้าโนนทอง คระกรรมการดาเนินงานฯ ได้วิเคราะห์ข้อมูลสภาพปัญหาและความ ต้องการจาเป็นโดยใช้แบบสอบถามความคิดเห็นเพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจาเป็นต่อการ พฒั นารูปแบบการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ สาหรับครูผู้สอนภาษาไทย นกั เรยี น และผมู้ ีส่วนเกยี่ วข้อง จาก การสารวจ พบว่า ผู้บริหาร ครูผู้สอนภาษาไทยและผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง มีความต้องการในการพัฒนา รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน การเขียน และการคิดวิเคราะห์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-6 โดยรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด(x ̅= 4.58) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีความต้องการต่อการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากท่ีสุด 16 ข้อ อยู่ในระดับ มาก 3 ข้ออยู่ในระดับปานกลาง 1 ข้อ เรียงลาดับข้อที่มีค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลาดับแรก ได้แก่ รปู แบบการเรียนรู้ควรฝึกให้ผ้เู รียนกล้าแสดงออก กล้าคิด กล้าทา อย่างมีเหตผุ ล (x ̅= 4.86) รปู แบบการ จดั การเรียนรู้ควรเน้นการฝึกปฏิบัติและเรยี นรู้ร่วมกัน (x =̅ 4.86) และการจัดการเรียนรูท้ ่ีดีควรเน้นการ ประเมนิ ผลตามสภาพจริง (x =̅ 4.86) ตามลาดับ 5.2 ประโยชนแ์ ละการสรา้ งคณุ คา่ ต่อสถาบนั 1. สอดคล้องกับนโยบายในการขับเคลื่อนระบบและกลไกการบริการวิชาการ และการ ทางานวชิ าการรบั ใชส้ ังคม ภายใตช้ อ่ื “โครงการหนงึ่ หลกั สตู รหน่งึ ชุมชน”
54 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชุมวิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” 2. ส่งเสริมกระบวนการขบั เคล่ือนภารกจิ เรือ่ ง การบรกิ ารวิชาการแกส่ ังคมของมหาวิทยาลัย กอ่ เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ การเรียนการสอนท่มี งุ่ เน้นการพัฒนานสิ ติ สู่การเปน็ บัณฑติ ที่พงึ ประสงค์ 3. สอดคล้องกับปรัชญาของมหาวิทยาลัยคือ “ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพ่ือมหาชน” ซึ่ง ประกอบด้วยแนวคิดหลักคือ “การรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม” โดยบูรณาการผ่านภารกิจหลักของ มหาวิทยาลัยท่ีมุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชน โดยเน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ 4. สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารราชการแผ่นดิน ท่ีสอดคล้องและเชื่อมโยงกันในทุก มติ ิ 5.3 ระดบั สังคมและชมุ ชน ผลกระทบที่เกดิ ประโยชน์และสรา้ งคุณค่าตอ่ สงั คมและชมุ ชน สังคมและชุมชน คือ นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองหว้าโนนทอง สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษาประถมศกึ ษามหาสารคาม เขต 1 ผลกระทบทีเ่ กิดประโยชน์และสรา้ งคุณคา่ ตอ่ โรงเรียน ไดแ้ ก่ 1. ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หลังจากการจัดกิจกรรมต่างๆ เสร็จสิ้นลง ครูผู้สอนใน โรงเรยี นมีความสามารถด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครูผสู้ อนในระดบั ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-6 ได้จัด กจิ กรรมการเรียนร้ทู ่หี ลากหลาย มีส่อื ประกอบการเรยี นเพอ่ื กระต้นุ ความสนใจของผเู้ รียน และส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะการอ่าน การเขียน และการคิดวิเคราะห์ มีความสุข สนุกสนานกับการเรียนรู้ โดย ในระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-6 ครูได้ใช้เคร่ืองมืองคัดกรองนักเรยี นท่ีมีความบกพร่องด้านการอ่านการ เขยี น และการคดิ วเิ คราะห์ ดว้ ยการประชมุ ร่วมกับครปู ระจาชั้นในระดับชน้ั ประถมศึกษาที่ปี่ 1-6 ทเี่ คยดู และนักเรียนกลุ่มนี้มาแล้ว เพ่ือจะได้รู้พื้นฐานและพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน ครูในโรงเรียน พยายามพฒั นานักเรยี นใหม้ ีพฒั นาการให้ดขี ึน้ 2. ดา้ นนวัตกรรมการเรยี นรู้ พบวา่ เนือ่ งจากเวลาในการสอนมคี อ่ นขา้ งจากัดครูสว่ นใหญจ่ ึง ไมไ่ ด้คานึงถงึ ความสาคญั ของการสอนตามข้นั ตอนของนวตั กรรม ครูไม่เข้าใจหลักการใช้นวตั กรรมในการ จัดกิจกรรม ครูบางส่วนยังขาดเทคนิควิธีการหรือนวัตกรรมในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่ทันสมัย และนา่ สนใจ ครูสอนใหน้ ักเรียนอ่านออกและเขียนได้โดยอาศัยความรู้ ประสบการณแ์ ละความเชี่ยวชาญ ในการสอนที่ส่งั สมมานาน และอาศยั การเรยี นรู้พฤติกรรมนกั เรียนทม่ี ีความหลายหลาย การจดั การเรียนรู้ ส่วนใหญเ่ น้นที่การทอ่ งจา และการทาแบบฝึกหดั แบบซ้าๆ และกม็ ปี ัจจัยเรอ่ื งเวลาทท่ี าใหก้ ารจัดกจิ กรรม บางอย่างไม่เป็นไปตามเวลาที่กาหนด ส่งผลให้นักเรียนขาดการฝึกฝนและเรียนรู้จากสื่อและวิธีการที่ น่าสนใจ 3. ด้านครูผู้สอน หลังจากการดาเนินกิจกรรมเสร็จส้ิน ครูผู้สอนสามารถออกแบบการ จัดการเรียนรู้โดยเน้นการนานวัตกรรมที่ทันสมัยและเข้ามาใช้ในการจัดการเรียนรู้ครูขาดเทคนิคในการ จดั การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ครูผู้สอนมีความพยายามนานวัตกรรมมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้ ตรงตามวัตถุประสงค์ ครูผู้สอนได้ใช้เทคนิคการสอนต่างๆ ที่ได้เรียนรู้จากการอบรมนามาฝึกผู้เรียนให้
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 55 ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ยั ครัง้ ท่ี 14 : สาขาบริการวชิ าการ” เรียนรู้และแก้ปัญหาด้วยตนเอง พัฒนาผู้เรียนให้มีความกล้าแสดงความคิดเห็น แสดงออกให้ด้านต่างๆ อันเป็นผลจากการได้รบั การพฒั นาเพิม่ พนู ความรู้เรอ่ื งนวตั กรรมและสอ่ื การจัดการเรียนรู้ 4. ด้านผู้เรียน หลังจากการจัดกิจกรรมเสร็จสิ้น พบว่า นักเรียนได้รับการพัฒนาสมรรถนะ ดา้ นการส่ือสารจากกิจกรรมท่ีหลากหลาย ทส่ี าคญั ท่ีสุด นักเรยี นได้รับการส่งเสริมจากครผู ู้สอนในการนา ส่ือและนวัตกรรม เทคนิคการสอนที่ได้รับการพัฒนาจากการจัดโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทาง โรงเรยี นมเี ป้าหมายในการพัฒนาให้นกั เรียนมีความสามารถด้านการสอ่ื สารในระดับมาก มผี ลการทดสอบ มาตรฐานระดับชาติอยู่ในเกณฑ์ท่ีสูง ในการใช้แบบคัดกรองต่างๆ ทางโรงเรียนสามารถท่ีจะคัดกรอง นักเรียนทีม่ ีการเรียนรชู้ ้า นกั เรียนที่มภี าวะโรคสมาธิสน้ั และนกั เรียนท่ยี งั มีปญั หาด้านการอา่ น การเขียน ภาษาไทย 5. ด้านผู้บริหาร ผู้บริหารมีความต้องการในการพัฒนานักเรียนให้มีความสามารถด้าน ส่ือสาร ด้วยการนารูปแบบหรือนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ท่ีทันสมัยและส่งเสริมความสามารถด้าน ส่ือสารของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-6 โรงเรียนบ้านหนองหว้าโนนตาบลบ่อใหญ่ อาเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 ผู้บริหารได้ผลักดัน โครงการน้ีให้ ครปู ระจาช้ัน หัวหนา้ กลุ่มสาระต่าง ๆ เข้ารว่ มและนาหลักการ วธิ กี ารตา่ งๆ ท่ีได้เรียนรจู้ าก โครงการฯ นาไปปรบั ใชใ้ นการเรยี นการสอนในรายวชิ าต่างๆ เพื่อให้เกดิ ผลลัพท์ท่ีดี 6. ความพึงพอใจของครูท่ีมีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานท่ีพัฒนา ความสามารถด้านการอ่าน เขียน และการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-6 โรงเรียน บ้านหนองหว้าโนนทอง สังกดั สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 นักเรยี นช้ัน ประถมศกึ ษาปที ่ี 1-6 โดยรวมมคี วามพงึ พอใจในระดับมาก 6. บทสรปุ โครงการนวัตกรรมเพ่ือพัฒนาสมรรถนะด้านการส่ือสารสาหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน โรงเรียนบ้านหนองหว้าโนนทอง ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ได้ดาเนินงานโดยการใช้ รูปแบบวิจัยและพัฒนา ร่วมกับกระบวนการทางานแบบ PDCD ได้นาชุมชนคือโรงเรียนบ้านหนองหว้า โนนทองเข้ามามีส่วนร่วมในการกาหนดกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือหาการจัดการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมจะนามาใช้ แก้ปัญหาของโรงเรียน ทางคณะกรรมการดาเนินงานฯ ร่วมกับคณาจารย์โรงเรียนได้กาหนดกิจกรรม ข้ึนมาเพ่ือตอบโจทย์ปัญหาต่างๆ เพ่ือให้เกิดการแก้ไขให้ตรงจุด เช่น การสัมมนาเชิงปฏิบัติการการเล่า นิทานพ้ืนบ้านภาษาอังกฤษเพ่ือพฒั นาทักษะภาษาและการสื่อสารภาษาอังกฤษฯ เพื่อพัฒนาความรเู้ รอื่ ง ภาษาอังกฤษสาหรับครู การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพ่ือพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือ พัฒนาทักษะภาษาและการส่ือสารสาหรับครูโรงเรียนบ้านหว้าโนนทอง เพ่ือให้ครูมีทักษะในการใช้ เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น และสามารถนาไปปรับใช้ในการเรียนการสอนได้ ทางคณะกรรมการดาเนินงานฯ ได้ พัฒนาสื่อและนวัตกรรมเพ่ือพัฒนาสมรรถนะการส่ือสาร ในรูปแบบต่างๆ ท่ี เช่น Google form, E-books, หนังสือภาพ powerpoint สาหรับครูโรงเรียนบ้านหว้าโนนทอง การพัฒนาสื่อและนวัตกรรม
56 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวิจัย ครัง้ ท่ี 14 : สาขาบริการวชิ าการ” ดงั กลา่ วจะเป็นสงิ่ ท่ีย่ังยนื ในการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนบา้ นหนองหว้าโนนทอง ผลจากการดาเนิน โครงการในครั้งนี้ โรงเรียนไดร้ บั การพฒั นาความสามารถด้านการสือ่ สารของนักเรียน โดยได้ใช้นวตั กรรม การจัดการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ สาหรับครูผู้สอนและผู้ท่ีสนใจในการสมรรถนะด้านการส่ือสาร ได้ แนวทางในการพัฒนานักเรียนในอนาคต โรงเรียนบ้านหนองหว้าโนนทอง สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 สามารถนากิจกรรมต่างๆ ไปต่อยอดเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มี ความสามารถด้านการส่ือสาร สามารถนานวัตกรรมและส่ือการสอนที่ทางโครงการฯ พัฒนาให้ไป ประยุกต์ใช้กับการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนในการเรียนเนื้อหาวิชาต่างๆ ในทุกระดับชั้น เพื่อใช้เกิด ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลต่อการเรียนรู้ของนักเรยี น ตลอดพฒั นาตวั ช้ีวัดต่างๆ ของโรงเรียนตอ่ ไป ภาพกจิ กรรม 1. ประชุม เพอ่ื ชี้แจง้ และปรึกษาแนวทางในการจัดโครงการบรู ณาการหนงึ่ หลกั สตู รหน่ึงชุมชน” 2. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการการเล่านิทานพื้นบ้านภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะภาษาและการสื่อสาร ภาษาองั กฤษ สาหรบั ครูโรงเรียนบ้านหว้าโนนทอง 3. การสมั มนาเชงิ ปฏิบตั กิ ารเพ่ือพฒั นาทกั ษะการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือพฒั นาทักษะภาษาและการ ส่ือสารสาหรับครูโรงเรยี นบา้ นหวา้ โนนทอง
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 57 ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ยั คร้งั ที่ 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” 4. กิจกรรมการเผยแพร่นวัตกรรมและเทคโนโลยี โครงการ“บูรณาการ การอ่านและเขียนเพื่อเสริมสร้าง ทกั ษะการคดิ วิเคราะหร์ ะดับชั้นประถมศึกษา” 5. การอบรมสมั มนาเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร เรือ่ ง ความรเู้ รอื่ งนักเรียนท่ีมีความบกพรอ่ งทางการเรยี นรูแ้ ละมคี วาม ยากลาบากในการเรียนรู้ และการผลิตสื่อการสอน 6. การประชุมชแี้ จง้ การใช้ส่ือและนวตั กรรมเพื่อพัฒนาสมรรถนะการส่ือสารฯ ณ โรงเรยี นบ้านหนองหว้า โนนทอง ต. บอ่ ใหญ่ อ. เมอื ง จ. มหาสารคาม
การพฒั นาเครือขา่ ยเกษตรอนิ ทรยี ์ ตลาดโรงเรียน สูค่ วามย่ังยืนของชุมชน โครงการบรู ณาการหนงึ่ หลักสูตรหน่ึงชุมชน องอาจ ญาตินิยม และคณะ โรงเรยี นสาธิตมหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม(ฝา่ ยมธั ยม) 1. ความเป็นมาของปญั หา เปน็ ท่ที ราบกนั ดีอยแู่ ลว้ ว่า ในแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ที่ 12 น้ัน ยงั ยดึ หลัก เศรษฐกิจพอเพียง ต่อเน่ืองมาจากแผนพัฒนาฯฉบับท่ี 9 ที่เน้นการพัฒนาในทุกมิติอย่างสมเหตุสมผล มี ความพอประมาณ มีระบบภูมิคุ้มกันและการบริหารจัดการความเส่ียงที่ดี ท้ังน้ียังเน้นรวมไปถึง การ พฒั นา ท่ียึดคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา มีการตั้งเปา้ หมายอนาคตของประเทศ ในยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี เป็นเคร่ืองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ในภาพรวมของประเทศ ประชาชนยังต้องการ การพัฒนา ดา้ นเศรษฐกจิ และสังคมในเรื่องใด ประเทศไทยมีการพัฒนาในทุกๆด้านอย่างต่อเนอ่ื งและยาวนาน เรามี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาแล้ว 12 ฉบับ ฉบับละ 5 ปี รวมช่วงเวลาแห่งพัฒนาการ ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมทั้งสิ้นกว่า 60 ปี พัฒนาการที่ประเทศผู้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศเกษตรกรรม ฐานหลกั ยังมีราคาพืชผลทางการเกษตรท่ีตกตา่ อย่างต่อเน่ืองและสวนกระแสกับอัตราค่าครองชีพที่เพิ่ม สูงข้ึนอย่างต่อเน่ืองเช่นเดียวกัน ในขณะท่ีประชากรภาคการเกษตรกรรมฐานราก เริ่มย้ายตัวเองเข้าไป เป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรมตามโรงงานในเมืองใหญ่ ตั้งแต่แผนพัฒนาฯฉบับท่ี 6 เป็นต้นมา ทาให้ ภาคการเกษตรเหลือเพียงกล่มุ ประชากรในวัยเด็กและผูส้ ูงวัยเปน็ ส่วนใหญ่ ทาอย่างไรกลุ่มประชากรภาค การเกษตรที่เปน็ พลงั หลักของประเทศเกษตรกรรมจะกลบั มาเปล่ยี นเทือกสวนไร่นาทร่ี กร้าง มาเปน็ แหล่ง ผลติ พืชผลทางการเกษตรหลกั ของคนทวั่ ประเทศ และคนทั่วโลกได้ ทาอย่างไรจะลดทอนอานาจกลุม่ ทุน ใหญ่ที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์และเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรในรูปแบบเกษตรพันธะสัญญาได้ และ ทาอย่างไรราคาสินค้าทางการเกษตรจะเป็นแรงจูงใจให้คนที่ทิ้งบ้านเรือนไปทางานตามเมืองใหญ่ ได้ กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดของตนอย่างพออยู่ พอกิน และมีความสุขได้ ความสุขจากการยึดแนวทางด้าน หลักเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิต ปลูกไว้กินไว้ใช้ ไม่ใส่สารพิษ เหลือกินเหลือเก็บ คอ่ ยสง่ ขาย นี่คงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้มอี านาจในการบริหารบ้านเมือง หรือกาหนดแผนพัฒนาประเทศควร ตอ้ งนามาคบคดิ และคน้ หาแนวทางพฒั นาเรือ่ งดงั กล่าวใหม้ ีความยง่ั ยนื ตอ่ ไป จากสถานการณ์ดังกลา่ วมาข้างต้น ภาคการเกษตรกรรม โดยเฉพาะประชาชนในภาคการเกษตร คือโจทย์หลักของการทาโครงการ พัฒนาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ตลาดโรงเรียน ความย่ังยืนสู่ชุมชน ท่ี เป็นโครงการท่ีพัฒนาต่อเน่ืองมาจากโครงการศูนย์การเรียนรู้เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ตลาดโรงเรียน ความย่ังยืนสู่ชุมชน ในปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ท่ีเน้นให้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ตน้ แบบชุมชนบ้านดอนยม ตาบลท่าขอนยาง อาเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม(เป็นชมุ ชนต้นแบบ) และหาแนวทางจัดทาตลาดโรงเรียน เพ่ือรับจัดจาหน่าย สนิ ค้าเกษตรอินทรีย์ พืชผัก ปลอดสารพิษ จาก
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน I 59 ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ยั ครง้ั ที่ 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” ชุมชนบ้านดอนยม ตาบลท่าขอนยาง อาเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ตลอดจนสร้างความเขม้ แข็ง ให้ชุมชนตน้ แบบ คอื ชุมชนบ้านดอนยม ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เพื่อให้เป็นชุมชนท่ี ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในการเล้ียงชุมชนของตนเองได้อย่างยั่งยืน เป็นรูปธรรมให้ชุมชนอื่นๆ สามารถนาองค์ความรู้ดังกล่าวน้ีไปปรับใช้ได้กับชุมชนตนเองต่อไป ในปีงบประมาณ 2561 นี้ เป้าหมาย การจัดดาเนินการมีการเพมิ่ ข้ึนในเร่ือง จัดขยายชมุ ชนเครือขา่ ยการเรียนรู้ เครือข่ายเกษตรอินทรยี ์ ตลาด โรงเรียน ยั่งยืนสู่ชุมชน ไปยังชุมชนอื่นๆ รอบๆ มหาวิทยาลัย จากชุมชนต้นแบบคือชุมชนบ้านดอนยม ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ไปสู่ชุมชนเครือข่ายสมาชิกใหม่อ่ืนๆ ในครั้งน้ีได้ขยาย เครือข่ายสู่โรงเรียนในระดับประถมศึกษา จานวน 5 โรงเรียน คือ ได้แก่ โรงเรียนบ้านท่าขอนยาง, โรงเรียนบ้านดอนเวียงจันทร์,โรงเรียนบ้านขามเรียงเขียบโนนแสบง,โรงเรียนบ้านกอกวิทยาคม,โรงเรียน บ้านดอนหน่อง เน้นการนานักเรียนกลุ่มต้นแบบ เข้าร่วมอบรมท้ังภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ตามแผน กระบวนการดาเนนิ โครงการ 2. กระบวนการดาเนนิ งาน (PDCA) ระยะเตรียมการ (ระยะต้นน้า)เตรียมความพร้อมในการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ สร้างเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ดาเนินการในด้านการบริการทาง ความรู้ ให้กับสมาชิกในเครือข่าย เป็น ศูนย์การอบรมข้อมูลด้านความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ การปลูกพืชปลอดสารพิษ การใช้ผลิตภัณ ฑ์ขจัด ศัตรูพืชท่ีสกัดจากธรรมชาติ โดยพ่ึงพิงองค์ความรู้ วิทยากร หรือเครือข่ายปราชญ์ชุมชน จากทาง มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ซ่ึงมีความพร้อมในเรื่องทรัพยากรต่างๆมากกว่า จดั ต้ังธนาคารเมล็ดและพันธุ์ พืชพ้ืนบ้าน เพื่อช่วยให้ชาวชุมชนสามารถยืมเมล็ดพันธ์ุ หรือต้นพันธ์ุไปปลูกในครัวเรือน หรือพื้นท่ีของ ชุมชน แล้วส่งคืนดอกเบี้ย ในรูปของเมล็ดพันธุ์ หรือต้นพันธ์ุ ที่เพิ่มจานวนมากขึ้น เป็นการส่งเสริมการ ขยายพันธุ์พืชในท้องถ่ิน เพ่ือการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชดาเนินการ รวบรวม รับบริจาค เมล็ดพันธุ์พืช พ้ืนบ้าน ต้นพันธุ์ จากชาวบ้าน หรือท้องถ่ินในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเป็นต้นทุนในธนาคาร เมล็ดพันธ์ ทั้งนีใ้ นโครงการปีนี้ไดเ้ ปน็ ปีท่ีรเิ ร่ิมขยายเครือข่ายไปยังโรงเรียนที่อยู่ข้างเคียง ในการเป็นศูนย์ การเรียนรู้ให้กบั โรงเรียนเครือข่ายในระดับประถมศกึ ษาท่ีอย่ใู นเขตพน้ื ทคี่ า้ งเคยี งโรงเรยี น อนั จะเป็นการ สร้างความตระหนักให้กับนักเรียนในระดับประถมศึกษา เร่ืองการดาเนินการด้านเกษตรอินทรีย์ การ อนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรทางธรรมชาติ เปน็ ตน้ ระยะดาเนินงาน (ระยะกลางน้า)เดือนกุมภาพันธ์-เดอื นเมษายน 2561 ได้ดาเนินการจัดต้ังศนู ย์ การเรียนรู้เกษตรอนิ ทรยี ์ สร้างเครือขา่ ยเกษตรอินทรีย์ จดั ตง้ั ธนาคารเมล็ดและพนั ธุ์พชื พน้ื บา้ น เพื่อชว่ ย ให้ชาวชุมชนสามารถยืมเมล็ดพันธุ์ หรือต้นพันธ์ุไปปลูกในครัวเรือน หรือพ้ืนที่ของชุมชน แล้วส่งคืน ดอกเบ้ีย ในรูปของเมล็ดพันธ์ุ หรือต้นพันธ์ุ ท่ีเพิ่มจานวนมากขึ้น เป็นการส่งเสริมการขยายพัน ธุ์พืชใน ทอ้ งถ่ิน เพื่อการอนรุ ักษ์พนั ธกุ รรมพชื ดาเนินการ รวบรวม รบั บริจาค เมลด็ พันธุ์พชื พ้นื บ้าน ตน้ พันธุ์ จาก ชาวบ้าน หรือท้องถ่ินในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพ่ือเป็นต้นทุนในธนาคารเมล็ดพันธ์เดือน กุมภาพันธ์ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2561นานักเรยี นจากโรงเรียนหรือหน่วยงานทส่ี นใจโครงการเข้าศึกษาดู
60 I เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน ในงานการประชมุ วิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ยั ครง้ั ท่ี 14 : สาขาบริการวชิ าการ” งาน ทั้งน้ีมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาสนใจตอบรับเข้าร่วมโครงการอบรม จานวน 5 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้านท่าขอนยาง,โรงเรียนบ้านดอนเวียงจันทร์,โรงเรียนบ้านขามเรียงเขียบ โนนแสบง,โรงเรียน บา้ นกอกวทิ ยาคม,โรงเรยี นบ้านดอนหน่อง การประชุมและอบรมภาคทฤษฎแี ละปฏิบัตเิ ดือนกุมภาพันธ์ - กันยายน 2560 จัดทาตลาดโรงเรียน เพ่ือจัดจาหน่าย สินค้าพืชผัก ปลอดสารพิษ ในพ้ืนที่อาคารรับรอง ผู้ปกครอง ของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) จัด ประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ปกครอง บุคลากรในโรงเรียน บุคลากรในมหาวิทยาลยั มหาสารคามหรือผู้สนใจได้ ทราบช่วงวันเวลาในการเปิดตลาดเกษตรอินทรีย์ ตลอดจนจัดทาเว็บไซต์ระบบตลาดโรงเรียนออนไลน์ เพื่อให้ผู้สนใจสามารถส่ังซื้อสินค้าทางการเกษตรปลอดสารพิษตามรายการที่โรงเรียนกาหนด เดือน พฤษภาคม – กนั ยายน 2560 สร้างความยั่งยนื ให้ชุมชนต้นแบบ คือ ชุมชนบา้ นดอนยม ต.ท่าขอนยาง อ. กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เพื่อให้เป็นชุมชนที่ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในการเล้ียงชุมชนของ ตนเองได้อย่างย่ังยืน เป็นรูปธรรมให้ชุมชนอ่ืนๆ สามารถนาองค์ความรู้ดังกล่าวน้ีไปปรับใช้ได้กับชุมชน ตนเองต่อไป ระยะเวลาประเมินผล (ระยะปลายน้า) เดือนกันยายน 2560 เป็นต้นไป (หลังจากรายงานผล การจัดดาเนินโครงการแล้วเสร็จ) ติดตามความต่อเน่ืองให้โรงเรียนเป็นพื้นท่ีการเรียนรู้ท่ี โรงเรียน หรือ หน่วยงานอื่นๆท่ีสนใจสามารถมาศึกษาดูงานเพื่อนาเอาแนวความคิดของโครงการ “พัฒนาศูนย์การ เรยี นรู้ เกษตรอินทรีย์ ตลาดโรงเรียน สู่ความย่ังยืนของชุมชน”ไปปรับใชใ้ ห้เกิดประโยชน์สูงสุดกับชุมชน ของตนเอง จากนน้ั ประเมนิ ผลการจดั ดาเนนิ โครงการ ด้วยแบบประเมินผลการจัดดาเนนิ โครงการ ควบคู่ กับการประเมินผลจากการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้เครือข่ายเกษตรอินทรีย์สาหรับเยาวชน ในเขตอาเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม (The development of organic agriculture learning center network for young people in kantharawichai district, Mahasarakham Province, Thailand.)” 3. การบูรณาการกบั ภารกิจหลักด้านอื่นๆ ในดา้ นการบูรณาการกบั ภารกิจหลักด้านอื่นๆ ทั้งด้านการเรียนการสอน ด้านบูรณาการกับการ วิจัย และด้านการบูรณาการกับการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรม โครงการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ เกษตร อินทรีย์ ตลาดโรงเรยี น สูค่ วามยั่งยืนของชมุ ชน ไดม้ ุ่งเนน้ ให้โครงการสรา้ งศกั ยภาพทางการเรยี นรู้ เพ่อื ให้ เกิดการบูรณาการการเรียนรู้ให้แตกแขนงออกไปหลายๆด้าน “ด้านการเรียนการสอน” ผู้ดาเนิน โครงการได้พัฒนาหลักสูตรภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ เร่ือง เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ตลาดโรงเรียน ยั่งยืนสู่ ชุมชน ท่ีมีจุดเน้นการพัฒนาการเรียนรู้เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะทางภูมิศาสตร์กับสภาวะทาง เศรษฐกิจเช่น การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ต่อการผลิต และการบริโภค โดยใช้กระบวนการคิด การ วิเคราะห์ และการสังเคราะห์ตลอดจนการลงมือปฏิบัติจริงในภาคปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์กระบวนการเรียนรู้ จากการตั้งสมมุติฐาน ว่าตรงกับ กระบวนการสืบค้นข้อมูล กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญ สถานการณแ์ ละแก้ปัญหา กระบวนการปฏบิ ตั ิ กระบวนการกลุ่ม ทงั้ นี้ โดยการใชก้ ระบวนการเรยี นรูแ้ บบ
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน I 61 ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวจิ ัย คร้ังท่ี 14 : สาขาบริการวชิ าการ” การลงมือทา (Learning by doing) การลงพื้นท่ีในโรงเรียน หรือพื้นที่ในชุมชนข้างเคียงโรงเรียน การศึกษาปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์ของพื้นท่ี การใช้ความรู้ทางภูมิศาสตร์ในการวางแผนช่วยเหลือ เสนอแนะ จัดหา ดาเนินการ อบรม ใหค้ วามรู้ การปลูกพืช หรือเล้ียงสัตว์ หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจอ่ืน ใด ทเี่ หมาะสมกับภูมศิ าสตร์สิ่งแวดลอ้ มของพ้ืนท่ีนน้ั ๆ การช่วยเหลือ การนาพาจนได้มาซึ่งรายได้ อันเกิด จากกิจกรรมการผลิต และเหลือจากการบริโภคจึงนามาจาหน่าย การสร้างตลาดโรงเรียน เพ่ือฝึกการ เรียนรู้ ปัญหาพนื้ ฐานทางเศรษฐกิจ สู่การหาแนวทางในการแก้ปัญหา ผ่านกระบวนการต่างๆ จนนาไปสู่ ความสาเร็จเพอ่ื ให้เกิดความรู้ความเขา้ ใจสามารถสอ่ื สารส่งิ ท่ีเรียนรู้ มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี มี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ในด้านใฝ่เรียนรู้ มุ่งม่ันในการทางาน มีวินัย มีจิตสาธารณะ เห็นคุณค่าและมี จิตสานึก และมสี ว่ นร่วมในการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ มเพ่ือการพฒั นาที่ย่ังยืน “ดา้ นบรู ณาการ กับการวิจัย”โครงการนี้ผู้จัดดาเนินโครงการได้ดาเนินการจัดทาวิจัยควบคู่กับการจัดดาเนินกิจกร รม โครงการ โดยมีชื่อโครงการวิจัยว่า “การพัฒนาศูนย์การเรยี นรู้เครือข่ายเกษตรอินทรีย์สาหรับเยาวชน ในเขตอาเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม The development of organic agriculture network learning center for youth people in kantharawichai district, Mahasarakham Province, Thailand.”ซึ่งดาเนินการศึกษาค้นคว้างานวิจัยโดย นายองอาจ ญาตินิยม, ดร.วุฒิศักด์ิ บุญแน่น, นางสาวทิวาภรณ์ เมฆเสนา, นายอุเทน พีบขุนทด, นางวงเดือน ปะจันทัง และ นายอาทิตย์ โคชขึง ซ่ึงเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ท้ังนี้ได้ผลการศึกษาค้นคว้า ดังต่อไปน้ี “ผลการวิเคราะห์ เปรียบเทียบความตระหนักต่อการทาเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษและการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมก่อนและ หลังเข้าร่วมกิจกรรมของเยาวชน นักเรียนระดับประถมศึกษา ในเขตพื้นที่อาเภอกันทรวิชัย จ. มหาสารคาม พบว่า นักเรียนมีความตระหนักต่อการทาเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษและการอนุรักษ์ สงิ่ แวดลอ้ มก่อนและหลังเข้ารว่ มกิจกรรมแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05 โดยหลังการ เข้าร่วมกิจกรรมนักเรียนมีความตระหนักเพิ่มมากข้ึน ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความตระหนักต่อ การทาเกษตรอินทรียป์ ลอดสารพิษและการอนุรักษ์สง่ิ แวดล้อมก่อนและหลังเข้าร่วมกจิ กรรมของเยาวชน นักเรียนระดับประถมศึกษา ในเขตพืน้ ท่ีอาเภอกนั ทรวิชัย จ.มหาสารคาม พบว่า นักเรียนมีความตระหนัก ต่อการทาเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษและการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมกอ่ นและหลงั เข้าร่วมกิจกรรมแตกต่าง กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยหลังการเข้าร่วมกิจกรรมนักเรียนมีความตระหนักเพ่ิม มากข้ึน ในส่วนของ “ด้านการบูรณาการกับการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรม”เกิดภาคีเครือข่ายด้าน เกษตรอินทรีย์ ตลาดโรงเรียน ยั่งยืนสู่ชุมชน และขยายองค์ความรู้สู่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนผู้สนใจอื่นๆ โดยในการดาเนินงานในคร้ังนี้ เกิดภาคีเครือข่ายท่ีเป็นนักเรียนในระดับ ประถมศึกษา จนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น เพ่ิมขึ้นจานวน 5 โรงเรียน อันได้แก่ โรงเรียนบ้านท่าขอนยาง, โรงเรียนบ้านดอนเวียงจันทร์,โรงเรยี นบ้านขามเรียงเขียบโนนแสบง,โรงเรียนบ้านกอกวิทยาคม,โรงเรียน บ้านดอนหน่อง เกิดการส่งเสริมการอนุรักษ์พันธ์ุพืชพื้นบ้าน และส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียน และชุมชน การอนุรักษ์พันธ์พืชพื้นบ้านกลายเป็นปัจจัยที่สาคัญอีกปัจจัยหนึ่งในการจัดดาเนินโครงการ เกษตรกรในเครือข่ายเกิดความตระหนักและเห็นคุณค่าของพันธ์พืชพ้ืนบ้านมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากเม่ือ
62 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชุมวชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจยั ครง้ั ท่ี 14 : สาขาบริการวิชาการ” ลงพ้ืนที่ในการจัดดาเนินโครงการชาวบ้านชาวชุมชนเกษตรกรในพื้นท่ีมักจะนาเมล็ดพันธ์พืชพ้ืนบ้านมา บริจาคเข้าโครงการธนาคารเมล็ดพันธ์อยู่เสมอ จนขณะนี้ในธนาคารเมล็ดพันธ์มีจานวนชนิดของเมล็ด พันธ์เพ่ิมขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในโรงเรียนให้ดีข้ึน จากการปรับปรุงพ้ืนที่ให้ ปลูกพืชผักพันธ์พื้นบ้านต่างๆ สร้างกระบวนการเรยี นรู้ด้านพันธ์พุ ืชพื้นบา้ นต่างๆใหก้ ับนักเรยี น โรงเรียน ได้จัดสร้างศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ซ่ึงนอกเหนือจากการให้ความรู้เรอื่ งการปลูกพืชตามแนวเกษตร อินทรยี ์ในโรงเรยี นแล้ว ผลผลิตจากการปลูกพชื เกษตรอินทรีย์เหลา่ น้นั ยังนามาขายในตลาดโรงเรยี นสร้าง รายได้ให้ฝ่าย อันจะนางบประมาณจากการขายพืชเกษตรอินทรีย์มาหมุนเวียน ใช้ซื้อหาเมล็ดพันธ์ ตลอดจนซ้อื วัสดุอปุ กรณ์ทจ่ี าเป็นตอ่ การทาสวนเกษตรอินทรีย์อยา่ งตอ่ เน่อื งตอ่ ไป 4. ผลการดาเนินงาน ในด้านผลลัพธ์จากการดาเนินงานโครงการ ในข้อค้นพบตามวัตถุประสงค์ จัดขยายชุมชน เครือข่ายการเรียนรู้ เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ตลาดโรงเรียน ย่ังยืนสู่ชุมชน ไปยังชุมชนอื่นๆ รอบๆ มหาวิทยาลัยจากชุมชนต้นแบบได้แก่ ชุมชนบ้านดอนยม ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม สู่ ชุมชนเครือข่ายสมาชิกใหม่ อาทิ ชุมชนบ้านดอนนา ตาบลท่าขอนยาง อาเภอกันทรวิชัย จังหวัด มหาสารคาม หรือชุมชนอืน่ ๆทใ่ี ห้ความสนใจเข้าร่วมเปน็ สมาชิกเครอื ข่าย ในการจัดดาเนนิ โครงการฯคร้ัง น้ีได้ขยายเครือข่ายสู่หน่วยชุมชนเป็นโรงเรียนในระดับประถมศึกษา จานวน 5 โรงเรียน คือ ได้แก่ โรงเรียนบ้านท่าขอนยาง, โรงเรียนบ้านดอนเวยี งจันทร์, โรงเรยี นบา้ นขามเรียงเขียบโนนแสบง, โรงเรียน บ้านกอกวิทยาคม, โรงเรียนบ้านดอนหน่อง โดยมีจานวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมโครงการในคร้ังนี้ รวมทั้งส้ิน จานวน 120 คน โดยผเู้ ข้ารว่ มโครงการทั้งหมดผ่านการอบรมทั้งภาคทฤษฎแี ละภาคปฏบิ ัติ ตามหลักสตู ร การอบรมการทาเกษตรอนิ ทรยี ์ เพ่ือการอนรุ กั ษ์สิ่งแวดลอ้ มสาหรับเยาวชน ผลจากการอบรมเป็นไปตาม ผลการวิจัยขา้ งต้น และดาเนินการจัดทาตลาดโรงเรียน ในพน้ื ทโ่ี รงเรียนสาธติ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) เพื่อรองรับการจัดจาหน่าย สินค้าเกษตรอินทรีย์ พืชผักปลอดสารพิษ จากเครือข่ายสมาชิก ชุมชนที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนใหม่ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ตลาดโรงเรียน ย่งั ยนื สู่ชมุ ชน เพ่อื เป็นต้นแบบ ในการเล้ยี งชุมชนของตนเองไดอ้ ย่างยง่ั ยนื เปน็ รูปธรรมให้ ชมุ ชนอื่นๆ สามารถนาองคค์ วามรดู้ ังกล่าวนไ้ี ปปรบั ใช้ได้กับชุมชนตนเองตอ่ ไป 5. บทสรุป กระบวนการหรือองค์ความรู้ใหม่ท่ีควรพัฒนาหรือต่อยอดเพ่ือให้เกิดความยั่งยืนในชุมชน ของ โครงการพัฒนาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ตลาดโรงเรียน สู่ความยั่งยืนของชุมชน คือ สร้างความเข้มแข็ง ให้ชุมชนใหม่ๆ ท่ีเขา้ ร่วมกิจกรรมเครอื ข่ายเกษตรอินทรีย์ ตลาดโรงเรียน ยั่งยืนสูช่ ุมชน เพื่อเป็นต้นแบบ ในการเลี้ยงชุมชนของตนเองได้อย่างย่งั ยนื เป็นรูปธรรมใหช้ ุมชนอื่นๆ สามารถนาองคค์ วามรู้ดังกล่าวนไ้ี ป ปรบั ใช้ไดก้ ับชุมชนตนเองต่อไป การประเมินกจิ กรรมโครงการในทุกชว่ งของกิจกรรมโครงการ ท้งั ชว่ งต้น น้า กลางน้า และปลายน้า และเมื่อพบข้อท่ีจะต้องปรับปรุงแก้ไข ให้เร่งดาเนินการในทันที และจัดการ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 63 ในงานการประชมุ วิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ยั ครงั้ ท่ี 14 : สาขาบริการวชิ าการ” อบรมให้กับสมาชิกเมื่อมีแนวความรู้ใหม่ๆด้านการเกษตรอินทรีย์ เกษตรทางเลือก หรือการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแบบใหม่ๆเข้ามา ให้สมาชิกเครือข่ายเกิดความตื่นตัวอยู่เสมอ เน้นการ ประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการเข้ามาศึกษาดูงานของหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนอ่ืนที่สนใจ โดยเน้นการเข้ามาศึกษาดงู านกิจกรรมของศนู ย์ เมอ่ื มีผู้เข้ามาศึกษาดูงาน ก็จะทาให้สมาชิกเครือขา่ ยเกิด การตื่นตัวในการดาเนินงาน ในฐานะสมาชิกศูนย์การเรียนรู้ เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ตลาดโรงเรียน ยั่งยืนสู่ชุมชน ส่วนการต่อยอดก็เน้นไปท่ีการพัฒนา หรือแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดกับ สินค้าเกษตรอินทรีย์ ในรูปแบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ กับ การพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบเดิม (Strategic Product Development vs Traditional Product Development) ซึ่งถือเป็นการต่อยอด ให้เกิดความรู้ใหม่ และมีความเหมาะสมกับบริบทของโครงการมากท่ีสดุ ภาพกจิ กรรม 1. การเกบ็ ข้อมูลพนื้ ฐานก่อนการเข้าร่วมการอบรม 2. การอบรมสมาชิกเครอื ขา่ ยต้นแบบ ชมุ ชนบา้ นดอนยม 3. การอบรมสมาชิกเครอื ข่ายสมาชิกใหม่ (ร.ร.ระดับประถมศึกษา 5 แหง่ )
64 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชมุ วิชาการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวิจยั คร้ังท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” 4. การอบรมภาคปฏิบตั แิ ละการเกบ็ ขอ้ มลู หลงั การเขา้ รว่ มการอบรม 5. กิจกรรมตลาดโรงเรียน การจาหน่ายสินคา้ เกษตรอินทรียป์ ลอดสารพษิ ในโรงเรียน บรรณานกุ รม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2551). เอกสารประกอบการบรรยายโครงการพฒั นาการเกษตรตาม แนวทฤษฎี. กรุงเทพมหานคร. กรมส่งเสริมการเกษตร. (2537). เอกสารวิชาการที่ 39 การจดั การฟารม์ . กลุม่ งานส่งเสริมการจัดการ ฟาร์ม กองสง่ เสริมธุรกจิ เกษตร. พิมพ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ. กนกพร รัตนสธุ ีระกลุ , อรุณวดี หงสอ์ ดุ ร, รังสรรค์ เดชพลมาตย์ และฐติ ิพร สกุลจร. (2551). การสรา้ ง กระบวนการเรียนรูเ้ พือ่ นาไปส่คู วามเป็นเครือขา่ ยตลาดนัดสเี ขยี วอย่างมสี ่วนร่วม. มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. มหาสารคาม. กรรณกิ าร์ ทองจันทร.์ (2546). ความต้องการฝึกอบรมด้านการเกษตรผสมผสานของเกษตรกรใน จังหวดั สุรนิ ทร.์ วิทยานิพนธป์ รญิ ญา วทิ ยาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าสง่ เสรมิ การเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . คณะกรรมการพฒั นาเกษตรอนิ ทรยี ์แหง่ ชาติ. หลักการเกษตรอนิ ทรีย.์ (2560). เข้าถงึ ไดจ้ าก : http://www.greennet. or.th/article/1006. (online). สืบค้นเมื่อ 13 ธันวาคม 2560. คมสัน หตุ ะแพทย์. (2554). เกษตรผสมผสานแบบประณตี 1 ไร่ ร่ารวย. สานกั พมิ พเ์ กษตรธรรมชาต.ิ กรงุ เทพฯ. ครอู อ (ห้องเรียนครูออ). (2561). ความหมาย ความสาคญั และประโยชน์ของการเกษตร เขา้ ถึงไดจ้ าก : https://sites.google.com/site/kruorclass/feeding-habits. สืบค้นเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2561.
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 65 ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ัย ครงั้ ท่ี 14 : สาขาบริการวชิ าการ” ชูศักดิ์ คงคานนท.์ (2561). เกษตรกรรม. เข้าถงึ ไดจ้ าก : ebook.ram.edu/ebook/g/GE253(50)/ GE253-9.pdf สืบค้นเมอ่ื 20 กุมภาพนั ธ์ 2561. ชูศกั ดิ์ วทิ ยาภคั . (2537). พฤติกรรมมนุษย์กบั การพัฒนาคน. กรุงเทพฯ : ทิพยว์ ิสทุ ธ.ิ์ ฐาปนี ศรีจานง. (2559). การพัฒนาคมู่ อื เกษตรกรรมแบบผสมผสาน ตามโครงการฟารม์ ตวั อยา่ ง หนองหมากเฒา่ ตามพระราชดาริ ในสมเดจ็ พระนางเจ้าสิริกติ ิ์ พระบรมราชินนี าถ จงั หวัด สกลนคร. วิทยานิพนธ.์ วิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชา สิง่ แวดล้อมศึกษา. คณะ ส่ิงแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์. มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. มหาสารคาม. มูลนธิ ิสายใยแผน่ ดิน. (2555). แนวทางเกษตรอินทรยี .์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.greennet. or.th/article/86 (วันทค่ี น้ ข้อมูล : 2 มีนาคม 2555) มูลนิธิสายใยแผน่ ดนิ . (2555). หลกั การเกษตรอนิ ทรีย.์ เข้าถึงไดจ้ าก : http://www.greennet. or.th /article/1006 (วนั ทคี่ น้ ข้อมลู : 2 มนี าคม 2555) ทพิ ย์รัตน์ สภุ า. (2551). การจัดการขยะมลู ฝอย ณ แหล่งกาเนดิ : ศกึ ษากรณคี รัวเรือนในเขต เทศบาลตาบลสันทรายหลวงจงั หวัดเชยี งใหม่. วิทยานพิ นธ์ ส.ม. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . นงนภัส ควู่ รัญญู เที่ยงกมล. (2551). สงิ่ แวดล้อมและการพฒั นา เลม่ 1. จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพฯ. นิพนธ์ แจง้ เอ่ยี ม. (2544). จิตวิทยาสังคม. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์เอกมัยการพมิ พ์. เบญจวรรณ ฆารประเดิม. (2559). การพัฒนาคู่มอื การฝึกอบรมการทาเกษตรผสมผสานเพอ่ื การ อนรุ ักษส์ ่ิงแวดล้อม สาหรบั เกษตรกรบา้ นศรีวลิ ยั ตาบลหนองปลงิ อาเภอเมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาวทิ ยาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาส่งิ แวดลอ้ มศกึ ษา. คณะ ส่ิงแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. มหาสารคาม. ประยรู วงศ์จันทรา. (2555). วิทยาการส่ิงแวดล้อม. คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. ประภา เพ็ญสวุ รรณ. (2526). ทศั นคติ : การวดั ความเปลี่ยนแปลงและพฤตกิ รรมอนามัย. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. เพญ็ นภา หัสรงั ค์. (2553). การทาเกษตรอนิ ทรีย์ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพยี งของสมาชิกเครือข่าย เกษตรอินทรยี ์จังหวัดจนั ทบุรี. วิทยานพิ นธ.์ ศลิ ปะศาสตร์มหาบณั ฑิต. มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี. จนั ทบรุ .ี เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://tdc.thailis.or.th/tdc/browse.php?. (online). สบื คน้ เมอื่ 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2561. มูลนิธิมั่นพัฒนา. (2561). การขับเคล่ือนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในสถานศึกษา. เข้าถงึ ได้ จาก : http://www.manpattanalibrary .com/newsdetail.php?id=57. สบื คน้ เมือ่ 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2561.
66 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชุมวิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ัย ครั้งท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” รัตติยากรณ์ อนิ ทะสร. (2556). การส่งเสริมการทาเกษตรอนิ ทรียเ์ พ่ือชวี ิตท่พี อเพียงและสงิ่ แวดล้อม สาหรบั บ้านศรีวิลัย อาเภอเมือง จงั หวดั มหาสารคาม. โครงการวิจัย. วทิ ยาศาสตรบ์ ณั ฑิต สาขาสงิ่ แวดล้อมศกึ ษา. คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. มหาสารคาม. วชิ ยั วงษใ์ หญ.่ (2525). จติ วทิ ยาการรับรู้. กรุงเทพฯ : ประกายพรึก. วเิ ชียร ฝอยพิกุล. (2550). การยอมรบั แนวคดิ เรื่องเกษตรอินทรียข์ องเกษตรกรชุมชนสวนผกั บา้ นท่า ตะโก. รายงานการวิจัย. โปรแกรมวิทยาศาสตรส์ ิง่ แวดลอ้ ม. คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครราชสมี า. นครราชสมี า. 2550 เข้าถึงได้จาก : http://tdc.thailis. or.th/tdc/browse.php?. (online). สืบคน้ เมอื่ 21 กุมภาพันธ์ 2561. วสิ ุทธ์ิ ใบไม.้ (2458). ความหลากหลายทางชวี ภาพ วฒั นธรรม และสังคมไทย. ภาควิชาชวี วิทยา คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล. ชวนพมิ พ์. กรงุ เทพฯ. วฑิ รู ย์ ปัญญากุล. (2558). ภาพรวมเกษตรอินทรยี ์ไทย 2558. บทความ รายงานประจาป.ี เข้าถงึ ได้ฃ จาก : http://www.greennet.or.th/article/. สานักงานปลดั กระทรวงพาณิชย์. กรุงเทพฯ. (online). สืบคน้ เม่อื 13 ธันวาคม 2560. ____________. (2559). ภาพรวมเกษตรอนิ ทรียไ์ ทย 2559. บทความ รายงานประจาป.ี เขา้ ถงึ ได้ จาก : http://www.greennet.or.th/article/411. สานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์. กรงุ เทพฯ. (online). สืบคน้ เมอื่ 13 ธนั วาคม 2560. สายใจ คงพานชิ . การประเมินโครงการสรุ ินทรเ์ มอื งเกษตรอนิ ทรีย์ปลอดสารเคมีและสารพษิ ของ จงั หวดั สรุ ินทร.์ วิทยานิพนธ.์ ศลิ ปะศาสตร์มหาบณั ฑติ . มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สรุ ินทร์. สุรนิ ทร์. 2548. สานักงานเศรษฐกจิ การเกษตร. แผนพัฒนาการเกษตร ในช่วงแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 พ.ศ. 2561 – 2564. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. กรงุ เทพฯ. 2559. สานักงานพาณชิ ย์ จังหวดั สรุ นิ ทร์. (2552). เกษตรอินทรยี ใ์ นโรงเรียน. เข้าถึงไดจ้ าก : http://www. organic.moc.go.th/th/news : ที่มา หนงั สือพมิ พ์เดลนิ วิ ส์ วนั พุธ ท่ี 21 ตุลาคม 2552 /ขา่ วยามเชา้ . (online). สบื ค้นเมอื่ 20 กมุ ภาพันธ์ 2561. อนนั ตพล ยาทองไช. (2558). ศนู ยเ์ รียนรูเ้ กษตรกรรมยั่งยืนชุมชน. [ออนไลน]์ . เข้าถงึ ได้จาก : http://www.itrmu. net/web/khamphanl/show-webcontent.php?cat_id=&mid=54. สบื คน้ เมือ่ วันท่ี 20 มีนาคม 2558. อบุ ล แควน้ ไทยสงค.์ (2556). การสง่ เสริมการทาเกษตรอนิ ทรยี ์เพ่ือคุณภาพสิง่ แวดล้อมในชุมชนบ้าน หนองหนิ ตาบลโคกก่อ อาเภอเมือง จังหวดั มหาสารคาม. โครงการวิจยั . วิทยาศาสตร์บณั ฑิต สาขาสงิ่ แวดล้อมศึกษา. คณะสง่ิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. มหาสารคาม.
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน I 67 ในงานการประชุมวิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ัย ครง้ั ท่ี 14 : สาขาบริการวชิ าการ” Donal W. Lotter. (2008). Organic Agriculture. Journal of Sustainable Agriculture. Volume 21, 2003 - Issue 4. Pages 59-128. Received 10 Oct 2001, Accepted 01 Feb 2002, Published online: 22 Oct 2008. (Online). http://www.tandfonline.com/. 25 Feb 2018. Odiorne, R. (1970). Training by Objectiv: An Economic Approach to Management Training. New York: The McMillian Company. Tiziano Gomiero, David Pimentel & Maurizio G. Paoletti. (2011). Environmental Impact of Different Agricultural Management Practices : Conventional vs. Organic Agriculture. Critical Reviews in Plant Sciences. Volume 30, 2011 - Issue 1-2 : Towards a More Sustainable Agriculture. (Online). http://www.tandfonline.com/. 25 Feb 2018.
โรงเรยี นตน้ แบบการสร้างพลเมืองเพอ่ื เสรมิ สร้างประชาธิปไตยจากฐานราก โครงการบรู ณาการหน่งึ หลกั สตู รหนงึ่ ชมุ ชน ศราวุฒิ วสิ าพรม และ วชริ วตั ต์ิ อารยิ ะสิริโชติ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง 1. ความเปน็ มาของปัญหา บริบทสังคมการเมืองไทยปัจจุบันท่ีกาลังเดินหน้าสู่การปฏิรูประบอบการปกครองในรูปแบบ ประชาธิปไตย ซึ่งก็ได้ดาเนินมาถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แล้วเม่ือเมษายนท่ีผ่านมา ซึ่งในมาตรา 71 ได้ระบุข้อความหนึ่งว่า “รัฐพึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากร มนษุ ยใ์ ห้เปน็ พลเมืองที่ดี มคี ุณภาพและความสามารถสูงขนึ้ ” รฐั ไทยทั้งหนว่ ยงานด้านการศึกษาและภาคเอกชนเองมีความพยายามสนับสนุนให้ประชาชนไทย เปน็ “พลเมือง” มาตง้ั แต่ทศวรรษ 2530 (ชัยอนันต์ สมุทวณิช, 2554) และในห้วงเวลา 10 ปีทผ่ี ่านมา ก็มีความพยายามส่งเสริมให้ประชาชนเป็น “พลเมือง” ตามระบอบประชาธิปไตย ดังปรากฏใน “ยุทธศาสตร์พัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง ในระหว่าง พ.ศ. 2553 - 2561” (วรากรณ์ สามโกเศศ, 2554) หนง่ึ ในวิธีการสร้าง “พลเมือง” ที่ถูกนามาใช้คอื การศึกษา เพอ่ื สร้างพลเมอื ง ซง่ึ แวดวงการศึกษา ได้พัฒนาการจัดกระบวนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับแนวคดิ Civic Education อย่างลึกซ้ึงมาบ้าง แล้ว (ปริญญา เทวานฤมิตรกุล, 2552 ; วิชัย ตันศิริ, 2557) อย่างไรก็ดีรากฐานของ Civic Education นั้น ส่วนหนงึ่ ได้พฒั นาแนวคดิ มาจากนักคิดและนักปรัชญาทางการเมอื งเช่น Aristotle Rousseau หรือ Mill เป็นต้น Civic Education จึงแทบจะแยกไม่ออกกับการศึกษาทางรัฐศาสตร์ (Political Science) และการเมอื ง (Politics) ซ่งึ เป็นความเชี่ยวชาญของวทิ ยาลัยการเมอื งการปกครองท่มี ีบุคลากรทเ่ี ชีย่ วชาญ และวิชาที่เกี่ยวข้องท้ังด้านทฤษฎี - แนวคิดทางการเมือง นโยบายสาธารณะ การบริหารจัดการ การ บริการสาธารณะ กฎหมาย สทิ ธิมนุษยชน และความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ ทางวทิ ยาลัยการเมืองการ ปกครองเล็งเห็นวา่ การพัฒนาประชาชนไปสพู่ ลเมืองต้องมีความรทู้ างดา้ นรฐั ศาสตรแ์ ละการเข้ามามีส่วน ร่วมและบทบาทในการขับเคล่ือนกิจกรรมของกลุ่มหรือหน่วยงานเพื่อผู้เป็นพ้ืนฐานสาคัญ ซึ่งจุดเด่น ประการหน่ึงของหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิตของเราคือการสร้างหลักสูตรท่ีให้ความหมาย “ความเป็น การเมือง” (the Political) โดยท่ีไม่จากัดอยู่เพียงแค่การปกครอง (Government) และกิจกรรมของ รฐั บาลเท่านั้น แต่มีความหมายกว้างมากกวา่ นั้น (C.F. Hay, 2002) จุดเด่นของหลักสูตรรัฐศาสตรบณั ฑิตของวิทยาลัยการเมืองการปกครอง ซ่ึงประกอบด้วยวิชาเอก การเมืองการปกครอง วชิ าเอกรฐั ประศาสนศาสตร์ วชิ าเอกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (โดยมีบทบาท เป็นกลไกหลักในการขับเคล่ือนโครงการฯ) รวมถึงหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรปรบั ปรุงใหม่ พ.ศ.2560) (กลุ่มวิชาการเมืองการปกครองและกลุ่มวิชานโยบายสาธารณะ), หลักสูตรปรัชญาดุษฎี
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 69 ในงานการประชุมวชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวจิ ยั ครัง้ ท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” บัณฑิต (สาขารัฐศาสตร์) และ หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต (สาขาสิทธิมนุษยชนศึกษา) (โดยมีบทบาท สาคัญในการร่วมแลกเปล่ียน เรียนรู้ สนับสนุนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในการดาเนินโครงการฯ) หลักสูตรที่กลา่ วมาขา้ งต้นต่างมีคณุ ค่าตอ่ การขับเคลื่อนการเมืองการปกครอง การบรหิ ารราชการแผน่ ดิน กอปรกบั บริบททางสงั คมการเมืองไทยปัจจบุ นั ดงั น้นั การสรา้ งพลเมืองเพอื่ ส่งเสรมิ ประชาธิปไตยจากฐาน รากนนั้ โดยเร่ิมต้นจากฐานราก คือ กล่มุ เยาวชน ซึง่ มีความสาคัญอย่างย่งิ ในการเปน็ ผู้นาและขยายผลใน กระบวนการดังกล่าว โดยมุ่งแหล่งที่เป็นที่บ่มเพาะสร้างการศึกษาให้เยาวชน คือ โรงเรียน วิทยาลัย การเมืองการปกครอง จงึ มีความสนใจในการดาเนินโครงการในพ้ืนทจี่ ังหวัดมหาสารคาม โดยการดาเนิน กิจกรรมร่วมกับโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองมหาสารคาม จากเหตุผลท่ีกล่าวมาแล้วน้ัน เป็นมูลเหตุ สาคัญ ในการดาเนินโครงการ “โรงเรียนต้นแบบการสร้างพลเมืองเพ่ือเสรมิ สร้างประชาธิปไตยจากฐาน ราก” ร่วมกับโรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร ซ่ึงเป็นโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองมหาสารคาม ที่มี ความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการโดยจะดาเนินการร่วมกับนักเรียนและคณะครูในระดับมัธยมศึกษา ตอนต้นและระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จานวน 400 คน โดยมีแกนนานักเรียนและคณะครู 100 คน คณาจารย์และนิสิตวิทยาลัยการเมืองการปกครอง จานวน 230 คน และภาคีเครือข่าย 70 คน เพ่ือ ยกระดับเตรียมความพร้อมเป็นโรงเรียนต้นแบบการสร้างพลเมืองเพ่ือเสริมสร้างประชาธิปไตยจากฐาน ราก พรอ้ มนารอ่ งขยายผลให้กบั โรงเรียนอ่ืนๆ ในสงั กดั เทศบาลเมืองมหาสารคามและหน่วยงานทางการ ศึกษาอื่นๆ ทั้งที่อยูในจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดอื่นๆ ในอนาคตทั้งยังเป็นการบริการวิชาการเพื่อ สังคมของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และยังเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยที่มาจากข้างล่าง/เบ้ืองล่างท่ี สะท้อนผา่ นการมสี ่วนร่วมและพื้นที่ร่วมแลกเปลี่ยนพฒั นาร่วมกัน (อรรถจักร์ สัตยานุรกั ษ์, 2558 ; 2559 ; ศรีศักร วัลลิโภดม, 2559) ซึ่งสอดคลอ้ งกับวิสัยทัศน์ “รัฐศาสตร์ฐานราก เพ่ือรากฐานของสังคม” ของ ทางวิทยาลัยการเมอื งการปกครอง มหาวิทยาลยั วทิ ยาลยั มหาสารคาม 2. วัตถปุ ระสงค์ 2.1 เพ่ือสร้างโรงเรียนต้นแบบการสร้างพลเมืองเพื่อเสริมสร้างประชาธิปไตยจากฐานรากใน โรงเรยี นเทศบาลบูรพาพิทยาคาร ซ่ึงเป็นโรงเรียนในสังกดั เทศบาลเมอื งมหาสารคาม 2.2 เพอื่ สร้างค่มู อื การสรา้ งพลเมอื งเพือ่ เสรมิ สร้างประชาธิปไตยจากฐานราก เพ่อื ใชป้ ระโยชน์ ในการสรา้ งพลเมอื งในโรงเรียนตอ่ ไป 3. กระบวนการดาเนนิ การ “Plan” วางแผน โดย ประชุม กาหนดประเด็นโครงการ และจัดตั้งคณะทางาน กิจกรรม ประชุมปรึกษา หารือ กบั ผู้บริหารเทศบาลเมืองมหาสารคามและผู้บริหารโรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยา คาร เพื่อวางแผนการจัดเวทีประชุมทบทวนข้อมูล สถานการณ์ องค์ความรู้ ที่เก่ียวข้องกับโรงเรียน ตน้ แบบการสร้างพลเมอื งเพือ่ สง่ เสริมประชาธปิ ไตยฐานราก
70 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชุมวิชาการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวิจัย คร้งั ท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” “Do” ดาเนินการ กิจกรรม จัดโครงการอบรมแลกเปล่ียนเรียนรู้ การสร้างพลเมืองเพื่อ ส่งเสริมประชาธิปไตยจากฐานราก ร่วมกับโรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร โดยจัดการความรู้ (Knowledge Management) บูรณาการ 4 in 1 การสอน / การวิจัย / การบริการวิชาการ / การทานุ บารุงศิลปวัฒนธรรม “Check” ตรวจทานเกิดขอ้ มูลใช้ประโยชน์ กจิ กรรม สังเคราะหข์ ้อมลู และวางแนวทางการ ใช้ประโยชน์ “โรงเรียนต้นแบบการสรา้ งพลเมอื งสง่ เสริมประชาธิปไตยฐานราก” โดยเกิดคู่มือ การสร้าง พลเมืองเพอ่ื เสริมสร้างประชาธิปไตยจากฐานราก “Act” ทาต่อยอด กิจกรรม เกิด“โรงเรียนต้นแบบการสร้างพลเมืองเพ่ือส่งเสริม ประชาธิปไตยฐานราก”และ มีการทาความร่วมมือ ในการต่อยอดการสร้างพลเมืองร่วมกัน ระหว่าง วิทยาลัยการเมืองการปกครองมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามและ เทศบาลเมืองมหาสารคาม 4. การบูรณาการกบั ภารกจิ หลักดา้ นอืน่ ๆ 4.1 บูรณาการกับการเรียนการสอน มีการบูรณาการกับรายวิชาของหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต คือ รายวิชาความคิดทางการเมืองไทย และ รายวิชาการพัฒนาองค์การและการจัดการองค์การแห่งการ เรียนรู้ ท่ีทาให้นิสิตมีท้ังมิติการใช้ความคิดการสร้างพลเมืองและการออกแบบองค์กรเพ่ือร่วมสร้าง พลเมืองในโรงเรียนต้นแบบเพ่อื เสริมสร้างประชาธปิ ไตยจากฐานราก 4.2 บูรณาการกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการ การวิเคราะห์การสร้างพลเมืองเพื่อเสริมสร้าง ประชาธปิ ไตยจากฐานราก : กรณีศกึ ษาโรงเรียนในสงั กดั เทศบาลเมอื งมหาสารคาม 4.3 บูรณาการกับการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรม โดยมีการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรม ที่มีการ ส่งเสริมเร่ืองคุณธรรมสอดคล้องกับหน้าที่พลเมืองซึ่งถือเป็นการธารงวัฒนธรรมคุณธรรมจริยธรรมใน สงั คม
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน I 71 ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวิจัย ครงั้ ท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” 5. ผลลพั ธ์จากการดาเนนิ งานโครงการ 5.1 ข้อค้นพบตามวัตถปุ ระสงค์ เกิดโรงเรียนต้นแบบการสร้างพลเมืองเพ่ือเสริมสร้างประชาธิปไตยจากฐานราก นาร่อง คือ โรงเรยี นเทศบาลบรู พาพทิ ยาคาร 5.2 ข้อค้นพบอื่นๆที่นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ (Impact) ในแต่ละระดับ เช่น ระดับ กล่มุ เปา้ หมายตามโครงการ กล่มุ องค์กรในชมุ ชน เกิดการตระหนักรู้และมีส่วนร่วมในกิจกรรมจากโรงเรียนอีก 6 โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมือง มหาสารคาม ท่ีได้มาร่วมกิจกรรม มหกรรม“โรงเรียนต้นแบบการสร้างพลเมืองเพื่อเสริมสร้าง ประชาธิปไตยจากฐานราก” ระหว่างวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กับ เทศบาลเมืองมหาสารคาม เป็นการเร่ิมการเชื่อมร้อยและการปักหมุดที่ชัดเจนในการขยายผลการสร้าง พลเมืองในโรงเรียนในอนาคตตอ่ ไป 5.3 การขยายผลไปสู่หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พัฒนาต่อยอดโรงเรียนต้นแบบการสร้าง พลเมืองเพ่ือเสริมสร้างประชาธิปไตยจากฐานรากในอนาคตต่อไป โดยความร่วมมือระหว่างวิทยาลัย การเมืองการปกครองมหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม รว่ มกับเทศบาลเมอื งมหาสารคาม 6. บทสรุป จากโครงการบริการวิชาการ หนึ่งหลักสูตรหน่ึงชุมชน วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม “โรงเรียนตน้ แบบการสรา้ งพลเมืองเพื่อเสริมสร้างประชาธิปไตยจากฐานราก” เกดิ ผลสาเรจ็ ดงั ต่อไปนี้ 6.1 เกิดโรงเรียนต้นแบบการสร้างพลเมืองเพื่อเสริมสร้างประชาธิปไตยจากฐานราก นาร่อง คอื โรงเรยี นเทศบาลบูรพาพิทยาคาร เป็นพื้นที่รว่ มคดิ ร่วมสร้าง และจดุ ร่วมของการพัฒนายกระดับการ สร้างพลเมืองต้นแบบของจังหวัดมหาสารคาม ท่ีจะขยายผลต่อยอดจากระดับโรงเรียนไปสู่ระดับ ครอบครวั และสังคม ชุมชนตอ่ ไป 6.2 เกิดการพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาหน้าที่พลเมือง ให้มี ความทันสมัย เข้าใจในบริบทสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดให้ผู้คนได้ตระหนักและเข้าใจ หน้าท่ีและพัฒนาตนเองให้เป็นพลเมือง อันเกิดจากคู่มือการสร้างพลเมืองเพ่ือเสริมสร้างประชาธิปไตย จากฐานราก
72 I เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ยั ครั้งที่ 14 : สาขาบริการวิชาการ” 6.3 เกดิ การพัฒนาความรว่ มมือในการบรกิ ารวิชาการสนับสนุนกาลังคนและพ้ืนที่ในการขยาย ผล สร้างกลุ่มแลกเปล่ียนและดาเนินกิจกรรมเพื่อพัฒนาต่อยอดโรงเรียนต้นแบบการสร้างพลเมืองเพ่ือ เสริมสร้างประชาธิปไตยจากฐานรากในอนาคตต่อไป โดยมีการลงนามความร่วมมือ MOU ความร่วมมือ ระหว่างวิทยาลัยการเมืองการปกครองมหาวิทยาลยั มหาสารคาม ร่วมกับเทศบาลเมอื งมหาสารคาม
การบูรณาการความรู้ดา้ นวิทยาศาสตรส์ ุขภาพในการเฝ้าระวังโรคหนอนพยาธิในชุมชน ตาบลแกง่ เลิงจาน อาเภอเมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม โครงการบูรณาการหนึ่งหลักสูตรหน่ึงชมุ ชน ปิยาภรณ์ แสนศิลา และคณะ คณะแพทยศาสตร์ 1. ความเป็นมาของปญั หา ปัจจุบันงานควบคุมโรคหนอนพยาธิ เป็นงานหน่ึงของแผนงานป้องกันควบคุมโรคติดต่อใน แผนพัฒนาการสาธารณสขุ แห่งชาติ ฉบับท่ี 11 (พ.ศ. 2556-2560) ซง่ึ สว่ นกลางได้มกี ารกาหนดกลยทุ ธ์ เสนอใหจ้ ังหวดั มีการดาเนนิ การและมพี น้ื ท่ีครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเน้นการคน้ หาพน้ื ท่เี ส่ยี ง และกลุม่ เส่ยี ง การสรา้ งพลงั ชุมชนและใช้หลักการให้ความรู้โรคหนอนพยาธโิ ดยใช้โรงเรียนเปน็ ศูนยก์ ลาง สาหรับกระบวนการกาหนดนโยบายตามแผนงานควบคุมโรคห นอนพยาธิไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศ ระดับเขตหรือแม้แต่ในระดับจังหวดั จาเป็นจะต้องมีขอ้ มูลท่ีมีหลักฐานอ้างอิง และองค์กรอนามัยโลกจัด ให้พยาธิใบตับเป็นพยาธทิ ี่กอ่ ให้เกิดโรคมะเร็งท่อนาดี และพบสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 18.6 โดยเฉพาะในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งสาเหตุเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคปลาน้าจืดดิบๆ หรือสุกๆ ดิบๆ โดยมีพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับที่ไม่ถูกต้อง และจังหวัดท่ีมีอัตราการเสียชีวิตด้วย มะเร็งตับและมะเร็งท่อน้าดีสูงสุด คือ สกลนคร ร้อยเอ็ด กาฬสินธ์ุ มหาสารคาม อุดรธานี ยโสธร นครพนม อานาจเจรญิ จังหวัดมหาสารคาม ปี 2552 พบอัตราความชุกของโรคพยาธิใบไม้ตับ ร้อยละ 11.6 อัตรา เสียชีวิตด้วยมะเร็งท่อน้าดี ร้อยละ 42.9 ต่อแสนประชากร (สานักงานสาธารณสุข, 2552) อาเภอกันทร วชิ ัยพบอัตราตายด้วยโรคมะเร็งท่อน้าดี 39.5 ต่อแสนประชากร และตาบลเขวาใหญ่ ปี 2554 พบอัตรา ตายด้วยโรคมะเร็งท่อน้าดี 14.5 ต่อแสนประชากร ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายการควบคมุ โรคพยาธิใบไม้ตับของ กระทรวงสาธารณสุขทต่ี ั้งเป้าหมายไวไ้ ม่เกินร้อยละ 5.0 จากสภาพแวดลอ้ มทางภูมศิ าสตรป์ ระชากรกลุ่ม เส่ียง บ้านเรือนอยู่ใกล้แหล่งน้า เช่น แหล่งน้าจืดขนาดใหญ่ ลาน้าชีหรือห้วยน้าจืดไหลผ่านทุ่งนาและ ประชากรกลุม่ เส่ียงหาน้าจืดและลาน้าชี อีกท้ังชุมชนแกง่ เลิงจานนนั้ มแี หล่งนา้ ขนาดใหญ่อยูใ่ นชุมชนจึงมี ความเส่ียงต่อพฤติกรรมการบริโภคปลาดิบ หรือปลาน้าจืด จึงมีภาระเสี่ยงท่ีจะให้เกิดโรคเก่ียวกับ หนอนพยาธิค่อนขา้ งสงู พ้ืนท่ตี าบลอ่นื ๆ ในจงั หวัดมหาสารคาม ดังนั้นคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ดาเนินงานโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่ง ชมุ ชน ในพ้ืนที่ตาบลแก่งเลิงจานมาอย่างต่อเนื่อง จึงได้เล็งเห็นความสาคัญของชุมชนที่มีความเล่ียงท่ีจะ เกิดโรคหนอนพยาธิ ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคท่ีเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และได้จัดทาโครงการบูรณการการใช้ องค์ความรู้ด้านการวทิ ยาศาสตร์สุขภาพในการดูแลสุขภาพของประชาชนนี้ จึงได้ดาเนินงานในเขตตาบล แก่งเลงิ จาน อาเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ขึ้นเพ่ือการเฝ้าระวังการเกดิ โรคหนอนพยาธิของประชาชน
74 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชุมวชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย คร้ังท่ี 14 : สาขาบริการวชิ าการ” ในชุมชน และเพ่ือพัฒนาให้พืน้ ทตี่ าบลแก่งเลิงจานเป็นต้นแบบในการดูแลสุขภาพแบบองคร์ วมของคณะ แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามตอ่ ไป 2. วัตถปุ ระสงค์ 2.1 เพ่ือส่งเสริมการใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในการใช้ดูแลสุขภาพของ ประชาชนในชมุ ชน 2.2 เพ่ือเพ่ิมศักยภาพของประชาชนในชุมชนในการใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ สุขภาพแบบองค์รวมในการดูแลสขุ ภาพ โดยการประเมินความร้กู ่อนและหลังการอบรม 2.3 เพื่อสร้างคู่มือต้นแบบของการใช้การองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในการดูแล สขุ ภาพของประชาชนในชมุ ชนแบบองคร์ วม 3. การดาเนินงาน การดาเนินงานโครงการในคร้ังน้ีแบง่ เปน็ 3 ข้ันตอน ไดแ้ ก่ 3.1ขนั้ เตรียมการ (ระยะต้นน้า) 3.1.1 วางแผนการดาเนินงานโดยใช้กระบวนการ PDCA โดยใช้แผนการดาเนินงานแบบมี ส่วนร่วมกบั ชมุ ชน 3.1.2 จดั ทาคาสัง่ คณะทางาน 3.1.3 ประชมุ ชีแ้ จงรายละเอียดการดาเนินโครงการแกผ่ ู้รับผิดชอบโครงการ 3.1.4 ชีแ้ จงการดาเนนิ การกับกล่มุ ผ้นู า แกนนาชมุ ชน ในการดาเนนิ การกจิ กรรมโครงการ 3.1.5 ประสานงานหน่วยงานที่เก่ียวข้องได้แก่องค์การบริหารส่วนตาบลแก่งเลิงจานและ โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตาบลแกง่ เลงิ จาน 3.2 ขนั้ ดาเนินการ (ระยะกลางน้า) 3.2.1 ประชุมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลและกลุ่มแกนนาของชุมชน เปา้ หมาย 3.2.2 สารวจข้อมลู ทั่วไปและข้อมูลสุขภาพของชุมชน และวิเคราะห์ปญั หาสุขภาพเก่ียวโรค หนอนพยาธใิ นชมุ ชน การทาแผนทีเ่ ดนิ ดนิ เพือ่ ดูความเสี่ยงด้านสุขภาพของแต่ละครอบครับ
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน I 75 ในงานการประชมุ วิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ัย ครั้งท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” 3.2.3 แจกกระปกุ เก็บอจุ จาระ จานวน 1,000 กระปุก ไดร้ ับอุจจาระกลบั มา 242+183 = 425 ตัวอย่าง 3.2.4 ตรวจอุจจาระ 2 วิธี คอื 3.2.4.1 วธิ ี formalin- ether concentration technique (FECT) สาหรบั พยาธทิ ี่ อาศยั อยใู่ นลาไส้ 3.2.4.2 วธิ ี agar plate culture (APC) สาหรบั ตรวจพยาธิสตองจลิ อยด์ (Strongyloides stercoralis) Fresh stool sample Larva and adults worm From agar plate culture 3.2.5 วางแผนการจัดทากิจกรรมอบรมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพเกี่ยวกับความรู้เร่ือง โรคหนอพยาธิ การจัดทาส่ือเผยแพร่ความรู้ การทาแผ่นพับความรู้เรื่องการใช้สมุนไพรในการขับพยาธิ การทาป้ายรณรงค์ชุมชนปลอดโรคหนอนพยาธิ ร่วมกับชุมชนอย่างมีสว่ นร่วม และมีการผลติ ชาสมุนไพร ซึ่งถือว่านวัตกรรม 1 ชิ้นที่เกิดจากโครงการนี้ เพื่อใช้ในการขับพยาธิได้เพื่อให้คนที่ตรวจไข่พยาธิโดยใช้ รว่ มกับการจ่ายยาแผนปจั จบุ นั 3.2.6 จัดอบรมความรู้เร่ืองโรคหนอนพยาธิ วิธีการป้องกัน การใช้สมุนไพรในการขับพยาธิ แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย จานวน 1 วัน ณ วัดบ้านเม่นใหญ่ ตาบลแก่งเลิงจาน อาเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม รปู การจัดกจิ กรรมโครงการ 1.4 ขนั้ ตดิ ตามและสรปุ ผล (ระยะปลายน้า)
76 I เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน ในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ัย ครั้งที่ 14 : สาขาบริการวิชาการ” วิเคราะห์ผลการดาเนินงาน สรุปผลการดาเนินโครงการ และนาเสนอคืนข้อมูลให้ชุมชนได้รับ ทราย มีการติดตามผลการดาเนินงานและประเมนิ ผลหลังสนิ้ สดุ การดาเนินการโครงการเพื่อหาแนวทาง ในการปฏบิ ตั ติ ัวของประชาชนในชมุ ชนเพอื่ ให้เกิดความยัง่ ยืนต่อไป สรปุ ผลการดาเนินโครงการโครงการ จัดทาวิดีทัศน์ โปสเตอร์ จดั ทาเล่มรายงานผลการดาเนินงานโครงการ 4. ผลการดาเนนิ งาน ผลการตรวจตัวอย่างอุจจาระที่ส่งมาตรวจท้ังหมดจานวน 425 ราย ตรวจด้วย 2 วิธี มีผู้ติดเช้ือ พยาธิทั้งหมดจานวน 100 ราย คิดเป็นร้อยละ 23.52 (100/425) สาหรับการตรวจด้วยวิธี formalin- ether concentration technique (FECT) พบเช้ือพยาธิใบไม้ตับ (Opisthorchis viverrini) มากท่ีสุด คิดเปน็ ร้อยละ 11.05 (47/425) รองลงมาคือพยาธสิ ตรองจิลอยด์ (Strongyloides stercoralis) คดิ เป็น ร้อยละ 5.41 (23/425) พยาธิตืด (Taenia sp.) คิดเป็นร้อยละ 2.18 (9/425) ส่วน พยาธิใบไม้ลาไส้ (Echinostoma sp.) และพยาธิปากขอ (Hookworm) คดิ เป็นรอ้ ยละ 1.17 (5/425) ส่วนการตรวจพยาธิ ด้วยวิธี agar plate culture (APC) พบว่ามรการติดเช้ือพยาธิ S.stercoralis มีทั้งหมด 34 ราย คิดเป็น ร้อยละ 8 (34/425) จะเห็นได้ว่าจากการตรวจอุจจาระของประชากรในครั้งน้ีมีความชกุ ค่อนข้างสูง และ พบว่าส่วนใหญ่ติดเชื้อพยาธิใบตับ แสดงใหเ้ ห็นวา่ ประชากรยงั นิยมการบริโภคปลาตระกูลปลาตะเพียนที่ ปรุงไม่สุก และจาการตรวจพยาธิ S.stercoralis พบว่ามีประชากรติดเชอ้ื จานวนมาก ทั้งนี้ประชากรส่วน ใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมซ่ึงไม่ได้สวมใส่รองเท้า ทาให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องสัมผัสกับดิน จึงทาให้มโี อกาสตดิ พยาธิ S.stercoralis ได้สงู 5. บูรณาการเข้ากับการเรยี นการสอน ก า รด า เนิ น โค รงก า รก า ร บู รณ า ก า รค วา ม รู้ด้ า น วิ ท ย า ศ า ส ต ร์สุ ข ภ า พ ใน ก า รเฝ้ า ระ วั งโร ค หนอนพยาธิในชุมชนตาบลแก่งเลิงจาน อาเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เก่ียวข้องกับการจัดการเรียน การสอนในรายวิชาหนึ่ง หลักสูตรหนึ่งชุมชน ของหมวดศึกษาทั่วไป ของนิสิตชั้นปีท่ี 1 ของทุกหลักสูตร โดยการเรียนการสอนในภาคปลายปีการศึกษา 2560 มีจานวนนิสิตทั้งหมด 150 คน ซ่ึงเป็นรายวิชาท่ี นสิ ติ จะต้องเรยี นร้ชู มุ ชนตัง้ แต่การเขา้ พบกับชาวบา้ น, การสมั ภาษณ์, การศกึ ษาวิถชี วี ิตความเปน็ อยู่ต่างๆ รวมถงึ การวินจิ ฉยั ชุมชนเพื่อค้นหาสาเหตขุ องความเจ็บป่วยหรอื การเกิดปัญหาทางด้านสุขภาพตา่ งๆเพื่อ วางแผนการรักษาอย่างถูกต้องโดยอาศัยความร่วมมือของชุมชนและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมใน กระบวนการต่างๆ มีการจัดกิจกรรมโครงการการให้ความรู้ในวันที่ 25 เมษายน 2561 ในหลายรูปแบบ ได้แก่ การใช้ความรเู้ รื่องโรคหนอนพยาธิ การรักษา ป้องกัน การใช้สมุนไพรในการขบั พยาธิ และทาส่ือวีดิ ทัศน์ เผยแพรค่ วามรู้ในการปฏิบัติตนท่ถี กู ตอ้ ง และอีก 1 รายวชิ า คอื รายวิชาปรสติ วทิ ยา เป็นการศกึ ษา เกี่ยวกับพยาธิชนิดต่างๆ การตรวจ, การติดเช้ือและการวางแผนการรักษาท่ีมีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้จากการนิสิตได้มีการนาเสนอผลการเรียนรู้ในงานมหกรรมการนาเสนอผลงานและผลการ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 77 ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 14 : สาขาบริการวชิ าการ” เรียนรู้จากกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาหน่ึงหลักสูตรหน่ึงชุมชน ณ อาคารพละศึกษา ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 ไดร้ บั รางวัลชนะเลิศด้านการบูรณาองคค์ วามร้ขู องหลกั สูตรไปใช้ 6. ผลลัพธ์จากการดาเนินงานโครงการ จากการศกึ ษารายวิชาหนึ่งหลกั สูตรหนึ่งชุมชนครั้งน้ีนสิ ติ คณะแพทยศาสตร์ไดต้ รวจพยาธใิ ห้กับ ประชาชน ซ่งึ จะเหน็ ได้วา่ เปน็ ประโยชน์ในการช่วยดแู ลสุขภาพให้กับประชาชนในชุมชน และมกี ารรักษา ผทู้ ่ีติดเช้ือหนอนพยาธิ จากผลการตรวจพบว่ามีการติดเช้ือพยาธิค่อนข้างสูง ทั้งน้ีอาจเนื่องมาจากปัจจัย หลายสาเหตุ เช่น การสารวจไม่ท่ัวถึง การต้ังบ้านเรือนอยู่ใกล้แหล่งน้า(แก่งเลิงจาน) ประชาชนยังขาด ความรคู้ วามเข้าใจ เก่ียวกับการปฏิบัติตนเกี่ยวกับสุขอนามัยส่วนบุคคล การรับประทานอาหารท่ีถูกต้อง ตากลหลักโภชนาการ ดังน้ันควรมีการรณรงค์ป้องกัน เก่ียวกับโรคพยาธิให้ประชาชนในชุมชนเข้าใจถึง ผลกระทบต่อสุขภาพใหม้ ากยิ่งขนึ้ เพ่ือกระตุ้นประชาชนให้มกี ารเฝา้ ระวังการตดิ เช้ือหนอนพยาธิและให้ ความสาคัญกับการดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างถูกต้อง นอกจากผลที่เกิดกับประชาชนในชุมชนแล้ว ผลท่ีเกิดกับนิสิตคือนิสิตได้เรียนรู้ขบวนการเข้า ศึกษาชุมชน การปรับตัวเข้ากับประชาชนในชุมชน กับเพ่ือนนิสิตด้วยกัน เรียนรู้การทางานเป็นกลุ่มกับ เพือ่ นๆตา่ งหลกั สตู รภายในคณะแพทยศาสตร์ 7. บทสรุป จากการศึกษารายวิชาหน่ึงหลักสูตรหนึ่งชุมชนคร้ังนี้นิสิตคณะแพทยศาสตร์ได้ให้ความรู้และ ตรวจพยาธิกับชาวบ้าน ซึง่ จะเห็นได้วา่ เป็นประโยชน์อยา่ งมากในการช่วยดูแลสุขภาพให้กับชาวบ้านและ ชุมชน ผลการตรวจพบว่ามีการติดเช้ือพยาธิค่อนข้างสูง ท้ังน้ีอาจเนื่องจากปัจจัยหลายสาเหตุ เช่น การ สารวจไม่ทั่วถงึ การตั้งบา้ นเรือนอย่ใู กล้แม่น้า ประชาชนยงั ขาดความร้คู วามเข้าใจ เกยี่ วกับการปฏิบัติตน เก่ียวกับสุขอนามัยส่วนบุคคล การรับประทานอาหาร ดังน้ันควรมีการรณรงค์ป้องกัน เก่ียวกับโรคพยาธิ ไปสู่ชุมชนมากยิ่งขน้ึ เพอื่ กระตุ้นประชาชนใหม้ กี ารเฝ้าระวังการติดเช้ือหนอนพยาธแิ ละใหค้ วามสาคญั กับ การดูแลสุขภาพตนเองเพิ่มมากข้ึน และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีข้ึน ชุมชนมีความเข้มแขง็ และพ่งื ตนเองไดต้ ามบริบทของชมุ ชน
การกกั เก็บคารบ์ อนในมวลชวี ภาพและมูลค่าของป่าชมุ ชนบ้านน้าจัน้ อาเภอเมอื ง จังหวัดมหาสารคาม โครงการบูรณาการหนง่ึ หลกั สูตรหน่ึงชมุ ชน พาทศิ สทิ ธโิ ชติ, สิทธิกร วงศศ์ รี, ธายุกร พระบารงุ , ธรพร บศุ ยน์ า้ เพชร, นพิ นธ์ ตนั ไพบูลยก์ ลุ , ชฤพนธ์ เจริญสุข, กนกวรรณ ศุกรนนั ทน,์ พรหมมา จนั ทแมน, ทรงศกั ดิ์ กะตารตั น,์ ปญั ญา บตุ ะกะ คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ บทคัดย่อ การศึกษาน้ี เป็นการบูรณาการร่วมกับการบริการวิชาการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อคานวณ ปรมิ าณและมูลคา่ การกกั เก็บคารบ์ อนในมวลชวี ภาพของป่าชมุ ชนบา้ นน้าจน้ั ซ่ึงมสี ภาพเป็นปา่ เตง็ รงั โดย เปน็ หน่ึงในป่าชุมชนที่มีความอดุ มสมบรู ณ์ ท่ีตั้งอย่ใู นพ้ืนท่ขี องปา่ โคกหินลาด จ.มหาสารคาม และ 2)เพื่อ สร้างการรับรู้ของชุมชน ในเรื่องคุณค่าของป่าท่ีเก่ยี วข้องกับการบรรเทาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศโลก รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของเยาวชน ให้มอี งค์ความรู้และทักษะที่เพียงพอตอ่ การ ประมาณค่าการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพในป่าไม้ของชมุ ชน ส่กู ารเป็น “นกั สบื คาร์บอนน้อย” และ การอนุรักษ์ปา่ ไม้อย่างยัง่ ยนื การศึกษา ไดก้ าหนดพ้ืนทสี่ ารวจ จานวน 111 ไร่หรอื 177,600 ตารางเมตร ซึ่งวางแปลง ขนาด 40x 40 ตารางเมตร จานวน 4 แปลง คิดเป็นรอ้ ยละ 3.6 ของพ้ืนที่ทั้งหมด พร้อมทั้ง ระบุชนิดพันธุ์ไม้ วัดความสูงและเส้นรอบวงของไม้ยืนต้น ท่ีมีขนาดเส้นรอบวงเพียงอกตั้งแต่ 15 เซนติเมตรข้นึ ไป โดยการมสี ่วนรว่ มของชมุ ชน ผลการศึกษา พบว่า ป่าชุมชนบ้านน้าจ้ัน มีพรรณไม้ท้ังหมด 25 ชนิด แบ่งเป็นท่ีจาแนกได้ 24 ชนิดและจาแนกไม่ได้ 1 ชนิด โดยแดง มีความหนาแน่นและดัชนีความสาคัญสูงที่สุด รองลงมาคือ ยาง พลวง และเต็ง ตามลาดับ ท้ังน้ี สามารถกักเก็บคาร์บอนเฉลี่ย ในรูปคาร์บอนไดออกไซด์ ได้เท่ากับ 9.78 ตนั /ไร่ ซึ่งเท่ากับ 1,086 ตันต่อ 111 ไร่ คิดเป็นมูลค่า 38,442.62 บาท โดยการประมาณค่าการกักเก็บ คาร์บอนรวมถงึ มูลคา่ ท่เี กดิ ขน้ึ ยงั ต้องขยายให้ครอบคลุมพื้นทป่ี า่ ชุมชนอ่ืน เพอ่ื เปน็ ขอ้ มูลพ้ืนฐาน สาหรับ ประกอบการตดั สินใจในการพฒั นาเมืองสงิ่ แวดลอ้ มย่ังยืน รวมถงึ ตลาดคาร์บอนในอนาคต คาสาคัญ : ป่าชุมชนบ้านน้าจ้นั การกักเก็บคาร์บอน มลู ค่าการกักเก็บคารบ์ อน การมสี ว่ นรว่ มของชุมชน ตลาดคาร์บอน Abstract This study was integrated with academic services, with the objectives were to 1) to calculate the quantity and its economic value of carbon storage in biomass of Ban Nam Jun community forest, one of the most abundant deciduous forest communities located in Khok Hin Lad forest, Maha Sarakham Province and 2) to raise perception of
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน I 79 ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ัย ครั้งที่ 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” the community on the value of forests related to the mitigation of global climate change including youth's potential development with sufficient knowledge and skills in estimating carbon sequestration in the community forest biomass toward being little carbon investigator and sustainable natural resource conversation. The study investigated the area of 111 Rai or 177,600 m2 using 4 sample plots (40x40 m2 for each) or 3.6% of the total area with identification of plant species and measurement of the height and circumference of the tree (15 cm or more) were conducted. All the processes involved community participation. As results of the study, it was found that there were 25 species, 24 of which were classified and only 1 species unclassified. In this study, Xylia xylocarpa (Roxb.) Taub. was found be the highest density and highest indices, followed by Shorea obtusa Wall. ex Blume and Dipterocarpus tuberculatus Roxb. respectively. The carbon storage (as CO2) in biomass was 9.78 tons/Rai or equivalent to 1,086 tons/111 Rai, which was worth 38,442.62 THB. In estimating the carbon capture and its value, it is still required to expand other community forest areas as an underlying information for making decision in development of green city as well as carbon market in the future. Keywords: Ban Nam Jun Community Forest, Carbon Storage, Economic Value of Carbon Storage, Community Participation, Carbon Market 1. บทนา ป่าไม้ นับเป็นทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของมนุษย์ ซ่ึงครอบคลุมปัจจัย 4 ซ่งึ มนษุ ย์ตอ้ งพงึ่ พาและอาศยั เพอื่ ดารงชีพ โดยเฉพาะอาหารและยารักษาโรค “ป่าโคกหินลาด” เดิมเป็น ป่าสงวนแห่งชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีพ้ืนที่กว่า 5,000 ไร่ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2,709 ไร่ (ปี พ.ศ. 2561) ครอบคลุมพื้นท่ี 20 หมู่บ้าน 5 ตาบล 2 อาเภอ คือ ต.หนองปลิง ต.โคกก่อ ต.บัวค้อ ต.ดอนหว่าน อ. เมือง และ ต.วังแสง อ.แกดา สภาพเป็นป่าโคก ป่าเต็งรัง ความอุดมสมบูรณ์ของป่าโคกหินลาดเป็น เสมือน “คลังยุทธปัจจัย” ท่ีผลิตน้าลงสู่อา่ งเก็บนา้ โคกก่อ (ห้วยหินเหิน) อ่างเก็บนา้ ห้วยคะคาง และเป็น “คลังอาหาร” ทช่ี มุ ชนรอบผนื ป่าได้พง่ึ พิง “เฮด็ อยเู่ ฮ็ดกิน” มาตง้ั แตบ่ รรพบุรษุ จนถึงปัจจุบนั ไม่วา่ จะเป็น เห็ดนานาชนิด เช่น เห็ดโค เห็ดระโงก เห็ดปลวก เห็ดเผิ่ง เห็ดถ่าน เห็ดเผาะ เห็ดก้ามปู เห็ดหน้างัว เห็ด น้าหมาก เห็ดหาฟาน ฯลฯ ผักต่างๆ เช่น ผักติ้ว ผักสาบ ผักกระโดน เครือหมาน้อย ย่านาง ฯลฯ ตลอด ทงั้ มดแดง แมลง แย้ อึ่งอา่ ง นก หนู กระรอก ฯลฯ วิถชี วี ติ ของชาวบ้านจึงสมั พันธ์กบั ป่าอยา่ งแยกไม่ออก เพราะนอกจากได้บริโภคในชุมชนแล้วยงั รวมกลุ่มนาออกขาย เป็นรายได้เลี้ยงครอบครวั อกี ด้วย และดว้ ย การยึดหลัก “ไม่ฆ่าไก่เพ่ือเอาไข่” ทาให้คนกับป่า ได้พึ่งพากันอย่างยั่งยืนตลอดมา องค์กรชาวบ้าน
80 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชมุ วิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวิจัย ครงั้ ที่ 14 : สาขาบริการวชิ าการ” อนรุ กั ษ์ป่าชมุ ชนโคกหนิ ลาด หรอื ในปจั จบุ ัน ซง่ึ เกิดจากความรว่ มมือของชาวบ้าน จาก 20 หมูบ่ า้ น ใน 5 ตาบล 2 อาเภอ ของจังหวัดมหาสารคาม ท่ีร่วมกัน โดยให้ชุมชน สามารถใช้ประโยชน์จากป่าได้ (บจม. ปตท, 2544) สาหรับการดูแลและรักษาป่านั้น เป็นไปในรูปของคณะกรรมการป่าชุมชน (Forest Community Committee) ซ่ึงนับว่าเป็นกลไกท่ีสาคัญ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชมุ ชนโคกหินลาดให้ เปน็ ไปอยา่ งยงั่ ยืน ซงึ่ ไดร้ ับการสนบั สนุนจากศูนย์ป่าไม้จังหวดั มหาสารคาม อย่างไรก็ตาม องค์ความรใู้ น ด้านศักยภาพของป่าไม้ ในการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่แห่งนี้ ยังมีอยู่จากัด การพัฒนาองค์ความรู้ด้าน วิทยาศาสตร์ ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและสถาบันการศึกษาในท้องถ่ินและการเรียนรู้การ นาเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์ จึงมีความจาเป็น ทั้งนี้เพื่อการรับทราบสถานะปัจจุบันของการดูดซับ คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวการของการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และเป็นประเด็นปัญหาท่ี ได้รับความสนใจทั่วโลก เน่ืองจากผลกระทบที่สะสมยาวนาน และประชาชน จาเป็นต้องรับทราบข้อมูล และพร้อมปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงท่ีจะเกิดขึ้น โดยป่าไม้ นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ท่ีช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดข้ึน ในฐานะเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนในบรรยากาศในชีวมวล ซ่ึง สะท้อนความจาเปน็ ในการอนรุ ักษ์ปา่ ไม้ ตลอดจนส่งเสรมิ การขยายตัวของพ้ืนท่สี ีเขียวในพ้ืนทต่ี า่ งๆ ของ จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแ วดล้อมภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. 2560-2564 ในการอนุรักษ์ พ้ืนฟู ทรัพยากรธรรมชาติในภูมิภาค โดยการมี ส่วนรวมของภาคีเครือข่าย ในการปรับตัวและรับมือกับผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากการรายงานของกรมป่าไม้ (2557) อ้างถึงในส่วนพัฒนาวนศาสตร์ชุมชน สานักจัดการป่าชุมชน (2559) รายงานว่า ในปัจจุบัน มีป่าชุมชนอย่างเป็นทางการ ประมาณ 9,000 แห่ง รวมเน้ือที่ไม่น้อยกว่า 3,700,000 ไร่ ด้วยเหตุน้ี หลักสูตรสาขาวิชาเทคโนโลยีส่ิงแวดล้อม คณะส่ิงแวดล้อมและทรัพยากร ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ตระหนักถึงความสาคัญของการจัดทาบัญชีการกักเก็บคาร์บอนใน มวลชีวภาพของป่าชุมชนบ้านโคกหินลาด ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้าห้วยคะคาง เป็นแหล่งอาหาร ยาสมุนไพร และทพ่ี ักอาศัยของสตั วป์ ่า และไดพ้ ิจารณาป่าชมุ ชนบา้ นน้าจั้น หมทู่ ่ี 6 ตาบลบัวคอ้ อาเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม เป็นพื้นที่นาร่อง ในการดาเนินโครงการบรูณาการหน่ึงหลักสูตรหน่ึงชุมชน ประจาปี พ.ศ. 2561 ในชื่อ “ต้นแบบชุมชนรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ: ต้นน้าห้วยคะคาง โดยมี วัตถปุ ระสงค์ เพือ่ คานวณปริมาณและมลู ค่าการกักเก็บคารบ์ อนในมวลชวี ภาพของป่าชุมชนบา้ นน้าจั้น จ. มหาสารคาม และ 2) เพ่ือสร้างการรับรู้ของชุมชน ในเร่ืองคุณค่าของป่าท่ีเกี่ยวข้องกับการบรรเทา ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของเยาวชน ให้มีองค์ ความรู้และทักษะท่ีเพียงพอต่อการประมาณค่าการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพในป่าไม้ของชุมชน สู่ การเปน็ “นักสบื คาร์บอนน้อย” และการอนุรักษ์ทรัพยากรปา่ ไม้ผืนน้ีให้เปน็ ไปอยา่ งย่ังยืน ควบคู่กับการ พฒั นาเครือขา่ ยชุมชนให้เข้มแข็ง 2. อุปกรณ์และวธิ กี ารศึกษา 2.1 พื้นทีส่ ารวจ จานวนการวางแปลงตัวอยา่ ง และการเก็บข้อมลู พรรณไม้
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 81 ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ัย คร้ังท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” การศึกษา ไดพ้ ิจารณาปา่ ชมุ ชนบ้านนา้ จนั้ ตง้ั อยู่ท่ี หมทู่ ี่ 6 ต.หนองปลิง อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม เป็นพื้นที่นาร่อง โดยพื้นท่ีดังกล่าวเป็น 1 ใน 9 ของป่าชุมชน ในพื้นท่ีป่าโคกหินลาด ซ่ึงมีพื้นท่ีท้ังหมด 2,709 ไร่ สาหรับการสารวจคร้ังนี้ ได้กาหนดขอบเขตของพ้ืนที่ท้ังหมด 111 ไร่ โดยอาศัยเทคนิคด้าน ภูมิศาสตร์สารสนเทศ ทั้งนี้ ครอบคลมุ พื้นท่ปี ่าทมี่ คี วามสมบรู ณ์และเพียงตอ่ การเป็นตวั แทนของป่าชุมชน บ้านน้าจั้น ซึ่งได้วางแปลงตัวอย่างให้กระจาย (Random Sampling) แต่ช้ันภูมิ จานวน 4 แปลง ดัง แสดงในภาพที่ 1 แต่ละแปลง มีขนาด 40 x 40 ตารางเมตร หรือ 1 ไร่ ซ่ึงคิดเป็นร้อยละ 3.6 ซ่ึงมาก เพียงพอสาหรับพ้ืนที่ศกึ ษา ทมี่ ีขนาดน้อยกวา่ 300 ไร่ ตามทเี่ สนอแนะไว้ โดยองค์การบรหิ ารจดั การกา๊ ซ เรือนกระจก (องค์การมหาชน) (2561) ท้ังน้ี ในแต่ละแปลง (40 x 40 ตารางเมตร) ได้วางแปลงย่อย ขนาด 10 × 10 ตารางเมตร และ 1 x 1 ตารางเมตร โดยขนาดแปลงยอ่ ยสุดท้ายนั้น เป็นการเกบ็ ขอ้ มูล ชนิดพนั ธ์ุพชื ทง้ั ไม้ใหญ่ ไมห้ นุ่ม และกล้าไม้ เพื่อใชใ้ นการศึกษาองค์ประกอบและความสาคญั ของพรรณ ไม้เบื้องต้น ท้ังนี้ ปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งเป็นคณะกรรมการป่าชุมชนป่าโคกหินลาด จานวน 4 คน ประจา แตล่ ะแปลง โดยได้ลงพื้นทสี่ ารวจชนิดพันธุไ์ ม้และเก็บข้อมลู ภาคสนาม ได้แก่ เส้นรอบวงทค่ี วามสูงระดับ อก (Girth at Breast Height; G.B.H.) มากกว่าหรือเท่ากับ 1.3 เมตร และความสูงของต้นไม้ โดย พิจารณาเฉพาะไม้ใหญ่ท่ีมีความยาวเส้นรอบวงที่ความสูงระดับอก ตั้งแต่ 15 เซนติเมตร ข้ึนไป ตาม วิธีการที่เสนอแนะในชงิ ชัย (2546) ซึ่งเปน็ การสารวจ ร่วมกับคณาจารย์ นิสิต ระดับปริญญาตรี (ชั้นปีที่ 2) และปริญญาโท หลักสูตรสาขาวิชาเทคโนโลยีส่ิงแวดล้อม จากคณะส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะครูและนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ชั้นปีท่ี 4 โรงเรียนโคกก่อ พทิ ยาคม และผู้แทนจากมลู นิธสิ ิ่งแวดล้อมศกึ ษา ดงั แสดงใน Figure 1 Figure 1 Ban Nam Jun Community Forest and Locations of Sample Plots
82 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” ก. ข. ค. ง. จ) ฉ. Figure 2 Data collection through community participation 2.2. การศึกษาองค์ประกอบและความสาคญั ของพรรณไม้ การศึกษา ได้คานวณดัชนีความสาคัญ (Important Value Index; IVI) ตามสมการใน เสาวลักษณ์ (2548) อ้างถึงใน ชัญษาและคณะ (2559) โดยพิจารณาจากผลรวมของความหนาแน่น สมั พันธ์ (Relative Density) ความถี่สัมพัทธ์ (Relative Frequency) และความเด่นสัมพัทธ์ (Relative Dominance) เพือ่ ช่วยอธิบายความหลากหลายของพรรณไม้ในปา่ ชุมชนบ้านน้าจ้นั ความหนาแนน่ สมั พทั ธ์ (%) = จานวนตน้ ของไมช้ นดิ นนั้ ทั้งหมดx100/จานวนตน้ ของไมท้ กุ ชนิดรวมกนั ความถี่สัมพัทธ์ (%) = ค่าความถขี่ องไมช้ นดิ นัน้ x100/ผลรวมของคา่ ความถ่ีของไม้ทกุ ชนิด ความเดน่ สัมพทั ธ์ (%) = ผลรวมของพ้ืนที่หนา้ ตดั ของไม้ชนดิ นน้ั x100/ผลรวมของพืน้ ทห่ี นา้ ตดั ของไมท้ กุ ชนิด
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 83 ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจยั คร้งั ที่ 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” 2.3 การคานวณมวลชวี ภาพ ป่าชุมชนบ้านน้าจ้ัน มีสภาพเป็นป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง และการคานวณมวลชีวภาพ ใช้ สมการแอลโลเมตริก ตาม Ogawa และคณะ (1965) อ้างถงึ ใน ชิงชัย (2546) Ws = 0.0396 D2 H0.9326 Wb = 0.003487D2 H1.0270 Wl = (28.0/Wtc+0.025)-1 โดยท่ี Ws = มวลชีวภาพส่วนของลาต้น (กิโลกรัม); Wb = มวลชีวภาพส่วนของก่ิง (กิโลกรัม); Wl = มวลชีวภาพส่วนของใบ (กิโลกรัม), Wtc = มวลชีวภาพของลาต้น+ก่ิง (กิโลกรัม); Wt = มวล ชีวภาพส่วนของลาตน้ +กิ่ง+ใบ (กิโลกรมั ), D = ขนาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลางท่ีระดบั อก ทรี่ ะดบั ความสงู 1.30 เมตร จากพน้ื ดิน (เซนติเมตร) และ H = ความสงู ของตน้ ไมถ้ ึงปลายยอด (เมตร) 2.4 การคานวณการกักเก็บคาร์บอนและคารบ์ อนไดออกไซดท์ ต่ี น้ ไมด้ ดู ซับ การประเมินคาร์บอน ในมวลชีวภาพของต้นไม้ เป็นไปตาม IPCC (2006) อ้างถึงในส่วนพัฒนา วนศาสตร์ชุมชน สานกั จัดการป่าชุมชน (2557) โดยกาหนดให้ ประมาณรอ้ ยละ 47 ของมวลชีวภาพของ ต้นไม้เป็นคาร์บอน ปริมาณคาร์บอนท่ีกักเก็บ (กิโลกรัมคาร์บอน) = มวลชีวภาพของต้นไม้ (กิโลกรมั ) x 0.47 การดูดซับคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) ของป่า (ตันคาร์บอนไดออกไซด์) = ค่ากักเก็บคาร์บอน (C) ทั้งหมด x 3.66 โดยพิจารณามวลโมเลกุล (Molecular Weight) ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซ่ึง เท่ากับ 44 กรัม/โมล มวลโมเลกุล (Molecular Weight) ของคาร์บอน เท่ากับ 12 กรัม/โมล และ สดั ส่วนระหว่างก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ และคาร์บอน เทา่ กบั 44/12 เท่ากบั 3.66 คณู ด้วยค่าการกักเกบ็ คาร์บอน 2.5 การคานวณมลู ค่าการกกั เก็บคาร์บอน การศึกษา ได้พิจารณามูลค่าการกักเก็บคาร์บอนในรูปของค่าเฉล่ีย กรณี Co-Benefit Third- Party Standards ด้าน Climate, Community & Biodiversity Standard ระบุไว้ใน Hamrick and Gallant (2017) ซงึ่ มีคา่ 3.9 USD/tCO2e ทั้งน้ี 1 USD = 33.22 บาท ณ วนั ท่ี 10 สงิ หาคม 2561 3. ผลการศึกษา 3.1 พรรณไมท้ ี่พบในแปลงสารวจ Table 1 แสดงองค์ประกอบและความสาคัญของพรรณไม้ในป่าชุมชนบ้านน้าจั้น ซึ่งพบว่า มี พรรณไม้ทั้งหมด 25 ชนิด ซึ่งแบ่งเป็นสามารถจาแนกได้ 24 ชนิดและจาแนกไม่ได้ 1 ชนิด ทั้งนี้ แดง (Xylia xylocarpa (Roxb.) Taub.) มีความหนาแน่นและดัชนีความสาคัญสูงสดุ รองลงมาคือ ยางพลวง (Shorea obtusa Wall. ex Blume) และเตง็ (Dipterocarpus tuberculatus Roxb.) ตามลาดบั
84 I เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ยั คร้ังท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” Table 1 Plant species found in Ban Nam Jun Community Forest ลาดบั ชอ่ื สามัญ ความ ความถ่ี ความเดน่ ความ ความถ่ี ความเด่น ดัชนี หนาแน่น หนาแนน่ สมั พทั ธ์ สัมพทั ธ์ ความสาคญั สัมพัทธ์ (%) (%) (%) 1 แดง 63.25 1.00 24867.0 40.22 9.52 35.64 85.39 2 ยางพลวง 34.00 0.75 18186.9 21.62 7.14 26.07 54.83 3 เตง็ 30.50 0.75 8510.7 19.40 7.14 12.20 38.74 4 ยางเหียง 4.75 0.75 3350.3 3.02 7.14 4.80 14.97 5 มะกอกเกลอื้ น 3.25 0.75 3241.6 2.07 7.14 4.65 13.86 6 มะม่วงหัวแมงวนั 3.75 0.75 1863.2 2.38 7.14 2.67 12.20 7 ประดู่ 2.75 0.75 1608.4 1.75 7.14 2.31 11.20 8 ปอแก่นเทา 2.50 0.50 1850.1 1.59 4.76 2.65 9.00 9 แคทราย 0.75 0.50 279.1 0.48 4.76 0.40 5.64 10 รงั 3.00 0.25 880.9 1.91 2.38 1.26 5.55 11 กระมอบ 0.50 0.25 1209.6 0.32 2.38 1.73 4.43 12 หมากม่อ 1.50 0.25 627.9 0.95 2.38 0.90 4.23 13 กระบก 1.25 0.25 685.8 0.79 2.38 0.98 4.16 14 มะมว่ งปา่ 0.50 0.25 785.5 0.32 2.38 1.13 3.82 15 พะยอม 1.00 0.25 401.8 0.64 2.38 0.58 3.59 16 เหมือดคน 1.00 0.25 272.3 0.64 2.38 0.39 3.41 17 ง้ิวปา่ 0.25 0.25 548.5 0.16 2.38 0.79 3.33 18 ติว้ 0.75 0.25 108.7 0.48 2.38 0.16 3.01 19 แสลงใจ 0.50 0.25 49.8 0.32 2.38 0.07 2.77 20 พุทรา 0.25 0.25 131.9 0.16 2.38 0.19 2.73 21 มะค่าแต้ 0.25 0.25 109.0 0.16 2.38 0.16 2.70 22 Unknown1 0.25 0.25 103.2 0.16 2.38 0.15 2.69 23 ดูกดา 0.25 0.25 38.5 0.16 2.38 0.06 2.60 24 สมอไทย 0.25 0.25 35.1 0.16 2.38 0.05 2.59 25 คณู 0.25 0.25 23.0 0.16 2.38 0.03 2.57 รวม 157.25 10.50 69769.0 100.00 100.00 100.00 300.00
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 85 ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ัย คร้งั ที่ 14 : สาขาบริการวชิ าการ” 3.2 ปรมิ าณมวลชีวภาพและการกักเกบ็ คารบ์ อน การศึกษา พบว่า ป่าชุมชนบ้านน้าจ้ัน มีมวลชีวภาพเฉลี่ย เท่ากับ 3.1 ตัน/ไร่ โดยสามารถกัก เก็บคาร์บอน และในรูปคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยได้เท่ากับ 2.7±1.2 และ 9.8±4.4 (ค่าเฉลี่ย±ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน) ตัน/ไร่ ตามลาดับ โดยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ท่ีสะสมในมวลชีวภาพ คิด เปน็ 1,086 ตนั ตอ่ พ้ืนท่ี 111 ไร่ ในขณะทีป่ ่าชมุ ชนบ้านโคกหินลาด(ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.มหาสารคาม) ซง่ึ มสี ภาพเปน็ ป่าเตง็ รังเชน่ กัน ในพื้นท่ีเนื้อที่ 787 ไร่ สามารถกกั เกบ็ คาร์บอนไดออกไซด์เฉล่ยี 4.04 ต้น/ ไร่ คิดเป็น 11,695.23 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (สวนพัฒนาวนศาสตร์ชุมชน สานักจัดการป่าชุมชน, 2559) โดยอาจกล่าวได้ว่า ป่าชุมชนบ้านน้าจั้น มีความอุดมสมบูรณ์สงู กว่าป่าชุมชนบ้านโคกหินลาด ซ่ึง สังเกตจากค่าเฉลี่ยของการดูดซับคารบ์ อนไดออกไซด์ที่สูงกว่า ด้วยเหตุนี้ การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้ คงอยู่ จึงนับเป็นการรักษาคุณค่าของป่าในด้านต่าง ๆ ซ่ึงช่วยเกื้อกูลต่อการใช้ชีวิตของคนในชุมชนให้ เป็นไปอย่างย่ังยืน Table 2 Carbon storage (in forms of C and CO2) in biomass each plot แปลงที่ ปรมิ าณทสี่ ะสมในมวลชวี ภาพ คารบ์ อน (Kg C) CO2 (Kg CO2) 1 4,212.5 1,5417.7 2 2,921.6 1,0693.2 3 1,405.9 5,145.7 4 2,154.0 7,883.5 เฉลยี่ 2,673.5±1,198.2 9,785.0±4,385.2 3.3 มูลค่าการกักเกบ็ คาร์บอนในมวลชวี ภาพ ค่าเฉล่ียคาร์บอน ในรูปคาร์บอนไดออกไซด์ของป่าชุมชนบ้านน้าจั้น เท่ากับ 9.78 ตัน/ไร่ ซ่ึง เทา่ กบั 1,086 ตันต่อ 111 ไร่ โดยคดิ เปน็ มูลค่า 38,442.62 บาท 4. บทสรุป การศึกษาน้ี ได้คานวณปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพและมูลค่าของป่าชุมชนบ้าน น้าจัน้ พรอ้ มทั้งไดศ้ ึกษาองค์ประกอบและความสาคัญของพรรณไมเ้ บอื้ งต้น เพือ่ อธบิ ายความหลากหลาย ของพรรณไม้ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ประกอบด้วย คณะกรรมการป่าชุมชน คณาจารย์ นิสิต ระดับปริญญาตรี (ชั้นปีท่ี 2) และปริญญาโท หลักสูตร สาขาวิชาเทคโนโลยีส่ิงแวดล้อม จากคณะ ส่งิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม คณะครแู ละนกั เรยี น ระดบั มัธยมศกึ ษาตอน ปลาย ชั้นปีที่ 4 โรงเรียนโคกก่อพิทยาคม และผู้แทนมูลนิธิสิ่งแวดล้อมศึกษา ซึ่งช่วยให้เข้าใจสถานภาพ
86 I เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน ในงานการประชุมวิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ัย ครง้ั ที่ 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” ของทรัพยากรป่าไม้ท่ีมีอยู่ยิ่งข้ึน โดยพบว่า ป่าผืนนี้ มีพรรณไม้ทั้งหมด 25 ชนิด ซึ่งแบ่งเป็นสามารถ จาแนกได้ 24 ชนิดและจาแนกไม่ได้ 1 ชนิด โดย แดง (Xylia xylocarpa Roxb. Taub.) เป็นชนิดพันธ์ุ ไม้ ที่มีความหนาแน่นและดัชนีความสาคัญสูงสุด รองลงมาคือ ยางพลวง (Shorea obtusa Wall. ex Blume) และเต็ง (Dipterocarpus tuberculatus Roxb.) ตามลาดับ และมีมวลชีวภาพ โดยเฉล่ีย 3.1 ตนั /ไร่ สามารถกักเก็บคารบ์ อน ในรูปคาร์บอนไดออกไซด์ ได้เท่ากับ 9.78 ตนั /ไร่ ซ่ึงเท่ากับ 1,086 ตัน ต่อ 111 ไร่ คิดเป็นมูลค่า 38,442.62 บาท (พจิ ารณาอัตราแลกเปล่ียน ณ วนั ท่ี 10 สิงหาคม 2561) ทง้ั น้ี การศึกษา ได้พัฒนาศักยภาพของเยาวชน ท่ีร่วมเรียนรู้ในแต่ละกจิ กรรม ซ่ึงประเมนิ จากผลลัพธ์ท่เี กิดข้ึน ทงั้ ดา้ นการทฤษฎีและการปฏบิ ตั ิ และพรอ้ มเปน็ ทุนมนุษย์ ทมี่ คี วามรู้และทักษะในการคานวณการกักเก็บ คารบ์ อนในมวลชีวภาพของปา่ ไม้ในทอ้ งถิน่ สูก่ ารเปน็ นกั สบื คาร์บอนนอ้ ย (Little Carbon Investigator) ที่พร้อมจะถ่ายทอดความรู้แก่เยาวชนชั้นปีอ่ืน ๆ ท้ังภายในและภายนอกสถาบัน นอกจากนี้ คณะกรรมการป่าชุมชน ยงั มขี ้อมลู พ้ืนฐานท่ไี ดร้ ว่ มพฒั นาขึ้น กรณีของปา่ ชมุ ชนบ้านน้าจนั้ สาหรบั อา้ งอิง และขยายสู่การดาเนินการในป่าผนื อ่นื เพ่ือเตรยี มความพร้อมสู่ตลาดคาร์บอนในอนาคต กิตติกรรมประกาศ ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาหรับทุนสนบั สนุนโครงการบรู ณาการหนึง่ หลกั สูตรหน่ึง ชุมชน ประจาปี พ.ศ. 2561 ภายใต้ชื่อโครงการต้นแบบชุมชนรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ: ต้นน้าคะคาง คณะกรรมการป่าชุมชนป่าโคกหินลาด ชุมชนบ้านน้าจ้ัน นิสิตระดับปริญญาตรี ชั้นปีท่ี 2 หลักสูตรสาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม คณะส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม และมูลนธิ ิส่งิ แวดล้อมศึกษา เอกสารอ้างองิ ชงิ ชัย วิรยิ ะบญั ชา. 2546. คู่มอื การประมาณมวลชวี ภาพของหมู่ไม้. ฝา่ ยวนวฒั นวจิ ัยและพฤกศาสตร์ กรมอุทยานแห่งชาตสิ ตั ว์ปา่ และพนั ธุพ์ ชื (ออนไลน)์ . 1 พฤษภาคม 2561; ไดจ้ าก URL: http:// www.dnp.go.th/development/Biomass.pdf ชัญษา กนั ฉงิ่ ณฐั พงษ์ ฟองมณี ปาริฉัตร ประพฒั น์ สิทธิศกั ดิ์ ปนิ่ มงคลกลุ เก้ือกูล กุสสลานุภาพ และ บณั ฑติ า ใจปนิ ตา. การกกั เกบ็ คารบ์ อนในมวลชีวภาพของพืชทมี่ ีเนื้อไม้ ปา่ ชุมชนหว้ ยข้าวก่า อาเภอจนุ จงั หวัดพะเยา. 2559. การประชุมวชิ าการการบริหารจดั การความหลากหลายทาง ชีวภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3: 89–95. สว่ นพฒั นาวนศาสตรช์ มุ ชน สานกั จัดการป่าชมุ ชน. 2557. คู่มือการสารวจการกกั เกบ็ คาร์บอนและความ หลากหลายทางชวี ภาพในปา่ ชมุ ชน (ออนไลน)์ . 1 พฤษภาคม 2561; ไดจ้ าก URL: http://www. forest.go.th/community_development/index.php?option=com_docman&task=doc download&gid=421&Ite mid=&lang=th
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน I 87 ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ยั คร้งั ที่ 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” ส่วนพฒั นาวนศาสตรช์ ุมชน สานกั จดั การป่าชมุ ชน. 2559. สรปุ การกักเกบ็ คารบ์ อนในปา่ ชมุ ชน (ออนไลน)์ . 1 พฤษภาคม 2561; ได้จาก URL: http://www.forest.go.th/community_ development/index.php?option=com_docman&task=doc_download&gid=447&Ite mid=&lang=th บจม. ปตท. ปา่ โคกหินลาด : คลังแหง่ ยทุ ธปัจจัย (ออนไลน์) (ออนไลน)์ . 10 สงิ หาคม 2561; ได้จาก URL: https://pttinternet.pttplc.com/greenglobe/2544/community-02.html องค์การบริหารและจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน). การวางแปลงสารวจและเกบ็ ขอ้ มูลสาหรับ โรงการประเภทปา่ ไม้ (ออนไลน)์ . 1 พฤษภาคม 2561; ได้จาก URL: http://tver.tgo.or.th/ 2015/ file/method_cal/Data_Sampling_11.pdf Hamrick, K. and Gallant, M. 2017. Unlocking Potential: State of the Voluntary Carbon Markets 2017 (online) [Cited 2018 August 10]; Available from: URL: www.forest- trends.org/wp-content/uploads/2017/07/doc_5591.pdf
การพัฒนากระบวนการแปรรูปขา้ วอินทรยี ค์ ณุ ภาพสงู : ชุดอปุ กรณ์แช่และเพาะงอกข้าวเปลอื ก ในขัน้ ตอนเดียวสาหรบั การผลติ ข้างฮางงอก โครงการบรู ณาการหนึ่งหลกั สูตรหน่งึ ชุมชน สพุ รรณ ย่งั ยนื และคณะ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ 1. ความเปน็ มาของปัญหา วิสาหกิจชุมชนศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนบ้านโนนรัง ท่ีต้ัง 109/2 หมู่ 22 ตาบลสาวะถี อาเภอเมอื ง จังหวัดขอนแก่น จดทะเบยี นเม่อื วันที่ 12 มีนาคม 2553 รหัสทะเบียน 4-40-01-08/1-0025 โดยเป็นการรวมกลุ่มเกษตรกรภายในพ้ืนท่ีตาบลสาวะถีเพื่อผลิตข้าวอินทรีย์สาหรับการบริโภค และ จาหน่าย จดั เก็บเมลด็ พันธุ์ ขยายเมลด็ พนั ธ์พุ ร้อมจาหนา่ ยใหก้ บั เกษตรกร หนว่ ยงานและองค์กรตา่ งๆ ถือ เปน็ กลุ่มแรกๆ ที่ไดร้ ับการยอมรบั และได้รับรองมาตรฐาน IQS USDA มาตรฐานยุโรป สหรฐั อเมรกิ า เป็น ต้น นอกจากนี้ทางกลุ่มได้มีการดาเนินกิจการการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวอินทรีย์ที่ได้ปลูกข้ึนในกลุ่ม เพ่ือเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ โดยมีการจาหน่ายทั่วท้ังภายในประเทศ และยังสามารถส่งออกได้อีกด้วย ตวั อย่างผลิตภัณฑไ์ ด้แก่ ข้าวฮางงอก แป้งข้าว ชา กาแฟ เครื่องสาอาง จมูกขา้ ว เปน็ ต้น ขา้ วฮางงอก คือการแปรรูปข้าว ด้วยการนาเอาขา้ วเปลอื กมาแช่น้าไว้ เพื่อกระตนุ้ ให้สารอาหาร ต่างๆ จากเปลือกข้าวดูดซึมเข้าไปในเมล็ดข้าว แล้วจึงนามานึ่ง เพ่ือจัดเก็บสารอาหารให้คงไว้ แล้วนา ขา้ วเปลือกไปตากให้แห้ง และนาไปสโี ดยเครื่องสขี า้ วทวั่ ไป ทั้งน้กี ารนาขา้ วเปลอื กมาแช่นา้ เพ่ือกระตุ้นให้ เกิดการงอกของข้าว จะทาให้ผลิตสารชนิดหน่ึงข้ึนมา คือ gamma-aminobutyric acid (GABA) ที่มี สว่ นในเร่ืองความจา และเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อรา่ งกาย จึงทาให้ข้าวฮางงอกเป็นผลิตภัณฑ์ที่มี คุณคา่ ทางสารอาหาร และประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่กาลังไดร้ ับความนิยมจากผู้บริโภคในกลุ่ม ของผู้รักสุขภาพ จงึ ทาให้ปัจจุบนั ทางกลุม่ วสิ าหกิจนม้ี ียอดสงั่ ซื้อเปน็ จานวนมากจนไม่สามารถผลิตขายได้ ทันตามคาสั่งซ้ือท้ังภายในประเทศและต่างประเทศท่ีมีความต้องการผลิตภัณฑ์ เน่ืองจากกระบวนการ ผลิตข้าวฮางงอกดังกล่าว มีหลายข้ันตอน ได้แก่ คัดเลือกและทาความสะอาดเมล็ดข้าวเปลือก แช่ เพาะ งอก น่ึง ลดความชื้น กะเทาะเปลือก และบรรจุภณั ฑ์ โดยปกติแล้วจะใชเ้ วลาในการผลิตเป็นรอบๆ ละ 7 วัน ในข้ันตอนการแช่และการเพาะงอกนั้นยังคงใช้เวลารวมกันประมาณ 3-4 วัน ซึ่งถือว่าค่อนข้าง นานและกลายเป็นคอขวดของกระบวนการผลิต เกษตรกรยังคงใช้เทคนิควิธีการผลิตแบบพน้ื บ้านในการ แช่และเพาะงอกดว้ ยการนาขา้ วเปลือกจานวน 50 กิโลกรมั แช่ในถังพลาสติกขนาด 150 ลติ ร ซ่ึงวิธีนี้จะ มคี วามยุ่งยากในการปฏิบตั ิงาน เพราะต้องคอยเปลย่ี นน้าทกุ 4-6 ช่ัวโมง จึงจะทาให้ข้าวไมเ่ กิดกล่นิ เหม็น อับเนื่องจากจุลินทรีย์ตลอดระยะเวลาท่ีแช่ข้าว 1-2 วัน จากน้ันนาข้าวเปลือกออกจากถัง บรรจุใน กระสอบแล้วต้ังวางไว้ในท่ีมีอากาศถ่ายเทเพ่ือให้เกิดการงอกอีก 1-2 วัน ท้ังน้ีปัญหาในการเปลี่ยนน้าแช่ ขา้ วเปลือก คอื การใช้สายยางฉดี นา้ ไล่นา้ แช่เก่าออกจากถงั ใหล้ ้นแล้วปล่อยทิ้งไปกับส่ิงแวดล้อมเน่อื งจาก
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน I 89 ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวิจัย คร้ังท่ี 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” ถังแช่ข้าวมีน้าหนักมากจึงไม่สามารถรินน้าท้ิงได้ ทั้งน้ีน้าปล่อยท้ิงในปริมาณมากทาให้เกิดมลพิษคือเกิด นา้ เน่าเสยี ในพน้ื ที่ผลิต เกดิ ภาวะไมถ่ กู สุขลกั ษณะอกี ด้วย ดังน้ันโครงการนี้ได้รับประเด็นปัญหาและร่วมกันหาทางในการสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนา ขนั้ ตอนการผลิตสองขน้ั ตอนดังกล่าวโดยคาดหวังว่าจะทาให้ลดความยุ่งยาก เพ่ิมคุณภาพการผลิตข้าวฮา งงอก และสามารถควบคุมคุณภาพข้าวให้สมา่ เสมอด้วยการใชค้ วามรู้ทางดา้ นวศิ วกรรมแนะนาใหแ้ กก่ ลุ่ม วิสาหกิจถึงงานวิจัยก่อนหน้าที่มีงานวิจัยในการแช่ข้าวกล้องงอกเพื่อลดระยะเวลาและเพ่ิมสาร GABA เช่น การแช่ในสารละลายท่ีเป็นกรด-ด่าง 5 ท่ีอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 ช่ัวโมง การแช่ใน สารละลายแคลเซียมคลอไรด์ (1 มิลลิโมลาร์ต่อลิตร ค่าความเป็นกรด-ด่าง 5) ที่อุณหภูมิ 40 องศา เซลเซียส นาน 8 ช่ัวโมง การเพาะงอกข้าวกล้องงอกท่ีอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 36 ชั่วโมง กระบวนการแชแ่ ละการงอกของขา้ วเปลอื กสาหรบั การผลติ ข้าวกล้องงอกพบว่าข้นั ตอนการแชข่ ้าวเปลอื ก โดยใช้น้าเวียนไหลผ่านด้วยอัตราการไหล 3 ลิตรต่อนาทีต่อกโิ ลกรัมขา้ วเปลือก สัดส่วนต่อน้าโดยน้าหนัก 10 ต่อ 1 ระยะเวลาน้าไหลผ่านข้าวเปลือก 32 ช่ัวโมง อุณหภูมิน้าประมาณ 30 องศาเซลเซียส และไม่ ตอ้ งเพาะงอก เป็นต้น จากน้ันจึงร่วมหาวิธีการทีเ่ หมาะสมกับกลุ่มวิสาหกิจซ่ึงเป็นกลุ่มที่ผลติ ข้าวอินทรีย์ ซ่ึงไม่ต้องการให้เติมสารอ่นื ในกระบวนการผลติ ข้าวฮางงอก จงึ รว่ มตัดสินใจในการพัฒนากระบวนการแช่ และเพาะงอกขา้ วเปลือกสาหรับการผลิตขา้ วฮางงอกให้เกิดขึ้นในข้ันตอนเดยี วโดยประยุกต์การใช้น้าไหล ผ่านข้าวเปลือกโดยได้ทาการศึกษาในห้องปฏิบัติการด้วยชุดทดสอบขนาด 50 กิโลกรัมข้าวเปลือก และ ขยายขนาดเป็น 300 กโิ ลกรัมข้าวเปลือก 2. วัตถปุ ระสงค์ ออกแบบและสร้างชุดอุปกรณ์ในการแช่และเพาะงอกข้าวเปลือกสาหรับการผลิตข้าวฮางออก ระดับกลุ่มเกษตรกร เพื่อพัฒนากระบวนการผลิต ตรวจสอบและควบคุมการจัดการน้าเสียที่เกิดข้ึนจาก กระบวนการผลติ 3. กระบวนการดาเนนิ การ 3.1 การวางแผนทจ่ี ะดาเนนิ การในการจัดโครงการในครงั้ น้ี (P) หลังจากได้รับประเด็นปัญหาจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแล้ว จึงได้ร่วมประชุมและให้ความรู้ด้าน วิชาการทเี่ กี่ยวข้องกบั การแปรรปู ขา้ งฮางงอกโดยมงุ่ เน้นข้นั ตอนการแช่และเพาะงอก ซึง่ ถือเปน็ ปัญหาคอ ขวดของการผลิตในขณะนั้น ในส่วนของนิสิตในหลักสูตรที่ร่วมโครงการได้รับโจทย์ปัญหาเป็นหัวข้อ ปริญญานิพนธ์ ภายใต้หัวข้อเร่ือง การออกแบบและพัฒนาชุดอุปกรณ์แช่และเพาะงอกข้าวเปลือกผลิต ข้าวฮางงอก ซงึ่ ไดส้ รา้ งชดุ ทดสอบขึ้นมาแลว้ ศกึ ษารูปแบบการสลบั ระยะเวลาการปลอ่ ยนา้ และระยะเวลา หยดุ พักนา้ ให้ไหลผ่านข้าวเปลือกจานวน 50 กิโลกรัม ศึกษาปัจจัยท่ีเกยี่ วข้องที่คาดว่าจะมีผลต่อการงอก ของข้าวเปลือกได้ ทาการเก็บข้อมูลด้านคุณภาพการงอก คุณภาพน้าที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต เม่ือ ได้ผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการแล้วได้ทาการสรุปผลการศึกษาและให้กลุ่มเลือกเง่ือนไขการงอกที่
90 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวิจยั ครง้ั ท่ี 14 : สาขาบริการวิชาการ” เหมาะสมท่ีสดุ ในสว่ นผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการได้แนะนาและเสนอแบบชุดเครือ่ งจกั รให้แกก่ ลมุ่ พจิ ารณา วาง ผงั ปรบั พน้ื ท่ี จัดซอื้ จดั สร้างชุดอุปกรณ์ท่ีเกย่ี วขอ้ ง รว่ มทดสอบการทางาน สรุปผลโครงการ 3.2 วิธกี ารดาเนนิ งานเพอื่ ให้เป็นไปตามแผนทไี่ ดต้ ัง้ ไว้ (D) วิธกี ารดาเนนิ งานดังทไ่ี ด้กลา่ วมาแลว้ ในขอ้ 3.1คือ ทาการสร้างชดุ ทดสอบในห้องปฏบิ ตั กิ ารโดย มอบหมายใหก้ ับนิสิตในการทาปริญญานพิ นธ์ ไดผ้ ลการทดลองทเ่ี หมาะสมโดยการเลอื กเงื่อนไขด้วยความ เหน็ ชอบของกลุ่ม รว่ มกนั สรา้ ง ทดสอบการทางานชุดอปุ กรณแ์ ช่และเพาะงอกขา้ วเปลอื กในขั้นตอนเดียว สาหรบั การผลติ ขา้ งฮางงอก สรปุ ผลการทางาน และการพฒั นาแก้ไขจดุ บกพร่อง 3.3 การตรวจสอบและสรุปปญั หาอปุ สรรคในระหว่างการดาเนนิ งาน (C) เน่ืองจากการทดสอบแต่ละคร้ังต้องใช้ปริมาณข้าวเปลือกจานวนมากและการทดสอบใน ห้องปฏบิ ตั ิการต้องมีการแปรค่าปัจจัยหลายระดบั การทดสอบอย่ใู นชว่ งท่ีสภาพอากาศมีความแปรปรวน สูง (ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนมีนาคม 2561) จึงทาให้บางการทดลองเกิดความผิดพลาดต้องทา การทดลองใหม่ ในส่วนการขยายขนาดให้เหมาะสมกับพ้ืนท่พี บวา่ เกษตรกรต้องการขนาด 300 กโิ ลกรัม ต่อรอบการผลิต สามารถทาการแช่ข้าวได้หลายพันธุ์ในรอบการผลติ ครง้ั เดียว จงึ ได้ออกแบบใหม้ ีถังบรรจุ ข้าวเปลือกจานวนสามถังๆ ละ 100 กิโลกรัม ผลคือระบบการควบคุมการปล่อยน้าผ่านข้าวเปลือกและ การปล่อยให้เกิดการงอกนั้นมีความยุ่งยากอย่างมากและค่าใช้จ่ายในชุดอุปกรณ์ควบคุมเพิ่มข้ึนสูงเท่าตัว จากท่ีได้ตั้งงบประมาณไว้ อีกทั้งกลไกการนาข้าวออก ฝาถังทาจากแสตนเลส SUS 304 มีราคาแพงกว่า เหล็กถึง 5 เท่า จึงมีผลทาใหง้ บประมาณไมเ่ พียงพอจึงจาเป็นตอ้ งตดั งบประมาณในการตรวจสอบปรมิ าณ GABA ออก 3.4 การหาวิธีการดาเนนิ การแก้ไขปญั หาอปุ สรรคทคี่ าดวา่ จะเกดิ ขึ้น (A) ดังที่ได้กล่าวถึงปัญหาค่าใช้จ่ายในส่วนการควบคุมการปล่อยน้าผ่านข้าวเปลือกมีค่าใช้จ่าย เพ่ิมขึ้นสูง ไม่เพียงพอ จึงได้ทาการตัดงบประมาณหรือไม่ได้ดาเนินการในส่วนที่มีความจาเป็นน้อยกว่า ออก และมุ่งเน้นในส่วนท่ีเป็นหัวใจหลักเพื่อให้ชุดอุปกรณ์แช่และเพาะงอกข้าวเปลือกในขั้นตอนเดียว สาหรับการผลิตข้างฮางงอกให้สามารถทางานได้เต็มรูปแบบตรงกบั เงอ่ื นไขที่กลุม่ ตอ้ งการในขน้ั ตน้ ก่อน 4. บูรณาการกับการเรยี นการสอน โครงการนี้ได้มอบหมายหัวข้อปริญญานิพนธ์ให้กับนิสิตสาขาวิศวกรรมเคร่ืองกล ภายใต้หัวข้อ เร่ือง การออกแบบและพัฒนาชุดอุปกรณ์แช่และเพาะงอกข้าวเปลือกผลิตข้าวฮางงอก ซึ่งได้สร้างชุด ทดสอบขึ้นมาแล้วศึกษารูปแบบการสลับระยะเวลาการปล่อยน้าและระยะเวลาหยุดพักน้าให้ไหลผ่าน ขา้ วเปลือกจานวน 50 กิโลกรมั ภายในถัง 200 ลติ ร โดยมรี ะยะเวลาการปลอ่ ยน้า 3 ระดับ ได้แก่ 20 40 และ 60 นาที และระยะเวลาหยุดพัก 3 ระดับ ได้แก่ 20 60 และ 100 นาที ควบคมุ อัตราการไหลของน้า ที่ 2.64 ลิตรต่อนาทีต่อกิโลกรัมข้าวเปลือก ผลการศึกษาพบว่าระยะเวลาปล่อยน้า 20 นาที และ ระยะเวลาหยดุ พัก 60 นาที โดยข้าวเปลอื กจะเรมิ่ มปี ุ่มรากเม่อื เวลาผ่านไปประมาณ 24 ชัว่ โมง และพบท่ี เวลา 36 ช่ัวโมง พบว่าข้าวเปลือกแทงรากออกมาประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร ในระหว่างการทดสอบได้
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน I 91 ในงานการประชุมวิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ยั ครั้งที่ 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” บูรณาการร่วมกับนิสิตสาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมเพ่ือวัดระดับ DO ในน้าเม่ือสิ้นสุดกระบวนการแช่และ งอกไม่ตา่ กวา่ 36 ชว่ั โมง คา่ ที่ได้มีคา่ ตัง้ แต่ 4.26 ขน้ึ ไป ซ่ึงถอื วา่ อย่ใู นเกณฑน์ ้าสะอาด (น้าสกปรกค่า DO นอ้ ยกว่า 3 ลงมา) 5. ผลลพั ธ์จากการดาเนนิ งานโครงการ 5.1 ข้อค้นพบตามวตั ถปุ ระสงค์ ในโครงการนไ้ี ดช้ ดุ อปุ กรณแ์ ช่และเพาะงอกขา้ วเปลือกในขัน้ ตอนเดียวสาหรบั การผลิตข้างฮางง อก จนสามารถยกระดบั กระบวนการผลติ แบบดัง้ เดิมทีใ่ ช้เวลาการแช่และเพาะงอกรวมกันนานเกือบ 3-4 วัน ให้เหลือการทางานภายในไม่เกิน 24 ชั่วโมง หรือเพียง 1 วัน นอกจากนี้ยังพบว่าการงอกมีความ สม่าเสมอมากกว่าเดิม ข้าวที่ผ่านกระบวนการไม่เกิดกล่ินเหม็นอับขึ้นเลย จากการตรวจสอบคุณภาพน้า ดว้ ยการวัดค่า DO (Dissolved Oxygen) เปรียบเทียบกบั การแช่ดว้ ยวิธีดั้งเดิม พบวา่ ค่า DO ของการแช่ ดัวยวิธีด้ังเดิมเมื่อเวลาแช่ข้าวประมาณ 6 ช่ัวโมงจะมีค่า OD ประมาณ 2.5 และเม่ือเวลาผ่านไป 12 ชั่วโมง พบว่านา้ แช่เกิดฟอง มีกลน่ิ เหมน็ เน่า วัดค่า DO ได้ 0.7 ซึ่งถือว่าอย่ใู นเกณฑ์น้าเน่า ในขณะที่การ แช่ด้วยชุดอุปกรณ์ท่ีได้สร้างขึ้นและให้บริการแก่วิสาหกิจชุม พบว่า ค่า DO ของน้าในถังบรรจุปริมาตร 700 ลิตร ก่อนแช่ข้าวมีค่า 5.5 แต่เมื่อน้าน้ีผ่านกระบวนการกลับมีค่า DO เพ่ิมขึ้นเป็น 6.0 ท้ังนี้จาก ขอ้ สงั เกต พบว่า กระบวนการเป็นการพน่ ฝอยน้าซง่ึ มกี ารสมั ผัสกบั ก๊าซออกซเิ จน นา้ ผ่านข้าวเปลอื กในถัง มกี ารไหลเวียนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและเม่ือผ่านก้นถังแช่น้าก็มีการไหลสัมผัสกับอากาศแวดล้อมอีก ครัง้ เช่นกนั จงึ เปน็ ผลทาให้นา้ มีปริมาณออกซิเจนเพ่มิ ข้นึ 5.2 การขยายผลไปสหู่ นว่ ยงานอ่ืนๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง กล่มุ วิสาหกจิ ชมุ ชนผลติ เมล็ดพนั ธข์ุ ้าวชมุ ชนบ้านโนรัง เปน็ กล่มุ ทม่ี ศี กั ยภาพในกระบวนการผลิต และเป็นแหล่งศึกษาดูงานอยู่บ่อยคร้ัง ในโครงการนี้ได้นาชุดอุปกรณ์แช่และเพาะงอกข้าวเปลือกใน ข้ันตอนเดียวสาหรับการผลิตข้างฮางงอก ติดตั้งและใช้งานในท่ีต้ังวิสาหกิจฯ จึงทาให้มีผู้ท่ีสนใจทั้งใน ระดบั เกษตรกร กลุ่มวสิ าหกิจชุมชนเก่ียวกับการผลติ ข้าวในรปู แบบต่างๆ บริษัท ห้างร้าน สถานศกึ ษาทั้ง ภายในและตา่ งประเทศมคี วามสนใจในการติดต่อขอเข้ารบั ดูงานเพิ่มขนึ้ ซง่ึ กลา่ วไดว้ า่ โครงการนมี้ โี อกาส ในการขยายสูผ่ สู้ นใจทั่วไปไดใ้ นอนาคต ขา้ วเริม่ แทงรากงอกเม่ือเวลาผา่ นไป 24 ชวั่ โมง รากแทงยาวมากกเกินความตอ้ งการ ที่ 40 ชวั่ โมง
92 I เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน ในงานการประชุมวชิ าการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ยั คร้ังที่ 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” ตวั เลขตรง ความยาวของรากเมื่อส้ินสดุ การทดสอบ ซม. ตัวเลขเอยี ง ค่า DO เมือ่ สิ้นสุดการทดสอบ 4.89 4.26 4.54 4.91 4.33 4.24 4.46 4.21 4.47 ระยะเวลาในการเพาะงอก ความยาวรากและคา่ DO เมอื่ สน้ิ สุดกระบวนการ ชดุ ทดสอบในหอ้ งปฏิบัตกิ าร(ปริญญานพิ นธ์) ชดุ อปุ กรณ์แชแ่ ละเพาะงอกฯ ทสี่ รา้ งขึ้นในพน้ื ที่
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 93 ในงานการประชมุ วิชาการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวิจัย ครงั้ ที่ 14 : สาขาบริการวชิ าการ” การอบรมการใชง้ าน และการรว่ มวเิ คราะห์ปัญหา แนวทางพฒั นาต่อไป กจิ กรรมทีเ่ กดิ ข้ึนในพน้ื ที่ 6. บทสรปุ โครงการน้ีเกิดขึ้นได้จากประเด็นความต้องการขอรับบริการวิชาการจากชุมชน เพ่ือต้องการ ยกระดับกระบวนการแปรรูปข้าวอนิ ทรยี ์คุณภาพสูง ซึ่งเดมิ ทีสมาชกิ กลุ่มได้นาข้าวเปลือกตกเกณฑ์เมล็ด พันธ์มาแปรรูปเป็นข้าวสาร ข้าวกล้อง และการทาข้าวฮางงอก ท้ังนี้การแปรรูปข้าวสารและการทาข้าว กล้องมีส่วนแบ่งการตลาดน้อยเนื่องจากเกษตรกรหรอื โรงสีท่ัวไปก็ทาการผลิตกัน ในขณะที่การผลิตข้าว ฮางงอกนั้นยงั มกี ารผลติ น้าเมอ่ื เทยี บกับที่กลา่ วมา แตก่ ารผลิตยงั คงใชว้ ิธีการด้งั เดมิ ในข้ันตอนการแช่และ เพาะงอกจึงทาให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพการงอกและหลีกเลี่ยงการเกิดกลิ่นเหม็นอับท่ีเกิดจาก ขั้นตอนน้ีได้ จากข้อค้นพบท่ีได้กล่าวมาข้างต้นชุดอุปกรณ์แช่และเพาะงอกข้าวเปลือกในข้ันตอนเดียว สาหรับการผลิตข้างฮางงอกท่ีไดใ้ ห้บริการกบั กล่มุ น้ถี ือเป็นการพลิกโฉมกระบวนการผลิตข้าวฮางงอกจาก
94 I เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน ในงานการประชุมวิชาการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวิจยั ครงั้ ที่ 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” วธิ ีการด้ังเดิมที่มีความยุ่งยาก งานหนัก คุณภาพควบคุมได้ยาก ใชเ้ วลานาน ให้มีความสะดวกสบาย การ ทางานไม่ซับซ้อน ข้าวเปลือกงอกได้สม่าเสมอ ข้าวไม่เกิดกลิ่นเหม็นอับขึ้นเลย ทั้งน้ีการผลติ ข้าวฮางงอก จากข้าวอินทรีย์ของกลุ่มน้ีถือเป็นการผลิตข้าวท่ีมีคุณภาพสูงตามที่ได้วางไว้และสามารถที่จะต่อยอดท้ัง ทางการตลาดโดยการนาเสนอถงึ จุดเดน่ ของผลติ ภัณฑ์ท่ีต่างจากวธิ ีการผลติ แบบดง้ั เดมิ ตลอดจนเปน็ การ ยกระดบั คณุ ภาพการผลิตหรอื แปรรปู ทไ่ี ด้จากข้าวฮางงอกคณุ ภาพสงู น้ีได้ทัง้ หมดทก่ี ลุ่มดาเนนิ การอยหู่ รือ ในอนาคตตอ่ ไป บรรณานุกรม จารุรัตน์ สนั เต วรนุช ศรเี จษฎารักข์ และรั ชฏา ต้งั วงคไ์ ชย (2550). ผลของกระบวนการแช่และ กระบวนการงอกของข้าวกล้อง (หอมมะลิ 105) ตอ่ ปรมิ าณสารแกมมาอะมโิ นบวิ เทอริกเอซดิ ใน ข้าวกล้องงอก , วารสารวิทยาศาสตร์เกษตร . 38, 6 (พเิ ศษ ), pp. 103 -106. ชาญวทิ ย์ ศรีเพญ็ ชัย, อภชิ าติ อาจนาเสยี ว และ ทนิ กร คาแสน. ภาควชิ าวศิ วกรรมเคมี คณะ วศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40002 :2552 ศโิ รรตั น์ พลิ าวธุ และ วนิ ติ ชนิ สวุ รรณ.2555. อตั ราการไหลของน้าผา่ นขา้ วในกระบวนการแชข่ องการ ผลิตข้าวเปลอื กงอกทีม่ ีผลตอ่ ปรมิ าณ GABA และคณุ ภาพขา้ วกลอ้ ง. วารสารวทิ ยา ศาสตร์ เกษตร. ปีที่ 43 ฉบบั ที่ 2 (พเิ ศษ):264-267 นิดดา หงสว์ วิ ฒั น.์ ข้าวกล้อง ขา้ วงอก มหัศจรรยอ์ าหารต้านโรค. กรงุ เทพ: สานกั พมิ พแ์ สงแดด; 2552 สานักงานวจิ ยั และพฒั นาขา้ ว กรมการขา้ ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. องค์ความรู้เรอื่ งขา้ ว : Rice Knowledge Bank. (2558)
การเล้ียงแหนแดง ปลา และเปด็ ในนาข้าวทมี่ ผี ลต่อผลผลติ และคณุ ภาพของข้าวขาวดอกมะลิ 105 ด้วยการใชป้ ุ๋ยอินทรียช์ ีวภาพในระบบอินทรีย์ โครงการบูรณาการหน่ึงหลักสตู รหนึง่ ชมุ ชน พรี ะยศ แขง็ ขัน และคณะ คณะเทคโนโลยี 1. ความสาคญั และที่มาของโครงการ เกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ส่วนมากปลูกข้าวเหนียวเพื่อบริโภคในครอบครัวเป็นหลัก หากเหลือจากบริโภคจึงขาย แต่ดินนาในภาคนี้ส่วนใหญ่เป็นดินทราย ความอุดมสมบูรณ์และปริมาณ อินทรีย์วัตถุในดินต่า ทาให้ดินดูดซับธาตุอาหารได้น้อย นอกจากน้ัน การทานาที่อาศัยน้าฝนไม่สามารถ ควบคุมปริมาณน้าได้ จึงทาให้ผลผลิตต่อไร่ต่า จากสถิติของผลผลิตข้าวในปี 2544 เฉลี่ยประมาณ 310 กิโลกรัม/ไร่ ซ่ึงต่ากว่าทุกภาคของประเทศไทย คือของภาคกลางประมาณ 489 กิโลกรัม/ไร่ ภาคเหนือ ประมาณ 446 กิโลกรัม/ไร่ ภาคใต้ประมาณ 362 กิโลกรัม/ไร่ ดังน้ัน จึงควรมีการเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ ขา้ ว วิธีทส่ี ะดวกและรวดเร็ว คือการใส่ปุ๋ยเคมี เพราะใชป้ รมิ าณนอ้ ย ประมาณ 25-35 กโิ ลกรัม/ไร่ ทาให้ สะดวกในการปฏิบัติ แต่เน่อื งจากปุ๋ยเคมมี รี าคาแพงเมือ่ เทยี บกบั ราคาผลผลติ ที่ได้ คือประมาณ 300-450 บาท/50 กิโลกรัม นอกจากน้ี ถ้าหากนามาใช้กับดินทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่า ประสิทธิภาพการใช้ ปุ๋ยของพืชก็จะต่าด้วย เนื่องจากปุ๋ยเคมีจะถูกชะล้างไปกับน้าได้ง่าย การผสมผสานการใส่ปุ๋ยเคมีร่วมกับ ปุ๋ยคอก น่าจะเป็นแนวทางท่ีเหมาะสมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของดินในระยะยาว กล่าวคือ ปุย๋ เคมจี ะช่วยเพ่ิมปริมาณธาตอุ าหารให้ดิน ในขณะที่ปุ๋ยคอกจะช่วยเสริมสรา้ งระดับอินทรียว์ ัตถุ รวมท้ัง คุณสมบัติทางกายภาพและชีวภาพของดินด้วย แต่ปจั จุบันการลดลงของจานวนสัตวเ์ ลี้ยงท่ีเล้ียงไว้ใช้งาน เช่น โค และกระบือ ได้ลดจานวนลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน โดยเกษตรกร ส่วนมากได้นาเคร่ืองจักรกลการเกษตรมาทดแทนการใช้แรงงานจากสัตว์ เพ่ือความสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังไม่ต้องคอยดูแลเหมือนสัตว์เล้ียง จึงทาให้เกษตรกรสูญเสียแหล่งของปุ๋ยอินทรีย์ที่จะ นามาใช้ปรับปรุงบารุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ ถ้าหากต้องซื้อปุ๋ยคอกมาใช้ก็เป็นการยุ่งยากและไม่ คุ้มค่า เนื่องจากในการใช้ปุ๋ยคอกต้องใช้ปริมาณมากเพื่อให้ได้ปริมาณธาตุอาหารเทียบเท่ากับปุ๋ยเคมี ดงั เช่นถ้าใส่ปุย๋ มลู ไกอ่ ย่างเดียวในนาขา้ ว ต้องใส่ประมาณ 600-1,200 กิโลกรัม/ไร่ หรือถา้ ใสป่ ยุ๋ มลู โค จะ ใสป่ ระมาณ 1,500-3,000 กิโลกรมั /ไร่ เมอื่ เทยี บกับปุ๋ยเคมีทีใ่ ส่เพยี ง 25-35 กโิ ลกรัม/ไร่ การทาเกษตรผสมผสานระหว่างพืชกับสัตว์ เป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับสมดุลของแร่ธาตุและ พลังงาน มีการเกื้อกูลประโยชน์ระหว่างกิจกรรมการผลิตมากข้ึน และใกล้เคียงกับระบบนิเวศธรรมชาติ ที่สุด (เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก, 2535) เพราะการปลูกพืชร่วมกับการเล้ียงสัตว์ จะได้มูลสัตว์เป็น ปุ๋ยให้แก่พืช และเพ่ิมความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน ทาให้ประสิทธิภาพการใช้ธาตุอาหารดีขึ้น ดังเช่นอุดม และคณะ (2541) ได้ศึกษาการใช้ปุ๋ยมูลเป็ดในพื้นท่ีปลูกอ้อยที่มีสภาพดินร่วนทราย ระยะเวลา 3 ปี
96 I เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ยั ครั้งที่ 14 : สาขาบริการวชิ าการ” พบว่า การใส่ปุ๋ยมูลเป็ดอัตรา 500 กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกบั ป๋ยุ เคมีอัตรา 100 กิโลกรัม/ไร่ และ 50 กิโลกรัม/ ไร่ ได้ผลผลิตไม่แตกต่างกันคือ 6.9 และ 6.7 ตนั /ไร่ ตามลาดับ ช้ีให้เห็นว่า การเล้ียงเปด็ ในนาขา้ วน่าจะ เป็นแนวทางหน่ึงในการเพ่ิมประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมีของข้าว และการเลี้ยงเป็ดในนาข้าวร่วมกับการ เลี้ยงปลา และการเพ่ิมความอุดมสมบูรณ์ด้วยแหนแดงน่าจะส่งผลทาให้สามารถลดต้นทนุ ค่าอาหารและ เพมิ่ คุณภาพของผลผลิตไขข่ องเปด็ ได้ ดังนน้ั การบริการวิชาการการการทาเกษตรผสมผสาน ในระบบการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ จงึ ถอื เป็นสิ่งสาคญั และจาเปน็ เพ่ือเพิ่มศักยภาพการใช้ประโยชน์พื้นท่ีในแปลงนาแบบผสมผสานแบบ อินทรีย์เพ่ือพัฒนานวตั กรรมทส่ี ร้างมูลค่าเพิม่ หรือใช้ประโยชนใ์ หก้ ับชุมชนและสงั คมของเกษตรกรไทย 2. วัตถุประสงค์ นสิ ติ และคณาจารยไ์ ดล้ งพ้ืนท่ีเรียนร้กู ารเกษตรแบบผสมผสาน มีกระบวนการบรกิ ารวิชาการให้ ความรู้ในการทาเกษตรผสมผสาน การเลี้ยงแหนแดง ปลาและเป็ด บริเวณแปลงนาข้าวในระบบอินทรีย์ รวมท้ังการบริการวชิ าการเกษตรผสมผสานอ่ืนๆ เพ่ิมเตมิ ตามความต้องการของเกษตรกร 3. แผนการดาเนนิ งาน แผนงาน/กิจกรรม วัตถุประสงค์ กลมุ่ วิธกี าร/ขัน้ ตอน ตัวช้วี ัด ระยะ เป้าหมาย ความสาเร็จ เวลา กิจกรรม การปรับ ไถ พรวนพ้ืนที่ 1 เดือน - นา ปยุ๋ อินทรีย์ชวี ภาพ แปลงนาอินทรีย์ P 1.ขัน้ เตรยี มการ และพนั ธุ์ขา้ ว พื้นที่ 3 ไร่ 1 เดือน - การเตรยี มพ้ืนท่เี พาะ 1 เดอื น 1.1 การเตรียมพ้นื ที่นา - แหนแดง บ่อเพาะเลี้ยงแหน การเตรียมพันธุ์ปลาและ แดง 4 เดือน ป๋ยุ อินทรยี ์ชวี ภาพ และ นสิ ิตและ พนั ธุ์เปด็ พันธุ์ปลาและพันธุ์ เกษตรกร เปด็ พนั ธ์ุข้าว การใหค้ วามร้แู ละการ ปฏบิ ตั กิ ารเพาะเลีย้ ง นสิ ติ และชุมชน 1.2.การเตรยี มพ้ืนท่เี พาะ แหนแดงในแปลงนาที่ ไดร้ บั ความรแู้ ละ ผลติ ข้าวขาวดอกมะลิ การปฏบิ ัติการ แหนแดง 105อนิ ทรียร์ ่วมกับ เพาะเล้ยี งแหน ชุมชน หน่วยงาน แดงในแปลงนาที่ 1.3 การเตรียมพนั ธป์ุ ลา สง่ เสริมการเกษตร และ ผลติ ข้าวขาวดอก มหาวิทยาลยั มะลิ 105อินทรีย์ และพนั ธุเ์ ป็ด มหาสารคาม ร่วมกับชมุ ชน D 2.ขนั้ ดาเนินการ 2.1ดาเนินกจิ กรรมเพือ่ ให้ การใหค้ วามรแู้ ละ ความรแู้ ละการปฏิบตั ิการ การปฏิบตั กิ าร เพาะเลย้ี งแหนแดง ปลา เพาะเล้ียงแหน และเป็ดในแปลงนาท่ผี ลิต แดงในแปลงนาท่ี ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ผลติ ข้าวขาวดอก อินทรีย์ ร่วมกับชุมชน มะลิ 105อนิ ทรีย์ หนว่ ยงานส่งเสริม รว่ มกับชุมชน การเกษตร และ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน I 97 ในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวิจัย ครงั้ ที่ 14 : สาขาบริการวชิ าการ” แผนงาน/กิจกรรม วตั ถปุ ระสงค์ กล่มุ วธิ กี าร/ข้ันตอน ตวั ชี้วดั ระยะ กจิ กรรม เป้าหมาย ความสาเรจ็ เวลา 2.2 ดาเนินกิจกรรมเพื่อให้ นสิ ิตและ การใหค้ วามรู้และการ นิสติ และชุมชน 5 เดือน ความรูแ้ ละการปฏิบัติการ การให้ความร้แู ละ เกษตรกร ปฏิบตั ิการเล้ยี งปลาและ ไดร้ บั ความรู้และ เลยี้ งปลาและเป็ดในนา การปฏบิ ตั กิ าร เป็ดในนาขา้ วด้วยการใช้ การปฏบิ ตั ิการ 30 วัน ข้าวดว้ ยการใช้แหนแดง เลี้ยงปลาและเปด็ นิสิตและ แหนแดงเป็นอาหารใน เล้ยี งปลาและเป็ด เปน็ อาหารในแปลงนาท่ี ในนาข้าวด้วยการ อาจารย์ แปลงนาที่ผลิตข้าวขาว ในนาข้าวด้วยการ ตลอด ผลติ ขา้ วขาวดอกมะลิ ใชแ้ หนแดงเป็น ดอกมะลิ 105อินทรยี ์ ใชแ้ หนแดงเป็น ระยะเว 105อนิ ทรียร์ ่วมกบั ชมุ ชน อาหารในแปลงนา ผดู้ าเนิน ร่วมกบั ชุมชน หน่วยงาน อาหารในแปลงนา ลา หนว่ ยงานส่งเสรมิ ที่ผลติ ข้าวขาวดอก โครงการ สง่ เสริมการเกษตร และ ท่ีผลติ ข้าวขาว ดาเนิน การเกษตร และ มะลิ 105อนิ ทรยี ์ มหาวิทยาลยั ดอกมะลิ 105 โครงการ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม รว่ มกบั ชุมชน มหาสารคาม อินทรียร์ ว่ มกบั ชุมชน 2.3 วเิ คราะห์ข้อมูลทาง - เพ่อื ใหไ้ ด้หนงั สือ -วิเคราะห์ขอ้ มูลคณุ ค่า - สตู รเมนอู าหาร ทางโภชนาการของเน้อื จากปลาและเปด็ โภชนาการของเนอ้ื ปลา เผยแพร่ ปลาและเป็ด พัฒนา อยา่ งนอ้ ย 6 และสรา้ งสูตรเมนู รายการ และเปด็ สรา้ งเมนูอาหาร “เมนอู าหาร อาหารในห้องปฏิบัตกิ าร โครงการ สขุ ภาพ สขุ ภาพ จากเนื้อ ตรวจสอบ ติดตามการ ดาเนินงานได้ ดาเนินงานตามท่ี อยา่ งมี ปลาและเป็ด” วางแผน พรอ้ มสรุป ประสทิ ธผิ ล ปรับปรงุ แกไ้ ขปญั หาท่ี C 3.ขน้ั ตดิ ตามและสรปุ ผล เกดิ ข้ึน เพ่อื ปรบั ปรุง แผนและการดาเนินงาน 3.1. การตรวจสอบ การตรวจสอบ อย่างต่อเนอ่ื ง ตดิ ตามการดาเนนิ งาน ติดตามการ ตามทว่ี างแผน พร้อมสรุป ดาเนินงานตามที่ ปรับปรงุ แกไ้ ขปญั หาท่ี วางแผน พร้อม เกิดขึน้ เพื่อปรับปรงุ แผน สรปุ ปรบั ปรงุ แกไ้ ข และการดาเนนิ งานอย่าง ปญั หาทเ่ี กดิ ขึน้ ตอ่ เน่ือง (การดาเนินงาน เพือ่ ปรับปรุงแผน มักจะประสบปญั หา และ และการ ต้องแก้ไขตลอดเวลา เมอื่ ดาเนินงานอยา่ ง ลงมอื ดาเนินการในแตล่ ะ ต่อเน่อื ง กจิ กรรม) 4. ผลการดาเนินงาน คา่ เป้าหมาย (หน่วยนบั ) 4.1 ผลลัพธ์ของโครงการ 240 คน ตัวชว้ี ัด เชิงปรมิ าณ 1) จานวนผ้รู ับการถ่ายทอดเทคโนโลยี
98 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวิจัย คร้ังที่ 14 : สาขาบรกิ ารวิชาการ” ตัวช้ีวัด คา่ เปา้ หมาย (หนว่ ยนับ) รอ้ ยละ 80 2) ร้อยละความพงึ พอใจของผรู้ บั การถา่ ยทอดฯ ร้อยละ 80 รอ้ ยละ 50 3) รอ้ ยละความพึงพอใจของนสิ ิตท่เี ข้ารว่ มโครงการ - 4) ร้อยละผรู้ ับการถา่ ยทอดฯ มกี ารนาไปใชป้ ระโยชน์ - 3 แห่ง 5) จานวนสถานประกอบการท่นี าองคค์ วามร้/ู ผลงาน 1 แหง่ ไปใช้ประโยชน์ * ใช้แบบฟอร์มเดียวกันกบั งานวิจยั ข้อเสนอแนะเกษตรกร คือ ควรมี 6) บทความวชิ าการ ผลงานทไี่ ด้รบั การตพี ิมพเ์ ผยแพร่ การติดตามและพัฒนาหลังการ ฝึกอบรมอย่างตอ่ เนอ่ื งและ 7) อน่ื ๆ - แหล่งเรยี นรู้ชมุ ชนเกษตรผสมผสาน ตาบลนาสนี วน จริงจงั อยา่ ทอดทงิ้ เกษตรกร - ภาคีสานกั งานเกษตรอาเภอกนั ทรวชิ ยั จงั หวัดมหาสารคาม 8) ความพึงพอใจของผู้เขา้ ร่วมโครงการ นสิ ิต 2 ด้านคือ 1. ความรแู้ ละประสบการณท์ ี่ได้รบั 1.1 กิจกรรมสอดคลอ้ งกับเนอื้ หาวิชาเรยี น 5.00 1.2 การร่วมกจิ กรรมทาให้เข้าใจเนือ้ หาวชิ าเรยี นมากขึ้น 5.00 1.3 ไดร้ ับประสบการตรงจากการลงพน้ื ทร่ี ว่ มกับอาจารย์ 5.00 1.4 ได้รับความรู้ประสบการณ์นอกเหนอื จากการเรียนในชนั้ 3.45 2. ดา้ นประโยชน์ท่ีไดร้ บั 2.1 ความรู้ที่ได้รับไปปรับใชไ้ ด้จรงิ 5.00 2.2 การรว่ มกิจกรรมทาให้เรียนรกู้ ารทางานรว่ มกบั ผ้อู ื่น 4.24 2.3 การร่วมกจิ กรรมทาให้ได้เรียนรกู้ ารทางานเปน็ ข้ันตอน 3.54 2.4 ชุมชนด้านความรูแ้ ละประสบการณ์ทไ่ี ดร้ ับ 5 ดา้ น 1. 2.4.1 กจิ กรรมสอดคล้องกบั ปญั หาของชุมชน 4.32 2. 2.4.2 สามารถนาความรู้และประสบการณไ์ ปใชใ้ นชีวิตได้ 4.42 2.4.3 ต่อตนเอง 3.76 2.4.4 ตอ่ หนว่ ยงาน 3.28 2.4.5 ต่อสงั คมและชุมชน 2.42 3. การเขา้ รว่ มกจิ กรรมทาใหเ้ กิดเครือขา่ ยในชุมชน 3.24 4. ไดร้ บั ความรูแ้ ละสามารถถ่ายทอดความรปู้ ระสบการณ์แกช่ มุ ชน 2.12 5. สามารถนาองค์ความรู้มาพัฒนาองค์ความรู้ใหมแ่ ละนาไปสกู่ ารขยายผลได้ 1.46 4.2 ผลทไี่ ดร้ ับ ผลกระทบ : ทเ่ี กดิ โดยตรงกับผูร้ ับบรกิ ารและประชาชนท่ีอยูใ่ นพนื้ ทใี่ ห้บรกิ าร ( / ) ทางเศรษฐกจิ : ลดต้นทุนการเกษตรดว้ ยการทาเกษตรแบบผสมผสาน ( / ) ทางสังคม : องค์ความรู้เร่ืองการทาการเกษตรแบบผสมผสาน ความร่วมมือและ ความสามคั คีของชุมชนและหนว่ ยงาน ( / ) ทางส่ิงแวดล้อม : การใช้ทรัพยากรผลิตอาหารและผลผลิตทางการเกษตรที่เป็น มติ รกับสิ่งแวดลอ้ ม
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน I 99 ในงานการประชุมวชิ าการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ยั ครงั้ ที่ 14 : สาขาบรกิ ารวชิ าการ” ภาพรวม ผลการดาเนินงานการประชุมวิเคราะห์ความต้องการของเกษตรกร การศึกษาดูงาน หัวเร่ืองในการอบรมเกษตรผสมผสานตามความต้องการของเกษตรกร บรรยากาศการอบรมและการ สรุปผลเพ่ือต่อยอดการอาชีพ และเมนอู าหาร รปู ชุดท่ี 1 การประมวลความตอ้ งการของชมุ ชน การศึกษาดงู าน และการจดั ทาแปลงสาธติ
100 I เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชมุ วิชาการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ัย คร้งั ท่ี 14 : สาขาบริการวชิ าการ” รปู ชุดที่ 2 การฝกึ อบรมเกษตรผสมผสานให้แกช่ มุ ชนจนกระทง่ั ไดโ้ ครงการต่อยอดตา่ งๆ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132